ชีวิตจำลอง

๓. สมัยหวอ

อยู่บ้านคุณนาย ตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ อะไรๆก็น่าสนุก มีน่าเบื่ออยู่อย่างเดียว คือ“หวอ” กลางวันก็ไม่หวอ ชอบหวอตอนกลางคืน เป็นประจำ เรารึ อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ไม่อยากจะตื่น ไปลงหลุมหลบภัยเลย คิดตามประสาเด็กๆว่า ตายดีกว่าง่วง แต่แม่ไม่ยอม อุตส่าห์ลากผม ถูลู่ถูกัง ไปถึงหลุมหลบภัย ผมยังยืนหลับอยู่ปากหลุมอีก แม่ต้องเอามือผลัก จึงลงหลุมได้ ใครๆในบ้านคุณนาย อดหัวเราะไม่ได้ บางที รุ่งขึ้น ผมรู้สึกคล้ายกับว่าฝันไป ฝันว่าถูกแม่ผลักลงหลุม

ที่จริงผมก็กลัวลูกระเบิดเหมือนกัน ได้ยินเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิดทีไร นึกว่าลงหัวผมทุกที มันดังลั่น สั่นสะเทือนไปหมด หลุมหลบภัยนั้น คุณหลวงท่านเป็นนายทหารเก่า ท่านออกแบบเอง หลุมหนึ่งอยู่นอกบ้าน ดัดแปลงมาจากท้องร่อง เอาดินกั้นหัวท้าย วิดน้ำออก ตัดต้นไม้ต้นโตๆ มาพาดปิด เอาดินทับอีกทีหนึ่ง แล้วเอาไม้กระดานปูใต้หลุม บางวัน น้ำซึมเข้ามา เพราะไม่ได้วิดไว้ก่อน เวลาหวอมา ต้องไปนั่งยองๆ แช่น้ำตั้งนาน ยุงรึชุมน่าดู เราถูกรังแกรอบด้าน ข้างบน ข้าศึกทิ้งระเบิด ทิ้งเอาทิ้งเอา จะให้ลงหัวเราให้ได้ ข้างล่าง มีน้ำขัง รอบๆตัว ยุงบินกันให้ว่อน

หลุมหลบภัยอีกแห่งหนึ่ง อยู่ในบ้าน มีไว้สำหรับกรณีเร่งด่วน เมื่อวิ่งไปลงหลุมนอกบ้านไม่ทัน ลงหลุมหลบภัย ที่ขุดไว้ใต้ถุนบ้านทีไร ทุกคนไม่ว่าใคร กลัวว่าบ้านจะพังเพราะแรงระเบิด ล้มทับเราตายอีกทีหนึ่ง คุณหลวงพูดปลอบใจว่า จะไม่เป็นอันตราย เพราะมีพระดี อยู่บนบ้าน

พระที่ไหนขลัง ทรายทีไหนดี เสื้อยันต์ที่ไหนเหนียว แม่จะไปเที่ยวหามาให้ผม เอาไว้ป้องกันลูกระเบิด ตอนนั้น ทรายหลวงพ่อจาด เสื้อยันต์หลวงพ่อจง คนขึ้นมาก ทรายศักดิ์สิทธิ์ แม่จะเย็บถุงผ้าเล็กๆ สำหรับห้อยกับสายสร้อย ส่วนเสื้อยันต์ แม่จะต้องบังคับให้ใส่ ก่อนนอนทุกคืน เวลาหวอมา จะได้ไม่ต้องคว้า ยังกับว่า จะแต่งตัวผมออกทำศึกสงคราม เหมือนเพลงทำนอง มอญดูดาว ที่แม่ร้องกล่อม น้องผมเสมอๆ

"แล้วจัดแจงแต่งกายพลายชุมพล ปลอมตนเป็นมอญใหม่ ดูคมสัน นุ่งผ้าตาหมากรุก ของรามัญ ใส่เสื้อลงยันต์ ย้อมว่านยาเอย"

บางคืนผมไปนอนเป็นเพื่อนน้าบุญรอด ซึ่งเป็นน้องสาวคนเดียวของแม่ น้าบุญล้อม ลูกชายของยาย ก็ไปนอนเป็นเพื่อนด้วย น้าบุญรอด เช่าเรือนแพ อยู่ในคลองสำเหร่ ไม่ไกลจากบ้านคุณนายเท่าไรนัก น่าสบายมาก ได้ยินเสียงน้ำในคลองไหลตลอดคืน ตอนนั้น ผมอายุประมาณ ๖ ขวบ เคร่งมาก ไม่ยอมให้น้าทั้งสองเข้าใกล้ กลัวเสื้อยันต์เสื่อม เป็นที่หัวเราะขบขันมาก

