บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์
ตอนที่ ๕ โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๗ เนื่องในงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๑๘ ณ พุทธสถานศาลีอโศก เอ้า ทบทวนอีกนิดหน่อย อะไรๆ ก็ตามถ้าเข้าใจแล้วนี่ มันจะมีอยู่ ๓ ขั้น ขั้นที่ ๑ ปุถุชน ขั้นที่ ๒ กัลยาณชน ขั้นที่ ๓ อาริยชน มันจะมีอยู่ ๓ ขั้น อะไรๆ ก็ตามเกี่ยวข้องกับมนุษย์กับจิตวิญญาณ มันจะมีอยู่ ๓ ขั้น ขั้นปุถุชนก็ธรรมดาทั่วไป คนที่ตกเป็นทาสของโลกธรรม คนที่ตกเป็นทาสโลกีย์ คือโลกย์ๆ ธรรมดา มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน แล้วเขาก็เสพสมสุขสม ชอบใจเขาก็จะแสวงหาเอามาให้ได้ หนักถึงขั้นทุจริตก็ทำ ไม่ชอบใจ เขาจะผลักทำลาย จนกระทั่งถึงขั้นฆ่าแกง ทำร้าย ลักขโมย ล่วงละเมิดของรัก กาเมสุมิจฉาจารฯ กัมมันตะ มิจฉากัมมันตะ ๓ ก็เป็นธรรมชาติของปุถุชน แล้วเขาก็หนา เขาได้ทำร้ายผู้อื่นจนสมใจ เขาก็กิเลสหนาขึ้น บาปเขาก็เพิ่มขึ้น เขาได้ของรักที่สมใจ กิเลสเขาก็หนาขึ้น จะบอกว่าบาปก็ไม่ใช่บาป แต่สวรรค์ ก็ลวงยิ่งขึ้น สวรรค์ที่เขาได้เป็นสวรรค์นะ แต่สวรรค์ก็ยิ่งลวงยิ่งขึ้น อุปาทานก็ยิ่งจัดขึ้น แล้วก็ยิ่งยึด ยิ่งจัด ยิ่งหลงว่า มันเป็นความจริง โอ๊ ความสุขนี่จริงๆ หนอ กินนี่อร่อยทุกที กินเมื่อไหร่ก็อร่อยทุกที ยิ่งอร่อย ก็ยิ่งประทับใจ เข้าไปทุกที สวรรค์ก็ยิ่งลึก สวรรค์ก็ยิ่งแก่ สวรรค์ก็ยิ่งหนา สวรรค์ก็ยิ่งทำให้หลงใหล ติดยึด มากขึ้น สวรรค์ก็ยิ่ง แก้ไขสวรรค์ยาก มาล้างยาก ดังที่เราวางไม่ลงอยู่นี่ ติดยึดสวรรค์ ถ้าทางที่มันทุกข์ มันร้อน อย่างสายโทสมูลนี่ มันก็พอเข้าใจง่าย มันก็จะวางง่ายหน่อย แต่สวรรค์นี่แหละ ยิ่งไปเที่ยวได้ร่ำรี้ร่ำไรกับมัน ให้มันหน่อยน่า เอาน่าๆๆๆ ยิ่งยาวยิ่งนาน ธรรมใด วินัยใด เป็นไป เพื่อความเนิ่นช้า ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต คุณอยู่กับศาสนาไหนล่ะ ปฏิบัติธรรมของใคร ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ท่านไม่รับรองนะว่า ธรรมะที่เป็นไปเพื่อความเนิ่นช้า ทำ แหม ยืดๆ ยาดๆ พิรี้พิไร น่า ช่างมันเถอะ ชาตินี้ไม่เป็นไร ชาติหน้า น่ะ ชาติหน้า แล้วระวังนะ หมาจิ้งจอก คอยตะครุบ ผู้ที่ออก นอกฝูงอยู่นี่เยอะ ศาสนาอื่นนี่นะ เขาแสวงหาบริวาร เหมือนหมาจิ้งจอกคอยล่า พูดอย่างนี้คนศาสนาอื่น เขาจะมาโกรธเอา ซะล่ะ เขาตามจริงเขาพยายามเลยนะ แวดล้อม พยายามจะดึง ศาสนาพุทธเรานี่ พวกเรานี่ใครเคยบ้าง ที่จะไป แหม ตามล่าเอาคนศาสนาอื่นเข้ามาหาศาสนาพุทธ ใครเคยบ้าง และพยายามเฝ้าพิรี้พิไร พยายาม หาทางเลยนะ เอาไอ้นั่นล่อ ไอ้นี่ล่อ เพื่อที่จะให้เขามา เข้ามาเถอะน่า มาเป็นพุทธเถอะ ใครเคยทำบ้าง มีไหม ไม่มี เหอ เคยแต่ศาสนาเดียวกัน ไปล่อ ทำไมล่ะ ศาสนาเดียวกันแล้ว พุทธทะเบียนบ้าน อ้อ ไม่ต้องไปเร่งรัด เกินไปหรอก ไปเซ้าซี้เกินไป แต่ศาสนาอื่นเขาพยายามที่จะมาให้ศาสนาพุทธนี่ ไปเป็นพลเมืองของเขา เขาล่าจริงๆ เพราะฉะนั้น ระวังเถอะ ผู้ใดที่ไม่แข็งแรง ยังไม่เป็นเนื้อแท้ ก็จะโดนล่าไปได้ อย่าว่าไม่บอกนะ นี่ได้บอกท่านแล้ว เอาล่ะ ปุถุชนก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น สวรรค์ก็เป็นสวรรค์เก๊ หนาขึ้น แน่นขึ้น ตัวเองก็หลง ติดยึดมากขึ้น เป็นอุปาทานจัดขึ้น นรกก็เป็นนรกแน่ๆ ทุกข์แน่ๆ ขึ้นไป อยู่อย่างนั้นแหละ ปุถุชน ทีนี้กัลยาณชนก็มาสำนึกดี ก็อยากจะละจะลดความเลวความร้าย ความที่เป็นโลกียะนี่แหละ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็อยากวาง อยากจะไม่เอาเปรียบ อยากจะละความโลภ เขาก็รู้ว่าละความโลภ ความโกรธ เขาก็อยากจะละ เขาก็พยายามละด้วยวิธีการต่างๆ ผู้ที่พากเพียรจริง ก็ได้เป็นกัลยาณชน แล้วเขาก็ทำได้จริง จะด้วยวิธีการใดๆ ๆ ต่างๆ นานาก็ตาม ไปตัดเขตกัลยาณชน กับอาริยชนตรงไหน ตรงนี้แหละ อาตมาพยายามบอกพวกเราให้ชัดเจน ตัดเขตกัลยาณชนกับอาริยชนตรงที่ อาริยชนนั้นต้องมีดวงตาแห่งธรรม ต้องมีตาทิพย์ ต้องมีญาณปัญญา ต้องมีปัญญาจริงๆ เลย ปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่ปฏิบัติแล้วเห็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน เห็นปรมัตถ์ เห็นอาการทางจิต โดยเฉพาะ ต้องเห็นอาการทางจิตทุกขณะ โดยเฉพาะจริงๆ ปัจจุบันใดๆ นั้นๆ เห็นอาการทางจิต ในปัจจุบันใดๆ นั้นๆ เมื่อมันกำลังเป็นผี ก็เห็นว่ามันกำลังเป็นผี เห็นอาการมัน อ่านอาการออก มันกำลังอยาก แหม กำลังอ้าปากแยกเขี้ยวทีเดียว มันกำลังอยาก ก็เห็นอาการมันจริงๆ ต้องเห็นนะว่า กำลังโลภ เรานี่อาการโลภ รู้สึกตัวเป็นสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยก็ทำงาน วิจัยออกเลยว่า นี่อาการกิเลส นี่อาการอยาก นี่อาการโกรธ นี่อาการโลภ แต่อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างซับซ้อน ถ้ายิ่ง สูงขึ้น ก็จะรู้ซับซ้อนขึ้น มันเล่นเล่ห์กับเรา มันซับซ้อนอย่างไร ถ้าเป็นผู้ที่เป็นอาริยะชั้นสูงขึ้น ฝึกปรือ เก่งขึ้น ก็จะเห็น กัลยาณชนจะไม่เห็นไม่รู้อย่างนี้ พวกเรานี่ก็เหมือนกัน ใครจะรู้ว่าตัวเป็นอาริยะตรงนี้แหละ แม้แต่แค่อ่านอาการทางจิตออกในปัจจุบันใด ปัจจุบันนั้นก็เป็นอาริยะ เผลอเมื่อใด อาริยะตกสวรรค์ ขณะใดที่เผลอ ขณะใดที่อ่านไม่ออก ให้ผีเข้ากินตัวคุมตัว เลยออกมาทางกาย ทางวาจาเลยนะ นั่นแหละ ลงอยู่ในขุมไหนก็ไม่รู้ ถึงแม้จะขึ้นสวรรค์ก็สวรรค์ลวง สวรรค์เก๊ ตอนนั้นน่ะเผลอ ตอนนั้นไม่เป็นอาริยะ เพราะฉะนั้น ต้องทำความเป็นอาริยะให้ต่อเนื่อง ทำความเป็นอาริยะให้ได้สม่ำเสมอ รู้แจ้งของจริง ตามความเป็นจริง อ่านสภาพให้ออกจริง นี่เป็นอาริยชน หรืออาริยธรรม เมื่อเรายิ่งอ่านออกแล้วมีวิธีการทำให้ลดได้ ทำให้กิเลสลดได้จริงๆ นั่นแหละเรากำลังอยู่ในความเป็น โสดาปัตติมรรคบุคคล ขณะหนึ่งที่เราทำได้ เป็นโสดาปัตติมรรคบุคคลขณะหนึ่ง คืออยู่ในทางที่ถูกต้อง เป็นสัมมาอริยมรรค และกำลังเดินไปนิดหนึ่ง ก็เพิ่งสั่งสมผลนั่นแหละ แต่ว่าผลแค่ก้าวหนึ่ง สองก้าว หนึ่งหน่วย สองหน่วย ห้าหน่วย มันยังไม่น่าจะรวมเรียกว่าผลที่เป็นกอบเป็นกำ ก็เราอยู่ในมรรค ถ้าได้มากขึ้น ก็สั่งสมเป็นผล ที่เป็นรอบๆๆ อันนี้ถือว่าสิบหน่วยรอบหนึ่ง อันนี้ต่อไปก็ถือว่าร้อยหน่วย รอบหนึ่ง อันนี้ถือไป ก็พันหน่วย รอบหนึ่ง ไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ตามความเป็นจริง จนกว่าจะครบว่า เอาละ นี่ พันหน่วย หรือ หมื่นหน่วยเต็มแล้ว ครบแล้ว ก็เรียกว่าผล ถ้ายังไม่ครบ มันก็ยังไม่หมด ล้างกิเลสยังไม่เกลี้ยงนั่นเอง เรียกว่า แข็งแรงยังไม่พอ เรายังมีแวบๆ วาบๆ อะไร จนกระทั่งเราไม่มีแวบๆ วาบๆ เราก็รู้แจ้งเห็นทะลุรอบ เข้าใจชัดเลยว่า โอ้โฮ สะอาดบริสุทธิ์ เรื่องนี้รู้เท่าทันมัน มันไม่ได้เป็นสัจจะความจริงอะไร มันไม่ได้เก่ง อะไรเลย แม้เราจะต้องอยู่กับมัน เราจะต้องกิน เราจะต้องใช้ มันก็ไม่ได้ก่อให้เราเกิดอาการอัสสาทะ เกิดอาการอร่อย หรือว่า เกิดอาการชอบ ไม่ชอบ ไม่เกิดอาการไม่ชอบก็ไม่มี ชอบก็ไม่มี ไม่เกิดอาการแล้ว เราก็รู้ว่า จะต้องอาศัยก็อาศัย มันจะไม่มีให้เราก็ไม่เป็นไร จะต้องพรากจากกัน จะต้องไม่พบกัน จะต้องไม่มี ก็ไม่เป็นไร รูป นาม ขันธ์ ๕ นี่เป็นสิ่งที่เราอาศัยมากที่สุด แม้มันจะต้องตาย พรากจากกัน จากรูปนามขันธ์ ๕ ก็ไม่ได้อาลัย อาวรณ์ อย่าว่าแต่ว่าแก่แล้ว หนังก็เหี่ยว ร่างกายเอ็นก็แย่ กระดูกก็ผุกร่อน นั่งก็โอย ลุกก็โอยแล้ว แล้วจะตายจากมัน ไอ้อย่างนั้น ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ อย่าว่าแต่อย่างนี้เลย แม้แต่หนุ่มๆ สาวๆ จำเป็นจะต้องตายตั้งแต่หนุ่มแต่สาวก็ไม่อาลัยอาวรณ์ แหม เนื้อหนัง เรายังเต่งตึง แข็งแรง ยังใช้งานได้ดี แต่เราจะต้องตายจากแล้วหนอ ขณะนั้นก็ไม่ห่วงว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นเครื่องอาศัยที่เรารักที่สุดล่ะในมนุษย์โลก สัตวโลกทุกตัว มันเป็นอุปกรณ์ที่เราอาศัย ใช้มากที่สุด ก็คือร่างกาย รูป นาม ขันธ์ ๕ ของเรานี่แหละ แม้เราจะตายพรากจากมัน ก็เรารู้ความจริงว่า มันต้องตายจากกัน มาถึงคราวที่ อ้อ เราจะต้องตายจากแล้วนี่ ทั้งๆ ที่เรายังไม่แก่เลย มันวิบากจริงๆ นะ ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ มันต้องตาย ทนไม่ได้ มันต้องตาย วิบากนี้ต้องถึงขั้นจะต้องตาย หนุ่มๆ แน่นๆ ก็ตาม สุดท้าย ก็วางใจ วางปล่อย ไม่ห่วง ไม่อาลัยอาวรณ์ ได้ถึงอย่างนั้น เมื่อเราฝึกปรือไปแล้ว เราก็จะได้ผล อย่างที่กล่าวนี้ ไปจริง เอาละ นี่จับเป้าประเด็นสำคัญให้ฟังว่า ปุถุชน นิยามอย่างไร หมายอย่างไร กัลยาณชนหมายเอาอย่างไร ตัดเขตกันตรงไหน อาริยชนตรงไหน กัลยาณชนก็มีประโยชน์ต่อท่านเหมือนกัน เราจะเอาแต่แค่ ความหมายว่า มีประโยชน์ต่อท่านแล้วเป็นอาริยชนไม่ได้ ตัดเขตตรงนี้ไม่ชัด ต้องเอาถึงจิต และเอาถึง เราต้องมีญาณปัญญาตัวนั้น อ่านรู้ออก เป็นผู้เห็น เป็นผู้รู้ เป็นผู้มีภาวนามยปัญญา ปัญญา ที่รู้ของจริง เกิดผล ของจริงที่ว่านี้ก็คือ นามธรรมระดับจิตเจตสิก คือปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยกิเลสออก แม้คุณเห็นกิเลส บอกแล้วว่าพ้นมิจฉาทิฐิ คือเห็นอนิจจัง เห็นกิเลส แล้วมันก็ไม่เที่ยงจริงๆ เห็นอนิจจังนี่นะ แต่มันหนาขึ้น กิเลสร้อยหนึ่งเอามันไม่อยู่ มันเก่งกว่าเรา มันร้อยห้า กิเลสมันขึ้น อย่างนี้ยังถือว่า พ้นมิจฉาทิฐิของอาริยวินัย แต่คุณไม่ได้เจริญหรอกนะ เราก็รู้ว่า เราไม่ได้เป็น อาริยะในปรมัตถ์ เราไม่ได้เป็นอาริยะในปรมัตถ์ แต่เราเป็นอาริยะในความรู้ เราไม่ได้เป็นอาริยะในความจริง