เกิดมาเอาอะไร หน้า ๒
ทำวัตรเช้าโดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๑๐ มกราคม ๒๕๓๕ สถานกักสัตว์ กรมปศุสัตว์ จังหวัดเพชรบูรณ์
ต่อจากหน้า ๑

เพราะฉะนั้น จึงเข้าไปช่วยผู้ที่เขามีสิ่งที่ชั่วที่ต่ำได้ โดยไม่ติด มีภูมิคุ้มกันสูง เป็นผู้ที่มีภูมิ คุ้มกันสูง ไม่ติดเชื้อโรคกิเลสเลย ยิ่งเก่งสูง ยิ่งไม่ติดเชื้อ โรคกิเลสนั้นๆได้จริงๆเลย แต่เข้าไปช่วย ผู้ที่มีเชื้อโรคกิเลสนั้น อย่างแรงได้ ยิ่งเก่ง ยิ่งดี ยิ่งประเสริฐสูงสุด เป็นพระอริยะสูงเข้าไปเท่าใด ก็ยิ่งสามารถ ที่จะเข้าไปช่วยผู้ที่ติดเชื้อโรคที่ร้ายแรงได้มากเท่านั้น หรือคนที่มีกิเลสได้มากเท่านั้น ยิ่งดี ยิ่งประเสริฐเท่าไหร่ ยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยเขาได้มาก เป็นประโยชน์คุณค่าอย่างนี้ ไม่ใช่ว่า ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งหลบ ยิ่งลี้ ยิ่งหนี ไม่ ยิ่งจะเป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าต่อมนุษยโลก ต่อสัตวโลก ที่เป็นผู้ยาก เป็นผู้ตกต่ำ เป็นผู้ที่น่าสงสาร น่าสังเวช น่าเมตตา น่าเกื้อกูล จึงจะช่วยคนได้มาก ช่วยคนได้อย่างตกต่ำมากๆ เราก็ไปช่วยได้มาก เพราะเรามีฤทธิ์แรงมาก คุณไม่มีฤทธิ์แรงมาก ก็ไปช่วยคนต่ำๆมากๆ คนต่ำๆมากๆเชื้อโรคกิเลสมันแรง มันร้าย คุณเองอ่อนแอ ระวังติดเชื้อนะ คนที่จะไปช่วยเขา แล้วก็ไม่ดูตัว ไม่ดูตน ไม่ประมาณตน จะช่วยเขาตะพึด เชื้อติดเอา ทีนี้เสร็จอยู่ตรงนั้นแหละ ขี้ทูด กุฏฐัง อยู่ด้วยกันไปเลย ไม่ต้องเงยไม่ต้องโงขึ้นมาแล้ว จม อันนี้ก็เป็นเรื่องสัจจะ อาตมาคิดว่าพูดง่ายๆให้คุณฟัง มันหมายถึงขนาดไหน มันหมายถึงอะไร คุณก็ต้องเข้าใจ บางคนจะเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านได้มาก ก็เพราะว่าตนเองแข็งแรง ตนเองจึงเป็นประโยชน์ท่านได้มาก มันสอดคล้องกัน มันไม่ต่างกันเลย โพธิสัตว์หรืออริยคุณ หรืออรหันต์ มันอันเดียวกัน ยิ่งคุณมีอรหันต์ที่จริง คุณก็เป็นโพธิสัตว์ที่จริง ช่วยเหลือผู้อื่นได้จริง คุณเป็นแค่โสดาก็มีอรหัตคุณ หรือมีอริยคุณแค่นั้น ช่วยเขาได้แค่ไหน คุณธรรมแค่โสดา คุณธรรมสกิทา สูงขึ้นก็ช่วยได้มากขึ้น คุณธรรมสกิทาคามี สกิทาคามีคุณในเรื่องไหน ก็แล้วแต่เถอะ เป็นกำลังของคุณธรรม เมื่อมีกำลังของคุณธรรมนี่แข็งแรงจริงจังขึ้น คุณก็สามารถ ช่วยเขาได้มาก มีทั้งญาณปัญญา มีทั้งความแข็งแรงทางเจโต เจโตกับปัญญานั้น เป็นวิมุติที่แท้ขึ้นมาจริงๆสิ่งนี้ คุณก็ช่วยผู้อื่นได้มาก ไม่ว่าเหตุปัจจัยใดๆ ถ้าได้ศึกษาฝึกฝน อบรมเรียนรู้จนแจ้ง จนชัด จนมีกำลังจิต ทางวิญญาณได้จริง ก็ช่วยผู้อื่นได้มากจริง มันซับซ้อนอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ปฏิบัติลดละลงมาจริงๆแล้วก็พยายามเสริมหนุน หลักการของ พระพุทธเจ้า นี่ อาตมาเอามาขยายเพื่อที่จะให้เราฟังรู้เรื่อง ฟังเข้าใจ เมื่อฟังเข้าใจแล้ว คุณก็ปฏิบัติประพฤติของตนเอง ให้เป็นดังที่เราเข้าใจให้ได้ เมื่อเป็นไปได้จริง จนกระทั่ง สมบูรณ์กาย วาจา ใจ โดยเฉพาะใจของเรา นี่เป็นจริง เกิดจริง เป็นจริง เจริญได้จริง คุณก็เอามาใช้ได้จริง เพราะเราได้ปฏิบัติประพฤติ

นี่อาตมาก็ว่าตอนนี้เขาพาให้เดินสาย ด้วยการเหมือนบังคับนะ ให้เดินสายเราก็เดินสาย เราก็ไม่ได้เดือดร้อนนะ อาตมาก็ว่าไม่ได้เดือดร้อนจริง อาตมาไม่เดือดร้อน เพราะว่าบางคน ก็จริงนะซี รถก็ไม่ต้องขับ นั่งมาสบายๆ ไปไหนก็ไม่ต้องจ่าย ค่าน้ำมงน้ำมันก็ไม่ต้องจ่าย สบายซี แต่พวกคุณ ต้องจ่ายเงินจ่ายทอง อ๋อ พวกคุณยังอยู่ในฐานะต้องมีเงินมีทองบ้าง หาเงิน หาทองบ้าง คนไหนไม่มีเงินไม่มีทองมาก็พอได้ เกื้อกูลกันไปพอสมควร คนไหนมีก็ เสียสละ บ้างซี ก็หัดซ้อน หัดเสียสละ คนมีมากก็จ่าย ผู้มีน้อยไป มันก็อย่างนี้ไป ซ้อนๆๆ กันอยู่อย่างนี้ มันไม่หนีไปจากทาน ไม่หนีไปจากเนกขัมมะ เนกขัมมะก็คือ ทานเบื้องใน สละออก หรือ ออกจากกาม ออกจากอัตตามานะ เนกขัมมะหรือทานนี้ก็คือละเว้นออกมาจากทั้งนั้นแหละ ทานหรือเนกขัมมะ ไม่ได้ปฏิบัติไปมากกว่านั้น นอกนั้นก็มีหลักเกณฑ์ก็คือ ศีลนี่แหละ ทำให้เรา ยิ่งเป็นอริยกันตศีล หรือเป็นอธิศีลสูงขึ้นๆๆ แล้วก็มีปัญญา มีศรัทธา มีความเชื่อมั่น สิ่งใดเชื่อมั่นจริง แล้ว เรายืนหยัดไว้ ใครเขาจะว่าเรายึดมั่น ถือมั่น คุณก็จะรู้ว่า คุณยึดมั่น หรือคุณเชื่อมั่น สิ่งที่เชื่อมั่นนี่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน ยืนหยัดยืนยัน เรานี้ยังมีชีวิตอยู่ เราก็ ยืนหยัดยืนยัน เชื่อมั่น เขาจะว่าเราดื้อด้าน อย่างอาตมานี่เขาจะมองว่า มันดื้อด้าน บอกให้มันเปลี่ยนแปลง มันก็ไม่เปลี่ยนแปลง อ้าว จะไปเปลี่ยนแปลงไปไหนเล่า เราก็เชื่อมั่นว่า มันดีน่ะ แล้วเราก็ได้ดีอันนี้จริงๆ นี่คนมันพูดกันไม่รู้เรื่องนะ มันพูดกันไม่รู้เรื่อง เรายืนหยัด เขาหาว่าเราดื้อด้าน อ้าว ก็คุณดื้อด้านคุณว่าเราเองต่างหาก คุณดื้อด้านต่างหากเล่า คุณเปลี่ยนมาอย่างที่เรา เป็นบ้างซี มันดีน่ะ ไอ้อย่างโน้นมันไม่ดี ไปยึดมั่นอยู่ได้ ดื้อด้าน เราก็บอกให้เขาเลิก ให้เขาละเสีย เปลี่ยนมาอย่างนี้ เขาก็ว่าเรา เราก็ว่าเขา ก็ว่ากันไป

พวกเราทำอะไรกันมาแล้วนี่ มันจะมีสภาพของอาชีพด้วยหลัก มรรคองค์ ๘ ของเรานี่ ปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ ปฏิบัติด้วยการปลดปล่อย ลดละ ปรับปรุงกาย วาจา ใจ มีกรรม อย่างที่อาตมาขึ้นแต่ต้นไว้ว่า เรานี่ก็มาสั่งสมกรรม กรรมทางกาย กรรมทางวาจา กรรมทางใจ กรรมที่มันเป็นกุศล เรารู้กรรมที่เป็นกุศลจริงๆ แล้วเราสั่งสมกรรม ที่เป็นกุศล จริงๆ เป็นสมบัติของเรา เพราะเราทำมากเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่ มันเป็นการ สั่งสมกรรมใคร กรรมมัน เพียงคิดมันก็แค่คิด พูดก็มีบทบาทมากขึ้น ยิ่งลงมือเลยทั้ง กาย วาจา ใจ กระทำพร้อมกันไปเลย คุณทำแต่กาย ไม่มีใจเข้าไปร่วมด้วย ไม่มีหรอกในโลก คุณไม่ใช่ หุ่นยนต์ หุ่นยนต์ยังใช้พลังงานเลย อาตมาเคยบอกว่า วิญญาณ หรือจิตนี่ มันก็เหมือน พลังงานนั่นแหละ แต่พลังงานที่วิจิตรพิสดาร พลังงานที่วิเศษ ยอดกว่าพลังงาน แบบพลังงานโลกๆ มันยิ่งยอดกว่าพลังงานโลกๆ อีก แล้วมันก็ทำให้สั่งการ พลังงาน ในจิตวิญญาณนี่ พลังงานนี่สั่งการเองได้ มีตัวเลือก มีตัวปัญญา จิตวิญญาณนี่เป็นพลังงบาน ที่เป็นปัญญา สั่งการเอง รู้เอง เฉลียวฉลาด สั่งมาตามที่ปัญญามันตัดสิน ปัญญามันวินิจฉัย แล้วก็ให้กายมาทำการ กายก็ทำการตามจิตวิญญาณ ไม่มีสั่งการโดยไม่มีจิตวิญญาณให้กระทำ ไม่มีหรอก