คุณหลวง มักจะเปิดวิทยุ รับฟังข่าวต่างประเทศ แล้วเล่าสถานการณ์การสู้รบ ให้คนในบ้านฟัง ผมชอบฟังหูผึ่ง รู้บ้างไม่รู้บ้าง ใหม่ๆก็สนุกดี เหมือนเล่นอะไรๆสนุกๆ ไฟฟ้าเปิดสว่างๆไม่ได้ ต้องมีการพรางไฟ เอาผ้าบัง ไม่ให้แสงลอดออกไป ประเดี๋ยวเครื่องบิน จะทิ้งระเบิดใส่เอา นอนบนบ้านสบายๆไม่ได้ ต้องลงไปเล่นนอนในหลุม พอนานเข้าๆ ชักไม่สนุก เมื่อไรจะเลิกมีหวอ เลิกมีสงครามเสียที

วันหนึ่ง ได้ข่าวเครื่องบินฝรั่ง ถูกยิงตกที่บางสะแก คุณนายไม่กล้าไปดู แต่แม่ผมไป ไปแล้วมาเล่าให้ฟัง แม่บอกว่า ฝรั่งนักบิน ตัวอ้วนๆขาวๆ เครื่องบินตก เนื้อฉีกออกเป็นชิ้นๆ มีทั้งมันขาวๆ และเนื้อแดงๆ ผมกินหมูไม่ได้ไปหลายวัน กินหมูทีไร นึกถึงเนื้อฝรั่ง ที่แม่เล่าทุกที

ทางราชการก็ดีเหมือนกัน เครื่องบินทิ้งระเบิดเสร็จทีไร เปิดเพลงปลอบใจ ทางวิทยุกระจายเสียงทุกที จนถึงวันนี้ ผมยังจำได้

“ขอพุทธคุณปกป้องคุ้มครองไทย…”

ในตอนกลางวัน ยังเปิดเพลงปลุกใจให้ฟังบ่อยๆ สมัยนั้น ทุกบ้านมีรูป จอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ห้อยกระบี่เสียโก้เลย ผมเอาบ้าง เอาไม้ไผ่มาเหลา ทำเป็นกระบี่ เหน็บเข้ากับเข็มขัด พอได้ยินเพลง “รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทะนุบำรุง ให้รุ่งเรือง สมเป็นเมืองของไทย เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย” ผมเหลียวซ้ายแลขวา ถ้าไม่มีใครอยู่ ผมเป็นต้อง ออกเดินสวนสนาม ก้าวฉับๆ รับกับจังหวะเพลง โก้ดีพิลึก ผมเล่นเป็นทหารตั้งแต่ตอนนั้น

ไม่นึกว่าต่อมา จะได้เป็นนายร้อยห้อยกระบี่จริงๆ ตอนเป็นนักเรียนนายร้อย ปีที่ ๕ ได้เป็นหัวหน้านักเรียน คาดกระบี่ เดินนำนักเรียนนายร้อย เดินจากหน้าสนามมวยราชดำเนิน ไปหน้ากระทรวงศึกษาธิการ และเดินนำสวนสนาม ในวันสำคัญๆ

คุณวินัย อายุมากกว่าผมเล็กน้อย เรียนอะไรมา รู้อะไรมา นักจะมาถ่ายทอดให้ผมบ่อยๆ คุณวินัยหัดยูโดให้ผม ทั้งๆที่ผมตัวเล็กนิดเดียว บอกว่าเอาไว้ต่อสู้กับญี่ปุ่น เพราะมีข่าวว่า ญี่ปุ่นกำลังจะบุกเมืองไทย ญี่ปุ่นหน้าตาเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้ คุณวินัยหัดยูโดให้ ผมก็หัด ไปอย่างนั้น

