โค่นระบอบทุศีล เพื่อปฏิรูปประเทศไทย
โดยประชาชนคนรักชาติ มวลมหาประชาชน

(สารอโศกฉบับ 331)

กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ (กปค.) มีการเรียกรวมพล เชิญชวนประชาชน ที่ไม่เห็นด้วย กับการกระทำของรัฐบาล ในการบริหารประเทศ ที่มีการโกงกินกันอย่างมโหฬาร และเป็นขบวนการ ภายใต้ การบงการของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำลังพาประเทศไปสู่หายนะอย่างน่ากลัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ ส.ส. พรรคเพื่อไทย จะมีการเสนอพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ให้กับพรรคพวกของตนเอง ที่เผาบ้านเผาเมือง ปล้น ฆ่าเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ให้พ้นผิด ซึ่งเป็นประเด็นร้อนแรง ที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ที่จะมีการนิรโทษกรรมให้กับคนผิด และเกรงว่าจะมีวาระซ่อนแฝง ที่จะเป็นการนิรโทษกรรม ให้กับทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นการจุดชนวนสู่การชุมนุม รวมตัวกันของกลุ่ม "กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ" ที่ได้ประกาศชุมนุมใหญ่ ตั้งแต่เที่ยงของวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๖ สวนลุมพินี

การรวมตัวกันในครั้งนี้ ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง และเกินกว่าเหตุ โดยที่ยังไม่มีเหตุการณ์ วิกฤตร้ายแรงใดๆ ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในเขตพื้นที่บริเวณรอบๆ ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ปิดกั้นถนน ไม่ให้คนหรือรถวิ่งผ่านได้ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ ๑ ถึง ๑๐ ส.ค.๕๖ โดยระดมตำรวจ มาเตรียมรับมือ กว่า ๕๐,๐๐๐ คน

คณะเสนาธิการร่วม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ได้แถลงข่าว ประกาศจุดยืน ยกระดับการชุมนุม โดยมีเป้าหมาย เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ อันเป็นระบอบทุนสามานย์ ที่แพร่เชื้อร้าย กัดกร่อนสังคมไทย ให้หมดสิ้นไป และเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มทุกสี ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมขับเคลื่อนเจตนารมณ์ ของการชุมนุมต่อไป โดยได้ชุมนุมปักหลักพักค้าง ตั้งแต่เย็นวันที่ ๔ ส.ค. ๕๖ เป็นต้นไป และประกาศ นัดชุมนุมใหญ่ ในเวลา ๙.๐๐ น. ของวันที่ ๗ ส.ค. ๕๖ เพราะเป็นวันที่ จะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ต่อมา เวทีได้ย้ายจากลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๖ เข้าไปอยู่ในรั้วสวนลุมพินี ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์ ประตู ๔

ในคืนวันที่ ๖ ส.ค. ๕๖ นี้ก็มีอีกเวทีหนึ่ง ที่มีจุดยืนต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คือเวที ผ่าความจริง ของพรรค ประชาธิปัตย์ ที่นัดชุมนุมในคืนวันที่ ๖ โต้รุ่งไปจนถึงเช้าวันที่ ๗ ส.ค. เพื่อต่อต้าน พ.ร.บ.ล้างผิดให้คนโกง

ในวันที่ ๗ ส.ค. ๕๖ มวลชนทยอยกันมาไม่มากนัก แม้ในเวลา ๙.๐๐ น. แล้ว ประชาชนก็ยังไม่มากพอ ที่จะเคลื่อนไหวใดๆได้ ทำให้คณะเสนาธิการร่วม ต้องประกาศให้รักษาที่ตั้งไว้ ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวไปที่ใด ในขณะเดียวกันนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เคลื่อนมวลชนเรือนหมื่น เดินจากแยกอุรุพงษ์ ไปรัฐสภา แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ จึงได้แค่ส่งส.ส. ประชาธิปัตย์ เข้าไปทำหน้าที่ในสภา และได้ประกาศสลายมวลชน ที่แยกราชวิถี

ในรัฐสภา ก็ดำเนินการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านวาระที่ ๑ ไปอย่างรวดเร็ว โดยพรรครัฐบาล อาศัยพวกมากลากไป ยกมือให้ผ่านวาระ ๑ อย่างค้านสายตาผู้รู้ และกฎหมาย และในวันที่ ๘ ส.ค. ๕๖ รัฐบาล ก็ประกาศยกเลิก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ส่วนกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ก็ยังคงยืนหยัด ปักหลักพักค้าง ที่สวนลุมพินี ต่อไป

กองทัพธรรมร่วมกับกองทัพประชาชน

สำหรับชาว "กองทัพธรรม" ก็ได้ออกมา ร่วมแสดงสิทธิ์ของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย ๑ คน ๑ สิทธิ์ ๑ เสียง ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาล ในการรับใช้ระบอบทักษิณ แทนที่จะรับใช้ประชาชน อย่างแท้จริง ดั่งที่ได้ขออาสา มาทำงานการเมือง เพื่อร่วมกันรักษาที่มั่นสวนลุมพินี กองทัพธรรม จึงได้อาสา เข้าร่วมกับกองทัพประชาชน ชุมนุมแบบยืดเยื้อ เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชน และรวมพลัง ผู้ที่จะช่วยกันโค่นระบอบทักษิณ ให้มีจำนวนมากขึ้นๆ

ชาวกองทัพธรรมจากทั่วประเทศ เคลื่อนขบวนมาเข้าร่วมกับ กองทัพประชาชน ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ได้มาตั้งเต็นท์ เปิดโรงบุญ เพื่อแจกอาหารมังสวิรัติฟรี บริเวณหน้าสวนหรรษา และศูนย์เยาวชนลุมพินี โดยหน้าที่หลักของชาวกองทัพธรรม จะดูแลเรื่องอาหาร น้ำดื่ม เก็บขยะ ทำความสะอาดสถานที่ ไฟฟ้า น้ำประปา การถ่ายทอดสดทาง FMTV และเป็นผู้รับใช้ คอยบริการ อำนวยความสะดวก รวมไปถึง แผนก รักษาพยาบาล ให้กับพี่น้องที่มาร่วมชุมนุม

มีการจัดสรรสถานที่ตั้งเต็นท์เพิ่มเติม จากที่มีอยู่เดิม จัดแผนกต่างๆ เช่น กองอำนวยการ โรงครัวกองทัพธรรม แผนกน้ำดื่ม พยาบาล แพทย์วิถีธรรม (หมอเขียว) ฯลฯ นอกจากโรงครัวกองทัพธรรมแล้ว ยังมีโรงครัวเฮียบุ๊ง และจุดแจกอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่เดิมแล้ว ร่วมช่วยกันแจกต่อไป

