แก้ตัวคือจัญไร แก้ไขคือเจริญ
วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๖
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถานปฐมอโศก


วันนี้เป็นวันตักบาตรเทโว และเราก็ได้ตักบาตรกันไปแล้ว เป็นวันที่เราต้อนรับพระมาจากดาวดึงส์ หมายความว่า ๓ เดือนนี่ เราได้บำเพ็ญกันมา เข้าพรรษาได้พยายามปฏิบัติ ประพฤติ เรียนรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะกันมา ก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ได้สวรรค์กันไป คนละกอบละกำ ก็ลงจากสวรรค์ มาเยี่ยม ญาติโยมบ้าง ญาติโยมก็พลอยยินดีชื่นชม ในผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ที่ได้พากเพียรศึกษา เล่าเรียนธรรมะ ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ทำความเข้าใจ

ที่จริงเรื่องที่จะศึกษาเล่าเรียนของสมณะนี่ มันเป็นธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ หรือเป็นธรรมะสูงนะ มันถึงถือว่า ระดับเทวดา แต่ในบุคลาธิษฐาน หรือว่าในเรื่องธรรมาธิษฐาน ที่สอดแทรกผสมผสานกันอยู่ มันเป็นเรื่อง ที่เข้าใจยาก ในธรรมาธิษฐานหลายอย่าง บางอย่างบางอัน ที่เป็นปรมัตถ์แล้วนี่ ฟังแล้วเด๋อๆ มันฟังแล้ว ไม่ขึ้น และมันเป็นไปได้ยาก เช่นว่า พระพุทธเจ้าไปโปรดพุทธมารดา เอาบุคลาธิษฐานมาว่า อยู่ที่บนดาวดึงส์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วก็มีนัยอะไร ซับซ้อนอีกหลายอย่าง หลายอันในดาวดึงส์ก็ตาม แม้แต่พระพุทธเจ้า ไปโปรดอยู่ที่ชั้นดาวดึงส์แล้ว เวลาจะรับประทานอาหาร ต้องมาบิณฑบาต ที่เมืองมนุษย์ มาบิณฑบาตเองนะ ที่จริงเขาผูกเรื่อง เป็นบุคลาธิษฐาน แต่ในธรรมาธิษฐานนี่ ลึกซึ้งมาก

อาตมาก็คงจะไม่มีเวลาที่จะอธิบายรายละเอียดพวกนี้ให้ฟังได้ แต่ก็อธิบายบ้างเล็กน้อย ไปบิณฑบาต มาแล้ว ก็มาฉัน แอบมาฉันกับพระสารีบุตรสองรูป อยู่ข้างภูเขาสิเนรุ อย่างนี้เป็นต้น มีแง่เชิงอะไรหลายๆ อย่าง เป็นแง่เชิงบุคลาธิษฐาน ที่เป็นสภาวธรรมของปรมัตถ์ ที่จริงมันไม่ใช่ตัวตน บุคคลเราเขา เหล่านั้นหรอก แต่เอาสารัตถะของสิ่งแทนเป็นนิมิตได้ ถ้าเข้าใจบุคลาธิษฐานแล้ว มันก็เหมือนนิมิต ที่เราหยั่งเข้าไปถึง สภาวะธรรม เป็นเรื่องธรรมความลึกซึ้งทีเดียว พระสารีบุตรหมายถึงอะไร บิณฑบาต หมายถึงอะไร ดาวดึงส์หมายถึงอะไร สิริมหามายา พระพุทธมารดาหมายถึงอะไร รายละเอียดนอกนั้น เป็นรายละเอียด ของพระอภิธรรมล้วนๆ อะไรหมายถึงอะไร คือหมายถึง พระอภิธรรมล้วนๆ เป็นเรื่องสูงสุด เป็นเรื่องละเอียดลออ พระอภิธรมนี่สูงสุด เป็นเรื่องละเอียดลออ เป็นเรื่องจิตเจตสิก

สิ่งเหล่านี้นี่เป็นเนื้อหาแท้ของศาสนาของพระพุทธเจ้า เราจะมาปฏิบัติสังวรกาย วาจา จนกระทั่ง มาเข้าใจผิด มาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มาศึกษา ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เมื่อศึกษา สามนี้ ไตรสิกขา ก็คือศึกษาจากศีลเป็นเบื้องต้น เป็นบาทฐาน จากการปฏิบัติตามศีล แล้วก็จะพัฒนากาย วาจา โดยเฉพาะต้องพัฒนาจิตเป็นอธิจิต ก็ต้องศึกษาทางจิต ถ้าปฏิบัติเรียนรู้ แล้วไม่ถึงขั้น สามารถ มีญาณ มีปัญญา จับอาการของจิต อาการของกิเลส ซึ่งมันก็อยู่ที่จิต กิเลส จะไม่อยู่ที่อื่น กิเลสจะไม่อยู่ ใต้ต้นไม้ ไม่ใช่อยู่บนภูเขา ไม่ใช่อยู่ท้องฟ้า กิเลสจะไม่อยู่ที่ไหน กิเลส จะอยู่ที่ จิตวิญญาณเท่านั้น นอกจาก จิตวิญญาณไปแล้วไม่เกี่ยวกับกิเลส กิเลสจะอาศัยจิต อาศัยวิญญาณ แล้วมันก็ปลอมตัว อยู่กับ จิตวิญญาณ เหมือนกับมันเป็นตัวตน เหมือนกับ ผู้เป็นเจ้าของ จิตวิญญาณ จนกระทั่ง กลายเป็นตัวกู ของกูไป จิตวิญญาณก็ไม่ใช่ตัวกูของกู ไม่ใช่ตัวเราตัวเขา กิเลสยิ่งไม่ใช่แน่ แต่เรานึกว่า กิเลสนี้เป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วเราก็ได้อยู่โดยอาศัยกิเลสนี่ เป็นตัวเจ้าหน้าเจ้าตา เป็นเจ้าเรือน เป็ฯตัวแสดงอิทธิฤทธิ์หมด มีบทบาทเป็นอำนาจอยู่ในตัวเราน่ะ มันเป็นอวิชชามาแต่ต้นเลยนะ

มีคนถามอาตมาวกวนว่า อวิชชาเกิดมาได้อย่างไร คนเราเกิดมาได้อย่างไรก่อน คนเกิดมาเพราะอวิชชาบ้าง อ้าว แล้วอวิชชาเกิดมาได้อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น วนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ เป็นปัญหาโลกแตก อวิชชา มันเกิดมาพร้อมกับคนเกิด แล้วคนทำไมถึงเกิด ก็เพราะว่ามันอวิชชา แล้วทำไมมันถึงจะพ้นอวิชชา ก็ต้อง ทำให้เรียนรู้วิชชา แก้ไขจนกระทั่ง เกิดปัญญาญาณรู้ นี่แหละเป็นตัวสูงสุด ที่จะพ้นอวิชชา คนที่ยังมี ปัญญาญาณรู้ ก็คือคนมีขันธ์ ๕ คนมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คนนั้นมีธาตุ จิตวิญญาณ เมื่อมีธาตุวิญญาณ อยู่ในตัวตน คนนั้นแหละ ทำให้ธาตุจิตวิญญาณ เป็นญาณรู้ เป็นวิชชาทั้งหมดให้ได้ พอมีวิชชาทั้งหมด สมบูรณ์แล้ว ก็พ้นอวิชชา

