คุยกันวันกินข้าวหาด
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕
ณ ปฐมอโศก

อย่ามุมใครมุมมัน หมู่ใครหมู่มัน ดีแต่ว่ายังไม่คู่ใครคู่มันเท่านั้นแหละ ถ้าลงคู่ใครคู่มันแล้ว อาตมาก็เลิกเลย แล้วไม่ต้องไปพูดกับใครได้ ต่างคนต่าง แหม คู่ใครคู่มันแล้วจบเลย ไม่ต้องพูดด้วยเลย นี่ดียังอยู่บ้าง หลายคน ไม่เป็นคู่นา นี่กลุ่มใครกลุ่มมัน หมู่ใครหมู่มัน ยังประสานกันไม่ค่อยได้ พวกรานี่ มันมีอะไรไปอย่างนี้ตามประสา จะเห็นว่า สิ่งที่ภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า innocent คือมันไม่ไปยึดไปติด ไม่ถือสาอะไรกันมาก innocent นี่ มันเป็นไปตามจริต มันเป็นไป ตามความเป็นจริง ร้องเพลงถูกบ้างไม่ถูกบ้าง อยากจะอย่างโน้น อย่างนี้บ้าง อะไรไปพอสมควร ไม่กะวี๊ดกะว๊ายอะไรเกินไป พอเป็นไปตามกาลตามเวลา ตามอารมณ์ ที่จะพอเป็นไป ปล่อยกิเลสบ้าง ปล่อยเปรตนิดหน่อย ข้างนอกเรามีอะไรๆ เราก็พอรับฟังเขา เอามาก็ล้อๆเลียนเขาไป อันไหนดีเราก็เอามาให้ มันเป็นดี อันไหนที่มันไม่ดี เราก็ไม่เอามาละ แม้ว่ามัน จะเป็นเรื่องเชิงโลกเขา ชื่นชอบใจกัน เราก็เอามาล้อๆเลียนๆ กับเขาบ้าง แล้วก็ให้มันมีสาระ อะไรเข้าไปบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็ได้อะไรขึ้นมา มาสังสรรค์กัน กินข้าว กินน้ำร่วมกัน เป็นวัฒนธรรมการแสดงออก การเผื่อแผ่ หรืออุดมสมบูรณ์อย่างหนึ่ง ของเราเหมือนกัน ใครมาก็มามี เอ้า เชิญกินข้าว กินขนม กินผลไม้ อะไรต่ออะไร จากไหน ก็แล้วแต่เถอะมา เราก็ยินดี เชิญต้อนรับ กินกัน มีเท่าไหร่ก็กินกัน หมดไปก็หมดไป มันไม่หมด ก็กินกันไป เหลือก็ยิ่งดี แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของความเกื้อกูล เอื้อเฟื้อ แจกจ่าย เจือจาน ใครมาเห็น ใครมาพบเข้า ก็เป็นกรรมกิริยาอย่างนี้ พฤติกรรมอย่างนี้ของเรา เราก็อยู่ในหมู่ของเรา ข้างนอกเขาจะมาบ้าง เราก็ไม่ได้รังเกียจ เราก็แบ่งแจกให้เขากินได้ แล้วเราก็ไป ตามประสาของเรา ไม่หวือหวาจนเกินการ

อาตมาว่าวัฒนธรรมอันนี้ อาตมาจงใจ จงใจจะพยายามก่อให้เป็นไป นี่รุ่นเด็กๆมารับถ่ายทอด มารับสืบทอด อะไรต่ออะไรไป แม้ว่าสาระแกจะรับไม่ค่อยหวาด ค่อยไหวอะไรนัก ก็เอาละ สาระแกรับไม่ค่อยได้ ก็เอาอันนี้ก่อนเป็นพื้น ต่อไปก็ค่อยๆรับสาระเป็นอะไรเป็น ก็ค่อยๆรับไป ตามขั้น ตามลำดับ มันจะมีวัย มันจะมีโอกาสกาลที่ ที่มันมีความยินดีเองแหละ มันจะยินดีรับ มันก็จะมีเองแหละ มันจะค่อยๆเป็นค่อยไป ตามขั้นตามลำดับ

เอ้า เอาเลย ถึงกาล ใครจะถามอะไรก็เอา

กราบนมัสการพ่อท่าน จะขอให้พ่อท่านช่วยอธิบายเรื่องจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว (มีเสียงว่า โอ้โฮ) อีกสักครั้งหนึ่งค่ะ ฟังไม่ถนัดนะคะ วันก่อนนั้น

โอ้โฮ เวลานี้มันไม่ใช่เวลาจะเอาหนักๆถึงขนาดนั้นน่ะนา จะเอา ให้ฟังจักรแก้ว ม้าแก้วเลยหรือ โอโห

อยากจะฟังอีกสักครั้งหนึ่งค่ะ

จักรนี่มันกลไกน่ะเรื่องจักรนี่คือกลไก เป็นภาษาธรรมะโดยตรงเลย จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้วอะไรนี่ โดยอาศัยเหมือนกับมนุษย์นี่ มันจะมีองค์ประกอบของสังคม ชีวิต สมัยโบราณนี่ จักรนี่คือการเดินบท กลไกเดินบท เหมือนเครื่องจักรมันติดเครื่อง หรือกลไกของสังคม กลไกของ อะไรก็แล้วแต่เถอะ กลไกของร้านค้าของเรา แล้วเราก็มีกำลังหนุนเนื่อง มีเฟืองใหญ่เป็นช้าง มีกลไกใหญ่ของกองทัพเป็นช้าง ช้างแก้วก็เรียกว่า ช้างที่มีกำลังมีขบวนของช้าง แล้วก็มีขบวนของม้า เป็นกลไกที่รองลงมา เป็นเฟืองที่รองลงมา อย่างนี้เป็นต้น

แล้วก็มีจุดใจกลางเรียกว่า แก้วมณี จุดใจกลางนั้นว่า แก้วมณี เป็นจุดใจกลางเป็นผลๆ หรือว่าเป็นตัวแกน เป็นตัวอัตถะ เป็นตัวเนื้อหาสาระ เป็นตัวเป้าหมายหลักเลยว่า แก้วมณี เป็นยอดแห่งความต้องการ ถ้ามีได้มีทุกอย่างครบครันนี่นา มันเป็นกลไกที่ใช้เป็นภาษา เอาวัตถุธรรมมาเรียก แต่ว่ามันเป็นนามธรรม มีแก้วมณี แล้วก็มีนางแก้ว นางแก้วนี่เป็น นามธรรม มากขึ้นอีกตรงที่ว่า เป็นความชื่นชอบ เป็นสิ่งอบอุ่นใจ นางแก้วนี่ เป็นสิ่งที่อบอุ่นใจ เป็นสิ่งที่ชะโลมใจ มันได้แล้ว ปีติใจอย่างนี้เป็นต้น ไอ้สิ่งที่เรามุ่งหวัง เป็นสิ่งที่เราต้องการ ได้ผลได้เนื้อหาสาระที่ต้องการ ได้แล้วก็มีมันก็ชื่นใจ เป็นนางแก้วอย่างนี้เป็นต้น

แล้วก็มีความหนุนเนื่องเข้ามาอีก มีทุนรอน มีคหบดีแก้ว มีผู้ช่วยเหลือเฟือฟาย อุปัฏฐาก อุปถัมภ์ มีอะไรต่ออะไรเจริญ หนุนเป็นองค์ประกอบที่อุดมสมบูรณ์ กว้างขวางใหญ่โต มากมายอะไรขึ้น เป็นเรื่องครบครันขึ้น ปรินายกแก้ว ก็ถึงยอดแห่งองค์ประกอบที่สมบูรณ์เลย เรียกว่าเป็นรูป เป็นแบบ เป็นองค์ประกอบ ถ้าเป็นรถยนต์ก็สำเร็จรูปเรียบร้อย ทั้งสวย ทั้งดี ทั้งแน่นหนา แข็งแรงทนทานกันอะไรพร้อมหมดเลย ปรินายกแก้ว เรียกว่า ยอด นำ นำอื่นได้หมด ไม่มีอะไรสามารถที่จะพึงอยู่ ได้อีกแล้ว ติดเครื่องเป็นจักรแก้ว หรือว่า เป็นดวงดาว ก็เป็นดาวฤกษ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่นำอะไรเลย เป็นดวงอาทิตย์ นำดวงดาวทั้งหลาย ปรินายแก้ว นำหมดเลย นำยอดครบครันทุกอย่าง นี่เรียกว่าแก้ว ๗ ประการ

เราต้องสั่งสมในตัวเราให้หมดครบทั้ง ๗ อย่างนี้ เป็นนามธรรมทั้งหมดให้ได้ เราต้องการนิพพาน ก็ต้องให้มันเป็นบทบาท การประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นกลไกการประพฤติที่เดินเครื่องให้ได้ เสร็จแล้ว ก็มีเฟืองหนุน มีกำลังหนุนเรื่อยๆๆๆ ที่เทียบแก้ว ๗ ประการเทียบกับโพชฌงค์ ๗ ให้มี สติสัมโพชฌงค์ เหมือนกับจักรแก้ว ให้มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็เหมือนกับช้างแก้ว มีวิริยสัมโพชฌงค์ ก็เหมือนม้าแก้ว แล้วก็เกิดไปเรื่อยๆ แล้วก็เกิดม้าแก้ว แล้วก็เกิดผล มีปีติ มีปัสสัทธิ มีปีติ มีปัส ที่จริงน่ะ เอ๊ อาตมาว่าอาตมาเรียงถูกแล้วนะ สิกขมาตเกร็ดดินมาทัก มันควรจะเป็นแก้วมณี นี่คือปัสสัทธิ ปีตินี่คือนางแก้ว หา มีความสุขทุกเวลาหรือ แล้วปีติ เป็นแก้วมณี สมาธิเป็นคหบดีแก้ว อุเบกขา เป็นปรินายกแก้ว เทียบโพชฌงค์ ๗

