บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน๓ หน้า ๒ (ต่อจากหน้า ๑)
โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๗ณ ศาลีอโศก


มาเชิงผู้ดี มายั่วอย่างผู้ดี แต่มันก็โป๊ เปลือย

คำว่าโป๊ ไม่ใช่แก้ผ้าอย่างเดียว คำว่าโป๊ก็หมายความว่า มันหาวิธีที่จะไปยั่วยวนได้สะเด็ด ทุกอย่าง คนนี้ จิตใจ ก็เฉยต่ออำนาจยั่วยวนเหล่านั้น กิเลสไม่เกิดจริงๆ นั่นแหละอุเบกขา แล้วยิ่งมีพลังงาน ยิ่งมีความ แคล่วคล่อง มีการงาน ไม่ใช่อุเบกขานี่คือเฉย แล้วก็แข็งทื่อ ยิ่งทื่อไม่ใช่ จิตยิ่งนิ่ง ไม่มีกิเลสเกิดได้ ยิ่งเป็น อเนญชา ฐีเต แข็งแรงมั่นคงแล้ว อเนญชา อเนญชานี่ยิ่งตั้งมั่น ไม่มีหวั่น ไม่มีไหว ไม่มีฟู ไม่มีฟอง ไม่มีกระดิก ตายสนิท อเนญชาตายสนิท พิสูจน์ได้ยืนยันตัวเองนี่แหละได้ ยิ่งได้เท่าไรเท่านั้น อุเบกขาก็คือ มันนิ่งสนิทได้เท่าใด ความแคล่วคล่องในการหมุน ในการคล่องตัว ในการรู้ ในการที่จะเกื้อกูล ในการที่ จะช่วย แม้แต่จะช่วยนางอรดีนี่ ให้หยุดโป๊ เสียทีหนึ่ง ช่วยนางอรดีให้มาเป็นลูกเรา แทนที่จะไปเป็นลูกมาร จับลูกผีมาเป็นลูกพระ แก้ไขปรับปรุงเลย เปลี่ยนเลย เปลี่ยนหัวใจลูกผีมาเลย เป็นมาเปลี่ยนหัวใจ ขบถจาก ความเป็นลูกผีลูกมาร ขบถอกตัญญู ต่อพ่อเลย อกตัญญูต่อพ่อผีพ่อมารมา มาเป็นลูกของพระได้สำเร็จ นั่นแหละ จะมีประสิทธิภาพ มีวรยุทธ ขนาดไหน สามารถที่จะเอาชนะ ลูกผีลูกมารนี่มาเป็นลูกเรา ลูกพระให้ได้ อย่างแคล่วคล่อง ใช้อย่างเร็วแรง ทุกวิถีทางที่จะช่วย เพราะเมตตาอย่างนั้นทีเดียว

มาฟังธัมมวิจัยดู สติปุถุชน อย่างที่คุณมีนั่นแหละ จะต้องไปคิด ทำไม สติปุถุชนก็คือ สติที่มันไปโลภยศ โลภลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยิ่งซับซ้อนยิ่งลึกซึ้ง

ไประลึกดู เคยมีมาทุกคน แล้วก็ยังมีอยู่ ถ้ามันยังล้างไม่หมดมันก็ยังมีอยู่ สติปุถุชนเป็นธรรมดา เป็นไปเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขแบบโลกธรรม สติที่รู้ตัวอยู่กับโลกเขา แล้วก็ไปกับโลกเขา อะไรก็แล้วแต่ เป็นสติ ที่ดูตัวเอง ให้มันเดินอยู่ ให้มันไปอยู่ ให้มันมาอยู่ ให้มันได้กินได้อยู่ ได้ลาภ ได้ยศ ได้อะไรมากเท่าไร ก็อย่างนั้นแหละ สติปุถุชน ไม่เสียสละ

ส่วนสติกัลยาณชนน่ะเริ่มเสียสละ แต่ไม่ถึงจิต ไม่ถึงปรมัตถ์ ตัดเขตให้ดีๆ พยายามนั่นแหละ เหมือนศาสนา อื่นๆ เขาพยายามเสียสละ แต่เขาไม่เก่งทางจิตทางปรมัตถ์ เพราะฉะนั้น เขาจะไม่เกิดการรู้ อาการ ลิงคะ นิมิต จนกระทั่งจับมั่นคั้นตายต่อจิตวิญญาณ แล้วรู้จริงรู้ชัดเลยว่า จิตมันเป็นอย่างไร ลดละกิเลสแล้ว เมื่อกิเลสหมดแล้ว จิตอยู่ในสภาวะอย่างไร เป็นตัวตนหรือไม่ อยู่ในอำนาจเราหรือไม่ เป็นจิตของพระเจ้า หรือไม่ มันจะรู้ชัดเลย เพราะฉะนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้า ท่านรู้จิตจนสมบูรณ์ จนรู้ว่า โถที่จริง สอนกันมาว่า จิตนี้เป็นของพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าเป็นนาย ไม่ใช่เลย ของตัวเอง ของตัวเองนั่นแหละ มีสิทธิ์ที่สุด พระพุทธเจ้า ถึงได้ถึงความสมบูรณ์สูงสุด

ต่อมาทีนี้ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือมีความสามารถในการวิจัยซ้อนๆ ลงไปเลย ก็คงจะรู้เข้าใจภาษาน่ะว่า วิจัยคืออะไร มีความสามารถในการวิจัยถึงขั้นรู้ ถึงขั้นรู้ได้ว่า ขณะนี้เป็นปัจจุบันด้วยน่ะ หรือขณะใดๆ ก็ตาม ตนกำลังมีกำลัง continuous นะ กำลังนะ เป็นปัจจุบันนั้นนะ อย่าไปกำลังเมื่อไหน ก็ไปนึกเอากำลังตอนก่อนๆ มานึกคิดเอง ไม่ใช่ นั่นบุพเพนิวาสานุสติ กำลังนี้เลย ตนกำลังมีการปฏิบัติธรรม อยู่ในการคิด อยู่ในการพูด อยู่ในการกระทำ อะไรต่างๆ ก็คือสังกัปปะ วาจา กัมมันตะนั่นแหละ อยู่ในการงานอาชีพ ก็คืออาชีวะ หมายความว่า เราอ่านของเรารู้ อย่างน้อยที่สุดก็วิจัยเลย รู้ว่าตอนนี้นี่ เราสังกัปปะ เรามี สติสัมโพชฌงค์ หรือเปล่า วาจาเรามีสติสัมโพชฌงค์ เข้าไปร่วมอยู่ด้วยหรือเปล่า กัมมันตะ กำลังกระทำกรรมกิริยาอะไรอยู่ ก็ตาม เรามีสติสัมโพชฌงค์ ร่วมด้วยอยู่หรือเปล่า กำลังทำการงานอาชีพนี้ มีสติสัมโพชฌงค์ ร่วมด้วย หรือเปล่า ถ้ามีแล้ว กำลังวิจัยอยู่หรือไม่ มีตัววิจัยบอกแล้วว่า สติสัมโพชฌงค์ต้องมีธัมมวิจัย เข้าร่วมทำงาน ประกอบเสมอเลย ตลอดเวลา แล้วจะต้องใช้พลังวิริยะ วิริยะมันยาก แล้วมันก็จะต้องใช้กำลังพวกนี้ แหมไม่ใช้กำลังไม่ได้ พลังงานพวกนี้ ต้องมีไว้ทีเดียว ต้องมีพลังงานนี้เป็นถังๆเลยนะ ยิ่งกว่าถังแก๊ส ยิ่งกว่าถังเบนซิน ยิ่งกว่าถังอ๊อกเทน ต้องมีเป็นถังๆ ไว้เรื่อยไม่ให้หมด วิริยะต้องมีไว้ ให้ตลอดเวลา ต้องหนุนเนื่อง อยู่ตลอดเวลา มันจะขี้เกียจ มันจะไม่ค่อยอยากทำ มันจะเผลอไม่ทำ ไอ้เผลอไม่ทำนี่แหละ คือสติมันยังไม่คล่อง การฝึกปรือยังไม่คล่อง พอฝึกปรือคล่องแล้ว คุณก็ยังจะต้องพยายาม มันจะไม่ค่อย อยากทำ ไม่อยากทำไม่ได้ ต้องทำ