เพราะฉะนั้น คนเราก็ทำด้วยจิตวิญญาณ เป็นประธานสิ่งทั้งปวง เรารู้อะไรดี มีกำลังเพียงพอ มีแรงเพียงพอ ก็ทำได้ กายก็ทำตามจิต จิตเป็นตัวสั่ง เพราะฉะนั้น กรรมต่างๆ ที่เราจะออกมา กระทำนี่ ล้วนแล้วแต่ออกมาจากจิตเป็นประธานทั้งนั้น เมื่อทำแล้ว ก็สั่งสมลงเป็นกรรม สั่งสมลงเป็นกรรม ก็ซ้อนลงไป สั่งสมลงที่จิตวิญญาณอีกแหละ เป็นวิบากของจิตวิญญาณ เป็นทรัพย์ เป็นสมบัติ สมบัติที่สั่งสมเข้าไปเป็นวิบากของจิตวิญญาณ วิบากของจิตวิญญาณ มันเคยอย่างไรๆมาก มันก็เป็นอย่างนั้นมาก พหุลีกัมมัง ทำให้มากในส่วนที่เป็นกุศล มันก็จะชำนาญ มันก็จะแคล่วคล่อง มันก็จะสั่งสมหนาแน่นอย่างใดอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น กุศลใดที่เราสั่งสมทำให้มาก กุศลนั้นก็แข็งแรงมั่นคง มีมาก มีมาย เป็นสมบัติมากๆ มันก็ติดตัวเราไป มันไม่เป็นตัวเป็นตนหรอกนะ ว่าติดตัวก็เป็นภาษาเท่านั้น ที่จริงมันก็ไม่เป็นตัวเป็นตน แต่มันเป็นวิบาก มันเป็นการซ้ำไว้ในนั้น มันช่ำชอง มันคล้ายวัตถุรูป เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่วัตถุรูปอย่างนั้น แต่มันก็มีส่วนคล้ายอย่างนั้น แต่มันไม่เป็นแท่งเป็นก้อน เหมือนวัตถุรูปหรอก แต่มันก็สั่งสม สั่งสมแล้ว มันก็เปลี่ยนง่ายได้เหมือนกันนะ เปลี่ยนได้ง่าย แต่ถ้าเผื่อว่า สั่งสมไว้มากๆ มันก็เปลี่ยนยาก จึงเรียกว่าบารมี ถ้าเป็นสิ่งไม่ดี ก็เรียกว่า สันดาน ก็เปลี่ยนยากเหมือนกัน มันเกิดมาชาติไหนๆ สันดานนี่ สั่งสมไว้แล้ว มาแก้ เหมือนกับสันดาน ที่เราอยากแก้ ทุกวันนี้หลายคนบอกว่า สันดานกูนี่มันอยากแก้เหมือนกัน ทำไมมันแก้ยากจริง นั่นแหละ ที่บารมีแล้ว แหม! ทำไม เปลี่ยนง่ายเหลือเกิน แหม! บารมีดีๆนี่ แหม! สั่งสมไว้ หน่อยหนึ่ง จะให้มันคงทน จะให้มันยิ่งขึ้นไม่ค่อยจะขึ้นง่าย แถมทำไมมันอ่อนแอจังเลย เดี๋ยวจะเปลี่ยนบารมี เป็นเรื่องไม่ดีแล้ว ไอ้ที่บารมี ไอ้ที่สิ่งไม่ดี แหม! ทำไมมันแก้ยาก รู้สึกอย่างนั้นก็ดี

เพราะฉะนั้น ก็แก้ ไอ้ที่ไม่ดี มันก็แก้ยาก ก็พยายามแก้มากๆ สิ่งที่ดี ทำไมมันอ่อนแอ มันทำไม จะเปลี่ยนแปลงง่าย สั่งสมเข้าให้มันหนาแน่น ไอ้ที่สิ่งที่ดี ที่เป็นกุศลน่ะ ย้ำซ้ำเข้าไปบ่อยๆ มากๆ เสมอๆ เกิดจากกรรม เกิดจากกิริยา จากกรรม จากกิริยาที่เราสั่งสมนั้นๆเอง ไม่ได้มีอื่นๆหรอก ไม่ได้มีอื่น ถ้าเราเชื่อจริงๆ เลยนะว่า คนเรานี่เกิดมา เกิดมาเอาอะไร อีกคำหนึ่งนะ เกิดมาทำไม อาตมาก็ตอบแล้ว เกิดมาทำงาน งานที่เป็นกุศลด้วย เป็นกุศลกรรม เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อตาย ก็ตอบแล้ว เออ! เกิดมาเอาอะไร เออ! ถามอีกอันหนึ่ง อ้าว! แล้วเกิดมาเอาอะไร? เกิดมาเอาอะไร เกิดมาเอากุศลกรรมนี่แหละ เกิดมาเอาอะไรล่ะ มาเอาสิ่งที่เป็นทรัพย์ กรรมเป็นทรัพย์ เกิดมาเอาทรัพย์ ทรัพย์อะไรล่ะ คนโง่ๆ ก็จะไปเอาทรัพย์โลกๆ น่ะซี จะไปเอา ลาภ ยศ สรรเสริญอย่างโลกๆ หรือเอาโลกียสุขเป็นทรัพย์ก็เอาอย่างนั้น แต่เมื่อเราเรียนรู้แล้ว เราก็รู้ว่า ทรัพย์ที่ควรจะเอาคืออะไร คือศรัทธา คือศีล คือจาคะ คือปัญญา นี่ทรัพย์๔ ถ้าทรัพย์ ๗ ก็คือศรัทธา คือศีล คือหิริ คือโอตตัปปะ คือพหุสัจจะ คือจาคะ คือปัญญา ทรัพย์ ๗

ศรัทธา อาตมาก็เคยอธิบายว่า ไอ้ความศรัทธานี่ มันเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น มันเชื่อมาแต่ไหนๆ เกิด อุแว้ ออกมา คุณคนก็มีตัวเชื่อ ตัวศรัทธาตัวนี้ มาแล้วจริงๆในเด็ก เด็กเกิดมาก็มีตัวศรัทธา มาประกอบเลย จะทรงศีลก็ทรงมา จากเด็กเหมือนกัน ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ นี่มันจะมีมา ตั้งแต่เด็ก มันจะอายไม่อายก็เหมือนกัน เด็กๆ บางคนมันละอายมาตั้งแต่เด็กๆนะ ไอ้สิ่งที่มันไม่กล้าทำ อย่างเด็กๆ มันก็ละอายมาแต่เด็กๆ ไอ้สิ่งที่มันกล้าทำ มันไม่ละอาย มันก็ทำมา แต่เด็กเหมือนกัน เท่าที่มันมี มีบางอาจารย์ บอกว่า มันไม่มีหรอก เด็กมันบริสุทธิ์ เกิดมาบริสุทธิ์ แหม มันบริสุทธิ์ มันก็เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่เกิดเลยหนอ ก็ผู้บริสุทธิ์ ก็คือ คุณพระอรหันต์ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เด็กเกิดมานี่ เรารีบไปกราบมันน่ะ ประเดี๋ยวมันจะมีกิเลส ไปกราบพระอรหันต์ อยากกราบพระอรหันต์ ขึ้นไปกราบเด็ก เพราะเด็กมันบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด ก็บอกว่า จิตเกิดมานี่ จิตบริสุทธิ์ น่ะ เด็กเกิดมานี่จิตบริสุทธิ์ มันไม่บริสุทธิ์หรอก มันก็มีตามบารมี ของมันนั่นแหละ มันหมุนเวียนเกิดอยู่ คุณกราบพระโพธิสัตว์ คุณบริสุทธิ์ ก็เชิญไปเถิด ไปกราบเด็กที่เป็นพระโพธิสัตว์ เหมือนอย่างกบิลดาบส หรืออะไร ที่เจอพระพุทธเจ้า ที่พอพระพุทธเจ้าเกิดมาปั๊บ แล้วก็ดาบสผู้นี้เห็นเข้า ก็เลยกราบ คนแก่กราบ เด็กอุแว้ๆนี่ พระเจ้าสุทโทธนะ ก็แปลกใจ บอกไอ้ย้า! ทำไมไปกราบเด็กละ ใช่ไหม? ที่ประวัติของ พระพุทธเจ้า กบิลดาบสใช่ไหม? นั่นน่ะ ที่กราบพระพุทธเจ้าตั้งแต่เด็กนั่นน่ะ บอกว่า โอ้ย! นี่น่ะ เด็กคนนี้นี่ บริสุทธิ์สะอาด ก็กราบไปเถิด พระพุทธเจ้าก็ต้อง แหม ! ปางนั้นจะเป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังบริสุทธิ์น่ะ แค่เด็กธรรมดาลองไปกราบดูซี ที่โรงพยาบาล ไปกราบมันน่ะ คลอดออกมา ที่โรงพยาบาล ก็ไปกราบซี เด็กบริสุทธิ์น่ะ มันพระอรหันต์น่ะ มันไม่ใช่น่ะ มันไม่ใช่พระอรหันต์น่ะ นี่แหละแนวคิด หรือการหลง การเข้าใจไม่พอ มันก็อธิบายต่างกัน อาตมาอธิบายอย่างนี้ อีกฝ่ายหนึ่ง บอกเด็กเกิดมาจิตบริสุทธิ์ จริง มันยังไม่ถูกกิเลสใหม่ มันยังไม่ถูกที่มันจะต้องได้รับซับซาบอีกใหม่ มันยังไม่ได้เอากิเลสใหม่เข้าไป มันก็มีเท่าที่มันมี นั่นแหละ กิเลสเก่ามันมีเท่าไหร่ มันก็เท่านั้นแหละมนุษย์น่ะ เกิดมามันก็ยังไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่จิต เดิมแท้ จิตเดิม จิตแท้ อาตมาถึงบอกว่า อย่าใช้คำว่าจิตเดิม จิตเดิมจริงๆ น่ะ มันไง่ มันกิเลส แต่มาศึกษาแล้วได้ละลดออกไป จึงจะชะล้างกิเลสออก จิตจึงจะเป็นจิตแท้ ไม่ใช่จิตเดิม จิตจริงๆ จิตวิญญาณ คือธาตุรู้ที่วิเศษ จิตจริงๆ มันไม่วิเศษ มีอวิชชาประกอบ มันถึงเวียนตาย เวียนเกิด แล้วก็สร้างเวร สร้างกรรมอยู่นี่มากมาย มาเรียนรู้แล้ว ถึงละเลิกเวรกรรม แต่ละคน เกิดมาตั้งแต่ เป็นสัตว์โง่ก่อน ไม่ใช่เกิดมาปุ๊บ มาเป็นเวไนยสัตว์ แล้วก็จะศึกษาไม่ใช่หรอก สั่งสมมา จนกระทั่งเกิด จนกระทั่งมาเป็นคน เป็นอะไรนี่ มันโง่มาก่อนทั้งนั้นแหละ มันเป็นสัตว์ ชั้นต่ำมาก่อน จนกระทั่งมาเป็นสัตว์ชั้นดี จนมาเจอพระศาสนา โดยเฉพาะ มาเจอศาสนาพุทธ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสนี่ ท่านตรัสไม่ แหม! ถ้าเป็นอาตมา อาจจะพูด อาจจะว่าแรงกว่านี้น่ะ แต่พระพุทธเจ้านี่ ท่านตรัสของท่าน เหมือนกับท่านเฉลียวฉลาด นะ ท่านตรัสว่า ศาสนาพุทธ ท่านว่า เป็นศาสนาที่มีสมณะ ๔ เหล่า ศาสนาอื่นว่างจากสมณะ ๔ เหล่า เพราะไม่มีมรรคองค์ ๘ ไม่มีทฤษฎีนี้ ไม่มีความรู้อย่างนี้ ไม่สามารถที่จะรู้จักคุณธรรมชั้นสูงได้ ท่านไม่พูดละเอียดลออ ท่านไม่พูด ไม่ว่าคนอื่นน่ะ