คำถามต่อไปทางนี้ค่ะ พ่อท่านคะ เป็นคำบอกด้วยนะคะ คือพวกเรานี่นะคะ ตั้งแต่ไม่ว่าจะเป็น งานปลุกเสกฯ หรืองานไหนๆ เวลานั่งนี่ชอบหักกิ่งไม้นะคะ แล้วก็เด็ดฟาง เด็ดใบไม้ เด็ดอะไร ทั้งผู้หญิง ผู้ชายเลยค่ะ เห็นกันเยอะ แล้วพ่อท่านคิดว่าเป็นอย่างไรหรือคะ

ก็มันกันง่วงละกระมัง (มีเสียงหัวเราะ) หา กันง่วงก็เลย แสดงว่าดีนะ คือว่าคงจะเป็น คนที่ขยันน่ะ เพราะอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ อยู่นิ่งไม่ค่อยได้เป็นคนขยันนะ ดี หา (หัวเราะ) โทสะ หรือ โอ๋ย ไม่ได้ไปทำด้วยโทสะละกระมัง ทำอย่างนั้น ไม่ได้ทำด้วยโทสะละกระมัง จริตของผู้หญิงหรือ ก็ได้เป็นจริตของผู้หญิงก็ได้ อธิบายไป เป็นจริตของผู้หญิงก็ได้

กราบนมัสการพ่อท่านครับ (เอาเลย ใครจะคุยอย่างไรว่าไปเรื่อยๆ - พ่อท่าน) ปฏิบัติธรรมมา ก็ยังไม่ชัดดีเหมือนสมชื่อนะ ก็ต้องถามพ่อต่อละฮะ (เสียงหัวเราะ แหม นักธรรมนี่ คุยแต่เรื่องธรรมะนะ หนอ - พ่อท่าน)

ผมถามคำถามออกแล้วตอนนี้ (เอาเลยๆ เสียงพ่อท่าน) คือฟังพ่อท่านเทศน์วันมาฆบูชานะครับ เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ก็เหมือนกับ เทศน์ให้ผมโดยตรงเลยนะ (นั่นแน่ เสียงพ่อท่าน โอ้โฮ) คือมันเข้าใจนะฮะ ว่าคนที่จะทำงานการเมือง ก็จะต้องมีคุณธรรม มีอำนาจโดยธรรม แต่ถ้าทำงานศาสนา ก็มีคุณธรรมเป็นอำนาจนะครับ อันนี้ก็เข้าใจ แต่มันก็เถียงพ่อท่านอยู่ดี แหม ฮะ มันยังดื้อไม่เสร็จ ก็คือว่า เอ๊ ฐานะเรานี่จะไปเทียบพระพุทธเจ้าได้หรือเปล่า อะไรอย่างนี้ มันเป็นลักษณะอย่างนั้นน่ะ

(เสียงพ่อท่าน ฐานะเราจะไปเทียบพระพุทธเจ้า หมายความว่า อย่างไร)

คือผมฟังอย่างผมรับนะฮะ ยังเถียงอยู่ในใจว่า เอ๊ เรายังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น อะไรอย่างนี้นะครับ ไม่รู้ว่าเป็นกิเลสตัวไหน ก็ขอพ่อไข ให้ฟังด้วยครับ

ก็ยอมรับ มันไม่ใช่กิเลสหรอก มันก็ยอมรับความจริงน่ะ ยอมรับความจริงว่า เอ้อ พูดอย่างนั้น ท่านว่าอย่างนั้น มันก็ถูก มันก็ถูกละ แต่ว่าเรายังทำไม่ได้ เรายังทำไม่ได้ เราก็ยังอยู่ในฐานะ ที่เราจะเป็น อย่างที่ท่านว่า มันก็รับความจริง มันไม่ใช่กิเลสอะไรหรอก มันจะเถียง ก็เถียงอยู่จริงๆน่ะ มันก็เถียง มันไม่ได้เป็นกิเลสอะไร มันยอมรับความจริงว่า เป็นอย่างนั้นๆๆ แต่นั่นแหละ เราก็ควรจะโน้มน้อม เราก็ควรจะมีปีติ ไม่ใช่ว่าไปเถียงแล้วเราก็จะได้ บอกว่า เออ เราก็อยู่ของเราอย่างนี้ ช่างกูๆ กูจะอยู่ของกูอย่างนี้ กูจะมีแค่นี้ มันก็ไม่ค่อยดี มันก็ต้องค่อยๆ ให้มันน้อมรับว่า เออ อย่างไรหนอ เราจะได้อย่างท่าน อย่างไรหนอเราจะได้เป็นอย่างนั้น ถ้าใจโน้มน้อมไปอย่างนั้น ก็ดีกว่าไหมละ (เสียงตอบ ดีแล้วครับ) ออ ทำใจในใจอย่างนั้นซี

ขอโอกาสนะพ่อท่าน ข้างหลังค่ะ อยากจะถามว่า แบบเลี้ยงลูกนะคะ เขาไม่ทำงานละค่ะ (เสียงพ่อท่าน หา อะไร นะ) แบบเลี้ยงลูกแล้วเขา ม่ทำงานนะค่ะ คือแบบไม่ทำงานบ้านน่ะค่ะ แล้วทีนี้ แม่ทำเองทุกอย่างนะคะ แล้วถ้าสมมุติเราทำอย่างนี้กันไปตลอดนี่ แล้วลูกจะทำหรือเปล่าคะ

โอย จะไปรู้หรือ มันอาจไม่ทำเลยเพราะมันทำไมเป็นน่ะ ก็มันไม่ทำเลย ก็มันทำไมเป็นมัน ก็จะทำหรือ เราก็ต้องฝึกต้องหัดให้ลูกทำบ้างซี (ผู้ถาม แบบ บอกเขาแล้ว เขาก็ไม่ทำค่ะ) เขาไม่ทำ เราก็ต้องมีปัญญาที่จะต้องสอน ต้องบอก ต้องแนะ ต้องให้เขาเข้าใจความจริง ถ้าไม่ทำ มันไม่เป็นนะ ไม่ทำแล้ว มันไม่ได้นะ เมื่อมันไม่ได้แล้วโตขึ้นมา ใครจะช่วย ไม่มีใครช่วยอะไรแล้ว ตอนนี้ ยังมีเราช่วยอยู่ก็ยังดี ต่อไปแล้วก็ไม่มีใครช่วยแล้ว จะไปไม่รอดนา ก็บอกเขา ให้เข้าใจ

พ่อท่านคะ เอ๊ เราจะตี จะบาปหรือเปล่าค่ะ

อ๋อ ตีก็ตีด้วยความเข้าใจ อย่าไปตีด้วยการโกรธ อย่าไปตี ด้วยความหุนหันพลันแล่น อย่าให้มัน มีอารมณ์โกรธอยู่ในใจ ถ้ามีสติสัมปชัญญะรู้ดี ตีก็โดยมีรู้ มีเข้าใจ แล้วเราก็ตีโดย ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเข้าไป มันไม่เป็นไรหรอก ตีมีเหตุผล

กราบขอบพระคุณค่ะ

ต้องตีบ้าง ต้องดุบ้าง ดุนี่ไม่ใช่ดุเพราะโกรธ แต่ว่าดุเพราะว่า มันต้องบังคับกันน่ะ เพราะว่า คนเรามีกิเลส ยิ่งย่ามใจนะ ยิ่งกิเลสมันยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งย่ามใจ แล้วยิ่งไม่ได้เรื่องเลยแหละ เดี๋ยวมันเคยตัว แล้วทีนี้ก็ไม่รู้จัก ทำอะไรไม่เป็น แก้ไขปรับปรุงอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ

เอ้า ว่าอย่างไร อาตมามัวดู เอ้า อาตมาฟังได้นะ ฟังไปรับรอง คุยไม่ผิดน่ะ รับรองข้าม ได้ลอดได้ ตรงเบ๊ะหมดเลยรับรอง ดูไม่ผิด ไม่เหมือนเมื่อกี้หรอกนะ ข้ามผิดหมด ลอดผิดหมด เพราะไม่มีอะไรให้ข้าม ไม่มีอะไรให้ลอดหรอก ลอดกันใหญ่ ข้ามกันใหญ่ข้างนอก ข้างนอกเขาก็เลย หัวเราะกันใหญ่เลย (พ่อท่านหัวเราะ) ทีนี้รู้ไต๋แล้ว ไปเล่นๆกันใหญ่ ทีนี้ยอมก็ ต้องไปหลอกคนอื่นต่อไปอีก (พ่อท่านหัวเราะ)

ขอโอกาสค่ะ ในฐานะที่ว่าเราเพิ่งเข้ามาอยู่ในวัดนะฮะ ก็การที่จะปฏิบัติเอา บารมีอะไร ก็ไม่มากพอ แต่อยากจะช่วยในงานด้านสร้างศาลาวิหารสันติอโศกน่ะค่ะ ไม่ทราบว่า เมื่อถึงเวลาสร้างแล้ว เราสามารถที่จะไปช่วยแรงงานใน หมู่กลุ่มของปฐมอโศกอย่างนี้ จะได้ไหมค่ะ (เสียงพ่อท่าน ในหมู่ของปฐมอโศก) คะ หมายความว่า ในกลุ่มหนุ่มสาว ที่จะไปช่วยกันหิ้วปูน หิ้วอะไรอย่างนี้คะ