เพราะฉะนั้น สามขั้วนี่ โพชฌงค์สามนี่เป็นตัว เป็นตัวปฏิบัติที่จะต้องรู้ให้ได้ว่า เราครบองค์สามนี่หรือไม่ ถ้าครบองค์สามนี้อยู่ กำลังปฏิบัติอยู่ ถ้าขาดองค์สามเมื่อใด ไม่ละ ตกหล่นละ
เพราะฉะนั้น เรารู้หรือไม่ วิจัยนี้ต้องรู้ตรวจสอบแล้ว ตอนนี้เรามีสติสัมโพชฌงค์ไหม ตอนนี้เรารู้จัก สังกัปปะ เราอยู่หรือเปล่า ตอนนี้เรากำลังรู้จักวาจาเราอยู่หรือเปล่า ตอนนี้เรากำลังรู้จักกัมมันตะอยู่หรือเปล่า ตอนนี้เรารู้จักอาชีวะเราอยู่หรือเปล่า เรารู้อยู่ กำลังรู้ แล้วรู้ไปถึงปรมัตถ์หรือไม่ รู้ไปถึงจิตเจตสิก รู้ไปถึง เวทนาโน่นแหละ องค์ประชุมรวมกันเรียกว่ากาย เวทนาคือความรู้สึกทางจิต เพราะฉะนั้น เมื่อเวลา สติปัฏฐาน ๔ แล้วก็เวทนานี่แหละ รู้จิตในจิต จิตในจิตก็เจโตปริยญาณ ๑๖ รู้ต้องรู้จริงๆ เลย เจโตปริยญาณ๑๖ ก็รู้ว่า อย่างนี้มันกำลังจะไปสู่ราคมูล อย่างนี้ไปสู่โทสมูล อย่างนี้ไปสู่โมหมูล มันมีรากเหง้า อยู่ ๓ เท่านี้แหละ ราคะ โทสะ โมหะ นี่แหละ หรือเรียกกามก็เรียก เรียกโลภก็เรียก สามนี่แหละ นี่ราคะ หรือกาม หรือโลภ ก็พี่น้องอันสนิทของมันทั้งนั้นแหละ เรียกชื่อ เรียกฉายานิคเนม อะไรก็ตามใจ เรียกชื่อมันหลายชื่อหน่อย แล้วเราก็รู้ อาการ ลิงคะ นิมิต รู้เนื้อของมัน จะเรียกชื่ออะไร ก็แล้วแต่ เรารู้อาการของมัน เรารู้เนื้อแท้ของมันชัดๆ อย่างนี้มันเป็นลีลา สั่งสมลงเป็นราคมูล โทสมูล โมหมูล อย่างนี้จิตของเรา อย่างนี้ออกมาทาง อะ ไม่ใช่แล้ว นี่ลด ลดราคะ ลดโทสะ ลดโมหะ เห็นทิศทาง ที่ต่างกัน อ่านจิตของตัวเองรู้อย่างนี้ นี่เป็นทาง นี่คือทาง เพราะฉะนั้น ถ้าเราอ่านรู้

อย่างนี้อยู่จริงๆ ไม่มีผิด แน่หรือเปล่า ไม่ใช่อ่านเกิดไปเจออะไรก็ไม่รู้ อ่านไม่เจอสภาวะ จะไปอ่านอะไรอื่น นั่นน่ะ ก็เป็นเรื่องของความหลงของคุณนะ คุณหลงผิดก็ผิดไปจับเอาอะไรก็ไม่รู้ จับไม่ถูกเนื้อถูกตัวมัน นั่นก็เรื่อง ของคุณ แต่ถ้าคุณจับถูกเนื้อถูกตัวมันเลยนี่ ลดจริงๆ เมื่อนั้นกำลังชนะ กำลังเดินทาง แม้ลดลง มาได้ตอนแรกๆ แค่สังขิตตะ สังขิตจิตตะ สังขิตตังจิตตัง มันลงมาได้แล้ว มันก็ยัง ก็ยังอื้อฮือ มันก็ได้อยู่ อย่างเรียกว่า เหมือนกำลังจับโจรนี่นะ พอจับโจร จับได้แล้วมัด แต่ก็ต้องดึงมันไว้ กอดมันแน่น อื้อฮือ ยังยาก แล้วมันก็ดิ้นจังเลย ดิ้นนี่แหละคือ สังขิตตังจิตตัง คล้ายๆ อย่างนี้ จับโจรได้ แต่ยังวางใจไม่ได้ ยังเบาไม่ได้เลย มัดแล้วก็วางทิ้งโค่โร่ ยังไม่ได้ ยังต้องกุมกันอยู่ตลอดเวลา นี่แหละ สังขิตตังจิตตัง หรือถ้า วิกขิตตังจิตตัง ก็แหม กำลังไล่จับมันอยู่ทีเดียว ถ้าจับมันได้ มันอยู่ในขอบเขตของเรานะ อู้ฮู จับมันยังไม่มั่น มันอยู่ในขอบเขตของเรานี่ อยู่ในห้องนี่ ไล่จับมันอยู่เลยนี่นั่น วิกขิตตังจิตตัง มันดิ้นอยู่ มันฟุ้ง มันซ่าน มันกระเซ็น มันยังขจรกระจายอยู่ ส่วนสังขิตตังจิตตัง นี่จับแล้วน่ะนี่ แน่นแล้วนี่ แต่มันดิ้นจังเลย แข็งจังเลย ตียังไม่แตก ทุบก็ไม่ออก แหม ทั้งถัมภะ ทั้งดื้อด้าน ทั้งถีนะ ทั้งมิทธะ อื้อฮือ แข็ง ตีไม่แตก พยายามตี นั่นแหละ สังขิตตังจิตตัง จับมั่นคั้นตาย รู้แล้วก็กำลังทำให้มันลดอยู่แต่แหม มันยากเหลือเกิน ยังเหนียว แข็ง ดื้อ นั่นทางถัมภะ นั่นทางถีนมิทธะ สังขิตตะ

ส่วนสายปัญญา สายกระเด็นกระดอนเลี้ยวลดเป็นฤาษีหกแก้ตัว จัญไรอยู่เรื่อย วิ่งรอบอะไรโน่นๆ นั่นแหละ พวกวิกขิตตังจิตตัง จับยาก เล่นหมากเหล่วกันอยู่ รู้จักเล่นหมากเหล่วไหม อะไรๆ วิ่งเอาเถิด ภาษาอีสาน เขาเรียกว่า เล่นหมากเหล่ว ภาษาภาคกลาง เรียกว่า เล่นเอาเถิด เล่นอะไรเอาเถิดน่ะ

แต่ลักษณะอย่างนั้น มันยังไม่ดีทีเดียว ถ้าให้ดีกว่านั้นเรียกว่า มหัคคตะ ให้มันเจริญกว่านั้น นี่อาตมา กำลังไล่ เจโตปริยญาณ ๑๖ น่ะ มันมีสภาวะรองรับอย่างนั้นจริงๆ พอได้ดีขึ้นๆ นี่ มหัคคตะ ให้มันเจริญขึ้น กว่านั้น ให้สังขิตตะ ก็ตีแตก วิกขิตตะก็จับได้ จับมาจัดการได้เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ มันจะมีลักษณะ ๒ ด้าน ของสายปัญญา สายฟุ้งซ่าน กับสายถีนมิทธะ อยู่อย่างนั้นแหละ จนกระทั่งเก่งขึ้น ไม่เป็น อมหัคคตะ ก็คือว่า มันยังไม่เจริญขึ้นสักที อมหัคคตังจิตตัง แต่ให้เป็นมหัคคตังจิตตังก็ดีขึ้น ดีขึ้นๆๆ ดีขึ้นจนเรียก สอุตรจิตตัง สอุตรจิตตัง จิตดีขึ้น แต่ก็มีญาณรู้ว่า ดีกว่านี้ยังมีอีกอยู่จริงๆ สอุตรจิตตัง ดี ดีขึ้นแล้ว แทนที่จะ แหมต้อง ไอ้โจรนี่ยังกอดมันแน่น ยังจับอยู่ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่จับหลุดมือก็ไม่ใช่ ปล่อยได้ แต่ว่ามันก็ ยังไม่ตายสนิท มันยังเหลือเศษ มันยังไม่ยอมแพ้สนิท อะไรก็แล้วแต่ นี่อธิบายอย่างหยาบ เป็นองค์ประกอบ ของลักษณะต่างๆ เพื่อจะได้อ่านอาการของจิตของเรา ของกิเลสของเรา สอุตรจิตตัง ก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ดีกว่านี้ ยังมีอีก ก็ทำให้ดีกว่านี้ยิ่งขึ้น เป็นอนุตรจิตตัง เป็นดีที่สุด ไม่มีอะไรดีกว่า ส่วนอุตรจิตตังนี่ ยังประกอบไปด้วยอีก ๒ อย่าง ถ้าจะไปอุตระ หรืออนุตระ จะเป็นอนุตรจิตตัง เป็นจิตที่ดีเยี่ยม จะต้องประกอบไปด้วย สมาหิตังจิตตัง กับ วิมุติจิต

