ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๘ หน้า ๒

โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๔
เนื่องในงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๕
ต่อจากหน้า ๑


สร้างกัน เอาอันนี้กัน อันนี้ๆขาดแคลนแล้ว อันนี้ควรจะไปช่วยอันนี้กัน ก็แนะนำกัน ให้ไปทำ แล้วขยันสร้างให้แก่สังคมอย่างนี้ ไม่ได้ให้สร้างไปเพื่อ ให้ไปโลภโมโทสัน ไปเอาเปรียบเอารัด สังคมมาเลย จริงไหม เมื่อไหร่ อาตมาเคยพูดว่าให้คุณไปเที่ยวเอาเปรียบ เอารัดสังคมมาสักที มีแต่ให้สร้างเพื่อสังคมเกื้อกูล ตัวเราเองไม่ต้องเอาอะไรเลย เงินเดือนเงินดาวเคยได้ ก็สละไปเลย มาทำงานฟรี มาอยู่ที่นี่ เรียนจบมาแล้ว หลายผู้หลายคน พ่อแม่จะร้องไห้ บอกมันจบมาแล้ว บอกมันทำไมไม่ไปทำงาน มาอยู่อโศกนี่ อโศกมันดียังไง อาตมาก็ไม่รู้ว่ายังไง ก็พ่อแม่คุณมีสิทธิ์ เขาจะเอาไป คุณก็โต้หลงกันให้ได้ก็แล้วกัน โต้หลงไม่ได้ คุณก็ต้องไปกับเขา โต้หลงได้คุณก็มา ก็หลายคน เรียนจบปริญญาตรี แล้วก็ไม่ต้องสอบชิงที่ไหนหรอก บอกที่นี่ มันไม่ต้องสอบเข้า เพราะว่าได้สอบมาก่อนแล้ว เข้าแล้ว นี่บรรจุงานที่นี่ บรรจุได้ทุกตำแหน่งละ ที่นี่น่ะ จะทำหน้าที่ ที่ไหนก็ได้ด้วย อยู่ในที่นี้ เข้าไปแทรกแซงกับเขา ก็แล้วกัน ไปทำงานหน้าที่นั้น หน้าที่นี้ อยากได้ ก็ทำไป แต่ว่าคงไม่ได้ เข้าไปแล้ว ก็ไปเป็นผู้อำนวยการเลย ก็คงไม่ได้หรอกนะ ก็ต้องเป็นลูกน้อง เขาก่อน ถ้าทำได้ดี เขายอมให้เป็นผู้อำนวยการ เขาก็ยอมกันเอง ไม่ต้องตั้งหรอกที่นี่ ถ้าเก่งจริงก็ ได้เป็นผู้อำนวยการเอง ไม่เก่งจริง เขาเคี้ยะออกมา ดีไม่ดี ไปนิวแซนเขา อยู่ในแผนกนี้ อยากจะทำ แล้วไปวุ่นวาย จุ้นจ้านเขา เขาก็ไล่ออกมาจากแผนก ไม่ยากหรอกที่นี่ ไล่กันบ่อย โดยธรรมน่ะ ไล่กันโดยธรรม ผู้ที่อยู่ในแผนกนั้น แผนกนี้ อยากจะทำแผนกนั้นแผนกนี้ได้ ก็ไปทำ ทำกันอยู่อย่างนี้ อาศัยกันอยู่ อย่างนี้

อาตมายิ่งพูด มันยิ่งซาบซึ้ง มันยิ่งเห็นว่า มนุษย์หนอมนุษย์ ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ มันจะไปเป็น อย่างโน้น ไปอีกทำไม แล้วมันไม่เจริญนะ อาตมาเห็นโลกทั้งโลก เขาไม่ได้มีระบบอย่างนี้ เขามีระบบ อย่างโลกๆ ระบบทุนนิยม ระบบลาภ ยศ สรรเสริญ แม้แต่จะเป็นคอมมิวนิสต์ เขาก็พยายามจะ มารวมกัน คอมมูนนี่ มารวมกัน พยายามจะให้มาเป็นกองกลาง เป็นกองกลางแบบบังคับ กดขี่ แล้วเขาก็ไม่ยอมด้วยจิตใจ เขาไม่เกิดปัญญา เขารู้ว่ารวมกันดีบ้าง แต่ใจเขาไม่ยอม กิเลสมันไม่ยอม เขาไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อละกิเลส แล้วไม่เอาถ่านทางศาสนาด้วย ทางคอมมิวนิสต์ ไม่เอาถ่าน ทางศาสนาด้วย เขาถือว่าเขาแน่ ทางวัตถุนิยมเขาถึงบอกว่า พวกนี้ พวก materialism เขาไม่เอาถ่าน เขาเอาทางวัตถุเป็นหลัก

แต่ของพุทธเรา เอานามธรรมเป็นหลัก เอาจิตวิญญาณเป็นหลัก จะบอกว่าคอมมูน คอมมูนเหมือนกันน่ะ จะบอกว่าเป็นพวกรวม พวกส่วนกลาง กองกลางไม่ใช่ของตัวของตน ไม่เป็นของกู ใครยิ่งไม่เป็นตัวของตัว ไม่เอาเป็นของตัว เป็นของกลางได้เท่าใดๆ นั่นจะยิ่งเป็นยอด แห่งคอมมูน ยิ่งเป็นยอด แห่งกองกลาง ไม่เป็นของตัวของตน ของพระพุทธเจ้า สอนมาแต่ดั้ง แต่เดิมเลย ไม่ต้องไปเอามาเป็นของตัวของตน ไม่ต้องเป็นอัตตา เป็นอัตตนียา ไม่ต้องมี ของกู ตัวกู ของกู เป็นของกลางจริงเท่าไหร่ ยิ่งเป็นคนที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มีทรัพย์ประเสริฐยิ่งเท่านั้นๆๆ ยิ่งเป็นคนที่มีทรัพย์ประเสริฐเท่านั้น จริงที่สุด เหนือชั้นยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ไม่รู้กี่ขุม คอมมิวนิสต์นั่น ทิ้งไว้โน่น อยู่ในระดับปลายแถวโน่น แล้วยิ่งมาบอกว่า เราเป็นคอมมิวนิสต์ ปัดโธ่! เราจะไปเป็นทำไม แค่ระดับปลายแถว ใช่ไหม ไปเป็นทำไม คอมมิวนิสต์ มันระดับปลายแถว นี่มันเหนือชั้นกว่า คอมมิวนิสต์ตั้งเท่าไหร่ จะบอก คอมมูนนั่นหรือ เฮอะ จะบอกว่า ประชาธิปไตยนั่นหรือ ไม่อยากคุย ประชาธิปไตยยิ่งกว่า มีอธิปไตย ที่เป็น ธรรมาธิปไตย เอาสัจจะของธรรมะ

ทุกวันนี้เราบอกว่าประชาธิปไตย ใครมีเหลี่ยมที่จะชนะได้ก็เอา ประชาธิปไตย นี่ ไม่เอาสัจจะ เป็นตัวชนะ ทุกคน พยายามใช้ปัญญา เป็นกลางให้จริงๆ แล้วก็เอาสัจจะความไม่ลำเอียงนี่ ให้ชัดว่า เออ อันนี้ ถูกต้อง อันนี้ดี จริง อันนี้แหละเป็นอำนาจ แล้วทุกคนมีปัญญาให้เกียรติแก่กันและกัน มีปัญญาใช้ ปัญญาตัดสินมา อย่างน้อยมีสุด มันตัดสินอะไรไม่ได้ ก็เอาแบบเยภุยยสิกา ภาษา พระพุทธเจ้า คือ เอาเสียงส่วนมาก เป็นตัวตัดสิน ก็ตกลง เอาเสียงส่วนมาก ทุกคนออกเสียง ทุกคนออกความคิดความเห็น เอาอย่างนี้นะ เอาอย่างนี้ ก็ได้เลย นั่นแหละ แล้วทุกคนก็พยายาม ไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างตัวเอง เอาความสัตย์สุจริตของสัจจะเป็นใหญ่ ได้เท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น เราก็ทำ แล้วเราก็ได้ธรรมาธิปไตยออกมา ธรรมาธิปไตย ก็จากพวกเรา ประชาชน ประชากรนี่แหละ ออกมา แล้วก็ได้สิ่งนี้ออกมาจริงยิ่งที่สุด นั่นแหละ แล้วทุกคนก็พยายามไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างตัวเอง เอาความสัตย์ สุจริตของสัจจะเป็นใหญ่ได้เท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น เราก็ทำ แล้วเราก็ได้ธรรมาธิปไตย ออกมา ธรรมาธิปไตย ก็จากพวกเราประชาชน ประชากรนี่แหละออกมา แล้วได้สิ่งนี้ออกมาจริง ยิ่งที่สุด ประเทศไทยก็ต้องการ อเมริกาก็ต้องการ รัสเซียก็ต้องการ จีนแดงก็ต้องการ ใครก็ต้องการ หมดเลย มาเอาที่อโศกนี่ล่ะ ไม่ใช่พูดบอกว่า หลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่นะ ไม่ได้พูดว่าหลงตัวยิ่งใหญ่

แต่อาตมาแน่ชัดว่า ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ยิ่งใหญ่อย่างนี้ แต่คนมันทำไม่ถึง ทำไม่ได้ โลกในยุคกาลต่อไปนี้ มันจะไปหากลียุค เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะประเสริฐที่สุด จะเกิดขึ้นมา แข่งกับกลียุค ถ้าสิ่งที่ไม่ประเสริฐแท้ สู้กลียุคไม่ได้ เพราะฉะนั้น โลกจะแตกน่ะ

