บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์
ตอน ๓ โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๗ ณ ศาลีอโศก เนื่องในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๘ ตี ๔ แล้ว เรากำลังอบกันเรื่อยๆ มันมีอะไรออกๆมาบ้างไหมเล่า อบๆ นี่ อบนี่มันจะต้องรีดออกมาๆ มันรีด ออกมาๆ เสร็จแล้วเราก็รู้เลยว่า อะไรที่ถูกรีดออกมา แล้วเราก็รู้ตัว แล้วเราก็ได้เข้าใจ อ๋อ ไอ้ที่รีดออกมานี่ ของเสียนะออกมา ด้วยกายกรรมก็ดี ด้วยวจีกรรมก็ดี ด้วยกิริยาใดก็ตาม เสร็จแล้ว เราก็รู้เท่าทัน จัดการปรับ ไปเรื่อยๆ แก้ไขไปเรื่อยๆ เราก็ได้ไปเรื่อยๆ เรากำลังที่จะเปิดกว้างขึ้น เพื่อให้รู้ถึงสภาพของมนุษย์ที่เป็นอยู่ เป็นอยู่แล้วก็มีสัมมาอาชีพ มีการกระทำ ที่เป็นงาน การกระทำที่เป็นงานที่ทำอยู่ประจำ อาชีพนี่คืองานที่ทำอยู่ส่วนมาก ส่วนใหญ่ ประจำ แล้วมัน ก็มีคุณค่า มีประโยชน์ ผู้ใดเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ที่จะเป็นประโยชน์ท่านได้มาก แล้วก็เป็นประโยชน์ ที่เป็นเนื้อหาได้มาก มีเนื้อหาสาระที่จำเป็นที่สำคัญเป็น demand เป็นความจำเป็น เห็นชัดเจน แล้วเราก็ทำ ตั้งใจทำ ความเห็นมันอาจจะไม่ตรงกันทีเดียว มันต่างกันไปบ้าง แต่นั่นแหละ นัยที่เป็นเนื้อหา ในความหมาย มันก็สอดคล้องกันแล้ว ก็เห็นกันได้ด้วยจริง เห็นว่ามันไม่เป็นมิจฉาจริงๆ มีไปจนกระทั่ง ถึงขีดที่มันเกือบๆ จะมิจฉาแล้ว มีเขตได้ งานทางโลกที่เรียกว่า สัมมาอาชีพ เขาเรียกน่ะ เยอะเหลือเกิน ความจริงแล้วเป็นมิจฉาชีพ เป็นมิจฉาชีพ มิจฉาชีพตั้งแต่แรกๆ เราย้อนไปตั้งแต่ต้นถึงปลาย ตั้งแต่ที่ท่าน ให้ความหมายเอาไว้น่ะ มิจฉาชีพ ๕ ตั้งแต่ว่า มันเล่นทุจริตกันเต็มที่ กุหนา ลปนา กุหนาที่จริงนี่ มันเป็นเรื่อง ของความหยาบ ของความเลว ของความโกงทุจริตชัดๆ ทางรูปทางกาย ทางกรรมกิริยา ทุกอย่าง สมบูรณ์แบบ สรุปแล้วก็ กุหนา ลปนา ลปนาที่จริงแปลว่าการพูด ลปนานี่แปลว่าการพูด เพราะฉะนั้นก็ต่อ รองมาจาก กุหนา มันตั้งแต่มันหยาบๆ เป็นกายกรรม เป็นบทบาท เป็นเรื่องเป็นราวเต็มรูปเต็มร่างที่เป็นทุจริต เสร็จแล้ว ก็มาหา ลปนา ก็เป็นภาษาคำพูดที่ประกอบ คำพูดนี่ก็ร้ายกาจ ทุกวันนี้เด่นที่ลปนา หยาบคายแต่ซ้อนนะ ยิ่งดูเหมือนหยาบคาย แต่เขาดูยิ่งละเอียด ยิ่งหวานยิ่งสุภาพยิ่งลึก แต่ยอดหลอก ยอดซ่อนเชิง นี่มันกลับ กันไป ย้อนกันไป ย้อนกันมา เสร็จแล้วนั่นแหละยิ่งร้ายเลวลึก เยือกเย็น เหม็นสุด แต่คนจะรู้สึก หอมหวาน รู้สึกว่า แหม ทั้งหวานทั้งหอมเหมือนน้ำผึ้งอะไรก็แล้วแต่ มันยิ่งเลวร้ายเลย จนตนเองบางที ไม่รู้ตัว ทำเสีย จนชิน ทำเสียจนนึกว่า มันดีจริงๆ หลงว่ามันดีจริงๆ แต่ตัวเองก็ไม่รู้ จนกระทั่งมันไม่รู้กี่รอบ ที่มันซับซ้อน ก็เป็นงาน เป็นงานเป็นการ เป็นสัมมาอาชีพ ทำอยู่กับสังคม ทำก็ได้มีชีวิตอยู่รอด เลี้ยงตน อยู่รอด ด้วยระบบ เมื่อระบบทุนนิยมเขาก็มีรายได้รายแลกเปลี่ยนรายจ่าย ให้ลาภให้ยศ ให้สรรเสริญ ให้อะไรต่ออะไรกัน มากมาย ประเดประดังประโคมกัน ประเคนกันเข้าไปเต็มที่ เป็นระบบของทุนนิยม ด้วยกรรมวิธี เขาก็ทำกันอยู่ แต่ไหนแต่ไรมา ก็ทำกันอย่านั้น แล้วเขาก็ไม่รู้ว่ามิจฉาชีพมันคืออะไร พูดหยาบๆ แต่ว่า มิจฉาชีพก็คือ ไปตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก เลวๆ เป็นอันธพาลเกเรเกตุง ไปปล้นไปจี้ ไปขู่เข็ญเอา เอาค่าคุ้มครอง เหมือนกับนักเลงอะไรอย่างนี้ อยู่อย่างนั้น ไอ้นั่นมันก็ใช่ ยิ่งใช่ล่ะ มันก็ใช่แน่ๆ เป็นกุหนาแล้ว ไอ้นั่นมัน กุหนาแล้ว ปล้นจี้ เบียดเบียน รีดนาทาเร้นเอาของเขา เอาโดยผิดศีลผิดธรรม แต่นี่ไม่ผิดศีล ผิดธรรมทีเดียว เขาให้เหมือนกันแต่ให้อย่างหลง ให้อย่างเข้าใจไม่ทั่ว เข้าใจไม่ได้ มีเล่ห์มีกล มีวิธีการซับซ้อน จนกระทั่ง เขาจำนน เขายอม เขายอมจึงต้องให้ เช่น ตั้งราคาค่าตัว ตั้งเงินเดือนของตัวเองขึ้นมา ดูเหมือนตัวเอง ไม่ได้ตั้งเองดอก แต่ก็มีนัยอยู่จนกระทั่งตั้งเองขึ้นมา เงินเดือนตัวเอง ๙ หมื่น หรือแสนบาท เงินค่านั่นค่านี่ ไอ้เรื่องวิธีนั้นวิธีนี้ ยักย้ายถ่ายเท รวมแล้วก็มากมาย แล้วยังมีทางได้อะไรต่างๆ นานา สารพัดอะไรก็แล้วแต่ ยังไปโกงไปซับไปซ้อนอยู่ กิน เขาเรียกว่า"กิน" กันเดี๋ยวนี้ กินตามน้ำอะไรพวกนี้ คือเป็นวิธีการที่ซับซ้อน มากมายมหาศาล สรุปแล้วก็คือ มันเอามามากมาย โลภโมโทสัน เอามากเอามาย จนกระทั่ง กลายเป็นขี้โลภ ต่างคนต่างไม่ได้หยุดหย่อนเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้น การกระทำงานประจำใดๆ ก็แล้วแต่ที่เรียกว่าอาชีพ กุหนาอยู่อย่างนี้ ลปนาอยู่อย่างนี้ มันก็เลวร้าย อยู่ตลอดกาลนาน ยิ่งหยาบซับซ้อน บอกแล้วว่าหยาบยิ่งละเอียด หยาบคำนี้ก็คือ ยิ่งละเอียด ซ้อนละเอียด ซ้อนละเอียดลงไป สิ่งเหล่านี้เขาไม่ได้ศึกษากันให้ดี มันก็เลยเลวร้ายกันมาตลอด พวกเราก็ต้อง มาเรียนรู้อย่างแท้จริง แล้วก็เลิกละล้างมา โดยเรามาทำที่ตัวเรา คำตอบอยู่ที่คน แก้ไขมาเป็นบุญนิยม ที่จะแก้ไข ทุนนิยมนี่ อยู่ที่ตัวคนทุกคน ถ้าไม่ได้ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรม มักน้อย สันโดษ มาจนกระทั่ง ละล้างความเสพ อัสสาทะ รสอร่อย รสสนุก รสเพลิดเพลิน แม้แต่รสทุกข์ก็ตาม รสที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ สรุปแล้ว อัสสาทะนี่ รสนี่มันทั้งเป็นสุขทั้งเป็นทุกข์ ถ้าเราหมดรสสุข รสทุกข์แล้ว ก็เป็นอทุกขมสุข หรือ อุเบกขา เป็นฐานแห่งบารมีที่สุด บารมีที่สิบที่เราไล่ไปแล้ว สุดท้ายเมตตา อุเบกขา เมตตานั่น ก็จะต้องเป็น ลักษณะจริงอยู่ในตัวเราเป็น ตถตา เป็นอัตโนมัติ เป็นจริงเลยว่า เราจะมีเมตตา เห็นคนอื่นมีทุกข์ ต้องการ ช่วยเหลือคนอื่น