เพราะฉะนั้น จะต้องดูย่อยไปอีกแล้ว มันจะเป็นอนุตรจิตตังนี่ มันเป็นสมาหิตะไหม สมาหิตะก็คือ เป็นสมาธิ ที่มีบทบาท สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่มีการงาน สมาธิที่มีความชำนาญ สมาธิที่มีคุณค่าประโยชน์ เรียกว่า สมาหิตังจิตตัง มันเป็นไหมล่ะ มันได้หรือยัง ถ้ายังเป็น สมาธิยังเป็นฤาษี ยังเป็นอะไรอยู่ ก็ต้องพยายาม ให้เป็นสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า สมบูรณ์ ตรวจสอบ แล้วก็สะอาด บริสุทธิ์ จริงไหม ไม่ใช่แก้ตัวอยู่ เป็นวิมุติที่จริงไหม แล้วมีแม้แต่กิเลสจร อวิมุติจรมีไหม วอบๆ แวบๆ และๆ เล็มๆ เลียๆ ยังอะไรอยู่ มีผีหลอก นึกว่ามันหมดตายแล้ว สนิทเลยไม่ฟื้น แหม สนุกสนานกับงานการทำอย่างนั้น ไอ้นั่นไอ้นี่ ไปนานๆ ผีหลอก แวบ ฮึ ทำไมมันมีอาการ มีอาการอัตตานิดๆ มีมานะน้อยๆ เอ้อ ตรวจสอบ ให้ละเอียดเกลี้ยงเลย ไม่ให้เกิด ไม่ให้มีแม้แต่เศษ อวิมุติจร ชะ ชะ ชะ ช้า เจ้าหน้าแหลม แหม เจ้าเศษมานะ นิดๆ ทำเป็นแหลม หั่นเข้าไป อย่าให้มันมาทำทะเล่ทะแล่อะไรออกมาให้มัน ต้องให้มันสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด ตรวจสอบ อวิมุติจร ตรวจสอบ อสมาหิต มันไม่เป็นสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิสมบูรณ์แบบของพระพุทธเจ้า เพราะสมาธิสมบูรณ์แบบ ของพระพุทธเจ้านั้น ลืมตาอยู่กับโลก เป็นจิตที่สมาธิ ที่ไม่มีนิวรณ์ ๕ อย่างสะเด็ด ไม่มีธุลีละอองอะไร แข็งแรง อยู่เหนือมันทุกอย่าง ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตา กดข่มอยู่ที่ไหน หลีกเร้น อยู่อย่างนั้นไม่มี หลีกเร้นอย่างของพระพุทธเจ้า หลีกเร้นที่หดกลับอย่างสมบูรณ์ไม่เหลือ สูญ ไม่ต้อง วิ่งหนีใคร อยู่ผู้เดียวอย่างสมบูรณ์แบบ อยู่ผู้เดียวของพระพุทธเจ้านี่ อยู่พร้อมพรั่งไปหมดเลย แม้แต่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ราชา มหาอำมาตย์ ทุกอย่าง แม้แต่อยู่ในบ้าน แต่เราไม่มีเพื่อนสองเลย จิตอยู่เดี่ยว แข็งแรง เพราะฉะนั้น ภาษามันจึงไม่มีจะใช้

คนที่อยู่แต่ผู้เดียวนี่ คือคนที่เป็นหนึ่งเดียวกับหมู่ One for all all for one อยู่ผู้เดียว แต่เราไม่มีเรา อยู่ผู้เดียว แต่เราก็ไม่มีเราแล้ว เพราะเราก็เป็นหนึ่งเดียวกับหมู่ หมู่เป็นหนึ่งเดียวกับเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับหมู่ นี่อยู่ผู้เดียว สูงสุดมันถึงขนาดนี้ จนเราไม่มีเรา ไม่ใช่เราเป็นเราอยู่เหมือนแหวนนะ นั่นมันยังมีอัตตา

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เข้ากับหมู่ได้ดี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหมู่ ไปอย่างไรๆ ปรึกษาหารือกัน มีอปริหานิยธรรม พรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันนึกคิด พรั่งพร้อมกันทำ

เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ยังมีอัตตา มันชอบอยู่เดี่ยวๆ ยังชอบปลีกๆ ไปตามตัว มันเป็นอัตตาทั้งนั้นแหละ มันจะระลึกถึงหมู่ แต่ไม่ติดหมู่ รู้จักตาย รู้จักเกิด ตาย คนตายก็ตายกันไป ตายก็คือตาย พรากก็คือพราก ห่างก็คือห่าง รู้จักความจริงของความจริง ไม่ได้ติด แต่อะไรควร ควรระลึกถึงหมู่ หมู่เป็นอย่างไร แค่ไหน อย่างไร จะเป็นเสมอ จะรู้อันนั้นอันนี้เสมอ มันจะมีเหตุมีปัจจัยที่ต่อ แม้จะอยู่ไกลกัน ก็รู้ข่าวรู้คราว ยิ่งสมัยนี้ สมัยแห่ง information โห ! ยิ่งรู้ได้ง่าย สื่อข่าวสารอะไรไว..ไป เพราะฉะนั้น จะต้องลงปาติโมกข์ร่วมกันเสมอ เที่ยวได้ไปอะไรตามของตัวเองตะลอน ตะลอน ของตัวเอง ไม่รู้ว่าหมู่เขาไปอย่างไร เขาประชุมกัน หมั่นประชุมแล้ว เขาก็มีเรื่องราวอะไร ขณะนี้เราเน้นเรื่องอะไร ไปอะไรๆ มันไม่พรักพร้อม มันกระจาย กระจร กระเด็น มันไม่เป็นโล้เป็นพาย มันไม่รวมพลัง มันไม่เป็นหนึ่งเดียว มันไม่สอดคล้อง มันก็เลยช้า เรายิ่งมีน้อย ถ้าขืนแต่ละคนกระเด็น กระเด็นไปคนละทิศคนละทาง มันไม่มีพลังรวม ฟังดีๆ ความหมาย เพราะฉะนั้น นี่กำลังจะเข่นผู้ที่ นี่พูดไปแล้ว เข่นไปแล้วในตัว สมณะผู้ใดเที่ยวได้ตะลอน ตะลอนไปแล้ว ไปหมกอยู่ ตรงนั้นที่หนึ่ง เดี๋ยวไปหมกอยู่ตรงนี้ พวกเขาประชุมอปริหานิยธรรม ไม่เคยได้รู้กับเขา เขาไปถึงไหนแล้ว เขาพูดเรื่องอะไร ตอนนี้เขาเน้นเรื่องอะไร มีอะไรเด่น อะไร ตอนนี้กำลังมีศัตรูอะไร ตอนนี้กำลัง จะทำงานอะไร กำลังรังสรรค์อะไร กำลังเป็นเรื่องอะไรเด่นชัด มันไม่รวม มันก็เหมือนกับเรา ไม่ได้อยู่กับหมู่ ไม่ได้ทำอะไรกับหมู่ ไม่ได้ช่วยกันสร้าง เพราะทุกอย่าง มันจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นพลังรวม ถ้าอย่างนี้แล้ว ไม่มีข้าศึกที่ไหนมาตีแตก ต้องมาลงเช็คศีล เช็ควินัยกับปาติโมกข์ทุก ๑๕ วัน ก็จะต้องร่วม อยู่ไหน ก็ต้องมาลงรวม

นี่เป็นวินัย เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้า แต่ใครจะทำนอกคำสั่งของพระพุทธเจ้ามันก็เสื่อม สักวันหนึ่ง ก็ต้องเป็นไป โดยอัตตามานะ ไม่เอาแล้ว ไม่อยากอยู่กับหมู่แล้ว กูอยู่คนเดียวดีกว่า มันเก๋ อิสรเสรีภาพโว้ย อิสรเสรีภาพโว้ย ก็กูของกูคนเดียว มันไม่มีรวม มันไม่มีลงตัวกันดอก มันไม่หมดตัวหมดตนหรอก

เพราะฉะนั้น จะต้องรำลึกถึงธรรมวินัย จะต้องพยายาม อย่าออกนอก อย่าอวดดีทำไปตามบำเรอใจตัวชอบ แล้วก็ดิ่งๆ เดี่ยวๆ ไป ไอ้ที่ตัวบำเรอตัวเองจะชอบ ข้าชอบอย่างนี้ ข้าเห็นประโยชน์อันนี้ ข้าก็จะอ้าง ประโยชน์อันนี้ ดิ่งไป ใครพูดอย่างไรไม่ฟัง ดื้อด้าน ถ้าแบบนี้อาตมาก็สอนไม่ไหวดอก คนดื้อคนด้านนี่ สอนไม่ไหว อาตมาก็เมื่อย

เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้อาตมาอายุยืนหน่อย จะช่วยกันรังสรรค์อะไรขึ้นมา ก็ปฏิบัติให้มันลงร่อง ลงช่อง พวกนี้วิจัย ให้ละเอียดลออ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ทั้งกรรมกิริยานอก บทบาทข้างนอก สัมมาอาชีพ จะไปหลงอาชีพ กสิรรมธรรมชาติ ก็วุ่นอยู่แต่กสิกรรม เพื่อนลงปาติโมกข์แล้ว ช่างหัวเพื่อน เพื่อนมาประชุมกันแล้ว ช่างเป็นไร เพื่อนไม่เอา ข้าสิแน่ เพื่อนไม่แน่ โอ้โฮ้ ใหญ่กว่าหมู่เสียอีก ใหญ่เห็นไหม อัตตามานะ มันเบ้อเร้อ เบ้อเร้อ ใหญ่

เพราะฉะนั้น จะต้องฟัง เขารู้ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ เขาเข้าใจเขาก็โน้มเน้นไปด้วยกัน มาด้วยกัน นี่เราเลือดอโศก ไม่ใช่เลือดสุพรรณ ก็จริงไหมเล่า ไปด้วยกันมาด้วยกัน เราเลือดอโศก ไม่ใช่เลือดสุพรรณเท่านั้นน่ะ ขนาดเลือดสุพรรณ เขายังไปด้วยกันเลย นี่เลือดอโศกไม่ไปด้วยกัน มันก็แย่น่ะซี เรามันต้องยิ่งกว่า เลือดสุพรรณด้วยใช่ไหม

ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์นี่แหละ เราจะต้องวิจัยถึงขั้นรู้ด้วยว่า กำลังมีการปฏิบัติธรรมอยู่ในการคิด อยู่ในการพูด อยู่ในการกระทำอะไรต่างๆ อยู่ในการอาชีพ ก็คือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ นั่นแหละ หรือไม่ ถ้าไม่มันก็ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์แล้ว ถ้าใช่ เออ สังกัปปะก็ใช่ ได้ตรวจมิจฉา วาจาเราก็ได้ตรวจมิจฉา ได้ลด กัมมันตะเราก็ได้ลดมิจฉา อาชีวะเราก็กำลังได้ลดมิจฉา กำลังเดินทาง อยู่เชียว ซึ่งจะนับได้ว่าเป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์อยู่ในขณะนั้น ขณะนั้น ก็เนื่องจาก ขณะนั้นเรามี สติสัมโพชฌงค์ และสามารถทำการวิจัยได้ถึงขั้นมิจฉาสาม สัมมาสาม ของสังกัปปะ สังกัปปะก็มี มิจฉาสาม ทำให้เป็นสัมมาสาม ว่าสภาวะอย่างไร ในจิต ในเจตสิก ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร เจาะลงไปถึงจิตเลย มันเป็นมิจฉา มิจฉาอยู่ถึงเวทนา อยู่ถึงสัญญา อยู่ถึงสังขาร มันเป็นอย่างไร ความรู้สึกเวทนา มันยังเป็นเคหสิตะนะ ต้องเนกขัมมะออกมา มันเป็นสัญญา ยังเป็นมิจฉาสัญญา ยังไปจำ ไปติดไปยึด อยู่ในความจำเก่า ยังจะไปเป็นสัญญาอยู่อย่างนั้น แก้สัญญาใหม่ รู้จักไหม นักทำสัญญา แก้สัญญาใหม่ สัญญาเก่าติดมานานแล้ว เลิกเสียที สัญญากำหนดรู้ รู้วิจัยรู้ให้ดีเลยว่า อย่างนี้เป็นกุศล อย่างนี้เป็นอกุศล อย่างนี้เป็นดี อย่างนี้เป็นดีกว่า อย่างนี้เป็นดีที่สุดอะไร อย่างที่อาตมาเคยบอกแล้วว่า ดีไม่รู้กี่ขั้น เอาตัวที่เหนือขึ้นมาเสมอ สัญญากำหนดรู้ให้ชัด จะจำได้อย่างไรก็แก้การจำ ถ้าเผื่อว่าไปจำอยู่ว่า อย่างนั้นเป็นอุปาทาน จำว่าอย่างนั้นดี ปัญญาธัมมวิจัยรู้แล้วว่า อย่างนั้นหลงผิดมานาน อันนั้นว่าดี แต่ก่อน ไปหาแฟนสวยๆ ได้ วันนี้ เฮ้ย เลิกมันดีกว่า เอ้า เลิก แก้สัญญาใหม่ ไปต้องการล่าลาภให้มันมีมากๆ โอ้ แต่ก่อนนี้ได้รวยๆ นี่แหละเด็ดขาด รวยได้ชาตินี้ โอ๊ย แก้สัญญาใหม่ไม่รวยแล้ว จะเป็นคนจนดีกว่า แก้สัญญา กำหนดรู้ให้ชัด สังขาร ปรุงใหม่ ปรับใหม่ แก้ไขใหม่ ต้องทำให้ได้คือแก้ไขตัวเอง สังขารใหม่ วิสังขาร อย่างที่สังขารอย่างปุญญาภิสังขาร อย่างชำระกิเลสนั้น สังขารอย่างละกิเลสอันนี้ได้ นี่คือ ชัดเจนลงไปทุกอัน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของปรมัตถ์ อ่านอาการเหล่านี้ออก แก้ไข ถูกทิศทางหมด วิจัยให้ชัดลงไปถึงขนาดนี้ สามารถทำการวิจัยได้ถึงขั้นมิจฉา ๔ สัมมา ๔ ของวาจา มีอะไรบ้าง ปด ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อ นั่นน่ะมิจฉา ๔ ว่าเป็นสภาพอย่างไร และสามารถวิจัย ตามเข้าไปรู้ ถึงในจิต ในเจตสิก ที่มีกิเลสหรือตัณหา หรืออุปาทาน อันเป็นตัวเหตุให้เกิดวาจานั้นได้ด้วย เหตุแห่งการเกิด วาจานั้น ซึ่งเป็นอกุศลเหตุ หรือทุจริตเหตุ ให้แก้ได้ หรือเป็นมิจฉานั่นเอง แก้จากมิจฉา สามารถทำการวิจัยได้ ถึงขั้นมิจฉาสาม สัมมาสามของกัมมันตะ มีอะไรบ้าง ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร นั่นเป็นมิจฉาสาม ของกัมมันตะ ว่าเป็นสภาพอย่างไร และสามารถวิจัยตามเข้าไปรู้ถึงในจิต ในเจตสิก