ส่วนการพ้นอวิชชาแล้ว คนนั้นยังมีวิชชาอยู่ ยังมีการเกิดอยู่นั่นน่ะ การเกิดนั้น จึงไม่ได้เกิดจาก อวิชชาแล้ว พระอรหันต์เจ้า ก็ยังมีการเกิด หายใจเข้าก็ยังเกิด พระอรหันต์ก็ไม่ตายนี่นะ หายใจเข้าก็คือเกิด หายใจออก ก็คือดับ หมุนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ อยู่ตั้งแต่การเกิดนั้น เป็นอย่างไร การเกิดเป็นทุกข์ เกิดทุกข์อย่าง ชาติปิทุกขา การเกิดใดๆ ไม่ว่าอะไร เป็นทุกข์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้า ที่พ้นทุกข์แล้ว ก็ยังมีทุกข์ ทุกขขันธ์ ทุกข์เพราะมีรูปขันธ์ นามขันธ์ ซึ่งมีรูป แล้วก็มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทุกข์ก็เพราะ มีขันธ์ เรียกว่า ทุกขขันธ์ ทุกข์เพราะว่า สภาวทุกข์ก็ยังเกิด ก็ยังแก่ ก็ยังเจ็บๆ เพราะยังตาย เพราะยัง ไม่ตายนี่ ยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังต้องทุกข์นะ อย่างนี้เป็นต้น หรือทุกข์เพราะอื่นๆ อาตมาก็เคย อธิบายทุกข์ ต่างๆ แล้วให้ฟัง ไม่งั้นเราจะเข้าใจผิดว่า พระอรหันต์เจ้าพ้นทุกข์แล้วไม่ทุกข์เลย ไม่จริง อาตมา เคยยก ตัวอย่าง ทุกข์ที่มันเลี่ยงไม่ได้ อย่างทุกข์เพราะการแก่ การเจ็บ นี่ก็เลี่ยงไม่ได้บ้าง บางคน ก็ยังไม่เข้าใจชัด แต่พอยกตัวอย่าง นิพัทธทุกข์ ทุกข์เพราะเราจะต้องมีสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน การยังอยู่ๆ การสัมผัสสัมพันธ์อยู่ เออ เข้าใจได้ นี่ยกตัวอย่างนิพัทธทุกข์ เช่นว่า การปวดขี้ ปวดเยี่ยว ทุกข์ไหม แน่นอน ปวดขี้เมื่อไร ปวดเยี่ยว เมื่อไร ไม่ได้ขี้ไม่ได้เยี่ยว ทุกข์นี่ถึงเรียกมันว่าปวด ขี้จะออกนี่ ซึ่งเรียกว่าปวด ไม่เรียกว่าเฉย ใช่ไหม ถ้ามัน ไม่ได้ไปขี้ออก มันก็ปวดอยู่นั่นแหละนะ หรือไม่ได้ไปเยี่ยว มันก็ปวดอยู่ อย่างนั้นแหละ เจ็บๆ ปวดๆ ทุกข์ นี่ใช่ ภาษาไทยเราเรียกว่าปวดนะ อย่างนี้เป็นต้น

เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องปวดขี้ปวดเยี่ยว ก็ต้องทุกข์ เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้เด็ดขาด อย่างนี้ก็พอเข้าใจได้ หรือ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อื่นๆ อาตมาได้อธิบายแล้ว เคยยกตัวอย่างนะ ทุกข์เพราะการแสวงหา อาหาริปริเยฏฐิทุกข์ ปริเยฏฐิ นี่แปลว่า การแสวงหาสิ่งอาศัย แสวงหาอาหารมาให้กิน ไว้ในร่างกาย ร่างกายมันยังสังเคราะห์ไว้ แล้วก็ได้อาศัย ร่างกายนี้ หรือแม้แต่การแสวงหางาน สำหรับงานที่เป็นอริยะ งานที่เป็นสัมมา เป็นสัมมา กัมมันตะ สัมมาาอาชีวะของพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์เจ้าก็ตาม การแสวงหางาน และทำงาน นั้นๆ มันก็เป็นทุกข์ แต่ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ทุกข์จะต้องยังให้พร้อมที่จะต้อง มีสัมมาเหล่านี้ ยิ่งผู้ที่ยิ่งมี ความบริสุทธิ์ใจ ที่เป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์เจ้า ยิ่งทำงานอย่างบริสุทธิ์ นั่นเป็นตัวอย่าง เป็นการสร้างสรร และเป็นการเสียสละ พระอรหันต์เจ้า ไม่ได้ทำงาน เพื่อที่จะโลภลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอะไร ท่านทำงานเพราะเป็นกรรมที่รังสรรค์ เป็นบุญคุณ เป็นประโยชน์คุณค่าของโลก เป็นการเกื้อกูล อนุเคราะห์โลกอยู่โดยตรง อย่างนี้เป็นต้น มันก็ทุกข์