อ๋อ ได้ คงจะได้หรอกนะ แต่ว่างานใหญ่อย่างนี้ส่วนมากเขาจะใช้เครื่องกลหนัก ใช้เครื่องกลใหญ่ ยิ่งขึ้นชั้นสาม ธรรมดาชั้นแรกมันก็ตั้ง ๗ เมตร คนจะไปหวาดไปไหวหรือ ปาเข้าไปตั้ง ๒๐ เมตร ๓๐ เมตร กำลังคนมันก็ไม่หวาดไม่ไหว เครื่องกลใหญ่ เขาก็มาปรื้ดๆๆๆ ไปช่วยส่งคน พอดีปูนสองชั่วโมงแห้งหมดเลย ไม่ทันส่ง ก็ตาย ของเขาเสียหมด นี่เขาใช้เทรล เครื่องเขายกปรื๊ดๆๆๆ ขึ้นไป กลไกเขา พวกสร้างใหญ่อย่างนี้ เขาใช้เครื่องทุ่นแรง ก็อาจจะมีใช้น่ะ งานการอะไร ที่เราจะได้ไปช่วยบ้าง สำหรับงานที่จำเป็นจะต้องใช้ แรงงานคน มากๆคน แรงงานพลังมดนี่ อาจจะมีได้ ฟังข่าวคราวดีๆ อาจจะมี เรียกว่าออกกำลังกาย กันให้สมบูรณ์ ก็แล้วกัน

ขอโอกาสครับ จากงานปลุกเสกฯ ผมยังติดใจโศลกที่ว่า คนเรานี่มีปัญญาเท่าที่เราโง่ และเราก็โง่ เท่าที่เรามีปัญญา นี่นะครับ ผมขอให้พ่อฯ ช่วยอธิบายอีกครั้งครับ

เอ้า ก็คนไหนมีปัญญาเท่าไหร่ มันก็มีปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้น ไอ้ ที่มันยังไม่มีปัญญา มันยังรู้ไม่ได้ มันก็คือโง่อยู่นะซี เพราะฉะนั้น ก็มีปัญญาเท่าที่ เราโง่นั่นแหละ ก็เราโง่อยู่เท่านี้ เราก็มีปัญญาเท่านี้

คล้ายๆกับว่าเรามองดู สมมติ นักเรียน ป.๑ ก็ฉลาดเท่าที่ ป.๑ แต่ว่า ในความฉลาดของเขา เราก็ยังดูว่า ยังโง่อยู่ เป็นอย่างนั้นหรือครับ

ก็ของเขาก็เท่าที่เขาได้ เขามี เขาโง่ เขาฉลาดก็เท่านั้นๆ มันมีขีดของความโง่ ความฉลาดเท่านั้น มันขีดของความฉลาด เท่านั้นๆ เท่าที่ตัวเองนั่นแหละ จะเรียกว่าตัวเองโง่ ก็โง่เท่าที่เราฉลาด นั่นแหละ

อ๋อ เข้าใจแล้วครับ ขอขอบพระคุณครับ

ขอโอกาสค่ะ ดิฉันขอถามต่อคนเมื่อกี้นี้ค่ะ พ่อท่านเทศน์ในงานบอกว่า พระอรหันต์ยังโง่ ดิฉันอยากให้ พ่อท่านขยายอีกค่ะ กราบนมัสการค่ะ

พระอรหันต์ยังโง่ ก็เหมือนกันกับเมื่อกี้ พระอรหันต์ก็รู้เท่าที่พระอรหันต์รู้ พระอรหันต์มี ประเด็นเดียว เท่านั้น ที่จะต้องไม่โง่ในเรื่องกิเลสของท่าน ท่านจะต้องรู้กิเลสทั้งหมด ของท่านเอง แล้วก็ล้างกิเลสของท่านเองจนหมด จบ นั่นคือพระอรหันต์ ส่วนในโลก ในโลกีย์ ในเรื่องนั้น เรื่องนี้ ท่านก็รู้เท่าที่ท่านรู้ เท่านั้นแหละ ท่านก็รู้เท่าที่ท่านมีปัญญารู้ หรือว่า มีความสามารถไปรู้ได้ ก็เท่าที่ท่านรู้ ไอ้ที่ท่านไม่รู้ ท่านก็ไม่รู้ ก็คือยังโง่อยู่นั่นแหละ

แล้วสมมติ พ่อท่านพูดแบบนี้แล้ว ท่านไม่ค่อยรู้ทัน...แล้ว (เสียงพ่อ ท่าน มันก็ได้เท่านั้น ท่านก็ช่วยคนอื่นได้ เท่าที่ท่านมีปัญญา) แล้วถ้าท่านไปตัดสิน อะไรที่ผิด แล้วท่านจะบาป ไหมฮะ กราบขอบพระคุณค่ะ

อ้าว ก็ไม่บาปเป็นความจริงใจ บอกแล้วว่าพระอรหันต์มีความจริงใจ มีความซื่อ มีความจริงใจ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร พระอรหันต์ไม่บาปหรอก พระอรหันต์ไม่มีเจตนา ไม่มีความซ่อนแฝง ไม่มีอะไรเอียงเอน เพื่อตัวเพื่อตนอะไร มีข้อมูลเท่านี้ มีความสามารถรู้เท่านี้ๆ ก็ตัดสินอะไร ผิดไปก็ได้ ดีถามมา ได้กระจ่างขึ้น หลายคนเข้าใจผิดว่า พระอรหันต์นี่ตัดสินผิดไม่ได้ ไม่จริงหรอก พระอรหันต์ที่ไม่มีปัญญามาก ตัดสินผิดได้ แต่ว่าท่านเอง ท่านไม่ได้เจตนา ที่จะไป เข้าข้างใคร หรือไปลำเอียงอะไรต่อมิอะไร ไม่ ท่านก็ได้แต่ซื่อ พาซื่อ ซื่อตามความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ เท่านั้นเอง

พ่อท่านคะ กราบนมัสการค่ะ คือมีคนฝากคำถามมาค่ะว่า อยากทราบวิบากกรรม ของความขี้เกียจ ให้ละเอียด เพื่อจะได้พยายามทำยิ่งขึ้นค่ะ

โอ ความขี้เกียจ วิบากของความขี้เกียจนี่นา วิบากของความขี้เกียจ ก็จะได้ไปเป็นไส้เดือน สูงขึ้นมาหน่อย ก็จะได้ไปเป็นงู ก็มันเอาแต่นอน กินแล้วก็นอนเอือกพวกนี้ หมูก็ได้ เสร็จแล้ว ก็รอเวลาเขาเอาไปฆ่ากิน อยากเป็นไหมเล่า เอ้า ไม่อยากเป็นมันก็ไม่รู้ซี ไปเป็นซีจะได้รู้ ว่ามันทุกข์อย่างไร ก็ไปเป็นซี ไปเป็นไส้เดือนดู มันจะได้รู้ว่าเป็นงูดูซี จะได้รู้ว่ามันทุกข์อย่างไร มันก็ต่ำแค่นั้นแหละ มันก็ตกต่ำอยู่อย่างนั้นน่ะ มันก็ไม่เจริญอย่างนั้นน่ะ นี่เป็นบุคลาธิษฐาน หรือว่า เป็นเรื่องที่เป็นวิบาก มันก็เป็นเช่นนั้นได้จริงด้วย แล้วก็เป็นบุคลาธิษฐาน ที่ชัดเจน อย่างนั้นๆ จริงๆ นั่นแหละ มันจะกลายไปเป็นสัตว์โลกที่ต่ำต้อยอย่างนั้นน่ะ หรือเราเอง จะต้องต่ำต้อย ลงไปเรื่อยๆ อย่างนั้นน่ะ

พ่อท่านครับ ถ้าเราไปเจอเหตุการณ์อย่างนี้เอง แล้วเราจะช่วยเหลือเขาอย่างไรล่ะ ผมว่า ตัดสินใจยากเหมือนกัน เอ้อ ที่ผ่านมานี่นะครับ นั่งรถไปกับรถกองทัพธรรมนี่ครับ พอดีมีรถ มอเตอร์ไซด์ แซงไปชนรถสิบล้อ พวกเราก็ไม่ได้ช่วย แต่ว่านึกๆแล้ว มันมีความผิดน่ะ คือไม่ได้ ช่วยเขาไปส่งโรงพยาบาล แต่เหตุการณ์มันคาบเกี่ยวน่ะ คุณโพธิสิทธิ์เขาขับ ก็นั่งอยู่ในรถน่ะ ไม่สบายใจ กันทั้งหมดเลย เพราะว่าไม่ได้ช่วยเขาไปโรงพยาบาล แต่ถ้าช่วย เขาจะหาว่า รถเรานี่ชน แล้วแจ้งมา เราก็ไปโรงพัก ไม่ใช่ ฮะ รถเราไม่ได้ชนฮะ คือเขาจะแซงรถเรา แค่แซงไม่พ้น เจอรถสิบล้อ แล้วก็เขาก็ว่ามีรถกองทัพธรรม เขาก็ดักหน้า ตำรวจดักหน้า ไปตรวจรถเรา ไม่มีอะไร เราก็ไม่ได้ชน แต่ว่ามีความสำนึกอย่างหนึ่ง ก็คือผิดว่า เราก็ไม่ผิดนะ สำนึกว่าเราผิดน่ะ เราไม่ได้ช่วยเขาแค่นั้นเอง แล้วถ้าไปเจอเหตุการณ์จริงๆ อย่างนี้ มันตัดสินใจลำบาก ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