เพราะกิเลสเราหนาขึ้น เราเห็นอนิจจัง พ้นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นที่ถูกทาง ถูกตรง จับมั่นคั้นตาย ตัวปรมัตถ์แล้ว แต่ยังไม่ชนะมัน ยังแพ้ผี ผีมันยังปล่อยเชื้อเข้าเรา เราก็ยังขจัดไม่ออก เห็นอนิจจัง จนกว่า เห็นตัวกิเลสนั้นเป็นตัวการ ตัวสักกายะ และคุณวิราคานุปัสสี ทำจางคลายได้ เมื่อนั้นน่ะ คุณเป็นอาริยะ พ้นมิจฉาทิฐิ พ้นสักกายทิฐิ เริ่มนับเป็นอาริยบุคคลตรงนี้ พ้นสักกายทิฐิ ที่เป็นสังโยชน์ข้อที่ ๑ พ้นตรงนี้ วิจิกิจฉาก็พ้น มันเห็นชัดเจน มันไม่สงสัยเลย มันไม่เบลอ มันไม่พร่า มันไม่มัว มันไม่มีใครมาปลอบ มาพราง อะไรเลย พ้นวิจิกิจฉาเห็นปรมัตถ์ พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ตรงนี้ นี่คือพุทธวิชา นี่คือพุทธธรรม นี่คือสิ่งที่ทรงไว้ กิเลส ทรงไว้ทำให้กิเลสออก นี่แหละทรงไว้ซึ่งการสะอาดขึ้น ทรงไว้ซึ่งการเจริญขึ้น เป็นธรรมะ เราเป็นลูก พระพุทธเจ้า ทำตามถูกทาง กำลังสร้างเชื้อพุทธะ สร้างเชื้อพุทธะ จริงๆๆๆ พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ที่นี่ ขณะนี้ เพราะฉะนั้น สักกายะก็ลดลงได้เรื่อยๆ ก็เหลือน้อยลง ๆ จนกระทั่งถึงอาสวะ อัตตานุทิฐิก็ตาม เห็นอนุสัย ตามเห็นอาสวะ จนกระทั่งถึงขั้นเป็นอนัตตา อันที่ ๑ อนิจจัง อันที่ ๒ ทุกขัง อันที่ ๓ อนัตตา ไม่มีตัวตน ของกิเลส เห็นความไม่มีตัวตน ไม่ใช่ว่าอะไรๆ ก็ไม่มีตัวตน เป็นแค่จินตามยปัญญา เป็นแค่สุตมยปัญญา ไม่ใช่ นี่เป็นภาวนามยปัญญา เห็นความไม่มีตัวตนจริงๆ เพราะฉะนั้นความไม่มีตัวตน จึงไม่ใช่เรื่องพูด เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องคิดเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องคาดคะเน แต่เป็นเรื่องมีของจริง เห็นของจริงตามความเป็นจริง ภาษาคำว่า เห็นของจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงนี่ คงเคยได้ยินกันมาในศาสนา แต่เรายังไม่ เอ๊ะ มันเป็นยังไรล่ะ เห็นของจริงตามความเป็นจริง นี่แหละคุณเกิดญาณเห็นของจริงเห็นกิเลสมันหมดตัวตน มันหมดอนัตตานี่แหละสุญญตา มันหมด ตัวตน จริงๆ มันไม่มีฤทธิ์ ไม่มีแรง ไม่มีเกิดอีก ไม่มีอาการอย่างนี้อีก ความเป็นอย่างนั้นไม่มีอีก ตายสนิททีเดียว ไม่หลอก ไม่หลอนอีก ไม่มีอวิมุติจร อันยังจรอยู่ก็จะรู้ว่า โอ้โฮ มันหายไปตั้ง ๗ เดือนแล้ว ยังแวบมาได้ ก็รู้ว่า มันอวิมุติจร แล้วคนๆ นั้น จะระมัดระวัง คนๆ นั้นจะ ปัดโธ่ มันสะอาดดีอยู่แล้ว โธ่ มาทำให้เปื้อนนิดหนึ่ง เหมือนคนมีเพชร ที่งามผ่องที่สุด ไม่อยากให้ไฝฝ้าเกิดหรอก คนที่มีเพชรสะอาดนี่ มันเกิดมีฝุ่นมาหนึ่งเม็ดนี่ อื้อฮื้อ จะรีบปัด จะรีบทำให้มันบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น ใครก็เหมือนกัน จะไม่ประมาทหรอก แต่คนที่ประมาทอยู่ นี่ก็คือ ก็มันมัวอยู่แล้ว มัวไปอีกจะเป็นไรไป ก็มันมืดอยู่แล้ว จะมืดอีกมันจะเป็นไรไป ก็นิรันดร์สิ คือมืดนิรันดร์ คนพันธุ์นี้ ไม่ใช่คนพันธุ์ที่เรากำลังจะไปเป็นกันหรอก ชัดเจนขึ้นนะ ทีนี้ไอ้ที่รู้คงรู้แล้ว
ไอ้ที่ยังเป็นยังไม่เป็นน่ะ อย่าไปคุยนะ ปาราชิกนะ เพราะฉะนั้น ถ้าคนใดที่เขาเองก็เสียสละได้ แต่เขาอ่านจิตไม่ออกจริงๆ เขาได้แต่สะกดสจิต สะกดข่ม ใช้วิธี สมถภาวนา เสียส่วนใหญ่ ไม่เป็นวิปัสสนาภาวนา โดยเฉพาะปัจจุบันธรรม ที่รู้หน้าตามันชัดเจน อ่านออก เข้าใจ โดยความหมายอย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟังนี่ เขาไม่ละเอียดลอออย่างนี้ เดี๋ยวแจกเวทนา ก็ยิ่งจะชัด ขึ้นไปกว่านี้อีก แจกเวทนาถึง ๑๐๘ ยิ่งจะละเอียดลออขึ้นไปอีก เขาไม่ได้เรียนอย่างนี้ อภิธรรมอย่างนี้ เขาไม่ได้เรียน และเขาก็ไม่รู้ว่า จะแบ่งอย่างไร จะวิจัยอย่างไร จะเหลืออะไรไว้หรือว่าอะไรยิ่ง ยิ่งฆ่าอะไรตาย อะไรยิ่งเกิด เขาก็ยังไม่เข้าใจชัด นี่ความเป็นผียิ่งตาย ความเป็นพระอริยะยิ่งเกิด ความเห็นแก่ตัวยิ่งตาย ความที่ไม่เห็นแก่ตัวยิ่งเกิด เพราะฉะนั้น คุณค่าประโยชน์ของพระอริยะของพุทธนี่ ความขี้เกียจยิ่งตาย ความขยันยิ่งเกิด แล้วมันเกิดมันเป็นจริงๆ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า สมณะของพุทธอะไรเป็นเครื่องแสดง ความขยันหมั่นเพียรในการงาน ความเอาใจใส่ ความยินดีในการงาน ไม่ถดไม่ถอยหรอก ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ยิ่งเกิด อ๋อ ไม่ต้องดูอะไรหรอก ดูคนนี้มีความเบิกบาน ร่าเริงยินดีในการงาน มีความพากเพียร ในการงาน มีการเอาใจใส่ในการงาน แล้วก็ทำงานอย่างมีปัญญา วินิจฉัย วินิจ วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ตรวจตรา แก้ไขปรับปรุง อยู่ตลอดเวลา บทบาทของการงานแท้ๆเลย อิทธิบาท ๔ นี่ นั้นแหละ สมณะของพุทธ สมณะที่หนึ่ง ก็มีตามสถานะ สมณะที่หนึ่ง สมณะที่สองก็ยิ่งมีดีกว่า