ทางด้านเวที ได้นำเวทีขนาดใหญ่ของกองทัพธรรม ไปตั้งแทน โดยถอยร่นจากเวทีเดิมออกไปอีก เพื่อให้ มีเนื้อที่หน้าเวทีมากขึ้น ซึ่งจะมีเต็นท์ขนาดยักษ์ กางคร่อมเวที และหน้าเวที จะทำให้ผู้ชุมนุม นั่งชุมนุม ได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวโดนแดดโดนฝน FMTV จะดูแลด้านเวที ทั้งการดำเนินรายการ และ การถ่ายทอดสด ทาง FMTV ทุกวัน

การชุมนุมนี้ ได้รับเงินสนับสนุน จากการบริจาคของประชาชนทั่วไป ที่เห็นความสำคัญ ในการที่จะต้อง โค่นระบอบทักษิณ เพื่อปฏิรูปประเทศไทย จึงมีผู้มาบริจาคให้อย่างสม่ำเสมอ โดยบริจาคได้ที่ กองอำนวยการแห่งเดียว ซึ่งทางกองทัพธรรม จะบริหารจัดการ นำไปดูแลกิจกรรมงานต่างๆ ของการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายทางเวที การถ่ายทอดสด เครื่องอุปโภคบริโภค ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ฯลฯ กลุ่มต่างๆ ที่ช่วยทำอาหารแจก ก็มาเบิกเงินที่กองอำนวยการได้

การชุมนุม ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ต่อวันสูงมาก แต่เนื่องจากมีจิตอาสา ทั้งจากประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุม และ ชาวกองทัพธรรม ช่วยกันทำงาน ดูแลงานต่างๆ แต่ละแผนก โดยทำงานฟรี ไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ จึงทำให้ ประหยัดค่าใช้จ่าย ไปเป็นจำนวนมาก อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ทางกองทัพธรรม ได้ขนย้ายนำมาเอง จึงไม่ต้องซื้อ หรือไม่ต้องเสียค่าเช่ารายวัน ข้าวของอื่นๆ ก็มีผู้บริจาคสนับสนุน ร่วมมาอยู่เรื่อยๆ จึงไม่ต้องซื้อ ทุกสิ่งทุกอย่าง การเป็นอยู่ ก็อยู่กันอย่างสาธารณโภคี คือกินใช้ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน เสมือนเป็นครอบครัวใหญ่ และยังมีความประหยัดมัธยัสถ์ จึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ เป็นจำนวนมาก ทำให้การชุมนุม ยังคงดำเนินต่อไปได้ ด้วยเงินบริจาคจากพี่น้องประชาชน

วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นวันแม่แห่งชาติ กลุ่มผู้ชุมนุม จึงจัดงานเฉลิมฉลอง เพื่อเทิดพระเกียรติของพระองค์

มีกิจกรรมทำบุญตักบาตร ในช่วงเช้า สมณะ-สิกขมาตุ ของชาวอโศก บิณฑบาต ชาวกองทัพธรรมได้จัดงาน "ตลาดอาริยะ" ขายสินค้า ราคาต่ำกว่าทุน และเปิดโรงบุญมังสวิรัติ จำนวน ๒๘ โรงบุญ เพื่อถวาย เป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาส ทรงมีพระชนมายุ ๘๑ พรรษา

บนเวทีมีการแสดง เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เทิดไท้องค์ราชินี ตลอดวัน และในภาคค่ำ ก็มีการจุดเทียนชัย ถวายพระพร แสงสว่างที่เกิดจาก การหลอมรวมดวงใจไทยทั่วหล้า สว่างไสวจากสวนลุมพินี สู่พระราชวัง ไกลกังวล

ช่วงนี้เป็นฤดูฝน การชุมนุมครั้งนี้ ก็ชุ่มฉ่ำกับสายฝน ที่ตกลงมา ในแต่ละวัน แต่ผู้มาร่วมชุมนุม ก็ไม่หวาดหวั่น ยังคงมาร่วมชุมนุม กันอย่างสม่ำเสมอ มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชุมนุมที่ปักหลักพักค้าง จำนวนมาก ต้องเผชิญกับสายฝนยามค่ำคืน ที่บางวันก็ชุ่มฉ่ำ จนทำให้เต็นท์ที่พักอาศัยเปียก จนแฉะ ต้องนอนแช่อยู่กับน้ำ การระบายน้ำ บางจุดระบายได้ไม่ดี จนทำให้น้ำท่วมขัง ต้องหาเครื่องสูบน้ำมาสูบ เอาน้ำออก แม้จะมีความยากลำบาก หลายอย่างหลายด้าน ก็หาได้เป็นอุปสรรค ต่อหัวใจของความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ของผู้ชุมนุมไม่ พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาว มาแทบทุกครั้งที่มีการชุมนุม เพื่อต่อต้านความอยุติธรรม ไม่ว่าการชุมนุมครั้งนี้ จะต้องดำเนินต่อไป ยาวนานแค่ไหน พวกเขาก็มีความสุข ที่ได้ออกมา ทำหน้าที่ของประชาชนคนไทยแล้ว

มาทำหน้าที่ ชุมนุมประท้วง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๐ "บุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข" และมาตรา ๗๑ "บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ชาติ ตามกฎหมาย" โดยเน้นความสงบ ไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด มาชุมนุมเพื่อแสดงความเป็นประชาธิปไตย ณ สวนลุมพินี แห่งนี้ อย่าง "ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ"

เป้าหมายและยุทธวิธีการชุมนุม

วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้เมตตา สัตตาหกรณียะ จากพุทธสถานราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี เพื่อมาให้กำลังใจผู้ชุมนุม โดยได้ขึ้นเทศนาบนเวที เป็นครั้งแรกของการชุมนุมครั้งนี้ และ ได้รับนิมนต์ ให้มาเทศนาต่อเนื่อง ในช่วงเย็นของทุกวัน โดยพ่อครูได้เทศนาถึงยุทธวิธี ในการชุมนุมไว้ ๔ ข้อคือ

๑. สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
๒. ไม่มีความรุนแรง
๓. เสนอความรู้ และความจริง
๔. ไม่หยาบ ไม่ผิด กล่าวคำแรง เสียงดังเท่าใดก็ได้

