บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน ๖ หน้า ๒ (ต่อจากหน้า ๑)
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๗
เนื่องในงาน พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๘ ณ พุทธสถานศาลีอโศก

เปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพดี มีพฤติกรรมที่ดีหมด กาย วาจา ใจ ดีขึ้นๆๆๆ เราเป็นผู้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ จริงๆ เพราะฉะนั้น อะไรบกพร่องเราเตือนกัน บอกกัน ฟังแล้วก็เออ ตอนนี้ดีนะ ตอนนี้ท่านเน้นตอนนี้ แก้ไขกาย วาจา ใจ ทั้งหมด ไม่ใช่ผู้ดีแต่เฉพาะใจ ไม่ใช่ผู้ดีแต่เฉพาะกาย วาจา ใจไม่แก้ไข ใจไม่เปลี่ยนแปลง ใจไม่เป็นเลย ไม่ใช่ ครบ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ครบ ได้เนื้อแท้ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราอยู่ในฐานะไหน เราแก้พฤติกรรมกันจริงๆ ปั๊บ ปรับปรุงพฤติกรรมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ดีกว่านี้ยังมีอีก เราต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าดีไม่มากกว่านี้ ไม่มีเนื้อหา ไม่มีสาระแท้ที่ดีกว่านี้ เราช่วยคนไม่ได้มากกว่านี้ และเราเองก็ไม่ไปถึงที่สูง ที่สุด ตราบใดที่อาตมายังมีลมหายใจ อาตมาก็จะต้องทำไปอย่างนี้แหละ เหนื่อยก็พัก มัน overload ก็ปัว รู้จักปัวไหม ปัวแปลว่ารักษา ภาษาอีสาน ปัวอาตมาก็แล้วกัน ปัว ภาษาอีสานแปลว่ารักษา

นี่เรื่องของตัวเราที่จะต้อง ทำตัวให้เป็นบุคคลบุญนิยม เมื่อทำตัวเป็นบุคคลบุญนิยมแล้ว เราได้แนวลึก เราได้แนวจริงขึ้นมา มันก็จะมาหาโลก โลกนี่แหละ เราอาศัยอยู่กับโลก และเราก็จะช่วยโลกได้ เพราะเรา รู้โลก รู้เท่าทันโลกเขามากขึ้น ที่เราเอาโลกเขาเป็นไป แม้แต่ทางไกลเลยนะ และเราคิดไม่ถึงเขาเสียด้วยซ้ำไป ว่าเดี๋ยวนี้ เขาจะเป็นนิกส์ เขาจะสะสมทุนด้วยวิธีการกลวิธีต่างๆ นานา จนเขารู้กันเองว่า โอ้โห สะสมทุน กันแบบนี้แล้ว เขารู้นะ ไม่ใช่เขาไม่รู้นะว่าตลาดหุ้นนี่นะ มันคืออะไร ไม่ใช่เขาไม่รู้กันนะเขารู้