ทีนี้กิเลสหรือตัณหา หรืออุปาทานอันเป็นตัวเหตุ ไล่เข้าไปจนถึงกระทั่งตัวกิเลส ตัณหา อุปาทาน อันเป็นตัวเหตุ ให้เกิดการกระทำอะไรต่างๆ กัมมันตะนั้นได้ด้วย สามารถทำการวิจัยได้ถึงขั้นมิจฉา ๕ สัมมา ๕ ของอาชีวะ กุหนา ลปนา เนมิตตกตา นิปเปสิกตา ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา พวกเราต้องมีรากฐานแล้ว ใครไม่มีรากฐานพวกนี้ ไม่มีพื้นฐานความรู้พวกนี้มาก่อน ก็ฟังไปก่อน เป็นบัญญัติ แล้วไปติดตามเอา ส่วนใครที่ฟังมาแล้ว ก็ขยายความเอาของรากฐานพวกนี้ พื้นฐานพวกนี้มาอธิบาย ที่จริงทบทวน แต่ลึกซ้อน นี่กำลังอธิบายนี่ ลึกซ้อน ที่จริงทบทวนเรียนมาจนถึงขั้นมิจฉา ๕ ของอาชีวะ มิจฉาสามของกัมมันตะ มิจฉา ๔ ของวาจา มิจฉา ๓ ของสังกัปปะ อะไรก็เรียนมาหมดแล้ว และต้องรู้ภาวะด้วย สภาวะอาการของมัน ว่าเป็นสภาพอย่างไร และสามารถวิจัยตามเข้าไปรู้ถึงในจิต ในเจตสิกที่มีกิเลส หรือตัณหาอุปาทาน อันเป็นตัวเหตุให้เกิด การงานอาชีพนั้นได้ด้วย จนกระทั่งสามารถทำการวิจัยได้ถึงขั้น มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ เมื่อเราปฏิบัติสังกัปปะ วาจากัมมันตะ อาชีวะ ได้ดีๆ สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ เราก็จะรู้ว่า โอย สัมมาสมาธินี่ มันต่างกันกับสมาธิฤาษี สมาธิที่เขาเรียนกันมามากมายนัก นั่งสะกดจิตเอาอย่างเดียวนั้นน่ะ โอ๊ มันต่างกัน มันเป็นความแข็งแรง มีความตั้งมั่น อัปปนาสมาธิ พยัปปนาสมาธิ เจตโสอภินิโรปนาสมาธิโน่นแน่ แล้วแน่นแน่ถึงขนาดลืมตา ตักกะ วิตักกะได้ ดำริอะไรก็ได้ สังกัปปะ อย่างไรก็ได้ นึกคิดอย่างไรก็ได้ สังขารยังได้ เลย มันเป็นสมาธิที่แข็งแรงปานฉะนั้น มีหลักแน่นอน มีความบริสุทธิ์ แข็งแรงแน่นอน เป็นฐีเต อเนญชัปปัตเต เป็นฌานลืมตา เป็นฌาน ซึ่งฌานอย่างนี้ ไม่ใช่ meditation ฌานอย่างนี้ไม่เรียก meditation ฌานที่เขาเรียกกันอยู่ทั่วโลกเดี๋ยวนี้ ฝรั่งรู้หมด meditation เขาจะนึก อย่างนี้มา ก็เกิดฌาน meditate แต่นี่ไม่ เพราะฉะนั้น เราจะเอา meditate มาใช้เรียกฌานพระพุทธเจ้า ไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้นทำสมาธิให้เป็นฌานด้วยวิธี meditation ไม่ได้ มันไม่ใช่ ต้องด้วยวิธี contentration ได้ contentration ก็เป็นชนิดหนึ่ง ในนี้อธิบายไว้หมด contentration ต่างกับ meditation อย่างไร ส่วน contentration ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ใช้ประกอบกัน เป็นสัมมาสมาธิ และ meditation ก็เป็นอุปการะได้น่ะ อุปการะได้เหมือนกัน เอาละ ไปถึงตรงนั้น แล้วค่อยว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงตรงนั้น อธิบายอันนี้ไปก่อน จนกระทั่ง สามารถทำการวิจัยได้ถึงขั้น มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ สุดท้าย แม้กระทั่งสามารถทำการวิจัยได้ถึงขั้น มิจฉาวิมุติ สัมมาวิมุติ รู้เลย วิมุติของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมุดตรงไหนเลย อยู่เหนือ อยู่เหนือกับมุดนี่ มันคนละเรื่องเลยน่ะ อยู่เหนือ กับมุดนี่ โลกอยู่เหนือโลก มุดโลกนี่ ไม่รู้จะไปตรงไหนเลย มันต้องมุด หลบน่ะ แต่นี่ไม่หลบเลย พวกอยู่เหนือนี่ ไม่หลบ รู้รอบ รู้ชัด รู้ครบ รู้กับเขาหมด แบ่งส่วนสัด จะช่วยแค่ไหน จะทำอะไร จะอย่างไร อย่างไร มันเป็นคนปกติ เป็นคนที่เฉลียวฉลาด เป็นคนรู้รอบ เป็นคนที่เข้าใจอะไรครบ

เพราะฉะนั้น ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ นอกจากนั้นแล้ว วิจัยได้ถึงขั้นรู้ว่าชนิดนี้ เป็นพุทธอย่างสัมมา หรือ พุทธอย่างมิจฉา วิจัยได้ออกชัดหมดทั้งมิจฉาสมาธิ ทั้งมิจฉาวิมุติ ถูกต้องเป็นสัมมาหมด สัมมาวิมุติ สัมมาสมาธิ จนกระทั่งถึงขั้นว่า นี่แหละเป็นพุทธแท้ๆ อย่างสัมมา นี่เป็นพุทธอย่างมิจฉาอยู่ จะมิจฉา อยู่น้อยหนึ่ง มิจฉาอยู่ขนาดไหนก็ชัดเจน

ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ หรือความสามารถในการวิจัยถึงขั้นนี้นั้น เป็นการวิจัยในระดับอาริยะ หรือ ระดับ ปรมัตถสัจจะ ที่มีภูมิเข้าเขตโลกุตรภูมิ ซึ่งต่างกันกับธัมมวิจัย ที่เป็นความรู้ความสามารถ ของปุถุชน กับกัลยาณชน นักคิดนักวิจัยทุกวันนี้ คิดแล้วเราก็เอามาอ่านของเขาบ้างอะไรบ้าง วิจัยไป เขาไม่ได้รู้จัก จิต เจตสิก รูปอะไร พวกที่เราพูดกันอยู่นี่ เขาวิจัยวัตถุนอก รูปนอกวิจัยอะไรต่ออะไร พยายามระลึกถึง ทางจิตใจ บ้างเหมือนกัน เขาก็เดาไป ใจเขาก็จะเดาไป ถ้าปุถุชนเขาก็เดาไปเรื่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ คุณจะคิดเก่งขนาดไหน ก็แล้วแต่ อาจจะคิดออกมาพูดได้ด้วยน่ะ แต่ไม่บรรลุอะไรเลยในชาตินั้น อาจจะศึกษาธรรมของ พระพุทธเจ้าด้วย ศึกษาได้มาก ท่องจำได้มาก สาธยายได้มาก แต่ไม่บรรลุธรรมอะไรเลย พวกนั้นก็ปุถุชน พวกปทปรมะเอาด้วย วิจัยเก่งเลยน่ะ นักวิจัยพวกนี้ยอด อู๊ย เขียนก็เก่ง บรรยายก็เก่งหมด แต่ไม่บรรลุธรรม ยืนยันได้ไหมว่า คุณบรรลุธรรม เขายืนยันไม่ได้น่ะ ยืนยันไม่ได้ดอก ถ้าผู้ที่ได้แต่วิจัย แต่ตัวเองพูดก็ดี แต่ไม่เคยทำ แม้แต่กายกรรม วจีกรรม ก็ไม่ปรับตัวเองขึ้นไปดีเลย พวกนี้ไม่ใช่กัลยาณชนเลย พวกปทปรมะ วิจัยได้เก่ง รู้มาก เดี๋ยวนี้มีนักวิจัยในตลาดเยอะ เป็นดอกเตอร์ เป็นผู้ที่มีความรู้ นักวิชาการอะไร บรรยายเก่ง ดี ถูก นี่เขียนมานี่ โลกาวิวัฒน์ โลกานุวัตร โลกาวิวัฒน์อะไร เยอะแยะเลยน่ะ แต่แม้แต่กายกรรม วจีกรรมของเขา ก็ไม่ได้ปรับ ไม่ต้องพูดถึงจิตน่ะ เพราะจิตนั้นจะเป็นปรมัตถ์แล้ว จิตจะเป็นโลกุตระแล้ว จิตจะเป็น สัมโพชฌงค์แล้ว ไม่ถึงจิต แม้กายกับวาจาเขาก็ไม่พากเพียร เพื่อจะให้สอดคล้องกับความเห็น ของเขาบ้าง ว่าอย่างนี้ดีนะ คุณต้องปรับมาอย่างนี้ดีนะ นี่นายทุนมันทำลายโลกนะ ลดความเป็นนายทุน ลงมาบ้าง เขาก็ยังไม่ได้ทำ พวกนี้ยังไม่ใช่กัลยาณชน กัลยาณชนก็เขาจะทำบ้าง ลดความเป็นนายทุน ลดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแบบโลกๆ ลดอะไรต่ออะไรลงมาบ้าง เป็นกัลยาณชน อย่างขนาดระดับของ ส.ศิวรักษ์ อย่างนี้ เออ เป็นกัลยาณชน ได้ลดสภาพมาบ้าง แต่อาตมาไม่แน่ใจท่าน... ว่าท่านจะลดละ อะไรมากเท่าไร เพราะอาตมาไม่เคยไปรู้ลึกๆ จริงๆ น่ะ ท่าน...นี่ อาตมาไม่รู้เบื้องหลังของท่านว่า ท่านเสพ อยู่แค่ไหน ท่านลดความหรูหรา ฟู่ฟ่า ฟุ่มเฟือย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ได้ อาตมาไม่รู้จริงๆ แต่โอ้โฮ ท่านเชี่ยวในการคิดนี่ โอ้โฮ ถูกต้องเยอะ อาตมาอาศัยท่านด้วยน่ะความนึกคิด ... แต่อาตมาก็เห็นว่า ท่านดีเยอะนา ลึกๆ อาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านละ ในระดับกัลยาณชนจะได้บ้างหรือไม่ แต่สังวรสำรวมรูปนอกดีน่ะ ซึ่งเรากำลังมี ข่าวคราวอยู่ทุกวันนี้ รูปนอกดีแต่ข้างในมันกลวง ข้างในมันเลอะ ล่อเละ อยู่ข้างในน่ะ เขาก็ว่าเอาหลักฐานต่างๆ ออกมาแฉกันนี่นา นี่อาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านในๆ ลึกๆ นี่ แต่ข้างนอกเคยเห็น ก็ดีอยู่นะ ท่าน... นี่ดีในระดับกัลยาณชนจะได้หรือไม่ ไม่รู้ แต่ขั้นปรมัตถ์หยั่งดูแล้วว่า มันยังไม่ถึง ปรมัตถ์ที่จะปรับ ถึงธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สติก็เป็นสติสัมโพชฌงค์ดังกล่าว วิริยะก็เป็น วิริยสัมโพชฌงค์ดังกล่าวแล้ว ก็เกิดปีติสัมโพชฌงค์ แล้วก็ลดปีติสัมโพชฌงค์ ซึ่งเป็นอุปกิเลสลงไปอีก จนกระทั่งเป็นปัสสัทธิ สงบได้ สัมโพชฌงค์ แม้ปัสสัทธิก็ยังจะมีลึกซึ้งที่สงบระงับกว่า นั้น สั่งสมปัสสัทธินี่แหละ สงบลงไป แล้วก็จะจับ สงบลงไปหาอุเบกขา นี่พูดนำไปลึก โพชฌงค์ ๗ นี่ พูดนำไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว จะเข้าใจอย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ หรือไม่ ท่านรู้ทฤษฎี ทฤษฎีที่จะรู้อย่างอาตมาพูดนี่ทฤษฎีน่ะ ทฤษฎีที่อาศัยสภาวะเป็นหลัก ที่อาตมา อธิบายนี่ จะอย่างนี้ไหม ไอ้อย่างนี้อาตมาเชื่อว่ายังไม่ถึง เพราะว่าดูผลงานของท่านแล้ว ท่านยังไม่ลึก อย่างที่ อาตมาพูดนี่ดอก ท่านไม่ได้ลึกอย่างนี้ นี่ไม่ใช่ยกตัวข่มท่านน่ะ ท่านไม่ได้เป็นอย่างนี้