โดยทีมงานสื่อสารบุญนิยม ของกองทัพธรรม ก็ได้เข้าไปเป็นผู้รับใช้ ร่วมกัน คณะเสนาธิการร่วมฯ ในการจัดสรรรายการ ให้ความรู้และสาระบันเทิงบนเวที ที่จะเปิดเวที ตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงห้าทุ่ม ของทุกวัน ซึ่งจะมีผู้ชุมนุม มาเข้าร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ ส่วนในภาคเช้า บนเวทีก็จัดสรร ให้คณะออกกำลังกาย ที่สวนลุม ได้ใช้เวที ในการออกกำลังกาย เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร ระหว่างผู้ชุมนุม กับผู้ที่ ใช้สถานที่ ในการออกกำลังกายมาก่อน เพราะสวนลุมฯ แห่งนี้ เป็นสถานที่ออกกำลังกาย พักผ่อน ของประชาชนจำนวนมาก ในวันหยุด จะมีประชาชนมาใช้สถานที่เป็นหมื่นคน มีกลุ่มออกกำลังกาย เป็นร้อยกลุ่ม เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง มาร่วมใช้สถานที่ จึงต้องอ่อนน้อม ถ่อมตนให้มาก จัดสรรสถานที่ ให้ลงตัว เพื่อไม่เป็นการรบกวน แก่ผู้มาใช้บริการทุกคน ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยดี ผู้มาพักผ่อน ออกกำลัง ก็มาเข้าร่วมชุมนุมด้วยเช่นกัน

คณะผู้รับใช้ กองทัพธรรม ได้มีการประชุมกันทุกวัน เพื่อทำให้เกิดความเรียบร้อย และทบทวนบทเรียน ของการชุมนุม และได้ส่งผู้รับใช้ ไปร่วมประชุมกับ คณะเสนาธิการร่วมฯ เพื่อความเป็นเอกภาพ ของการชุมนุม ทำให้การชุมนุม เป็นไปอย่างมีอัตราการเจริญก้าวหน้า ทั้งคุณภาพและปริมาณ ตามเป้าหมาย ของการชุมนุม โดยทั้งคณะผู้รับใช้กองทัพธรรม และเสนาธิการร่วม ก็ได้ไปพูดคุย สนทนากับพ่อครู ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น คุ้นเคยอย่างยิ่ง

การชุมนุมครั้งนี้ พ่อครูได้ให้สูตร ในการชุมนุมว่า Go on and See out แปลเป็นไทยว่า "ดูไป และ ยังความสำเร็จให้เกิดขึ้น" ซึ่งพูดเป็นคำขวัญได้ว่า "ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆ หมดๆ" โดยมีเป้าหมายของการชุมนุม คือ

๑. ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่มีปริมาณการแสดงออก เป็นประชาธิปไตย
๒. แสดงคุณภาพของความเป็นประชาธิปไตย คือจิตที่มีธรรมะ
๓. เพื่อมาแสดงสิทธิ์ ร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตย ของมวลประชาชน
๔. ไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ ให้ความรู้ความจริง เป็นตัวตัดสิน
๕. เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคี มาแสดง

ระบบสาธารณโภคี จึงได้ถูกสถาปนาขึ้นอีกครั้ง ในที่ชุมนุมสวนลุมฯ ชุมชนดูไป แห่งนี้ อันเป็นการสืบทอด ระบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระพุทธเจ้าพาทำ และพ่อครู ก็นำมาเผยแพร่ต่อจนเกิดผลจริง จากชุมชนชาวอโศก มาสู่ที่ชุมนุมอันสัปปายะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเงินที่โปร่งใส ไม่สะสม มีแต่สะพัดแจกจ่าย Our loss is our gain ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา มีปัจจัย ๔ ที่ร่วมกันกินร่วมกันใช้ของส่วนกลาง เต็นท์ใหญ่ส่วนกลาง อาหารส่วนกลาง ยารักษาโรคส่วนกลาง เสื้อผ้าเครื่องใช้ไม้สอยส่วนกลาง โดยทุกคน ทำงานฟรี เสียภาษี ๑๐๐% อย่างเต็มใจ ให้แก่ส่วนกลาง ไม่เป็นหนี้ มีความขยันทำงาน มีผลผลิตเหลือเฟือ เพื่อเผื่อแผ่ แก่คนที่เดือดร้อนได้ เป็นงานการเมืองที่แท้ คือ การทำงานเสียสละ เพื่อช่วยเหลือประชาชน นั่นเอง

สวนลุมพินีแห่งนี้ นับเป็นที่สัปปายะ ในการชุมนุมที่สุด ตั้งแต่ชาวอโศกออกชุมนุมมา พ่อครูให้ชื่อ ชุมชนนี้ว่า "ชุมชนดูไป" Go on and see out และได้ให้ข้อคิดว่า มวลน้อยไม่ว่า ขอให้มีความจริง เราไม่หวังเอาชนะหรือแพ้ แต่มุ่งพัฒนาคน ให้เกิดคุณภาพ ของความเป็นประชาธิปไตย คือจิตที่มีธรรมะ สถานที่แห่งนี้ จึงเป็นเหมือนห้องเรียนประชาธิปไตย เป็นสถานที่ฝึกฝน ให้ลดความเห็นแก่ตัว เสียสละเพื่อส่วนรวม จนหมดตัวหมดตน อันคืองานการเมืองที่แท้จริง

เป็นการชุมนุมที่เรียกว่า "การชุมนุมประท้วงแนวใหม่" หรือ Neo-Protest ที่มีความงดงาม สว่างไสวไปด้วย แสงธรรมแห่งพุทธิปัญญา ตามหลักปรัชญา การชุมนุมประท้วงแนวใหม่สู่ "สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น"

ไม่มุ่งเอาแพ้ชนะ แต่มีอัตราก้าวหน้ารายทาง

๒๐ ส.ค. ๕๖ ในรัฐสภาฯ มีความวุ่นวายเกิดขึ้น อันเกิดจากการต่อสู้ ระหว่างฝ่ายค้าน กับเผด็จการรัฐสภา ของฝ่ายรัฐบาล ที่พยายามจะผ่านร่างกฎหมายอัปยศ ปลดสว.สรรหา ให้เหลือแต่ ส.ว. เลือกตั้ง อันจะเป็นการ ยึดสภาสูง อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ฝ่ายค้านจึงประท้วงอย่างดุเดือด ประธานสภาฯ ได้ใช้อำนาจ อันไม่ชอบธรรม สั่งตำรวจ หิ้วปีก ส.ส.ฝ่ายค้าน ออกจากรัฐสภา