เอ้า เราเปิดไปหน้า ๔ ที่นี้ ศีล เอาละอาตมา จะยังไม่ขยายความไล่ตัวก่อน ศรัทธา อาตมาจะเน้น ศรัทธาอีกก่อน ศรัทธานี้ จะประกอบไปด้วยศีล และจะเป็นเนื้อหา ก็คือจาคะปัญญาต่อไปนั่นล่ะ เป็นขบวนการใหญ่ เป็นทรัพย์ที่ใหญ่ ๔ ตัวนี้ จะต้องมีไปหมด ส่วนหิริต่อมาข้อ ๓ โอตตัปปะข้อ ๔ สุตะข้อ ๕ หิริโอตตัปปะ สุตะนั้น เป็นตัวเสริม ที่จะทำให้ศรัทธาสูงยิ่งขึ้น ศีลสูงยิ่งขึ้น จาคะสูงยิ่งขึ้น ปัญญาสูงยิ่งขึ้น แล้วมันจะเกิด

เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วเชื่อพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีหิริ อย่างที่คุณ เพียงดิน กล่าวเมื่อคืนนี้อย่างนั้นแหละ มันหิริจริงๆนะ มันละอาย แต่ก่อนนี้ มันละอายที่ไหนล่ะ มันโดดใส่น่ะ ไปแต่งตัวใส่ชุด อาโรบิคแด๊นซ์ แหม ดิ้นเป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้า นี่ แหม มันชอบ พอตอนหลัง มา ไม่กล้า อาย มันมีหิริจริงๆ มันหิริจริงๆ มันไม่กล้า เหมือนกับคุณทุกวันนี้นี่ หลายคนจะรู้สึก ผู้หญิงนี่แหละ คุณแต่งตัวอย่างนี้จนชินแล้ว แต่งตัวอย่างนี้ จนเห็นว่า เออ สุภาพเรียบร้อย สบายดีแล้ว ให้คุณกลับไปชะเวิ้บ ชะว้าบ อย่างโน้นอีกล่ะนะ คุณจะเหนียมจริงๆ คุณจะเหนียมจริงๆ บอก โอ๊ ไม่ไหว หรอก ยิ่งจะไปใส่รองเท้าส้นสูงอีก โอ๊ย มันเมื่อย แต่ก่อนนี้ ไม่รู้สึกหรอก แต่ก่อนนี้ถูกอุปาทานครอบงำ โอย จะทนยังไง ก็รู้สึกว่ามันไม่เมื่อย ไม่ปวดไม่อะไร ลืม มันไปอยู่ที่โน่นแน่ะ เขามองสายตาเขามอง โอ๊ย ฉันงามเลย ไปอย่างโน้นเลย ไม่รู้สึกปวด ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกเมื่อย แต่เดี๋ยวนี้ ไปใส่เข้า โอ้โห มันมาอยู่ที่นี่หมดเลย มันเมื่อย แหม น่องตึง ส้นนี่ มันจะได้แนบลงไปกับพื้นเต็มที่ มันก็ไม่ได้แนบ โถ กูเอ๋ย ถูกเขาหลอกให้มากระย่อง กระแย่ง อยู่อย่างนี้ ไอ้เท้าเต็มเท้าก็ไม่ได้สัมผัสพื้นเต็มเท้า มาถูกเขาหลอกให้ มากระเย้อกระแหย่งอยู่อย่างนี้ เดินไป ดีไม่ดี พลิกหน้า พลิกหลัง ประเดี๋ยวก็ยุ่งล่ะ ฝึกมันจนเดินเก่งล่ะนะ คนเดินใหม่ๆ ใส่รองเท้า สูงๆสัก ๔ นิ้วนี่ มันเดินได้ที่ไหน ถ้าไม่ตีลังกา หัวคว่ำ ก็ให้มันรู้กันไปเถอะ อาตมาก็เคยลองดูแล้ว อาตมาไม่ลองต่อ เพราะใส่ไม่ได้จริงๆ มันเก่งนะ ผู้หญิงนี่ นี่ไม่ได้ชม นะ เก่งนี่เก่งจริงๆเลย เก่งที่โง่ ให้เขาหลอกได้ จนปานนั้น แหม เก่งจริงๆ แล้วทุกข์ทรมานอยู่ได้ ฯลฯ..

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านบอกว่า หิริ นี่คือทรัพย์ หิริ นี่คือเทวธรรม คือสิ่งที่เป็นเทวดา เทวดาอยู่ที่เรา จิตของเราเกิดหิริ เรากำลังเป็นเทวดา เรากำลังเกิดเทวดา ละอายต่อบาป ละอายต่อสิ่งที่ มันไม่น่าเลย แต่ก่อนนี้นึกว่าน่านักน่ะ แหม มันน่าจะได้อย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ น่าจะรวย แค่นี้ก็เถอะ ไม่ต้องไปพูดถึงแค่ว่าสวย ว่าแอ๊ค แบบที่เขาหลอกให้ไปหกคะเมนตีลังกา ผู้หญิงน่ะ แค่บอกว่า แหม เราน่ารวย เอ๊อ ถ้าเราจะไปรวยนี่ เราละอายแล้ว เราเห็นว่า ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกย ดีกว่า ถ้าไปกอบโกยละอาย หิริ มันเกิดที่คุณจริงๆนะ ใจมันไม่อยากกอบโกย ไม่อยากเอาเปรียบเอารัด ได้มาก็ อื๊อ มันได้มาแล้ว เอาไปแจกจ่ายต่อดีกว่า มันจะไม่อยากได้ มันจะไม่เอา แล้วยิ่งมั่นใจว่า ถ้าเราไม่มี เราก็อยู่ได้ เราไม่ต้องสะสม เราก็อยู่ได้ เรามั่นใจในตัวเรา มั่นใจในเพื่อนฝูง หมู่มิตรดี สหายดี มั่นใจในสังคมนี้ มั่นใจในบุพเพกตปุญญตา มั่นใจในบุญเก่า ในสิ่งที่เราได้กระทำความดีความงามมาแล้ว เป็นกรรมเป็นวิบาก กรรมวิบากเหล่านี้ เราพึ่งได้ เราจะมั่นใจ ในการพึ่งวิบาก พึ่งกุศล พึ่งกรรม ที่เราได้สั่งสม แม้ในชาตินี้ ถ้าใครทำแล้วมากพอ มั่นใจในชาตินี้ว่า เราอยู่กับหมู่นี้มา เราได้สร้างกุศล แม้แต่ชาตินี้ เราก็บอก เอ้ย เราไม่มีปัญหาหรอก เราอยู่กับหมู่นี้มาตั้ง ๑๐ ปี สร้างแล้วต้องจริงด้วยนะ เราทำดีมา เกื้อกูลมา มีน้ำใจ ได้มีมิตรสหาย ดีกัน โอ้ มีคนรัก มีคนนับถือ มีคนศรัทธา มีคนเชื่อถืออยู่ขนาดนี้ ไม่ต้องกลัวหรอก

อย่างอาตมาเป็นต้น ยกตัวอย่างอาตมาจะชัด ถ้าอาตมาจะเป็นง่อยลงเดี๋ยวนี้ อาตมาทำงานมา กับพวกเรานี่ มาก็เกือบ ๑๐ ปี ๒๐ ปีนี่นะ อาตมามั่นใจว่ าคุณจะเลี้ยงอาตมาต่อไป แม้แต่เป็นง่อย ไม่รู้ล่ะ คนไหนไม่เลี้ยง ก็ไปก็แล้วกัน ไม่เป็นปัญหาหรอก ส่วนคนจะเลี้ยง จะมีอยู่บ้างล่ะ กี่คนก็แล้ว แต่น่ะ จะมีคนเลี้ยง บุญเก่าที่อาตมาได้ทำ เขาได้ประโยชน์จากอาตมาแค่นั้น เขาก็บอกว่า คุ้ม พอ เขาจะเลี้ยงอาตมาไปจนตาย ว่ายังงั้นเถอะ อาตมามั่นใจ ไม่ใช่น้องไม่ใช่นุ่ง ไม่มีเมียหรอก ไม่มีลูก มีแต่น้อง ก็เหลือแต่น้อง พ่อแม่ก็ตายไปแล้ว ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่นุ่ง อาตมาไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่นุ่ง เลี้ยงมา แต่พวกคุณนี่แหละ ยิ่งกว่าพี่ ยิ่งกว่าน้อง จะเลี้ยง อาตมามั่นใจ มั่นใจจริงๆ หรือในแต่ละคน คุณเองก็ตาม คุณก็อยู่กับพวกเราอยู่กันไป แล้วก็ไม่ต้องไปสะสมเงินทอง สะสมแต่กุศล นี่แหละ ทำแต่ดีนี่แหละ มีความขยัน หมั่นเพียรเกื้อกูลเอื้อเฟื้อเจือจาน ช่วยเหลือ คนนั้นคนนี้ กระทำกันอยู่อย่างนี้แหละ มีชีวิตอย่างนี้ ๓ ปีไป ๕ ปีไป ๘ ปีไป เราก็อยู่ไปอย่างนี้ ยิ่งนานปี เราก็ยิ่งทำดี มั่นใจว่า เราจะทำดี ไม่ใช่ว่าหลงผิดนะ บอกแล้ว มีเงื่อนไขว่า ไม่ใช่ว่า คุณทำชั่วแล้ว แล้วคุณก็นึกว่าคุณทำดี คุณทำอกุศล คุณนึกว่าคุณทำกุศลไม่ใช่ นะ คุณทำกุศลจริงๆ ไม่ใช่อกุศล ทำไปจริงๆเป็นสัจจะ แล้วเป็นกุศลน่ะ ผู้รู้ ย่อมยอมรับว่าเป็นกุศลจริงๆ คุณก็ทำกุศลนี้ไป แล้วคุณก็ทำถูกต้องด้วยว่าเป็นกุศลแท้ ผู้รู้ก็ยอมรับว่ากุศล คุณอยู่กับนี่ไปนะ ยิ่งนานปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี จะกลัวหรือ ท่านถิรฯ จะอยู่ต่อไปไหมนี่ มาอยู่นี่ตั้ง ๑๐ กว่าปีแล้ว ว่าทำดีมาตั้ง ๑๐ กว่าปี ทำกุศลมาตั้ง ๑๐ กว่าปีนี่ มั่นใจไหมว่าจะอยู่ต่อไปนี่ เป็นง่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ เป็นง่อย น่ะ ขอประกาศิตว่าให้พรุ่งนี้เป็นง่อย เป็นง่อยแล้ว พรุ่งนี้ มะรืนนี้จะอยู่ต่อ ไปไหม หรือ รีบสึกวันนี้ ไม่อย่างนั้นแย่นะหา มั่นใจหรือ พรุ่งนี้เป็นง่อยนะ ไม่รีบสึกวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ เป็นง่อยแล้ว นะนี่ เดี๋ยวไม่มีใครเลี้ยงนะ ตาย ต้องไปอยู่กับแม่กับพ่อพร้อม นี่นึกว่าอาตมาพูดเล่นนะนี่ ไม่เชื่ออาตมา นึกว่าอาตมาพูดเล่น พรุ่งนี้เป็นง่อยจริงๆแล้ว เดี๋ยวเถอะ คือคนเรานี่ จะมั่นใจนะ มั่นใจจริงๆเลยว่า มันจะเข้าใจ มันจะมีปัญญา แล้วมันก็จะศรัทธา เชื่อ เชื่อว่าเราอยู่กับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คนหมู่นี้ เราอยู่กันได้ อยู่กันได้ วัฒนธรรมอย่างนี้ จารีตประเพณี อยู่อย่างนี้ การเป็นอยู่กันอย่างนี้ มั่นใจ เราจะมั่นใจจริงๆ

