ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๘
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๔
เนื่องในงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

เช็คทรัพย์อันแรกเสียก่อน ทรัพย์อันแรกคืออะไร ศรัทธา คือความเชื่อ ถ้าใครเชื่อว่าตื่นให้เต็มที่ดีๆ แล้วก็นั่งฟังธรรม แล้วเราจะได้รับธรรมะที่ดี ก็ตื่น ใครเชื่อว่าไม่เชื่อ ตื่นฟังธรรม จะสู้นั่งหลับได้ยังไง นั่งหลับนี่แหละ ฟังธรรมได้ดีกว่า ก็จงนั่งหลับต่อไป นี่คือศรัทธา คือตัวแรก แล้วมันเป็นความจริง ของคนนะ มันเป็นความจริงของคนจริงๆเลยว่า เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เราก็จะต้องทำอย่างนั้น ทีนี้คนเรานี่เชื่อแต่อินทรีย์ กำลังอินทรีย์ของจิตนี่มันสำคัญ เชื่อ ฟังแล้วก็เข้าใจ แต่อินทรีย์ของจิต มันไม่พอ อินทรีย์ของจิต โดยเฉพาะมีกิเลส ที่มันเคยตัวมาตั้งแต่ปางไหน ก็ไม่รู้ละ สั่งสมมาตั้งแต่ เป็นพญานาค เป็นงูมาตั้งแต่ปางไหน เอาแต่นอนเถือกอยู่นั่น ขนาดหญ้าคา มันขึ้นทะลุ ตั้งแต่พุง จนกระทั่งทะลุหลัง งูที่มันนอนน่ะนะ แล้วหญ้าคามันขึ้นแทง จนกระทั่ง ทะลุหลัง เอ้า มีจริงๆนะ งูเหลือมที่มันนอน กินช้างไปตัวหนึ่ง แล้วมันก็นอนอยู่นั่นล่ะ หญ้าคามันขึ้น ทะลุหลังขึ้นไปเลยนะ ก็ยังนอนอยู่อย่างนั้นล่ะ ไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่หญ้าคามันอยู่ข้างล่าง มันก็ค่อยๆ ไชชอน แทงตัวเองทะลุ ขึ้นไปจนหลังโน่นแน่ะ ยังนอนอยู่อย่างนั้นแหละ งูเหลือม แล้วมาตอนนี้ ก็มาฟังว่า ตื่นนี่ดีกว่า ตื่นนี่ดีกว่าหลับ เข้าใจนะ ตื่นนี่ดี ตื่นจะมานั่งฟังธรรมนี่ดีล่ะ แต่ไอ้เชื้อแบบนั้นน่ะมันเยอะ กิเลสแบบนั้น มันเยอะ มันก็ไม่ค่อยตื่นหรอก ต้องดึง

เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาอบรม ต้องมาฝึกฝน ต้องมีศีล เราจะแก้ไขปรับปรุงได้ด้วยศีล ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เอาแค่นี้ก่อน เป็นลำดับๆ ทรัพย์ ๔ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา แล้วค่อยเติมศรัทธา ศีล แล้วก็หิริโอตตัปปะ สุตะ อีก ๓ ตัวนั่น ค่อยเติมทีหลัง แล้วมันจะจำง่าย หิริโอตตัปปะ กับ สุตะอีก ๓ ตัว มันเป็นตัวขยาย อย่างที่เคยอธิบายมาแล้ว ตั้งแต่ปลุกเสกฯ แล้วค่อยมาขยาย

เพราะฉะนั้น ใครเชื่ออย่างไรๆ เชื่อแล้วก็จะเป็นตัวที่เป็นหลักของการประพฤติ คนเราเกิดมาในยุคนี้ เชื่อว่าไปเรียนหนังสือนี่ดี คุณก็จะไปเรียนหนังสือ เรียนไปทำไม เรียนไปแล้ว ก็เอาไปหาเงิน เรียนไว้ เพื่อที่จะไปได้หาเงิน มาให้แก่ตัวเองได้มากๆ มาสร้างลาภ สร้างยศให้แก่ตัวเอง ประสพผลสำเร็จ เรียนไปๆ พอเรียนจบออกมา ก็ได้ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ได้ลาภ ได้เงินเดือนสตาร์ตเท่านี้ ได้ต่ำกว่านี้ ก็ไม่ชอบใจ จะต้องได้เท่านี้ ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี นี่เป็นความเชื่อ คุณเชื่ออย่างนี้ เชื่ออย่างนี้จริงๆ พอตายปุ๊บลงไป คุณจะได้ความเชื่ออย่างไหนไป ก็ได้อย่างที่คุณเชื่ออย่างนั้นแหละ เชื่อมากเท่าไหร่ ก็เท่านั้น คุณเชื่อมากเท่าไหร่ ก็เท่านั้นล่ะ คุณเชื่อว่าอย่างนี้เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องของชีวิต คุณก็เชื่ออย่างนี้ ติดวิบาก ติดกรรม ติดจิตวิญญาณที่มีวิบาก ที่มีกรรม อะไรของคุณมีวิบาก มีกรรมอะไรไป มันก็จะเชื่ออย่างนี้ มีความฉลาด หรือปัญญา เท่าใด มีความเชื่อด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจ ด้วยความฉลาด คุณจะฉลาดเท่าไหน ก็แล้วแต่ เรียกว่าปัญญา มันมีลักษณะ ฉลาดเฉลียว หรือโง่ก็ตามใจ โง่หรือฉลาดก็คือปัญญาที่แท้ คุณจะเห็นอย่างนั้นจริงๆ เลย คุณ ก็ได้อันนั้นแหละไป

ทีนี้ คุณมาที่นี่กัน คุณเชื่อว่า มานั่งอบรมอย่างนี้ดี มาเรียนอย่างนี้ดีกว่าไม่ไปเรียนล่ะ มหาวิทยาลัยฯ ไม่เรียนล่ะ มหาวิทยาลัยฯ เรียนแล้วก็มีแต่พาให้ไปหาล่าลาภ ล่ายศ ไปเอาเงิน เอาทอง ไปหาแต่ปราชญ์ แย่งชิงกับโลกเขา ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยฯ เขาสอนแต่จะให้เป็นอย่างนั้นๆ ไม่ไป เรียนล่ะ มานั่งเรียนอย่างนี้ดีกว่า มาเรียน ๗ วัน โอ้โห นี่นักเรียนเต็มห้อง เต็มศาลาเลย เป็นพัน มานั่งเรียนอย่างนี้ดีกว่า บางคนแก่แล้วก็มา นั่งรวมกันตัวเล็กๆ ห้องเรียนเดียวกัน เรียนอย่างนี้ดีกว่า แล้วเราก็เชื่ออย่างนี้ จริงๆ คุณก็มาทำ แล้วคุณก็ได้รับปัญญา ได้รับความเห็น ได้รับความจริง อาตมาพยายามอธิบาย  ให้ตรวจสอบชีวิต ให้ตรวจสอบความจริงตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่ง มาถึงเดี๋ยวนี้ คุณได้ความเข้าใจอย่างที่อาตมาบอก แล้วคุณรู้สึกว่า ที่อาตมาบอก มันเป็นเนื้อสาระ มันเป็นแก่นสารของชีวิตดีกว่าจริงไหม ไปอย่างโน้น มันไม่ดีน่ะ ได้ลาภ ได้ยศมา ก็คือลาภ คือยศ ได้อย่างนั้นแหละ มันก็เป็นความสุขอย่างโลกีย์ พยายามวิเคราะห์โลกียสุข พยายามวิเคราะห์ วูปสโมสุข สุขอย่างสงบ สุขอย่างระงับ สุขอย่างให้ สุขอย่างไม่เอา สุขอย่างสละ สุขอย่างที่ เรามีคุณค่า มีประโยชน์ มีประโยชน์อย่างไรก็ซ้อนซ้ำ พูดซ้ำซาก จนปากจะฉีกแล้วล่ะ มีประโยชน์ เราให้เขานี่มีประโยชน์ เราให้น่ะ เป็นคุณค่า เราให้เป็นบุญ เป็นกุศล เราไปเอาเปรียบมา นั่นเป็นเรื่องชั่ว เป็นเรื่องเลว เป็นเรื่องต่ำ เป็นเรื่องไม่สมควร เป็นเรื่องขาดทุน เป็นหนี้ ได้ให้เขา เป็น กำไร เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อไปอีกกี่ชาติๆ เป็นวิบาก มันก็เป็นทรัพย์ของเรา เพราะว่าเราได้ให้ ฝากไว้เหมือนออมสิน ฝากไว้อย่างนี้ ไม่มีใครเป็นนักจดหรอก ไม่มีใครเป็นนายธนาคารหรอก แต่มีสัจจะเป็นนายธนาคาร สัจจะ ความจริงน่ะ คุณได้ให้ไว้ คุณไม่ได้เอาคืนมานี่ มันก็ยิ่งเป็นของเรา คุณเอาคืนมาเมื่อไหร่ มันก็หมด เอาคืนมาเมื่อไหร่ หมด ยิ่งเอาเปรียบมาอีก เป็นหนี้ด้วย เอ้า

คุณฟังแล้ว คุณมีปัญญาเท่าไหร่ เชื่อไหม เข้าใจไหม นี่ไม่ได้บังคับนะ ที่พูดนี่ ไม่ได้มาบังคับ ให้คุณเชื่อ แต่พูดด้วยความจริง ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยลักษณะว่า คนเรามันจะมีอันนี้แหละ เป็นกรรม เป็นวิบากติดตัวไป คุณจะทำเมื่อใด ก็แล้วแต่ คุณทำเดี๋ยวนี้ คุณไปรับจ้างคนนี้วันนี้ รับจ้างล้างส้วมให้คนนี้ วันละ ๒ บาท คุณก็ล้างให้เลยทั้งวัน ล้างส้วมให้ อย่างดีเลย แล้วคุณก็ ไม่เอาตังค์ คุณก็กลับไป คุณก็ได้ ๒ บาทแล้ว แต่ถ้าคุณเอาตังค์ไป คุณได้ไหม ถ้าคุณตายลง ๒ บาทอยู่ไหน อยู่กับโลก แต่คุณเอามาแล้วใช่ไหม ถ้าคุณเอา ๒ บาท นั้นไปทำหาย แต่คุณก็เอามาแล้วใช่ไหม ถ้าคุณเอา ๒ บาทนั้นไปเผาไฟ คุณก็เอามาแล้วใช่ไหม ถ้าคุณเอา ๒ บาทนั้น ไปซื้อท็อฟฟี่กิน มันก็เอามาแล้วใช่ไหม คุณก็ไม่ได้อะไร ตายแล้วคุณก็ไม่ได้อะไร ๒ บาท คุณก็ไม่ได้