สมณะที่สามก็ยิ่งจะเห็นชัด สมณะที่สี่ เป็นพระอรหันต์ โอ้โฮ ยิ่งเห็นชัด ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์จะยิ่งนั่งเฉย นั่งยิ้ม นั่งหลับตา จนจะไม่ลืมตา นี่คนก็หลงใหลได้ปลื้ม นึกว่าพระอรหันต์ ท่านเขมโก พระเกษม เขมโก วัดป่า สุสานไตรลักษณ์ อยู่ที่ ลำปางนั่น ทุกวันนี้นี่ท่านก็ไม่ลืมตาแล้ว ใครจะใหญ่จะโต ใครจะไปหาอย่างไร พลเอกชวลิตไปหา ก็นั่งหลับตา อยู่อย่างนี้ ไม่ได้ลืมตามองดูด้วยเลย มันไปใหญ่เลย มันไปภพทิพย์ ปิดหมดเลย ปิดทุกอย่าง อยู่ในภวังค์ แล้วก็ได้แต่นอน ไปอย่างนั้นหมดเลยเห็นชัดๆ แล้วเขาก็หลงใหลได้ปลื้มกันว่า นั่นน่ะ พระอริยะชั้นสูง สูงๆ แบบนี้อาตมาไม่เอานะ ฟังเรื่องสมาธิสัมโพชฌงค์ก็พอดี เอ้า เข้าสมาธิ เข้าสมาธิไม่ใช่ให้นั่งหลับนะ พอพูดว่าเข้าสมาธิ เข้าสมาธิของพุทธนี่ยิ่งตื่น จิตยิ่งเปิด สมาธิก็คือ การสะสมจิตเป็นอธิจิต ศีลก็ปฏิบัติถึงจิต ขัดเกลากิเลสเข้าถึงจิต กาย วาจา แน่นอนได้ด้วย สมาธิก็อธิจิต แล้วก็จะต้องเกิดปัญญาร่วมด้วยไปทุกที สมาธิของพุทธ เป็นฌาน สมาธิที่เป็นฌาน ฌาน หมายความว่า เพ่งเผานิวรณ์ เพ่งเผากิเลส พวกเรานี่นักฌาปนกิจ พวกเผาพวกนักเผา ฌาปนกิจ ฌานนี่แปลว่าเผา ฌานะนี่แปลว่าเผาเลย เอาไปใช้ภาษาฌาปนกิจ ที่ทำกิจเผาศพนี่ พวกเรานี่ พวกฌาปนกิจผี นี่เป็นพนักงานฌาปนกิจ ต้องทำจริงๆ ต้องเผากิเลสให้ได้ เผานิวรณ์ ๕ เผาอย่างลืมตา ฌานพุทธ ต้องฌานลืมตา ฌานมีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยสัมโพชฌงค์ เผาได้ ได้ผลขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เป็นปีติสัมโพชฌงค์ เผาไปได้เรื่อยๆ ความสงบระงับจากกิเลส พอกิเลสถูกเผา ตายลงๆ ความสงบระงับจากกิเลส ก็คือปัสสัทธิเกิดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสงบระงับจากกิเลสเท่าไร ยิ่งตื่น ยิ่งชาคริยา ยิ่งชาคริยา ยิ่งตื่น ยิ่งเป็นผู้ตื่นเต็ม ยิ่งเป็นผู้รู้รอบ ยิ่งเป็นผู้เห็นอะไรแจ้ง ยิ่งเห็นนรกชัด ยิ่งเห็นสวรรค์ชัด ลืมตาไปนี่ เห็นอยู่ในกิริยามนุษย์ เห็นอยู่ในอารมณ์มนุษย์ ก็มองเห็นสวรรค์เห็นนรกกันไปหมด เป็นตาทิพย์ เป็นตาวิเศษ ตาเนื้อก็เห็นด้วยนะ ตาเนื้อเป็นองค์ประกอบช่วยให้เรารู้จักสวรรค์ นรกด้วย หูได้ยินเสียง ทำให้เรารู้จักสวรรค์นรกด้วย กลิ่นทำให้เราได้สัมผัสรู้จักสวรรค์นรกด้วย ลิ้นสัมผัสกาย ทำให้เรารู้เป็นทวาร ทำให้เรารู้สวรรค์ นรกด้วย โดยการรู้นี่แหละ ไปเป็นค่า ประเมินค่าหรือพยากรณ์ จนกระทั่งพยากรณ์แม่นที่สุด ประมวล ประมวลค่า ได้แม่นที่สุด สมาธิสัมโพชฌงค์ คือจิตใจที่ตั้งมั่น และเป็นจิตใจชนิดที่เป็นองค์แห่ง การตรัสรู้ ถ้าเรียกว่า สมาธิสัมโพชฌงค์แล้ว จะต้องเป็นสมาธิที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เพราะได้เรียนรู้ ได้ฝึกฝนสั่งสม สภาพ สัมมาสมาธิ สั่งสมสภาพสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิจะได้จากอย่างไรล่ะ มรรคองค์ ๗ ได้สะสมสภาพ สัมมาสมาธิ มาถูกทางพุทธ ซึ่งไม่ใช่สมาธิง่ายๆ แบบสมาธิปุถุชน สมาธิปุถุชน อาตมาใช้ภาษาอังกฤษ ควบไว้ว่า คือ concentration คือสมาธิปุถุชน ทำอยู่ทุกคน น้อยมากตามแต่ ก็คือการ concentrate มุ่งเอาใจใส่ เขาทำโดยอัตโนมัติ ปุถุชนก็ฝึกทุกคน concentration นี่ concentrate นี่ฝึกเอาใจจดจ่อเป็นสมาธิ มุ่ง บางคนนี่ ชอบทำสมาธิในเรื่องอบายมุข ไปดูเขาคอนเสิร์ต แหม มันเลย เยิ้วๆ มันไปกับเขาด้วยเลย เหมือนอยู่กับเขาด้วยกัน เฟื่อนฝูงเป็นอย่างไรฉันไม่รู้เรื่องเลย ใครมาเรียก ๓ คำ ๕ คำตะโกนเรียกชื่อ เฉย ไม่รู้เรื่องเลยเข้าฌาน สมาธิแก่กล้า เข้าฌาน อยู่กับไอ้เจ้าเต้นแร็พ เต้นคอนเสิร์ต นั่น concentration สมาธิปุถุชน หา! แล้วแต่ ส่วนมากอบายมุขนี่ มันมักจะเป็นการสร้างสมาธิอยู่เสมอ ฝึก คุณสนใจในอะไร คุณชอบอะไร คุณใส่ใจในอะไร แล้วมุ่งเพ่งพุ่ง พุ่งเพ่ง อยู่กับอันนั้นๆๆ นั่นแหละ การฝึกสมาธิ เจโตสมถะ เจโตสมถะที่มีอะไร เป็นอุปาทาน เป็นตัวจุดเกาะจุดเกี่ยว ฝึกอยู่ทุกคน เพราะฉะนั้น จะบอกว่าใครๆ ในโลกนี้ ไม่ฝึกสมาธิไม่มีล่ะ ฝึกทั้งนั้นแหละ นี่คือสมาธิปุถุชน ทำโดยอัตโนมัติ ทำอยู่ทุกๆ คน มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แล้วฝึกได้ชำนาญด้วยนะ เก่งที่สุดก็เข้าฌานเลย ใครจะเรียกใครจะเกี่ยวอย่างไรไม่ได้ยินล่ะ ใครมาเรียก มาอะไร บางทีได้ยิน แง้ว ไปเลย ตะเพิดเลย อย่ามาเกี่ยวนะ มาเกี่ยวเดี๋ยวได้โดนอีก แง้วหนึ่งนะ หนักเข้า ไม่ได้ยินเลย ปิดหูปิดตาเลยไม่ได้ยิน ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้องเลย แล้วอุปาทานกัน ไม่ได้ยินไม่ได้เห็นนี่นะ มีได้ถึงขนาดที่ อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อหัดไปเล่นสะกดจิตนี่ เสร็จแล้วก็เอ้า ปลุกเขาตื่น พอสะกดจิต เขาได้ที่ ก็สั่งไว้ อ้า สะกดจิตแล้วเขาก็หลับ ลืมตา บอกหลับให้ลึก เอ้า ลืมตาขึ้นมา ข้างหน้าเรานี่ จะไม่มี อะไรเลย ลืมตาขึ้นมาจะไม่เห็นอะไรเลย สั่งไว้เสร็จ เสร็จแล้วก็เอ้า ๑ ๒ ๓ ลืมตาขึ้นมา เขาไม่เห็นอะไรจริงๆ ทั้งๆ ที่มีไมโครโฟน ทั้งๆ ที่มีคน มีอะไรนี่ เขาจะไม่เห็นอะไรเลย แล้วพิสูจน์มาแล้ว จริง อุปาทาน เขาไม่เห็น ตาเขาลืมเป็นปกติ เขาไม่เห็น หรือสั่งให้เห็นสิ่งที่ไม่มีเลยด้วยซ้ำ นี่อาตมาเคยเล่าบ่อยๆ ที่เล่านี่เล่าเพราะอาตมาทำมาจริงๆ ไม่ใช่ไปเล่า อ่านตำรามา แล้วมาเล่าสู่คุณฟัง อาตมาเล่นมา สะกดจิตนี่ ไม่ใช่เล่นน่ะ ทำจริงๆน่ะ ฝึกเขามาจริงๆเลยให้ทำ อาตมาเคย มาบวชแล้ว เคยมาทำ เอาสิกขมาตุ มาสะกดจิต แล้วก็ให้กินพริก นั่นนะหวาน ตอนนี้นะ สะกดจิตไว้ มันเป็นอุปาทานของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทุกอย่าง เขากินพริกหวานเฉยเลย ก็ถ้ามันเผ็ดมันจะไปหวานเฉยเหรอ มนุษย์น่ะกินพริกน่ะ เคี้ยว กลืนลงไป ก็เปลี่ยน เปลี่ยนรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสได้หมด เห็นเป็นไม่เห็น ไม่มีเป็นมี ผนังสัมผัส ก็เคยบอกแล้ว มันเป็นได้จริงๆ เลย เพราะฉะนั้น เขาจะแทงลิ้นไม่ให้เลือดออก เขาจะอย่างโน้นไม่เจ็บ ไม่ปวด อุ๊ย เป็นเรื่องธรรมดาไม่เจ็บไม่ปวด เอาน่า ชานะไม่เจ็บนะ เขาสะกดจิตกัน จนกระทั่ง เขาถอนฟัน อะไรอย่างนี้ ถอน ชา แล้วถอนฟันโดยไม่ต้องฉีดยาชา เอาน้า ตอนนี้น้า เดี๋ยวจะเอาสะกดจิตไว้ให้ให้รับสัมผัสนะ จะเอาเหล็กแดงเผาไฟมาแตะที่ร่างกายนะ ดินสอแท่งหนึ่ง ไม้บรรทัดอันหนึ่งก็ได้ แตะพั่บ สะดุ้งเลยนะ พอง พองจริงๆ เลยนะ เห็นไหม ปฏิกิริยา ของจิตมนุษย์นี่ กิเลสนี่ ปฏิกิริยาของทุกอย่าง เพราะเป็นได้ทั้งนั้น พองจริงๆ ก็ไม้บรรทัด มันจะไปร้อน อะไรเล่า แต่บอกเขาเชื่อว่าร้อน เขาเชื่อว่าเหล็กแดงเผาไฟนาบร้อน พอง อุปาทานได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เป็นโรค neurosis หรือเป็นโรค psychosis นี่เป็นได้ง่าย เมื่อคืนนี้หมอไฟธรรม อธิบายยังน้อยไป อุปาทานต่างๆ เรารักษากันต่อไปก็รักษากันได้ เดี๋ยวนี้มันก็ดื้อยา อยู่บ้างเหมือนกัน โง่อยู่บ้างก็เลยไม่ได้ ถ้ามีปัญญา ถึงไม่มีปัญญารักษาอุปาทานไม่หายหรอก คนที่หาย จากโรคอุปาทาน ไปยึดไปติดเจ็บนั่นป่วยนี่ นั่นนี่ ซึ่งมันไม่ใช่โรคที่มีเชื้อจริง มันเป็นโรคอุปาทานนะ แล้วยังโง่อยู่ ยังยึดติดอยู่ ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่หายหรอก พูดยังไงก็ไม่ฟัง ก็มันอยากเป็นด้วย เป็นเครื่อง ต่อรอง ชนิดหนึ่งของมนุษย์ มันก็ไม่หายสิ ได้ ตายได้ด้วย ถึงตายได้ด้วย โรคอุปาทาน ถึงตายได้ด้วยน่ะ ที่เราพูดกันด้วยภาษาว่า ตรอมใจตาย พวกนี้โรคอุปาทาน ตรอมใจตายมีจริง เสียใจตรอมใจตาย แล้วมีจริง อยากตาย แล้วตายจริงๆ ตรอมใจตาย โรคอุปาทาน เอาละสมาธิปุถุชน ก็เลยอธิบายยาวฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไปด้วยเยอะ สรุปแล้วก็คือ concentration ก็คือสมาธิปุถุชน หรือ ทีนี้ไม่ใช่สมาธิ ที่เรียนกันอยู่ทั่วไป ไม่ใช่สมาธิที่เรียนกันอยู่ทั่วไปแค่ สมาธิทางพุทธนี่ ไม่ใช่สมาธิแบบ ง่ายๆ คือ สมาธิปุชน คือ concentration ที่พูดแล้ว ไม่ใช่สมาธิที่เรียนกันอยู่ทั่วไปแค่สมาธิกัลยาณชน สมาธิกัลยาณชนนี่ เรียกว่า meditation ก็คือสมาธิที่เขาบอกว่า อย่างนี้ละถึงเรียกว่าสมาธิ ต้องไปทำวิธี วิธีนั่งหลับตา วิธีเพ่งเทียน เพ่งลูกแก้ว เพ่ง หรือว่าหายใจเข้าออก เพ่งลมหายใจ หรือว่าทำวิธีอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่ที่ถูกสะกดจิต เขาก็ให้มองนิ้วมือให้มองที่สูง ให้เอาอะไร ทำสัญญาณโน่นนี่ แล้วก็สะกดจิตเข้าไป จิตก็รวมเป็นหนึ่ง จิตก็รวม ไม่ฟุ้งซ่าน จิตก็ไม่ไปคิดเอง หรือเราสะกดจิตเอง เราทำสมาธิเอง เราก็คิดเอง แต่ถ้าเรา ไม่ทำสมาธิเอง เราให้คนอื่นทำสมาธิ เราก็คิดเองไม่เป็น ก็ให้คนอื่นเขาคิดแทน ให้คนอื่นเขาสั่ง นั่นคือ สะกดจิต ให้คนอื่นเขาสะกด แต่เราก็สะกดจิตเราเอง เราก็สั่งเอง ทำเอง จิตรวมเป็นกลุ่ม จิตเป็นมวล วิธีการเยอะแยะ นานาเรียกว่า meditation นี่การทำสมาธิทั่วๆ ไป meditation เข้าใจสมาธิสูงขึ้นแล้วนะ เพิ่มเติมขึ้น ใครรู้ภาษาอังกฤษก็จะ...ใครเข้าใจความหมายของภาษาอังกฤษ ก็จะชัดขึ้นอีก concentration อย่างไร meditation อย่างไร ส่วนสัมมาสมาธินั้น เอา concentration มาเรียกก็ไม่พอ เอา meditation มาเรียกก็ไม่พอ ต้องเรียก สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิชั่น ก็เอาชั่นมาต่อดื้อๆ นี่แหละใครจะทำไม ก็เรียกเล่นๆ ไปอย่างนั้นนะ เป็นสัมมาสมาธิ ถึงไม่มีภาษาอะไรจะเรียก ภาษาอังกฤษจะเรียก คุณก็ไปตั้งภาษาอังกฤษ ไปเป็นนักภาษาศาสตร์ คุณก็ไปหาภาษามาใส่ใหม่สิ ซึ่งมันก็มีรวมทั้ง concentration อยู่ในนั้น รวมทั้ง meditation อยู่ในนั้น ส่วนดีส่วนถูกต้องเป็นอุปการะ ทำเป็นก็เอาสิ ได้ทั้งเจโตสมถะ ได้ทั้งโลกุตระ คุณก็มีอยู่ในนี้ สรุปแล้วคำว่าสมาธิก็คือ