ถ้าเป็นอาตมาอาจจะไปว่าคนอื่นเขามากกว่านี้ เพราะว่ามัน ยอดจริงๆ มรรคองค์ ๘ นี่ มีสมณะ ๔ เหล่า คือ สามารถศึกษาโลกุตรธรรม สามารถที่จะออก จากโลกได้จริงๆ ศาสนาอื่น ไม่ได้ออกจากโลกได้ง่ายๆหรอก นี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัส แต่โพธิรักษ์ เอามาพูดอีกแล้ว มาว่าแล้ว มาพูด มาคุยโม้ คุยโตขึ้นมาแล้ว จริงนะ พระพุทธเจ้า ท่านไม่คุยใหญ่คุยโตอะไร มันยิ่งใหญ่จริงๆ ศาสนาอื่น ไม่ได้ออกจากโลกียะไปง่ายๆหรอก ไม่ได้ออกหรอก ออกก็ชั่วคราว ออกก็ไม่ทะลุ ไม่ถึงขั้นอนุสัย อาสวะ เวียนวน ออกได้ชั่วคราว เขารู้พอสมควร เขารู้ว่าโลกียะ มันพาติดพายึด หนีจากโลกไปเปลือยกายโทงๆ จะไม่เอาอะไร ทั้งหมด เขาก็รู้นะ สมบัติพัสถาน เขามักน้อยยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า มักน้อยยิ่งกว่า แต่ไม่มี มัชฌิมาปฏิปทา มักน้อยกว่าเลยนะ ทรมาน ทรกรรม ไม่เอาอะไรเลย ผ้าก็ไม่นุ่ง โน่นแน่ะ อย่าว่าแต่ทรัพย์ศฤงคารอะไรเลย เขาไม่เอาอะไร ยิ่งกว่าลัทธิของพระพุทธเจ้าไปอีกน่ะ แต่ไม่หมด ไม่ขาด พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับ แม้แต่เป็นโสดาบัน เพราะไม่ถูกตามลำดับขั้น ลำดับขั้นนี่ สำคัญมาก แล้วก็มีสัจจะ ที่จะต้องพิสูจน์ยืนยันว่า ต้องพิสูจน์กันอย่างโลกุตรจิต อยู่เหนือ ไม่ใช่หนี ไม่ใช่ละ ไม่ใช่ปล่อย ไม่ใช่ทรมานแบบทำไม่เข้าท่า

อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ไม่มีเวลาจะอธิบายว่า ไอ้ที่มันไม่ถูกนั้น ไม่ได้วิจัยกันไว้พอ แล้วพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่มีเวลาที่จะไปเที่ยววิจัยว่า ของคนอื่นเขาได้ว่า เขาไม่ได้ประโยชน์ อย่างไร มาวิจัยสิ่งที่เราทำนี่ คือ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่ามีประโยชน์อย่างไร เรามาพูดอันนี้ ก็ยังไม่หวาดไม่ไหว นี่ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดหมดหรือไม่ พูดกันบอกกันเหมือนซ้ำดูซ้ำซากน่ะ ที่พูดนี่ ก็ดูเหมือนซ้ำซาก แต่มันมีนัยที่จะต้องตั้งใจฟังดีๆ แม้แต่อาตมาจะขยายคำว่า "เชื่อมั่น" กับคำว่า "ยึดมั่น" มันต่างกัน เชื่อมั่นนี่มันต้องมีตัวปัญญาเข้าประกอบ ร่วมรู้แจ้ง แล้วเชื่อมั่นนี่ ก็เป็นตัวรู้แจ้ง มันยืนหยัดเหมือนกัน มันยืนหยัดเหมือนกัน "เชื่อมั่น" กับ "ยึดมั่น" ยึดหยัด เหมือนกัน แต่ในนัยที่ลึกซึ้งแล้ว ไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ตัวผู้ที่มีศรัทธาพละ ปัญญาพละ เข้าประกอบร่วมเป็นตัวเชื่อมั่นสมบูรณ์ เป็นได้แล้ว จริงแล้ว สมบูรณ์แล้ว แล้วก็ทรงไว้อย่างนี้ ใครจะว่าอย่างไร เราก็เหมือนคน หน้าด้านนั่นแหละ เหมือนคนดื้อด้านที่เขาว่าน่ะ ว่าอาตมานี่ ดื้อด้าน เป็นคนดื้อด้านจริงๆ สอนบอกให้เลิกอย่างไรก็ไม่เลิก ไม่หยุด สอนอย่างนี้อยู่อย่างนี้ อ้าว! ก็มันดีน่ะ สอนอย่างนี้ มันดีแล้ว จะให้ไปสอนอย่างโน้นทำไม สอนอย่างโน้น อาตมาว่าไม่ดี ไม่เจริญ ไม่ได้ดีเท่าหรอก สอนอย่างนี้ ดีแล้ว ให้เลิก ให้ละ ให้ลด อย่างนี้ดี เขาก็เข้าใจไม่ได้ เมื่อเข้าใจไม่ได้ ก็ต่างคน ต่างทำซิ ต่างคนต่างทำ ก็ไม่เอา ต้องให้ไปทำอย่างเขา มาบังคับให้อาตมาไปทำอย่างโน้นอีก อย่างนี้ไม่เอา ไล่ออกไปจากพุทธ แล้วจะถูกไล่จากพุทธจริงๆ นะ ตอนนี้ จะไล่จากพุทธก็ไล่ ไม่ว่าอะไร ไล่ได้ก็ไล่เอา ถึงไล่ออกจากพุทธ ก็ไล่ออกได้แต่ภาษา ไล่ออกจากพุทธไล่ได้แต่ภาษา ได้แต่เปลือกนอก เนื้อในอาตมาว่า ไล่เราไม่ได้หรอก เนื้อในของศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เป็นไป ด้วยความละลด เลิก เป็นความได้หมดกิเลส กิเลสคืออะไร ละ ลดได้อย่างไร แล้วเราก็จะกลาย เป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนอดทน เป็นคนอดทนนะ พวกเรานี่ อาตมาว่า พวกเรานี่อดทนนะ อดทนพอได้ แต่อดทน ยิ่งกว่านี้อีก ต้องฝึกอดทนยิ่งกว่านี้อีก ไม่อดทนอย่างไร นี่จะ ๒ ปีแล้วนี่ ตะลอนๆ ไปโน่น มานี่ ไปหอบหิ้วกันไป ทุลักทุเลทุรังการ นี่ขณะนี้ ก็มานอน มาพักอยู่ที่นี่ นี่ดีนะ เขาปัด เขากวาด ไม่ปัด ไม่กวาดละ ขี้วัวขี้ควายอยู่ในนี้เยอะนี่ นี่อย่างที่ศาลานี่คุณพัก ฝ่ายหญิง พักกันนั่นน่ะ กองขี้วัว ขี้ควายน่ะนะ อยู่ในนั้นน่ะ เขาก็กวาดให้เสร็จ เราก็นอนไปเถอะ ไปนอนพักอาศัยกันไป อย่างนี้ ทุลักทุเลไป ไม่ต้องไปนอนบรรจถรณ์ นอนฟูก นอนหมอน นอนอะไรที่เขานิยมกัน เราก็ไปของเราได้ ต้องจ่ายทั้งทรัพย์ศฤงคาร เงินทอง จ่ายทั้งแรงงาน จ่ายทั้งเวลา ต้องทรมาน ทรกรรมไป เราก็ยังไปกันได้ อดทนนะ ถ้าคุณไม่มีความจริง ถ้าคุณไม่มีปัญญาที่ลึกซึ้ง ว่า เอ๊ะ! เราทำไปทำไมนี่ มันได้อะไร ได้ดีอะไร มาถูกโพธิรักษ์หลอกอยู่ได้ คุณเห็นอย่างนี้จริงๆ คุณไม่มาหรอก ถ้าคุณเชื่อว่าไม่ได้ถูกหลอกหรอก คุณเห็นด้วยปัญญาของคุณ เข้าใจของคุณ คุณก็ว่า อะไรมันดี ก็ทำไป อย่างไรแล้ว จำเป็นจะต้องอนุโลมปฏิโลมทำ ก็ทำกันไป มองกัน ในแง่ที่ดี ที่เจริญ เราก็ทำกันไปอย่างนี้ ให้โอกาสไปพูด มาที่นี่ อาตมาก็นึกไม่ถึงว่าจะใช้ลำโพง ถึงขนาดนี้ ก็ตัวนี่ ถ้าเปิดเต็มที่ ก็รับรองเลย สู้กับจอยักษ์เขาได้นะนี่ ลำโพงขนาดนี้ แต่เราก็พูด แค่นี้แหละ เสียงนี่ ก็มันดังอยู่ในป่าสักนี่ ดังไปบ้าง ใครได้ยินบ้าง จะได้ยินนิดหนึ่ง ก็ช่างมันเถอะ ตามประสาน่ะนา ได้ยินนิดหนึ่ง ได้ยินหน่อยหนึ่ง เราก็มีโอกาสได้มาพูดที่นี่ ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ ไม่ได้มาพูดที่นี่นะนี่ ต้นสักพวกนี้ ไม่ได้ยินหรอก ไม่มีโอกาสได้ยิน อาตมาพูดหรอก นี่ต้นสัก พวกนี้ได้ยินเสียงอาตมานี่ จิ้งหร่งจิ้งหรีดนี่ ได้ยินเสียงอาตมา มันก็เป็นโอกาส

เพราะฉะนั้น โอกาสจะได้สัมผัสสัมพันธ์กัน ในส่วนที่จะเป็นธรรมะ เป็นเรื่องลึกซึ้งนะ คนที่จะได้สัมผัส สัมพันธ์ในสิ่งที่ควรได้สัมผัส ไม่อย่างนั้น ก็ได้สัมผัสแต่ไอ้สิ่งที่เน่าๆ อยู่นั่นแหละ ชาติแล้วชาติเล่า ปีแล้วปีเล่า ไม่ได้เคยพบ ไม่ได้เคยเห็น ไม่ได้เคยรู้เลยว่า โลกนี้ เขามีอะไรเจริญ เขามีอะไรดี เขามีอะไรประหลาดอย่างไรไปอย่างไร ไม่รู้เรื่อง แต่มีคนก็ได้ดู เห็นพวกนี้ว่า เออ! พวกนี้ มาจากไหนโวย นี่บ้านนอกคอกนา เราก็ว่าเพชรบูรณ์นี่ มันก็ไม่เจริญ อะไรเท่าไหร่ จริงๆ ไม่เจริญกว่าเพชรบูรณ์ด้วยนาพวกนี้ พวกไหนนี่ รองเท้าก็ไม่ใส่ ก็เกือกแตะ มันแพงเท่าไหร่ ทำไมไม่ซื้อใส่บ้าง ผมเผ้าก็ดูซินั่นน่ะ น้ำมูกน้ำมันก็ไม่มี โอ้โห! คงจะจน เสียแย่นะ อะไรอย่างนี้น่ะนา ก็ว่าไป เขาได้สัมผัสบ้าง ก็ได้คิดบ้าง อะไรต่างๆนานา หลายอย่างน่ะ