เพราะฉะนั้นเรื่องอะไร เราจะไปเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่ตัว มันก็คือการสะสมเวรทรัพย์ ไม่ใช่อริยทรัพย์ ภัยทรัพย์ โทษทรัพย์ มันไม่ใช่คุณ มันไม่ใช่ประโยชน์เลย เรื่องอะไรเราจะไปสะสม เราต้องพยายามสะสมแต่บุญ แต่สิ่งที่เป็นคุณ เป็นอริยทรัพย์ เป็นคุณที่เป็นทรัพย์ เป็นบุญ ที่เป็นทรัพย์ เป็นกุศลที่เป็นทรัพย์ เราก็จะต้องสะสมอยู่อย่างนี้ เราก็ทำไปจริงๆ เราจะมั่นใจจริงๆ

เพราะฉะนั้น ยิ่งมั่นใจ คนก็จะยิ่งไม่สะสม ยิ่งจะทำดี กับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เราก็ยิ่งจะมีพี่มีน้อง ที่จริงยิ่งกว่าพี่ ยิ่งกว่าน้องอีก วิธีการหาพี่หาน้องนี่ดีกว่า วิธีการหาพี่ หาน้อง พ่อไปแต่งงานอีกเถอะ จะได้มีน้องเพิ่ม ไอ้วิธีการหาน้องอย่างนี้ ไม่เข้าท่า น่ะ แม่แต่งงานใหม่เถอะ จะได้มีน้องเพิ่ม นั่นก็วิธีการหาพี่หาน้องเหมือนกัน หาน้องเพิ่มขึ้นมา เราจะไม่เอาล่ะ พี่น้องอย่างนั้น บางที ผีมันมาเกิด ตายละหว่า พี่น้องมาเกิด มันเอาผีมาเกิดยุ่งกันใหญ่เลย แต่อย่างนี้ เรามีพี่ มีน้อง เราเลือกพี่ เลือกน้องได้ สะสมพี่น้องประเภทที่เรียกว่า เลือกได้ แล้วเป็นพี่เป็นน้อง ที่ยิ่งกว่าพี่น้อง เพราะว่า พึ่งผีพึ่งไข้ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย พึ่งแก่ พึ่งอะไรกันได้ จริงๆ พึ่งกินก็ได้ พึ่งอยู่พึ่งกิน พึ่งอะไรกันได้จริงๆ

ดังนี้ อาตมาแน่ใจว่าพระพุทธเจ้า สอนอย่างนี้ คุณเชื่อไหม พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนอย่างนี้ ให้มีสังคมอย่างนี้ แล้วมีคนยัดเยียดว่า อาตมาจะมาตั้งเป็นศาสดาใหม่ เดี๋ยวฮุบเสียเลย ...

ในงานปลุกเสกฯที่ศีรษะ ทางกอ.รมน. ส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ทุกวัน เวลากินข้าวไม่หมด เอาจานไปซ่อนไว้จนบูด รู้ด้วยหรือผู้สังเกตการณ์ เขาไปทำอย่างนั้น แหมนี่ ก็ตามจับมาได้ ถึงขนาดนี่เนาะ เอาจานไปซ่อนไว้ จนบูด ที่พ่อท่านประกาศบอกว่า ใครที่กินไม่หมด ไม่ต้องเอาไปเก็บไว้ แล้วเขาบอกว่า อย่าบอก ให้พ่อท่านรู้ เดี๋ยวจะดัง เพราะว่าที่ส่งเจ้าหน้าที่ ไปสังเกตการณ์นี้ เป็นคำสั่งของ อื้อ อาตมาไม่อ่านต่อ เป็นคำสั่งของอะไรอีก เขาว่าอย่างนั้น

อาตมาได้ข่าวมา แล้วก็รู้ความจริงอยู่ว่าจริง เขามาสังเกตการณ์ แล้วอาตมาบอกแล้วว่า อาตมา ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้ท้าทาย ไม่ได้พูดอย่างคะนองอะไร พูดด้วยความจริงใจว่า ยินดีต้อนรับ ผู้สังเกตการณ์จริงๆ ยิ่งดี เพราะเราปรารถนาดี เราต้องการให้อยู่ดีกัน เพราะโลกทุกคนในมนุษย์ ในโลก นี่ มันต้องการสังคมอย่างนี้ ต้องการสังคมอย่างที่ไม่เอาเปรียบเอารัด ต้องการสังคมที่ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องการสังคมที่เสียสละ ต้องการสังคมที่มีความรู้ ความสามารถ แล้วสร้างสรร ต้องการสังคม ที่คนมีปัญญาทางเศรษฐศาสตร์ที่จริง รู้ว่า อะไรเป็นดีมานด์ อะไรเป็นซัพพลาย รู้จริงๆนะ รู้ว่าอะไรขาดแคลนแล้ว ในสังคมทุกวันนี้ สิ่งแวดล้อมไม่ดี อะไรขาดแคลน เขาก็รู้กัน แต่เขาทำจริงไหม

เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาเป็นคนทำจริงนะ อะไรขาดแคลนจริงๆ เราต้อง support supply ลงไป ให้แก่โลก ต้องทำจริงๆ ไม่ใช่เราต้องการเท่านั้น ไม่ใช่ประเทศไทยเท่านั้นต้องการ ทุกประเทศ แม้แต่ชาวอบิสซิเนีย แม้แต่ชาวกรูกรู แม้แต่ชาวที่อยู่ในป่า เขาก็ต้องการอย่างนี้ ต้องการอย่างนี้ จริงๆ อาตมาว่าความต้องการที่ลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์นี่ ต้องการสิ่งเดียวกัน ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ว่า อันนี้เป็นสิ่งสุดยอด เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ลึกๆแล้วด้วยปัญญาที่จริง ถ้าเขามีปัญญารับรู้จริง แล้ววิจัยออก เขาจะต้องการสิ่งนี้ ไม่ได้ขัดแย้งในหัวใจเลย จริงๆแล้ว ต้องการเป็นคนเสียสละ ไม่ใช่ต้องการเป็นคนเอาเปรียบหรอก เพราะคนเขาสามัญนี่ คนปกตินี่รู้ นอกจาก คน idiot แล้ว พูดกันไม่รู้เรื่อง คนอีเดียด คน Moron พูดกันไม่รู้เรื่อง คนโง่ประเภทที่เกินน่ะ มนุษย์พูดไม่รู้เรื่อง ต้องการเป็นคนเสียสละดี หรือว่า ต้องการคนได้เปรียบ จะเป็นคนดี ถามเขา อย่างนี้ เขาก็ตอบ ได้สามัญ แต่ไม่ต้องเที่ยวได้ฉลาดเฉลียว มีไอคิวสูง เป็นพวก genius เป็นพวกอัจฉริยะ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก คนธรรมดานี่ ก็ตอบได้ รู้