แหม เท่าที่พูดมานี่ อาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าเผื่อว่าเราจะมีบาปมีเวร เราก็ช่วยเขาไป ก็แล้วกัน มันจะต้องเข้าคุกเข้าตะรางอะไรก็เข้าไปซี ทำอย่างไรเล่า เราทำจริงๆแล้วทำดีที่สุด อ้าว ก็ช่วยกันไป อาตมาก็เคยช่วย พาไปโรงพยาบาล อะไรไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็เคย ก็เคยเจอ แทบทั้งนั้นแหละ พวกเราเคยเจอ ก็ช่วยไปเสร็จ ไปโรงพยาบาล เขาก็หาว่า เรานี่แหละชน ถ้ายิ่งคนไม่ได้สติ คนถูกชนนี่ไม่ได้สติ ยากเลย ยิ่งยากใหญ่เลย ไม่รู้เรื่องเลย แต่ถ้าเผื่อว่า คนที่ถูกชนนี่นา เขารู้ว่าไม่ใช่เราชนนี่ ยังค่อยยังชั่วเพราะเขา จะเป็นตัวพยานให้เอง โดยตรงว่า คนนี้ไม่ใช่หรอก คนนี้ช่วยเหลือ ก็จะค่อยยังชั่ว นิดหนึ่ง แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บนี่ ไม่ได้สติสตังเลย สลบเสลิบ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วเอาไปส่งนี่นา โอ้ อย่างนี้ละพูดกันยาว มันก็ไม่รู้ล่ะ อาตมาก็เคยช่วยไปอยู่เหมือนกัน ส่วนมากจะเป็นอย่างนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไร สังคมมันก็เป็น อย่างนั้นแหละ

โรงพยาบาลเรานี่ก็จะค่อยๆเกิดอย่างนี้ ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างอย่างเรา เป็นเหตุปัจจัยที่จะพิสูจน์ ที่จะฝึกหัด อบรมพวกเราด้วยเหมือนกันว่า พวกเราจะมีน้ำใจ จะมีจิตวิญญาณอย่างไรด้วย ใครที่ดูดายก็ดูดาย ใครที่มีน้ำใจก็น้ำใจ โอกาสนั้นโอกาสนี้ ช่วยเหลือเฟือฟายกัน พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันจริงๆ เป็นสังคมพวกเราที่จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าเผื่อว่าพวกเรา จิตวิญญาณ ของพวกเรา มันไม่เจริญนะ เสียสละไปช่วยเหลือเฟือฟายคนที่จะเจ็บจะป่วย มันทรมาน มันทุกข์ มันลำบาก มันช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วพวกเราก็ไม่มีกะจิตกะใจไปช่วยน่ะ มันพึ่งกันไม่ได้ คุยกันไม่ได้ ไอ้ที่เราพูดเอาไว้ว่า จะต้องพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย จะได้บ้างก็ไม่จริง แต่ถ้าเผื่อว่า เราฝึกฝนไปได้จริง มีน้ำใจแล้ว ก็เป็นธรรมดาของคนเรา มีสำนึกจริงๆ ช่วยกันได้ จริงๆเลย ซึ่งอาตมาเห็นว่า คนมันก็ต้องมีเมตตา ทีนี้เราฝึกฝนกันอย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นอย่างไรน่ะ เอ๊ มันจะต้องดูกันไปหรืออย่างไร มันจะเป็นไปไม่ได้ อาตมาว่า มันจะสร้างทางไม่ได้ ยังทำไม่ได้ ให้เป็นสังคมของพวกเรานี่แหละให้เป็นให้ได้ มันจะเกิดเป็นโรงพยาบาลที่ จะมีการช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกัน จนกระทั่ง ตายจากกันไปแหละ ใครไม่มีญาติที่ทำกันจริง มีชีวิตอยู่ด้วยกันไป ถึงเวลาเจ็บ เวลาป่วย เวลาแก่ เวลาตายอะไรก็ไป ไม่ต้องไปดิ้นรน ไม่ต้องไปมีลูกมีเต้ามา แล้วก็จะหวัง มาพึ่งลูกพึ่งเต้า บางที ก็ไอ้คนพึ่งมีลูกมีเต้าไม่ได้พึ่ง อกหักมานี่ ก็เยอะนาจริงๆ เยอะ เดี๋ยวนี้ยิ่งสังคม แย่จริงๆเลย แล้วมันก็ไม่มีใจจริง มันไม่รู้จักบาป จักบุญ มันไม่รู้จัก กตัญญูกตเวที ที่ถูกต้อง

พวกเราได้ทำอย่างนี้นี่นะ กตัญญูกตเวที มันราคาแพงนะ ราคาสูงกว่า ลูกไม่ช่วยพ่อแม่นี่ มันก็เลวแล้ว ลูกช่วยพ่อแม่จริงๆนี่ ว่ากันจริงๆเลย เป็นหน้าที่นะ บุญมันก็มีเท่านั้น ไอ้ไม่ทำ มันบาปแน่นอน มันบาปมาก แล้วมันกลับกัน ไอ้ ลูกเต้า มีหน้าที่จะต้องช่วยพ่อแม่ มันไม่ช่วยพ่อแม่มันบาป มันบาปมากกว่า ถ้าคนอื่นไม่ใช่ลูก ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่นะ ไม่ช่วยจะว่าบาป มันไม่มีบาปก็ได้ มันไม่เกี่ยวอะไรกัน คนที่ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่กันนี่ ถ้าแม้ว่าเขาไม่ช่วย เขาก็ไม่มีความผิดอะไรนี่ จะถือว่าบาปว่าอะไร มันไม่มี แต่ถ้าช่วย กลับมีบุญ ได้บุญมากกว่า ลูกกับพ่อแม่อีก เพราะลูกกับพ่อกับแม่ มันต้องช่วยกันอยู่แล้ว ไม่ช่วยกันล่ะ มันบาปมากกว่า ไม่ช่วยน่ะมันบาป แต่ถ้าช่วยมันก็มีบุญ บุญก็เท่านั้น บุญไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าคนที่ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่กันนี่ซี ช่วยกันนี่บุญมากกว่า แต่ก็ถ้ามีพ่อมีแม่ ก็ต้องช่วยพ่อ ช่วยแม่ก่อนนะ ถ้าเผื่อว่าพ่อแม่กับคนอื่นนี่ เพราะถ้าเราไม่ช่วย เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ ไม่ช่วยกันก่อน บอกแล้วว่ามันบาป คนอื่นถ้าไม่ช่วยมันก็ยังไม่บาปเท่า ฟังให้ชัด มันซ้อนอยู่ มันซ้อนอยู่

ความจริงถึงวาระที่สมควรจะช่วย ต้องช่วยพ่อช่วยแม่ หรือพ่อแม่จะต้องช่วยลูกก่อน แล้วค่อยช่วย ผู้ที่เป็นคนอื่นต่อทีหลัง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ต้องช่วยพ่อแม่ก็ไปได้ มีคนช่วยเหลือ เฟือฟายอยู่แล้ว เป็นไปอยู่ดีอยู่แล้วอะไรแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องขอความช่วยเหลือ ไม่ต้องการ ความช่วยเหลือ เราไปช่วยผู้อื่นอีก ทีนี้ โอ้โฮ บุญมาก

ขอโอกาสครับ พ่อท่านครับ ในสัจจะแห่งกรรมข้อที่ ๕ นะครับ มีว่า คนผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ ตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้าเกิดมาเป็นคน จะมีโภคะน้อย คำว่าดอกไม้นะครับ ของหอม แล้วก็เครื่องลูบไล้ ที่มันจะขัดกับศีลข้อที่ ๗ ในศีล ๘ หรือเปล่าครับ

อันนั้นก็ได้อธิบายแล้วนี่นาวันนั้น อธิบายแล้ว ถ้าเราถือศีล ๕ เราจะถือ เราก็จะทำอย่างนั้นบ้าง มันก็จะได้เป็นวัตถุตรงๆธรรมดา ทำไปแล้ว มันก็เท่านั้นแหละ ยกตัวอย่างให้ฟังแล้ว แม้จะเอา ดอกไม้ของหอมไปถวาย แต่เสร็จแล้วก็หน้าบูดหน้าบึ้งไป มีอยู่ข้อหนึ่งน่ะ บอกอย่างนี้บอกไว้ ถวายแล้วจะงาม มีผิวพรรณงามใช่ไหม เอาอันนี้แล้วเอาดอกไม้ของหอมไปถวายไปอย่างไร โกรธ หน้าเครียด หน้าดำ บึ้งเลยน่ะ จัางไม่ต้องไปถึงชาติหน้า ชาตินี้มันก็หน้าดำแล้ว มันไม่งามแล้ว ตั้งแต่ชาตินี้อยู่แล้ว ชาติหน้ามันจะงามได้อะไร ชาติหน้า มันก็ไม่งาม ให้ต่อให้ถวาย ดอกไม้งามวิเศษวิเสโส ราคาแพงเท่าไหร่ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

เพราะฉะนั้น ถ้าโดยคุณธรรมและอรรถสาระของมันแล้วก็คือ เราถวายสิ่งที่เป็น สิ่งที่น่ารื่นรมย์ แท้จริงแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าเป็นวัตถุทานอันนั้นเท่านั้น มันหมายถึง อารมณ์ เราจะทำอะไร เราจะถวายทาน ด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราก็มีน้ำใจ มีความเบิกบาน ร่าเริง อารมณ์แจ่มใส ยิ้มแย้ม สดชื่น ดอกไม้นี่มันเป็นความสดชื่น หอมหวน เป็นความรื่นรมย์ มีอาการรื่นรมย์ จะถวายก้อนหิน จะถวาย ก้อนดิน จะถวายอะไร แต่จิตใจรื่นรมย์เหล่านั้น มันก็ผ่องพรรณ ผิวพรรณงาม ไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้น ไม่ขีดขั้นว่า ถือศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ อะไรหรอก เอ้า เอาเลย

พ่อท่านคะ ถ้าเกิดว่า เรามาปฏิบัติธรรมนี่ ถ้าเราไม่ได้ช่วยพ่อแม่ เราจะบาปหรือเปล่าคะ