ฉะนั้นกัลยาณชนนี่ก็รูปๆ นอก ยอมรับว่าเป็นกัลยาณชน คือพยายามลดละ กาย วาจา ทางกาย ทางวาจานี่ พยายามทำ แต่มันถึงผลจิตไหม ถ้าจิตไม่เกิด ผลไม่เกิด มรรคไม่เกิด การเดินที่แท้จริง อันนั้นไม่เข้าขั้น สัมโพชฌงค์ เป็นแค่กัลยาณชน

ธัมมวิจัยก็ตาม จะวิจัยได้เก่งขนาดไหนๆ ทำหรือเปล่า ทำหรือเปล่า ถ้าไม่ทำก็เป็นปุถุชน ถ้าทำบ้าง เป็นกัลยาณชน ทำบ้างได้แค่ขั้นกาย วาจา เพราะฉะนั้นไปนั่งสะกดจิตทำเป็นกายวาจาอะไรดีแค่ไหน แต่มันไม่ได้เข้าใจเรื่องจิต อย่างบริบูรณ์ถูกต้อง ล้างถูกตัวถูกตน มันมีเป็นองค์แห่งโพชฌงค์ อย่างนี้เลยน่ะ ฤาษีที่จะกดข่ม เก่งขนาดไหน เพราะมันไม่ใช่ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มรรคองค์ ๘ ไม่ใช่โพชฌงค์ ๗ ไม่ใช่โพธิปักขิยธรรม เพราะฉะนั้น ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จึงวิจัยให้ออกอย่างถูกจริง แล้วก็รู้ตัวเองเลยว่า เราวิจัยแล้ว เราวิจัยไปถึงขั้นปรมัตถ์หรือไม่ แล้วได้ทำถึงขั้นปรมัตถ์หรือไม่ เมื่อเราทำถึงขั้นปรมัตถ์จริง เราจึงจะไว้ใจว่า นี่คือวิจัย ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะว่าธัมมวิจัย ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือความสามารถ ในการวิจัยถึงขั้นนี้นั้น มันเป็นการวิจัยในระดับอาริยะ หรือระดับปรมัตถสัจจะ ที่มีภูมิเข้าเขตโลกุตระ ซึ่งต่างกันกับ ธัมมวิจัยที่เป็นความรู้ความสามารถของปุถุชน กับของกัลยาณชน เพราะธัมมวิจัยปุถุชน กับธัมมวิจัย ของกัลยาณชนนั้น เป็นธัมมวิจัยที่ยังไม่มีคุณภาพสูง ถึงขั้นพาตนเดิน โพชฌงค์นี่คือเดิน เดินไปในทางของ อริยมรรคสู่อริยผล หรือยังไม่มีคุณภาพสูงถึงขั้น เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ คือสัมโพชฌงค์ เพราะภูมิปัญญา มีความเข้าใจ มีทิฐิความเห็นได้แค่ภูมิปุถุชน หรือภูมิกัลยาณชน วนเวียนอยู่ในภูมิที่ ไม่เข้าข่าย เข้าเขตเป็นองค์ของการตรัสรู้ คือไม่เข้าข่ายของสัมโพชฌงค์ หรือไม่สามารถถึงขั้น ปฏิบัติแล้ว มีผลลดละมิจฉาทั้งหลายได้จริง โดยเฉพาะลดละ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ จนสามารถสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมาได้ ด้วยแรงของสัมมาวายามะ กระทั่งเจริญมรรค เจริญผล เจริญสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ ธัมมวิจัยนั้น มันไม่เดินผลขึ้นไปสู่สภาพ ตามหลักฐานพวกนี้เลย ตามหลักการพวกนี้ โดยมีสภาวะจริง รู้หลักการ แต่ไม่ได้ทำจริง อาจจะเป็นปทปรมะ อาจจะเป็นแค่ปุถุชน ระดับปทปรมะ รู้มาก รู้มาย รู้แต่ไม่ได้มีบรรลุเลยในชาติ ชาติทางจิตน่ะ ไม่ใช่ชาติทางกาย ชาติทางจิต คือ การเกิดเป็นอริยะ ทางจิต โอปปาติกโยนิ จิตเกิดเจริญ จิตได้ลดกิเลสเป็นอุบัติเทพขึ้นมาเรื่อยๆ จิตเป็นเทวดา จริงขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่สมมติเทพอยู่อย่างนั้น เจริญขึ้นมาจริง จนถึงขั้นวิสุทธิเทพ เราก็รู้ของเรา โอโฮ อันนี้สะอาดแล้ว อันนี้เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาที่สมบูรณ์ นี่เป็นธัมมวิจัย

ทีนี้มาวิริยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์คือ มีความพากเพียร ขยัน อุตสาหะ ถึงขั้นรู้ได้ว่า ขณะนี้มันจะต้อง ขณะนี้ทุกทีเลย continuous มันจะต้องเป็นทุกที วิริยะขณะนี้ตนกำลังมีการปฏิบัติธรรมอยู่ในการคิด อยู่ในการพูด อยู่ในการกระทำ อะไรต่างๆ อยู่ในการงานอาชีพอะไร สังกัปปะวาจา กัมมันตะอาชีวะนั่นเอง หรือไม่ ความเพียรอันนี้ แม้คิดคุณก็เพียร เอาการปฏิบัติธรรมเข้าไปประกอบกับความคิด แม้กำลังพูด ก็เอาการปฏิบัติธรรมนี่ เข้าไปอยู่ในการพูด มีความเพียรน่ะ เพียรพูด เพียรคิด เพียรกระทำกัมมันตะ กระทำ การกระทำต่างๆ แล้วมีตัวที่เป็นสัมโพชฌงค์ เป็นตัวสติสัมโพชฌงค์ เป็นตัวธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เข้าไปร่วมอยู่ ในนั้นหรือไม่ รู้ตัวแล้วก็รู้วิจัย ได้วิจัยกิเลสแล้วก็ได้ลดกิเลส ทำการลดมิจฉาอยู่เสมอๆ ตอนนั้นหรือไม่ จะพูด จะกระทำการงาน จะทำอาชีพอะไรอยู่ก็แล้วแต่ ตอนนี้กำลังทำเต้าหู้ ตอนนี้กำลัง พยาบาล คนนั้นคนนี้ ตอนนี้กำลังทำการพยาบาล แหมนี่เราเป็นสาวแล้ว เราก็ยอมจับเนื้อจับหนังชายหนุ่ม อยู่ทีเดียว ระวังนะ กำลังทำอาชีพนี้ มันเกิดสัมผัสแตะต้องอยู่ขนาดนี้นี่ เผลอไผลไปไหม อะไรก็แล้วแต่ อธิบายให้ชัด อยู่ในการระมัดระวังตัว มีสังวร มีสำรวมอินทรีย์ ๖ มีการพยายามระมัดระวัง ตื่นอยู่ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่นเต็ม เป็นผู้ที่ใช้กำลัง กำลังที่เรามีสัมมา กำลังที่เราจะไปสู่ดี เป็นสุคโต ดำเนินไปดีให้ได้ แล้วต้อง พยายาม จะต้องเพียร กระทำด้วยความเพียร ด้วยกำลังความเพียร ถ้าไม่มีกำลังความเพียรอะไร มันก็ไม่เกิด อะไรก็ไปไม่รอด พลังงานอันนี้ เป็นพลังงานของมนุษยชาติ ยิ่งกว่าพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานอันนี้ จะไปสู่สันติที่จริง พลังงานนิวเคลียร์นี่ บางทีมันก็ไม่สู่สันติจริง แต่พลังงานอันนี้ จะไปสู่สันติจริง ซึ่งจะนับได้ว่าเป็น วิริยสัมโพชฌงค์อยู่ในขณะนั้นๆ ก็เนื่องจากขณะนั้น เรามีสติเข้าขั้นสัมโพชฌงค์ แล้วสามารถ พากเพียรพยายาม จนวิจัยมิจฉา ๓ สัมมา ๓ ของสังกัปปะได้ สามารถพากเพียรวิจัยมิจฉา ๔ สัมมา ๔ ของวาจาได้ สามารถพากเพียรพยายามจนวิจัยมิจฉา ๓ สัมมา ๓ ของกัมมันตะได้ สามารถ พากเพียรพยายาม จนวิจัยมิจฉา ๕ สัมมา ๕ ของอาชีวะได้ และพากเพียรพยายาม อบรมฝึกฝนตน จนลดละมิจฉาต่างๆ ที่กล่าวมา สู่สัมมา กระทั่งสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ

วิริยสัมโพชฌงค์หรือความพากเพียรบากบั่นขณะนี้นั้น เป็นความพากเพียรในระดับอาริยะ หรือปรมัตถสัจจะ ที่มีภูมิเข้าเขตโลกุตร ซึ่งต่างกันกับวิริยะที่เป็นความเพียรบากบั่นของปุถุชนกับของแค่กัลยาณชน เพราะ วิริยะปุถุชน กับวิริยะกัลยาณชนนั้น เป็นวิริยะที่ยังไม่มีคุณภาพสูงถึงขั้นพาตน เดินไปในทางของ อาริยมรรค สู่อาริยผล หรือยังไม่มีคุณภาพสูงถึงขั้นเป็นองค์แห่งการตรัสรู้สัมโพชฌงค์ เพราะภูมิปัญญา มีความเข้าใจ มีทิฐิความเห็น ได้แค่ภูมิปุถุชน หรือภูมิกัลยาณชน ตอนนี้ชักทิฐิภูมิปัญญาชักขึ้นมาถึงขั้นอาริยชนหรือยังนี่ เขื่องๆ น่ะใครฟังมลังเมลือง อาจจะรู้กันยังไม่ชัด ถ้าใครฟังชัดๆ โอ้โห แหม เข้าใจเด๊ เข้าใจเด๊ อื้อฮือ ระวัง ปีติสูงออกมาแรง เหมือนกับอย่างท่านมุทุ ปีติมันสูง มันจะเป็นอุเพงคาปีติ อย่างนั้นแหละ ออกมาแรง เด๊ อาตมาไม่ไหว ไม่แรงเท่า อาตมากำลังไม่สู้ ปรุงไม่ขึ้นเท่า ปรุงไม่ไหว แรงไปด้วย สติธัมมวิจัย หรือวิริยะ ก็มีความสูงต่ำ มีความเก่ง มีความวิจิตร มีความดีงาม มีความละเอียดลออ สูงต่ำ ตามฐานะของบุคคล ก็ใช่ แล้วคุณก็อยากจะให้มันต่ำหรืออย่างไร อย่าไปตีกิน บอกโอ๊ย เราแค่นี้เราก็ต้องต่ำแค่นี้แหละ สติเรา ก็แค่นี้ ไอ้อย่างนั้นน่ะ เอากระบาลมาให้ใช้กระบองดีๆ ต้องยอมรับผิดด้วย ต้องยอมรับให้เอากระบอง ตีกระบาลเสีย ไม่ใช่น่ะเราฝึกไป ใช่มันจะต้องไปหาอรหันต์ ต้องพยายาม ต้องสัมมาวายามะ ต้องพยายาม แล้วให้มันเป็น อย่างนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราฝึกไปเก่ง ก็เก่งให้มีสติสัมโพชฌงค์ให้เก่ง ธัมมวิจัยยังไม่เก่ง ก็ฝึกไปอีก ให้ธัมมวิจัยเก่งๆ วิริยะมันต่ำก็ต้องวิริยะให้เก่งๆ ถ้าเก่ง ๓ ตัวนี้ ๗ ปีเป็นพระอรหันต์ เอ้า พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ ๗ ปีเอง ปฏิบัติถูกสัมมาอริยมรรค ถูกทางสมบูรณ์ ๗ ปีนี่ หา ก็นั่นแหละ ก็เลย ๗ ปีแล้ว ก็มันยังไม่เก่งสักที นี่พูดวันนี้ได้อะไรเพิ่มเติมขึ้นอีกไหมล่ะ รู้สิ่งที่ยังไม่ได้รู้อีก เพิ่มเติมขึ้นอีกใช่ไหม ของเก่า นั่นแหละ มันลึกขึ้นอีก มันไม่เก่งที่อาตมาอธิบายไม่เก่งหรืออย่างไรก็ไม่รู้ แล้วก็เก่งแล้วต้องฝึกซ้อมให้ได้ด้วย รู้แล้วก็เอาไปหมัก รู้แล้วก็เอามาฝึกฝน ทุกคนต้องปฏิบัติสัมมาอริยมรรค อย่าปฏิบัติสัมมาอริยหมัก รู้ไหม บัวขวัญ หมักกับมรรค อย่าไปปฏิบัติเอาเป็นสัมมาอริยหมัก เอาไปหมัก ไปเก็บ ไปดอง ไปทิ้งที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เอา ต้องเอามาทำให้จริง ทำให้จริง เอ้าต่ออีกนิดหนึ่ง ดี ได้ ๓ อันครบน่ะ

เพราะภูมิปัญญา มีความเข้าใจ มีทิฐิความเห็นได้แค่ภูมิปุถุชน ภูมิกัลยาณชนวนเวียนอยู่ในภูมิที่ ไม่เข้าข่าย เข้าเขต ขององค์แห่งการตรัสรู้ หรือไม่สามารถถึงขั้นปฏิบัติแล้วมีผล ลดละมิจฉาทั้งหลายได้จริง แม้จะมี สัมมาทิฐิก็ตาม แต่ความเพียรในการปฏิบัติไม่มากพอ จนลดมิจฉาลงได้ วิริยะมันความเพียร มันไม่มากพอ จะลดมิจฉาได้ รู้ เข้าใจหมด ความเห็นถูกต้อง ธัมมวิจัย วิจัยเป็น แต่แรงที่จะฆ่าไม่มี วิริยะไม่พอ ต้องเสริม เติมให้มันหมด จนกระทั่งมากพอที่จะลดมิจฉาลงได้ โดยเฉพาะลดมิจฉาสังกัปปะ ลดมิจฉาวาจา ลดมิจฉากัมมันตะ ลดมิจฉาอาชีวะ กระทั่งสามารถสั่งสมลงเป็น สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ

ดังนั้นหากใครที่ยังมิจฉาทิฐิ แล้วยิ่งวิริยะพากเพียรบากบั่นมากเท่าใด ก็ยิ่งได้บาป ได้นรก ได้เวรภัยมาก เท่านั้น ๆ เห็นไหมว่าสัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิเป็นประธาน นี่สำคัญแค่ไหน ฉะนั้นผู้ใด ถ้ายิ่งมิจฉาทิฐิน่ะ แย้งกับอาตมามากๆ คนละทาง กลับกันเลยน่ะ เขายิ่งเพียรเก่ง วิริยะมากๆ ด้วยน่ะ โอ้โฮ ยิ่งติดเครื่อง วิ่งลงนรกดิ่งเลย ยิ่งเขามีความเร็ว แหม เครื่องเขาเดินดีน่ะ วิริยะดีน่ะ ติดเครื่องวิ่ง ๒๐๐ กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ด้วยน่ะ เหยียบคันเร่งปรี๊ด โอ้โฮ ยิ่งดิ่งลงนรกได้เร็วเลย มิจฉาทิฐิ