นักเศรษฐศาสตร์ ก็รู้ว่า เป็นทุนปลอม มันเป็นทุนหลวม มันเป็นการปั่นขึ้นมาหลอกกันชั่วคราว เพื่อที่จะ ให้เกิด การหมุนเวียนเข้าไปให้ทำงาน ให้ได้เกิดการทำธุรกิจ หรือการค้าอะไร ต้องใช้ทั้งนั้น แล้วเขาก็ถือว่า ไปสร้างธุรกิจ ไปสร้างการค้า ไปสร้างอุตสาหกรรม ไปสร้างโน่น สร้างนี่ ด้วยทุนอันนี้ไปทำนี่ นั่นคือ ความเจริญ ผลสะท้อนกลับ หรือภัยข้างเคียงของอุตสาหกรรมก็ดี ภัยของทุนปลอมนี่ มันก็มี เห็น เกิดแล้ว ภัยของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมคือความขยันหมั่นเพียร ที่จะเอาวัตถุดิบ เอาแรงงานคน เอาความคิด มาสังเคราะห์ เอาสิ่งที่ต้องการออกมา เสร็จแล้วก็จะมีเศษกาก หรือมลพิษที่เหลือแน่นอน คุณเอาอันหนึ่งมา อีกอันหนึ่ง แล้วคุณก็ต้องทิ้ง เพราะคุณไม่ต้องการ มันเป็นธรรมชาติของมันจริงๆ เสร็จแล้ว เขาก็เอา สิ่งที่เขาได้มานี่ ด้วยความรู้ความสามารถ ได้ไปแล้วก็ไปเหลิง เหลิง นึกว่าเราเก่ง นึกว่าเราได้มาก คนที่มีสิทธิ เป็นนายทุน มันก็ใช่ซิ เขาทำมาเองก็เยอะ ก็มาก เขาก็เลยเกิดการบริโภคอย่างโง่ บริโภคอย่างเหลิง บริโภค อย่างผลาญ บริโภคอย่าง luxury บริโภคอย่าง mass consumption บริโภคอย่างมาก mass มาก มันก็เลย ผลาญพร่า แล้วเขาก็สร้างค่านิยม กินอวด กินอ้าง เหมือนอย่างที่เราปัจเวกขณ์นี่ เราไม่กินอวด ไม่กินอ้าง ไม่กินผลาญ กินพร่า ไม่กินอะไรให้เป็นตัวอย่างที่ไม่เข้าท่า กินอย่างประหยัดมัธยัสถ์ ไม่หรอก กินอย่างมาก อวดอ้างว่า ข้ารวย ข้ากินเหลือ ข้ากิน อยากกินเมื่อไหร่ก็หากินได้ อยากอะไร เบ่ง ในลักษณะพวกนี้ ซ้อนเชิง มันก็เลยกลายเป็น ตัวอย่างที่ว่า พวกนี้เขามีกิน มีอยู่ เขาไม่ทุกข์ พวกนี้เขามีมากมาย เขามีคนรับนับถือ มีคนขอเศษขอกาก มันยิ่งใหญ่ เผินๆ คนรู้สึกอย่างนี้ เขาก็อยากเป็นคนที่ร่ำรวยเป็นคนที่มีอำนาจ เป็นคน ที่เป็น ทุนนิยมอย่างนั้น เขาก็อยากเอาอย่าง อยากเป็นอย่างนั้นตาม ด้วยความไม่ลึกซึ้ง แต่พวกเรานี่ รู้ทัน หรือยัง ยังมีเชื้ออยู่นะ ยังไม่หมดเชื้อ รู้ แต่ยังไม่หมดเชื้อทุนนิยม

เพราะฉะนั้น พวกเรายังเป็นทุนนิยมน้อย ทุนนิยมกลางอะไรอยู่บ้าง เข้าใจแล้วละ แต่มันยังวางไม่ได้ เลิกไม่ได้ เลิกเป็นนายทุนจริงๆ ไม่ได้ ยังเป็นทุนนิยมกลาง ทุนนิยมน้อย ทุนนิยมเล็กอะไรอยู่ เลิกมาให้ได้ ถ้าเราจะมาเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่อย่างนายทุน เป็นตัวอย่างอย่างพระพุทธเจ้าพาเป็น เป็นคนมักน้อย สันโดษ แต่เราก็อยู่ได้ กินอย่างนี้แหละ อยู่อย่างนี้แหละ เสื้อผ้าอย่างนี้แหละ ที่อยู่อาศัยพักอย่างนี้แหละ นอนง่ายๆ อย่างนี้แหละ อะไรก็แล้วแต่ที่เราเป็นไปอยู่นี่มากมาย เป็นให้ได้ จนกระทั่งเกิดจารีต ประเพณี วัฒนธรรม คนในลักษณะชาวอโศก มันเป็นในรูปลักษณะของชาวอโศก เป็นคนอย่างชาวอโศก มาเรื่อยๆ แค่ ๒ ทศวรรษนี่ ยังเป็นวัฒนธรรมไม่สมบูรณ์เท่าไหร่หรอก ยัง ๑๐๐ ปีก็ยังน้อยอยู่ มันจะมีวัฒนธรรม ที่ซ้อนเนียน ลึกซึ้งขึ้นอีกเรื่อยๆ มันยังกอบก่ออยู่นะนี่ มันยังไม่ได้ดีสุดหรอกนะ

โยมนี่บอกว่า เพิ่งจะก่อเกิด ยังเดินยังไม่ได้เลย ยังเป็นไอ้หนู ยังเดินไม่ได้ เตาะแตะๆ ยังเดินไม่ได้ ยังล้มลุก อยู่นะ หัดเดินอยู่ อโศกเรานี่ วัฒนธรรมอโศกยังเตาะแตะอยู่ แต่มีรูปร่างขึ้นมาแล้ว จนกว่า จะแข็งแรง จนกว่า คนจะเห็นได้ โอ้โฮ ผ่องใส แตกเนื้อหนุ่ม แตกเนื้อสาว ทีนี้แหละ คนถึงจะฮือฮา คนถึง จะชื่นชม ใช่ไหม ขณะนี้อโศกไม่มีใครเขาฮือฮาหรอก เขามองแล้ว อะไรวุ้ย มันคนหรือเปล่า เหมือนลูกกรอก เป็นเด็ก เด็กยังจะต้องอยู่ในตู้อบอยู่เลย มันยังไม่ค่อยเต็มรูปเต็มร่างเพราะ concept ของเขา หรืออุปาทาน ของเขามีว่า เด็กที่น่าเอ็นดู ต้องมีรูปร่างอย่างนั้น แต่ว่าเด็กของอโศกนี่ รูปร่างมันเหมือนคนพิการ เหมือน เด็กพิการ เด็กยังไม่เต็ม คลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า หรือว่าเด็กถูกแม่กินยาหรือเปล่า อะไรอย่างนี้นะ แต่ของเราเต็ม ของเรา กำลังตรงนั้นตรงนี้ กำลังบำรุงกันอยู่ ขาดตรงไหนก็บำรุงกันอยู่ เรากำลังหาจุด บำรุงกัน ให้มันครบ ให้เป็นเด็ก ที่ครบทุกส่วนสมบูรณ์ และอีกหน่อยก็บำรุง ให้เต็มรูปร่างขึ้นมา สักวันหนึ่ง จะเป็นหนุ่ม เป็นสาวที่ โอ้โฮ เห็นมันกำลังแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว นี่มันงามที่สุดละ คนรุ่นนั้นน่ะ ยัง ยังไม่ถึง รุ่นนั้นนะ ใช่ไหมอโศกนี่ คนเขามองมา ยังไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เป็นไอ้เด็กกะโปโล แต่ตอนนี้ ชักเห็นแล้วว่า เฮ้ย มันเป็นเด็ก มันเป็นชีวิต ชีวิตแล้วมันก็รู้สึกว่า มันไม่เป็นภัยอะไร ไม่ใช่ตัวพิษ ไม่ใช่ตัว แมงอะไรพิเศษ ที่ว่า ควรจะขยี้ฆ่าเสียหรอก คนชักเห็นแล้ว นี่เป็นตัวที่มีประโยชน์นะ เป็นตัวที่ปล่อย ให้มันโตไปก่อน ดูดี มันคงพอที่จะเป็นเครื่องใช้ได้นะ ชักรู้สึกอย่างนี้แค่นั้นเอง แต่น้อยคนด้วยซ้ำ ที่รู้สึกอย่างนี้ น้อยคนด้วยซ้ำ นี่รูปของอโศกขนาดนี้ กำลังเป็นอย่างนี้ คุณเห็นด้วยไหม ฟังดูดีๆ