ถ้าพ่อแม่เดือดร้อนอะไร พ่อแม่พอเป็นไปได้ หรือว่าพ่อแม่ควรจะต้องต่อสู้ชีวิตไปในฐานะ ที่พอประมาณ พอสมควร แล้วเราก็ไปทำประโยชน์อื่น เราไปสร้างสมสิ่งที่ดี สร้างสรรสิ่งที่ดี เป็นลูกที่มีบุญ เป็นลูกที่มีกุศล เป็นลูกที่สร้างสรรสิ่งที่เป็นคุณค่ากุศล เท่ากับลูกที่มีกำไร เพราะว่า ถ้าเผื่อว่าพ่อแม่คนไหนก็แล้วแต่ มีลูกออกมา แล้วลูกเป็นภาระสังคมนี่บาป ต้องรับผิดชอบนะ มีลูกนี่ต้องรับผิดชอบ ต้องเลี้ยงดู ส่งเสีย สร้างสรรให้เขาเป็นคนดีของสังคม อย่าให้เป็น ภาระของสังคม ถ้าเขาเป็นภาระสังคมนี่ พ่อแม่มีส่วนด้วยนะ มีส่วนสร้างเวร สร้างภัย ให้แก่สังคมด้วย

ถ้าเผื่อว่าลูกไปดี ทำให้ดี พ่อแม่ก็ปลอดภัย พ่อแม่ก็รอดพ้นบาปด้วย เพราะฉะนั้น เอาอะไรไปช่วย แม้ช่วยแม่ แต่เราก็ไม่ได้ไปสร้างประโยชน์คุณค่าอะไรมากมายกว่านั้น มันก็แค่นั้นแหละ มันก็ดี มันก็เป็นกตัญญูกตเวทีที่ดีเหมือนกัน ก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราได้ไปสร้าง คุณค่า ประโยชน์ยิ่งกว่านั้น แล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้ทุเรศทุรังการอะไร พ่อแม่ก็อยู่ไปได้ ด้วยดี หรือแม้ไม่อย่างไร ก็มีพี่มีน้องอะไร คอยดูแลช่วยเหลือแล้ว เขาก็ไม่ได้สละสร้างสรร เหมือนกับ อย่างเรา เราทำประโยชน์แก่สังคมข้างนอกมากกว่านั้น พ่อแม่ไม่ได้ส่วนได้ที่พ่อแม่ควรจะได้ จะบุญมากด้วย เหมือนกับ เกาะจีวรนี่แหละ ที่จริงน่ะภาษาที่ว่า ให้พ่อแม่เกาะชายจีวร ขึ้นสวรรค์นี่ นี่ อย่างนี้แหละ ลูกมาทำคุณค่ามากๆอย่างนี้ พ่อแม่ได้เกาะชายจีวร ขึ้นสวรรค์ อย่างนี้ เพราะว่าลูกมาสร้างบุญ แล้วพ่อแม่ก็เรียกว่าปลอดบาป ถ้าได้บุญ ได้หน้าได้ตา ก็ได้ด้วย

พ่อท่านคะ ขี้เกียจนี่ค่ะ คือแบบว่าบางทีเราก็ขี้เกียจแต่ก็ฝืนทำ อย่างนี้ บางครั้งก็เดินหนี แต่ก็อดไม่ได้ ก็กลับทำเหมือนเดิม แบบฝืนมากๆเลยนี่ เป็นบางวันนะค่ะ จะบาปมากไหมคะ

ฝืนดีแล้ว ไม่บาป ถ้าไม่ฝืนซีบาป ปล่อยไปตามขี้เกียจซิบาป ปล่อยใจไปตามขี้เกียจบาป ถ้าฝืนขี้เกียจ นั่นแหละดีแล้วล่ะไม่บาป แล้วถ้าฝืนได้ก็เรียกว่า แรงสมถะ ถ้าฝืนแล้วก็พยายาม พิจารณาเหตุผลคุณธรรม ความจริงอะไรให้ดี แล้วเราก็ลดความฝืน ลดความฝืดลง ไอ้ขี้เกียจ ก็ค่อยๆๆยังชั่วขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆเบาหน่อย ไม่ฝืดไม่ฝืนมาก อันนั้นเรียกว่า เจริญขึ้นเรื่อยๆ

คือมันอย่างนี้ครับ เมื่อกี้มีคนถามว่า ถวายดอกไม้แล้วจะทำให้งามใช่ไหมฮะ ผมก็เลยเกิด สงสัยต่อขึ้นไปนะฮะ ว่าถ้าเกิดเผื่อพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่นะครับ คิดว่าเกิดชาติหน้า อยากจะงาม แล้วอยากจะถวายดอกไม้สมณะ แล้วสมณะไม่รับแล้วจะทำอย่างไร อันนี้ยังไม่ใช่ปัญหานะฮะ ปัญหาก็คือว่า ผมสงสัยว่า ไอ้ที่ เขาบอกว่าถวายดอกไม้นี่ ถวายให้ใคร ถวายให้พระ หรือถวาย ให้พระพุทธเจ้า นะฮะ เพราะว่าเราก็รู้อยู่แล้วว่า พระนี่ไม่ใช้ดอกไม้ใช่ไหม เขาก็สอนมาอย่างนี้

เป็นคำเก่า สมัยพระพุทธเจ้าอนุโลมนะ อนุโลมรับดอกไม้ดอกไร่ แต่ท่านรับไปทิ้ง ดอกไม้ท่านรับ รับ ญาติโยมถวายดอกไม้ท่านก็รับ รับไปแล้วก็ เอาไปกองที่ทิ้งไว้ กุฎี เพราะฉะนั้น กุฎีของ พระพุทธเจ้า จึงเรียกคันธกุฎี แปลว่า กุฎีที่มีกลิ่นหอมดอกไม้ จะมีดอกไม้มา ท่านก็เอาไปกอง ทิ้งไว้ ที่ข้างกุฎีนั่นแหละ สมัยพระพุทธเจ้าท่านอนุโลม เพราะสมัยโน้น เขาเล่นดอกไม้ธูปเทียน เผาอะไรต่ออะไรกันเยอะ สมัยนี้เป็นคนปัญญาชน รู้เหตุรู้ผลแล้ว ไม่ต้องไปทำลายหรอก ดอกไม้ ให้มันอยู่ที่ต้นนั่นแหละ ให้มันเกิดดอกแล้วให้มันเกิดผล ประเดี๋ยวมันเป็นดอก ประเดี่ยว มันเป็นผล เป็นลูกเป็นอะไรไป ไปเด็ดดอกมาแล้วมันก็ไม่ออกผล ไม่มีผลจะกินแล้ว เพราะฉะนั้น ดอกไม้ก็ให้มันออกผลออกลูกอะไรให้มันเป็นพืชเป็นพันธุ์ จะได้แพร่พันธุ์ เดี๋ยวนี้ ยิ่งไม่มีต้นไม้อยู่อาศัย มันแตกดอก แตกอะไรเกสร แตกอะไรไป มันจะได้กระจาย เป็นพันธุ์ อะไรมากๆ ยิ่งดีใหญ่เลย (แสดงว่ายุคนี้ ไม่จำเป็นแล้ว)

ไม่จำเป็นหรอกยุคนี้ไม่จำเป็นหรอก บอกแล้วอย่างไร ในระดับนามธรรม ถวายดอกไม้ก็หมายถึง เนื้อหาสาระ หมายถึงอรรถะของมันเป็นอย่างนั้น ภาษาโดยพยัญชนะก็ว่าดอกไม้ ก็แค่รูปธรรม เป็นดอกไม้อย่างนั้น แต่ในเรื่องของนามธรรม ในเรื่องอรรถะเนื้อหาสาระของมันแล้ว มันหมายถึง อย่างที่เล่าไปแล้ว สิ่งที่มันสดชื่น เบิกบาน ร่าเริง เป็นสิ่งที่น่าหอมหวน ยวนใจ รื่นรมย์ ถ้าเราทำอาการอารมณ์อย่างนั้นๆนะ ถวายก้อนหิน ถวายอุจจาระ แล้วก็จิตใจเบิกบาน ร่าเริงยังได้เลย ไม่ใช่ผิวพรรณงามนะ (เสียงหัวเราะ) ถวายดอกไม้ที่กินได้ ถวายเป็นอาหาร อย่างดอกสะเดา เป็นต้น ดอกสะเดากิน ดอกแค ดอกสะเดา

ขอโอกาสค่ะ ลูกอโศกแต่ละคนที่เข้ามาปฏิบัติธรรมแบบอยู่วัด พ่อพอจะมองออกไหมคะ ว่าใครจะไปรอด ไปไม่รอด (พ่อท่านรู้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ)

ไม่รู้ล่วงหน้าหรอก แล้วหลอกอาตมาไว้ก็เยอะ รู้ได้ง่ายๆอย่างนี้ จริงไหมเล่า ไม่เจตนา หลอกหรอก แต่ก็มันหลอกๆบ้าง มันเดาไม่ได้ แล้วก็ทำนายไม่ได้ แล้วอาตมาก็ไม่ใช้วิชา ทำนายด้วย มีแต่ดูไป นานๆไปก็พอเข้าใจ ลึกซึ้งขึ้นบ้าง คนไหนยังพอเป็นไปอย่างไรก็ ขนาดนั้น บางทีอาตมา ยังต้องอกหักเลยบางคนนี่ โอ หลอกสนิทเหลือเกิน โอ้ สุดท้ายแล้ว อกหักอกพัง ดีแต่ว่า อาตมาไม่ติดยึดมั่นถือมั่น ถ้ายึดมั่นถือมั่น มันคงต้องนั่งดื่มน้ำใบบัวบก

ขอโอกาสค่ะ พ่อท่าน (อยู่ขวามือของพ่อท่านค่ะ) อยากจะถามว่า แบบเรามีอาชีพฆ่าไก่ อย่างนี้นะคะ ตกประมาณวันละ ๔๐ ถึง ๕๐ (โอ้โฮ) หรือ ๒๐ ก็แล้วแต่เถอะค่ะ แบบว่าฆ่าอยู่ ประมาณ ๒ ปีนะคะ (โอ ไม่ใช่น้อยๆ -พ่อท่าน) แล้วจะมีวิบากอะไรหรือเปล่าคะ ทั้งที่ใจ ไม่อยากฆ่าค่ะ แต่ว่ามันเป็นอาชีพที่เลี่ยงไม่ได้น่ะคะ แบบว่าถ้าไม่ทำ เดี๋ยวแม่ตีน่ะค่ะ