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจอันนี้น่ะ มันทั่วไปหมด ทั้งโลกต้องการอย่างนี้ มันยังเหลือแต่ความจริง ที่เป็นไปได้ เท่านั้นแหละ ขณะนี้ เพราะฉะนั้น คุณทำเถอะ รับรองว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่ปรารถนา เพราะฉะนั้น คนที่จะส่งมาสังเกตการณ์ อะไรต่ออะไรนี่หรือ ไปรายงานดีๆ ไปรายงานความจริงดีๆ ว่าชาวอโศกนี่ เขาพูดกันอย่างนี้ วันแล้ว วันเล่า ซ้ำซาก ผมเบื่อเลยฟัง แหม ตื่นเช้าขึ้นมา ก็ฟังแต่อย่างนี้ ให้มาเสียสละ ให้มาสร้างสรร ให้มามักน้อย สันโดษ มาหัด กินน้อยๆ ใช้น้อยๆ แต่อย่าทรมานร่างกายน่ะ แล้วมันจะยังไงกันวะ กินน้อยๆ แล้วไม่ให้ทรมานร่างกาย ก็อย่างนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้หิริ ได้โอตตัปปะ ได้ละอายต่อโลกียะ อย่างที่เขาเป็น แต่ก่อนเราเคยเป็นนั่นน่ะ อาย มาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว เราอายแล้ว เราไม่กลับไปแล้ว อย่างโน้น เห็นไหม หิรินี่ อายอย่างโน้น มาเป็นอย่างนี้ พอได้อย่างนี้แล้ว อย่างโน้นอายจริงๆ ไม่เอา ถ้าเราไปเป็นอย่างโน้น ถ้าเป็นจริง เราก็อายแล้ว เราเป็นเทวดาที่แน่นอน ไม่ไปเป็นแล้ว อย่างที่ อย่างโน้น จนกระทั่ง แน่นอน เที่ยงแท้ ยึดมั่นเลย คงมั่น ตั้งมั่นเลย อย่างนี้ จะเป็นอย่างนี้ กี่ชาติก็จะเป็นอย่างนี้ อาตมากี่ชาติๆ ก็จะต้องพยายามไม่ลืม แต่มันจะครอบงำเราเรื่อย เกิดชาติหน้าปั้บ ประเดี๋ยวก็ถูกเขามาครอบงำ เหมือนลิงลม อมข้าวพอง ค่านิยมสังคม ยิ่งมาเกิดในยุคสมัยนี้ โอ้โห มันครอบงำไว แว้ ออกมานี่ เอาเลย พ่อแม่ พี่น้อง เหมือนอย่างโลกๆ พาไป โลกๆ จะต้องไปหลงลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างโลกๆ เดี๋ยวเราก็เมาไป แต่ถ้าเผื่อว่าเรามีทรัพย์ใช่ไหม นี่เล่นเอา จนกระทั่งเอาไปเอามา พ่อแม่ก็ไม่ยอมตาย ๙๐ ก็แล้ว ๑๐๐ ก็แล้ว คุณก็เพิ่ง ๗๐ คุณก็ไม่ได้มาสักทีหนึ่งน่ะ เวรของคุณ ก็วิบากของคุณ ช่วยไม่ได้หรอก ใครอย่างนั้นก็แล้วแต่เถอะ แต่ยังไงๆโดยสามัญแล้ว คุณต้องได้มา พ่อแม่ต้องตายแน่ ต้องมาเมื่อพ่อแม่ตาย แต่ถ้าใครบุญดี ไม่ถึงขั้นพ่อแม่ตาย เขาก็ยอมรับ เพราะเราไม่ได้มาชั่วนี่ ถ้าพ่อแม่คุณไม่แย่จริงๆเลยนะ โธ่เอ๊ย ๕ ปี ก็ยังไม่เข้าใจ ๑๐ ปีก็ยังไม่เข้าใจ ช่วยไม่ได้ พ่อแม่โง่ พ่อแม่ไม่มีปัญญาจริงๆ ทางโลกุตระนี่ ไม่เข้าใจจริงๆนะ คุณทำยังไงได้ วิบากของคุณ ต้องมาเกิดกับพ่อแม่อย่างนี้ คุณจัดสมส่วนอย่างนี้ล่ะ ก็คุณมีบาปมีบุญเท่านี้ ต้องไปเกิดกับท้องพ่อ ท้องแม่อย่างนี้ มันก็บุญบาปของคุณนะ นี่ไม่มีใครจัดสรรบุญบาป มันจัดสรร เป็นกรรม เป็นวิบากจริงๆ

เพราะฉะนั้นจะไปโทษใคร ยอมรับเสียโดยดี ข้อสำคัญ เราพากเพียร เราพยายามจะฉลาดยังไง ไม่ให้มันเจ็บปวดกัน ไม่ให้มันทะเลาะ เบาะแว้งกัน ไม่ให้มันร้ายกาจอะไรกันนัก ก็ว่าไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งนี่อาตมาเห็น แล้วพวกเราชาวอโศกนี่ สุดท้ายไม่ต้องกี่ปีหรอก พ่อแม่ก็ยอม สุดท้าย ก็เข้าใจ หนักเข้าพ่อแม่ก็มาด้วย เป็นบุญเลยน่ะ คุณช่วยพ่อแม่มาอีก การตอบแทนบุญคุณ พ่อแม่ เราก็เคยเรียนมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ แม้จะหาบ้าน หาเมืองให้พ่อแม่ หาบ้านเมืองเลยนะ สมัยก่อนนี่ถือว่า ได้บ้านเมืองเลย เป็นเจ้าเมือง แล้วก็หาบ้านเมืองให้พ่อแม่ เป็นทรัพย์ ว่าอย่างนั้นเถอะนะ มันก็ไม่ใช่การทดแทนบุญคุณ เลี้ยงดูพ่อแม่ ถึงขนาดเอามา บ่าเบื้องซ้ายเอาพ่อ มาไว้บนบ่าซ้าย ขี้รดเยี่ยวรด ก็เออเอาเถอะยอม บ่าขวาก็แม่ อยู่อย่างนี้ ขี้รดเยี่ยวรดอีก อยู่อย่างนี้ เสียสละ ถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่ใช่การทดแทนบุญคุณที่ดี ให้ทรัพย์ ๔ นี่สิ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ให้พ่อแม่ได้ศรัทธาอย่างนี้ ได้เชื่ออย่างนี้ อย่างน้อยให้เชื่ออย่างนี้ เป็นทรัพย์ยิ่งกว่า เป็นการทดแทน บุญคุณพ่อแม่ ยิ่งกว่า หาบ้านหาเมืองให้ เอาพ่อแม่มาไว้บนบ่า นี่ เรียกว่าเลี้ยงดู ถึงขนาด ไปไหนก็แบกไป ร้อยปีอีกนี่ ด้านตำรา เปิดตำราตอบให้ บนบ่าร้อยปีด้วย ให้พ่อแม่อยู่บนบ่า ประคบประหงม เลี้ยงดู เช็ดขี้ เช็ดเยี่ยวบนนี้ ต่อให้คุณ กตัญญูกตเวทีขนาดนั้น ยังไม่ได้ชื่อว่า ให้ท่านได้ศรัทธา ได้ศีล ได้จาคะ ได้ปัญญา นี่อันนี้ เป็นการทดแทนบุญคุณ ที่เหนือชั้นกว่า ได้ศรัทธา ที่สูงเท่าไหร่ ได้ศีล ที่ลึกซึ้งเป็นอธิศีลได้เท่าไหร่ จาคะได้จริงๆได้เท่าไหร่ นั้น มันยิ่งเยี่ยม จะทำยังไง ให้พ่อแม่สละ ให้พ่อแม่จาคะ เอ็งไป ข้าไม่ให้เอ็ง คุณเชื่อทางนี้ก็บอก ไม่ให้ก็ไม่เอา ของพ่อแม่ เพราะเราไม่เอาอยู่แล้ว พ่อแม่ก็ยิ่งโกรธนะ บอก อื๋อ มันไม่อยากเอาทรัพย์ ข้าเอาไป บริจาคที่อื่นดีกว่า นี่มันอย่างนี้กันล่ะนะ เอ้า เอาไปบริจาคก็บริจาคไปซิ ของพ่อของแม่ จริงๆน่ะ

แต่ถ้าคุณยิ่งให้พ่อแม่มาสละ แหม พูดอย่างนี้จะกลายเป็นพูดเอาหรือเปล่า เลยกลายเป็นพูดเอา จะพูดให้คุณต้องไปเอาทรัพย์ศฤงคาร ของพ่อแม่ มาให้บริจาคให้ ให้ทางนี้อีก ไม่พูดต่อ เพราะพูดไปแล้ว ที่จริงนิดเดียว ก็ตามแต่เถอะ ประเดี๋ยวจะหาว่าอาตมาไปพูดและเล็ม เลียบเคียงเอาอีก ไม่อยากพูดต่อ แต่ก็ที่จริงใจนะ ที่จริงไม่ได้เจตนาจะไปพูดเอาของใครหรอก ใครจะเอาเป็นของใคร ก็ไม่ว่าหรอกน่ะ ใครจะเอาไปทางไหนก็เป็นบุญ เป็นกุศล ทรัพย์นั้น มันเกิดคุณค่า อย่างใดล่ะ ทรัพย์ที่เกิดประโยชน์คุณค่าที่เป็นกุศล ยิ่งเป็นโลกุตรกุศล เป็นสิ่งที่ประเสริฐ มันก็ยิ่งมีค่าน่ะ ทาน ทานให้พระโสดา ก็ได้บุญเท่านี้ ทานให้พระสกิทา ยิ่งได้บุญมากขึ้น ให้พระอนาคาได้บุญมากขึ้นอีก เรียงเอาไว้หมดนี่ สูตรพวกนี้ เอามาทั้งนั้นล่ะ ไม่มีเวลาจะได้อ่าน ทำกับพระพุทธเจ้ายิ่งดีน่ะ มาทานกับพระพุทธเจ้ายิ่งดีกว่า ไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ให้กับ พระอรหันต์ ให้กับคน ยิ่งดีเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมดาธรรมชาติ เหนือชั้นกว่า

วันที่พ่อท่านไปขึ้นศาลจังหวัดนครราชสีมา ตำรวจที่เขาบริการพวกเราอยู่ที่ถนน เขาพูดกันว่า "ประเทศไทยเรา ถ้ามีคนเหมือนพวกนี้สัก ๕๐% จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น" เขาก็พูดโก้นะ ตำรวจพวกนี้ มีปัญญา มองอะไรออก ทุกวันนี้ เราอย่านึกว่า คนโง่นะ คนมีปัญญา บางทีนี่นะ จอมโจรบัณฑิต ไม่ค่อยจะมีปัญญาเท่าไหร่หรอก ไม่ค่อยรู้ มองไม่ค่อยออก เพราะจอมโจรบัณฑิต แต่พวกธรรมดา สามัญ กลับมีปัญญามองออก เขาไม่ได้เป็นจอมโจรบัณฑิตแล้ว เขาก็มองอะไรออก อันนี้ดีกว่าน่ะ