อาตมาพูดย่อยๆ เล็กๆ พวกนี้ประกอบไปเท่านั้นเอง มันมีนัยที่มันมากมาย แวดล้อมมากกว่านี้ เยอะแยะ ที่เราก็พอรู้น่ะ เราได้ฝึก ได้ปรือมา ได้รู้ ได้เห็น ซึ่งญาณปัญญาที่ได้รู้ได้เห็น ได้แจ้ง ได้มั่นใจ ได้เชื่ออย่างจริงจัง นี่ มันเป็นของแต่ละคน อาตมาก็ได้แต่พูดซ้ำพูดซาก พูดย้ำ อยู่อย่างนี้ ว่าเรามาละ มาลด มาน้อยมาอะไรนี้ เสร็จแล้วก็มาอดทน จนกระทั่ง เราไม่ต้องอดทน ไอ้ตัว คำว่า "อดทน" นี่ สุดท้าย มันไม่ต้องอดไม่ต้องทน เรามีตัวอดทนอยู่ในตัวเราแล้ว นี่ ตัวเราไม่ต้องอด ต้องทน แต่คนอื่นเขาเห็น โอ้โฮ! นี่มันมาฝืนทำไม มาอดอยู่ทำไม มาทนอยู่ทำไม เราเองเราไม่อดแล้ว ไม่ทนแล้ว นั่นแหละคือ ตัวมี อดทนแล้ว มีความอดทนแล้ว โดยที่เราก็ไม่ทุกข์ ไม่ต้องอดอะไรนี่ กินข้าวมื้อเดียว ไม่เห็นจะต้องอดอะไรเลย คนที่เขากิน ๕ มื้อ ๘ มื้อ เขาบอกอะไรวะ มันไม่อด ก็มันกินมื้อเดียว มันไม่อดได้อย่างไร แบบนี้ทนตายเลย ทนได้หรือ เขาทนไม่ได้ เขาเอาความรู้สึกของเขามาวัดเรา เราไม่เห็นจะต้องทนเลย กินมื้อเดียว ก็ไม่ต้องทน สบายๆ ไม่ต้องได้อย่างที่เขาได้ เขาจะต้องเสพ จะต้องสัมผัส ต้องแตะต้อง ต้องบำเรอตน ด้วยอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่ต้องบำเรออย่างนั้น เราก็ไม่เห็นว่าจะอดอะไร ไม่อดไม่อยาก เราไม่ต้องอยาก เราก็ไม่ต้องอด มันก็ธรรมดา เราธรรมดา เราไม่ได้อด เพราะเราไม่ได้อยาก แต่เขายังอยากอยู่ เขาจะต้องอดไม่ได้น่ะซี เขาอดไม่ได้ เขาต้องสวาปาม เขาต้องบำเรอ เขาก็ต้องบำบัด แต่เราไม่ต้องบำเรอ ไม่ต้องบำบัดแล้วนี่ เราไม่ต้องอด เพราะเราไม่อยาก นี่แหละ มันก็ละตัวอยาก ตัวอะไรได้อย่างหนึ่ง เสร็จแล้ว มันก็เบา ก็ง่าย ก็สบายดี ชีวิตของเราก็แข็งแรง ชีวิตของเราก็เป็นไป สร้างสรรไปได้ เพราะเราไม่บำเรอตน เรามีเวลาของเรา ไม่เช่นนั้น เราจะต้องเอาเวลาไปบำเรอไอ้นั่น ไปกะด๊อกกะแด๊กที่โน่น ไปกระดิ๊กกระดี๊ที่โน่น อะไรต่ออะไรต่างๆ นานานี่ เยอะแยะเลยนะมนุษย์นี่ เราเก็บเหล่านั้น คืนมา เวลาของเราก็มีเยอะ เวลาของเรา แม้แต่เราอยู่ที่นี่ ก็เราอยู่ที่ไหน ก็แล้วแต่เถอะ เราก็ไม่ต้องเอาเวลา ไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อบำเรอตนอีก ยิ่งไม่มีอะไรปนอยู่ เราก็ยิ่งได้ สร้างสรร เวลาเราก็ได้คิด เวลาเราก็ได้ทำ เวลาเราก็ได้ลงมือ ได้พูด พูดก็พูดในสิ่งที่ เป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่น ตัวเองได้แล้ว

อย่างอาตมานี่ อาตมาพูดในสิ่งที่อาตมาได้แล้ว อาตมาพูดให้พวกคุณ อาตมาไม่พูด อาตมาก็ได้แล้วน่ะ จะต้องพูดทำไม อาตมาพูดนี่ ก็พูดให้ผู้อื่น ไม่ต้องพูดอาตมาก็ได้แล้ว หรือสิ่งที่อาตมาได้แล้ว อาตมาไม่ต้องคิด ไม่ต้องคิด อาตมาก็ได้แล้ว เมื่อสิ่งที่เราเป็นแล้ว เราได้แล้ว เราก็ไม่ต้องคิด ถ้าเราคิด เราก็คิดเพื่อที่จะทำอย่างไรนะ ในสิ่งที่เราได้แล้ว เราจะทำอย่างไร สื่ออย่างไรไปให้ผู้อื่นได้ เสร็จแล้วเราก็เอาไปทำให้ดู เอาไปพูดให้ฟัง คิดอย่างไร ทำอย่างไร ก็ทำออกไป สื่อออกไป ถ้าไม่ต้องให้ผู้อื่น อาตมาก็ไม่ต้องทำอะไร เพราะอาตมาได้ สิ่งที่อาตมาได้แล้ว สมมติว่า อาตมาได้สิ่งที่ประเสริฐสุดแล้ว เป็นของอาตมาหมดแล้ว อาตมาไม่ต้องให้ใคร อาตมาก็จบ ก็อยู่เฉยๆ ก็หยุด ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้แล้ว จบแล้ว หมดแล้ว ตายได้แล้วด้วย ฟังซะ ก็ได้แล้วนี่ อะไรก็ได้หมดแล้ว จบแล้ว อย่างนี้เป็นต้น แล้วเราก็จะไปทำอะไร ถ้าไม่เพื่อผู้อื่นแล้ว จะไปทำอะไร ก็ตายซะ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้สิ่งที่ได้แล้วสูงสุด อย่างพระอรหันต์ อย่างพระพุทธเจ้า ได้แล้วสูงสุด ถ้าไม่เพื่อผู้อื่นแล้วน่ะ จะอยู่ไปทำไม เพราะฉะนั้น อยู่ไปก็เพื่อผู้อื่นทั้งนั้น เขาจะคิด ก็คิดจะให้ผู้อื่นได้อะไร จะทำก็ทำให้ผู้อื่นได้อะไร ไม่ได้บำเรอตนเลยจริงๆเลย เขาไม่ต้องอยู่เพื่ออะไรเลย

อาตมาถึงได้บอกว่า กินข้าวนี่ กินเพื่อคุณนะ แหม ตอนนั้นเจ้าหนุ่มคนนั้นถึงได้บอกว่า มากไปแล้ว หลวงพี่ เขาว่า อาตมาบรรยายอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ บรรยายอยู่ใต้ต้นอโศก บรรยายไปบรรยายมา เราก็บอก โอ้ย! เราไม่อยู่ไปอะไรหรอก ที่เรากินอาหารนี่ ก็กินเพื่อคุณ มันคงหมั่นไส้เต็มที่นะ ตะโกนสวนมาเลยว่า มากไปแล้วหลวงพี่ เขาบอก เขาไม่หยุดแค่นั้นน่ะ พออาตมาบรรยายเสร็จ มาหาเลย ขอถามหน่อยเถอะหลวงพี่ พูดอะไรไม่น่าเชื่อเลย กินอาหาร แล้วบอก เพื่อผู้อื่น ไม่ได้เพื่อตนเอง ไม่เพื่อตนเองอย่างไร กินมันก็ต้องกินเพื่อตัวเองน่ะซี บอกไม่ได้เพื่อตัวเอง อาตมาบอกกินเพื่อยังขันธ์ให้มันมีชีวิตอยู่ เพื่อทำงาน เพื่อสร้างสรร เพื่อผู้อื่น ไม่เชื่อ เขาบอกไม่เชื่อ อย่างน้อยก็ต้องได้รับอะไรเป็นประโยชน์ตนบ้างล่ะ เขาก็ถามไป จนกระทั่ง หมอนี่มีปัญญาเหมือนกันน่ะ แล้วไม่อร่อยบ้างหรือ ไม่ได้อร่อยบ้างหรือ ไม่เชื่อ ก็บอก เอ้า! ก็คุณไม่เชื่อนี่ อย่างน้อยก็ต้องอร่อยแก่ตัวเองบ้างล่ะ กินแล้วมันก็อยากกิน แล้วมันก็อร่อย ไม่อร่อยได้หรือ ไม่ใช่อร่อยให้แก่ตัวเอง ไม่เชื่อ พูดกันไม่รู้เรื่อง บอกเราไม่ได้กินเพื่อตัวเอง กินเพื่อให้ยังขันธ์ ให้มันมีพลังวังชา มีกำลัง มีสุขภาพอยู่ แล้วเราก็สร้างสรร ก็ทำงาน อันนี้เราเข้าใจกัน ถึงบอกว่า พวกคุณนี่ กลัวอาตมาตาย โอ! เดี๋ยวจะทรุดโทรมส่วนนั้นส่วนนี้ ต้องรีบแล้วนี่ พอบอกว่า ปวดตรงนั้นตรงนี้ แหม หยูกยามา อย่าเพิ่งนะ เอาหยูกยามารักษา จะรักษาให้เลย อย่าเพิ่งตาย อย่าเพิ่งตาย! ต้องเอาไว้ใช้ก่อน อ้าว! ก็จริงน่ะ หรือไม่ใช่ อย่างน้อย ก็จะต้องเหมือนกับเป็ด ห่าน หรืออะไร ที่ไข่ออกมาเป็นทองคำน่ะ ต้องเลี้ยงห่านเลี้ยงเป็ด นั้นไว้ไข่ ไข่วันละฟองๆ แล้วเอาให้ไข่ทองคำไว้ให้ก่อน อย่าเพิ่งให้ตาย ต้องเลี้ยงไว้ให้มีชีวิต เพื่อจะได้ไข่ทองคำไว้ให้แก่เรา คล้ายอย่างนั้นแหละใช่ไหม พูดแล้ว แหม! เหมือนยกตัว ยกตนน่ะ พูดแล้วเหมือนยกตัวยกตน