เพราะฉะนั้น นัยคำว่าทุกข์นี่ จะรู้ทุกข์ได้ไม่บริบูรณ์ง่ายๆ รู้ทุกข์กันได้ยากมาก การรู้ทุกข์นี่ มันมีละเอียดลออ แต่อาตมา ยกตัวอย่างอย่างนี้ ก็เป็นการรู้ง่าย อธิบายอย่างนี้รู้ง่าย จะรู้ทุกข์ว่า มันเป็นทุกข์นี่ หายใจเข้า ก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์ จริงๆ นี่แหละมันเป็นเรื่องยาก ทุกข์นั้นทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก แต่เราก็รู้ว่า เป็นการเกิด

เพราะฉะนั้น อะไรมันก็เป็นทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นอะไรมันยังเกิดอยู่ สังเคราะห์ให้เกิดอยู่ มันเป็นทุกข์ ทั้งนั้นแหละ และคนที่จะรับทุกข์ได้ รู้ทุกข์ได้ก็คือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ยังไม่สลาย จิตวิญญาณ ที่ยังไม่สูญสิ้น จิตวิญญาณที่ยังไม่ปรินิพพาน ไม่นิพพานรอบ คือดับสนิท ดับสูญ ดับสนิท ดับสิ้น จนหมดสิ้นทุกอย่าง ปรินิพพานนี่ดับสนิท ดับสิ้นจนหมดสิ้นทุกอย่าง ปรินิพพานนี่ดับสนิท แต่ถ้า นิพพานเฉยๆ นี่ยังมีนัยที่จะต้องอธิบาย ดับกิเลสพระอรหันต์เจ้าเป็นๆ นี่ ดับสนิทตรงดับกิเลส เกิดจาก ตัวตน ที่เราไปหลงว่าเป็นตัวตน ดับกิเลสได้หมดสิ้น ก็เรียกว่าเป็นนิพพานแล้ว

ส่วนนิพพานที่เหนือชั้นไปกว่านั้น ที่จะต้องอาศัย มีนิพพานแล้วก็สบายแล้ว และมีนิพพานนั่น เพื่อจะรังสรรค์ เพื่อคุณค่าเพื่อเป็นประโยชน์ก็เป็นได้ หรือจะปรินิพพานสูญสิ้น หมดประโยชน์คุณค่า หมดบุญ หมดบาป หมดความดีงาม หมดตัวตน หมดของตัวของตน ไม่หยั่งลงสู่ครรภ์ ไม่เวียนว่าย ตายเกิดอีกเลย สนิทนั้นนะ ผู้ที่มีคุณธรรมถึงด้านระดับนิพพานได้เรียบร้อย เป็นอนุปาทิเสสนิพพานได้ คนนั้น ก็มีสิทธิที่จะปรินิพพานได้ พระอรหันต์ที่จะปรินิพพาน หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อท่าน เสร็จกิจของท่าน สร้างศาสนาเสร็จ ท่านก็ปรินิพพานทุกพระองค์เหมือนกัน

เราได้พยายามดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศีล ได้ปฏิบัติมา ขัดเกลา ละล้างกิเลสได้ มาเป็นอริยบุคคล หรือว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐ ผู้ที่ฉลาด ผู้ที่ได้ภูมิธรรมอริยคุณ อริยะที่มันเป็น สภาพธรรม ลดโกรธ โลภ หลง ลดทุจริต ลดอกุศลทางกายก็ดี ทางวจีก็ดี โดยเฉพาะทางมโน หรือทางใจ เราเรียนรู้แล้ว ปฏิบัติประพฤติแล้ว เราสามารถที่จะสัมผัสได้ และก็ไม่หลงผิด เข้าใจชัดเลยว่า ในจิตใจ หรือจิตวิญญาณเรานี่ สามารถลดละกิเลสนั่นได้จริงๆ จนมามีอำนาจใจ สามารถทำให้กาย วาจา เปลี่ยนแปลงไป ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงจนมาเป็นอย่างชนิด คนอย่างพวกเรา เป็นนี่นะ สิ่งที่เราได้เป็น แม้จะได้รูปหยาบมาแล้ว ได้อะไรมาแล้ว และเราก็ละเว้นมา ตามภูมิตามภพ ภูมิต่ำอบายภูมิ เป็นต้น เราก็ได้ละลดมา อบายมีอะไรบ้าง เราก็เลิกละมา จนกระทั่งกาย วาจา เราสบาย เราไม่เกี่ยวข้อง เราไม่แตะต้องสิ่งเหล่านี้ อบายมุขอย่างนี้ เป็นต้น อบายภูมิต่างๆ น่ะสิ่งที่หยาบที่ต่ำ อบายะ ก็แปลว่านรก แปลว่าบาป แปลว่าชั่ว แปลว่าต่ำ เราละลดมาได้จริงๆ จนชีวิตของเรานี่ เจริญขึ้น จนไม่มีนรก นี่มันเป็นนรกเป็นๆ อบายนี่ เป็นนรกเป็นๆ