เอ้าทีนี้พอขยาย หิริ โอตตัปปะ สุตะ อะไรนี่ ความรู้นี่ ก็คือ สุตะนี่ เสริม สุตะ เสริมความรู้อะไร ต่ออะไร เพิ่มเติมเสมอ จนกระทั่งสุดท้าย ก็จะเกิดจาคะ ปัญญา ทรัพย์พวกนี้ เป็นทรัพย์ อาตมา ขอย้ำอีก ย้ำแล้ว ย้ำอีก ทรัพย์ที่คุณจะต้องมีไปอีกนานับกัปกัลป์ จนกว่าคุณจะปรินิพพาน นี่แหละ คือ ทรัพย์ เพราะฉะนั้น มันกลับกันไปหมดเลย คนเราเกิดมา ก็มาแสวง แต่ทรัพย์โลกๆ หาลาภ หายศ หาอะไรต่ออะไร มันไม่ถูกทางเลย เห็นไหม เมื่อไหร่ล่ะ คุณจะเกิดสัมมาทิฏฐิ แต่หลายคน พวกเรานั่งอยู่นี่ เกิดสัมมาทิฏฐิ บ้างแล้วล่ะ แต่วิบาก บางทีมันก็จำนน บางคนวิบาก บางคนเห็น ชัดเจนเลย เชื่อ ๑๐๐% เลยนะ แต่วิบาก ยังออกมาไม่ได้ แต่อย่าไปโทษวิบากมากนัก คุณต้องทำ วิบากใหม่ คือ ออกมาให้ได้ต่างหาก แล้วคุณก็ออกมาไม่ได้ มันมีวิบาก มีภาระต้องอยู่อย่างนี้ไป พอตายชาตินี้ ไปอีกชาติหนึ่ง คุณก็เท่าที่คุณตายนั่นแหละ คุณก็ติดอยู่แค่นั้นแหละ

เพราะฉะนั้น หลุดพ้นออกมาให้ได้ชาตินี้ ปัจจุบันนี้ให้ได้ ปลดวิบากอันนั้นน่ะ ไม่ได้หรอก เราชนะให้ได้ ออกมาให้ได้ๆๆๆ เรื่อยๆนั่นล่ะ มันถึงจะเป็นการก้าวหน้า ถึงจะเป็นการเจริญ

เอ้า ทีนี้ มาหาศรัทธาขยายอีกหน่อย ที่จริงอธิบายแล้วที่ปลุกเสกฯ แต่ว่าจะขยายซ้อนลึกอีก อย่างใครฟังวันนี้ ก็ซ้ำซากที่ปลุกเสกฯ แต่อาตมาว่า ได้เจาะชอนไชด้วยนัยการพูด วิธีการที่จะสื่อ อะไรนี่ มากกว่ากัน ต่างกัน มุมเหลี่ยมต่างกัน เล่นละครเรื่องเดียวกันแหละ แต่มี dialogue ใหม่ ตัวแสดงใหม่ มีดาราใหม่ เพิ่มเติมขึ้นนะ เรื่องเดียวกัน ให้ชื่อเรื่องพระจันทโครพ เหมือนกัน แต่ว่าตัวละคร ต่างกันแล้ว เนื้อเรื่องก็มีพิสดารมากกว่ากัน เป็นจันทโครพ อย่างญี่ปุ่นเรื่องอะไรนะ เขาว่าจันทโครพญี่ปุ่น อะไรที่ ตอนนั้นได้ๆๆ ราโชมอน เรื่องราโชมอน มีพระเอก นางเอกในป่า แล้ว เสร็จแล้วก็มีตัว เจ้าตัวไอ้โจรมันก็มาแย่งนางเอก เหมือนกันเลย เสร็จแล้วไปเข้าทรงกัน อะไรต่ออะไร อู๊ว์ มันก็วางเรื่องไป มันเนื้อเรื่องเหมือนกันเลยนะ แต่มันตัวแสดงต่างกัน รายละเอียดของเนื้อเรื่อง ต่างกัน อย่างนี้แหละ เรื่องเก่าแต่ว่ามันนัยต่างกัน มีเนื้อหาต่างกันไปบ้าง รายละเอียดต่างกันไปบ้าง แต่แกนหลักเหมือนกัน

ศรัทธาสูตร นี่เป็นสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ถึงระบบของศรัทธา จริงๆเลยนะ ผู้ประกอบด้วย ธรรม ๑๐ ประการนี้ ย่อมเป็นผู้ก่อให้เกิด ความเลื่อมใสโดยรอบ จะเกิดความเลื่อมใสนี่ หมายความว่า ศรัทธาเห็นจริงเห็นจัง ตามมาเลื่อมใส โอ๊ย เห็นจริงเห็นจังตาม เชื่อถือตามเลย เลื่อมใสนี่ และเป็น ผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง แล้วจะเป็นผู้บริบูรณ์ คือสมบูรณ์เกิดครบครัน ด้วยอาการทั้งปวง อาการอะไรบ้าง ๑.ศรัทธา ๒.ศีล ๓.พหูสูตร ๔.เป็นพระธรรมกถึก ๕.เข้าสู่บริษัท ๖.แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ๗.ทรงวินัย ๘.อยู่ป่าเป็นวัตร นี่เอาตามภาษาเขาไปก่อน เดี๋ยวอาตมา จะขยายความภาษาพวกนี้ ๙.ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากในฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุข ในปัจจุบัน ๑๐.กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ หมายความว่า บรรลุเป็นนิพพาน เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เองนี่ หมายความว่า ตัวเราทำได้ ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ในขณะนี้ ก็มีสภาพนั้นอยู่

นี่เราก็จะย่นย่อ เอาหัวข้อมา ทีนี้อาตมาจะขยาย ก่อนจะขยาย ก็พูดถึงศรัทธา ๔ เสียก่อน ศรัทธา ๔ อาตมาก็ได้อธิบายมาแล้ว คือมีกรรมศรัทธา วิปากศรัทธา กัมมัสสกตาศรัทธา ตถาคตโพธิศรัทธา ศรัทธาในกรรม เชื่อกรรม ศรัทธาในวิบาก เชื่อวิบาก ศรัทธาในกรรมที่ตนทำเป็นของๆตน เรียกว่า กัมมัสสกตาศรัทธา คือเชื่อ เชื่อเลยว่า เราทำนี่เป็นของๆเรา เราจะทำกรรมชั่วเป็นของๆเรา เราจะทำ กรรมดีเป็นของๆเรา มันซ้อนกับกรรมศรัทธา ซ้อนกับวิปากศรัทธาเหมือนกันนะ แต่มันเชื่อหนัก เข้าไปกว่านั้นว่า กรรมเป็นอันทำ แล้วกรรมทำแล้วนี่ ไม่มีใครแบ่ง ไม่มีใครแย่ง ไม่มีใครโกง ไม่มีใคร ที่จะเอาไปได้ ต้องเป็นของเรา

ชั่ว คุณจะไปแบ่งให้คนอื่นก็ไม่ได้ ดี คนอื่นจะมาขอแบ่งไป ก็ไม่ได้ อย่ามาเล่นลิเกเสียให้ยาก ทุกวันนี้ คนที่เขาเล่นลิเกอยู่ เขาก็เล่นไป เล่นลิเกแบ่งบุญ แบ่งบาป อะไรกันอยู่ แต่เขาไม่แบ่งบาป เพราะว่า ไม่มีใครเอาหรอก แบ่งบาป ให้ใครล่ะนะ เขาก็แบ่งบุญ เล่นลิเกกันไป ก็เรื่องของเขา เราเชื่อแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเราไว้อย่างนี้ แล้วเราก็พิสูจน์ อาตมาไม่ใช่ว่า เอามาให้คุณฟัง แล้วก็เชื่อเฉยๆ คุณพิสูจน์ว่า เป็นของเรานะ ดีมันก็เป็นดีของเรานี่แหละ คุณมีดี แล้วคุณก็ปรากฏดี แสดงดี ทำดี อยู่ในหมู่ของคนดีนี่ รู้จักดีด้วยกันว่าเป็นค่า คุณก็จะรู้ว่า เออ คนนี้ดี เพราะคนนี้ทำดีอย่างนี้ ค่าของความดี สูงต่ำขนาดไหน เราเรียนกัน แล้วเราก็รู้กัน แล้วเราก็รู้กันว่า คุณค่าของความดี พฤติกรรมความดี เป็นกุศล กุศลขนาดไหน คนนี้ขยันดี คนนี้เสียสละดี คนนี้จริงใจนะ สร้างสรร ไม่มีเล่ห์กล ไม่มีซับซ้อน ไม่มีลำเอียงอะไร ขนาดไหน คุณก็รู้กันในนี้ คุณก็ให้ราคาให้ค่ากัน ตลอดเวลา ของใครของมัน กัมมัสสกตา เป็นของๆตน เราเชื่อพระพุทธเจ้า ตถาคตโพธิศรัทธา เชื่อพระพุทธเจ้าจริงๆ เชื่อ ท่านสอนอย่างนี้ อย่างนี้ประเสริฐอย่างนี้แหละ เดินทางตาม พระพุทธเจ้า จะเป็นคนพ้นทุกข์ จะเป็นคนยอดเยี่ยม จะเป็นคนประเสริฐ พิสูจน์ไป ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติโน้น ชาติไหนๆๆ อาตมาพิสูจน์มานี่จำได้น่ะ จำได้ บอกคุณด้วยว่าจำได้ หลายชาติ จำได้ จนชาตินี้ อาตมาเชื่อ ต้องพูดอย่างนี้ ไม่อย่างนั้น คุณไม่เชื่อ พูดอย่างหนัก อย่างแน่น ถ้าพูด อาตมาเชื่ออย่างนี้ พวกคุณก็บอก มันเชื่อจริงหรือเปล่าว้า ถ้าอาตมาบอกเชื่อ อย่างนี้ เออเข้าท่าๆ ใช่ไหม เพราะคุณติดนิสัยดูลิเกละครมาเยอะ เพราะฉะนั้นลิเก พวกดาราศิลปิน ตุ๊กตาทองนี่ เวลาเขาจะฆ่า เขาจะจริงจัง ฆ่าจริงๆ แสดงท่ารัก รักจริงๆ อาตมาก็ต้องแสดงท่าอย่างนั้นตาม ถ้าไม่อย่างนั้น คุณไปติดนิสัย พวกโน้น ต้องดูอย่างโน้นมาแล้ว ไปเชื่ออย่างโน้นมากกว่า ถ้าอาตมา จะไม่แสดงอย่างนี้บ้าง น้ำหนักมันจะไม่มาก อาตมาเลยจำเป็นต้องเป็น ดาราตุ๊กตาทอง ต้องแสดง อย่างนี้ด้วย แล้วก็จริงใจ ที่จริงไม่ได้แสดงปลอม อาตมาเชื่อจริงๆ การแสดงของอาตมา ไม่เหมือนนักแสดง นักแสดงดาราตุ๊กตาทอง มันไม่ได้เจ็บปวดหัวใจจริงเลย มันทำทีเป็นเจ็บปวด หัวใจ มันไม่ได้รักจริงเลย มันทำเป็นรัก อาตมานี่ รักจริงๆนะ ทุกข์บอกทุกข์ สุขบอกสุข วูปสโมสุข เป็นอย่างนี้ บอกออกมาให้มันจริงๆๆ ให้มันตรงเนื้อจริงๆเลย แสดงออกไป แรงๆนี่ ยังไม่แรงเท่า ความจริงที่มีอยู่ ถึงเป็นดาราตุ๊กตาทองที่จริงๆ ยิ่งกว่า ไม่ใช่ดาราเสแสร้งแสดง แต่แสดงความจริงออกมา ให้มันจริง ที่เรามี ให้มันมากที่สุด มันเป็นอย่างนี้น่ะ