ให้พ้นทุกข์ มันมีเป็นอัตโนมัติเลย ไม่ทุกข์ของตัวเรา แม้มันจะมีอย่างนี้ มันก็ไม่ทุกข์ ที่จะช่วยเขา หรือแม้ช่วยเขาไม่ได้ ก็ไม่ได้ทุกข์ แต่ก็มีเจตนารมณ์ มีปรารถนาดี มีวิภวตัณหาเลย อาตมาเรียก วิภวตัณหาเลย เขาไม่เรียกก็ช่างเขา มันเป็นอากังขาวจร หรืออิจฉาวจร มันเป็นภาษาบาลี เขาเรียก อย่างนั้นน่ะ มันเป็นความปรารถนา อิจฉา นี่แปลว่า ความปรารถนา อากังขะ นี่ก็แปลว่า ความปรารถนา อวจร ก็หมายความว่า ดำเนินไป มันมีบทบาทของจิต ลีลาของจิตมันก็ดำเนินไป ในลักษณะ ปรารถนาดี มีความต้องการที่จะให้เกิดสิ่งดีเกิดขึ้น โดยเรารู้และเราก็ช่วย และเราก็กระทำ ให้เขาได้ดี ขึ้นมาด้วย ถ้าคนมันมีปรารถนาดีอย่างนี้ ไม่ได้เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ รู้อยู่ด้วยว่า มันเป็นทุกข์ มันไม่ได้เป็นสุข อะไรดอก ถ้าทำมันก็เมื่อย ทำมันก็ลำบาก ทำมันก็หนัก เอาภาระตั้งใจ มันก็ต้องใช้พลังงาน เข้าไปทั้งนั้น ใช้แคลอรี่ ใช้ความอุตสาหะวิริยะทั้งนั้นแหละ แต่มันก็เป็นคุณค่าความดีของมนุษยชาติ ของสัตวโลก มันจบ จบตรงรู้ มันรู้ว่ามันวิเศษ มันดี มันเลิศ มันประเสริฐ เกิดมาเป็นคนมันก็มีสิ่งประเสริฐอันนี้ ก็ทำไปด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้เพื่ออะไรแลกเปลี่ยนมาเสพให้กับ ตัวเองเลย เป็นวัตถุแท่งก้อน เป็นลาภ เป็นยศ เป็นสรรเสริญ แม้แต่เป็นสุขอะไรที่จะบำเรอใจว่า โอ๊ย เราทำได้ สำเร็จแล้ว ชื่นอกชื่นใจ ฟูใจ ก็ไม่มี ไม่มีจริงๆ ไม่ต้องสุขเด๊ สุขเด๊ ติดแต่สุขเด๊ สุขเด๊ ก็เด๊ อยู่อย่างนั้น ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น จงรู้ว่ามันไม่ได้สุข มันไม่ได้ทุกข์ รู้ ต้องพอสมเหมาะสมควร แต่มัน ก็ต้องมี ในลักษณะอย่างที่กำลังภาคปฏิบัติอยู่ อย่างท่านมุทุกันโต ก็ต้องมีน่ะ เพราะอันนั้น ก็เป็นลักษณะ แบบสมัยใหม่นี่แหละ สมัยใหม่คือ มันมีแร็พ แบบนี้คือแร็พของอโศก ก็อย่างท่านมุทุกันโตนี่ พวกแร็พ พวกเต้นไป เดี๋ยวโชว์ พอขึ้นคอนเสิร์ตก็ดัดแปลง เฮ้เฮ้ อย่างนี้ใช่ แล้วพวกเราชอบ จองเท็ปก็เยอะ เมื่อวานนี้ เพราะว่า ชอบคอนเสิร์ต อย่างนี้ชอบ มีคอนเสิร์ตของอโศกเหมือนกันน่ะ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ในลักษณะพวกนี้ มันต้องมีบ้าง ไม่มีไม่ได้ มันต้องมีตามขั้นตามตอน ตามฐานะ เราก็ต้องเข้าใจ แล้วมันมีอะไรที่ยังไม่หุ้ม ที่ยังไม่สมบูรณ์ มันแรงไปบ้างก็ต้องแรง บางทีบางอย่าง แต่มันแรงมีเนื้อ ก็ดีแล้ว มันไปในเนื้อ เนื้อไปถึงไหน เราก็ต้องรู้ให้สมบูรณ์ให้ตลอด เดี๋ยวจะได้สาธยาย โพชฌงค์ ๗ นี่ถึงที่สุดเลย ถึงอุเบกขา ถึงขั้นอทุกขมสุข ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีอะไรแล้ว วางแล้ว ว่างแล้ว รู้ด้วยว่า เคหสิตะอย่างไร เนกขัมมะอย่างไร จะต้องให้ชัดให้เจน ให้สมบูรณ์ แล้วเราก็ต้องรู้กาละด้วยว่า อะไรก่อน อะไรหลัง อะไรควร แต่มันก็จะต้องมีครบ อโศกนี่ถือว่ามีครบ มีขีด มีขั้น สมัยพระพุทธเจ้ามีพระกัสสปะเดินอยู่ชายป่า ถือว่าขีดสุดแล้ว ขีดสุดท้ายแล้วนั่นน่ะ ถ้าตกขอบ ออกจากนั้น ไปแล้ว ก็เป็นเดียรถีย์ไปเลย ถ้ายังในเขตขนาดยังพระกัสสปะนี่ได้ พวกถือตบะสูงๆ แรงๆ นี่ มีอุปกิเลสอยู่ถึง ๑๐ อย่าง น่ะพวกตบะนี่ มันจะถือดี ผยองตัวเอง มันจะมีปมโด่ ปมเด่นอะไรนี่ มันมีกันถึง ๑๐ อย่าง ในอุปกิเลส ก็ต้องระมัดระวัง ผู้ที่มีตบะ หรือว่ามีกรรมฐานอะไรจัดๆ แรงๆก็ดี สำหรับผู้ที่ จะเป็น ตัวอย่าง แล้วก็จะทำใจ จะต้องให้หุ้มให้รอบ จะต้องรู้อุปกิเลสต่างๆ นี้ ต้องอย่าให้เผลอไผล อย่างเช่น ออกไปทำ เดี่ยวๆ โดดๆ อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าห่างหมู่ ไม่ค่อยมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คือ มันซับซ้อน ลึกซึ้งในพวกเรา มันมีละเอียดลออหลายชั้น แต่ละคนนี่มีลีลาของแต่ละชั้น มีตัวอย่างที่จะคอย คอยสัมผัส คอยจี้ คอยอะไรต่ออะไร คอยฝึกหัดขัดเกลา นี่ก็ลับมีด ด้วยหินหยาบขนาดนี้ หินละเอียดมันขนาดนี้ หินละเอียด ลงมาขนาดนี้ แทบจะหินละเอียดขนาดอากาศเลยก็มี มันมีทุกขนาดเลย พวกเรา ที่อื่นไม่มีดอก หินในระดับอากาศ ไม่มีหรอก ลึกซึ้งซับซ้อนขนาดอากาศไม่มีดอกข้างนอก มีแต่หยาบ กับหยาบ มันก็ได้ลับ แต่หยาบๆ พอมาเจอละเอียดเข้าไม่รู้ตัว อย่างโดนจี้มาช่วยทำงานหน่อยซี อ๊า ไม่รู้จัก พวกฤาษี นั่งอยู่ในห้อง หรือ อะไรอย่างนี้ มันก็แรง มันก็ขึ้น แล้วก็ไม่รู้ตัว ว่าอะไรออก อะไรอย่างนี้ เป็นต้น มันก็มีนะ เพราะฉะนั้น ไม่มีเพื่อนฝูงที่จะคอยลับให้ บางทีมันก็ไม่ มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จึงคือทั้งหมดทั้งสิ้นของ พรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้ นี่เราเอาสดๆ มาฉีกชี้ ให้ฟัง ไม่ใช่เอามา ขายหน้า แต่เราจะต้องแก้ไข สิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ สิ่งที่มันไม่ดีไม่งาม ไม่อะไรน่ะ เราก็จะต้อง เรียนรู้ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง แม้แต่ลีลา แม้แต่กรรมกิริยา กาย วาจา ใจ พวกเราก็ได้อย่างนี้แหละ แล้วก็มีตัวอย่างในขนาดนั้น ระดับนั้น ระดับนี้ ระดับคอนเสิร์ต ระดับเต้นแร็พ หวือหวา โป๊ ! หน่อยก็มี ก็เอาไว้ไป ก็เรียกว่าแสดงเต็มที่ เต้นเต็มที่ เหมือนติ๊กชีโร่น่ะ เหมือนอะไรก็เต็มที่ก็ขนาดนั้นก็มี อย่างของเราก็มี ติ๊กชีโร่ของอโศกก็มี รำไทยก็มี รำไทย ของอโศกเราก็มี ติ๊กชีโร่ก็มี รำไทยเจอติ๊กชีโร่เข้าก็เลยขัดๆ กันนิดหน่อย มันคนละสาย มันก็ไปตามรูป ตามเรื่อง นี่พวกเราฟังแล้ว เราก็จะรู้ แล้วมันต้องมีกรรมกิริยา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จะต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ในมรรคมีองค์ ๘ ให้ชัดเจน คนเราจะอยู่โดยไม่มีกรรมการงานไม่ได้ดอก กรรมตั้งแต่สังกัปปะทางความคิด ทางอยู่ในภพของจิต กรรมในทางวาจา กรรมในทางการกระทำทุกอย่างทางกาย อิริยาบถทุกอย่าง เรียกว่า กัมมันตะ แล้วก็กรรมที่ประกอบไปด้วยอาชีพ ไปด้วยสิ่งที่จะทำสัมพันธ์อยู่กับโลกเขา ไม่มีอาชีพไม่ได้ ไม่มีคุณค่าประโยชน์ไม่ได้ เป็นมนุษย์เกิดมาจะมีคุณค่า มีประโยชน์ต้องมีอาชีพ ต้องมีการงานที่เป็นโล้ เป็นพาย ต้องมีการงานที่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์โลก อย่างแท้จริง ทุกวันนี้นี่ มันไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า เพราะต้องทำอาชีพมาก ต้องทำการงานที่เป็นการผลิต เราต้องมา รับผิดชอบ ทำไมต้องมาพูดถึงเรื่องเกษตรให้มากนัก ทั้งๆที่เป็นพระ ทำไมจะต้องมาพูดเรื่องงาน ไอ้นั่นไอ้นี่ งานค้า งานขายก็ต้องมาพูด เพราะมันร่อยหรอ เพราะมันไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า สังคม มันต่างกันไปหมด แล้วมันก็ซับซ้อนในอาชีพ เลวร้ายในอาชีพ จนคนไม่รู้ทันอาชีพ ทุนนิยมอาชีพโลกๆ คนไม่รู้ทัน เข้าใจไม่ไหว ถูกหลอกซ้อนอยู่ในนั้นมากมายมหาศาล เราก็ต้องมาคลี่คลาย อาตมารู้เท่าทัน ก็ต้องหยิบ มาคลี่คลาย นี่ก็ค่อยๆ เผยออกมาเรื่อยๆ เผยมาค่อยๆ ต้องระมัดระวัง ไม่ระมัดระวังไม่ได้ ตายนานแล้ว ขนาดหนังสือโลกาภิวัฒน์สู่บุญนิยมนี่ เราพูดที่เรา สรุปมาจากที่อาตมาบรรยายก็มีคำแรง มีคำพูด อยู่ที่เรานี่ ก็ได้ฟังกันได้ แต่จะเอาภาษาที่อาตมาพูดที่นี่ใส่หนังสือ แล้วเดี๋ยวมันออกไปข้างนอก ไม่ได้น่ะ เพราะฉะนั้นบางคำ บางความนี่อาตมา มาอ่านทวน เขาทำสรุปมาเสร็จ ต้องมาดูแล้วก็เกลา ฆ่าออกไป คนที่สรุปมาก็ ทำไมต้องฆ่าทิ้งอันนี้แหม ต้องอย่างนี้มันถึงจะถึงน่ะ ถึงเหมือนกัน ประเดี๋ยวก็ ถึงเลือด เดี๋ยวเขาก็มาบ้อมเอาเราตาย ไม่ใช่กลัว แต่เราต้องรู้กาลเทศะ ต้องรู้ฐานะตัวเอง รู้น้ำหนักของ สิ่งเหล่านี้ พูดกับเราพูดกันได้ แรงอย่างไงก็ได้ เราชัด โดยเฉพาะพูดในมุมเสียของคนอื่น เราก็ แหมเห็นชัด แต่คนอื่นล่ะ พอออกไปหาคนอื่นเขาล่ะ มุมเสียของเขาน่ะ แล้วเขาเหมือนเราหรือ โดนเสียบเข้าเขาทีนี้ เขาวิ่งแร่มาน่ะ ระวังไม่มีที่อยู่ แล้วเราทำอะไรไม่ได้ แล้วเขามีอำนาจในโลกน่ะ อย่างนี้เราก็ต้องระมัดระวัง เราก็ต้องรู้จังหวะ เราควรได้แค่ไหน ทุกวันนี้อาตมาก็เปิดแรงออกมามากแล้ว ไม่ใช่ว่าเราเอง เรากลัวไปทีเดียว ถึงกาลเวลาแรง แรงได้ อันไหนที่ยังไม่ได้ เราก็ต้องสงวนไว้ก่อน ตามกาลเทศะ แล้วก็ค่อยๆเป็น ค่อยๆ ไป บุญนิยมนั้น มันต้องมาดูที่ตัวคนศึกษาแท้จริงหมดเลย โดยเฉพาะลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ต้องแก้ไข ปรับปรุง ตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องเล่น พวกเรารู้ดี ว่าการแก้ไขปรับปรุงจิตวิญญาณที่เป็นประธานสิ่งทั้งปวง เป็นตัว ต้นเค้า แห่งการเป็นอยู่ แห่งการจะเกิดอะไรขึ้นมา จะเกิดกรรมกิริยาอะไรขึ้นมา จะเกิดการสร้างสรร อะไร ขึ้นมา มาจากจิตวิญญาณเป็นเอก เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นคนที่มักน้อยสันโดษ เป็นคนที่ไม่มีตัวกู ของกู ไม่เห็นแก่ตัว แก่ตนแล้วอย่างแท้จริง ไม่โลภเพื่อตัวเพื่อตน แต่จิตใจมีเมตตา จิตใจมีความเกื้อกูล กว้างขวาง ช่วยเหลือ เฟือฟาย เห็นแก่ทุกข์ของโลก เห็นแก่ทุกข์ของมนุษย์อื่น อย่างแท้จริง เข้าใจจริงๆ เลย แล้วมันมี อาการอย่างนั้น ในจิตจริงๆ น่ะ แต่ก็ไม่ได้ติดยึดซ้อนอีกว่า แม้มันจะมีอาการอย่างนั้น ถ้ามันไม่ได้ดัง ประสงค์ ปรารถนาจะช่วยเขา แต่ช่วยเขาไม่สำเร็จ ก็ไม่มานั่งเสียใจ ก็วางใจได้ แต่ก็ทำงานไม่หย่อนข้อ ทำเต็มที่ อุตสาหะ ช่วยกันเต็มที่ด้วยปรารถนาดี ช่วยได้สูงสุด เท่าไรก็เท่านั้น จบ ไม่เสียใจ ดีก็ไม่ฟูใจ ไม่ดีใจ ทำได้ดีได้ผลสำเร็จ ก็ไม่ไปฟูใจ ดีใจอะไร ไม่สำเร็จบกพร่องไปบ้าง หรือบกพร่องล้มเหลวไปเลยก็ตาม ก็ถือเป็นข้อศึกษา ถือเป็นสิ่งที่จะต้องเอามาไปไว้เป็นบทเรียนเปรียบเทียบ มันบกพร่องอะไร มันไม่ดีอย่างไร อะไรก็แล้วแต่ อย่างนี้เป็นต้น เป็นผู้ที่มีเมตตาที่รู้เลยว่า เราต้องอยู่กับโลกต่อไปนี่ จะอยู่ไปทำไม อย่างอาตมานี่ ไม่ได้สงสัยเลยน่ะว่า อาตมาจะอยู่ไปทำไม อยู่ไปเพื่อนั่งไปวันๆ อยู่ไปวันๆฝันถึงดวงดาว เปล่า ไม่ต้องฝันน่ะ ก็รู้อยู่ว่า ดาวเราได้ แล้วยัง เราได้ดาวแล้ว ผู้ที่ได้ดาวแล้วก็ไม่เห็นจะต้องไปฝัน เอาดวงดาวทำไม จะอยู่ไปทำไม อยู่ไปก็เพื่อไปนั่ง ไปยืน นอน เดิน กิน ขี้ เยี่ยว วนเวียนอยู่แค่นั้นหรือ กินของของเขา อากาศก็มาแย่งเขา หายใจเอาอยู่ เปลืองที่ตรงนั่ง เปลืองที่ตรงเดิน เปลืองที่ตรงยืน ต้องใช้นั่นใช้นี่อยู่ เสร็จแล้ว เราก็ไม่มีคุณค่า ประโยชน์ อะไร จะอยู่ไปทำไม แล้วเรามีสมรรถภาพไหม ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ให้คนไร้สมรรถภาพ สอนให้คน มีสมรรถภาพ มีฝีมือ มีความสามารถ สร้างสรร ทำได้ดี จนกระทั่งทำง่ายๆ ชำนาญ ทำอะไร ทำ เป็นแล้ว เก่งแล้ว มันก็ชำนาญง่ายๆ ทำ แต่คนอื่นทำได้ยากก็ตาม ถ้าเราฝึกฝนดีแล้ว เราทำได้ชำนาญแล้ว มันดูง่าย พอที่ทำได้ง่าย ได้คล่อง ได้เก่ง ชำนาญง่าย คนอื่นทำได้ยาก ก็ช่างเขาเถิด แต่เราก็สอนเขาได้ แนะนำกัน เพราะฉะนั้น พวกเรานี่จะสอนจะแนะ จะเรียนรู้กันนี่ ไม่มานั่งคิดค่าสอนดอก ให้ช่วยกันสอนให้เป็นๆ ด้วยกัน จะได้มาช่วยกันคนละมือ มีไม้ก็เอาไม้มาคนละไม้ ก็เห็นเรียกกันคนละไม้ คนละมือ ใช่ไหม ก็ช่วยกัน คนละมือ คนละไม้ ก็ทำไป สร้างสรรไป จนกว่าจะตาย พระอรหันต์เจ้า จึงไม่ได้สงสัยอะไร ชีวิตเป็นอยู่ ก็คือ ชีวิตที่จะต้องมีปัญญาลึกๆว่า อะไรคืออุปสงค์ คือ demand อะไรคือสิ่งที่ควรจะทำ แล้วเราก็ลงมือ supply ลงมืออุปทาน ลงมือสร้างสรรอันนั้นลงไป แล้วก็ตรวจ มันเฟ้อหรือยัง มีหลักเศรษฐศาสตร์จริงๆ มันมาก มันเกิน มันไม่ควรทำแล้ว ไปทำอื่นดีกว่า อันไหนสำคัญอีกต่อๆ ทำอันนั้นไป มันจะมีของมัน ระดับของมัน จริงๆ มีปัญญามองจริงๆ เลยว่า ในโลกในสังคม มีนัยน์ตามองในโลกกว้าง โลกวิทู เออ ! ในโลกนี้ มันอะไร ขาดแคลน อะไรเป็นอุปสงค์ แล้วเราจะ supply อะไร เราจะอุปาทานอะไรลงไปให้เขา มันมีปัญญาจริงๆ ไม่ได้หลง ไม่ได้เลอะ ไม่ได้ลำเอียง เพราะเราไม่ได้เห็นแก่เงิน อู๊ ! ทำงานนี้อาชีพนี้ มันเงินดีน่ะ โอ้โฮ! รวยเละเลย กำลังเป็นช่องว่าง คนกำลังตะกละตะกลาม หน้ามืดตามัว อยากได้รีบฉวยโอกาส นี่แหละ มากาแด๊นซ์ มันกำลังติดกัน ต้องประโคมมากาแด๊นซ์ออกมา ไปตีๆๆ หมดยุคแล้ว เดี๋ยวไม่ได้เงินแล้ว ไม่ใช่นักค้าแบบนี้ จะมอมเมาเขาอย่างไร ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สงสารใครเลย ไม่ใช่ คนมีกิเลสมากกำลังหลงใหล กำลังติดยึด ยิ่งฉวยโอกาส ไม่เอาไม่ทำ บุญนิยมต่างกับทุนนิยมอย่างนี้ แล้วต้องรู้จริง ทำจริง แก้ไขปัญหาทุนนิยมนี้ให้ได้ ถ้าชาวอโศกเราแก้ปัญหาทุนนิยมนี้ไม่ได้ โลกนี้นั่นแหละ แม้แต่นักรู้ ขนาดไหนๆ ที่เขารู้กันทั่วกันอยู่เดี๋ยวนี้ เขาสาธยาย พวกเราไม่ค่อยได้อ่าน แต่ก็มีพวกเรา ก็อ่านกัน หลายคน เขาก็สาธยายกัน เท่านั้นแหละ มันจะล่มสลายหมดแล้ว สังคมทุนนิยมสังคม capitalist นี่มันจะล่ม มันจะสลาย มันจะอะไรไปหมดแล้ว มันไปไม่รอดแล้ว อุตสาหกรรมก็ไปไม่รอด ทุนก็ทุนกาสิโน ทุนก็ทุน ปลอม อะไรเขาก็วิจัยวิเคราะห์ออกมารู้กันแล้ว หมดแล้วละ เราไม่ต้องไปทำวิจัย ไม่ต้องไปตรวจสอบ เขาก็ตรวจสอบไปเสร็จหมดแล้ว เราก็เป็นแต่เพียง ปรายตามองนิดหน่อย ก็เห็นชัดเจนแล้ว เพราะเรา มีปัญญารู้แล้ว ไม่ยากดอก แล้วเราก็ต้องช่วยเขา เพราะทิศทางนี้ อาตมาแน่ชัดบุญนิยมนี่ ทางโน้น เขายัง ไม่ชัดเจน เท่าไรดอกว่า เขาจะแก้เอาอะไรมาแก้ไข แทนทุนนิยม ที่มันล่มสลาย อุตสาหกรรม เราก็ไม่ได้ดูถูก ดูแคลนอะไรเขา เราก็ใช้กันพอสมควร แล้วผลข้างเคียงมันเยอะ อุตสาหกรรมนี่ ผลข้างเคียง มันเยอะ เทคโนโลยีก็เหมือนกัน ผลข้างเคียงมันเยอะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราจำเป็นต้องใช้อยู่เราก็ใช้ไป ถ้าเผื่อว่าสุดท้ายไม่จำเป็นแล้ว เราไม่ต้องรีบร้อน เราไม่ต้องรีบเร่ งทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ธรรมชาติช่วยเราแล้ว เกิด mass nature เกิดธรรมชาติที่มากพอสมควร สมดุล โดยไม่ต้องไปเอาเครื่องมือทางเทคนิคมาช่วย มันก็ทัน เพราะเราก็กินน้อยอยู่แล้ว แล้วธรรมชาติ มันก็ช่วยเรา มากอยู่แล้ว สะพัดไปก็ออกมากพอแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ลดได้ ไม่ต้องคิดเครื่องทุ่นแรง ไม่ต้องคิด สิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเพิ่ม ลดหยุด ไปลดสิ่งเหล่านั้นด้วยอีกก็ได้ ไม่ต้องแล่นติดต่อกันมากมาย จนกระทั่ง ต้องรีบส่ง รีบไป รีบมาอะไรกัน เพราะของใครก็มี ของใครก็มี ทุกบ้านมีผัก ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกบ้านปลูกผัก มีผักของตัวเอง พอหมุนเวียนกิน วันหนึ่งคืนหนึ่งกิน อย่าว่าแต่ของตัวเองหมุนเวียนกินเลย ยังเหลือแก่ ผู้ที่เป็น ผู้ที่เดินไม่ปลูกกัน เช่น ท่านมุทุกันโต เป็นต้น พวกที่ไม่มีบ้าน ไม่เอาบ้าน มันมีคนที่ไม่มีบ้าน เป็นพวกต้องมี ไม่ปลูก ก็ยังเหลือเผื่อแผ่ แบ่งให้ผู้ที่ไม่ปลูกเลยนี่ แต่กินอยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้น คนนี้ ก็ไม่จำเป็น ต้องเดินทางไปไหน ก็ปลูกอยู่หมุนเวียน ทำงานทำการสร้างสรร มีงานอะไร ก็อยู่บ้าน นั่นแหละ ปลูก บ้านโน้นก็มี บ้านนี้ก็มี บ้านนั้นก็มี เอ้าบ้านนี้มีอย่างโน้น บ้านโน้นไม่มี ก็ไม่เป็นไร แลกกัน เปลี่ยนกันไป เปลี่ยนกันมา แลกกันไปบ้าง มันจะได้เฉลี่ยได้อะไรครบครัน ไม่ขาด หมุนเวียนมีไอ้โน่น แตกต่างกันไป บางอย่าง ก็แลกเปลี่ยนกันไป พอเป็นพอไป เสร็จแล้วมันก็พอแล้ว การเดินทางก็ไม่ต้องมาก รถราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปแน่นที่ถนนอะไรต่ออะไรต่างๆ ก็ลดได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปมี รถอะไรมากดอก จะต้องไปช่วยคนนั้น ประเดี๋ยวคนนั้นเจ็บ ประเดี๋ยวคนนั้นป่วย ประเดี๋ยวคนนั้น เดือดร้อน คนนี้จะต้องวิ่ง ไปช่วยคนนั้นคนนี้ คนรู้อยู่ข้างอยู่เคียงอยู่ใกล้ มีปัญญา มีความรู้ขึ้นมา ต่างก็มีทุกที่ ทุกถิ่น ทุกแดน ก็ช่วยกันได้พร้อมไปหมด อยากจะไปเยี่ยมกันโดยการระลึกถึง ก็นานๆ ไปทีก็ไปกันได้ ก็ไม่ถึงกับเฮโล ทุกวันต้องออกวิ่งทุกวัน จะต้องตื่นแต่เช้าเดี๋ยวนี้นะ มันเห็นชัดๆ หมดเลย มันร้อน มันเร็ว แล้วก็มันจะต้องรีบ เป็นหมาหอบแดด ตื่นแต่เช้าข้าวก็ไม่ได้กิน ก็ล้อจนกระทั่งว่า ไอ้ลูกที่นอนเตรียมตัวจะไปโรงเรียนนี่ ใส่ถุงเท้า ใส่รองเท้า ให้ด้วยบนที่นอน กระเป๋านักเรียนก็วางไว้บนที่นอน พอถึงรุ่งเช้าตีสาม พ่อแม่รีบมาปลุกให้ขึ้นรถ ข้าว น้ำอะไรใส่ไว้ในรถ กินไปติดแหง็กๆ แหง็กๆ อยู่ในรถ โอยต้องเวลาปวดเยี่ยวก็ต้องใช้ comfort มันสมน้ำหน้า จริงๆ เยี่ยวก็ไม่ได้ ขี้ก็ไม่ได้ ต้องใช้เครื่องมือขี้เยี่ยวอยู่ในรถ เสร็จแล้วก็ไปถึงที่ทำงาน หอบแล้ว เหนื่อยแล้ว ทำงานก็ทำไป ไม่ช้าไม่นานก็หมดเวลา เดินทางอีก กลับบ้าน กว่าจะถึงบ้าน เลิกงาน ๔ โมงกว่า จะถึงบ้าน ๒ ทุ่ม พวกเราโอ้โฮ จาก ๔ โมงถึง ๒ ทุ่ม เราทำอะไรได้ตั้งเท่าไหร่ เยอะเลย เจริญงอกงาม มากมาย ก็ทำเพื่อเขานั่นแหละ ทำเพื่อช่วยเขานั่นแหละ เรามีเวลาสร้างได้มาก นี่มันดูเหมือนว่าเราเอง เราช้า ดูเหมือนว่า