วันเดียวกันนี้เอง กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ได้เชิญชวนประชาชนคนรักชาติ ให้ออกไปร่วมกัน แสดงพลังของความรักชาติ และเอาภาระบ้านเมือง โดยร่วมกันเดินจากสวนลุมฯไปสู่ถนนสีลม เพื่อแสดงพลัง และประกาศเจตนารมณ์ ที่จะร่วมกันประท้วงต่อต้าน การทำงานของรัฐบาล
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้ระบอบทักษิณ ที่สูบกินทรัพยากรชาติ ไปให้แก่ตนเอง ครอบครัว และพรรคพวก

ในวันที่ ๒๑ ส.ค. ๕๖ เวลา ๙.๐๐ น. กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เดินทางไปหน้าศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญ ให้ทำหน้าที่อย่าง "ซื่อสัตย์_เที่ยงธรรม" ไม่ให้มีความกดดัน จากกลุ่มคนที่ ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ โดยผู้ร่วมชุมนุม ได้มอบดอกกุหลาบขาว ผ่านตัวแทน ให้แก่ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ การไปครั้งนี้ มีคณะเสนาธิการร่วมฯ เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ กับกองทัพประชาชน กว่า ๑๐๐ คน เป็นบรรยากาศที่อบอุ่น มีพลังสร้างสรร ทำให้บ้านเมืองไทยเรา มีความหวังเพิ่มขึ้น

พ่อครูได้ให้เป้าหมายการชุมนุม ข้อหนึ่งว่า เราไม่มุ่งหมายเอาชนะหรือแพ้ แต่เราจะเก็บความก้าวหน้า รายทาง คือ การมุ่งสร้างจิตวิญญาณประชาธิปไตย แก่ประชาชน ความก้าวหน้ารายทาง เกิดผลเป็นรูปธรรม หลายประการ ตัวอย่างหนึ่งคือ แม่ค้าที่เคยเป็นเสื้อแดง ไม่ขอรับเงินจากคนของกองทัพธรรม ที่ไปซื้อของที่ร้าน แม่ค้าบอกว่า "ไม่กล้าคิดเงินพวกเราหรอก อยากช่วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ขอไม่คิดเงินนะ เวลากินข้าว ก็ไปกินของกองทัพธรรม" นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ของการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณ ให้มีคุณภาพของธรรมะ ส่งผลเป็นสัมมากัมมันตะ ที่แสดงชัดเจน

พ่อครูได้ให้ข้อคิดอีกว่า "นีโอโพรเทส คือประชาธิปไตยแท้ คือ ออกมาประท้วง มาใช้สิทธิ์ สดๆ ไม่ใช่ของแห้ง เป็นอธิปไตยลำดับที่ ๑ เลย และ เราไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ เรามาเอาความจริงมาประกาศ แล้วมันจะเป็นไปเอง ถ้าคุณจะยอม เราก็ไม่ถือว่าคุณแพ้ เพราะคุณรู้ว่าควรเลิกทำสิ่งไม่ดี ก็เลิกก็จบ เราไม่ถือว่าเราชนะ ไปหยามหยันเขาอีก อย่างนั้นไม่จบ เป็นเรื่องไม่สูงส่ง "พ่อครูเป็นลูกพระพุทธเจ้า จึงมาแนะนำให้ทำอย่างนี้"

"ชัยชนะรายทาง คือการได้พัฒนาจิตที่มีธรรมาธิปไตย ขึ้นในใจของประชาชน ฝ่ายอธรรมนั้น ดูเหมือน จะได้แต้ม สามารถผลักดันกฎหมาย เพื่อตนเองและพวกพ้อง ผ่านสภาฯ แต่คนชั่วย่อมสะสมกิเลส และเมื่อใดกิเลส มันแน่นขึ้นมาเต็มที่เมื่อไหร่ ก็แตกกันทันที โดยเราไม่ต้องไปทำร้ายทำลายเขา เพียงแต่ เรายาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆ หมดๆ สะสมความก้าวหน้ารายทางต่อไป เพราะ ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม "ธัมโมหเวรักขติ ธัมมะจาริง"

ออกมาแสดงสิทธิ์อธิปไตย ลำดับหนึ่ง

ย่างเข้าสัปดาห์ที่สาม สังคมมีอัตราการก้าวหน้ารายทางไปเรื่อยๆ ทำตามสูตร "ดูไป" หรือ Go on and see out คือยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ หมดๆ มุ่งสร้างจิตที่มีธรรมะ ให้เกิดขึ้นกับประชาชน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่มาร่วมชุมนุมนั้น จะได้ฝึกลดละ สลายอัตตาตัวตน ต้องจากบ้านช่องเรือนชาน มาเผชิญฝนตก น้ำท่วม อากาศร้อน มานอนกลางดิน กินอยู่ริมฟุตบาท ใช้ชีวิตตามรอยพระพุทธองค์

ในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๕๖ ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่ง ได้ไปร่วมประท้วง การขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี ที่หน้าบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต ร่วมกับกลุ่มประชาชน เจ้าของพลังงานไทย ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มเครือข่ายเพื่อผู้บริโภค และกลุ่มเครือข่าย ภาคประชาชนสังคมต่างๆ เพื่อคัดค้าน การขึ้นราคาพลังงาน มีการตั้งเวทีเสวนา ให้ความรู้เกี่ยวกับพลังงาน พร้อมเรียกร้องให้กระทรวงพลังงาน หยุดขึ้นราคา แก๊สแอลพีจี ภาคครัวเรือน โดยได้ยื่นหนังสือ ให้ตัวแทนจากกระทรวงพลังงาน เพื่อมอบให้ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ต่อไป

การประท้วงครั้งนี้ มีประชาชนหลากหลายกลุ่ม มาร่วมกัน รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดง ก็มาร่วมประท้วงด้วย เป็นการสลายสี สลายกลุ่ม มาทำร่วมกัน เพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นความเดือดร้อน ร่วมกันของประชาชน มารวมกันเป็นสีเดียวคือ "สีมัคคา" หรือ "สามัคคี" นั่นเอง จึงจะสามารถกอบกู้ ชาติบ้านเมือง ที่ใกล้จะล่มจมอยู่แล้ว