มันมีหลายๆเหตุผลอย่างนั้นแหละ ข้อมูลต่างๆที่พูดมาน่ะ ใจเราไม่อยากทำหรอก แต่ถูกบังคับ ให้ทำ หรือจำเป็นต้องทำ มันก็มีผลไม่มากเท่าที่ว่า เรายินดีเอง เต็มใจเอง แล้วทำด้วย ความขี้โลภ แล้วทำด้วยความขี้โกรธด้วย ทั้งความโลภฆ่าเอาไปขาย หรือฆ่าไปแล้ว ก็จะได้ร่ำ ได้รวยอะไร ทำแล้วแถมยังมีจิตใจอำมหิต ทำแล้วก็มันมือ อร่อยได้ทำแล้วก็รู้สึกว่า อร่อย สนุกสนาน ทำด้วยความชอบอะไรพวกนี้อีก ทั้งสายโทสะ ทั้งสายโลภะ เต็มไปเลย โอย อย่างนี้ บาปมากมายเลย แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่ได้เต็มใจหรอก เราทำไปเพราะความจำเป็น เพราะอะไรต่ออะไร มันก็บาปก็น้อย ไม่บาปมากมายอะไร

ค่ะ แล้วอีกข้อหนึ่งค่ะ แบบว่าเรารักสามีมากอะไรอย่างนี้นะ ทีนี้ แบบพอเรารู้ว่า สามีเขาไปมี อีกบ้านหนึ่งน่ะ ทีนี้เราก็บอกสอนให้เขาเลิก เขาไม่เลิกเราก็โมโห ก็ลุกขึ้นเตะเขาเลยอย่างนี้

เอ้า แล้วกัน แหม ก็สอนเขาแล้ว บอกเขาแล้ว แนะนำเขาแล้ว เขาไม่เลิก เราก็เลิกไปซี เราก็อย่า ไปบอกเขาอีก ก็รู้แล้วว่าเขายึด เขาติด เขาพูดไม่รู้เรื่อง แถมไปเตะเขาอีก แหม เขาเตะเอา เข้าบ้าง แล้วจะว่าอย่างไร ดีไม่ดีก็เอามีดจวกกันตายไปเลย

เขาไม่กล้าหรอกคะ เพราะว่าเขารู้นิสัยค่ะ คือเราจะเตรียมมีดไว้ให้เขาเลย คือเราไม่เอาเปรียบ เขานะค่ะ เอามีดคนละเล่มให้สิทธิ์เขาเลือกก่อนด้วยนะคะ จริงๆคะพ่อท่าน เพราะช่วงนั้น มันโมโหมากนะค่ะ จะหาเรื่องตีเขาอยู่เรื่อยเลยค่ะ รักเขามากนะค่ะ

โอ้โฮ นั่นแน่ะ อย่าไปถึงบังคับคนเขาถึงขนาดนั้น พูดกันด้วยเหตุด้วยผล รุนแรงกันถึงขนาดนั้น ก็ไม่ดี ไปบังคับคนนี่น่ะ ถ้าเขาไม่เกิดปัญญา บังคับได้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ เขาจะทำอะไร ก็ทำได้ชั่วคราว เสร็จแล้วกลายเป็นฝืนด้วย กลายเป็นเก็บกดด้วย เพราะเขาไม่ได้เห็นดีเห็นด้วย ไม่ได้ความอะไรหรอก ที่จะแก้ไข มีแต่อาฆาตมาดร้าย ถ้าเขายิ่งชิง ยิงชัง ก็ยิ่ง อาตฆาตมาดร้าย กันต่อไปอีก มันยิ่งไม่ได้ความ ไม่ต้องถึง...

แบบว่าทุกวันนี้น่ะ พอตัวเองหมดเงินน่ะ ก็ผู้หญิงก็หนีหมดเลยค่ะ ทีนี้ พอเรารู้ว่าผู้หญิงหนีหมด เราก็สงสารเขา พอเห็นเขาไม่มีอะไรนะ แล้วเราก็อดไม่ได้ สงสาร แล้วเราก็ให้ลูก เอาข้าวกับน้ำ ไปให้เขากินน่ะ พอ เราก็ไม่อยากดูเขานาน สงสารเขา ทั้งๆที่ก็รู้ว่า เขาไม่รักเราหรอก แต่เราก็อดไม่ได้น่ะ ค่ะ

(หัวเราะ) เอาเถอะ เมตตาสงสารเขาบ้างก็ดี ก็ไม่เป็นไร ก็ดี ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่คิดร้ายก็ดี คิดสงสารเกื้อกูลกัน ก็ดีแล้ว

ขอโอกาสค่ะ ขอถามพ่อท่าน คนที่มีมานะนี่ จะได้รับวิบากอย่างไรบ้างคะ

จะได้รับวิบากกรรมอย่างไรบ้าง ก็ได้รับทุกข์นะซี

หมายถึงทุกข์อย่างไรบ้าง

มันหมายถึงทุกข์นานาสารพัดแบบ อาตมาตอบตายตัวไม่ได้หรอก วิบากกรรมพวกนี้ ชอบถาม แหยะเข้าไปหาวิบากกรรม ใครจะไปตอบได้ที่มันตรงๆ มันก็ทุกข์ มันเกิดความลำบาก มีมานะ มีอติมานะ อะไรพวกนี้ จะให้ตอบละเอียดได้อย่างไร มันตอบไม่ได้

หนูเห็นพ่อท่านว่า ขี้เกียจแล้วไปเป็นไส้เดือน แล้วมานะนี่ จะเป็นอะไร

(หัวเราะ) ขี้เกียจเป็นไส้เดือน มานะจะเป็นอะไร มานะจะไปเป็นวัวเป็นควายให้เขาตีละกระมัง หา ดื้อ หรือ ดื้อไปเป็น วัวเป็นควายให้เขาตีอย่างนั้นละกระมัง ทำไมจะต้องไปถามว่า มันจะต้อง เป็นอะไร อย่างไรๆมันก็พาตกต่ำแน่ แล้วอยากจะไปเป็นตกต่ำชนิดไหนล่ะ จะต้องเลือกให้ เอา ถ้าบอกว่า ไปเป็นอย่างนี้ พอขานชื่ออย่างนี้ โอ้ ชอบ จะไปเป็นอย่างนี้ อย่างนั้นน่ะหรือ ทั้งๆ ที่มันบอก ผ่านไปสู่ที่ต่ำ พาตกต่ำ จะได้กลัว มันตอบไม่ได้แน่นอนหรอก อจินไตยนี่ วิบากกรรม มันเป็นอจินไตย มันเป็นเรื่องคิดไม่ถึงได้ง่ายๆ ไม่รู้ได้ง่ายๆหรอก

ขอโอกาสค่ะ ตอนนี้นะคะ สามีดิฉันนี่เขา คือแฟนเก่าเขาชอบกันมานานแล้ว แล้วกลับมา ติดต่อกันอีกนะคะ แต่เป็นทำนองว่าช่วยเหลือกัน อะไรอย่างนี้ เขาก็โทรศัพท์มาบอกดิฉันว่า สามีนี่อะไรอย่างนี้ คบกันว่าเผื่อโอกาสหน้า ลูกไม่มีงานจะได้ฝากงานอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็ไปหากันบ่อย ติดต่อกันอยู่ ประจำเลย แล้วเขาก็ให้ของให้อะไรมา สามีก็เอามา ดิฉันก็บอกสามีว่า เอ๊ ถ้าจะคบกันอย่างนั้นน่ะ เราจะเป็นคนเอาฝ่ายเดียวนี่ ก็น่าเกลียดนะ มันดูไม่งาม เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเขาให้อะไร ก็รู้จักหัดปฏิเสธเขาบ้าง คือแฟนดิฉันไม่ให้อะไร เขาเลย แบบว่าจะเอาของเขามาตลอด ก็บอกว่ามันไม่ดี ทำอย่างนึ้มันบาป

เอาแต่ของเขาไปได้ไง เป็นหนี้นะซิ

ค่ะ คือผู้หญิงนั้นรักแฟนมากเลย แล้วตอนหลังเขาไปแต่งกับคนอื่น แล้วก็กลับมาหาอีก เขาบอกว่า ลืมไม่ได้ อย่างนี้ ดิฉันก็เตือนอยู่เรื่อย บอกว่ามันบาปนะทำอย่างนี้ พ่อท่านว่า ดิฉันเตือนเขาถูกไหมคะ เตือนเขาถูกไหม บอกว่ามันบาป บอกว่าทำอย่างนี้มันบาป

ก็ถูก ถ้าไปเอาของเขามา ได้แต่เอาของเขามา เป็นหนี้เป็นบาปก็ถูกแล้ว ก็มีเรื่องที่มันจะผูกพัน สมัครรักใคร่ มีเหตุมีปัจจัย จะเป็นอย่างนั้นต่อไป ประเดี๋ยวมันก็จะบาป ประเดี๋ยวมันก็จะก่อเวร ก่อภัย เดี๋ยวก็ผูกพันกันขึ้น มีประสบการณ์ มีอะไรเพิ่มขึ้น มันก็จะเป็น

คือผู้หญิงก็มีสามีนะคะ เขาก็บอกว่ากันว่า ไม่เป็นไรสามีเขา เขาคุมอยู่ เขาก็พูดกันรู้เรื่อง ว่าอย่างนั้น ดิฉันบอก อ้าว แล้วเราจะไปรู้ใจเขาได้อย่างไร เดี๋ยวเขาไม่พอใจขึ้นมา เดี๋ยวก็ เรื่องใหญ่ เขาก็ยังติดต่อกันอยู่ แล้วเขาก็มาในลักษณะช่วยเหลือน่ะ จะไปไหน ก็ขับรถไปให้ อะไรอย่างนี้ แต่ดิฉันทำใจได้ ในตัวดิฉันเอง ไม่มีปัญหา