แต่เราก็เต็มใจ อาตมาก็เต็มใจจะไข่ให้คุณ ถ้าอยู่ก็ไข่ให้คุณ ก็เต็มใจ เต็มใจเพื่อจะไข่ให้คุณ ก็ แหม! ข้อสำคัญ รับไข่เอาไปจริงๆหน่อยเถอะ ข้อสำคัญน่ะ ไม่เอาไข่ เอาขี้ ไข่ให้แล้ว ไปเอาขี้ห่าน ขี้เป็ด ก็ไข่ให้เป็นทองคำ จริงๆน่ะ ไม่เอาไข่ ไปเอาขี้เป็ดขี้ห่าน ไม่เข้าท่า เอาให้ได้นะ เอาไข่ให้ได้ อย่างที่ว่านี่

ตอนนี้ เรากว้างขวางขึ้นน่ะ เราปฏิบัติ ประพฤติแล้วมีหมู่ มีกลุ่ม แล้ว มันจะเป็นอย่างที่อาตมา พูดซ้ำซาก เป็นกิจการ มันเป็นพิธีการ จากพฤติการ หรือพฤติกรรมของเรานี่ เป็นกิจกรรม เป็นพิธีกรรม เป็นจากพฤติกรรมของพวกเรา พฤติกรรมก็คือ กาย วาจา ใจ ของพวกเรา ที่ได้ขัดเกลา ที่ได้เรียนรู้ กรรมกิริยา อะไรที่เราไม่ควรทำ ไม่ควรมี เราก็เลิกแล้ว เราก็มาทำ กรรมกิริยาที่ดี แม้จะเป็นกรรมกิริยาเดิม เช่น คนค้าขาย ก็ทำการค้าขายอย่างเดิม แต่กรรมกิริยา ค้าขาย ไม่เหมือนเก่าแล้ว ค้าขายแต่ก่อนนี้นี่ โอ้โฮ! เราเอาเปรียบเอารัดนะ ค้าขายนี่โลภ โมโทสัน แต่การค้าขายอย่างบุญนิยม ที่อาตมาพาเราทำเป็นสัมมาอาชีพ นี้ เราค้าขาย เราเพื่อที่จะนำของอย่างนี้ จากตรงนี้ เอามาแจกจ่ายตรงนี้ มาจำหน่ายจ่ายแจกตรงนี้ แลกค่าอะไร เล็กๆน้อยๆ เอน้อยได้เท่าไหร่ยิ่งดี พอที่เราจะได้เกิน หรือว่าได้เหลือมาพออาศัย พอยังอยู่ ให้เขาได้ไป เอาจากเขามาน้อยที่สุด หรือไม่เอามาเลย

เพราะฉะนั้น มันเป็นค่าแรงงาน คิดค่าแรงงานตัวเองให้น้อยที่สุด น้อยเท่าไรยิ่งดี ยิ่งเราได้ทรัพย์ ได้อริยทรัพย์ ได้กำไร กำไรอริยะ เราได้เสียสละ ได้ให้เท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เป็นพ่อค้าแม่ขายอยู่ ก็ทำอย่างนี้ พาทำ จะค้าจะขาย หรือว่าจะทำราชการ ก็บอกราชการก็ไปเสียสละ สร้างสรรให้ดีๆ ทำราชการ ก็คืองานแบบนี้นี่แหละ ต้องการอะไรล่ะ ราชการแรงงาน แต่ละอย่าง แต่ละหน้าที่ ราชการครู ราชการแพทย์ ราชการพยาบาล ราชการทางด้านรัฐศาสตร์ ทางด้านข้าราชการ ทางกรมการเมือง ทางราชการอะไรก็แล้วแต่เถอะ ก็ไปทำหน้าที่ แต่เป็นหน้าที่ ที่จะสร้างสรร งานนั้นให้ดี เป็นการเสียสละ เอาแต่น้อย เสร็จแล้วราชการนี่ มันก็มีเงินเดือน เงินดาว ที่มันฉ้อฉลอยู่ อาตมาบอกแล้วว่า เงินเดือนทำราชการนี่ เป็นเงินเดือนฉ้อฉล ได้เปรียบชาว ประชาราษฎรที่เสียเปรียบนี่มากมาย อาตมาพูดจริงๆ พูดอีกอยู่ย้ำยืนยัน จะเอาไปฆ่าไปคั่ว ไปแกงอย่างไร ก็ต้องยอมตาย เพราะมันสัจจะ มันฉ้อฉล อาตมาถึงบอกว่า ถ้าการไปแก้ ปัญหาสังคม มันไม่ยากหรอก ลดเงินเดือนข้าราชการลงมา พรวดๆ ลงมานี่ รับรอง แก้ปัญหาสังคมได้ดี เสร็จแล้วไปมา แต่ค่าเงินรายได้ ของกรรมกร ของรายได้ค่าจ้างขั้นต่ำ พวกนี้กดเอาไว้ แต่ข้างบนเพิ่มขึ้นๆ ข้างล่างลดลงๆ จะเพิ่มมา แหม! วันละแค่นี้ จะขอละ ร้อยยี่สิบก็ทั้งยาก ส่วนข้าราชการ แหม! ขนาดระดับขั้นต่ำๆ ก็โอย! มากกว่าพวกราษฎรธรรมดา พวกกรรมกร ตั้งเยอะตั้งแยะ เพราะฉะนั้น พวกข้าราชการระดับต่ำนี่น่ะ เช้าชาม เย็นชาม ไม่ได้ทำอะไรขึ้นมาหรอก ความรู้ก็ต่ำ ความสามารถก็แค่นั้น กรรมกรหลายคน เขามีฝีมือดีทุกคน ราคาถูก อะไรต่างๆ นานา ไปไม่ค่อยรอด เอาเถิด อันนี้ อาตมาบอกว่า แก้ปัญหายาก เพราะว่า มันเป็นโครงสร้าง ที่ไปทำลายอะไรไม่ได้ อาตมาถึงเห็นว่า จนทางของระบบ แก้ระบบก็ไม่ได้ แก้ปัญหา ได้ที่ตน

เพราะฉะนั้น สอนคน แต่ละคนนี่ อิสรเสรีภาพ คุณเต็มใจเสียสละ คุณเต็มใจที่จะขาดทุน พูดในภาษาโลก ขาดทุน คือ คุณไม่เอาเขามาก เสียให้แก่เขามากกว่าคุณได้ แล้วคุณก็ เห็นจริงว่า เราได้ขาดทุนให้แก่เขามากๆ นั้นแหละ เป็นกำไรอริยะ เป็นเรื่องวิเศษ ของมนุษยชาติ ด้วยการเสียสละ นี่เป็นเรื่องดีของมนุษย์ สัจจะเถียงอาตมาไม่ได้หรอก ถ้าคนไม่โง่นัก มาฟังอาตมาพูดเถอะ มันเถียงไม่ได้หรอกสัจจะนี่ เสียสละมันเป็นเรื่องดี ไปเอาเปรียบเอารัด นั่นเป็นเรื่องเลว เรื่องร้าย แล้วเราไปติดโลกเขาหลอก ต่อให้เสพให้ติดอะไรอยู่ มากมาย มันจึงละต้องหาเงินมาให้ตัวเสพตัวติด มันก็มีหลักการว่า ละเลิกละไอ้ ตัวเสพ ตัวติด นั่นมาให้ได้ มันเป็นรสอร่อย มันเป็นเรื่องโลกๆ ที่เคยบำเรอตนอยู่ เมื่อเลิกไอ้เสพไอ้ติดพวกนั้น มาได้มากๆๆ คุณก็ไม่ต้องไปหาเงินมาบำเรอพวกนั้นมาก เมื่อไม่มาหาเงินบำเรอ แล้วคุณก็ ไม่ต้องไปกอบไปโกย ไม่ต้องไปเอาเปรียบเอารัด เมื่อไม่ไปเอาเปรียบเอารัด มาทำตัวเอง ให้เสียสละ ขยันขึ้น แรงงาน ไม่ใช่ไปนั่ง เออ!เราไม่เอาแล้ว ลาภก็ไม่เอา ยศก็ไม่เอา นั่งหายใจเข้า หายใจออก พุทโธ! พุทโธ ปู้โธ่ อยู่ตรงนี้ มันก็ไม่ได้กำลังงานอะไร ไม่ได้งานอะไร ไม่ได้สร้างสรรอะไร ชีวิตก็เดินไปสู่ตายไปเปล่าๆ ไร้คุณค่า แทนที่ว่า เออ! เราไม่ทำบาป เราก็ทำบุญซี คุณมีบาป บุญอยู่เท่าไร มีเป็นกุศลอกุศลในชีวิต เป็นวิบากอยู่เท่าไร คุณไม่รู้น่ะ

เราก็ทำบุญขึ้นไป กุศลสร้างสรรขึ้นไป เพื่อที่จะมีฤทธิ์แรง ยิ่งกว่าบาปที่เรามี ชีวิตก็จะได้ดีขึ้น จนกว่าคุณจะปรินิพพานน่ะ เมื่อไรๆ คุณก็สั่งสมบุญขึ้น หยุดบาป บำเพ็ญบุญ พระพุทธเจ้า ถึงสอนเป็นคำตายเลย ว่า หยุดบาปทั้งปวง ยังกุศลให้ถึงพร้อม ไม่มีหยุดยั้ง ไม่สันโดษในกุศล
เพราะฉะนั้น เราไม่ทำบาปแล้ว ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ทำบุญ เรามีกรรมกิริยา เราก็มีทำกรรมกิริยา ที่เป็นบุญ หยุดบาปเราก็หยุดจริงๆ ไม่ทำเลยแม้นิด แม้น้อย ไม่เอา มีประมาณน้อย แม้เท่าไร ก็ไม่เอาบาป แต่บำเพ็ญบุญไปให้มากที่สุด ชีวิตมันถึงจะคุ้ม ชีวิตนี้ ยิ่งยาวนานเหลือเกิน ที่มันมีมา แต่การมามีชีวิตอยู่ แต่ละชาตินี่สั้นนัก แต่สังสารวัฏนั้น ยาวนานเหลือเกิน เรามีมาตั้งแต่เมื่อไร เกิดมาสร้างบาป สร้างบุญมาตั้งเท่าไร เราไม่รู้ เมื่อไม่รู้ อย่าประมาท ไม่รู้แล้วสั่งสมบุญ

เพราะฉะนั้น วันเวลาไม่มีไว้ให้มาชะลอ ไม่มีไว้ให้มานั่งทำแต่ เอ! เราไม่ทำบาป แล้วเราก็ ไม่ทำบุญ เสียเวลาไปเปล่าๆ เมื่อไม่ทำบาป สร้างบุญให้มากๆ ขยันให้มาก อุตสาหะ วิริยะให้มาก อะไรที่จะเป็นบทบาท อะไรที่จะเป็นการสร้างกุศล เป็นการเสียสละสร้างสรร เรามีประสิทธิภาพ คนนี่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถ มีฝีมือ มีความสามารถมากมาย ที่จะสร้างสรรสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่เป็นความสำคัญในโลก เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาทำ ในหลักของเศรษฐศาสตร์ และหลักในสิ่งที่มันเป็น demand เป็นสิ่งที่เป็นความจำเป็น เป็นสิ่งอุปสงค์ เป็นความต้องการของสังคม อะไรที่สำคัญ เราสร้างสรรลงไป สร้างสรรนำพากัน ทำกิจกรรม กิจการอะไรที่ดีๆ ที่สร้างสรร พวกเราก็เข้าใจ

เพราะฉะนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่ศาสนาเหมือนฤาษี นั่ง หยุด เราไม่เอาแล้ว ลาภ ยศ เสพอะไรก็ไม่เสพ หยุดให้มันได้ กด ข่ม แล้วไม่เรียนรู้อย่างชัดแจ้งเลยว่า เมื่ออยู่อย่างนั้นน่ะ มันยั่วยุจริงๆ แล้วคุณจะหลง คุณจะตาย คุณจะถอนอนุสัยจริงหรือ ก็ไม่จริง เพราะฉะนั้น ฤาษีต่างๆสอน จึงไม่เหมือนพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนนี่ มีสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีพ ทำการทำงาน ทำอะไรเอาเถอะ คุณจะถนัดทางไหน คนจะไม่ถนัดก็ตาม จะมีจิตใจ ที่จะช่วยเหลือสร้างสรรอะไร ที่จำเป็นสำคัญก็ทำไป งานใดอะไรที่เป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่ดี ก็ทำเหตุทำปัจจัยนั้น ขยันหมั่นเพียร

เพราะฉะนั้น อาชีพของพวกเรา ก็ยังทำอาชีพอยู่อย่างเดิม ที่เป็นสัมมาอาชีพ ที่จะต้องอาศัย จะเป็นครู ก็ยังเป็นครู นี่ อาตมายังต้องการครู เพราะนี่นักเรียน จะเปิดโรงเรียนมาก็ชักจะดี เพราะว่า พวกเรานี่ก็รู้ มีลูกมีเต้า มีลูกมีหลาน ก็อยากให้ลูกหลานมาเรียน พวกเรามาเลี้ยงก็ยังดี ก็คงจะเป็นลูกเทวดา เป็นลูกพระมากกว่าลูกผี ไม่อย่างนั้นอยู่ทางโลก เขาก็สอนกันไปน่ะ โอ! เป็นลูกผี ไว้ใจก็ยาก แม้แต่ครูก็เป็นครูผีเดี๋ยวนี้ โอ้โฮ! ลงหนังสือพิมพ์เกือบทุกวัน มันข่มขืน นักเรียนกันเกือบทุกวัน เมื่อวานนี้ก็ออกข่าว ไม่ได้ข่มขืนธรรมดา แหม ! ดูไปอีก ก็ชอบกลไปอีก ซ้อนเชิง จับมาเป็นตัวประกัน เพื่อที่จะให้พ่อแม่ ยอมให้แต่งงาน แน้! ไปโน่นอีก ข้ามขั้นไปอีกน่ะ นา ได้เสียกันแล้วก่อนด้วย เสร็จแล้ว ก็ถึงขั้นจะยอมให้แต่งงาน ไอ้เด็กนักเรียนก็แค่อายุ ๑๕ ครูไม่รู้เท่าไหร่ มีเมียมีลูก ๒ แล้ว แล้วมันก็ไปอย่างนั้นทุกวัน เลวร้ายกว่านี้ก็เยอะแยะมากมาย มีวิธีการต่างๆ นานา สารพัดสาระเพ

ทีนี้ พวกเรา นี่ก็พยายามที่จะกระทำให้ดี นักเรียน หรือว่าการเรียน การสอน การอะไรพวกนี้ ก็เป็นเรื่องของความสำคัญ เราก็จะต้องเปิดโรงเรียน ถึงเวลาวาระมาถึงขนาดนี้ ก็น่าจะมี เสร็จแล้ว ก็เปิดยังไม่ได้ก่อน กศน. รับเด็ก มาก็ได้เท่านี้ ครูสอนกันอยู่ ก็ยังไม่แข็งแรง อาตมา ก็ยังไม่เก่ง ทั้งๆที่ครูของเราเยอะนะ ลาออกมาจากครู ไปทำครัวเยอะ มี ไม่ทำแล้ว ครูไม่สอนแล้ว เบื่อ แหม! อยากลาออกจากครูไปทำครัว ไม่อย่างนั้น ก็จะไปโน่น ไปทำอยู่กับดิน กับหญ้าไป ซึ่งมันก็ดีหรอกนะ มันก็ดี ลดตัวลดตนดูดีหรอกนะ แต่ว่ามันก็ต้องมีงาน มีหน้าที่ อะไรที่เราจะต้องอาศัย ก็เลยให้คนที่ไม่เคยได้เป็นครู มาเป็นครู เพราะมันยังไม่เบื่อ ดูแปลก ดูใหม่ ก็มาเป็นครู ไอ้คนที่เป็นครู ไม่เอาละ เข้าครัว ไอ้คนเข้าครัว เบื่อ ก็จะมาเป็นครู อะไรอย่างนี้ มันก็ยังไม่ลงตัวเท่าไร ตอนนี้น่ะนา

เพราะฉะนั้น ก็เอา ค่อยๆเป็นไป จนกว่าจะเข้าใจ อาตมาก็รอ ก็ทำไป ค่อยๆ สอน ค่อยๆแนะไป หนักเข้า เข้าใจออกมา บางคนก็เป็นพยาบาล มา เบื่อ โว้ย! ไม่อยากทำต่อแล้วพยาบาล เบื่อ ก็ไป แล้วก็อย่างว่า ไม่ทำ ให้มาเป็นพยาบาลไม่เอา ไปเข้าครัวอีก ไม่เข้าครัวก็ไปโน่น ไปขัดส้วม หรือ ไม่ก็ไปโรงเกษตร ไปอะไร คือมันเบื่อไอ้ที่เขาเคยทำซ้ำซาก เอา ก็ไม่ว่าอะไร จนกว่าจะเข้าใจ จนกว่าจะกลับมา บางคนเป็นพ่อค้า แม่ค้ามา ก็เลิกค้าเลิกขายมา ก็มาเข้าวัด อ้าว! จะไล่ให้ออก ไปค้าไปขายอีก เบื่อ! อีกแล้ว ก็อย่างนี้น่ะนา วนเวียนไป มันต้องปฏินิสสัคคะบ้าง แล้วเรา ก็ต้องรู้ว่า ไอ้เราทำนี่ มันไม่เหมือนกันนา แต่ก่อนเราเป็นครู ก็จะเอาแต่ลาภ แต่ยศ แต่ขึ้นสองขั้น สามขั้น จะเอาอย่างนั้น อย่างนี้ ล่าลาภ ล่ายศ เป็นพยาบาล ก็จะล่าลาภ ล่ายศ เดี๋ยวนี้ ก็เราเป็นพยาบาล ทำงานที่เป็นสาระหน้าที่โดยตรง ไม่ต้องมีลาภ มียศ แล้วทำไม่ได้หรือ ก็ทำได้ มันก็เป็นงาน เป็นหน้าที่ที่เราเคยเรียน เคยรู้ มีความสามารถ มีสมรรถภาพอยู่ด้วย ก็เอา นี่เราก็มาหัดวางใจ มันผลัก มันดูด มันผลัก มันดูด นี่แหละ มันไม่อื่นเลย มันอยากผลัก อยากดูดนี่ เสร็จแล้วมาเรียนรู้ คนเราต้องมีอาชีพ

มรรคองค์ ๘ นี่มีสัมมาอาชีพ เขาไม่เคยสอนกันมานานแล้ว อาชีพ ๕ ระดับ มิจฉาชีพ ๕ ระดับ เขาไม่เคยพูดถึงมานานแล้ว ศาสนาพุทธ มันจวนจะหมดจะสิ้นแล้ว พูดไม่เป็น ไม่เข้าใจหรอก สังกัปปะ วาจา อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ก็พอยังเหลือบ้าง แต่อาชีพนี่ ทิ้งไปเลย ไม่พูดเลย อาตมาเกิดมา ตั้งแต่เกิดมา จนกระทั่งปานนี้ ยังไม่เห็นพระที่ไหนสอนสัมมาอาชีพ มิจฉาอาชีพ ๕ ไม่เคยมาพูด แล้วยิ่งขณะนี้ ไม่ใช่พูดธรรมดาด้วย อาตมาให้ทำจริงๆด้วย ให้มีสัมมาอาชีพจริงๆ โดยเฉพาะ ฆราวาสนี่แหละ จะมีอาชีพมากมาย เพราะฆราวาส ต้องทำอาชีพ ตั้งเยอะตั้งแยะ คุณอาศัยอาชีพ อาศัยเงิน อาศัยทอง อาศัยสิ่งแลกเปลี่ยน อาศัยกิน อาศัยอยู่ บางคน ก็ยังมีภาระ ยังมีลูก มีหลาน มีโน่น มีนี่ มีภาระของคุณ ผู้มาบวชแล้วก็น้อย ไม่ค่อยจะมีอะไร มากมายนัก สัมมอาชีพ ก็ไม่ได้เหมือนพวกคุณ อาตมาจำเป็นต้องไปพูดถึงสัมมอาชีพอะไร ต้องมาพูดถึง เรื่องค้าขาย ทั้งๆที่พระค้าขายไม่ได้ ต้องไปพูดถึงเรื่องเกษตร ทั้งๆที่พระนี่ขุดดิน เด็ดพืช เด็ดผัก อะไรไม่ได้ แต่อาตมาต้องลงไปถึงขนาดนี้นี่ เพราะว่า มันจำเป็นต้องพูด เมื่อพวกคุณเป็นฆราวาส รับแทนไปได้หมด มีความรู้เพียงพอ อาตมาก็เลิก ไม่ต้องไปลุย บางที ก็ต้องเดินไปย่ำนาย่ำไร่ด้วย ต้องไป ดีไม่ดีบางครั้ง ต้องไป แหม ต้องขุดด้วย ต้องถอนด้วย เอา ต้องบอก คือมันยังไม่รู้ ก็จำเป็น อาตมาก็จำเป็น รู้ทั้งรู้ มีสติสัมปชัญญะ น่ะ ไม่ใช่อาตมาไม่มี จำเป็นก็ต้องทำ เพราะฉะนั้น มันเหมือนละเมิด แต่อาตมาว่า อาตมามีสติวินัย อาตมารู้ว่า อาตมามีสติ อาตมารู้ว่า อาตมามีวินัย นัยที่ลึกซึ้ง ที่จะเป็นอะไรอย่างไร อาตมารู้ว่า อาตมาต้องทำ หลายสิ่งหลายอย่างก็ต้องทำ ทำทั้งๆที่รู้ว่าอันนี้มันละเมิดวินัย โดยรูป ละเมิดวินัย แต่ใจอาตมาละเมิดหรือ อาตมารู้ว่า อาตมาไม่ได้ละเมิดทางใจ ไม่ได้มีอกุศลอะไร แล้วก็ไม่ได้มีเจตนา ที่จะโลภโมโทสัน แต่ว่ามันก็จะต้องทำ อย่างนี้เป็นต้น ก็ค่อยๆ อธิบาย ให้พวกเราเข้าใจ หลายคนก็เพ่งโทษอย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาต้องพาอย่างโน้นอย่างนี้ มันมีความจำเป็น เพราะศาสนามันจะเสื่อมหมดแล้ว มันทำไม่ถูกเรื่อง มรรคองค์ ๘ ไม่เป็น ก็กำลังถ่ายทอดกันอยู่ อาชีพหลายๆอย่าง หลายๆอัน