และในวันเดียวกัน กับที่ไปประท้วงหน้าปตท. ที่จ.นครศรีธรรมราช กลุ่มผู้ชุมนุมชาวสวนยางพารา และ ปาล์มน้ำมัน และพื้นที่ใกล้เคียง กว่า ๕๐๐ คน รวมตัวกัน ที่ถนนสายเอเชีย อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ช่วงบ่าย เพื่อชุมนุมประท้วงรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาราคายางพารา และปาล์มน้ำมันตกต่ำ โดยมีการกางเต็นท์บนถนน พร้อมกล่าวปราศรัย ทำให้รถทุกชนิด สัญจรผ่านไม่ได้ ในเวลา ๑๕.๓๐ น. ก็เกิดการปะทะกัน ระหว่าง ผู้ชุมนุมประท้วง กับเจ้าหน้าที่ปราบจราจล อย่างรุนแรง ใช้เวลาปะทะกันกว่า ๑๕ นาที มีเจ้าหน้าที่ถูกขว้าง ได้รับบาดเจ็บ ๔๓ นาย ส่วนชาวบ้านบาดเจ็บอีกหลายสิบคน ยิ่งเป็นการสร้าง ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ต่อการแก้ปัญหาประเทศ

การต่อสู้ของภาคประชาชน บนถนนและบาทวิถี มีมาอย่างยาวนาน ได้ลองผิดลองถูก มานับครั้งไม่ถ้วน พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้สรุปบทเรียนว่า ประชาธิปไตย คือการออกมาชุมนุมประท้วง อย่างสงบ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น ซึ่งเป็นการชุมนุม ประท้วงแนวใหม่ หรือ Neo protest มุ่งเน้น สร้างจิตที่เป็นประชาธิปไตย แก่ประชาชน เมื่อใดที่ประชาชนตื่นรู้มากพอ ถึงจุดที่มีมวลวิกฤต แล้วพร้อมใจกัน ก้าวเดินออกมาร่วมประท้วง ๑ คน ๑ สิทธิ ๑ เสียง ล้านคน ก็ล้านสิทธิ์ล้านเสียง ให้พร้อมพรั่ง เป็นมวลมหาประชาชน มาอย่างสงบสันติ มารวมกันนั่งเฉยๆ นี่แหละ แล้วแสดงเจตจำนงค์ ให้รัฐบาลรับรู้ เมื่อนั้นแหละ จะมี "ฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชน จะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"

การรวมกันของแม่น้ำร้อยสาย

ธรรมาธรรมะสงคราม เป็นมหากาพย์ เป็นการต่อสู้ระหว่าง ความดีงามความถูกต้อง กับความชั่วร้าย อันมีมา แต่ปางบรรพ์ และประเทศไทยในปัจจุบัน ธรรมะและอธรรม ต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ตลอดมา ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะมีพลังมากกว่า

ในการชุมนุมที่สวนลุมฯ ชุมชนดูไปครั้งนี้ มีผู้ตั้งประเด็น ถามพ่อครูว่า "ทำไมคนชั่ว รวมตัวกันได้ดี แต่คนดี รวมตัวกันไม่ค่อยได้" พ่อครูตอบว่า "คนชั่วเขามีอามิสสินจ้าง แต่พวกเรานั้น มาทำอย่างไม่มีอามิสสินจ้าง ไม่มีเครื่องล่อ แต่คนดีก็ยังมีอัตตามานะ และมีหลายชั้น ถือดี นึกว่าตนดีกว่า จึงมีการข่ม ดังนั้น การที่ฝ่ายธรรมะ จะมีอัตราก้าวหน้าของการชุมนุมได้นั้น ต้องทำการสลายอัตตา นั่นเอง"

เมื่อย่างเข้าสัปดาห์ที่สี่ ของการชุมนุมที่สวนลุมฯ ความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ได้ปรากฏให้เห็น อย่างเด่นชัด ทั้งคุณภาพและปริมาณ แกนนำจากหลากหลายค่าย หลากหลายสีเสื้อ มาร่วมชุมนุม ทั้งที่มาขึ้นเวที และมาเยี่ยมเยือนให้กำลังใจ นักคิด นักเคลื่อนไหว ในสังคม activist ทั้งฝั่งประชาธิปัตย์ พันธมิตร และอีกหลากหลายกลุ่ม

ในค่ำคืน วันที่ ๒๓ ส.ค. ๒๕๕๖ แกนนำพันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ทั้งรุ่น ๑ และรุ่น ๒ ประกาศ สลายแกนนำพันธมิตรฯ ปลดปล่อยมวลชนให้มีอิสระ ในการเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มอื่น เพราะแกนนำถูกดำเนินคดี จากการประท้วงที่ผ่านมา จึงมีเงื่อนไขจากศาล ที่ทำให้ไม่สามารถนำมวลชนได้ จึงประกาศ ยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ หลังจากได้นำมวลชน ต่อสู้กับระบอบทักษิณ มาร่วม ๘ ปี เป็นกระบวนการประชาภิวัฒน์ และตุลาการภิวัฒน์ ร่วมกัน สามารถไล่ทักษิณ ออกนอกประเทศได้ และล้มรัฐบาล นอมินีทักษิณได้ ๒ รัฐบาล นี่คือตัวอย่างอันน่าชื่นชม ของการสลายตัวตน เพื่อประโยชน์ ของชาติบ้านเมือง และ ในคืนวันที่ ๒๕ อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำพันธมิตร ก็ประกาศ เข้าร่วมชุมนุมที่สวนลุมฯ อย่างเต็มตัว

๒๔ ส.ค. ๕๖ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ก็สัตตาหกรณียะ กลับมาเทศน์ที่สวนลุมฯ ต่ออีก เป็นคำรบสอง ภายหลังว่างเว้น ให้สมณะและสิกขมาตุ ได้จัดรายการเรียนอิสระ (ตามสำนึก) ไป ๔ วัน ซึ่งตอนนี้ รายการ ช่วงเย็นบนเวที จะมีสมณะ สิกขมาตุ มาหมุนเวียนแสดงธรรม สลับกับพ่อครู ในช่วงเวลาประมาณ ๑๘.๒๐-๒๐.๒๐ น.

อาทิตย์ที่ ๒๕ ส.ค. ๕๖ เป็นวันที่มีประชาชน หลากหลายกลุ่ม มารวมตัวกันที่สวนลุมฯ ชุมชนดูไปมากที่สุด ตั้งแต่เริ่มชุมนุมมา มีทั้งกลุ่มหน้ากากขาว ที่มาอยู่แล้วทุกวันอาทิตย์ และมีกลุ่มนักศึกษาอาชีวะ ที่รวมตัวกัน มามากถึง ๔๘ สถาบัน ทำให้เกิดภาพประทับใจ จากที่เคยได้เห็นภาพนักศึกษาอาชีวะ ยกพวกตีกัน ก็มาเป็นภาพ นักศึกษาอาชีวะ ยกพวกไหว้กัน พากันมาแสดงพลังปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านคอรัปชั่น ถือเป็นความมหัศจรรย์ ของพลังที่เกิดได้ เพราะการลดละ อัตตาตัวตน และพลังแห่ง ความรักสถาบัน เปลี่ยนพลังวัยรุ่นร้อนแรง ฆ่าแกงกัน มาเป็นพลังสร้างสรร รวมกันเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ วันอาทิตย์ จึงเป็นวันที่มี ผู้มาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก

น้ำย่อมไหลไปหาน้ำ น้ำมันย่อมไหลไปหาน้ำมัน คนดีย่อมไหลไปรวมกัน เหมือนแม่น้ำร้อยสาย ที่ไหลมารวมกัน เป็นแม่น้ำใหญ่ ที่จะไปช่วยชะล้างบ้านเมืองให้สะอาด จากความสกปรกโสมม ของระบอบ ทักษิโณมิกซ์ ที่กัดกินบ้านเมือง จนใกล้จะล่มจมอยู่แล้ว ดังที่ พ่อแห่งแผ่นดิน องค์ราชันของพวกเรา ได้มีพระบรมราโชวาทว่า ให้มีความ "รู้รักสามัคคี" และ "ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใคร ที่จะทำให้ทุกคน เป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมือง มีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคน เป็นคนดี หากแต่อยู่ที่ การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้" ถึงเวลาแล้วที่ลูกที่ดี จะได้ออกมาร่วมมือกันทำเพื่อพ่อ โปรดเก็บอัตตา ใส่เซฟไว้ก่อนได้ไหม ประเทศไทยทุกข์แย่แล้ว

ตลาดอาริยะกู้ชาติ

ในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖ นี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ๕ ก็ประกาศ กระชากค่าครองชีพ โดยประกาศขึ้นราคาแก๊ส แอลพีจี อีกกิโลกรัมละ ๕๐ สตางค์ โดยจะขึ้นราคาทุกเดือน แถมยังขึ้นราคาค่าไฟฟ้า และค่าผ่านทางด่วน พร้อมกันอีก ส่งผลกระทบให้ค่าครองชีพสูงขึ้น แทบทุกรายการ และ ในวันเดียวกับที่ รัฐบาลขึ้นราคาแก๊ส กองทัพธรรมก็ประกาศ กระชากราคาสินค้า ให้ต่ำกว่าทุน จัดงานตลาดอาริยะ ในใจกลาง กรุงเทพมหานคร ที่สวนลุมพินี โดยจะจัดทุกวันอาทิตย์ที่ ๑ และ ๓ ของเดือน เริ่มตั้งแต่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖

ในเวลา ๘ นาฬิกา ของวันที่ ๑ กันยายนนี้ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ ก็ได้ให้เกียรติ มาเปิดงานตลาดอาริยะ ในตลาดอาริยะ จะพบกับสินค้าคุณภาพดี ราคาถูก ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต (ไม่มีสินค้ามอมเมา) เช่น ข้าวกล้องไร้สารพิษ น้ำมันพืช น้ำตาล วุ้นเส้น ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำยาล้างจาน สินค้าสุขภาพ สินค้าชุมชน ผักสดไร้สารพิษ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่สำคัญคือ สินค้าทั้งหมด ขายในราคา ต่ำกว่าทุน เช่น ฟักทอง, ฟักเขียว ขายเพียงลูกละ ๑ บาท สินค้าจากร้านดินอุ้มดาว ทุกชิ้น ราคา ๑ บาท เป็นต้น โดยงบประมาณ การจัด เป็นงบจากชุมชนชาวอโศก ไม่ได้เอามาจากเงินบริจาค ในการชุมนุมเลย เราทำด้วย เลือดเนื้อของอโศกเอง การเมืองและประชาธิปไตย คือการเสียสละ เราปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กๆ มีนักเรียน สันติบาล (เด็กอนุบาล กับประถม) มาทำน้ำยาล้างจานขาย ทำเอง ขายเอง ต้นทุนขวดละ ๑๐ บาท แต่ขายเพียง ๕ บาท

มีการเปิดโรงบุญ หลายสิบร้าน แจกอาหารมังสวิรัติ ฟรีตลอดงาน คนขายบอกว่า แจกสนุก คนมากิน เยอะมากเลย ข้าวเหนียว ส้มตำ บ๊ะจ่าง ก๋วยเตี๋ยวน้ำข้น ขนมจีนปักษ์ใต้ เป็นต้น ทั้งหมดแจกฟรี เราใส่ใจดีๆ เข้าไปเต็มๆ จึงมีคนนิยมรับประทาน ต่อคิวยาวเหยียด เป็นอาหารบุญ ให้คนสุขภาพแข็งแรง ทั้งกายและใจ เปิดบริการ ๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. นี่คือ วัฒนธรรมโรงบุญ ที่นิยมทำกันมาแต่ครั้งพุทธกาล แล้วมาสูญหายไป ในปัจจุบัน เรามารื้อฟื้นวัฒนธรรมดีๆ ขึ้นมาใหม่

บนเวที มีรายการขายสินค้าในราคาบาทเดียว หากมีผู้กล้าออกมาร้องรำทำเพลง ร่วมกับพิธีกรและวงฆราวาส จะได้รับสิทธิ์ ซื้อสินค้า ๑ ชิ้น ในราคา ๑ บาท มีผู้คนสนใจเข้าร่วมกิจกรรมล้นหลาม ทำให้บรรยากาศ ตลาดอาริยะ ยิ่งเพิ่มสีสัน และความสนุกสนาน

ตลาดอาริยะนั้น เป็นบุญญาวุธ หมายเลข ๒ ของชาวอโศก อุดมการณ์ตลาดอาริยะนั้น กำไรของชีวิต คือ การให้ และการเสียสละ Our loss is our gain สินค้าที่ขาย ต้องราคาต่ำกว่าทุน การยอมขาดทุน นั่นคือ การเสียสละ เจตนาให้ผู้ซื้อได้แสดงน้ำใจ เปิดโอกาสให้ผู้อื่น ซื้ออย่างแบ่งปัน ไม่โลภ ไม่ทำแบบประชานิยม แต่ทำแบบบุญนิยม คือคนขาย ได้เสียสละลดละกิเลส คนซื้อก็ได้มาซึมซับ วิญญาณแห่งการแบ่งปันกัน เราไม่ได้ทำ เพื่อต้องการสิ่งใดตอบแทนกลับมา แม้เสียงชื่นชม แต่ปัญญาชนที่เข้าใจ จะมาเสียสละร่วมกับเรา ดังที่ในงานนี้ มีคนเหมาซื้อวัตถุดิบ มาช่วยเหลืออย่างมากมาย