เราเองเราไม่วิ่งไม่นั่นไม่นี่อะไรต่างๆ นานานี่ มันซ้อน ขยายความได้อีกเยอะแยะน่ะ สรุป จะต้องมาพัฒนาตนเองไปถึงจิตวิญญาณที่เป็นประธานสิ่งทั้งปวง ต้องแก้ไขตัวนี้ เมื่อแก้ไข ตัวจิตวิญญาณ นี่เป็นอาริยชน เป็นผู้เจริญแท้ เป็นผู้ศิวิไลซ์ที่แท้จริง อาริยะนี่ศิวิไลซ์ที่แท้จริง เขาหลงใหลว่า ชาวที่ได้ไปเที่ยวสร้าง อะไรโลกๆ นอกๆ อยู่นั่นน่ะ เขาว่าเมืองศิวิไลซ์ ประเทศศิวิไลซ์ ก็เลยหลงเลอะๆ เทอะๆ นี่เขาบอกว่า เมืองกรุงนี่เป็นเมืองศิวิไลซ์ ที่จริงเป็นเมืองเน่า กรุงเทพฯเป็นเมืองเน่าที่สุดในประเทศไทย กรุงเทพฯเป็นเมืองเหมือนอย่างนั้น เป็นเมืองที่พิการที่สุด แต่คนหลงเพราะมันเสริมสวย มันศัลยกรรม ใหม่หมด หูก็ศัลยกรรมใหม่ จมูกก็ศัลยกรรมใหม่ จนไม่เป็นหูแล้ว หูจนกระทั่งเป็นหาง จมูกจนกระทั่ง เป็นงวง ปากจนกระทั่งเป็นกระถาง ตาจนกระทั่งเป็น.... การที่บ้าๆ บอๆ แล้วเขาก็หลงว่าสวย หลงว่างามไปตามโลก อุปโลกอะไรๆ ไว้ยึดถือ เป็นเรื่องจริงน่ะ คุณฟังดีๆ ฟังธรรมให้เป็น แล้วก็หลงว่า มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นอกชื่นใจ คนทั้งประเทศก็หลงใหล คนชาวไร่ ชาวนา น้องนางบ้านนาก็กะเตง หอบกันมา ไปตายดาบหน้าที่ไหน ไปกรุงเทพฯ มาเน่าร่วมกัน ในกรุงเทพฯนี่ แออัด ยัดเยียด กันเข้ามาหมดเลย มันเหมือนกับไฟ พวกนั้นก็เหมือนกับแมงเม่า วิ่งเข้ามาตายๆๆ และตาย ตายอย่างทรมานด้วย น่าสมเพชเวทนา อย่าไปเลยบางกอกจะบอกให้ เอ้าจริง เสร็จแล้วไม่ค่อยเชื่อ เขาไม่รู้จริงๆ พวกเรานี่ ตอนนี้ก็ขยับขยายกันแล้ว หาทางไปอยู่กรุงเทพฯจริงๆน่ะ ไม่ไปอยู่กันแล้ว เอาเถิด แต่คนติด กรุงเทพฯ จริงๆ ก็ยังมี ติดไปก่อนไม่เป็นไร สร้างวังดีๆ ไว้ให้ สร้างศาลาวิหารไว้ดูแลกันดีๆ ก็แล้วกัน ทำงาน ให้ดีๆ ก็แล้วกัน รับรองก็เขื่องก็หรู ไม่ใช่ไม่เขื่องไม่หรู เราก็มีภาวะซับซ้อนเหมือนกัน อย่างที่เขามี เขาเป็นเขา ก็มาดูถูกดูแคลนเราไม่ได้ดอก เราก็ทำอย่างที่เราเป็น แต่ให้มีสอดซ้อน ในประเภท ที่เราต้องการ อาตมา ขยายความ ไม่หมดน่ะ เอาละ เดี๋ยวจะหมดเวลาอีก เผลอๆ จะขึ้นโพชฌงค์ ๗ เหลือ ๕ นาที อีกแล้ว นี่ ตี ๔ ครึ่งไปแล้ว เอ้า ตอนนี้เราก็สรุปเข้าไปอีกว่า เราจะต้องมาแก้ไขที่คน มาแก้ไขที่ตัวเรานี่ให้สำเร็จ ถ้าแก้ไขสำเร็จแล้ว มันก็จะมีผล ออกไปข้างนอก ออกไปมีแรง มีความสามารถ มีประสิทธิภาพ ที่จะไปเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น ได้อย่างแท้จริง อาตมาพาทำด้วยหลักมรรคองค์ ๘ มา แล้วก็ย้ำยืนยันมาว่า มันเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิลืมตา สมาธิที่รู้จัก การลดละกิเลสออก นิวรณ์ ๕ ของสังกัปปะ มันก็เป็นตัวจิตนั่นแหละสังกัปปะ เสร็จแล้ว เมื่อไม่มีประธาน ที่เป็นกิเลส มันก็ลดละลงมา วาจามันก็สัมมา กัมมันตะมันก็สัมมา อาชีพมันก็สัมมา ตามมาเรื่อยๆ นี่เราก็ได้รูป ได้เรื่องมา ได้อะไรต่ออะไรขึ้นมาเสมอ จนกระทั่ง กำลังจะมายึดหัวหาด สัมมาอาชีพหลักที่มี demand ใหญ่ยิ่งก็คือ กสิกรรมอย่างธรรมชาติ อย่างที่พวกเรากำลังพาทำ กสิกรรมก็ดี แล้วก็ข้างเคียงของมัน ก็คือขยะ เสร็จแล้วเราก็มาแปรขยะ ให้เป็นปุ๋ยซะให้ดี ส่วนที่จะเอาไปหมุนไปเวียน เป็น recycle เป็น reuse repair reduce reject อะไรก็แล้วแต่ มันมีอีกตั้งหลาย re เราก็รู้ความจริงของมันว่า เราจะต้องทำอย่างไร เราก็พยายามปรับปรุง พยายามแก้ไข พยายามทำให้ดี นี่มันควบคู่กันไป ทั้งใจที่เจริญ กายเจริญ วาจาเจริญ การงานเจริญ อาชีพเจริญ ตามหลักมรรคองค์ ๘ เราก็ทำกันมาเรื่อยๆ มีรูปธรรม มีอะไรๆ รองรับจาก นามธรรม ของพวกเรา แล้วก็ได้เรียนรู้ต่อไปอีก เมื่อเรายิ่งทำ เรายิ่งรู้เลยว่า โอ้โฮ เรามีบทเรียน แต่ละคนๆ มีบทเรียน เพิ่มเติมขึ้นมา เราก็ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ เรามีบทเรียนแต่ละคนๆ มีบทเรียนเพิ่มเติมขึ้นมา ทีนี้มาเจาะเข้าหาโพชฌงค์ ตั้งใจดีๆ จะอธิบายโพชฌงค์ในงวดนี้ ในพุทธาภิเษกฯครั้งนี้ ตั้งใจจะเอา ให้ละเอียดลออ ที่ตรงโพชฌงค์นี่ ให้ชัดเจน อันอื่นๆ ใดๆ ก็จะขยายประกอบร่วมๆไปด้วยอยู่ โพชฌงค์
๗ การมีสติหรือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เข้าใจถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิแล้ว ที่กำลังลงมือ สตินี่ฟังให้ดีน่ะ ความหมายนี่ ขยายความให้ชัดที่สุด เป็นความระลึกรู้สึกตัว มีสติ มีความระลึกรู้ตัวนี่ รู้ตัว เข้าใจถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ นั่นคือ ตีเปราะเอาไว้ว่า มันต้องถูกทางทุกอย่าง ที่กำลังตัว อาการ ลิงคะ นิมิต อาการของจิต ที่เป็นตัวรู้นี่แหละ กำลังลงมือปรับปรุงกาย วาจา ใจ สติสัมโพชฌงค์จะต้องเป็นตัวที่กำลังมีประสิทธิภาพ มีบทบาท กำลังปรับปรุงกาย วาจา ใจ ของตนเอง ไม่ใช่ไปเที่ยวได้ปรับปรุงกาย วาจา ใจของคนอื่น อย่าไปเป็น อย่างนั้น อย่าไปวุ่นวายคนอื่น อันนั้นไม่ใช่สติสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์น่ะ รู้คนอื่นได้ แต่ไม่ใช่รู้ ต้องที่จริงที่ถูกต้องรู้ตัวเอง กำลังปรับปรุงด้วย เงื่อนไขต้องบอกให้ชัดน่ะ ว่าเงื่อนไข สติสัมโพชฌงค์นี่ มีบทบาทขนาดไหน รู้ตัวแล้ว กำลังปรับปรุงกาย วาจา ใจ ของตนเอง ให้พ้นมิจฉา สู่สัมมา ขึ้นไปได้เรื่อยๆ นี่สติสัมโพชฌงค์ กำลังปรับปรุง สังกัปปะ พ้นจากมิจฉาอยู่ วาจาก็กำลังปรับปรุง วาจา ให้พ้นมิจฉาอยู่ ปัจจุบันนะ ปัจจุบันเสมอ สติสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์จะต้องกำลังเดิน ไม่ใช่ไปแขวนไว้ข้างฝา แล้วจะมี สติสัมโพชฌงค์ แล้วเอามาระลึกรู้ ไม่ใช่ ไอ้นั่นมันบุพเพนิวาสานุสติ สติที่ระลึกเอาของเก่ามาดู ทวน สติสัมโพชฌงค์ ต้องเป็นปัจจุบันธรรม กำลังๆๆ continuous กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ กำลังปรับปรุงกาย วาจา ใจของตนเอง ให้พ้นมิจฉา สู่สัมมาขึ้นไปได้ ไปเรื่อยๆ ถ้ามันทำให้ได้ให้มันดี ไปสู่สัมมา หรือมาสู่ความเจริญ เป็นสัมมา เช่นกามวิตก ก็พยายามชนะกามวิตกขึ้นมาได้ พยาบาทวิตก ก็ชนะพยาบาทวิตก กำลังทำ ปรับปรุง ให้มันชนะขึ้นมาได้เรื่อยๆ นั่นแหละกำลัง เดินอยู่ในมรรคอริยทรัพย์ กำลังเดิน กำลังเป็นพุทธะ เดิน ๗ ก้าว กำลังเดินๆ ได้เคลื่อนไป กำลังสุคโตๆ เดินเคลื่อนไป กำลังเดินก้าวเข้าไปสู่ความเจริญ สตินี่รู้ตัว ตรวจดู รู้มีปัญญา มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เข้าร่วมด้วยนะ อาตมาเคยบอกแล้วว่า สติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัย เข้าร่วม มีวิริยสัมโพชฌงค์เข้าร่วม วิริยสัมโพชฌงค์ก็คือการเพียร ที่มันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ โพชฌงค์นี่คือ องค์แห่งการตรัสรู้ ก็คือกำลังสั่งสม ความตรัสรู้ ไม่ใช่รู้อย่างโลกๆ แต่รู้อย่างธรรมะ ที่เข้าหลัก ปรมัตถสัจจะ กำลังเป็น ตัวโลกุตระ กำลังเดินทางเข้าไปเป็นพระอริยะตลอดเวลา เดินได้ผล ได้มรรค ได้ผล เข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เดินได้เรื่อยๆ สั่งสมไปเรื่อยๆ เลย กำลังเดินเข้าสู่สัมมาไปได้เรื่อยๆ จนเกิด สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาสมาธิ เกิดเรื่อยๆ สั่งสมขึ้นเป็นสัมมา พวกนี้เรื่อยๆ ได้อันไหนเด่น ก็อันนั้นแหละ ได้อันไหนด้วยก็อันนั้นแหละ เจริญอย่างเป็นภูมิรู้ เป็นความสำนึก ที่มีระดับสูงกว่า ผู้มีสติปุถุชน และสติกัลยาณชน เพราะได้เรียนรู้ จนสามารถทำสติอาริยชน หรือสติ สัมโพชฌงค์ นี่เป็นคำอธิบาย ให้แก่ตนเอง เป็นแล้วจริง ใครทำเป็น ใครทำได้แล้ว ก็คนนั้นเป็น สติสัมโพชฌงค์หรือสติที่เข้าขั้นของความเป็นอาริยะนี้ ต่างกันกับสติที่เป็นความรู้ตัวทั่วพร้อม เข้าใจ และ มีความรู้ ความสำนึกของปุถุชน กับของ กัลยาณชน สติสัมโพชฌงค์นี่ ต่างกันกับสติปุถุชน ต่างกันกับ สติกัลยาณชน เพราะสติปุถุชนกับสติกัลยาณชนนั้น เป็นสติที่ยังไม่มีคุณภาพสูง ถึงขั้นพาตนเดินไป ในทาง ของ อาริยมรรค สู่อาริยผล สติปุถุชนนั้นไม่ต้องพูดเลยว่า ไม่มีทิศทางที่จะเดินอยู่ในทางอาริยมรรค เพราะฉะนั้น อาริยผลไม่ต้องพูด กับเขาเลย สติปุถุชน ส่วนสติกัลยาณชนนั้น เขาก็นึกว่าเขาเดินไปในทางดี แต่ดีนั้นยังไม่ถึงขั้นปรมัตถ์ ยังไม่ถึงขั้นจิต เจตสิก ยังไม่ถึงขั้นวิจัยกิเลสออก ไม่ถึงขั้นทำให้กิเลสลด ทำให้มิจฉาลด กามเป็นกิเลส พยาบาทเป็นกิเลส วิหิงสาเป็นกิเลส อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าการโกหกผิดศีลข้อที่ ๔ การโกหก การพูดเพ้อเจ้อ หรือ การพูดส่อเสียด หยาบคายอะไรนี่ มันไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูก มันเป็นกิเลสควรลดอย่างชัดเจนเลย แล้วไม่ได้ลด เพียงแค่ข้างนอก ลดนอกด้วย ลดถึงใจเลย อย่าไปอยาก อย่าไปแรง อย่าไปมัน ปรับให้ได้ที่ สัมโพชฌงค์ สติของสัมโพชฌงค์ สติของพระอาริยะที่จะต้องเข้าใจตัวเอง ต้องอ่านออก ต้องรู้ได้ด้วยตน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อ่านรู้อย่างนั้นแท้ๆ จริงเลยว่า ตนกำลัง ถ้าจะเป็นสติสัมโพชฌงค์ นั่นก็คือ กำลังเดินเข้าสู่ ทางที่เป็นอาริยมรรค กำลังเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง อาริยมรรคก็คือทางที่จะไปสู่จุดอรหัต ผลนั่นแหละ จุดบรรลุหมดกิเลสนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ชนะกิเลสไปได้ขั้นใดก็แล้วแต่ ก็คือมรรค ชนะไปได้ เรื่อยๆ มันยังไม่หมด กิเลสมันยังเหลืออยู่บ้างก็ตาม แต่เราลดละได้ จางคลายได้ เรียกว่าชนะน่ะ ได้ผลน่ะ ปราบกิเลสลงได้ ไม่ใช่กิเลสซัดเรา งอก่องอขิงนี่ไม่ใช่ ถ้าซัดเรางอก่องอขิง แม้เราได้สู้จริงๆ เราก็เป็นนักสู้ ที่เป็น โคตรภู โอโฮ เอาใหม่ เลือดนองน้ำตาก็สู้น่ะ น้ำตานองหน้าก็สู้ใหม่ ก็เป็นนักสู้อยู่ แต่ถ้าสู้ได้ก็นั่นแหละได้ผล ได้มรรค ได้เดินทางเข้าไปได้เรื่อยๆ ได้ก้าวๆ เขยิบๆ ๆ ๆ เขยิบยิ่งกว่าพุ่มพวงเขยิบ มันเขยิบคนละทาง เราเขยิบไป ในทางอาริยะ ถ้าแพ้ก็ไม่ใช่องค์แห่งการตรัสรู้ มันยังไม่ได้ขึ้นทางอะไร แต่มันก็รู้น่ะ มันยังไม่ถึงตรัส มันแพ้ พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้เราแพ้นี่ สอนให้เราชนะกิเลส เพราะฉะนั้นมันแพ้อยู่ ก็เรียกว่ายังไม่สมบูรณ์ แต่ถ้ารู้นะ คุณปฏิบัติรู้อยู่ว่า เป็นนักสู้ที่สู้แล้วแพ้ แพ้เขา อินทรีย์พละเราก็พยายามใหม่ จนกว่าอินทรีย์พละเราจะชนะ มันอาจจะผิดบกพร่อง ตรงไหนบ้างแก้ไข เพื่อความชนะ เหมือนนักมวยที่จะต้องแก้มือ สอบซ่อม สอบแก้ตัว เรื่อยๆ สู้ไป แต่สอบซ่อมสอบแก้ตัว ตกเรื่อยๆไป สักวันมันก็คงจะแพ้ตลอด เหมือนกันน่ะนา ถ้ามันไม่ได้เรื่อง ถ้ามันแพ้ อย่างนั้นเรื่อยๆ ตลอด มันก็คงอย่างนั้น ก็เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ก็เมื่อเราชนะ เราทำได้ จะชนะ นิดหนึ่ง ก็ได้เป็นนิดหนึ่ง ได้มากก็มากขึ้นแหละ ได้ชนะอย่างเด็ดขาดน็อคเอ๊าๆ เลยยิ่งดีใหญ่เลยนะ นี่ก็อธิบายประกอบ ไปโดยภาษาอื่นๆ ด้วย มันจะได้เข้าใจเยอะนา เพราะฉะนั้น สติปุถุชนกับสติกัลยาณชนนั้น เป็นสติที่ยังไม่มีคุณภาพสูง ถึงขั้นพาตน เดินไปในทาง อาริยมรรค สู่อาริยผล หรือยังไม่มีคุณภาพสูงถึงขั้นเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ คือไม่ใช่สัมโพชฌงค์ เพราะ ภูมิปัญญา มีความเข้าใจ มีทิฐิความเห็นได้แค่ภูมิปุถุชน หรือภูมิกัลยาณชน วนเวียนอยู่ในภูมิที่ ไม่เข้าข่าย เข้าเขต ขององค์ของการตรัสรู้ คือสัมโพชฌงค์ หรือไม่สามารถถึงขั้นปฏิบัติแล้ว มีผลลดละ มิจฉาทั้งหลาย ได้จริง โดยเฉพาะลดละมิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ จนสามารถ สั่งสมลงเป็น สัมมาสมาธิขึ้นมาได้ ด้วยแรงของสัมมาวายามะ ด้วยแรงของความพยายาม เพราะฉะนั้น ที่ฟังกันนี่เพื่อทำให้เกิดความเห็น ความเข้าใจ เพื่อให้เกิดทิฐิ เมื่อความเห็น ความเข้าใจ ของคุณ เป็นสัมมาถูกทางถูกต้องแล้ว คุณก็ไปตั้งสติ ให้เป็นสัมมาสติ หรือพยายามตั้งสติ เดินให้ได้ เดินให้เกิด ๗ ก้าวนี้ให้ได้ด้วยสัมมาวายามะ ด้วยการพยายาม ด้วยความเพียร ด้วยความตั้งอกตั้งใจทำ เมื่อเรากำลังทำ ทำไปอย่างไร ทำไปก็จุดหมายที่ทำก็คือ กำลังสำรวมสังวรเรื่องสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ นั่นแหละเป็นตัวปฏิบัติ ไม่มีอื่น ปฏิบัติ แล้วในขณะปฏิบัตินั่นแหละ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ โน่นแน่ะ สติของคุณถึงขีดสัมโพชฌงค์มั้ย ต้องเข้าใจว่า เออ สติของเราตอนนี้ ไม่ถึงสัมโพชฌงค์ แค่สติกัลยาณชน สติกัลยาณชนกับสัมโพชฌงค์ต่างกันตรงไหน เอาขีดตรงนี้ให้ชัด กัลยาณชนนั้น แค่รู้ว่าดี ความดี ในขนาดหนึ่ง ขนาดหนึ่ง ทำได้แต่ว่าไม่ลดกิเลส ไม่ลดนิวรณ์ ๕ ฟังให้ชัด สติที่ไม่ถึงขั้น ไม่ลดนิวรณ์ ๕ จริง ทำดีก็ความหมายว่า ดีอะไรก็ได้ ดีในกายกรรม ดีในวจีกรรม ยังไงก็ดีได้ แต่ดีวจีกรรมน่ะ พูดดี ได้ดีเลยน่ะ แต่คุณอ่านจิตของคุณออกไหม ว่าขณะที่พูดดีนี่ คุณอ่านจิตของคุณรู้ว่า กิเลสตัวนี้แหละ มันเป็นตัวขวาง แล้วคุณก็ทำให้กิเลสตัวนี้มันอ่อนแรง มันลดลงจริงๆ เห็น รู้ นี่เรียกว่า ปรมัตถ์ อ่านจิต เจตสิก รูป ของตัวเองออก แล้วมันก็ลดลงจริง เมื่อใดคุณได้ลด และรู้ว่า ตัวได้ลดกิเลสจริง เมื่อนั้น สติตัวนั้น ถึงสัมโพชฌงค์ เมื่อใดคุณไม่รู้ตัว บอกสตินี่แปลว่าตัวรู้นะ รู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตัวทั่วน่ะ ไม่ใช่รู้ตัว เศษหนึ่งส่วนใดพร้อม ไม่ใช่นะ มีใครแปลว่า สตินี่แปลว่า การรู้เศษหนึ่งส่วนใด เศษ ๑ ส่วน ๒ หรือเศษ ๑ ส่วน ๕ หรือเศษ ๑ ส่วน ๑๐๐ เรียกว่าสติบ้าง มีแต่เขาเรียกสตินั่น ก็จะต้องร้อย สตินี่มาจาก สต รากศัพท์ รากศัพท์สะตะ นี่แปลว่าร้อยได้ มีผู้เสนอว่า ถ้าจะอธิบายว่า สติสัมโพชฌงค์นี่คือผู้ทำ จะพยายาม ปรับปรุงตน ทางกายวาจาด้วย แต่ว่าปรับปรุงแล้วไม่ถึงมโนกรรม ไม่ถึงมโนกิริยา มโนกิริยาก็คือ บทบาท ลีลาของจิต และทำไม่ถึง โดยเราต้องรู้ใจเรา แล้วเราก็เห็นเลยว่า นี่คือกิเลส นี่กิเลสเอ็งยังเก่ง เอ็งต้องลด นี่เป็นความปรารถนาทางกาม นี่เป็นความปรารถนาทางพยาบาทไหม มันเป็นความลำเอียง เพราะฉันทะ ฉันทะก็คือสายกาม โทสะลำเอียง โทสาคติก็เป็นสายพยาบาท โมหาคติก็สายโมหะ ภยาคติ ก็สายที่อัตตา ภยาคตินี่สายอัตตามานะไม่กล้า อสูร ภัย กลัว ภยาคติ คือความกลัว ความกลัวอะไร กลัวไม่ได้ลาภ กลัวไม่ได้ยศ กลัวไม่ได้สรรเสริญ กลัวคนเขากลัวอย่างโน้น กลัว กลัวแม้กระทั่งเสียหน้า ก็ภยาคติทั้งนั้น อัตตามานะ แต่เราไม่ได้ลำเอียง เพราะว่าเราชัดเจน อ่านแล้วว่า ไอ้นี่คือเนื้อหาสาระ ต้องการทำ ลดนิวรณ์ ได้ นิวรณ์มันก็มีอยู่แค่นั้นแหละ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ ก็ตัวที่ตีไม่แตก อ๋อ ก็ใช่ซี นั่นคือการสั่งสมอินทรีย์พละ เป็นกำลังซี สติสัมโพชฌงค์ ต้องมีกำลังจริงๆ มีทั้งกำลังที่แรง ที่ทำให้มุทุภูตธาตุนี่แหละ อธิบายไปแล้ว มันจะต่อเนื่องกันไปอีกเยอะเลย มีคนแย้งมาว่า สติสัมโพชฌงค์ จะต้องมีผู้บอกว่า ควรจะอธิบายว่า สติสัมโพชฌงค์ จะต้องประกอบด้วยเป็นการมีกำลัง ใช่ กำลังสร้าง ให้เกิดอินทรีย์ อินทรีย์แปลว่ากำลัง เพราะฉะนั้น สติจะเป็นสตินทรีย์ขึ้นมาได้ มันต้องเกิดกำลัง กำลังเกิดได้ ก็เพราะว่า อธิบายลงไปอีกก็ มุทุภูตธาตุ ธาตุจิต ธาตุวิญญาณที่เราจับมั่นคั้นตาย มันทำให้มันหัวอ่อน แล้วมันก็รู้เร็ว รู้ชัด รู้ความจริง แล้วก็ทำให้มันเปลี่ยนแปลง ดัดจากมิจฉา ดัดจากความชั่ว ดัดจากตัวต่ำ ตัวเสื่อม คืออำนาจกิเลสมันแพ้ แพ้น้อยคุณก็ได้นิดเดียว แพ้มากคุณก็ได้มาก กำลังคุณก็ดีขึ้น มุทุภูตธาตุ ตัวนี้ เจริญขึ้นเรื่อยๆๆ มันจะเป็นไปตามที่เราต้องการเจริญ เจริญอย่างไร ชัดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นในการคิด คุณสามารถมีสติอย่างนี้ มุทุภูตธาตุของคุณแววไว อ่านรู้ แหม กำลังอยู่ในบทบาท ฌานเชียวน่ะ ฌานที่มันจะมีมุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต นี่เป็นความเจริญของฌาน มุทุภูเตนี่ เป็นตัวภาคกิริยา ภาคปฏิบัติแท้เลย รู้และปรับค่ากิเลสแข็งแรงดัดจิตหัวอ่อน จิตทำให้กิเลสแพ้ได้เรื่อยๆ รู้ด้วย แล้วก็รู้จริงด้วย แล้วทำให้มันอ่อนได้ด้วย กรรมกิริยาต่างๆ ก็ยังทำอยู่ กัมมนิยะ กัมมนิเย การงานต่างๆ อาชีพต่างๆ อะไรก็ยังทำอยู่ คิดก็ยังคิด พูดก็ยังพูด ตอนนี้กำลังทำงานพูด อาตมาไม่ได้ทำงาน ประกอบการอื่น กำลังพูดก็กำลังพูด ก็รู้ตัวอยู่เดี๋ยวนี้ คิดด้วย สังกัปปะจิตมันมารวมหมดนั่นแหละ จะพูด จะทำการงาน จะทำอาชีพ จิตมันต้องมาด้วยหมดนั้นแหละ สังกัปปะไปกับเขาหมด สังกัปปะจึงมีองค์ธรรม ถึง ๗ส่วน นอกนั้นน่ะมีแต่มิจฉากับสัมมาเท่านั้นแหละ วจีกรรม กัมมันตะ อาชีวะ ก็ขยายความหมาย ของงาน ไปอีกทีหนึ่ง เท่านั้นเอง ที่มี ๕ ส่วนวาจากับกัมมันตะ มันก็มีแค่มิจฉา กับสัมมา สองภาคเท่านั้น ในองค์ธรรม ไม่ลึกไม่มาก แต่องค์ธรรมของสังกัปปะมีถึง ๗ มี ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภิโรปนา วจีสังขารา สังขารเลย สังขารจนกระทั่งเป็นเรื่อง วจีนี่บอกแล้วว่าแปลว่าเรื่อง จนกระทั่ง เป็นเรื่องที่คุณจะรู้เรื่องของมันเลยว่า เออ เรื่องอย่างนี้เอาขนาดแหละนะ ได้เรื่องขนาดนี้ ปรุงเอาขนาดนี้ ความต้องการ เมื่อมันได้แล้ว ฆ่ากิเลสก็ได้แล้ว เราจะร่วมปรุงด้วย สังขารด้วยขนาดไหน เป็นเรื่องอยู่ทาง ในจิต จนกระทั่ง ให้มันออกมา มาเป็นวาจา ให้มันออกมาเป็นกายกรรม ให้มันบอกออกมา เป็นการงาน ให้มันมาอยู่กับอาชีพนี้ มันตรวจสอบมาในนั้นเสร็จหมด มีตัวตรวจสอบเสร็จ มีตัวหลัก หลักก็ อัปปนา พยัปปนา แข็งแรงแข็งขัน นอกนั้นก็ทั้งนั้นแหละ วิตกวิจาร อยู่ในนั้นเสร็จหมด เพราะฉะนั้นงาน หรือสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า จึงประกอบไปด้วยการงาน ประกอบไปด้วย กรรมกิริยา ทุกอย่าง เป็นฌานชนิดที่มีมุทุภูตธาตุ มี กัมมนิยะ มีการสั่งสมลงเป็นความแข็งแรง ก็คือสั่งสมเป็น สัมมาสมาธิ ฐีเต อเนญชัปปัตเตนี่ ก็คือตัวสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ สังกัปปะก็จะแข็งแรง วาจาก็แข็งแรง กัมมันตะแข็งแรง อาชีวะแข็งแรง มีจิตตัวที่แข็งแรง อยู่กับกรรมกิริยาพวกนี้ ทั้งหมด สัมมาสมาธิของ พระพุทธเจ้า จึงไม่เหมือนสมาธิของศาสนาใดๆ ของฤาษี อาจารย์ใดๆ ศาสดาใดๆ ในโลกเลย มันเป็นสมาธิ ที่วิเศษที่สุด แข็งแรงที่สุด และจริงชัดที่สุด มีประสิทธิภาพ มีคุณค่าประโยชน์ที่สุด อาตมาอยากจะให้ผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด ผู้ที่แสวงหา ผู้ที่รู้ดีๆ ในโลกทั้งโลกนี่ ไม่ว่าจะอยู่ตะวันตก อยู่ยุโรป อยู่อเมริกา ที่ว่าเป็นยอดปราชญ์ ยอดศาสดาไหนๆๆ นี่ให้มาคุยกับอาตมาเรื่อง สัมมาสมาธิ ถ้าใครยิ่งแสวงหา อยากจะเรียนรู้สมาธิ มาเรียนรู้สมาธิวิเศษของพระพุทธเจ้านี่ อาตมาเชื่อว่า อาตมาเข้าใจ สัมมาสมาธิ ของพระพุทธเจ้าดี ละเอียด ละเอียดพอที่จะพูดกันได้ร้อยปี วิเศษจริงๆ เพราะมันจะได้ มันไม่ใช่ง่ายๆ แค่ฟังนี่ก็ยังยาก บางคนก็เข้าใจไปตามภูมิของตัวเอง เสร็จแล้วไปพิสูจน์ปฏิบัติ ประพฤติ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่สติสัมโพชฌงค์ มันก็เป็นสัมมาสติ เมื่อคุณเข้าใจถูก ก็เป็นสัมมาทิฐิว่า อ๋อ สติเป็น อย่างนี้หรือ สติสัมโพชฌงค์เป็นอย่างนี้หรือ คุณก็เอาไปทำซิ ทำสติสัมโพชฌงค์ให้มันได้ เมื่อได้สติ สัมโพชฌงค์แล้ว นั่นแหละคือ สัมมาสติ ซึ่งคุณพยายามทำให้มันได้ เมื่อทำจนเป็นสัมมาสติ แล้วมันก็เกิด อันอื่นอีกต่อหนึ่ง มันไม่เป็นตัวเดียวดอก กลไกสำคัญสัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ สามองค์นี่ เป็นตัวปฏิบัติ เป็นตัวจริงไม่แยกกัน ไม่พรากกัน เหมือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่แยกกัน ฉันใด ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่แยกกันฉันใด สามอันนี้ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัย- สัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ก็ไม่แยกกันฉันนั้น ต้องทำงานร่วมกันเสมอ ไม่เอาแรงของวิริยะ เข้าไปช่วย ไม่ได้ดอก ขนาดนั้นยังป้อแป้ๆ เลย ไม่รู้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหนวิริยะนี่ ถึงขนาดเดินมา ยังเอาไว้ข้างหลังเลยวิริยะ บางทีไม่เอาไว้ข้างหลังด้วย ทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ บอกวิริยะ อยู่ที่ไหนล่ะ โน่น วางไว้ข้างฝา วิริยะวางไว้ข้างฝา มีแต่มากับความสีเฉื่อย เนือยตระกูล ใช้ไม่ได้เลย มันต้องมี วิริยะเสมอ มีความกระปรี้กระเปร่า มีความมีไฟ มีความยินดีเบิกบานร่าเริง พร้อมที่จะปฏิบัติ พร้อมที่จะประพฤติ อาตมาสอนพวกคุณไม่ได้นี่ อาตมาไม่รู้จะไปสอนใคร แล้วพวกคุณก็ทำไม่สำเร็จนี่ อาตมาก็ไม่รู้จะไปเอา ความสำเร็จ จากใครที่ไหน สงสัยต้องไปสอนต้นเสาเสียแล้ว ให้ต้นเสาปฏิบัติ ดีนะอาตมาเทียบกับต้นเสา ไม่เทียบเหมือนหมา อย่างท่านมุทุกันโต ท่านมุทุกันโตก็เทียบหมาเลย เหมือนกันนั่นแหละ เทียบหมาก็ได้ สอนคุณไม่ได้ ก็ไปสอนหมาดีกว่า เอ้าต่อ ต่อขยายความถึงมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ตั้งใจฟังมาแล้ว แต่ก็ต้องฟัง อีกดีๆ มันได้อะไรใหม่ขึ้นไปไหม ลึกขึ้นไปไหม แล้วจะไปทำได้ถูกต้อง ดีขึ้นอีกไหม ทีนี้ต่ออันอื่นก่อน แล้วก็ค่อยๆ มาไล่รวมอย่างน้อยสักสาม ธัมมวิจัยกับวิริยะนี่ มันจะได้มารวม เป็นองค์ ปฏิบัติ พอทำอันนี้ได้แล้ว เดี๋ยวมันจะเกิดผลเป็นปีติ แล้วก็จะเกิดผลเป็นปัสสัทธิ แล้วมันถึงจะสั่งสม ลงเป็นสมาธิ แล้วมันจะถึงจุดยอด คืออุเบกขา นี่ถ้าเข้าใจแล้ว รับรองคุณไม่ลืมเลย เพราะว่า ๗ ตัวนี่ มันจะต้องต่อเนื่องกันเป็น ถ้าสภาวะ คุณเข้าใจสภาวะแล้วนี่ มันคืออะไร จะเนื่องกัน มันหลุดไม่ได้ดอก มันไปด้วยกัน มาด้วยกันน่ะ ถ้ามันหลุดแล้ว มันก็เซ่อเลย มันทำอะไรไม่ออก ถ้าหลุดอันใดอันหนึ่ง มันทำอะไรไม่ออก มันจะไปพร้อมกันเป็นพรวนเลย เป็นขบวนเลยครบ ๗ อันเลย การเดิน ๗ ก้าวอย่างนี้ แล้วเราจะรู้เลยว่า พอเดินไปก้าวที่ ๗ ทำอย่างไร ก็สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิเข้าให้ แล้วเดินเป็นตัวที่ ๗ เป็นไง ก็ถ้ายิ่งเป็น อุเบกขาสมาธิลึกเข้าไปถึงสมาธิ เป็นอุเบกขาเจตสิก เป็นอุเบกขา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเจตสิก หรือเวทนา เนกขัมมสิตเวทนา เวทนาคือความรู้สึกในๆ อีกทีหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่วางเฉยได้ แม้กิเลส จะมีขนาด บุตรคหบดีพรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ เข้ามาเป็นนางตัณหา นางอรดี มาเป็นเต้นยั่ว โป๊เปลือย ขนาดไหนก็แล้วแต่ ยั่วขนาดไหนก็แล้วแต่ เขาก็มีลีลาน่ะ เขาไม่ยั่วอย่างคนหยาบ ยั่วอย่างผู้ดีน่ะ มาเชิงผู้ดี มายั่วอย่างผู้ดี แต่มันก็โป๊ เปลือย GLB1E.TAP บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน ๓ |