โดยเฉพาะ แม้แต่ขณะนี้ ไม่ต้องเอาอะไร อาตมาเริ่มต้นจากการทำสื่อสารเผยแพร่ ไม่ได้ล่วง มาถึงต้องทำเกษตร ต้องทำการค้าหรอก ตอนแรกๆ ใหม่ๆ ทำหนังสือธรรมะ ทุกวันนี้ พระยังจะต้อง มาคุมการพิมพ์อยู่เลย ถือหนังสือธรรมะ ซึ่งแทนที่จะเป็นฆราวาส รับหน้าที่ ไปได้หมด พระก็ต้องมาคอยเอาเถอะ มันอย่างไรๆ วินัยมันก็ไม่ได้มากเหมือนเกษตร มันไม่ได้มาก เหมือนกับการค้าการขาย วินัยมันไม่ได้มากถึงขนาดนั้น การทำหนังสือ ยังทำไป ได้อยู่ ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาว่าได้ขนาดนี้ก็เอาเถอะ ไม่เช่นนั้น พระก็เลยไม่ต้องมีงานพอดี ก็ทำไปเถิด จะคอมพิวเตอร์ จะทำตัวอะไรก็ทำไป ตอนนี้ก็พระดูแลกันเยอะ ฆราวาสเราก็มีบ้าง ฝึกเสริมหนุนกันมา จะทำหนังสือหนังหา ทำอะไร พระก็พิมพ์เพิมอะไรมา เครื่องพงเครื่องพิมพ์ อะไรก็ทำไปบ้าง ก็เอา พอได้ พอเป็นไป มันก็ไม่ได้ละเมิดวินงวินัยอะไร มันเป็นสื่อสารอะไร หรือแม้แต่ จะต้องสร้างบ้าน สร้างเรือน จะต้องสร้างอาคารอะไร พระก็ต้องนำพา นำทำ ไม่ทำก็ไม่ค่อยมากัน เอ้า! ก็ต้องไปนำ ไปทำอะไรกันอยู่นี่ ต้องสร้างต้องก่อ ต้องอะไร ต้องโบกอิฐ โบกปูน เอา ก็ทำบ้าง ดีไม่ดี บางทีละลาบละล้วงไปถึงขนาดนั้น ไปทำให้ฆราวาสอยู่ด้วยซ้ำไป ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ถูก โดยจริง ก็แค่ทำอยู่เอง พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ว่าอะไร จะสร้างจะก่ออะไร น่ะ จะก่อบ้าน ก่อเรือน จะโบกอิฐโบกปูนโบกหินอะไร ก็ได้ อยู่เองอะไรนี่ ไปทำให้ฆราวาสนี่ จริงมันไม่ค่อยถูก แต่ว่ามันก็ต้องทำอยู่บ้าง ในพวกเรานี่รู้ เราก็ยังรับช่วงไม่ได้ เอาละ รับช่วงไม่ได้ ให้ทุนรอนมาสร้างเอง ก็ยังไม่พอ ถ้าทุนรอนมาพอ เราก็จ้างช่างมาเอง จริงเลยก็ได้ นี่จ้างก็ไม่พอ ลงแรงเองด้วย พวกเราเองด้วย มันก็เลยอย่างนี้ ครึ่งๆ กลางๆ มันยังไม่สมบูรณ์น่ะ นี่เล่าให้ฟังนะ

เพราะฉะนั้น พวกเราก็ค่อยๆ ศึกษากันไป จนกว่าจะเข้าใจดี แล้ว ค่อยเกื้อหนุนกัน แต่ก็เข้าใจ ขึ้นมาได้เรื่อย ทุกวันนี้ก็เข้าใจขึ้นมาได้เรื่อยๆ จนกว่า จะสมบูรณ์สัมมาอาชีพ อย่างสมบูรณ์ ก็เกิดจาก สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ นั่นแหละมาประกอบเป็นอาชีพ กาย วาจา ใจ เรียนรู้ กาย วาจา ใจ มีกรรม มีการงานที่สมเหมาะสมควร ประณีต ประหยัด เราเรียนรู้ถึงสาระแก่นสาร โดยเฉพาะ ไม่เอาเปรียบเอารัด สามารถที่จะทำได้อย่างเกิดการหนุนเนื่อง มีอะไรที่หนุนเนื่อง ทุนรอน ข้าวของ วัตถุ แรงงาน จิตใจ เอื้อเฟื้อเจือจานกัน นี่ มันจะถึงขั้นสร้างโรงพยาบาล อีกหนึ่ง โอ้โฮ! แหม! ไปเรื่อยๆ มีเหตุการณ์คุณจะได้เห็นได้ว่า พอว่าเริ่มแง้มอะไรขึ้นมาเป็นกิจ แล้วค่อยๆ มาแล้วไวนะ พวกเรานี่ ปึ้บปั้บๆๆๆๆ แววไว ในกิจการโน่นนี่

อาตมาก็ต้องหาวิธีที่จะต้องไป แม้การค้าการขายนี่ อาตมาทำให้เห็น หลักบุญนิยม เป็นจารีต ประเพณี วัฒนธรรม เป็นแนวโน้ม เป็นตัวแสดง เป็นตัวสื่อ ให้เห็นให้ชัด ถึงขั้นการค้า อย่างต่ำกว่าทุน อย่างน้อย ก็มีรูปแบบชัดเจนว่า ต่ำกว่าทุนอย่างชัดๆ มาเสียสละกันตรงๆ เปิดร้านค้า เปิดการค้า การขาย เปิดตลาดอริยะ อย่างงานปีใหม่ที่ปฐม ของเรานี่ เปิดตลาดอริยะ ขายต่ำกว่าทุน นี่แล้วพวกเรานี่ ต้องมาทำเป็นตัวอย่าง ผู้ที่เข้าใจ ก็ทำอย่าง สบายใจ ได้เสียสละมา ปีหนึ่งก็เอาได้ไปออกกัน ของที่จำเป็น สำคัญอะไร ที่ควรจะเอาไปขาย ก็เอาไปขาย ขายแล้วก็ต่ำกว่าทุน เพื่อที่จะให้ ที่จะแสดงความจริง ไม่ใช่มาซ่อน มาแฝง มาหากำไร กำรี้อะไร มาเอาเปรียบ เอารัดอะไรอยู่เป็นเชิงกลอะไร ฉ้อฉลอะไรอยู่ ไม่เอา แล้วเราพยายามกันคนข้างนอก เขาจะมาค้ามาขาย ถือโอกาส โฆษณาให้ว่า หลอกคนให้มาซื้อ หลอกคนมาว่าที่นี่ ค้าต่ำกว่าทุนนะ ข้าฯ ก็แฝงเอาไว้มาขาย พอคนมันมาแล้ว ก็มาซื้อของกัน ทั้งนั้นแหละ ซื้อได้ก็ซื้อเอา คนไหนจริง ก็มาเข้าแถว เข้าคิวกันซี จะเห็นได้ว่า ร้านนี่จริงๆจังๆน่ะ เขาก็มาซื้อกัน เข้าคิวกัน ของจำเป็นสำคัญ ไอ้คนที่แฝงๆ ก็ตะโกนไปเถิด ถูกๆๆบางที ก็ล่อก็หลอก ใครเขาคนหลงกล ก็หลงไปบ้าง คนไม่หลงกล รู้ทันเขาก็ไม่ซื้อ โฆษณาหนัก โฆษณาให้เขามาซื้ออะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราก็พยายามกัน พยายามให้ มีความจริง พยายามให้มีตัวบุคคล ที่จะไปเสียสละจริง พวกเราก็ทำกันขึ้นมาพร้อม

อาตมาก็อยากจะให้มันเป็นไปได้ ให้มันเป็นไปจริงๆ มีร้านค้าแบบนี้แหละ เป็นจารีต เป็นพิธี อันนี้เป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง ในการเปิดตลาดอริยะ จะเป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง ปีหนึ่ง เราก็มีตัวอย่าง อันหนึ่ง ชัดเจน ถ้าเราทำได้ถาวรไป เป็นจารีตประเพณีของพวกเราว่า นี่ พวกเราถึงเวลาปีใหม่ที มีตลาดอริยะ อย่างจริงจังนี้ที ถ้าเผื่อว่าทำได้อย่างแข็งแรงสมบูรณ์จริงๆแล้ว อย่าว่าแต่คนใน กรุงเทพฯ ต้องไปตลาดอริยะ มี ๓ วัน ๕ วันอะไรก็แล้วแต่ เรามี ๓ วัน เท่านั้น ก็แค่ที่คน กรุงเทพฯ แค่คนนครปฐม แค่คนจังหวัดข้างเคียง ดีไม่ดี เพชรบูรณ์ ก็จะต้องวิ่งไปซื้อที่โน่นน่ะ ถือว่าได้ไป ซื้อของอริยะนี่ มันดีน่ะ ของตลาดอริยะนี่มีคุณค่า ซื้อมาป็นกุศล เพราะว่า คนอริยะ ขายกันจริงๆ เป็นสมบัติของชาวอริยะ ต่อไปนี้ ยิ่งพวกเราผลิตเอง ขายเอง ยิ่งต่ำกว่าทุนได้มากๆ ซื้อมา นี่ แหม! แทบจะเอามาตั้งไว้บูชาแน่ะปีหนึ่ง เราก็ได้ซื้อของอริยะมาได้บูชาที่บ้าน ที่เรือน มันจะขลังซะอย่างนั้นเลยน่ะ ถ้าเราทำได้ดีๆน่ะ ผลิตเอง แล้วขายบริสุทธิ์จริงใจ ได้ถูกจริงๆ ของถูก มีระบบระเบียบที่ดี แล้วก็ทำชั่วระยะเวลาหนึ่งนี่ มันจะขลังน่ะ จะขลังอย่างนั้นจริงๆเลย

การเกษตร เราก็พยายามที่จะสร้างให้เป็นวัตถุ ที่มันไม่มีมลพิษ ข้าวก็พยายามทำข้าว ที่มันสะอาด ข้าวให้มันมีคุณภาพ ไม่มีมลพิษ ไม่มียา ไม่มีสารเคมี ไม่มีอะไร ซึ่งพยายาม เข้าหาธรรมชาติ ที่เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง ทำอย่างไร มันจะเป็นไปได้ ตอนนี้ ก็เริ่มคลี่คลาย มีผัก มีพืชอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ให้ดี อาตมาเคยพูดปีใหม่ ที่เทศน์ คนปลูกผักขาย เสร็จแล้ว ก็เอาผักไปขาย แต่ตัวเองไม่กินผักของตัวเอง นั่นคือมิจฉาชีพ เป็นอาชีพมิจฉา เป็นอาชีพพิษ เป็นอาชีพที่เป็นภัย ตัวเองรู้อยู่แล้วว่า เราเอายาพิษไปขายให้คน แต่เขาก็ต้องทำ เขาไม่กล้า กินผักที่เขาปลูก เพราะเขารู้ว่า มันมีพิษ ตัวเองทำเองแล้วเอาไปให้คนอื่นกิน มันอำมหิต ขนาดไหนน่ะ ตัวเองยังไม่กินของตัวเองเลย แต่ตัวเองเอาไปให้คนอื่นกิน มันอำมหิตน่ะ มิจฉาชีพ อย่างนี้ก็เป็นมิจฉาชีพ เป็นพิษ เป็นวีสวณิชชา เป็นการค้าขายที่เป็นพิษ อย่างนี้เป็นต้น เราต้องเจตนาจริงๆ เราต้องเข้าใจนะ ว่าเราจะเสียสละ เราจะไม่ทำลายใคร ไม่ให้ใครตกต่ำ ไม่ให้ใครเป็นทุกข์เป็นร้อน เดือดร้อน เราก็ต้องทำ เราต้องเสียสละ เราต้องสร้างสรรจริงๆ