มีคนถามว่า ตลาดอาริยะนี้ กู้ชาติได้อย่างไร คำตอบคือ เราได้กู้ชาติ หรือ ความเกิด ที่เห็นแก่ตัวของเรา มาเป็น ชาติที่เสียสละ ชาติไทยเรา จะล่มจมอยู่แล้ว เพราะความเห็นแก่ตัว ของคนที่บูชาลัทธิ ทักษิโณมิกซ์ และ ชาวไทยเฉย ที่เห็นแก่ตัว ไม่เอาภาระบ้านเมือง เรามาช่วยกัน ทำตัวอย่างของความเสียสละ เปลี่ยนแปลง ชาติในตัวเราแต่ละคน ให้เกิดความเสียสละ แล้วออกมารวมกัน จึงจะเปลี่ยนชาติไทยได้ ดังที่ ในวันนี้เอง มีกลุ่มนักศึกษา อาชีวะศึกษา กว่า ๕๖ สถาบัน ก็มารวมตัวกัน รวมทั้งกลุ่มหน้ากากขาว ก็มาร่วมสมทบด้วย ทำให้บรรยากาศในชุมชนดูไป คึกคัก อบอุ่น คุ้นเคยกันเพิ่มขึ้นอีก

ตลาดอาริยะเกิดได้ เพราะความเสียสละ ของชาวอโศกแต่ละชุมชน มีผู้ลดละกิเลสมารวมกัน จนเกิดชุมชน สาธารณโภคี เป็นเศรษฐกิจระดับจุลภาค กระจายอยู่แบบเครือแห ทั่วประเทศ โดยแต่ละชุมชน เชื่อมโยงกันเป็นเศรษฐกิจมหภาค คือที่สันติอโศก หรือราชธานีอโศก หรือที่ไหนๆ ของอโศก ก็เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันหมด เป็นเครือแห ซับซ้อนอยู่ในนั้นหลายชั้น ซึ่งชาวอโศกเรามั่นใจว่า เศรษฐศาสตร์บุญนิยม แบบนี้ จะสามารถกอบกู้ชาติ กอบกู้โลกได้ในอนาคต

โรงครัวกู้ชาติแบบคนจน ที่ชุมชนดูไป

ตลอด ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณได้ครอบงำ และกัดกินประเทศไทย ด้วยวาทะกรรม "จะพาคนไปรวย หมดทั้งประเทศ" แต่ปัจจุบัน คนไทย กลับมีแต่หนี้สินล้นพ้นตัว หนี้สาธารณะ พุ่งสูงเป็น ๗๐% ของ GDP พวกที่ร่ำรวย กลับเป็นไพร่ที่กลายร่างเป็นอำมาตย์ แบบ "สู้แล้วรวย" ใช้อำนาจรัฐ แสวงหาผลประโยชน์แก่ตน และพวกพ้อง บนความเดือดร้อนยากเย็น ของประชาชนไทย

ย่างเข้าเดือนที่สอง ของการชุมนุม ปักหลักพักค้างที่สวนลุมฯ ชุมชนดูไป ในใจกลางกรุงเทพมหานคร เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่คนจนๆ ซึ่งไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีนายทุนหนุนหลัง จะสามารถจัดการการชุมนุม อย่างสงบเรียบร้อย มาได้กว่า ๑ เดือนแล้ว แถมยังคงมีอัตราการก้าวหน้า รายทางเพิ่มขึ้น อยู่ตลอดเวลา การชุมนุม ชุมชนดูไป เป็นไปอย่างเรียบร้อย เพราะเป็นการชุมนุม ที่เกิดจากการมาเสียสละ ของผู้ร่วมชุมนุม เป็นพื้นฐานสำคัญ ไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง อันคือ การทำงานการเมืองที่แท้จริง เพราะการเมือง เป็นเรื่องเสียสละ เพื่อบ้านเพื่อเมือง ไม่ใช่เรื่องนำมาหาผลประโยชน์ส่วนตน ทุกคนที่มาร่วมชุมนุม ทำงานฟรี ไม่ได้สินจ้างรางวัล แต่อย่างใด

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง การชุมนุมจะเป็นไปไม่ได้ หากผู้ร่วมชุมนุมไม่มีอาหารกิน ในที่ชุมนุมมีคนอยู่ ปักหลักพักค้าง วันละหลายร้อยคน และที่มาหมุนเวียนทุกวัน ตั้งแต่หลักพัน ไปถึงหลักหมื่นคน ในแต่ละวัน ทั้งหมดนี้ ล้วนต้องกินต้องอยู่ ต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น แต่คนจนๆ ที่รักชาติเหล่านี้ เขาทำได้อย่างไรกัน ในการอยู่ร่วมกัน มากว่า ๑ เดือน

คำตอบคือ อยู่ได้ด้วยระบบ "สาธารณโภคี" ที่ทุกคนอยู่รวมกัน อย่างญาติพี่น้อง ร่วมกันกิน ร่วมกันใช้ของส่วนกลาง ทำงานฟรี เสียภาษี ๑๐๐% ให้ส่วนกลาง ประชาชนที่เห็นด้วย ก็มาร่วมบริจาคเข้ากองกลาง เมื่อชุมนุมไปแล้ว ประมาณ ๑ เดือน มีประชาชนบริจาคข้าวสารมา ประมาณ ๘ ตัน ใช้ไปแล้ว ๖ ตัน พืชผักรวมๆแล้ว ประมาณ ๓๕ ตัน รับบริจาคมาจาก เครือแหชาวอโศก และพี่น้อง ประชาชนผู้รักชาติ แม้พี่น้องที่มาออกกำลังกาย ที่สวนลุมฯ ก็มาบริจาคเงินและวัตถุดิบ สำหรับทำอาหาร ทั้งหมด ที่อยู่ได้ เพราะเราทำแบบคนจนที่เสียสละ ทำแบบที่ในหลวงสอนไว้ "ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา" จึงมีคนเห็นดี และมาร่วมเสียสละด้วย

โรงครัวกลางของการชุมนุมนั้น ให้บริการเป็นสามจุดหลัก คือที่ กองทัพธรรม ที่เฮียบุ๊ง และที่เจ๊วรรณ-เจ๊พร เป็นสามจุดหลัก ที่รับใช้ บริการอาหารให้พี่น้องทุกวันๆ ซึ่งบริการอาหารมังสวิรัติ เป็นหลัก

แต่ละวัน ทางกองทัพธรรม ต้องหุงข้าว วันละ ๑๐ กว่าหม้อ เบอร์ ๕๐ ถ้าวันที่มีการเคลื่อนขบวน หรือมีผู้มา ร่วมชุมนุมมาก ต้องหุงถึง วันละ ๒๐ กว่าหม้อ นอกจากนั้น ยังมีข้าวเหนียว ที่ต้องนึ่งทุกวัน วันละ ๒๐-๕๐ กก.