แต่ถ้าคุณไม่เอาเลยนะ ตายไป คุณก็ได้ ๒ บาทนั่นแหละ จะบอกว่า ได้จากคนนี้ คนนี้ ยังเป็นหนี้อยู่นะ ไม่ได้ให้ ๒ บาท ล้างส้วมให้แล้ว ค่าล้าง ๒ บาทก็ไม่ให้ คนนี้ก็เป็นหนี้อยู่นั่นแหละ ชาติหน้ามา ต้องมาจ่าย ๒ บาทนะ อาจจะดอกเบี้ยสูงหน่อยก็ได้ ชาติหน้านี้ เก็บดอก ๒ บาท กว่าจะเกิดมาชาติหน้า มาเจอกันอีก ดอกขึ้นมา ๒ แสน เพราะว่า อัตราดอกเดี๋ยวนี้มันสูง มันทบต้น ๒ แสน ก็มาจ่าย ๒ แสนนั่น จากดอก ๒ บาทก็ได้ นี่คือหนี้ คือเวร คือภัย กันน่ะ คนที่ มีชีวิตอยู่ เสร็จแล้วก็ไปสร้างเวร สร้างภัย อาฆาต พยาบาทกัน เสร็จแล้ว ก็ตามล้างกัน เหมือนในหนังจีน ฆ่ากัน แหม! เมื่อคืนนี้นั่งฟัง เล่าชีวิตล่ะนะ อาตมาไม่ได้อยู่ในวงการนั้นเลย ในวงการที่จะต้อง หักขาโต๊ะได้ ก็มาหวดกันเลย อย่างนี้ล่ะนะ อย่างเล่าเมื่อคืนนี้ อาตมาไม่เคยอยู่ ในวงการนั้น ไม่เคยมีประสบการณ์เลยนะ มันเหมือนหนังจีน อาตมาก็ดูแต่ในหนังนั่นล่ะ แหม! มันเป็นยังไง ในหนังนี่ ประเดี๋ยวก็จองล้างจองผลาญกัน ประเดี๋ยวก็จะต้องแก้แค้น ต้องชำระ ต้องดักหน้าบ้าน มันมาต้องซัดมันเสียก่อน อะไร แล้วก็วิ่งหนีกันตุ้บตั่บ ตุ้บตั่บ เหมือนในหนังล่ะนะ อาตมาก็ว่า มันในหนังนะ ชีวิตมันมีหรือ แล้วมันก็มี มาเล่ากันจากชีวิต ไม่ใช่หนังจีนหรอก ไทยแท้ๆ ก็มาเล่า  เมื่อคืนนี้ ก็มาเล่าอยู่หยกๆกันนะ ไอ้ที่ไม่เล่านั่น อีกเยอะล่ะนะ นี่บุญดีนะ มานั่งเล่าให้ฟัง อยู่ที่นี่ ปรับเปลี่ยนใจ แล้ว เห็นว่าสิ่งนี้น่าสารภาพแล้ว ว่ามันเป็นบาป เป็นภัย เป็นเรื่อง เป็นภัย เป็นเรื่องเลว เราไม่เอาแล้ว แต่ก่อนนี้ เราก็เป็นอย่างนั้นล่ะ ชีวิตน่ะ ถ้าเราอยู่ในวงการอย่างนั้น เราอยู่อย่างนั้น เราก็จะเป็นอย่างนั้นอีกต่อไป จะจองล้างจองผลาญกัน เหมือนในหนังจีนนั่น ทีนี้สุดท้ายก็ตาย ด้วยถูกฆ่า ไอ้คู่อาฆาตนี่แหละฆ่าตาย ก่อนจะตายก็ยัง ตาเหลือกเห็น เอ็งฆ่าข้า แล้วก็ตายลงไป แล้วคุณว่า คุณได้อะไรไป อาฆาต พยาบาท ถึงแม้ว่า ศาลตัดสิน จับคนฆ่าไม่ได้ แต่คนตายนั่นก็ ก็เอ็งฆ่าข้า ก่อนตายข้าก็เห็นเอ็งอยู่หยก ๆ เลย เอ็งซัดข้าลงไปจนตาย มันก็ไปอีกล่ะ กี่ชาติล่ะทีนี้ เกิดมาเจอกัน เฮ้ย! ไอ้นี่ถึงแม้ว่า มันจะจำกันไม่ได้แล้วนะ แต่ว่า ไอ้ญาณลึกๆ หรือว่า สัญญาณลึกๆ ของคนเรา สัญชาตญาณนี่ เขาเรียกว่า สัญชาตญาณก็ตาม ลึกๆนี่นะ เดี๋ยวเถอะ ประเดี๋ยวก็ไปมี วงจักรวงจร ไอ้สิ่งที่มันสัมพันธ์กัน ส่วนมาก มันสัมพันธ์กัน ไอ้ดาวหางที่ ๗๒ ปี ค่อยเดินมา มันก็ ๗๒ ปี มันจะเดินมาเจอกับโลกเรานี่ มันเป็นเรื่องอย่างนั้นแหละ ไอ้ส่วนโคจร ส่วนสัมพันธ์ มันจะเป็นอย่างนั้นแหละ อย่าว่าแต่ดาวเลย วงจรของคนก็เหมือนกันแหละ วิบากกรรม วิบากอะไร ก็เหมือนกันแหละ มีบุพเพสันนิวาสนะ ผู้หญิงคนนี้ กับผู้ชายคนนี้ แต่ปางไหนก็ไม่รู้ มาเจอกัน มาเจอกันอีกแล้ว แหม! ต้องมาซัดกัน เหน็บฝากันอีกแล้ว เหน็บฝา ก็เหน็บไป เราทำมา เอาละไม่เหน็บฝาหรอก หมายความว่า ฆ่ากันด้วยเกสรน้ำผึ้งน่ะ มารักเธอจริง รักเธอจ๋า หวานกันอีก เอ้า! หวานกันอีกไปอีกกี่ชาติ ต้องไปเกิดที่แดนเมืองสวรรค์ น่ะไปเกิดที่ดอกบัว เหมือนวาสิฏฐี กามนิต ก็หวานกันไปอีกกี่ชาติๆ ก็นัวนังอยู่นั่น ปรินิพพานไม่ได้สักทีน่ะ มันจะอาฆาต มาฆ่ากัน มาแกงกัน หรือว่าจะมารักกัน มาดูดดื่มกันยังไงก็แล้วแต่ มันก็มากินกัน มาฆ่ากันอยู่ยังงั้น แหละน่ะ กินกันด้วยเกสรดอกไม้ กินกันด้วยน้ำผึ้ง หรือว่า กินกันด้วยวิธีขย้ำ ขย้ำ เหมือนยักษ์ เหมือนมาร เหมือนเสือ เหมือนสิงห์ มันก็ไอ้อย่างนั้นแหละ แค่นั้นแหละ ไม่ได้หลีกพ้น สิ่งอย่างนี้ ไปได้เลย

เพราะฉะนั้น คุณตายลงเดี๋ยวนี้ คุณเชื่ออย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น ด้วยปัญญาที่ลึกแหลม ปัญญาที่ฉลาดหรือโง่เท่าไหร่ คุณก็ได้อันนั้นเป็นทรัพย์ เป็นสมบัติต่อเนื่องไป นี่พวกคุณก็ได้มา นั่งฟังอย่างนี้ ไม่ไปฟังอย่างที่เขาสาธยาย หา บอกว่านี่ มาหาตังค์เยอะๆนะ ถ้าไปขายสินค้านี่ ขาย แล้วคุณก็จะได้ ไปหาสมาชิก ขายเดี๋ยวนี้ direct sell ขายนี่ คุณจะได้เยอะๆ ได้เยอะจริงๆนะ เสร็จแล้ว ก็เป็นหัวหน้าสายเข้าไปต่อเลย ต่อไปนั่งเอ้เต ไม่ต้องไปขายหรอก เพื่อน ก็ไปเป็นหัวหน้าสายนี่นะ ลูกสายก็ไปขาย นั่งเป็นหัวหน้าสาย ลูกค้า ลูก ลูกสมาชิก ลูกสายมีอีกตั้งร้อยคน ก็ไปนั่ง หามา วันหนึ่งได้มา ก็บวกมาสิ จากลูกสาย ร้อยหนึ่ง จากลูกสาย รายหนึ่ง ได้เขา เขาซื้อมา เขาก็แบ่ง ของเขาไป เอาลูกสายให้มากหน่อย บวกขึ้นมาหาหัวหน้าสายนี่ลดลงๆ ก็ตาม แต่ไอ้ตัวบาน ตัวปลายลูกโซ่ ที่มันเป็นลูกสายนั่น มันบาน ออกไปอีกตั้งเยอะตั้งแยะ แม้แต่ก่อนนี้ เราจะได้ ถ้าลูกสายมี ๒ ชั้น มันก็อาจจะได้แค่ รายละ ๕๐ บาท ลูกสาย ๒ ชั้น มันได้เป็นร้อยนะ หลายร้อย ๒ ชั้น พอมาถึง ๓ ชั้น ๔ ชั้น มันก็จะลดลงมา จาก ๒ ร้อยมาเหลือ ร้อย จากร้อยมาเหลือ ๕๐ จาก ๕๐ มาเหลือ ๑๐ อะไรก็แล้วแต่ ไอ้พวกนั้นก็บานไป จำนวนที่บานไปนี่ หัวหน้าสาย ไม่ได้ลดหรอก นั่งเอ้เตไม่ต้องทำงาน เราก็ได้เยอะ กำไรนะ ว่าอย่างนั้นนะ ที่แท้ หนี้ทั้งนั้นแหละ เอาเปรียบเขา ไม่ต้องทำอะไรก็ยิ่งได้มาก ได้อะไร เขาก็ชอบใจกัน ขูดรีดกันไป ได้บาปกันไปเรื่อยๆๆๆ นี่เป็นวิธีการทางโลก เขาก็ถือว่าสุจริต เขาว่าไม่ได้โกงหรอก คุณเต็มใจให้ แต่เป็นวิธีการ อันฉ้อฉล เอาเปรียบ เอารัด โดยจำนน เสร็จแล้วก็พยายามที่จะบอกกันว่าดี อย่างโน้นอย่างนี้ต่างๆ นานา จะดีหรือไม่ดีอะไรก็ตามใจเถอะ เสร็จแล้วก็คือว่าเอาเปรียบ โดยราคาขาย มันก็บวกไปตั้งเท่าไหร่ๆๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นระบบ การค้าขายแบบของเรา อย่างนี้เป็นต้น เขาก็ทำกันไป เขาเชื่ออย่างนั้นว่าดี เขาก็ไปทำอย่างนั้น อาตมาพูดปากเปียกปากแฉะ คนที่ยังทำอยู่ เขาก็ยังทำอยู่นั่นแหละ ในพวกเรานี่ ก็ตาม อย่าว่าแต่ข้างนอกเลย ข้างนอกเขาไม่รู้ เขาก็ทำอย่างสบายใจแน่ ข้างในเราทำนี่ แล้วก็ได้ฟังแล้วนี่ ปัญญามันก็พอเข้าใจ แต่มันต้องเอา พอทำมาแล้ว เอามาทำบุญ แน่ะ แก้ตัวไปโน่นเลย เอามาทำบุญ แต่ไม่ได้เอามาทำหมดหรอก ได้มาไม่ได้ทำหมดหรอก ก็เอามา ทำบุญบ้างส่วนหนึ่ง ส่วนนอกนั้นก็เอาไป แล้วแต่จะเอาไปใช้ ไปสอยอะไรก็ตาม ยิ่งกว่านั้น โกงกันได้ อย่างเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ขูดรีดเอาได้ บอกแกเอามานะ จะต้องการ ๕ ล้าน มาดื้อๆ พวกนั้นกลัวตาย มันก็ต้องเอามาให้ หรือว่ามีอิทธิพล เกี่ยวเนื่องอะไรกันอีก เยอะแยะ ก็ต้องเอามาจ่าย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ไม่ต้องทำอะไร บอกแกต้องเอามา แล้วพวกนี้ ก็ได้เงินมา อย่างเจ้าพ่อเจ้าแม่ ก็อย่างที่กำลัง เป็นข่าว เป็นคราว อะไรกันอยู่ มีเงินอะไรกันนักหนา มันจะทำอะไรน่ะ แล้วส่วนมาก ไม่ค่อยมีความรู้ อะไรเท่าไหร่หรอก มีแต่วิธีที่จะทำยังไง จะได้เป็นคณะแก๊งค์ มีอำนาจ มีอะไรต่ออะไร ความรู้ที่จะไป สร้างสรรจริงๆ มีความรู้ที่จะทำไอ้โน่น ไอ้นี้อะไรจริงๆ ไม่มี มีแต่ความรู้อย่างในลักษณะบริหาร บริหารชนิดอย่างเจ้าพ่อ เป็นการบริหารขั้น ๑ เหมือนกันนะ และในวิธีการบริหารอย่างเจ้าพ่อนี่ พวกที่เรียนสูงๆมา พวกที่มียศ มีตำแหน่ง มีฐานะ ก็เอาวิธีการอย่างเจ้าพ่อไปใช้ ด้วยเหมือนกัน แต่ฉลาดใช้ แบบมีกลไก อีกอย่างหนึ่ง แบบนี้ แบบที่ไม่ให้คนอื่นเขารู้เท่าทัน แต่ก็มีคณะ มีมือปืน เหมือนกัน มือปืนไม่ต้องจ้างด้วยนะ ไม่ต้องจ้างหรอก ใช้เงิน ดีไม่ดี ใช้เงินหลวง มีมือปืน มีอะไรต่อ อะไร เหมือนกันแหละ ดีไม่ดี ใช้เงินหลวงจ้างมือปืน มือปืนจริงๆด้วย มือปืนประเภทที่ ไม่กเฬวราก อย่างตายไป มือปืนที่ตายไปนี่ ไม่ได้เรียนนี่ นี่ผ่านวิทยาลัย ผ่านมหาวิทยาลัย มือปืนจริงๆเลยนะ ฝึกมาจริงๆเลย ฝึกมา แล้วก็ได้ยิงได้อะไรต่ออะไรมา มีความรู้ ความสามารถในการยิง การหลบ การเลี่ยง อย่างจริงๆเลย คิดดูซิ มันซ้ำซ้อนขนาดไหน เหมือนกันแหละ เจ้าพ่อมีมือปืนคุ้มกัน มีบอดี้การ์ด มีอะไรต่ออะไร มีโน่น มีนี่ มีอะไรต่างๆนานา แถมไม่ต้องจ้างเหมือนเจ้าพ่อจริงๆ ด้วยซ้ำต่างๆ มีอลังการลาภ ยศ ได้ตำแหน่งหน้าที่ มือปืนเลื่อนลำดับ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น นี่มันซ้ำซ้อนเหมือนกัน โลกเหมือนกัน แต่กินลึกยิ่งกว่ากัน อีก