เพราะฉะนั้นมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิจึงสำคัญมาก สำคัญมาก เพราะเป็นประธาน เพราะฉะนั้น ถ้ายิ่งมิจฉาทิฐิ ยิ่งมีวิริยะน่ะ ยิ่งวิริยะพากเพียรบากบั่นมากเท่าใดๆ ก็ยิ่งได้บาป ได้นรก ได้เวรภัยมากเท่านั้นๆ ยิ่งรวยทรัพย์วัตถุ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมากยิ่ง มากยิ่ง ก็ยิ่งได้บาป ได้นรก ได้เวรภัยทับทวีมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ร้ายลึกยิ่งๆ ขึ้น ยิ่งได้มันยิ่งดูด ยิ่งดูดมันก็อยู่ในระบบของทุนนิยม ยิ่งได้ก็ยิ่งมาก ยิ่งได้ก็ยิ่งเหลิง ยิ่งได้ก็ยิ่งเบาๆ ใจ ก็มันได้ง่ายๆ มันได้โดยที่เรามีองค์เครือข่าย มีกลไก มีอะไรแล้ว รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำ แต่ที่ไหนได้ เราไม่ปลด เราไม่ปล่อย เราไม่เลิก ไม่รื้อกลไก ไม่รื้อเฟือง ไม่รื้อสายพาน ไม่รื้อไอ้ตรงนั้นตรงนี้ มันก็เดินของมันไปอย่างนี้ เราก็ทำตีขลุม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มัน มันไหลเข้าไปเอง ฉันไม่ได้ทำน่ะ มันดูดมาเองนะ ยกตัวอย่างง่ายๆ มีเงิน ๕๐ ล้าน เอาไปฝากไว้ในแบงก์ ฉันไม่ได้ไปโกงใครนะ เขาเอามาให้ฉันเองนะ ๕๐ ล้าน เขาก็คิดอัตรามาให้ฉันเต็มที่เฉยๆ นะ ฉันไม่ได้ไป เรียกร้องนะ เห็นไหม คุณปลดเครือข่ายมันบ้างซี ปลดกลไกมันบ้างซี แก้ไขมันบ้างซี แม้ไม่เอาไปไว้ มี ๖๐ ยังหวง ๖๐ ล้านอยู่ ไม่เอาไปไว้ในแบงก์ เอามาฝังดินไว้ก็ได้ แล้วมันก็ไม่มีบาป เรียกว่า ปลดกลไก มาเหมือนกัน แต่ระวังเถิด คนขุดไปเจอเข้า ก็เอาไปก่อนน่ะ เอาไปฝังดินไว้ไม่ออกดอก ก็ยังสะสมอยู่ ไม่ยอม ออกดอกบุญ แต่ก็ไม่กินดอกเบี้ยแล้ว แต่ก็ต้องรักษายากหน่อย ก็ระวังเอา ก็ดีขึ้นมา เรียกว่าได้ปลดมา เหมือนกัน ปลดมาอีกขั้นหนึ่ง มาฝังดินไว้ มาซุกซ่อนมาเก็บไว้เอง ที่ไหนก็แล้วแต่น่ะก็ได้ แต่มันก็ซ้อนน่ะนา มันก็ซ้อน เอาละคุณเองคุณยังทำไม่ได้ ๖๐ ล้านฝากแบงก์อยู่ก็ไม่เป็นไร ดอกเบี้ยออกมา ก็เอาดอกเบี้ย ทั้งหมด มาทำบุญ เอาดอกเบี้ยมาทำประโยชน์คุณค่า สร้างเสริมอะไรพวกนี้เสีย เอามาฝังดิน ก็เป็นที่ลำบาก เราก็ทำเอาไว้กินดอกเบี้ย เอาดอกเบี้ยมาทำบุญหมด แต่อันนี้เรายังหวงอยู่ ยังสะสมอยู่ ยังวางไม่ได้ ๖๐ ถ้าขืนน้อยกว่า ๖๐ ไปนี่ โอ้โฮ หวอมๆๆ ไม่ไหวเบา มันจะตายแล้ว มันอยู่ไม่รอดแล้ว โอ้โฮ ถ้าขาด ๖๐ ล้าน ไปนี่ตาย เหลือ ๕๐ ล้าน โอ้ย ไม่ไหวหนาว ต้อง ๖๐ ล้านถึงจะอุ่นน่ะ หรือ ๕๐ ล้านก็ยังไม่ไหว ต้อง ๔๐ ล้าน ไม่ได้ ๓๐ ล้านไม่ได้ก็แล้วแต่ ใครสามารถทำได้แค่ไหนก็ลดลง

นี่ก็พูดไปก็เหมือนกับฟังๆ อีกเชิงหนึ่งก็เหมือนกับอาตมามารีด ไม่ได้รีดดอก ก็บอกให้รู้ คุณจะทำไม่ทำ ก็แล้วแต่ เราจะกล้าหาญชาญชัย อยู่อย่างผู้ที่ไม่ต้องมีเงินมีทองเป็นของส่วนตน แล้วคนจะมาช่วยเราเอง คนจะมาให้เราเอง คนจะมาทำงาน คนนี้ถ้าเผื่อว่าเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ จะทำอะไรน่ะ ประเดี๋ยวคนอื่น ไม่ต้องไปเที่ยว ได้ร่อนๆๆ ไปหาทุน เขายังมาบอกว่า จะทำอะไร ถ้าเขาเชื่อว่าเราทำได้บริสุทธิ์ ทำได้ มีประโยชน์ คุณค่าที่ดีน่ะ เขาจะมาอุปัฏฐาก อุปถัมภ์ เขาจะมาร่วมทุนด้วยอย่างไร อย่างดี นี่มันบุญบารมี มันจะซ้อนเสมอ เพราะฉะนั้นอันนี้แหละ จะพิสูจน์ได้เรื่อยๆ ผู้ยิ่งไม่อยากได้ยิ่งจะได้ ฉะนั้น ผู้ยิ่งมีสมรรถภาพสูง มีความเฉลียวฉลาดลึกซึ้ง คนเขารู้ว่า โอ๊ ยิ่งบริสุทธิ์สะอาดน่ะ มีประโยชน์คุณค่ามาก มันจะมาได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เราจะต้องดูตัวเราเหมือนกันว่า เราขวนขวายหาทุนมากเท่าไร แสดงว่า เรายังไม่มีบารมี มากเท่านั้น ถ้าเรายิ่งไม่ขวนขวาย อาตมากล่าวบอกบุญ ถ้าอาตมากล่าวบอกบุญ ๕ ครั้ง จึงจะได้ แสดงว่าบารมีก็ยังหยาบ ถ้าอาตมายิ่งกล่าว ๔ ครั้งก็ได้แล้ว ครบ ก็บุญก็ดีกว่ากล่าวบอกบุญตั้ง ๕ ครั้ง ถ้ายิ่งกล่าวบอกบุญครั้งเดียวก็ได้ครบ มันมีก็ยิ่งดีกว่ากล่าว ๕ ครั้ง เข้าใจนัย แล้วมันเป็นสัจจะ มันเป็นสัจจะ เพราะฉะนั้น เราอยากกล่าวถึง ๕ ครั้งหรือ ถ้าเรากล่าวครั้งเดียวได้ยิ่งดี หรือไม่กล่าวเลย เป็นแต่เพียงดำริ เทวดาก็ล่วงรู้จิตใจเสียแล้ว เป็นแต่เพียงดำริ มาเลยเอาไปเลยท่าน อ้า ทำไมรู้ล่ะ โอ๋! ย่อมรู้ซี แหมอาจารย์จะทำอะไรย่อมรู้ซี ซัดไอ้นี่เลย โอ๊ อาตมาก็มีลูกศิษย์ตาทิพย์กันทั้งนั้นเลย เอ้าจริงน่ะ มันเป็นบุญบารมีจริงๆ มันเป็นไปได้น่ะ

เอาละมันซับซ้อนอะไรอีก พอดีวันนี้ได้ ๓ โพชฌงค์ จะเข้าใจขึ้น ทีนี้ไล่ซ้อนๆๆๆ ไปถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ แล้วจะไปไล่ เคหสิตะ ๑๐๘, ๓๖ กันตรงนั้นอีก ซึ่งเราก็มาอธิบายมาตั้งแต่ปลุกเสก มาที่นี่ก็อธิบายอีก เพราะมันเป็น ตัวจริง ต้องรู้เวทนาในเวทนา ถ้าไม่อย่างนั้น คุณรู้กายา เวทนา จิตตะ ธรรมะ สติปัฏฐาน ๔ คุณรู้ไม่ครบ เวทนาในเวทนา คุณก็ไม่สามารถเรียนรู้ จะดับอย่างไร ไปดับซื่อบื้อ ไปดับเวทนาหมดเลย ตายกันพอดี ดับบ้าๆ บอๆ ดับสัญญา เวทนา ประเภทพาซื่อเถรตรง ไม่ได้กินดอก นี่มันลึกซึ้งอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าน่ะ

เอ้า สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้ว เอาเท่านี้ก่อน

สาธุ


ถอดโดย จอม ศรสวัสดิ์
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี
พิมพ์โดย ทองแก้ว ทองแก้ว
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป. ๔ มิ.ย. ๒๕๓๗
GLB1F.TAP บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน๓