ชาวกองทัพธรรม จะเป็นตัวหลักในการทำอาหาร ญาติธรรมแต่ละชุมชน แต่ละพุทธสถาน จะจัดสรร แบ่งงานกันทำ และยังมีพี่น้องที่มาร่วมชุมนุม เข้ามาช่วยงานกันทุกวัน มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นกัปตัน ขับเครื่องบิน เมื่อมีเวลาว่าง ก็จะชวนกันมาช่วยงานที่โรงครัว อยู่ประจำ แม้เป็นงานพื้นๆ เช่น หั่นผัก กัปตัน ก็กล้าหาญ ที่จะมาเสียสละ แรงกายแรงใจ แม้จะดูเป็นงานเล็กๆ แต่นี่คือ กิจกรรมที่จะเป็นพลัง ทำเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน นอกจากนั้น ในวันหยุดสุดสัปดาห์ จะมีพี่น้องจากหลายกลุ่ม มาแจกอาหารเพิ่มเติม ทุกสัปดาห์ ในตอนเช้าตรู่ของทุกวัน จะมีกลุ่มพันธมิตรฯ จากภาคใต้ เสียสละทำปาท่องโก๋ ออกแจกจ่ายแก่ผู้ร่วมชุมนุม และผู้ที่มาออกกำลังกาย ในแต่ละวัน ใช้แป้งทำปาท่องโก๋ ทั้งหมด ถึงวันละ ๘๐ กิโลกรัม

แต่ละโรงบุญ ยังได้มีการพัฒนา การเก็บล้างภาชนะ โดยแต่ละโรงบุญ ได้จัดสถานที่ สำหรับล้างภาชนะ ให้ผู้มารับบริการ ได้ล้างภาชนะเอง ตามแบบวัฒนธรรม ล้างจาน ล้างใจ ไม่ล้างตามใจ ล้างตามขั้นตอน อีกด้วย นับเป็นพัฒนาการ ของผู้มาร่วมจัดทำโรงบุญ

ผู้มาชุมนุม ก็ได้มาฝึกเป็น "คนจน" มากินใช้ร่วมกันกับส่วนกลาง ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน เป็นการ ฝึกปฏิบัติ "รู้จักประมาณในการบริโภค" หรือ "โภชเนมัตตัญญุตา" ได้ฝึกเอาชนะอกุศล คือ ความอยาก เสพสุขสบายส่วนตัว มาเสียสละ อยู่ชุมนุมประท้วง มาอยู่แบบ "คนจนมหัศจรรย์" จึงจะกู้ชาติได้ ดังที่พ่อครัวแม่ครัว ในที่ชุมนุมนี้ ได้ทำเป็นตัวอย่าง เงินทองและความร่ำรวย ไม่ได้ช่วยกู้ชาติ แต่การมาเป็น คนจนมหัศจรรย์ แม้มีน้อย แต่เสียสละได้ต่างหาก จึงจะกู้ชาติได้อย่างแท้จริง

๑ เดือนผ่านไป การชุมนุมประท้วง ยังคงดำเนินต่อเนื่อง "ดูไป" Go on and See out กองทัพธรรม ยังคง ยืนหยัด ร่วมต่อสู้กับกองทัพประชาชน ทุกหมู่ทุกเหล่า การมาชุมนุมนี้ ไม่ได้มาเอาชนะ แต่มาบอกว่า ประชาชนไม่เห็นด้วย กับการกระทำของรัฐบาล ที่กอบโกย โกงกินกันอย่างเมามัน มาชี้ชัดถึง
ความชั่วร้าย ของระบอบทักษิณ ที่กระทำชั่วหยาบ อย่างโหดร้ายกับประเทศชาติ มาสอนประชาธิปไตย ให้คนไทยที่ยังไม่รู้ หรือ รู้เรื่องของประชาธิปไตยอย่างผิดๆ ให้เข้าใจ ให้เรียนรู้ ให้ถูกต้อง และยังมา ปลุกจิตสำนึกของคนไทย ที่ยังเป็น"ไทยเฉย" เห็นแต่แก่ประโยชน์ตน ไม่นำพาบ้านเมือง ไม่เอาภาระ ประเทศชาติ ภาครัฐจะโกงจะกินยังไง ก็ปล่อย ไม่สนใจ ทำมาหากินแต่ของตน ให้หันมาสนใจ ให้มาเสียสละ ให้มาเอาภาระบ้านเมือง เพิ่มขึ้น

ณ สวนลุมพินีแห่งนี้ ยังรอคนไทยทุกคน ที่จะก้าวออกมาเสียสละ เพื่อชาติเพื่อบ้านเมือง อย่าปล่อยให้คนชั่ว ลอยนวล ออกมากันมากๆ สัก ๑ ล้านคน รัฐบาลนายทุนสามานย์ จะอยู่ไม่ได้ แน่นอน

ทีมงานข่าวอโศก
(จบความ สารอโศก ฉบับ ๓๓๑)
*************

(อ่านต่อ สารอโศก ฉบับ ๓๓๒ เดือน ก.ย.- ธ.ค. ๒๕๕๖ หน้า ๔-๕๑)

จากการที่ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปค.) ได้มีการเริ่มชุมนุม ประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีการโกงกินกันอย่างมโหฬาร และกำลังทำให้บ้านเมือง ดำเนินไปสู่หายนะ ศีลธรรมจริยธรรมถดถอย ตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ภายใต้การบงการของ นักโทษชายหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร การชุมนุมนี้ เริ่มที่สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ และ ยกระดับ เป็นการชุมนุมอย่างยืดเยื้อ ... ...

( มีต่อฉบับ ๓๓๒ )

www.asoke.info