ดีแล้ว ถ้าเขาจะเอาจริงๆ ใส่พานไปให้เขาเลย

ก็นั่นซีคะ ดิฉันบอกว่า ถ้าเกิดผู้หญิงเขาเป็นหม้าย มาเอาไปเลยไม่ว่า แต่เรื่องมันไม่ดี ก็บอกเขา อย่าไปก่อบาปก่อเวร เป็นกรรมกิริยา เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี ก็แนะนำกัน ช่วยได้แค่ไหนก็แค่นั้น คือผู้หญิงคนนั้น เขาเน้นอยู่ตลอดว่า คบกันเพื่อช่วยเหลืออะไรอย่างนี้

ไอ้การช่วยเหลือกันน่ะมันดีน่ะ คนเราก็อ้างสิ่งดีแหละนำหน้า แต่ก็ซ้อนๆในสิ่งดี ก็มีอะไร แฝงๆ ไว้ ก็มีอะไรบังๆไว้

ก็เขาก็เปิดใจนะฮะว่าผู้หญิงชวน

ก็อย่างนั้นแหละคนเราก็ต้องฉลาด พึ่งพาแง่ดีเข้ามาเปิดเผยกลบ เอาแง่ดีมากลบ แต่ไอ้ซ่อนๆ ใส่ไว้ ยัดไส้ไว้น่ะ มันไปมีอะไรที่ไม่เข้าท่า มีอย่างนั้นแหละ ในโลกเขาก็เป็นอย่างนั้น ตลอดมา

ก็ต้องปล่อยเขานะคะ พ่อท่าน

ก็ปล่อยเขา ก็เตือนด้วยบ้าง ไปอย่างนี้แหละ

ระยะหลังนี่รู้สึกว่าถี่ด้วย พอเขารู้ว่าดิฉันทราบเรื่อง เขาก็ถี่เลยทีนี้ (หัวเราะ) ชวนประจำเลยค่ะ จะมีธุระอะไรก็จะชวน เอารถคันนี้แหละไป แต่ตอนนี้มาถึงแม่แล้ว แม่ก็รับทราบแล้ว แม่ก็รู้ด้วย ก็แม่ก็ไป

เอ้า แล้วก็นั่นแหละ ลงไปมีคู่มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ต้องมีวิบากอย่างนี้

พ่อท่านคะ เมื่อกี้ให้น้องศรีเขาถามเรื่องเด็ก เรื่องลูก เรื่องของดิฉันเอง เพราะดิฉันไม่กล้าพูด กับพ่อ ทีนี้อยากจะถามเรื่องลูกนี่นะคะ ที่ปฏิบัติธรรม มาก็ ๕ ปีกว่าๆแล้วน่ะค่ะ ก็พยายาม สอนลูก ใช้ทุกรูปแบบเลย เราก็เรียนครูมาบ้าง แล้วก็สอนตามวิธีนะคะ ทั้งตีทั้งปลอบ ทั้งอะไรทุกอย่าง เขาก็รู้สึกว่า เขาก็ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ คือค่อนข้างจะไม่ค่อยรับผิดชอบ ในหน้าที่ อะไรอย่างนี้

ก็ลูกผีมาเกิด ก็อย่างนั้นแหละ เอ้า มันจริงๆน่ะ อาตมาพูดไปแล้ว จะหาว่าไปว่าน่ะ จะหาว่า

...บางครั้งมันก็เว้นนะคะ

จะหาว่ามันไม่แน่เลยนะ ลูกที่มาเกิดกับเรานี่ มันจะเป็นลูกผีหรือลูกพระมาเกิด ก็ยังไม่รู้ พูดถึงว่า ถ้าลูกพระมันก็บุญไป เป็นลูกผีมาเกิด นี่โห ไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็เป็นลูกเราน่ะ ซวยจริงๆเลย เพราะฉะนั้น เลี่ยงได้เลี่ยงเถอะ อย่าไปมีเลยลูก เพราะฉะนั้น ลูกผี หรือลูกพระ ไม่มาเกิดทั้งนั้น ก็มาอย่างนี่ ช่วยเหลือเฟือฟาย จะเลี้ยงลูกใครก็เลี้ยงได้ เลือกเอาได้ ถ้าเราไม่ พอใจจะเลี้ยง เราก็ไม่ต้องเลี้ยง เราอยู่ในนี้ ใครจะคอยดูแลช่วยเหลือใคร มันไม่เท่า ไม่ต้องไปช่วยเหลือมัน ใครเข้าท่าก็ช่วยเหลือมันไป ใช่ไหม

ดิฉันขออนุญาตเขา ให้อนุญาตลูกนี่มางานยุวพุทธนะคะ คือทุกปี มาได้ ๔ ปีแล้วคะ มาปีนี้ ขออนุญาตเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อก่อนนี้ดิฉันเล่นว่า ถึงวันนี้ ดิฉันบอกให้มาส่งเลย อะไรอย่างนี้ ปีนี้ดิฉัน ขออนุญาตเขาโดยตรงเลยว่า จะให้ลูกมางานยุวพุทธนะคะ ปรากฏว่า เขาไม่อนุญาต เขาบอกว่าไม่ให้มา ถามว่าทำไมถึงไม่ให้มา เขาบอกว่า ไม่มีเหตุผล เราก็บอกเขาว่า ไม่มีเหตุผล ได้อย่างไร เป็นพ่อเป็นแม่ทำอะไรต้องมีเหตุผล เขาเลยบอกว่า ก็มาตั้งสามสี่หนแล้ว ไม่เห็นได้อะไร ขึ้นไปเลย เขาว่าอย่างนี้ เขาว่าลูกไม่ได้อะไรเลย แต่ดิฉันรู้ว่า ลูกเดี๋ยวนี้ สัมผัสได้ว่า เขาได้บ้างเหมือนกัน ความที่เขาเป็นเด็กนี่ก็ต้องออกๆ เข้าๆเป็นธรรมดาของเด็ก แต่เขาบอกว่า ไม่ได้อะไร ดิฉันก็ไม่รู้จะทำใจอย่างไร ก็จะถามพ่อท่านว่า ควรจะ...

เอ้ย เดี๋ยวเขาก็หาว่า อาตมานี่เป็นเจ้าของนี่ หา เดี๋ยวเขาก็ เข้าใจว่าของอาตมาซี

คือว่าเราจะพยายามตะล่อมเขาให้อนุญาตลูก หรือว่าจะปล่อยไปแล้วแต่ ให้มาก็ไม่ให้มา เด็กมาแล้ว เด็กก็ทำได้นะคะพ่อท่าน

ได้ ส่วนมากมันได้ ได้มากได้น้อยมันก็ได้ไปแหละ ที่จริงมันได้นะ คนที่มานี่ มันได้ ไม่ใช่ไม่ได้หรอก แต่ว่าก็อย่างนั้น ก็เขาไม่ชอบละกระมัง ไม่ให้มาก็เพราะว่า เขาไม่ชอบน่ะ เขาจึงไม่ยินดี

ส่วนใหญ่เขาจะอ้างว่าอุบัติเหตุมันเยอะ ไม่อยากให้พาลูกมานี่ เดี๋ยวรถชนลูกอะไรต่ออะไร อ้างไม่เห็นเข้าเรื่องเลย ดิฉันว่าเป็นข้ออ้างมากกว่านะคะ แล้วการเลี้ยงลูก เราจะทำอย่างไรดีว่า เราสมมติว่า ถึงเวลาลูกทำงานแล้วลูกไม่ทำ เราก็ทำไป หรืออย่างไร

ไม่ทำมันก็ไม่มีกินมีใช้ซี อย่างนั้นน่ะ มันก็จำเป็น อย่างนั้น มันก็ต้องสอน ต้องบังคับ บางทีก็ต้องตี

ไม่ใช่ฮะ หมายถึงหน้าที่ ต้องตีด้วยได้ใช่ไหม

เราต้องฉลาดที่จะสอน อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็สอนๆกัน อยู่อย่างนี้ต้องฉลาด แต่พวกเรา มันดีอยู่อย่าง อย่างไรๆก็ยังโน้มน้อมไปในทางดี ไม่ใช่คนดื้อ ดื้อเกินไปไม่รับเลย คือเกินไป ประเภทที่บอกก็ไม่เอา ที่นี่ไม่รับเลย ก็เลยตอบไม่ถูก ว่าจะทำอย่างไร อาตมาก็ตัด ปล่อยเลย พวกเราก็ปล่อย เขาก็อยู่ไม่ได้ ถึงจะต้องหลุดไป

แต่เขาก็ทำอยู่นะคะ แต่ช้าหน่อยอะไรอย่างนี้ คือว่าต้องบังคับบ้าง อะไรบ้างอย่างนี้

นั่นแหละ ก็พยายามดู ฝึกดู ฝึกเลี้ยงคนนี่ไม่ใช่ง่ายๆ ขนาดนี่ลูกตัวเองแท้ๆ ขนาดนั้น ไม่ใช่ลูกตัวเอง มันจะขนาดไหนน่ะ ว่าอย่างนั้นเถอะ ไอ้เลี้ยงคนสมัยคนนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ขอโอกาสครับ อยากให้พ่อท่านฟังบทกลอนบทนี้นะครับ แล้วจะมีความเห็นว่าอย่างไรครับ

ถ้าคนมี นิสัย ไม่สะอาด
จะเก็บกวาด สิ่งใด ก็ไร้ผล
ความสะอาด ต้องมีใน นิสัยคน
ทุกแห่งหน จึงสะอาด ชาติรุ่งเรือง