จิตผู้ที่มีอำนาจทางจิต ผู้ที่ทำจิตให้มาเป็นเอกัคตา ผู้ที่รู้จิตของตัวเองรอบอยู่
เสมอถ้วนทั่ว มีอะไรจะใช้อะไร จิตของเรามีอะไรจะใช้อะไร จะทำอย่างไร ก็สามารถที่จะจัดแจงได้
นั่นแหละ เป็นผู้อยู่เหนือจิต เป็นผู้ที่รู้จักจิตดี เหนือจิต เอาจิตมาใช้ได้ดี
ความมีจิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์ หรือเรื่องนั้นๆ เรื่องเดียว จะได้ดีมาก เก่งมาก หรือเก่งน้อย ก็ตามแต่ ความสามารถจริง ของใครของใคร ของใครก็ตามสามารถจริงขนาดไหนก็ขนาดนั้นแหละ ดังนั้นปุถุชน คนสนใจอะไร ชอบอะไรก็จะใส่ใจอันนั้น และจะฝึกฝนหรือชอบเอาใจ ชอบเอาใจเรานี่ไปใส่ใน กับเรื่องนั้น อันนั้นพิเศษกว่าอื่น ชอบอะไรล่ะ ชอบหลับก็เอาไปใส่กับหลับ อันอื่นก็ไม่สนเท่าไหร่ ชอบอันนี้สนุก ชอบอันนี้มันน่าดู มันสวยก็เอาไปใส่กับอันนี้ บางคนก็นั่งดูท้องฟ้า ชอบเอาใจไปใส่อยู่กับท้องฟ้า บางทีก็ชอบดูรูปโป๊ ก็เอาใจไปใส่แต่กับรูปโป๊ อย่างนี้ฟุ้งซ่านเยอะด้วย มันซ้อนนะ ที่จริงเอาใจใส่นะ แต่ซ้อนนะ เอาใจใส่ยังมีตัวฟุ้งซ่านอยู่ในนั้น มันไม่ได้สมใจ มันก็ต้องคิดหาที่จะได้จะอะไร ซัอนเข้าไปอีก เป็นกิเลสอยู่ในนั้น ก็เป็นเอกัคตา ระดับหนึ่ง ดังนั้นปุถุชนสนใจอะไร ชอบอะไรก็เอาใจใส่กับอันนั้น แล้วจะฝึกฝนหรือชอบเอาใจไปใส่กับเรื่องนั้น อันนั้น พิเศษกว่าอื่น ก็จะมีความชำนาญ ความตั้งมั่น ตามที่ใจได้สะสม มันก็จะมีความชำนาญ ความตั้งมั่น มีความถาวรไปเรื่อยๆ ทำอย่างนั้นจริง จิตที่ได้สะสมจนเก่งจนมาก ก็จะมีประสิทธิภาพกับเรื่องนั้น อันนั้นตามที่ได้ บางเรื่องเป็นเรื่องเลวด้วยซ้ำ แต่ก็มีประสิทธิภาพทางจิตสูงที่ทำกับเรื่องนั้นๆ บางเรื่อง เป็นเรื่องเลวด้วยซ้ำ แต่มีสมาธิดีกับเรื่องนั้น นี่คือสมาธิปุถุชน ซึ่งผู้ทำไม่ค่อยมีความรู้เรื่องจิต จึงทำไป อย่างไม่รู้ แต่เมื่อจิตได้ถูกฝึกฝน ถูกสะสมอย่างใด ก็จะได้อย่างนั้นตามจริง ซึ่งเก่งถึงขั้นตั้งมั่น ชำนาญ หรือเป็นอย่างนั้นๆ จนมีประสิทธิภาพมากก็ได้ ก็นั่นแหละคือความหมายของสมาธิที่ว่า ความตั้งมั่นของจิต อาตมาแปลสมาธิ ให้นิยามสมาธิ ๓ อย่าง ๑.ให้ตั้งมั่น ตั้งมั่นที่สาม ไม่ใช่ ไม่ใช่เชื่อมั่น แข็งแรง ถาวร สถิตเสถียรอันที่สาม สมาธินี่มีความหมายว่า เราทำกับจิต ให้จิตเป็นตามที่ต้องการ แล้วก็มีสภาพแข็งแรง ตั้งมั่นถาวร สมาธินี่ สมาธิคือ การจะต้องทำอะไรก็ตาม จะต้องเกี่ยวข้องกับจิต เอาจิตไปเกี่ยวข้อง เอาจิตไปถึง เรียกว่าสมาธิ แล้วก็ทำตามที่ต้องการ มันเลวก็ได้เห็นไหมสมาธิปุถุชน ถ้าคุณเข้าใจชัดๆ แล้วมันจะเห็น มันเลวก็ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจสมาธิแล้ว สมาธิก็จะทำให้เป็นฌาน จะต้องมีปัญญา ปัญญา ต้องมีธัมมวิจัย ต้องเลือกเฟ้น ทำให้มันเป็นอย่างนั้นก็คือ ให้มันละล้างกิเลส นี่มันมีนิยาม ที่ละเอียดเข้าไปอีก ถ้าเป็นพุทธ แต่กัลยาณชนเขาก็เรียน แต่ปุถุชนไม่เรียน สมาธิเขาทำไปโดยอัตโนมัติ โดยไม่รู้เลย อวิชชาทั้งนั้น แต่ก็เรียกมันว่าสมาธิ เห็นไหม เขาทำจนกระทั่งถึงจิตของเขา เสร็จแล้ว เขาก็ฝึกปรือ ตามที่เขาเองต้องการชำนาญ ทำกับจิตของเขา สุดท้าย จนแข็งแรงตั้งมั่นเลย เป็นอัตโนมัติ ก็เป็นสมาธิแบบเลว แต่กัลยาณชนก็มาเรียนรู้บ้าง แต่เขาจะไม่ละเอียดลออถึงจิตเหมือนอย่างกับ อาริยชน ธัมมวิจัย เขาก็จะไม่แม่น ซ้อนลึกละเอียด ไปถึงขนาดถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างชัดเจน และยังแบ่งไปอีก มีหยาบ กลาง ละเอียดอีกมากมาย เวทนาในเวทนาไปอีกตั้งเท่าไหร่ อย่างนี้เป็นต้น หรือสัญญา ก็ชัดเจน ถึงสัญญาการกำหนดขนาดไหน กำหนดอย่างไร หรือว่ามีความจำได้มาก ขนาดไหน ย้อน ถ้ามีสัญญาดี เวทนาก็ลึกซึ้งไปอีก เพราะสามารถระลึกถึงอดีต เข้ามาใช้ประกอบเปรียบเทียบ วินิจฉัย กับปัจจุบันได้มากขึ้น ในเวทนา ๑๐๘ ถึงเวทนาอดีต ความรู้สึกของอดีต ความเคยเกิดขึ้นของอดีต ที่เคยรู้สึก รู้สึกอย่างไรบ้าง ทุกข์ สุข รู้สึกอะไรละเอียด หยาบ กลาง ขนาดไหนอีก ได้มาเปรียบเทียบกับอดีต ปัจจุบัน อดีตกับปัจจุบัน เอามาเปรียบเทียบมากเป็น บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็คือสัญญาหยั่งสัญญานั่นเอง ตามสัญญาเดิมไป ไม่ใช่ไปสมมุติเรื่องขึ้นมาดู ไม่ใช่ ผู้มีสัญญาหยั่งสัญญาไป อย่างพระพุทธเจ้าท่านระลึกชาติร้อยชาติ พันชาติแสนชาติ ตามอดีตที่เก่าแก่ มันระลึก มันไม่หายง่ายๆ หรอกสัญญา เราระลึกอะไรไม่ออก ไม่ได้หมายความว่า เราหมดแล้วสัญญา ไม่ใช่ มันยังจำ มัน แล้วเรานึกมันไม่ออก ค้นลิ้นชักมาไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านค้นลิ้นชักคืนมา