คนที่ยังติดยึดในอบายมุข ในสิ่งเสพย์ติด เล่นการพนัน พวกนี้ยังเป็นอบายมุขอยู่นะ ยังติดในกามหยาบๆ สำส่อนในกาม หรือว่าหยาบๆ ในเรื่องของความโกรธ พยาบาท อาฆาต ยังหยาบยังแข็ง ยังกระด้าง ยังทำลายไม่ได้ อย่างพวกนี้เป็นต้น มันยังหยาบ มันยังต่ำ มันยังแรง มันยังทุกข์จัด ไม่สมใจในโกรธ ไม่สมใจ ในโลภจัดๆ จนกระทั่ง ทุกข์จัดนี่ มันจัดจริงๆ นะ มันทุกข์เอามากเอามาย อย่างนี้เรียกว่า ระดับหยาบ โลกหยาบๆ ต่ำๆ พวกนี้ก็ต้องพ้นมาได้ เออ ไม่ทุกข์มากทุกข์มาย ขนาดที่มันทุกข์เอาจริงๆ จังๆ ไปในกระแส ของราคะ หรือโลภะ หรือไปในกระแสของโทสะ หรือ กระแสของโมหะก็ตาม

เราเรียนรู้อาการอารมณ์ของจิตใจ แล้วก็เรียนรู้กิเลส เรียนรู้ตัณหาที่กามภพ กามตัณหา หรือว่าเป็นภวภพ หรือว่าเป็น ภวตัณหา แล้วเราก็ละล้างได้ เรามีภวตัณหาที่มีตัณหาในภพอุดมการณ์ ก็คือไปสู่ภพ ของนิพพาน ไปสู่ภพของโลกุตระ เราเรียกว่า โลกุตรภพอะไรก็ได้ หรือโลกุตรภูมิอะไรก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น เราต้องการอันนี้ จึงเรียก เอาตัณหามาล้างตัณหา เราล้างตัณหาหยาบๆ ต่ำๆ เป็นกามภพ ภวภพที่ต่ำๆ หยาบๆ เราลดมาได้ เลื่อนชั้นขึ้นมาได้เรื่อยๆ เราจะรู้จักชีวิตว่า ชีวิตของเรานี่ไม่หยาบ กาย วาจา ไม่แปดเปื้อน หรือว่าไปเลอะเทอะแล้ว มันมีการสลัดคืนอีกอันหนึ่ง แม้ว่าเราไปได้แล้ว เราต้องกลับมา ช่วยผู้อื่น แต่ไม่ใช่ว่า เราไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ไปแปดไปเปื้อน ไปสัมผัสอยู่ เพราะเราติด แอบเสพย์ หรือ เสพย์อยู่ ยังไม่หมด เราก็รู้ว่ายังไม่หมด แต่เรายังพากเพียรปฏิบัติละล้างก็ทำไป ถ้าว่าเราเอง เรายังเสพย์อยู่ เราไม่รู้ตัว ก็เรียกว่าโมหะ ไปจนกระทั่ง เรารู้ตัวๆ จริง ๆ แล้วก็ละล้างได้จริงๆ แล้วก็ลดละ ออกไปเรื่อยๆ ผู้ปฏิบัติพากเพียรอยู่ จนกระทั่ง จะสูญจะหมด เมื่อสูญเมื่อหมดก็พ้นกามภพ พ้นภวภพ มีแต่เราไม่เสพ ไม่ติดสิ่งนี้ ปฏิบัติกายกรรม วจีกรรมอยู่ โดยเฉพาะ มโนกรรม ไม่เสพไม่ติด ส่วนอุเบกขา วางสะอาด สุญญตาในตัวตันกิเลสได้ เราก็จะยังทำงาน ทำสังคมในโลก เป็นอุดมการณ์ เพื่อผู้อื่น สร้างสรร เกี่ยวข้องอะไรไป เพื่อผู้อื่น ซึ่งมีความจำเป็น