เพราะฉะนั้น อะไรต่ออะไรต่างๆนานาที่อาตมาพยายาม นำพาทำพวกนี้ เป็นสัมมาอาชีพ ขึ้นมานี่ ก็พยายามเข้าใจก็แล้วกัน กอรปก่อกันขึ้นมา ทุกวันนี้ เราเกิดอะไรกันขึ้นมา เป็นการ ลองใจพวกเราเยอะเหมือนกันนะ เห็นไหม หลายๆ อย่าง และอาตมาสอนพวกเรา สอนไม่ให้ สะสม ไม่ให้กอบโกย ไม่ให้เอาเปรียบมันก็มีน้อย ตอนนี้ก็ลองใจลองของ

แม้แต่สันติอโศก ก็จะสร้างวิหารสันติอโศก ซึ่งเป็นราคาเรือน ๑๐ ล้านขึ้นไป งบประมาณ ๑๐ ล้านขึ้นไป ถึง ๑๕ ล้าน นี่ก็บอก อาตมาจะต้องบอกบุญเรื่องนี้ จนกว่าจะได้ครบ เพราะเรา ยังไม่เคยทำอะไรที่จะมี งบประมาณ ๑๐ กว่าล้านนี่ นะ ลองอันนี้ดู แล้วต่อไปนี้ ถ้าจะสร้าง โรงพยาบาลนี่นะ ไม่ใช่ ๑๐ ล้านนา ๑๐ ล้านนี่ ชื้อเครื่องมือแพทย์ได้ไม่กี่ชิ้นหรอก ๑๐ ล้านนี่ โรงพยาบาลนี่ ไม่ใช่ ๑๐ ล้าน ลงทุนเป็นร้อยล้านขึ้นไป ร้อยล้านขึ้นไป เอาละ คุณจำลอง จะพยายามกะด๊อกกะแด๊กชื่อ เอาไว้สัก ๖ ไร่นี่น่ะ ก็เอาเถิด อาตมาก็ว่า ลองไปก่อน ทำๆไปก่อน ๔ ล้านนี่ จะซื้อนี่ก็ กระดูกจะเป็นเลือดอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น โรงพยาบาล นี่จะต้องขึ้นทีหลัง ลองซิว่าอันนี้มันก็เหมือนกับมาลอง อันที่จริง อาตมาไม่ได้เจตนา เมื่อปีกลาย มันก็ปลายปีนี่เอง ได้คิดว่า เออ! ต้องสร้างวิหาร ต้องสร้าง อาคารของสันติอโศก ก็อยู่กันมาอย่างนั้น จนเห็นว่า เออ! ก็น่าได้สำนึกน่ะ ปล่อยปละละเลยไป ก็ไม่ดี เดี๋ยวมันก็ทรุดก็โทรมลงไป ประเดี๋ยวก็พังลงมาทับกันจะตาย อันนี้ก็ไม่เข้าท่า แล้วก็ได้ วาระเวลา อาตมาก็นึกรอบไปหลายๆ ด้าน ก็เอาก็ลองดู ถ้ามันจะสร้างในราคา ๑๐ ล้านขึ้นไป เราไม่เคยมีงบประมาณตั้ง บอกพวกเราเลยว่าจะสร้างอะไร ๑๐ ล้านนี่ จะทำได้แค่ไหน ต่ำไปก็มีจริงน่ะ หลายๆอย่าง ที่มันมีราคา แต่ไม่มีน่ะ อาคาร หรืออะไรที่ว่า จะสร้างลงทุน ๑๐ ล้านขึ้นนี่ โดยงบประมาณอย่างนี้ ๑๐ ล้าน เรายังไม่เคยทำ อันนี้จะเป็นชิ้นแรกเลย น่ะ วิหารสันติอโศก นี่ จะสิบล้านขึ้นไป กะไว้ว่า สักสิบห้าล้าน ก็ไม่มีเงิน พวกเราก็ไม่มีเงิน โดยเฉพาะ อาตมาไม่มีตุนไว้หรอก เพราะอาตมาไม่ได้ไปสะสมเงินทองอะไร ไม่ได้เป็นพระมีทุน บริจาคล้านหนึ่ง อายตาย บริจาคสิบบาทยังไม่มีจะบริจาคเลยตัวเอง เพราะฉะนั้น ก็เอาจาก พวกเรา ฯลฯ...

นี่ก็เป็นของเรา เหมือนกับลองใจลองฐานะ ลองบารมี เหมือนกันน่ะนา ไม่ยิ่ง ไม่ใหญ่หรอก ไม่เหมือนที่อื่นเขา ที่อื่นเขาดูเหมือนว่าบารมี แต่ว่าบารมีนี่ก็ซ้อนน่ะ เหมือนอาตมามีบารมี ดูเหมือนมันน้อยๆ เล็กๆ แค่นี้น่ะ แต่มันซ้อนเชิงน่ะ อาตมาสอนพวกคุณนี่ ไม่เคยรดน้ำมนต์ ให้รวยๆ แล้วก็มาทำบุญกับอาตมา ไม่เคยสอนแบบนี้ ใช่ไหม ให้ไปโลภโมโทสัน ไม่เคย มีแต่ให้คุณลดๆๆๆ แม้แต่จะไปกอบโกย จะสะสม ก็ให้คุณอย่าสะสม จนกระทั่ง หมดเนื้อ หมดตัว ทำงาน ฟรี ไม่มีอะไรเลย จนกระทั่งอันนี้มันซ้อนเชิงน่ะ เพราะเราจะไปมีตัวเงิน เงินๆทองๆ อะไรมากๆ มายๆ มันไม่มากไม่มาย แต่แม้เงินน้อยแค่ที่ว่ามาใช้แค่สิบล้าน ยี่สิบล้านนี่นะ คนอื่น ร้อยล้าน พันล้าน ก็ยังไม่มีค่าเท่าอันนี้

ฟังดีๆ ฟังออกไหมว่า มันมีค่ายิ่งกว่ากันขนาดไหน มันซ้อนเชิง เงินบาทของเรา ทำบุญบาทหนึ่ง นี่น่ะ คุณค่าของบุญ มันเหนือกว่าอีกตั้งร้อยกว่า พันบาท หมื่นบาท ของพวก ที่ใช้โลกียละเลง หรือว่าประเล้าประโลมเอา มันผิดกันนะ ฟังความให้ชัดๆ เถอะ เพราะฉะนั้น บุญพวกเรา ทำกันบาทหนึ่ง พันบาท ร้อยบาท มีบุญยิ่งกว่าอย่างที่ทางโลกเขาทำ เพราะนั้นไปแบบ โลกียบาปๆผสมไป โลภโมโทสันไป ดีไม่ดีก็ไปฉ้อฉล ไปเอารัดเอาเปรียบเขา อะไร จริงๆแล้ว บอกตรงๆว่า อาตมาไม่อยากได้เงินของพวกร่ำรวย ร่ำรวยมากๆ คนร่ำรวยมากๆ นี่ได้เงินมา เป็นเงินบาปเสียส่วนใหญ่ เพราะเงินบาปๆนี่มานี่ สู้เงินสุจริตของพวกคุณ ได้ด้วยเลือด ด้วยเนื้อ ด้วยเรี่ยวด้วยแรงนี่นา บาทหนึ่งของคุณนี่ เป็นความบริสุทธิ์ เป็นค่าที่สูงยิ่งกว่า ที่ไปโกง ไปเอาเปรียบเอารัดเขามา ร้อยพัน หมื่นแสนนั่นมา เอามาให้อาตมาล้านหนึ่ง ของคุณบาทหนึ่ง จะมีค่ายิ่งกว่าล้านอย่างนั้นด้วย ในนัยของความสุจริต ความซื่อสัตย์ ความบริสุทธิ์พวกนี้ ฟังออกไหม

เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่า อาตมาไม่ได้อยากได้เท่าไหร่หรอก เงินของพวกรวยๆน่ะ พูดอย่างนี้ เขาถึงไม่เอาให้อย่างไร เอ้า นี่ด้วยความบริสุทธิ์ใจน่ะ เพราะได้มาค่ามันก็พอกัน ค่ามันไม่เท่ากัน ค่ามันไม่มากไม่มายเท่าไรหรอก เอามาสร้างสรรอะไรนี่ พวกนี้เสียสละ คุณบริสุทธิ์มา คุณก็ได้บุญกันมาก อาตมาก็ได้สิ่งบริสุทธิ์กว่า โน่นน่ะเอามา เขาก็ไม่ได้บุญมาก เขามาให้ จะบริสุทธิ์แค่ไหน และเงินก็ไม่บริสุทธิ์ด้วย นี่มันซ้อนเชิงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราจะสร้าง อาตมาถึงบอกว่า จะสร้างอาคาร จะสร้างวิหารนี่นา อาตมาจะสร้างเลือดเนื้อ ของพวกเรานี่ เงินคนข้างนอกไม่เอาน่ะ ไม่อย่างนั้น ก็ไปมีข้างนอกอะไรมา บางคนบอก โอ้ เงินข้างนอก มันไม่ได้ช่วย ไม่เอาเงินคนข้างนอกมาช่วย เราไม่เอา คนมีสิทธิ์ อย่างน้อย ก็ตามนโยบาย ต้องมาที่นี่ ๗ ครั้ง ต้องอ่านหนังสือ เรา ๗ เล่ม หรือคนในจริงๆนี่แหละ เอาเลือดๆ แท้ๆนี่แหละ โดยเฉพาะอาคาร นี่จะเป็นอาคารของสันติอโศก ที่จะเป็น สถาปัตยกรรม ที่จะใส่นานเท่านาน ก็จะสร้างให้ดีๆ ให้แข็งแรง แล้วจะไปอีกนาน เราจะเอา เนื้อของเรา เลือดของเรา นี่จะดีกว่า ที่จะสร้าง คุณคิดอย่างนั้นไหม ไปเอาเลือด ของคนอื่น มาแปะๆๆ ไม่รู้เลือดม้า เลือดแมว เอามาทำอะไรกันนักกันหนา ฟังให้ดี อาตมาพูดนี่ เป็นภาษาธรรมะ สู่คุณฟัง คุณฟังเข้าใจ คุณก็จะรู้


ถอด โดย จอม ศรีสวัสดิ์ ๖ ก.พ.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๔ มี.ค.๒๕๓๕
พิมพ์ โดย สม.มาบรรจบ ๙ มี.ค.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๑๐ มี.ค.๒๕๓๕

FILE:2255B.TAP