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าจะมีเวรมีภัยมีหนี้มีบาปมีเหมือนกัน จะยิ่งกว่ากันด้วย ยิ่งซ้ำซ้อน ซับซ้อน ประเภทที่เรียกว่า ตัวเองยิ่งไม่ต้องจ่ายด้วย ตัวเองได้เปรียบชนิดที่เรียก ทุกคนเหมือนกับเป็นสุจริต แต่แท้จริงก็คือ ตัวเอาเปรียบ พูดถึงเอาเปรียบ อะไร ทำไม นักกีฬาทีมชาติเป็นยังไง โอ๊ พูดนี่ คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ ก็เป็นใหญ่เป็นโตเป็นรัฐมนตรี เป็นอะไร ก็มีมือปืน ขนาบทั้งนั้นแหละ โอ ยังนึกไม่ออกเลยหรือ โอ้โห นั่นน่ะ มีทั้งนั้นแหละ เหมือนกับเจ้าพ่อนั่นแหละ พูดกันไปแล้ว แต่ยอมรับกันด้วย ยอมรับกันในทางการด้วยนะ เป็นระบบเป็นระเบียบ เป็นวิธีการ ป้องกันอะไร ต่ออะไร ยิ่งไปเป็นประเภทที่เรียกว่า มีศัตรูหรือมีอะไรต่ออะไร เป็นมีฉ้อฉล มีระบบซับซ้อน อาตมาพูดไปมาก ประเดี๋ยวก็จะมากไป เดี๋ยวงานนี้ไม่ตลอดพอดี ที่จริงไม่ใช่กลัวนะ แต่ว่า เราต้องรู้ว่า อำนาจในทางโลกนี่ ทุจริต สุจริตมันมี แล้วอำนาจทุจริตนี่ เขาทำบาปยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปแหย่ให้เขามาทำบาปยิ่งขึ้น เขาก็ได้บาป เพราะฉะนั้น เราไม่อยากให้ใครได้บาปสักคน เพราะฉะนั้น ถ้าเขารู้ เขามีปัญญาจริงๆ เราพูดได้ แต่ทุกวันนี้ ยังพูดไม่ได้ ยังไม่มีปัญญา พูดไปแล้ว ยิ่งหน้ามืด เขายิ่งมืด เขายิ่งจะมาทำร้ายทำลาย ทำบาป ทำกรรม มากขึ้นไป เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ว่าโลกนี้สว่างแค่ไหน ตอนนี้ยังเพิ่งจะตี ๓ ตี ๔ ตี ๕ ก็รู้ว่า ยังมืดอยู่ มันยังไม่พอ ที่จะรุ่งอรุณ มันยังไม่พอที่จะเป็นตอนกลางวัน ตอนเที่ยงอะไร

เพราะฉะนั้น เราอย่าไปทำให้มัน มันผิดจังหวะ เวลา มันต้องให้เขาสว่างซะ ถ้าโลกนี่สว่าง จะไปมีคนอย่างพวกคุณ พูดได้ กระจ่างๆ พูดอย่างเหมือนกับอย่าง กาละที่สว่างๆ พูดแล้ว ก็แจ้งชัดกัน พูดเข้าไปเถอะอย่างนี้ ไม่มีใครมาทำบาปอีก มีแต่จะสว่าง มีแต่จะละบาป บำเพ็ญบุญ ต่อไปอีกอย่างนี้ พูดได้เปิดเผย เดี๋ยวนี้เปิดไม่ได้หรอก มันมืด เสร็จแล้วเขาก็มาทำบาปยิ่งขึ้น เราก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้ใครทำบาปด้วย เพราะฉะนั้น ที่พูดไปนี้ ไม่ใช่ว่าเกรง ไม่ใช่ว่ากลัวอะไร พูดจะต้องรู้กาลเทศะอะไรต่ออะไรต่างๆนานา แต่พูดไป สำหรับเรา ในกาละนี้พอพูดได้ สำหรับพวกเรา อาตมาไปพูดอย่างนี้ ในบางที่พูดได้ที่ไหน พูดอย่างนี้ จะวิ่งหนีไม่ทันล่ะนะ ถ้าไม่หนี ก็ตายอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้ พูดไม่ได้

เอ้า มาเข้าเรื่องศรัทธากันใหม่ ตั้งต้น ที่ศรัทธา คือตัวเชื่อนี่แหละเป็นหลักที่สุด เอาลองอ่าน ไม่ค่อยได้อ่านหรอก อาตมาก็พูดไปเรื่อย พวกคุณก็ไปอ่านไปทวนเอาก็ได้

ศรัทธา ฟังดีๆ ท่านอธิบายไว้นี่ มันชัดแล้ว อริยทรัพย์๗ นี่ ศรัทธา คือเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ ของพระตถาคต เชื่อที่จะเป็นทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ หรือเป็นทรัพย์แท้ที่ดี จะต้องเชื่ออย่างนี้ เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่คนที่ไม่เอาใจใส่นี่ ไม่ได้ศึกษาธรรมะ เป็นพุทธศาสนิกชน ด้วยยี่ห้อ พ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวด เป็นพุทธ แต่ไม่เคยมาศึกษาศาสนาพุทธ ไม่เคยศึกษาว่า พระพุทธเจ้ามีจริง ไม่เคยศึกษา พระพุทธเจ้าสอนอะไร พระพุทธเจ้าสอนสิ่งนั้น น่าเชื่อถือ น่าติดตาม น่าเอามาปฏิบัติตาม จนจะได้เชื่อเป็นอินทรีย์ เป็นพละ เป็นการเชื่ออย่างเชื่อ ศรัทธา ก็คือเชื่อถือ ศรัทธินทรีย์ก็เชื่อฟัง ศรัทธาพละ คือเชื่อมั่น มันเชื่อ จนกระทั่งมันเชื่อจริงเลย ไม่มีเปลี่ยนแปลง เชื่ออย่างมีปัญญา เชื่ออย่างเข้าใจ อย่างลึกซึ้ง เป็นญาณทัสสนวิเศษเลย กว่ามันจะเชื่อ มันจะต้องมาพิสูจน์ ทุกคนแหละ ต้องมาพิสูจน์ ถ้าไม่พิสูจน์แล้ว มันไม่ถึงเชื่อมั่นหรอก ที่เราเชื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ให้ละให้เลิกให้ลด ให้ทำอย่างนี้ กายวาจาใจ อย่างนี้ อย่างนี้เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อย่างพวกคุณ มาฟังอาตมาพูด เอาของพระพุทธเจ้า มาพูด พวกคุณฟังแล้ว คุณเชื่อว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ อย่างที่อาตมาบอก คุณเชื่อ แล้วคุณก็มาปฏิบัติตาม คุณก็ลดก็ละ ก็เลิกมาตาม แล้วคุณก็มามั่นใจว่า จะมีชีวิตอย่างนี้ไปจนตาย ตายกับอย่างนี้ เราจะตายกับชีวิตอย่างนี้ ตายกันอย่างที่ ไม่มีเงินสักบาท สวยกว่า ตายแล้วมีเงิน อีกตั้งไม่รู้กี่หมื่นล้าน แสนล้าน ไอ้กี่หมื่นล้าน แสนล้านนี้ ยังเป็นของตัวของข้าอยู่ ยังไม่ได้บริจาค ออกไป ยังไม่ได้จ่ายให้ใครเลย อย่างเก่งก็แค่ ทำพินัยกรรม ซึ่งอาตมาเคยบอกไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พินัยกรรม ไม่ใช่ทาน พินัยกรรมนั่นเป็นความจำนน ของคนที่ว่า กูยังไม่ตาย เอ็งอย่าเอาของกูไป ใช่ไหม พินัยกรรม มันคือความจำนนของคนขี้หวง กูยังไม่ตาย จ้างเอ็ง เอ็งก็ยังไม่ได้ กูตายแล้ว เอ็งถึงเอาไป ตามที่กูสั่ง ใช่ไหม สั่งว่ายังไง ก็ให้เป็น ไปตามพินัยกรรมนั้น ถ้ากูยังไม่ตาย อย่าหวัง ไม่ใช่การทานเลย เป็นการจำนน เป็นความจำนน ถ้าไม่เขียนพินัยกรรมไว้ ตายไปแล้ว เขาเอาไปไหม ลุกขึ้นมาแย่งเขาไม่ได้หรอก เขาเอาไปเผาแล้ว ลุกขึ้นมาแย่งเขาไม่ได้หรอก เขาต้องเอาแน่ๆ นอกจากจะมีลูกดี มันก็แบ่งกัน มันก็ไม่ทะเลาะกัน มันก็ไม่ฟ้องกัน ถ้ามันลูกไม่ดี มันก็ทะเลาะกัน แย่งกัน โลภโมโทสัน ฟ้องกัน ฆ่าแกงกันโน่นแหละ มันก็เรื่องของคุณล่ะ มีลูกเลว พินัยกรรมไม่มี มันก็จัดการ แบบนั้น เขาต้องเอา เขาต้องเอาแน่ๆ มันเป็นเรื่องจริงๆ