ก็มาฝึกปรือ ทางธรรมะได้ ระลึกย้อนได้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวหรอก มันมีความสามารถดี มันจะระลึกย้อนอดีต ได้มาเรื่อยๆ แล้วก็เทียบเคียงไปได้ เมื่อมันได้เทียบเคียงก็คือของจริง ที่เราจำได้จริง ของเก่าก็ตาม ของใหม่ปัจจุบันเทียบเคียง แล้วก็จะรู้รอบ รู้โลก เราเกิดมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว เกิดมาก็เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านปี แล้วนะ แต่มันตายไปหลายที (คนฟัง: ตามสัญญาเข้าไปหาเวทนา) ตามสัญญาเข้าไปหาเวทนา เข้าไปหาความรู้สึก (คนฟัง: ในช่วงนั้นๆ แล้วมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน) ใช่ แล้วก็จะรู้มาก รู้หลายๆ ระยะ สัญญามีเรื่องราว มีนิทาน มีสมุทัย มีเหตุ มีนิทาน มีสมุทัย มีปัจจัยต่างๆ เรื่องราวต่างๆ เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนที่ท่านอธิบายไว้ใน บุพเพนิวาสานุสติญาณ เหมือนเราเดินออกจากบ้านเรา ไปบ้านโน้น บ้านโน้นก็เห็นเขาทำอย่างโน้น บ้านนี้ เขาทำอย่างนี้ เดินออกไปจากถนนสายโน้นสายนี้ ที่ท่านอธิบายไว้ในบุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติ เหมือนเราเดิน ออกไปไกล ออกไปมากมายหลายเรื่องหลายราว เรานี่แหละ เป็นผู้เดิน เรานี่แหละ เคยผ่านมา เรื่องนั้น เรื่องนี้ ไม่ใช่ไปสร้างเรื่องใหม่เป็นนิทาน คิดเรื่องใหม่ ไม่ใช่ เรื่องเก่าของเรา เราเคยผ่าน เราเคยมี เดินออกไป ก็ไปเจอของเก่า (คนฟัง
: เหมือนกับเราตามรอยเท้าเรากลับไป) (คนฟัง
: แล้วเวทนาที่เราได้ ที่เราเปรียบเทียบมันก็เป็นปัจจุบันของเราที่เราได้)
(คนฟัง
: การที่จะมีญาณหยั่งระลึกรู้ไปถึงอดีตมากๆ เราต้องฝึกฝนอย่างไร) ซึ่งเก่งและตั้งมั่นชำนาญ หรือเป็นอย่างนั้นๆ จนมีประสิทธิภาพมากก็ได้ ก็นั่นแหละคือ ความหมายของ สมาธิ ที่ว่าความตั้งมั่นของจิตเป็นสมาธินะ concentration ที่เกิดได้เป็นได้จริง อยู่ในอัตโนมัติของมนุษย์ ส่วนสมาธิกัลยาณชน meditation นั้นเป็นสมาธิที่ผู้สะสม หรือฝึกฝน เป็นผู้รู้ว่าตนเอง ตั้งใจทำสมาธินั้นๆ meditation นี่จะมีสติ ส่วน concentration นี่ ไม่มีสติรู้ตัว แต่ทำโดยอัตโนมัติได้ ส่วน meditation นี่จะต้องมีสติ รู้ตัวว่า เออ เราจะทำ เราตั้งใจจะทำ มีนิยามต่างกัน มีความหมายที่กินความต่างกัน สมาธิกัลยาณชนนี่ meditation นี่ก็จะตั้งใจทำ โดยกรรมวิธีไหนแล้วแต่ โดยวิธีการไหนแล้วแต่ คุณจะไป TM คุณจะไปโยเร คุณจะไป หาอาจารย์มั่น คุณจะไปหาอาจารย์ยุบหนอ พองหนอ หลวงพ่อคูณทำสมาธิ หรือ แล้วแต่เถอะ ทุกวิธีการ แม้ฤาษีชีไพรต่างๆ ก็มีวิธีมากมาย สรุปแล้วก็คือ มีวิธีการตั้งใจที่จะทำสมาธิ ก็คือตั้งใจ จะทำกับจิตละ เป้าหมายหลักก็คือ จะหาสงบ บางคนจะไม่เอาสงบธรรมดา สงบแล้วจะรวมพลังจิต มาเล่นอภินิหาร อะไรก็แล้วแต่ เป็นสมาธิที่ผู้สะสม หรือฝึกฝน เป็นผู้รู้ว่า ตนเองตั้งใจทำสมาธินั้นๆ และจะมีวิธี ทำให้เกิดเป็นสมาธินั้นๆ ขึ้นมา ส่วนมากก็ใช้วิธีสะกดจิตให้สงบ อาตมาใช้คำรวมเลย สะกดจิต ด้วยวิธีการ แบบวิทยาศาสตร์ หรือแบบไสยศาสตร์ หรือแบบที่เขาเรียกว่า ทางธรรมะอะไร ก็ตามใจเถอะ ส่วนมาก ก็ใช้วิธีสะกดจิตให้สงบ หรือให้จิตรวมเป็นหนึ่ง ก็คือให้จิตเป็น concentrate อีกนั่นแหละ ให้จิต รวมเป็นหนึ่ง ให้เป็นเอกัคตา ให้จิตรวมเป็นหนึ่ง ซึ่งวิธีการที่รู้กันทั่วไปทำกันทั่วไปก็คือ นั่งเพ่งวัตถุข้างนอก หรือ นั่งเพ่งอารมณ์ภายใน สรุปง่ายๆวิธีการทั่วไปก็คือ นั่งเพ่งวัตถุข้างนอก หรือเพ่งอารมณ์ภายใน เพื่อให้จิตรวมเป็นหนึ่ง จนจิตตั้งมั่น หรือที่เรียกกันง่ายๆ เผินๆ ว่า นั่งสมาธิเข้าฌาน meditation นี่ล่ะคือ meditation คือนั่งสมาธิ หรือเข้าฌาน หรือจะเป็น การสะกดจิต hypnotize ภาษาอังกฤษเรียก Hypnotize ก็ the same หรือภาษาจีนว่า แปะเอี้ย เหมือนกันน่ะ คล้ายกัน จนเป็นการสะกดจิต การเพ่งกสิณก็ได้ทั้งนั้น ก็ล้วนเป็นการทำใจให้รวมเป็นหนึ่ง ให้เก่ง และจะให้ตั้งมั่นแข็งแรงอยู่นาน แต่ถ้าทำให้เกิดสมาธิได้แล้ว แล้วก็ใช้จิตนั้น ไปในทางอิทธิ หรือ อาเทศนาปาฏิหาริย์ หรือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่มิจฉาทิฐิ หมายความว่า จิตนั้นน่ะ เมื่อทำจิตเป็นสมาธิได้แล้ว แล้วก็จะเอาจิตนั้น ไปใช้ในทางอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทศนาปาฏิหาริย์ หรือไปใช้ใน อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ที่มิจฉาทิฐิได้ เอาไปใช้ในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือตามคำสอนที่เป็นคำสอนเพี้ยน คำสอนที่ไม่ตรงทาง ไม่ได้เป็นไปเพื่อละ หน่าย คลาย ไม่ได้เป็นไปเพื่อทางโลกุตระที่ยิ่งก็ได้ แล้วเอาจิตที่เป็นสมาธิไปใช้อย่างนี้ หรือใช้ไปในทางโลกียะ ใช้ไปในทางโลกธรรม