เย็นวันหนึ่ง ที่ถนนตากสิน ได้ยินเสียงกึกก้องไปทั่วท้องถนน ผมนึกในใจว่า ใช่แล้ว เสียงนั้น ต้องเป็นรถตีนตะขาบ ญี่ปุ่นบุกเมืองไทยแน่ๆ ทั้งๆที่ผมเกิดมา ก็ไม่เคยเห็นรถตีนตะขาบเลย รีบวิ่งออกไปที่ถนน ก็จริงอย่างที่ผมคิด รถตีนตะขาบหุ้มเกราะ หยุดพักระหว่างทาง จอดเป็นทางยาวเต็มไปหมด บนรถมีกิ่งไม้ปัก เพื่อพรางไม่ให้เครื่องบินเห็น ทหารญี่ปุ่นตัวเตี้ยๆ หน้าตาน่ากลัว ผมไม่รอช้า รีบวิ่งกลับบ้าน กลัวญี่ปุ่นจับ ขบวนรถเกราะ จอดรวมพลอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงติดเครื่อง ออกเดินทางต่อไป ไม่ได้จับใครไป อย่างที่ผมกลัว

ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นหมากรุกตามอย่างคุณวินัย และคุณกวี ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณวินัย คุณกวี คือนายแพทย์กวี ทังสุบุตร ผู้มีชื่อเสียง และเคยเป็นอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น คุณกวีเล่นหมากรุกเก่งที่สุด เอาชนะคนเฒ่าคนแก่ ได้อย่างสบาย นอกจากนั้น ยังเล่นแบดมินตันเก่งอีกด้วย ผมติดตามไปดูคุณกวี แข่งที่วัดสำเหร่บ่อยๆ จำได้ว่า คุณกวีชนะทุกที

ผมหลงหมากรุก วันหยุด หนีไปขลุกอยู่ที่ร้านตัดผม หน้าบ้านคุณนาย จมอยู่ที่นั่นทั้งวัน แม่ไปตาม ให้มาช่วยทำงานบ้าน ก็หนีกลับไปเล่นอีก บางครั้ง แม่เอาไม้เรียวซ่อนข้างหลัง เดินตรงไปที่กระดานหมากรุก ซึ่งผมกับเพื่อนกำลังเล่นกันอยู่ อย่างเอาเป็นเอาตาย พอไปถึง ก็หวดผมไม่นับ หมากรุกเกลื่อนกระจาย ผมและตัวหมากรุก กระเด็นไปกันคนละทิศละทาง

พอญี่ปุ่นบุกเมืองไทย ผมไม่ได้ออกไปเล่นหมากรุกที่ร้านตัดผม เหมือนอย่างเคย เพราะคุณวินัย ดัดแปลงหมากรุก เป็นหมากรบ แทนที่จะมีขุน โคน ม้า เรือ กลับมีนายพล นายพัน นายร้อย นายสิบ รถถัง ปืนใหญ่ ผมรู้สึกว่า หมากรบคุณวินัย ไม่สนุกเลย สู้หมากรุก อย่างเก่า ไม่ได้

คุณหลวงฝึกบุตรชายไว้ เพื่อเป็นทหารตามพ่อ ให้มีลักษณะทหาร ตั้งแต่เด็กๆ ผมเลยพลอยตามอย่างไปด้วย รักทหาร ชอบทหาร อยากเป็นทหาร แต่ไม่กล้าบอกให้ใครรู้ บอกแล้วกลัวจะไม่ได้เป็น จะอายเขา

เด็กสำเหร่โตขึ้น เป็นทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ทหารเรือก็ทหารบก

“คุณอุดม” ต่อมาท่านเป็นถึง รองผู้บัญชาการทหารเรือ แต่งงานกับคุณหญิงละออ บุตรสาวคนโตของคุณนาย

”คุณมงคล” น้องพลเรือเอกอุดม เป็นนักเรียนนายร้อย รุ่นก่อนผม ๒ ปี ไปรบที่เวียดนามพร้อมกัน ตำแหน่งเดียวกัน คือผู้ช่วย หัวหน้ายุทธการ กองพลอาสาสมัครไทย ในเวียดนาม ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ เป็นเสมือนพี่ ซึ่งใครๆ ไม่รู้ว่า ผมสนิทสนมกับพี่มงคลมา ตั้งแต่ ดึกดำบรรพ์ ผมรู้จักพี่มงคล ตั้งแต่จำความได้ พี่มงคลเข้าโรงเรียนวัดสำเหร่ ก่อนผมหลายปี

 

อ่านต่อ / ๔. แม่ค้าหาบเร่

๑. โรงเรียนกินนอน ๒. น้ำท่วมใหญ่ / ๓. สมัยหวอ /