เออ ดี อ้า ดี ส่งเสริมความสะอาด ส่งเสริมขยะเอ๋ย คนที่ไม่สะอาดนี่ ทำอย่างไรก็ไม่มีผล มันก็ไม่เจริญ

ก็ยากนา มันก็ไม่เจริญ จริงๆนะ ถ้าว่าถึงเรื่องสะอาดนี่ ถ้าเผื่อว่าเราไม่มีนิสัยสะอาด แล้วก็ไม่ประณีต ในเรื่องความสะอาดนะ กิเลสมันละเอียด ยิ่งกว่าไอ้วัตถุนอกนา ไอ้เรื่องนอกๆ เพราะฉะนั้น เราจะตัองไปรู้ความสะอาด ของจิตบริสุทธิ์ที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลส ถ้าเราไม่ประณีต ไม่พยายาม เอาใจใส่เรื่องความสกปรกเลอะเทอะ หรือว่าไอ้สิ่งถ่วง สิ่งไม่ดี ไม่งาม ตั้งแต่ วัตถุรูปนอกๆไป แล้วเราจะไปมีความประณีตเข้าไปลึกซึ้งถึงขั้น เราจะรู้จักกิเลส แล้วก็ล้างกิเลส ที่มันละเอียดเข้าไปข้างใน แล้วก็ทำให้มันสะอาดเกลี้ยงกิเลส ไม่ให้กิเลส มีเหลือเลย เราจะทำได้หรือ มันเกิดจากญาณ เกิดจากนิสัยใจคอ ด้วยนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราหยาบๆๆๆ โอ้ย ยาก มันเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่งเสริม หรือเป็นเรื่อง สนับสนุน ให้เราพวกเราเอง มีความประณีต ประณีตในภาษาทางพระพุทธเจ้า ท่านบอกมี คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา พวกนี้ มันจะต้องละเอียด ประณีต สุขุม ซ้อนเชิงเข้าไปมากๆๆๆ จริงๆเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่ฝึกหัดอบรม ไปตั้งแต่ของหยาบ พวกนี้ อย่าดูถูก อย่าไปเห็นว่า มันเป็นเรื่องเล็กนะ มันเกิดจาก นิสัยของเราไม่ดูดาย เป็นคน ไม่รังเกียจ เป็นคนไม่ขี้เกียจ เป็นคนรู้จักความประณีต ก็คือ จิตวิญญาณ เราจะฝึกฝนเข้าไป เรื่อยๆเลย เป็นคนละเอียด เล็กๆน้อยๆ โน่นๆนี่ๆอะไร ต่างๆนานา แล้วมันจะอุปการะ อย่างมากเลย ละเอียดร่ำรี้ร่ำไรก็ละเอียด ร่ำรี้ร่ำไรซี ก็จะไปร่ำรี้ร่ำไร อยู่ทำไมเล่า ละเอียด ก็ละเอียดไปซี ละเอียดแล้วก็ให้มันชันเจนว่า มันมีเหตุ มีผล มีเหตุมีปัจจัยที่แท้จริง ละเอียด แล้วก็ฉ่ำแฉะๆ วนอยู่ตรงนั้น มันก็แน่นอนซี มันก็ร่ำรี้รำไร อยู่ตรงนั้นซี ให้มันแม่นให้มันชัด

ขอโอกาสครับ บอกก่อนนะฮะว่า ที่ถามนี่ไม่ใช่ผมดื้อนะครับ คือพ่อท่านเอง ก็บอกใช่ไหมฮะ ก่อนที่จะมาปลุกเสกฯ บอกว่าพ่อท่านนี่ ต้องการลูกศิษย์ที่ฉลาด ใช่ ไหมครับ แล้วก็คิดว่า คนที่ไม่ฉลาด ก็คงจะมาเป็นลูกศิษย์พ่อท่านไม่ได้ใช่ไหมครับ ที นี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า วันงานมาฆะนี่ พ่อท่านขอใช่ไหมครับ ขอบอกว่าให้พวกเรานี่ อย่าดื้อกับพ่อท่านเลย แล้วผมก็สงสัยว่า ไอ้คำว่าดื้อของพ่อท่านนี้ หมายเอาขนาดไหน

ดื้อใหญ่ตั้งแต่อย่างหยาบ อย่างใหญ่ ไปจนกระทั่งถึงอย่างละเอียดนั่นแหละ ทุกอย่างแหละ มีลักษณะดื้อ ไม่เอาทั้งนั้นแหละก็หมด

แต่ถ้าอย่างนี้ไม่ได้ดื้อนะฮะ แต่ว่ามันมีบางอย่างที่ไม่เห็นด้วย หรือว่าบางทีพ่อท่าน อาจจะมีข้อมูล ไม่ชัดเจนอย่างนี้ แล้วลูกๆนี่จะสามารถ เถียงกับพ่อท่านได้หรือเปล่าครับ

อย่าเรียกเถียงซิ เรียกว่าให้เหตุผล ที่มันมีเหตุผล ที่ไม่ตรงกัน ก็หาโอกาส หาเวลา แล้วก็มีสัมมาคารวะ อะไรตามควร ตามจริง ก็ว่ากันมา ได้ ไม่ได้ ได้อย่างไร ไม่อย่างนั้น ก็เผด็จการตายพอดี

อย่างนี้ก็ทุกคนก็ คือกลัวว่าในเมื่อพ่อท่านขออย่างนี้ใช่ไหมฮะ แล้วพ่อท่านก็บอกว่า

อย่างนี้ก็ทุกคนก็ คือกลัวว่าในเมื่อพ่อท่านขออย่างนี้ใช่ไหมฮะ แล้วพ่อท่านก็บอกว่า อย่าดื้อกับอาตมานักเลย เสร็จแล้วกลัวว่า ญาติธรรมเห็นเราคนไหน ที่ไปพูดอะไร ที่ขัดแย้งกับพ่อท่าน ก็จะคิดว่าดื้ออะไรทำนองนี้ ให้ระวังตัวนี้ด้วย

เออ! เข้าใจให้ระวังตัวนี้กัน มีสัมมาคารวะ แม้จะมีสิ่งที่แย้ง ที่ขัดที่แย้ง ที่ไม่ตรงกันอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ จะไปบังคับกันไม่ได้หรอก แล้วยิ่งไม่พูดน่ะ ยิ่งปล่อยปละ ละเลย ยิ่งไม่ดีใหญ่ พูดแม้จะมีสิ่งแย้งก็พูด โดยสัมมาคารวะ รู้จักกาละเทศะ รู้จักฐานะที่เราทำให้มันดี ให้มันจังหวะพอเหมาะ พอให้ได้ จะเจริญ

มีเพื่อนสมณะฝากถามอีกข้อหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรม ฐานไหนยากกว่า เพื่อน

โอย! ตอบตายตัวไม่ได้ ฐานไหนยากกว่าเพื่อน มันอยู่ที่จริต มันอยู่ที่ความถนัดของแต่ละบุคคล คนไหนถนัด คนไหนฝึกปรืออะไรมามากแล้ว ฝึก กามมาก่อน ก็ล้างกามได้ง่ายก่อน ได้ง่ายกว่า ฝึกอัตตามานะมามาก ก็ล้างอัตตามานะได้มากได้ง่ายกว่า พูดถึงประเด็นสองประเด็น ในประเด็น กามกับประเด็นมานะอัตตา มันตอบตายตัวไม่ได้หรอก (ขอบคุณครับ) มันอยู่ที่ สัจจะ ถ้าเราเอง เรายิ่งรู้ว่าอะไรยาก เรายิ่งต้องฝึกอันนั้น อันไหนที่ยาก ต้องฝึก เพราะแสดงว่า เราเองไม่มีวิบากดี เราไม่มีผลที่สั่งสมบุญที่สั่งสมมาไม่ดี เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้ตัวเอง แล้วก็พยายาม เพิ่มเติมสั่งสมให้ดี

ขอโอกาสครับพ่อ ได้ยินที่งานปลุกเสกคราวนี้ ก็ได้ยินพระคุณท่าน ดิน น้ำ ลม ไฟ ท่านเทศน์ บอกว่า คนที่สายราคะ จะเป็นคนที่เรียบร้อย เป็นคนที่รักสวยรักงาม สำหรับคนที่เป็นสายกาม ก็จะเป็นคนที่...

กามกับราคะ มันก็ใกล้กันนั่นแหละ สายกามสายราคะ

สายโทสะ (เออ พูดให้มันชัด) สายโทสะครับ เมื่อกี้ผมจะเบลอไปหน่อย คือจะต่างกัน แต่จะต้องตรงไหมฮะ คือ หมายถึงว่า คนที่สายราคะ จะต้องเป็นคนที่รักสวยรักงาม แล้วสายโทสะ จะต้องเป็นคนที่มีความกระโดกกระเดก หรือเป็นคนที่ตึงตังอะไรทำนองนั้น ต่างกันไหมครับ พ่อท่านครับ

ไอ้ตึงตังๆๆๆ ได้ทั้งสายโทสะ ทั้งสายราคะนะ มันตึงตังเอาอะไร เอาท่าทางท่าทีอะไร มันตึงตังได้ ทั้งสองสายน่ะ ราคะมันก็ตึงตังได้ โทสะมันก็ตึงตังได้ แต่มันก็อารมณ์ต่างกัน อารมณ์ราคะ ก็อารมณ์กะเปิ๊บกะป๊าบอะไร พวกอารมณ์ราคะมันก็เปิ๊วป๊าวได้เหมือนกัน โทสะมันก็ตึงตังไปแบบโทสะ โทสะมัน ก็เปิ๊วป๊าวได้เหมือนกัน

แล้วรู้สึกว่า ที่ผมก็มาพบพ่อท่าน ๑๐ กว่าปีแล้ว รู้สึกว่าที่ได้รับสัมผัสมา แม้กระทั่งตัวผม

อ่านต่อหน้าถัดไป