เพราะฉะนั้น คุณเอง คุณมาเชื่อว่า เมื่อตายไปยิ่งไม่มีสักบาท อาตมานี่ แหม ต้องระวังที่สุดเลย ตายแล้ว ปรากฏว่า สมณะโพธิรักษ์ตายแล้ว ปรากฏว่าได้ตรวจทรัพย์สินแล้ว มีอยู่ ๕ บาท เสียชื่อ ตายเลย โอ้โห! แม้แต่ ๕ บาท อาตมาไม่ต้องการที่จะตายมีทรัพย์ศฤงคารอะไรเลย มีเพชรอยู่ หนึ่งตลับ สะสมทองไว้อีกหนึ่งกล่อง มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินอยู่อีก ๑๐ แปลง โอ๊ย! อับอาย ขายขี้หน้าตาย อาตมาไม่เชื่อนะว่า การตายแล้วอาตมามีสมบัติเป็นของตัว ของตนแล้ว คือความเจริญ คือทรัพย์ อริยทรัพย์ที่ดี อาตมาไม่เชื่อ อาตมาเชื่อว่า การตายโดยไม่มีอะไรเลย สุญญตาเลย ยิ่งวิเศษ อาตมาเชื่ออย่างนั้น เชื่อจริงๆ เชื่อไม่มีถอย เชื่อไม่มีเปลี่ยนแปลง ขอย้ำยืนยันว่าเชื่อ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว

อย่าว่าแต่ตายก่อนตายเลย เดี๋ยวนี้ ไม่มีเดี๋ยวนี้ ก็เป็นทรัพย์ เดี๋ยวนี้แล้ว อาตมามีสุญญตาเดี๋ยวนี้ อาตมาก็มีทรัพย์เดี๋ยวนี้ เชื่ออย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจะอยู่ได้ไหม คุณจะทำได้ไหม ไม่มีเลย แหม! ไม่มียังไง มีกระติก อยู่ในนี้ใบหนึ่งนี่ ก็มี จะถือว่ามีก็มี แต่ถ้าใครมาเอาไป ไม่ร้องไห้ จริงๆ ไม่เสียดาย ไม่มีก็หากะลาใหม่ มาใส่กินใส่ใหม่ หาไม่ได้ก็เอามือฟายเอา กินน้ำแทน ไม่ต้องมีกระติกก็ได้ อาตมาว่าอาตมาเข้าใจและทำใจ ไม่หวงไม่แหน ไม่มีไม่เอา นี่ใครจะเอาก็เอา ใครไม่เอา ให้ยืมใช้อยู่ ก็เอาน่ะ ถ้าอาตมาเอง อาตมาให้ไอ้นี่ใครไปนี่นะ อาตมาว่าอาตมาไม่เดือดร้อน ไม่เดือดร้อน แต่คนที่จะเดือดร้อนแทนอาตมามีมากกว่า ให้เขาไปทำไมล่ะ เดี๋ยวก็ต้องหามาให้ใหม่อีกล่ะ คนจะเดือดร้อนแทนอาตมาน่ะมี ให้เขาไปอีกล่ะ ทำมาให้ แล้วก็มาเอาไปอีกล่ะ แล้วก็ไม่มีใช้อีกล่ะ แล้วก็มา หรือผ้าที่อาตมาห่มอยู่นี่ คนเขาจะมาเอาไป เขาก็มาขโมยไป หรือจะมาขอไป ให้เขาไป เอาไปอีกแล้ว ต้องหามาให้อีกแล้ว แล้วไม่ห่มอย่างนี้ จะทำยังไงล่ะ ก็ต้องหามาให้ห่มอีกแล้ว เอา ต้องรักษาไว้ก่อน มันก็เดือดร้อนคุณ เพราะว่า เราสมควรจะต้องนุ่ง จะต้องห่มแค่นี้  เราสมควร ที่จะต้องมีแค่นี้ เอ้า! แว่นตาให้เขาไปอีกแล้ว เอ้า! อ่านหนังสือก็ไม่ออก แล้วก็ไม่ได้รับอะไรต่ออีกน่ะซี ก็ต้องไปหาแว่นตามาให้ อีกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจะต้องใช้ จะต้องอาศัย ไอ้พวกนี้ก่อน ก็อาศัย พอสมควร รักษาให้ดี อาศัยไป พอสมควร ไม่ใช่ของเรา แต่เราต้องอาศัย อาตมาเคยพูดหลายทีแล้วว่า อาตมาไม่ใส่แว่นตาก็ได้ แต่อาตมาใส่แว่นตา เพื่อคุณนะ ฟังเข้าใจไหม ใส่แว่นตาเพื่อคุณ เพื่อว่าจะได้ใช้ว่า เออ! ได้นั่นได้นี่ ไม่ใช่ว่า ใส่แว่นตาแล้วก็ดี จะได้เห็นรูปสวยๆ รูปที่สมใจ ถ้าไม่อย่างนั้น เห็นไม่ถนัด เห็นรูปที่สมใจ ไม่ถนัด ก็เลยต้องซื้อแว่นตามาใส่ ไม่ ไม่ๆๆๆ อาตมาไม่ได้มาเสพอันนั้น

หรือแม้แต่อาตมาเคยพูดว่า อาตมากินข้าวเพื่อคุณ แหม! น่าหมั่นไส้ ยังกินข้าวเพื่อคุณเสียอีก กินข้าว อาตมากิน แต่เพื่อคุณ ไม่ใช่เพื่ออาตมาหรอก มันมากไปมั้งล่ะนะ มันพูดอะไร มันมากไปมั้ง กินข้าวเพื่อคุณเสียอีกแน่ะ ก็กินเพื่อให้ชีวิตมันมีอยู่น่ะ เมื่อชีวิตแข็งแรงมีอยู่ ก็จะได้ทำงาน ทำงานก็คือ อย่างนั้นแหละ ก็งานแต่ละวันแต่ละคืนก็อย่างนี้ ก็ทำอะไรที่จะเป็นอะไร เพื่อให้พวกคุณ ก็ใครๆทุกๆคนแหละ ที่มันจะเป็นกอบเป็นกำ เป็นสังคมมนุษย์ที่เจริญ มีความรู้ มีการนำพา มีอะไรต่ออะไร ก็แล้วแต่เถอะ ทำอะไรได้ก็อันนั้นล่ะ อย่างนี้มีชีวิตอยู่ก็เพื่ออันนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ตาย ถ้าไม่กินก็ตาย ตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น ยังไม่ตาย มันมีประโยชน์ พวกคุณก็ต้องมาเลี้ยงไว้ เอาข้าวมาให้กินไว้ เอ้า! กินให้หน่อยน่ะ กินให้หน่อยน่า ไม่กิน บางทีก็งอนด้วย ไม่กิน ของฉันดีนะ อย่างดี มาให้กินนี่ กินแล้วจะอายุยืน แต่บางคนก็ไม่รู้หรอก เอามาให้กิน บางทีอายุสั้น ไอ้อย่างที่เอามาให้กินบางอย่าง เอามาถวายให้อาตมากิน บางอย่างอายุสั้น คือไปถูกเขาหลอกมาข้างนอกว่า อย่างนี้ดีนะ แล้วก็เอามาให้ อาตมาบอก ไอ้อย่างนี้ ไม่ดีหรอก ไอ้อย่างนี้หลอกนี่ ใส่สารพิษมาตั้งเยอะ ไม่กิน คนรู้ก็บอก เออ! เหรอ ก็ไม่ยอมให้ถวาย เพราะเจตนาดี เขาต้องการให้กินให้อายุยืนให้ดี เอาของดีๆมาให้กิน จะให้อายุยืน ไม่ใช่เอาของมาให้กิน จะให้อายุสั้น ไอ้อย่างนั้น มันต้องแบบ นิยายจีนแบบฮ่องเต้ อะไรอย่างนั้นล่ะนะ ให้กินแล้วก็ให้อายุสั้นลงๆ มันจะแย่งบัลลังก์กันอะไรก็แล้วแต่เขา