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่าโลกนี้เราต้องการใช้เหล้านะ เอาเหล้ามาทำประโยชน์ ทำคุณค่าอะไรขึ้นมาได้ ซึ่งใครไปปรุงเหล้า เอาเหล้ามาสร้างมาอะไร มันไม่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องมอมเมา เป็นสิ่งมอมเมา แต่ถ้าเผื่อว่า เหล้านี่มันก็เป็นวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง สามารถที่จะเอาไปปรุงยา ไปเกี่ยวข้อง ไปทำประโยชน์ อะไรได้บ้าง ถ้าเรารู้อย่างสาระสัจจะอย่างแท้ๆ ที่จริงเลยนะ เหล้านี่ต้องเอามาใช้สารประโยชน์ อย่างแท้จริง คนที่เข้าใจแล้ว ก็อนุโลมไปสร้างเหล้า ไปทำเหล้าขึ้นมา เพื่อประโยชน์ อันนี้ไม่ใช่ไปเอาเหล้า มามอมเมาคน เอามาเป็น สิ่งเสพย์ติด แต่ทำประโยชน์อย่างนี้ คนไปทำเหล้านั้น ไปสร้างเหล้านั้น ก็ไม่ได้เป็นคนบาปอะไร มันปฏินิสสัคคะแล้ว มันสลัดคืนได้แล้ว แล้วเขาผู้นั้นเองก็ไม่ติดนะ ไม่ติดไม่เสพหรอก เหล้านั่น จะเอา มาใช้ ก็เอามาใช้ประโยชน์ตามที่หมาย อย่างนี้เป็นต้น หรือแม้แต่จะสังเคราะห์ฝิ่น มาใช้ เป็นประโยชน์ สังเคราะห์เฮโรอีนอะไรก็ตามใจนะ แต่นั่นแหละทุกวันนี้นี่ เราไม่ต้องไปทำหรอก มันทำกันมาก จนกระทั่ง เผาทิ้ง ก็ยังไม่หมดเลย ยังไปล่อลวง ยังไปเสพติดกันอยู่เยอะแยะ วุ่นวายไปหมดน่ะ

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเราอธิบายกันมาสิบปี ยี่สิบปี แล้วเราก็เรียนรู้กันนี่ แล้วก็ยกตัวอย่างเล่าเรื่อง ที่อธิบาย ก็ได้ละลดลง จากโลกอบายออกมา หรือแม้แต่โลกสูงขึ้น กามภพ กามภูมิ หรือว่า โลกธรรม ๘ ที่มีสภาพ หลงใหล เป็นทาสของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในระดับที่ตนเองติด เรามาเรียนรู้ แล้วก็ล้างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสบาย เหลือแต่โลกอัตภาพ หรือภพอะไร มันไม่จัดจ้านแล้ว เป็นรูปภพ อรูปภพ เป็นสภาพที่เป็น อรูปราคะ เป็นเรื่องที่ไม่มีแรง ที่จะทำให้เราตกต่ำ ไปหยาบคายอีก แต่รู้ของเรา ดูของเรา อ่านออกของเรา อยู่ในใจของเรา เท่านั้นเอง เราไม่บอกใคร ก็ไม่รู้ได้ง่ายๆ แต่เรารู้ว่า มันเป็นจริง มันมีสภาพรูปธรรม รู้ได้ แต่เป็นราคะ อย่างรูปนะ อรูปก็รู้ได้ เป็นราคะอย่างอรูป ส่วนโทสะนั้นไม่มี ปฎิฆะไม่มีแล้ว ในภูมิของของ สังโยชน์สูงอย่างนี้ พวกนี้ต้องพ้นปฎิฆะ พ้นความโกรธ พ้นสายโกรธ ซึ่งสายโกรธ ซึ่งอาตมาก็พยายาม สอนเราไป เป็นลำดับ ใครพยายามลดความโกรธ ความแค้น ความเคือง ปฎิฆะ หรือแม้แต่ ความไม่ชอบใจ ความชัง ก็ขอให้เราได้ล้างละ เพราะไม่มีประโยชน์ ล้างได้ก่อนเลย แต่ว่าสายราคะ หรือโลภะนี่ เราจะต้อง มีความปรารถนา ความใคร่มีความอยาก แต่ไม่ได้อยากเพื่อตน มันต้องอยากสร้างสรร อยากที่ต้องทำ ไอ้โน่นไอ้นี่อะไร จะพูดว่าเป็นกิเลสก็ลองพิจารณาได้ว่า มันเป็นกิเลส ก็ตรงที่ว่าเรา อยากเอามาบำเรอตน อยากได้เอามาเป็นของตน แต่ถ้าอากสร้างสรรแล้วไม่ได้สร้างสรรมาบำเรอตน ไม่ได้เพื่อตน แต่เพื่อผู้อื่น เพื่อโลก ยิ่งได้มากได้ดีเท่าไหร่ก็เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ เป็นการอนุเคราะห์โลก มากเท่านั้นๆ อย่างนี้ ยิ่งเป็นความวิเศษ เป็นความประเสริฐ ไม่ใช่เป็นกิเลส ไม่ได้เป็นสิ่งเสียหาย เป็นคุณค่า โดยตรงของมนุษย์ มนุษย์ผู้ใดมีคุณค่ามีประโยชน์มีคุณค่าได้มากเท่าใด ก็เป็นมนุษย์ที่มีบุญคุณแท้ ๆ นั่นแหละ คงไม่มานะ คงฟังออกฟังเข้าใจนะ