เพราะฉะนั้น มันถึงต่างกัน อาตมาเชื่อ เชื่อพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้ว ก็เชื่อ เพราะอาตมาได้มา อาตมาว่า อาตมาประเสริฐ อาตมาว่าอาตมาวิเศษ อาตมาว่าอาตมาเป็นสุข นี่ไม่ได้ชมตัวเองนะ ใช้ภาษา อาจจะบอกว่าประเสริฐ นิดหน่อยก็ได้ วิเศษนิดๆก็ได้ ไม่เป็นไรน่ะ ก็เพราะอาตมาเชื่อ พระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติประพฤติ อบรมตามพระพุทธเจ้ามาไม่รู้กี่ชาติๆ หลายชาติน่ะ กว่าจะได้ ขนาดนี้นี่ อาตมาเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง ว่าพวกคุณหลายคน คงอยากจะได้อย่างอาตมาบ้าง มีศรัทธาศีล นี่ดีแล้ว หันกลับมาหาศรัทธาสูตรน่ะ

การศรัทธาอันที่ ๑ นั้น ท่านเอาอันนี้อ่านน่ะ เพราะว่าท่าน บรรยายไว้ในเนื้อความนี้ดี อ่านตามท่าน แล้วเข้าใจ แล้วอธิบายได้ดี เอาตามนี้เลย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่มีศีล อย่างนี้ เธอชื่อว่าเป็นผู้ ไม่บริบูรณ์ ด้วยองค์นั้น องค์ศรัทธานั่นแหละ ศรัทธา ต้องประกอบไปด้วยองค์ศีลนี่ ที่ไล่ไป แล้วเมื่อกี้นี้ จึงจะเรียกว่าบริบูรณ์ แล้วไม่ใช่ว่าได้แต่ตัวหนังสือด้วยนะ ต้องได้ สภาพ ศีล เป็นยังไง อย่างน้อยหลักแรก

เพราะฉะนั้น ศรัทธาทุกวันนี้ คนที่ศรัทธาในโลกนี้เขาไม่มีศีล เขาว่า เป็นสมบัติของเขานะ คนในโลกบอกไม่มีศีลน่ะ ฆ่าสัตว์ แหม ฆ่าสัตว์ขายด้วย ฆ่าสัตว์หาเลี้ยงชีวิตด้วยนะ หาเลี้ยงชีพ ด้วยการฆ่าสัตว์ด้วย เขาไม่มีศีลเลย ไอ้ศรัทธาเขาเชื่อด้วย ชีวิตจะเป็นสุขเพราะฉันร่ำรวยมา เพราะว่าฉันฆ่า ตั้งโรงฆ่าสัตว์ เลี้ยงสัตว์มาไว้เพื่อฆ่า ฯลฯ...

เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้ อยู่ที่ศรัทธา ศรัทธา เขาศรัทธาอย่างนั้น เขาก็ไปทำอย่างนั้น อาตมาต้อง พยายามอธิบาย ไอ้ที่มันชัดเจน มันจะได้เปรียบเทียบกันได้ชัด ของคุณศรัทธาอย่างไร ศรัทธา ไม่ใช่อย่างของพระพุทธเจ้า ก็ศรัทธาอย่างไม่มีศีล ทั้งๆที่เป็นพุทธศาสนิกชน ยังไปศรัทธา อย่างที่ไม่มีศีล อย่างนี้ไม่ใช่ศรัทธาอย่างตถาคตโพธิศรัทธา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่างนี้ เราก็มาศรัทธา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ อย่าไปเป็นมีราคะมาก ลด อย่าไปพูดปดพูดอะไร เราก็มาปฏิบัติ มีศีลจริงๆอย่างนี้ เริ่มต้นเป็น อริยทรัพย์ เริ่มต้นเป็นเทวธรรม เป็นทรัพย์ที่ดี

เพราะฉะนั้น เรามาอบรม ฝึกฝนนี่เถอะ สั่งสม สะสมทรัพย์นี้ พอเริ่มต้น เชื่อ เชื่อพระพุทธเจ้าสอน แล้วต้องเริ่มต้นมีศีล แล้วประพฤติตนมีศีล เริ่มต้นมีทรัพย์ เพราะศีล คุณจะปฏิบัติ ตั้งแต่กาย วาจาไป ก็จะเป็นทรัพย์ ยิ่งขัดเกลาจิตไปด้วยเลย เกิดเมตตา ยิ่งศีลข้อ ๑ มันก็ทำให้เราเมตตาขึ้น ศีลข้อ ๒ ก็ทำให้เราละโลภะ ละโลภะออกไปเรื่อยๆๆเป็นทรัพย์ เป็นทรัพย์เป็นความจริง เป็นของจริงนะ ยิ่ง ศีลข้อ ๓ ก็ให้ละราคะ ก็ละไป ศีลข้อ ๔ ก็บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยวาจาขึ้นเรื่อยๆ ศีลข้อ ๕ ก็เลิกเมา เมาโลกน่ะ เมาโลกียะ ตื่น เป็นผู้ตื่น พุทโธ พุทธะ เป็นพุทธะขึ้นมาเรื่อยๆๆๆ ตื่นหลุดพ้นมาเรื่อยๆ เพราะศีล เพราะฉะนั้น จะบริบูรณ์ก็เพราะศีลน่ะ อันต้น พระพุทธเจ้าว่า มีศรัทธาแต่ไม่มีศีลอย่างนี้ เธอชื่อว่าไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอนั้นพึงบำเพ็ญองค์นั้น ให้บริบูรณ์ด้วย คิดว่าไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้มีศรัทธาและศีล เพราะฉะนั้น เริ่มศรัทธา แล้วก็เริ่มมีศีล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธาและศีล เมื่อนั้นเธอชื่อว่า เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น ศีลก็มีอธิศีล เพราะฉะนั้น เมื่อเราปฏิบัติศีล ได้เป็นอธิ ได้ศีล ปฏิบัติเป็นจิต เป็นปัญญา เป็นญาณ เป็นวิมุติ เป็นฌาน เป็นฌานเป็นวิมุติขึ้นไปเรื่อยๆ ศีลที่เอาปฏิบัตินี่ เป็นฌานเป็นวิมุติไป คุณก็ยิ่งบริบูรณ์ บริบูรณ์ขึ้น ด้วยความเป็นจริงจากความก้าวหน้า ความพัฒนา สิ่งที่คุณเกิด คุณเป็น

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล แต่ไม่เป็นพหูสูต น่ะ ไม่เป็นพหูสูต ก็ไม่ถือว่า ไม่บริบูรณ์ ไม่บริบูรณ์ แต่บริบูรณ์ที่มีศีล แต่ไม่บริบูรณ์ด้วยพหูสูต เพิ่มพหูสูตได้อย่างไร เพิ่มพหูสูตได้ด้วยการฟัง ด้วยการอ่าน ด้วยทางความรู้ ทางปริยัติ แล้วก็พหูสูต ด้วยการปฏิบัติ ปฏิบัติขึ้น ปฏิบัติได้ผล จนกระทั่งมีปฏิเวธ ก็เป็นพหูสูต ที่ประสบผลแห่งความได้เอง เป็นเอง ถึงรอบแห่งความจริง ที่คุณละคุณลด คุณเจริญตามศีลตามธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ปฏิบัติอย่างนี้ เลิกอย่างนี้ จงต้องทำอย่างนี้ให้ยิ่ง อย่าทำอย่างนี้ คุณก็ทำได้มาเรื่อยๆๆ ทั้งกาย วาจา ใจ ใจเป็นตัวเป็น ใจเป็นตัวเห็นจริง แล้วก็ทำจนกระทั่งกาย วาจาเป็น จนกระทั่งใจ มันเต็มใจ มันเป็นอย่างนั้นเต็มๆ เป็นตามศีล แต่ละขั้นตอนของอธิศีล ที่คุณได้ มันก็เจริญขึ้นมา คุณก็จะมี พหูสูต ยิ่งจะรู้ความจริง นอกจากจะรู้ปริยัติ รู้ปฏิบัติ รู้ปฏิเวธ รู้อารมณ์ของปฏิเวธธรรม รู้อารมณ์ว่า ละลดเลิก เสร็จแล้ว มาเป็นอย่างใหม่ มาเป็นคนอย่างใหม่ เป็นคนโลกใหม่ แล้วเป็นยังไง แต่ก่อนนี้ ติดโลกอย่างนั้น โลกียะอย่างนั้น เสร็จแล้วเลิกโลกโลกียะอย่างนั้นมาได้ๆๆๆ มาเป็นคนโลกอย่างนี้ อาศัยอย่างนี้ เทียบเคียง แต่ก่อนนี้เคยสุข สุขอย่างโน้น เดี๋ยวนี้ไม่สุขอย่างนั้นแล้ว แล้วก็ไม่ทุกข์ อย่างนั้นแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างนั้น มาเป็นคนอย่างนี้ ได้อาศัยความเป็นอยู่อย่างนี้ คุณก็จะต้อง รู้อารมณ์เป็น ในตัวของพหูสูตทั้งนั้น