คุณจะเชื่ออย่างไร นี่แหละ พูดเน้นตัวศรัทธานี่แหละ เป็นทรัพย์ตัวแรกจริงๆเลย เป็นอินทรีย์ เป็นพละ อินทรีย์ ๕ ก็มีศรัทธาเป็นตัวแรก มีปัญญา เป็นตัวร่วม ตัวฉลาดหรือโง่เท่าไหร่ๆ ก็แล้วแต่ แต่ละคน จะต้องมีตัวตัดสิน ตัวปัญญาของตัวเองทุกคน มีมากมีน้อย ก็ทั้งนั้นแหละ จนกระทั่งเขาว่า เชื่องมงาย ก็ตาม มันก็ของคุณนั่นแหละ คุณก็มีปัญญาของคุณ คุณจะเชื่อแล้วก็ งมงาย หรือว่าไม่งมงาย หรือคุณจะเชื่อ เพราะว่าคนโน้นคนนี้ คุณได้ตัดสินแล้ว ได้พิจารณาแล้ว ได้เลือกได้เฟ้นแล้ว ได้ตรวจได้สอบ ได้พิสูจน์อะไรก็ตามใจคุณเถอะ คุณก็มีเท่าที่คุณมี คุณมีเท่าไหร่ ก็ของแต่ละคน แล้วสุดท้ายคุณก็เชื่อ แล้วคุณจะตายไปด้วยความเชื่อ มีชีวิตอยู่ขณะนี้ ก็มีชีวิตอยู่วินาทีนี้ ก็อยู่ด้วยความเชื่อ

เพราะฉะนั้น คุณเชื่ออย่างโลกๆ เอ้า! ทวนไปอีกย้อน โลกพาให้ไป เป็นคนที่จะโลภโมโทสัน หาลาภยศสรรเสริญให้แก่ตัวเองให้ได้มากๆ เชื่อว่า อย่างนี้วิเศษ คุณก็ไปเสียเวลา แรงงาน ทุนรอนกันอยู่ อย่างนั้นแหละ ไปรับใช้ เขาไป ก็ฉันก็จะได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญ ได้เอาไปเสพ โลกียสุขอยู่ อย่างนั้นแหละ เชื่ออย่างนั้น มีอีกนับไม่ถ้วนในโลกนี้ ไม่รู้กี่พันล้าน เขายังเชื่ออย่างนั้น ไอ้ที่มาฟังอาตมาพูด และที่อาตมาพูด อาตมายืนยันว่า อาตมาเอาของพระพุทธพจน์ เอาของ พระพุทธเจ้า อาตมาเชื่ออย่างนี้ แล้วอาตมาก็บอกคุณอย่างนี้ ท้าทายให้คุณมาพิสูจน์อย่างนี้ คุณจะเชื่อตามหรือไม่ ก็เรื่องของคุณ คุณจะเอาอย่างนี้ไหม เอ้อ! มีมาเอาบ้างเหมือนกัน นี่ ก็มีมาเอาบ้าง ไอ้ที่ไม่มีมาเอา เชื่ออย่างโลกนั่น อีกเยอะเลย ไม่ได้เชื่อตถาคตโพธิศรัทธาหรอก ไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้าหรอก พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่างนี้ๆๆ ไม่ได้เชื่อหรอก ถึงแม้นั่งอยู่ในที่นี้ ก็ยังคลางๆ แคลงๆอยู่ ก็ยังมี อาตมาพูดอย่างนี้แหละ นั่งอยู่ในนี้ ฟังอาตมาพูดอยู่เดี๋ยวนี้ จริงหรือ ไอ้อย่างที่พ่อท่านพูดนี่ มันจริงหรือ เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่ง ตอนนี้เชื่อ บางทีนะ นี่มานั่งอยู่ในนี้ ไปอยู่กันไปแบบนี้ พากเพียรพิสูจน์ไปพิสูจน์ไป อื๊ย! ทางโน้นมันดีกว่า ออกไป ออกไปหลายแล้ว ขอให้ไปหาเงินดีกว่า อยู่ดีๆไม่เชื่อว่ามีคู่นี่มันมีทุกข์ ไม่เชื่อ เชื่อว่ามีคู่มีสุขน่ะ ไปมีคู่อีก เอ้า มีลูกมีเต้ามาอีก ไปอย่างโน้นดีกว่า เสร็จแล้วก็เป็นข้าทาสโลกเขาอีก ต่อไปซ็อกๆๆ ก็ต้องเอา มีลูกก็ต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงลูก ก็แสนลำบาก ทุกวันนี้ จะให้มันกินมันอยู่ก็ลำบากแล้ว แล้วก็ไอ้ผี ที่จะดึงลูก ลงไปทางต่ำอีก ก็เยอะเลย โอ๊ย! ตีกันฆ่ากัน สอนกันก็ไม่เชื่อ ทั้งๆที่เราก็เชื่อว่า อย่าไปเป็น อย่างนั้นเลย มันก็ไม่เชื่อ มันจะไปกันใหญ่ น่ะ เยอะ ดึงทึ้งกันอยู่นี่แหละ กว่าจะมาเชื่อว่า พระพุทธเจ้า สอนอย่างนี้ นี่ ตถาคตโพธิศรัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่าเพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ อาตมาเมื่อวานนี้ อธิบายว่า เป็นผู้ที่หมดความลึกลับ เป็นผู้ที่รู้หมดแล้ว อะไรๆก็ไม่ลึกลับ เมื่อกี้นี้ ก็สวดนะ อรหัง แปลว่าอะไร เป็นผู้ที่ไกลจาก กิเลส เป็นผู้ที่หมดกิเลสแล้ว ที่จริงก็เหมือนกันแหละ หมดกิเลส ดับแล้ว พอรู้แล้ว ก็หมดกิเลส จนกระทั่งเห็นว่าตัวเองหมดกิเลส นั่นก็คือตัวไม่ลึกลับ กระจ่าง แจ้งเลยทีเดียว กิเลสคืออะไร เราฆ่ากิเลสหมด หมดแล้วเป็นยังไง อารมณ์มันสุญญตา เป็นยังไง ในจิตใจที่มัน หมดกิเลส มันเป็นยังไง มันมีความสุข สงบ มันไม่ต้องเสพ มันไม่ต้องบำเรอ ไม่ต้องมีสุข มีทุกข์อีก มันเป็นยังไง กูจะอรหะ กูจะไม่ลึกลับ กูจะชัดเจนแจ้งจริงๆ เห็นของจริงในความเป็นจริงนั้น อย่างนั้นๆ อารมณ์ที่ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ อย่างโลกีย์เราเคยเป็น เปรียบเทียบได้ ของใครของมัน เคยมาทั้งนั้น สุข ทุกข์อย่างโลก โลกๆ อย่างโลกีย์ก็เคย เสร็จแล้วไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ เป็นความสุข อย่างสงบ แล้วก็เป็นสภาพที่มีวิริยะ มีอินทรีย์สูง มีศรัทธาเชื่อเลยว่า ว่าเราเป็นความเพียรดีแล้ว ก็เรามาเพียร จนกระทั่ง มีวิริยินทรีย์ วิริยพละ มีตัวปรารภความเพียร เป็นผู้ที่เห็น การปรารภ ความเพียร เป็นคุณค่าของมนุษย์ เป็นความประเสริฐของมนุษย์ มีวิริยารัมภะ หรือว่า มีความขยัน หมั่นเพียรดีๆ  มีสติดีๆนี่ดี เป็นคนมีสติ  สติอย่าง สติสัมโพชฌงค์ หรือเป็นสติปัฏฐาน ๔ ด้วย เป็นสติอันสมบูรณ์ด้วย เป็นสติที่สติพละ เป็นสติชั้นสูงด้วย จะมีสติรู้โลก แล้วมันก็ไม่ได้ มาบังคับ สติมันรู้เอง มันรู้ว่า เห็นคนนั้นคนนี้มีสติรู้ คนไหนมีกรรมกิริยาอย่างไร กรรมกิริยา อย่างไรเป็นอกุศล อันไหนเป็นทุจริต อันไหนเป็นสุจริต มีญาณ มีปัญญา ปัญญานี่จะแนบอยู่กับ ศรัทธา กับวิริยะ กับสติ กับสมาธิ เสมอ สอดร้อยเนื่องกันอยู่ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ มันไม่ขาด จากกันหรอก มันไม่ทำงาน คนเดียวหรอก สติมันก็มีศรัทธาอยู่ สติมันก็มีวิริยะอยู่ สติมันก็มีสมาธิอยู่ มันไม่ร่องแร่ง ซัดส่าย ฟุ้งซ่าน มันไม่หรอก สมาธิตั้งมั่น ไม่สับไม่สน ไม่วุ่นไม่วาย มีระดับ มีอะไร ต่ออะไร เรียบเรียง เป็นระบบเป็นระเบียบดี คนที่มีความบรรลุธรรมสูง เท่าไหร่ๆ ก็ยิ่งจะมีระเบียบ มีระบบ มีอะไร สอดร้อย ไม่ยุ่ง ไม่วุ่นวาย ไม่สับสน ไม่ห่วง ไม่กังวล ไม่กระฉึกกระฉัก ไม่ยึกไม่ยัก อะไรหรอก ยิ่งเป็นระบบราบรื่น ร้อยเรียงดู สูงต่ำ ในนอกอะไรๆเป็นระบบ แล้วซับซ้อน ลึกซึ้ง ยิ่งกว่าที่จะพูด เป็นรูปธรรมน่ะ ลึกซึ้งยิ่งกว่าเป็นรูปธรรม มันเป็นนามธรรมที่ไว ที่เร็ว ที่ละเอียด ที่มากชั้นมากเชิง ยิ่งกว่ารูปธรรม เราเข้าใจรูปธรรมว่า มันเหมือนกันไหม เหมือนกับหญ้ามุงกระต่าย เหมือนอะไร ที่สลับ ซับซับซ้อนวุ่นวาย ปนเปกัน สิ่งที่เป็นนามธรรม มันปนได้มากกว่านั้น แต่เป็นระเบียบ ตามความเป็นจริง ของผู้มีฐานะสูง ตามขั้นตอนได้ยิ่งกว่านั้น จึงเกินกว่าจะคาดเดา เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาเอง มันจะมีอินทรีย์ มีพละ มีอะไรต่ออะไรไปอย่างนี้ เป็นศรัทธา เป็นวิริยะ เป็นสติสมาธิ มีปัญญา เป็นพระอริยะโสดา สกิทา อรหันต์ อย่างไรๆ ก็เป็นอย่างนั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา พระพุทธเจ้าเป็นคน จนท่านตรัสรู้เอง เราก็เป็นคน เราก็มาศึกษา แล้วก็พิสูจน์ เราก็ตรัสรู้มาเรื่อยๆ ตรัสรู้โสดาภูมิ ตรัสรู้สกิทาคามีภูมิ ตรัสรู้อนาคามีภูมิ ตรัสรู้อรหัตตภูมิ ตามขึ้นมาเหมือนพระพุทธเจ้า สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านพา สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้ ท่านก็ไม่เคยบอกว่า คนอื่นจะไม่ได้อย่างท่าน แต่ยากนะ ถ้าถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้านี่ ยาก แต่เอาเหอะ ยังไม่ต้องถึงขั้นพระพุทธเจ้า เอาแค่โสดาก่อน แล้วก็ค่อยมาพิสูจน์ เอ้า! โสดาก็พิสูจน์ ได้แล้ว เอ้า! ไปสู่สกิทา สกิทาเป็นยังไง ก็รู้ ถ้าได้จริง ก็จะเชื่อ เอ้า! พิสูจน์อนาคา พิสูจน์อรหันต์ พิสูจน์โพธิสัตว์ พิสูจน์พระปัจเจกพุทธะ พิสูจน์อรหันตสัมมาสัมพุทธะ พิสูจน์ซี ยากขึ้นเรื่อยๆแหละ จะเอาขนาดไหนก็เอา พิสูจน์ได้ก็เชิญ ได้แล้วของเราเอง การพิสูจน์เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ มันต้องได้ที่ตัวเรา ใครเขาบอกว่าไม่มีเงินไม่มีทองแล้วเป็นสุข คุณฟังไปตอนนี้ ฟังด้วยเหตุด้วยผล อูว์! ดีแต่เสร็จแล้วไปไม่มีเงิน ไม่มีทองแล้ว มันทุกข์ชะมัดเลย ไม่ได้หรอก มันต้องไปหาเงินมา อย่างน้อย ไม่มีในกระเป๋าอุ่นสักพันไปนี่ ออกจากบ้านแล้ว ไม่มีสักพัน ติดกระเป๋านี่ ตาย มันทุกข์ตาย ก็ของคุณ