เพิ่มความฉลาดปราดเปรื่อง ให้มีฤทธิ์ มีสมรรถภาพที่ เสริมเติมโลกธรรม คือจะได้รวย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เอาสมาธิไปเสริมให้รวยลาภ รวยยศ รวยสรรเสริญ รวยโลกียสุขอะไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่ให้จิตสงบ หยุดคิด หยุดทำ หยุดพัก แล้วก็หลงติด ความสงบนี้ หากสมาธิใดเป็นไปเพื่อผลดังกล่าวมานี้ ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นสมาธิกัลยาณชน ฟังให้ชัดนะ ๑. เอาจิตนี่ไปเล่นอิทธิ หรืออาเทศนาปาฏิหาริย์ หรือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่มิจฉาทิฐิ แล้วก็เอาสมาธินี้ ไปเพิ่มลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เอาสมาธินี้ แล้วตัวเองก็ไปนั่งจิตติดสงบนั่น อย่างนี้ไม่ใช่กัลยาณชน ไม่ใช่นะ นี่แหละนั่งจิตสมาธิ แล้วก็ไปนั่งสงบจิตติดสงบ มันเด๊ สุขเด๊ นั้นน่ะก็ไม่ใช่กัลยาณชน ยังงมงาย งุ่มง่าม แล้วก็ทำให้ตัวเองเป็นก้อนหิน กัลยาณชนมีประโยชน์นะ ไม่ใช่นั่งติดจิตสงบแล้ว ก็ไม่เอาถ่านอะไร เหมือนหลวงพ่อ...นี่แหละ ไม่ใช่แม้กัลยาณชน จิตติดภวังค์ ติดภพสงบ หยุด ยิ่งกว่าก้อนหินก้อนดิน ไม่มีค่า แม้แต่ก้อนหินก้อนดิน ไม่ใช่ ยังไม่ใช่แม้กัลยาณชน เพราะฉะนั้น คนทำจิตสงบได้เก่ง เป็นฤาษีชีไพร แล้วนั่งติด จิตสงบเก่ง ไม่เอาถ่านเลย ไม่เกี่ยว มักน้อยที่สุด สันโดษ สันโดษแบบเดี่ยวๆ ไม่ใช่สันโดษ โดดเดี่ยวที่สุด ทำยากเหมือนกัน ทำยากเหมือนกัน แค่นี้ก็ยังไม่ชื่อว่ากัลยาณชน ยังเป็นคนหลงทิศหลงทาง ที่เป็นปุถุชน ที่ติดยึดอะไรอันใดอันหนึ่งมากมาย ลงทุนมากนะ กว่าจะทำอย่างนั้นได้ แต่ไม่คุ้มเลย ไม่ใช่ อย่าไปพูดถึงอาริยะ กัลยาณชนยังไม่ให้นะ นี่ยังไม่ให้คะแนนแม้กัลยาณชน เพราะคุณประโยชน์ ยังเป็นแค่ สมาธิปุถุชน นี่เป็นปุถุชนธรรมดา หลงอะไรไปเท่านั้นเอง แต่ต่างเพียงเจตนาฝึกฝนเอาจนได้เท่านั้น ต่างกันตรง วิธีการฝึกฝนเอา มันต่างกันไป ทีนี้จะชื่อว่า สมาธิกัลยาณชน ก็ต้องดูผลที่หมาย จะชื่อว่ากัลยาณชนนั่นเป็นวิธีการที่จะทำให้จิต เป็น เอกัคตา เอาเอกัคตาไปทำฤทธิ์ เอาเอกัคตาไปทำอาเทศอะไร เอาเอกัคตาไปล่าลาภ ล่ายศ เอาเอกัคตา ไปติดสงบ อยู่ในภพ ในชาติ อย่างนี้เป็นปุถุชนหมด สมาธิกัลยาณชน ก็ต้องดูผลที่หมาย หรือที่ได้ตามมา ถ้าผลที่มุ่งหมาย หรือที่ได้จากสมาธินี้ เป็นการลดกิเลสนิวรณ์ จึงจะชื่อว่า สมาธิกัลยาณชน meditation ที่แท้ เพราะได้ลด กิเลสนิวรณ์ จึงเป็นสมาธิที่แท้ ลดอย่างไร เอ้า เดี๋ยวๆ จะขยายจากกัลยาณชนต่ออาริยชน กัลยาณชน เขาก็ลดกิเลสเหมือนกัน แต่เขาไม่รู้กิเลส ส่วนมากหมักหมกปิดตัด ตัดดื้อๆ จะฆ่าโจร เผาเมือง เลย ไม่ใช่เผาบ้านเท่านั้น เผาเมืองเลย ก็โจรมันอยู่ในเมืองนี้ โจรหนีมาจากอเมริกา มาอยู่ในเมืองไทย เผาเมืองไทย ทั้งหมดเลย จับโจร ฆ่าโจร อย่างนี้ไม่ไหว มันมากไป แต่ของพุทธนี่ อย่าไปฆ่า อย่าไปทำลาย อะไร จับโจรได้แม่น เอาโจรเข้ามา แล้วฆ่าให้ถูกหัวใจ ฆ่าให้ถูกหัวใจโจร ตายสนิท แหม จับโจรให้ถูกตัว แล้วฆ่าให้ถูกหัวใจโจร นี่พุทธต้องแน่ถึงอย่างนี้ ไม่ไปทำร้ายทำลายอะไรเลย ฆ่าหัวใจ ให้ถูกหัวใจโจรนี่ ไม่ให้โจรเจ็บปวดด้วยนะ ไม่ให้โจรเจ็บปวดด้วย ให้โจรรู้ตัวแต่ว่า ข้าเป็นโจรเอ็งต้องตาย ต้องตายอย่างยินดี ยินดีที่ต้องตายได้สำนึกว่า อ้อ เราเป็นโจรหรือ เราชั่วหรือ เราต้องตายนะ เราต้องตายนะ เอ้อ ยินดีตาย อย่างเต็มใจ โปรดโจรตายอย่างเต็มใจ นี่ของพุทธถึงขนาดนี้นะ และไม่ว่าจะมีคุณภาพ ระงับกิเลสนิวรณ์ได้ชั่วคราว หรือได้นานเท่าใดก็ตาม หากเป็นสมาธิที่ไม่ได้เกิดจาก ทฤษฎี มรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง และเป็นสมาธิที่ไม่ช่ำชองในทฤษฎีโพชฌงค์ ๗ อย่างสมบูรณ์ ก็ล้วน แต่เป็น สมาธิที่ได้ผลด้านเจโตสมถะ ที่ไม่ใช่โลกุตระ ซึ่งสมาธิเช่นนี้ก็อยู่ในข่ายของสมาธิกัลยาณชน ไม่สูงกว่านี้ ไม่ล่วงล้ำเขตโลกุตระได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเป็นเครื่องหมายเอาไว้ว่า ลัทธิอื่น ว่างจาก มรรคองค์ ๘ สูญ ท่านบอก ท่านใช้คำว่าสูญเลย สูญจากมรรคองค์ ๘ ในภาษาบาลีใช้คำว่า สุญ ลัทธิอื่น ที่สูญจากมรรคองค์ ๘ ลัทธินั้นไม่มีสมณะ ๔ เหล่า ไม่มีอาริยชน ไม่มีโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ นั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงไม่เรียก สมาธิอาริยะ ผู้ที่ปฏิบัติถูกทางของสัมมาอริยมรรคองค์ ๘ มีโพชฌงค์ ๗ มีโพธิปักขิยธรรม นี้เท่านั้นที่ชื่อว่า เป็นสมาธิอาริยชน เพราะเป็นสมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อเป็นอยู่สุข นี่มีอีกสูตรหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นสุขนะ กัลยาณชนเป็นสุข ซึ่งสมาธิเช่นนี้ จะอยู่ในข่ายของ
GLB1I.TAP |