ทีนี้เป็นพหูสูตแล้ว แต่ไม่เป็นพระธรรมกถึก ก็ยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่ดี เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้แล้ว ถ้าเป็นศาสนาอื่น เขาไม่พูดหรอกพระธรรมกถึก พระธรรมกถึกก็คือผู้ที่จะสอนต่อ ผู้ที่จะสืบทอด ศาสนาต่อ ทีนี้ศาสนาพุทธ ยืนยันเลยว่า ความเจริญที่มีตัวศรัทธา เชื่อแล้วก็มีศีล ปฏิบัติจนกระทั่ง เกิดพหูสูต อย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว จนถึงปฏิเวธธรรม เมื่อเราได้สิ่งเหล่านี้ เราก็เอามาสอนผู้อื่น เป็นพระธรรมกถึก ถ้ายังไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระธรรมกถึก ยังไม่บริบูรณ์ด้วยองค์แค่นี้แหละ เพราะฉะนั้น แม้เราจะได้ ถึงยังไม่ถึงขั้นบรรลุ เป็นปฏิเวธธรรมก็ตาม เราก็เริ่มสอนคนได้ สอนคนเป็น สอนได้บ้าง ตามปริยัติ เราก็ไม่ไปบอกว่า เราปฏิบัติได้ละ เราก็บอกเป็นปริยัตินะ พระพุทธเจ้าสอนเรา ไว้ว่า อย่างนี้ อาตมายังไม่ได้หรอกนะ ก็ไม่เป็นไร แต่เป็นพระธรรมกถึก แต่นี่ ไม่ได้ก็ยังไม่กล้า ยังไม่อาจหาญ ยังมีต่อไปอีก นี่พระพุทธเจ้าท่านต่อไปอีก นอกจากพระธรรมกถึกแล้ว

ไม่เข้าสู่บริษัทน่ะ ไม่เข้าสู่บริษัท เอาละ ต่อให้เป็นพระธรรมกถึกเหมือนกัน แต่พระธรรมกถึก ไม่เข้าสู่บริษัทหรอก เดี๋ยวต้องขยายความ กลับไปกลับมา เป็นพระธรรมกถึกมีคนมาหาทีละคน ก็พูดบ้าง มาหลายคนก็ชักเป็นบริษัท บริษัทนี่แปลว่า ประชุมชน มาหลายคนไม่กล้าพูด นี่เรียกว่า พระธรรมกถึก ที่ไม่เข้าสู่บริษัท ที่จริงไม่ใช่ไม่เข้าสู่บริษัทหรอก บริษัทมาหา คือประชุมชน บริษัท แปลว่าประชุมชน เขามาหาไม่กล้าพูด ไม่แกล้วกล้า

ต่อมาก็ไม่แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ไม่เป็นพระธรรมกถึก เปิดตำราเล่มเล็กนั่นก็ได้ เมื่อกี้นี้ เป็นข้อๆไปนะ มันกลับกัน ต้องเป็นพหูสูต แล้วก็เป็นพระธรรมกถึก คือต้องแสดงธรรม เป็นพระธรรมกถึก แสดงธรรมกับคนไม่กี่คน ไม่เป็นบริษัท กล้า กล้า คนเดียวยิ่งกล้า ๒ คน ก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ ยิ่ง ๓ คน ยิ่งไม่ค่อยกล้า ๕ คนยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ ยิ่งไม่ค่อยกล้า นี่ เรียกว่า ไม่เข้าสู่บริษัท ไม่กล้ากับบริษัท ไม่กล้ากับประชุมชน ทีนี้ บริษัทเข้าเหมือนกัน หมู่ชนมา กล้านั่งอยู่ด้วย แต่ไม่แกล้วกล้า อาจหาญในการแสดงธรรม ไม่แกล้วกล้าอย่างไร ไม่มั่นใจ อาตมา มันลักษณะแกล้วกล้า จนเขาหาว่ากร้าว คนขี้ตู่ เราแสดงความแกล้วกล้า แต่เขาหาว่าเราก้าวร้าว เห็นไหม คนไม่แม่นต่อประเด็น ขี้ตู่อาตมา นี่อาตมาไม่ได้พูดเอาดีตัวเอง นะ อาตมาพูดความจริง อาตมาแสดงลักษณะพวกนี้ เป็นลักษณะแกล้วกล้า มั่นใจ จะบริษัทที่นี่ก็ตาม ที่นั่นก็ตาม อะไรอย่างนี้ อาตมาก็แกล้วกล้า แต่ว่าก็ประมาณนะ แสดงกับพวกคุณนี่แกล้วกล้า อย่างประเภทที่ เรียกว่า เหมือนกร้าว คุณก็ไม่ตำหนิ ติเตียน แต่ถ้าบริษัทอื่น เขาเพ่งโทษอยู่ ถ้าขืนไปแสดงแกล้วกล้า หวือๆหวาๆ แบบนี้ เขาบอก เอ๊ะ นี่ก้าวร้าวจังเลย มันดูรุนแรงเลย แหม มันทำไมต้องรุนแรง เหลือเกินจ้า ไม่ต้องปานนี้ก็ได้ เขาก็จะว่าอย่างนั้น แต่สำหรับพวกคุณ มันยิ่งดี ยิ่งดี ยิ่งเชื่อว่า อาตมาจริงใจ ยิ่งลักษณะนี้ ยิ่งเชื่อว่าจริงใจ เพราะฉะนั้น แกล้วกล้า แสดงแกล้วกล้าออกมา กับกริยาได้น่ะ เพราะฉะนั้น ต้องแกล้วกล้า แสดงธรรมแก่บริษัทด้วย จึงจะบริบูรณ์ด้วยองค์เหล่านี้ ขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ ทีนี้ แกล้วกล้า ก็ต้องมีขอบเขต ต้องมีหลักเกณฑ์ ต้องทรงวินัย วินัยก็คือหลักเกณฑ์ ก็คือขอบเขต เช่น อวดอุตริมนุสธรรมต่ออนุปสัมปัน ปาจิตตีย์ นี่ก็ ถึงแม้จะจริงใจ ขนาดไหน ก็ต้องดูนะ จริงๆแล้ว อาตมาอวดอุตริมนุสธรรมกับพวกคุณ ไปอวดอุตริมนุสธรรมกับข้างนอกเขา เอ๊ะ ต้องทรงวินัยไว้หน่อย ไม่ได้หรอก บริษัทอย่างนี้ พูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วมันเพ่งโทษ ขนาดนั้น ยังเอามาเพ่งโทษเลย จริงๆ อาตมาไม่ได้ผิดวินัยหรอก แต่เขาก็ในเมื่อมาอัดเป็นเท็ป เท็ปออกไป แหม อาตมาก็ไม่รู้จะพูดยังไง มันสมัยนี้น่ะนะ เวลานี้เราถือว่าออก ไม่ทรงวินัย จึงต้องคำนึงวินัย ด้วย แม้จะแกล้วกล้า แม้จะมีสัจจะความจริงมากขนาดไหนก็ตาม ต้องทรงวินัย อย่างนี้เป็นต้น เอาวินัยข้อนี้มาอธิบายนี่ คุณจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ต้องทรงวินัย ถ้าไม่ทรงวินัย ไม่บริบูรณ์ แม้จะเป็น พระธรรมกถึก ที่เก่งขนาดไหนก็ตาม ต้องระมัดระวังด้วยวินัย ไม่ใช่วินัยข้ออวดอุตริมนุสธรรม อย่างเดียว วินัยข้ออื่นๆก็ ด้วยต้องระมัดระวังด้วยวินัยอื่นๆ

ทรงวินัยแล้ว แต่ไม่อยู่ป่าเป็นวัตร คำนี้เป็นภาษาที่เข้าใจยากเหลือเกิน สมัยนี้ แต่พวกเราอยู่ป่า เป็นคนป่า สันติอโศกเป็นป่าอย่างยิ่งของกรุงเทพฯ แม้แต่สวนจตุจักร ปลูกต้นไม้เยอะกว่าสันติอโศก ยังไม่เป็นป่าเลยจริงๆ นะ ไม่มีจักจั่น สันติอโศกมีจักจั่น อย่างนี้ เป็นต้น โอ้โฮ อยู่กลางเมืองเลย มี จักจั่นร้องได้ในกรุงเทพฯ มีที่สันติอโศกเท่านั้น ที่ว่าเป็นป่านี่ ไม่ใช่นัยของต้นไม้ ของป่าอย่างนี้เท่านั้น ป่าคือที่ต้องประกอบด้วย จะว่าต้นไม้ก็ประกอบด้วย คือมี ธรรมชาติ มีธรรมชาติที่ได้สมดุล มีธรรมชาติที่จริงๆแล้ว คิดในแง่เศรษฐศาสตร์ แล้ว เป็นธรรมชาติที่จะต้องถ่วงดุลกับสังคมด้วย

ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมาไม่ได้เคยพาพวกเราไปอยู่ในเมือง แม้จะอยู่กรุงเทพฯ มาสร้างสันติอโศก ก็เริ่มต้นสร้างป่าในกรุงเทพฯ อยู่ที่ไหนก็สร้างป่า ไปอยู่ที่ป่าแล้ว ป่าช้าที่นี่ แต่ก่อนมันร่มรื่นอย่างที่นี่ที่ไหน ก็ให้บูรณะขึ้นมา สร้างป่า ไปอยู่ศีรษะอโศก เป็นป่าเก่า เดี๋ยวนี้โกร๋น ลงไปเยอะ แปลก ศีรษะอโศกเป็นป่าใหญ่เดิม เดี๋ยวนี้ชักร้าง ช่วยกันเผา ช่วยกันรื้อ แล้วคนที่ในแถว ศีรษะอโศก แถวบ้านกระแชงอะไร เขามาช่วยล้าง ช่วยเผา ช่วยผลาญ แต่ที่นี่ไม่ ที่นี่อุดม ศาลีอโศกกลับเป็นป่ายิ่งขึ้น ศีรษะอโศกกลับเป็นป่าโทรมลงไป โทรมลง คนคนข้างในวัด ในป่าศีรษะอโศกก็ตาม อาตมาก็พยายาม เคยแต่ก่อนน่ะ ให้ปลูกต้นอะไรต่ออะไรขึ้นมา เพิ่มเติมขึ้น เดี๋ยวนี้ก็ถางก็รื้อ ก็อะไรกันออกไปเยอะแล้ว นี่ก็พูดเปรยๆเอาไว้ เผื่อว่าจะได้สำนึกกันบ้าง