แต่หลายคนบอกว่า ไม่ต้องมีเลยก็สบาย ไม่ยากอะไร ดีไม่ดี ก็เดินเอา อย่างท่านมุทุกันโต บอก ก็เดินเอานี่แล้ว มันจะไปได้เรื่องอะไร ไอ้ พวกขึ้นรถขึ้นรานี่ มันยังโง่ ก็ไปข่มคนอื่นเขาต่อ คนขึ้นรถขึ้นรา มันยังโง่ เอาเถอะ คุณฉลาด คุณก็เดินไปจนตายก็แล้วกัน ไม่เป็นไรหรอก เขามีรถแล้ว คนเขาขึ้นรถ ผมขึ้นรถ คุณเดินก็เดินไป ไม่เป็นไร ผมขึ้นรถ ผมได้ทำงานมากกว่าเดิน เอ้า! บอกว่าเดินมันก็ได้ทำงาน คุณก็เดินทำงานก็แล้วกัน ก็ไม่เป็นไร ก็ดีเหมือนกัน ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ได้ว่าอะไรล่ะนะ แต่ทีนี้ใครจะข่มใคร ผมขึ้นรถ ผมไม่ไปข่มคุณเดิน คุณเดินเก่งผมเชื่อ ผมก็เดินได้ ผมถ้าจะเอาอย่างนั้น ก็เอาได้ แต่ว่ามันไม่ทันการ

ทุกวันนี้ ... นี่เขาจะให้ไปเชียงใหม่ วันที่ ๑๙ นี่ วันที่ ๒๐ เขาจะประชุม อาตมาก็คิดวันแล้ววันเล่า คิดอีก ดู เอ๊! งานเรามันไม่ได้ วันที่ ๒๑ ก็มีประชุมทางนี้ วันที่ ๑๘ ก็ขึ้นศาล วันที่ ๑๙ ไป ก็ต้องไปตอนเย็น รีบไป ก็ต้องไปป่าแป๋ ไปภูผา ต้องไปดูโน่นอีก งานทางโน้น ถ้าไป เสียเที่ยว ไปได้ยังไง ตั้งหลายร้อยกิโล เป็นพันกิโล ต้องไป ไม่อย่างนั้น มันก็ไม่ได้ เสียเวลา ทางนี้ ก็ต้องรีบ วิ่งมา มันมีล็อคอยู่ วันที่ ๒๑ คิดแล้วคำนวณแล้ว ไปไม่ได้ ก็เลยบอกเลิก ไปไม่ได้ มันไม่ทัน ไปนั่งรถ ๒ แถวอยู่ ไปนั่ง ๒ แถว ไปนั่งรถทัวร์ รถอะไรอยู่ อย่างดีก็ขึ้นเครื่องบินไป แพงเหลือเกิน ไม่ไหวหรอก ไม่คุ้ม เอาวันหลัง น่ะ งานการมันรวดมันเร็ว มันอะไรๆ ก็ต้องใช้อะไรไป ตามสมเหมาะสมควร อะไรพวกนี้ มันก็ดีไปกันคนละแนว คนละอย่าง มันต้องมี

อย่างพระกัสสปะ ท่านเอาแต่เดิน แล้วท่านกัสสปะ เอาเดินทั้งชีวิตเลย แต่ที่จริง สมัยโน้น ก็เดินทั้งนั้น เพราะว่ามันไม่มีเครื่องยนต์ กลไก อะไรอย่างสมัยนี้ ก็เดินกันแทบทั้งนั้น พระพุทธเจ้า ก็เดิน แต่ว่าท่านเดินเลาะป่า ไม่ค่อยเข้าบ้านเข้าเมือง ก็ไม่เป็นไร ก็เป็นประโยชน์ อย่างหนึ่ง แต่ไม่มากหรอก อย่างนั้น อยู่ในกรุงเยอะ พระในกรุงเยอะ พระอย่างนั้นก็มีตัวอย่างบ้าง ถ้าไม่มีเสียเลย ก็ไม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างล่ะ ต้องมีทุกด้านทุกๆอัน แล้วก็มีประโยชน์ทุกอัน ใครเชื่ออย่างไรมาก แล้วก็เห็นคุณค่า เห็นแล้วก็เน้น เน้นทำ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนอย่างนี้แหละ แล้วเราก็จะมาพิสูจน์ ถือว่า ขยายความของท่านว่า เมื่อตรัสรู้เองโดยชอบ พร้อมด้วยวิชชา และ จรณะ พร้อมด้วยวิชชา วิชชามีทั้ง ๙ ประการหรือ ๘ ประการ วิชชา ๘ แต่อาตมา มาถือวิชชา ๙ เขาถึงหมั่นไส้มาก หนอย โบราณาจารย์สอนมาวิชชา ๘ ไอ้นี่ มันมาดันบอกวิชชาน่ะ เขาก็ว่าอาตมาชักแอ๊ค แอ๊ค แหม ทำเป็นวิชชา ๙ ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้พูดเอาลอยๆนะ อาตมานับฌาน เป็นวิชชาที่ ๑ เพราะในฌานต้องมีปัญญา ต้องมีญาณ ถ้าไม่มีฌาน ไม่มีปัญญา ไม่มีญาณไม่ได้ แล้วต้องมีฌาน ไม่มีฌาน ไม่มีวิมุติ ฌานคือการเพ่งเผากิเลส ถ้าไม่มีการเพ่งเผากิเลส ไม่ได้เกิดการบรรลุธรรมอะไร ต้องเพ่งเผากิเลส แล้วก็เห็นว่า เราได้ลดกิเลส เมื่อลดกิเลส ถึงจะเกิดอันอื่นต่อไป ถึงจะเกิดวิปัสสนาญาณ ถึงจะเกิดอิทธิวิธี ต่อไปจนกระทั่ง อาสวักขยญาณ วิชชาถึงข้อที่ ๙ คือ อาสวักขยญาน แต่เขาไม่นับ ฌานเป็นวิชชาที่ ๑ ก็มันเรื่องของเขา อาตมาไม่สงสัยนะ ว่า คุณไปนับเอา ญาณทัสสนะ หรือว่าปัญญา เป็นตัวที่ ๑ คุณไม่เอาฌานด้วย เป็นตัวที่ ๑ คุณไปนับเอาวิปัสสนาญาณ หรือว่าญาณทัสสนะ เป็นอันที่ ๑ แล้วก็ไล่ไปจนถึง อาสวักขยญาณ เป็นอันที่ ๘ อาตมาก็โอ.เค. ไม่ได้ว่าอะไร ก็เห็นด้วย แต่ อาตมาแถมอีกอันหนึ่ง คุณไม่เอา ก็ทิ้งเอาไว้ อาตมาเอา ก็เป็นวิชชา ๙ ก็เท่านั้นเอง แต่เขาหมั่นไส้ ทำเป็นแอ๊ค รวบรวม เขาว่าเป็น ๘ ตัวอยากเด่น เลยไปเอาเป็น ๙ เอามาต้องเอามาใช้ ต้องมาศึกษา แล้วฌานก็ต้อง เป็นฌานที่ถูกต้อง เป็นฌานของพระพุทธเจ้า ให้ถูกอย่างนี้เป็นต้น

มีวิชชา ๙ มีจรณะ ๑๕ เสด็จไปดีแล้ว เพราะฉะนั้น คุณจะไป ต้องไปให้ดี ระวังนะ ก่อนที่จะไป ขณะนี้นั่งอยู่นี่ เดี๋ยวพอลุกจากนี่แล้ว มีศรัทธาเท่าไหร่ ฟังธรรมแล้วจะเกิดศรัทธาเท่าไหร่ คุณเดินออกจากนี่ไป คุณก็จะมีศรัทธาตัวนั้นไปจริงๆ แล้วมันจะเป็นตัวศรัทธาที่เชื่อมั่นหรือเปล่า ยังไม่รู้ อาจจะเชื่อพอสมควรเชื่อถือ แต่ว่าถือ บางทีถือไม่มั่นหรอก บางทีก็ไปทิ้ง เชื่อ ถือ ถือไปหน่อย พอออกจากศาลาไป ทิ้งแล้ว ก็ได้ บางคนอาจจะถือไว้ได้วันหนึ่ง ทิ้ง บางคนไม่ถือไปเลย วางไว้นี่เลย เชื่อตอนนี้ พอลุกจากนี่ไป กองอยู่นี่ ไม่เอาไปด้วยล่ะ ไม่เชื่อ เชื่อตรงแค่นี้ เชื่อตอนฟังนี่ พอลุกจากนี่ไป ไปแล้ว ไปเชื่อผี ไปเชื่อเหล่านรกไป ก็มี แต่ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง พวกเรา อาตมาว่า คงไม่ศรัทธาขี้เก๊ ขนาดนั้นมั้ง คงถือไปมั่งล่ะมังฮึ ออกไปจากนี่ พอปลุกเสกฯแล้ว บางทีคึกคัก แหม กลับจากนี่ ๗ วัน ปลุกเสกฯแล้ว แหม ถือไปเยอะเลย คือไปเชื่อถือเอาที่เชื่อไปเยอะเลย ไปถึงบ้าน พอเข้าบ้าน เจอหน้าลูกเมีย เจอหน้า คนนั้น คนนี้ ทิ้งไว้หน้าประตูเลย เข้าบ้านไป โอ๊! กลายเป็น คนในบ้านชิบ ไปในทางโลกอีกเลย อุตส่าห์ถือไปจากนี่ไปถึงบ้านนะ มันหายเอง ไม่ได้ทิ้งหรอก ว่าอย่างนั้น มันหายเอง แสดงว่าตะกร้ารั่วจังเลยล่ะนะ กว่าจะถือไป ถือไป เอ้า! หายหมดเลย หายเองว่าอย่างนั้น รั่วทิ้งหมดเลย นี่ พูดกันภาษาไทยนะ ฟังคุณเข้าใจแล้วเป็นนามธรรม เป็นเรื่องจริงนะ นี่พูด อะไรเข้าไป รายละเอียดเข้าไป คุณจะฟัง จะได้ยิน ได้ฟัง แล้วจะได้เห็น จริง ว่า เอ้อ! จริงๆนะ พวกเรานี่ พวกตะกร้ารั่ว หรือพวกขี้หลงขี้ลืม พวกที่ไม่เอาถ่านเชื่อหน่อยเดียว แล้วก็ทิ้งง่ายๆ หรือคุณจะเชื่ออย่างลึกซึ้ง เชื่อแล้วคุณก็เอาไปปฏิบัติตาม ไปตั้งศีล บอกแล้วว่าศรัทธา ศรัทธา