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแล้วนี่ ผู้บรรลุธรรมเป็นอาริยะเป็นอรหันต์ขึ้นมาแล้วนี่ เริ่มมี คุณค่า ไม่ใช่เป็นคนว่างเปล่า แต่ว่างจากกิเลส ยิ่งว่างจากกิเลส คนนั้นยิ่งไม่อยู่ว่าง คนที่ว่าง จากกิเลส ได้พวกเท่าใด ยิ่งเป็นคนไม่อยู่ว่าง แต่คนที่จิตที่ไม่ว่างจากกิเลส คนนั้นแหละจะอยู่ว่าง ๆ ได้โอกาสเมื่อไหร่ เป็นเอา ไปอยู่ว่าง ๆ ถ้าคนยังจิตไม่ว่าง จิตไม่ว่างชอบหาจิตอยู่ว่าง ๆ ที่มันจำนน จำเป็นจะต้อง มาอยู่ว่างนี่ เพราะว่ามันจำเป็น มันต้องทำ หรือมันก็หลงถูกหลอกว่า ทำอย่างนี้ ขยันยังงี้น่ะ ได้สรรเสริญนะ ไม่ต้อง ไปพูดเลยว่าเอาลาภ เอายศ แย่งกันอยู่จะเป็นจะตาย ก็เพราะไอ้ลาภ ไอ้ยศนี่ ไม่ต้อง ไปพูดเลย สรรเสริญ เราไม่เอาเพื่อลาภเพื่อยศหรอก แต่เพื่อสรรเสริญ และก็ไม่ขี้เกียจ เดี๋ยวได้ ไม่ขี้เกียจ เพราะต้องการสิ่งอยากไ หรือลึกเข้าไปกว่านั้น ที่ทำอยู่นี้ เพราะมันอร่อยตัวเอง มันสุขนะ ที่ทำนี่มันสุขน่ะ สรรเสริญ ไม่ได้ช่างมัน ดีไม่ดีถูกด่าด้วยก็ตาม แต่มัน มันน่ะ มันอร่อยน่ะ ฉันบำเรอตนน่ะ ลาภไม่ได้ ยศไม่ได้ สรรเสริญก็ไม่ได้ แต่ทำเพราะว่ามันสุขใจ ชอบน่ะ อย่างนี้มันถูกต้องกับอารมณ์ ถูกต้องกับ กิเลสเหลือเกิน ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้กิเลส แต่ผู้รู้นี่ จะรู้ว่ากิเลสบำเรอ บำบัดอารมณ์สมใจ เท่านั้น ทำเพราะมันสุข

อ่านต่อหน้าถัดไป