สร้างป่าหรืออยู่ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้สร้างป่ารก แต่สร้างป่าที่อยู่กันได้กับป่านั้น ไม่มีโทษ ไม่มีภัย และคนจะต้องอยู่ในนี้ พระพุทธเจ้าตรัสมา ตั้งแต่ ๒๕๐๐ ไม่ใช่ป่าลึก ไม่ใช่ป่าที่จะมีไข้ มาเลเรีย ป่าที่จะมีสัตว์ร้าย ป่าที่มีอะไรทั้งนั้น เหมือนกับพระธุดงค์ เขาออกไปอย่างนั้น นั่นผิด ป่าอย่างนั้น อาตมาเคยเอาอุบาลีสูตร อยู่ในนี้ก็เตรียมมา อุบาลีสูตร ถ้าป่าอย่างนั้น ไม่ใช่ที่ที่ พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ถ้าจะไปอย่างนั้น ไปทดสอบได้ ผู้ที่จะไปทดสอบต้องมีสมาธิ ต้องมีความแข็งแรง ต้องมีภูมิ เข้าไปทดสอบว่า เราจะกลัวป่าอย่างนั้นไหม เราจะสามารถ มีภูมิคุ้มกัน อยู่กับไข้ อยู่กับสิงห์สาราสัตว์เหล่านั้น ได้ไหม มีเมตตาเพียงพอไหม มีอะไร เพียงพอไหม จะอยู่อย่างนั้นได้ จะกลัวไหม ไปทดสอบความกลัวได้ ทดสอบได้ ถึงแม้ว่าไม่ไป ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไป ก็ได้ทดสอบจริง ไม่ใช่เรื่องสามัญ เรื่องวิสามัญ เท่านั้น ป่าอย่างนั้นน่ะ นี่เขาไม่เข้าใจป่า อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ออกนอกทาง บุกป่า ตกเหวตาย ถูกงูกัดตาย ถูกช้างขวิดตาย เสือกินตาย มาเยอะแล้ว ไม่มีในพระไตรปิฎกเลยว่า เล่า ล่อง ไพร แหม อย่างที่ ในหนังสือเดี๋ยวนี้ เขียนขายกัน พระธุดงค์ แล้วก็เล่าเรื่องไปต่อสู้ โน่น ไอ้นี่ เขียนขายกันในหนังสือวางตลาด ที่เดี๋ยวนี้มี ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่มีเล่าอย่างนั้นหรอก พระล่องไพรไม่มี แต่ในเมืองไทย ไปเอามานอกรีต เป็นพระล่องไพร เอามาเล่าเขียน โอ๊ย เก่งกาจสามารถอย่างนั้น ไม่ การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า อยู่กับสังคม จะป่าก็เป็นป่าอย่างนี้ ป่าเมือง ป่าที่พัก ป่าเป็นสวน ป่าเป็นอรัญ แม้ในภูเขาคิชฌกูฏ ก็เป็นภูเขาในเมือง พระพุทธเจ้าอาศัยป่าอย่างนั้น อยู่ในป่าภูเขาคิชฌกูฏ ไม่ใช่ป่ารก ป่าชัฎ ไม่ใช่ป่า ที่จะทำให้เสียหาย ภูเขาคิชฌกูฏ ก็พระเจ้าอชาตศัตรูอยู่วัง ประเดี๋ยว เดินทางก็เฮละโลกันไป ประเดี๋ยวเดียว บอกมันจะค่ำจะมืดแล้ว ก็เดี๋ยวเดียว ก็ถึงภูเขาคิชฌกูฏ มันจะไกลอะไรเล่า พระเจ้าอชาตศัตรู เดินทางไปก็ในตำราก็ยังมี อย่างนี้เป็นต้น ก็ไปไม่ได้ไกลอะไรหรอก ป่าของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ที่หมาย อย่างนั้นเลย

เอาทีนี้เป็นนามธรรม มีป่าในหัวใจ อยู่ป่าเป็นวัตร เป็นผู้ที่ยินดีในป่า ยินดีในสูญญาคาร คือจิตว่าง จิตที่เป็นธรรมชาติอันสมดุล มีความรู้อย่างสมบูรณ์ว่า อะไรคืออะไร ที่จะต้องอยู่กัน อย่างชนิดนี้ เรียกว่าป่า ป่าคือความสมบูรณ์ ป่าคือ ธรรมชาติอันสมบูรณ์  ความเย็น ความสงบ ความมีทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ดี ที่สังเคราะห์กันอย่างได้สัดส่วน อย่างนี้เรียกว่าป่า ภาษาพวกนี้ลึกซึ้งมาก

ฉะนั้น จะบอกว่า อยู่ป่าเป็นวัตร ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้เละเลย เลยเป็นพระล่องไพร ตกลงศาสนา ไม่ต้องสอน แล้วจะสู่บริษัทได้อย่างไรเล่า ขัดกันแม้จะกล่าวว่า ต้องสู่บริษัท ใครเคยมั้ย จะเข้าบริษัทที่หนึ่ง แหม ชีวิตพระธุดงค์ออกมาสู่บริษัท ๒ ครั้ง ก็ตาย ศาสนาสูญแน่เดือดร้อน ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ขอยืนยัน

เพราะฉะนั้น คำว่าอยู่ป่านี่ เรานี่แหละถูกต้องที่สุด ป่าสันติอโศก ป่าปฐมอโศก ป่าศาลีอโศก นี่ประเดี๋ยวไปเดินบิณฑบาตที่ในเมือง น่ะเราก็อยู่ป่า ชาวศาลีอโศกเขาเรียก พระวัดป่านะ เขาเรียกพระวัดป่า อยู่ศีรษะฯ เขาก็เรียกพระวัดป่า วัดป่านี่อย่างนี้ถูกแล้ว นี่ในรายละเอียด มีมากกว่านี้ นี่หมดเวลาแล้ว อาตมาพยายามดันไปเท่านั้นเอง

นอกจากจะอยู่ป่าเป็นวัตรแล้ว หรือ อยู่ในเสนาสนะอันสงัด ท่านบอกด้วยว่า อยู่ป่าเป็นวัตร หรืออยู่ในเสนาสนะอันสงัด แล้วก็ต่อไปจากนั้น ก็จะได้ ฌาน นี่เป็นนามธรรมเข้าไปลึกแล้ว ต้องมีฌาน คือเพ่งเผากิเลสได้ จริง มีศีล ต้องมีศีลถึงขั้นฌานเป็นวิมุติ อันสุดท้ายต่อมา ก็เป็นวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ถ้าไม่ได้อย่างนี้ ไม่ถือว่าบริบูรณ์ด้วยองค์นั้น องค์นั้นๆๆ จนกระทั่งครบองค์ เพราะฉะนั้น ศรัทธาจะบริบูรณ์ต้องได้ครบองค์ ถึงเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ โน่นแหละ เป็นสมบูรณ์ แล้วเป็นพระธรรมกถึก เป็นพระที่แกล้วกล้าอาจหาญ แสดงธรรมในบริษัท เป็นผู้ที่มีที่อยู่ อันเป็นการอยู่ป่า อยู่ป่าก็ได้ อาตมาไปนั่งอยู่ในกลางกรุงเทพฯ อาตมาก็มีป่า อยู่กับป่า ป่าของอาตมามี อาตมาก็เอาป่าไปด้วย อยู่ในเสนาสนะอันสงัด มีที่อยู่อันสงัดของอาตมา ไปได้ สิ่งแวดล้อมเป็นป่าก็เอา

เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีอย่างสันติอโศก จะต้องมีอย่างปฐมอโศก จะต้องมีอย่างศาลีอโศก จะต้องมีอย่างศีรษะอโศก

เอาไว้ต่อพรุ่งนี้ในนัยขององค์ ๑๐ นี่แหละ จะขยายองค์ ๑๐ แล้วก็จะซ้อนอันอื่น ซ้อนอันอื่น มาในศรัทธานี่ มาแล้วจะมีอันอื่นต่อไปอีก มีศีลน่ะในองค์ของศรัทธานี่ มีลักษณะไปจนกระทั่งถึง เป็นพหูสูต เป็นพระธรรมกถึก เป็นเข้าสู่บริษัทน่ะ แกล้วกล้าแสดงธรรมในบริษัท มีจิตอยู่ป่าเป็นวัตร แล้วก็มีฌาน มีวิมุติอะไรพวกนี้ นี่เป็นองค์ธรรมที่จะได้ไปแล้ว ศีลก็จะขยายออกไปอีก ศรัทธาและศีล ขยายศีลออกไปอีก มันก็จะมาซ้อนลึกลงไป กับองค์ธรรม ๑๐ ข้อนี้อีก ซ้อนลึกลงไป ศีลจะต้อง ประกอบไปด้วยอย่างไร อวิปปฏิสารไปสู่อีกนั่นแหละ ปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติอีก จะมาซ้อนกันลงไปอีก หิริโอตตัปปะอะไรพวกนี้ มันก็จะขยายซ้อนขึ้นมา จะมา แล้วก็ยังจะขยาย ซ้อนๆๆๆๆๆ เข้าไปอีก เป็นสุตะเสริม เมื่อสุตะเสริมนี้แล้ว ผลคือจาคะกับปัญญา อันตรัสรู้ยอดเยี่ยม ผลสุด สูงสุดเท่านั้นอย่างนั้นน่ะ

เอาละ จนกระทั่ง ๖ โมงแล้ว ก็ขอหยุด ไม่หยุดก็ไม่ได้แล้ว

สาธุ


ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย สม.จินดา
พิมพ์โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๗ มิ.ย.๒๕๓๔
1337O.TAP