คุณจะไปดี ไปดีเพราะว่าคุณศรัทธาตัวแน่นพอหรือไม่ มีปัญญาเข้าใจชัด ว่าแน่ จนกระทั่ง เอาไปเป็นศีล เป็นตัวรากฐานแห่งการปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วจะต้องเกิดอย่างโน้นอย่างนี้ ปฏิบัติ ตามศีล เกิดอวิปปฏิสาร เกิดอะไรเดี๋ยวจะขยายศีล อีก จนกระทั่ง ตัวศรัทธาพาให้บรรลุสุดแท้ ศรัทธาก็ไปถึงปรินิพพาน ไปถึงนิพพาน ศีลปฏิบัติแล้วก็ไปถึงนิพพาน จาคะนั่นแหละ คือตัวนิพพาน คือตัวไม่มีไม่เอา ให้เขาหมด จาคะนั่นแหละ คือตัวนิพพาน คือตัวไม่มี จาคะจนกระทั่งถึงตัวไม่มี ตัวสูญ ตัวไม่เอาเป็นของตัวของตน ไม่มีเป็นของตัวของตน ทีนี้มันจะมาใช้อาศัย อย่างที่อาตมา ต้องนุ่งห่ม ต้องกินข้าว ต้องมีที่นั่งที่นอน ต้องมีอะไรที่อาศัย มีเครื่องอาศัย ไอ้นั่นไอ้นี่บ้าง อะไรก็ตามแต่ แต่ใจเราจริงๆ เราไม่ได้ติดใจ ว่าเป็นของเราจริงๆนะ อย่าว่าแต่เครื่องใช้ข้างนอกเลย แม้แต่ขันธ์ ๕ แม้แต่กายนี้ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็ได้ชัดเจนเลยนะว่า เราได้วางใจจริงๆ เลยนะว่า กายนี้ไม่ใช่เรา แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งไปคิดว่า กายไม่ใช่ของเรา ประเดี๋ยวมันก็จะเอาไปทิ้งกันง่ายๆ เลยไม่อยากทำอะไรเลย จะไปจ้างคนเขาฆ่าตัวตาย เหมือนอย่างสมัยพระพุทธเจ้าอีก อย่าเพิ่ง ไอ้นั่นไปไว้ทีหลัง เป็นกรรมฐาน ที่จะพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนังอะไรนี่ ก็ไม่ใช่ของเราหนอ นี่ก็ไม่ใช่ของเรา ตับ ไต ไส้ พุงก็ไม่ใช่ อย่าเพิ่ง เอาแต่แค่ไอ้ของหยาบข้างนอกนี่ ก่อนเสียเถอะ ให้มันทิ้งได้ก่อนเถอะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรพวกนี้ เอาก่อน ทิ้งพวกนี้ ให้ได้ก่อน ไปเป็นลำดับ แล้วคุณก็จะสูงขึ้น

จนกระทั่ง คุณได้เป็นตัวอย่าง คุณก็จะเป็นผู้ที่ เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึกจะเป็นคนได้ช่วยคนอื่น ได้ฝึกคนอื่นต่อ ได้เป็นตัวอย่าง เป็นครูของคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ถ้ายิ่งดีก็ยิ่งเก่ง อย่างของพระพุทธเจ้า ถือว่า เป็นครู ผู้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นศาสดา ของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นศาสดาเป็นครูเป็นอาจารย์ ศาสดายิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างอาตมา ก็พยายามพากเพียร ให้เป็นอย่างท่านไปเรื่อยๆ เป็นเท่าไหร่ ก็เท่านั้น เป็นผู้ตื่นแล้ว คำว่า ผู้ตื่นแล้ว พุทโธ พุทธะนี่ ตื่นจริงๆเลย แต่ก่อนนี้มันมืดจริงๆ มันไม่ตื่น มันหลับไหล มันเหมือนอย่างคนโลกๆ โลกียะพาเป็น โลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่อย่างนั้นแหละ กี่ชาติๆมานาน ตอนนี้ตื่นแล้วจริงๆ ตื่นจากโลกที่มอมเมาเรา ว่าเราหลงว่าอย่างนั้นเป็นสุข อย่างนี้เป็นทุกข์ อะไรอยู่นั่น จนกระทั่ง มาลดด้วยเหตุแห่งทุกข์ หมดสุข หมดทุกข์ หมดสุข หมดทุกข์ จนเป็น พระอรหันต์เจ้านี่ หมด เอ๊อ! เราไม่ได้เป็นคนโลก อย่างเขาเลยจริงๆ ไม่เลยจริงๆ เขาสุข เขาทุกข์ อย่างนี่ โอ๊! คุณก็ทรมาน อยู่ในสังสารวัฏอยู่นั่นหนอ ประเดี๋ยวก็สุข ประเดี๋ยวก็ทุกข์ ไม่ต้องเอาไปมองข้างนอกหรอก มองพวกคุณ ก็ยังสุขๆทุกข์ๆอยู่เลย เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็อย่างโน้น อย่างนี้กัน เดี๋ยวก็ว่ากัน เดี๋ยวก็อะไรกันอยู่นั่นแหละ ว่ากันมั่งก็ไม่ได้ ว่าก็ว่าไปซิ อย่างเมื่อวานนี้ หาว่า อาตมาว่าท่านติกขฯอีก อาตมาไม่ได้ว่าท่าน ท่านเองท่านไม่ได้รู้สึกว่า ท่านถูกว่าอะไร แต่คนอื่นรู้สึกแทนไปหมดเลย แม้แต่ท่านถิรจิตโต นั่งอยู่ข้างๆ โอ๊ย! ถ้าเป็นผม ไม่รู้จะทำยังไง โดนว่าอย่างนี้ ท่านติกขฯ ท่านก็ไม่ได้รู้สึกยังไง ถามท่านก็ได้ ท่านก็บอก เออ! ก็เป็นธรรมดา ก็เจออยู่อย่างนี้ เป็นธรรมดาแล้ว อาตมาก็พูดอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา ท่านติกขฯ กับท่านสีลฯนี่ ยังไม่เหมือนกันเลย ท่านสีลฯ เจออย่างนี้เข้ามั่ง อย่างนี้เหมือนกันนะ ท่านยังมีตัว ที่ยังอะไรอันหนึ่ง ไม่เหมือนท่านติกขฯหรอก ท่านติกขฯท่านก็ธรรมดา แต่ท่านสีลฯ ไม่ธรรมดาเท่าไหร่ ยิ่งท่านถิระ หรือท่านอะไร จะไม่ใช่ธรรมดาหรอก หรือยิ่งบางคน ถ้าเจออย่างนี้ ตาย นั่ง โดน ที่จริงไม่มีอะไร อาตมาก็ไม่มีอะไร เป็นปกติ เป็นธรรมดา ก็ว่าเรื่องนี้ แล้วอาตมาก็ใช้ปกติด้วย ใช้เป็นเหตุปัจจัย ในการจะขยายความ สอนอธิบายอะไรได้ด้วยน่ะ อยู่ในนั้นเสร็จล่ะ ไปในที ต้องใช้ทุกวิถีทาง ต้องทำงาน ทุกวิถีทาง เป็นการทำงาน ชนิดหนึ่งด้วย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจะรู้อะไรต่ออะไร จะเข้าใจอะไรต่ออะไร เมื่อเรารู้ เมื่อเรามั่นใจ เราก็จะมั่นคง เราก็จะไม่มีอะไร ไม่มี มันมีสิ่งดีก็สิ่งดี สิ่งไม่ดีก็สิ่งไม่ดี ก็เลือกเอาสิ่งที่ดี สิ่งไม่ดีอันนี้เราก็ได้รับรู้ ได้รับการสอน ได้รับการแก้ไข เราก็รู้ไปเรื่อยๆๆๆ ทุกอย่างมันก็เป็นการศึกษา อยู่ตลอดเวลา คนเราเกิดมา เพื่อศึกษาทั้งนั้น จนกระทั่งเราศึกษาได้ ประพฤติได้ จนกระทั่ง เราตื่นจาก ความเป็น คนโลกเก่า มาเป็นคนโลกใหม่ โลกใหม่ สัมปรายิกภูมิ ภูมิใหม่ โลกใหม่ หรือ ปรโลก เราเป็นมนุษย์ปรโลก เป็นคนโลกใหม่ แต่เขาเข้าใจ อธิบายโลก ปรโลก ก็คือตายไปแล้ว ตาย พวกเราต้องตาย ตายตั้งแต่เป็นๆ เอากิเลสให้มันตายไปก่อน มีชีวิตอยู่อย่างกิเลสเป็นเจ้าเรือน แล้วก็เป็นคนอย่างมีกิเลสนั่นแหละ เป็นคนโลกๆอยู่อย่างนั้นแหละ กิเลสเป็นตัวบงการ จะเป็นสุข เป็นทุกข์ จะเป็นใหญ่เป็นโต จะเป็นเล็ก เป็นน้อยอะไร ก็อยู่ในนั้นแหละ กิเลสนั่นเป็นตัวบงการ จนเราฆ่ากิเลสนั้น ตายหมด ไม่มีกิเลสมาบงการ มีแต่ตัวปัญญา มีแต่ตัวญาณทัสสนวิเศษ ตัวตรัสรู้เป็นตัวบงการชีวิตเราก็อยู่ในนี้ ก็เป็นคนโลกใหม่ในร่างกายนี้ โอปปาติกะ คือจิตวิญญาณ มันเกิดอยู่ในร่างกายเก่านี่ เรียกว่าโอปปาติกโยนิ เรียกว่า การเกิดชนิดโอปปาติกโยนิ เกิดอย่าง จิตวิญญาณเกิด ไม่ใช่เกิดร่างกาย ร่างกายเก่าร่างเดิมนี่แหละ การเกิดอันนี้แหละ คือเกิดสู่โลกใหม่ แต่เขาไปอธิบายว่า การเกิดคือตายจากร่างกายนี้ แล้วไปเข้าท้องพ่อท้องแม่ใหม่ เกิดใหม่ ก็ถูก อย่างนั้นก็ถูก อย่างนั้นเป็นหยาบๆเท่านั้นเอง มันไม่ใช่ลึกซึ้งอะไร เกิดอย่างนั้น ตายอย่างนั้น อาตมาก็ยืนยันให้ฟังแล้วตอนนี้ ถ้าบอกว่าทรัพย์ แค่ทรัพย์ ๔ นี่เกิดไปแล้ว ค่อยไปศรัทธา เอ๊ย! ตายไปแล้วจากร่างนี้ โน่นไปมีภพใหม่แบบจากตายนี่นะ จากเป็นๆ ไปตายโน่น ถึงจะค่อยศรัทธา ถึงค่อยได้ศรัทธา เข้าถึงสัมปทา ศรัทธาสัมปทา ถึงค่อยไปมีศีล จะเอาขาแข้งที่ไหนไปบำเพ็ญศีล เอาหู ตา จมูก ลิ้น กาย ที่ไหน ไปบำเพ็ญศีล ก็มันตายไปแล้ว แล้วค่อยไปจาคะ จาคะที่ไหนล่ะ ก็หาไว้ตั้งเป็นกองนี่ ตายจากมันไปแล้ว ไปเอามาจาคะ ก็ไม่ได้แล้ว ตอนนี้ โอ้!เงินทองหาไว้ ตั้งแต่ตอนเป็น ตายไปแล้ว เขายัดใส่ปากไปบาทเดียว เดี๋ยวนี้ไม่นิยมยัดใส่ปากด้วย แล้วจะเอาที่ไหน ไปจาคะล่ะ ไม่มีแล้ว ฟังแล้วมันดูตลกเห็นไหม แล้วค่อยจะเข้าถึงการจาคะ มันจะไปเข้าถึงได้ยังไง เวลาตายไปโลกหน้าแบบนี้ มันจะไปเข้าถึงตรงไหน แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าคุณเข้าใจว่า การเกิดทาง จิตวิญญาณ แต่ก่อนนี้ เราโอ้โห! ไม่ให้ใครหรอก ไม่จาคะหรอก เดี๋ยวนี้เราให้ เมื่อไหร่เราก็ทำให้ เมื่อไหร่เราก็ทำให้ ไม่ได้ทำเอา ไม่ได้ทำเพื่อจะสะสมกอบโกยเป็นของๆเรา ทำเพื่อสละ ทำเพื่อที่จะมี ปัญญาที่จะสละ ที่จะแจกจะทานด้วยซ้ำไปนะ อย่างนี้เป็นต้น

นี่ล่ะเป็นตัวจริง พิสูจน์ซิเดี๋ยวนี้ เข้าสู่โลกใหม่เป็นคนปรโลก เป็นคนสัมปรายิกภพ แล้วคนเขาบอกว่า ขอให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องขอหรอก เป็นแล้ว ถ้าเราไปสู่สุคติ ดำเนินไปดีแล้ว มีแต่ความรู้ มีแต่ความไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ความขยัน หมั่นเพียร ไม่ขี้เกียจเลย ขี้เกียจไม่เป็น แหม! อยากเป็นไหม เป็นคน ขี้เกียจไม่เป็น หา อยากเป็นไหม อยากเป็นหรือ อาตมาเชื่อนะว่า คุณพูดจริง เชื่อว่า คุณพูดจริง แต่ทีนี้ มันจะเป็นได้ ก็ต้องฆ่าขี้เกียจออก ให้จากตัวเอง ให้มันได้จริงๆ มันมีตัวนะ มันเป็นอัตตา ตัวขี้เกียจมันเป็นอัตตา มันเป็นตัวตน อยู่ในเรานั่นแหละ จับตัวมันให้ได้ และฆ่ามันให้ตาย ถ้าไม่ฆ่ามันตาย อยากจะเป็นคนไม่ขี้เกียจ อยากให้ตายมันก็ขี้เกียจ เพราะตัวมันใหญ่ มันอยู่ที่ตัวเรา ตัวขี้เกียจ มันอยู่ที่ตัวเรา มันเป็นกิเลสจริงๆ มันเป็นตัวตน แต่จริงๆ มันไม่ใช่ตัวตน ฆ่ามันตายแล้ว เรายิ่งเจริญ พิสูจน์ซิ ท้าให้พิสูจน์ ตัวขี้เกียจนี่ ฆ่ามันตาย เรายิ่งเจริญ เรายิ่งไม่เป็นคนขี้เกียจ ยิ่งขยันหมั่นเพียร ยิ่งเอาใจใส่ เป็นคนขวนขวาย  มีอิทธิบาท  เป็นคนยินดี ในการงาน ที่เป็นกุศลด้วยนะ เป็นอนวัชชะ เป็นการงานอันไม่มีโทษด้วย ยิ่งเป็นคนขยัน ยิ่งเป็นคน ที่จะมีวิริยะ มีความเพียร เห็นเลย เป็นตัวสมณะ สมณะนี่ เป็นตัวมีความเพียร เป็นเครื่องแสดง สมณะของพระพุทธเจ้า มีความเพียรเป็นเครื่องแสดง เห็นคนที่ขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียร ในการงาน อันไม่มีโทษด้วยนะ อย่าไปเที่ยวว่าขยันหมั่นเพียรในการงานมีโทษ ขยันโลภโมโทสัน ขยันล่าลาภ ล่ายศอะไร อย่างนั้น ยังไม่ถือว่า อิทธิบาทที่แท้ อิทธิบาทที่จริง ต้องการงานที่ไม่มีโทษ ขยันสร้างเพื่อให้คนอื่นด้วย ไม่ใช่ขยันสร้างเพื่อเอาด้วย นี่มันลึกซ้อน

เพราะฉะนั้น อิทธิบาทเป็นของสมณะ ความเพียรของสมณะนี่ ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร กอบเกิด อยู่ทีเดียว เสร็จแล้วก็แจกจ่าย เจือจาน เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กันอยู่ มันไม่ขี้เกียจจริงๆ มันไม่ขี้เกียจ ขี้เกียจไม่เป็น คุณจะรู้สึกในตัวเองๆว่า อ๋อ! ความขี้เกียจเราน้อยลง ความขี้เกียจ ความขยัน ความขวนขวาย ความอุตสาหะของเราง่าย แต่ก่อนนี้มันยากนะ ว่าจะดันให้มันขยัน หน่อยนี่ โอ๊ย! ยิ่งกว่ายกหินภูเขาน่ะพ่อคุณ เอ๊ย!มันหนัก มันยากเหลือเกิน พอต่อมา มันก็ง่ายขึ้น ง่ายขึ้น ทั้งๆที่ ไม่ต้องเอาลาภยศสรรเสริญ มาล่อ มันก็ขยัน ทุกวันนี้คนขยันเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นตัวล่อ เป็นอามิส มันขยัน เพราะสิ่งนั้น ถ้าไม่ให้สิ่งนั้นแล้ว มาล่อแล้วนะ โฮ้ย! ทุกวันนี้ รับรองเลย กลไกในโลกนี้ บอกว่าไม่แล้ว ทุกวันนี้ ประเทศไทย ปรับระบบใหม่ ทุกคนทำงาน ไม่มีเงิน ไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นยังไง เปลี่ยนระบบใหม่ประเทศไทย ทำงานฟรี ไม่มีลาภยศ สรรเสริญ เป็นยังไง ตายกับตายเลย ตายจริงๆ ประเทศไทยตายเลย ตายไม่มีอะไรกินอะไรอยู่หรอก เจ๊ง ไม่เดินจริงๆนะ ไม่เดินจริงๆ เพราะเขายังไม่เคยมีฤทธิ์ทางนี้ เพราะเขายังไม่เคยได้อบรม ฝึกฝน ทางนี้ เพราะเขาไม่เชื่อ ปัญญาของเขาเห็นอย่างโน้นจริงๆ แล้วเขาก็เชื่ออย่างโน้นจริงๆ แต่พวกเรา มาเชื่ออย่างนี้ เปลี่ยนระบบให้มาทำอย่างนี้ไม่ได้

เพราะฉะนั้นก็ต้องเอาไอ้นั่น ล่อเขาอยู่ก่อน อย่างนั้นล่ะ ใครยังติด ก็ต้องล่อเขาไปตามควร ใครลดได้ ลดได้ตามปัญญา ลดได้ตามศรัทธา ความเชื่อ เขาก็จะลดลงมาอย่างพวกคุณ หนักเข้า ก็กล้าหาญ ชาญชัย ลาออกจากงานมา มาทำงานฟรี มาอยู่กันอย่างนี้ๆ เอ๊! นี่ก็เพิ่ม เพิ่มมากขึ้นๆ เป็นร้อย เป็นพันมากขึ้น มันก็ยังไม่ตายนะ พวกเรานี่ มันไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน มีทอง ก็ยังอยู่กันได้ ยังไม่ตาย มาพิสูจน์ อาตมาก็ยังมั่นใจ ต่อให้มากกว่าพัน เป็นหมื่น เป็นแสนขึ้นมา แล้วก็เป็นคนที่มีวิริยะ มีความเพียร มีอินทรีย์พละ มีสติ สมาธิ ปัญญา มีอินทรีย์พละอย่างนี้ เป็นคนมีอิทธิบาท เป็นคน มีความขยัน หมั่นเพียร มีความยินดีในการงานที่ดีด้วยการงานไม่มีโทษด้วย แล้วก็เป็นคนเอา ใจใส่ มีจิตตะ มีวิมังสา เห็นด้วยเหตุด้วยผล มีปัญญารู้เลยว่า อย่างนี้คือบุญ อย่างนี้คือกุศล อย่างนี้คือ ทรัพย์แท้ อย่างนี้คือคนอารยะ เป็นมนุษย์อารยะจริงๆ มักน้อยสันโดษอยู่ตั้งเท่าไหร่ ลดละ พยายามสร้างสรร เสียสละอยู่ตั้งเท่าไหร่ ให้มันจริงใจด้วย

นี่ใครมาศึกษาอาตมา ต้องให้จริงใจทุกคนน่ะ ให้จริงใจให้จริงๆ เลยว่า เราเห็นจริงๆเลย มีปัญญา เข้าใจจริงๆเลยว่า เราได้เสียสละ เราได้สร้างสรร ได้ขยันเพียร ได้เป็นผู้ที่มีฝีมือ มีความสามารถ มีความรู้ แล้วก็ได้รังสรรค์ ได้กอบกู้ ได้ขยันอยู่ทุกวันละ ได้สร้าง อันไหนที่สำคัญก็สร้าง ตามเศรษฐศาสตร์ อันไหนเป็นดีมานด์ อันไหนเป็นอุปสงค์ ที่ควรจะสร้าง เริ่ม


อ่านต่อ หน้าถัดไป

ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอน ๘ / FILE:1337N.TAP