อาตมาตรวจสอบดูค่าของอะไรต่ออะไรอยู่ในโลก โลกเขาขาดแคลน แล้วร้องกันโอยอายแล้ว แม้แต่ ดอกเตอร์ ทั้งหลายแหล่ เรียนมา แปลมา นักรู้ เขายอมรับกันนะ คลื่นลูกที่สาม ความล้มเหลว ของสังคม ความต้องการ ของทิศทางใหม่ อะไรก็แล้วแต่ เขียนออกมา ภาษาเขาตั้งขึ้นมา ไม่รู้กี่เล่ม ต่อกี่เล่ม เอามาให้ อาตมาก็รับมาแล้ว ก็เปิดดูบ้าง ดูหน่อยน่า เหมือนกับคนประมาท หยิ่งๆ เลยนะ จริงๆ อาตมารู้นะ แต่อาตมา ไม่มีเวลาที่จะอ่าน เปิดดูบ้าง นิดๆ หน่อยๆ ... ขอรับสารภาพว่า อาตมาไม่ได้อ่านละเอียดสักเจ้า แต่อาตมาว่า อาตมาพอรู้ ไม่พลาดพลั้งหรอก เขาไปถึงไหน ขนาดไหน อาตมาก็เข้าใจ และก็ไม่ได้ สมน้ำหน้าหรอกว่า คุณกำลังล้มเหลว ไม่มีทางไปแล้ว เศรษฐกิจก็ตัน กลายเป็นเศรษฐกิจกาสิโน กลายเป็น เศรษฐกิจทุนปลอม เศรษฐกิจฟองสบู่ โดยเฉพาะมุ่งหมายถึงเรื่องของหลักทรัพย์ หรือเงินทอง ที่จะไปเป็น ตัวที่จะสร้างสรร ทุกวันนี้เอาหลักทรัพย์ หรือเอาเงินทอง ตัวสะพัด ที่เป็นค่าแทน ไปเป็นหลักใช่ไหม แล้วเขา จะได้สร้างสรรต่อ เขาก็ล้มเหลว ด้วยวิธีการที่จะประมวลหาวิธีหาเงินมา เพื่อที่จะทำแล้ว กลายเป็น สิ่งซับซ้อนที่ปลอม ที่เป็นฟองสบู่ ที่เป็นกาสิโน อย่างที่ตลาดหุ้นนี่ เขาก็รู้ของเขาไม่ใช่เขาไม่รู้ แต่เขาจำนน เขาจนตรอก เขาไม่มีทางเลือก เขาได้อันนี้เท่านั้น เขาไม่มีวิธีการอื่น เศรษฐศาสตร์ของเราล้มอันนั้น แล้วเรา ก็รวมทุน ไม่ใช่ไม่รวม เรามีกองบุญสวัสดิการ แต่พวกเรายังขี้เหนียวอยู่เท่านั้น เพราะมันยังเห็นแก่ได้ ฝากแบงก์ มันได้ดอกนี่หว่า ฝากนี่เขาไม่ให้ดอก แต่ก็เกรงใจ มีอยู่ ๑๐ ล้าน ก็ฝากไว้ ๒ แสน ฝากกองบุญ สวัสดิการ ไว้หน่อย เอ้า ก็ขอบคุณ ๒ แสนก็ขอบคุณ ยังไม่กล้าเอาออกมา ๑๐ ล้านหรอก เพราะเราเอง เรายังต้องการดอก ต้องการ ยังกิน ยังใช้เปลือง ตัวเราเองยังเปลืองนี่ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณลดลง ลดลง คุณก็ไม่เปลือง แล้วคุณก็มั่นใจ จนกระทั่งรู้หมู่นี้ว่า เออ ไม่ต้องมีอันนี้ก็ได้ อย่าว่าแต่ ๑๐ ล้าน ที่เรามีอยู่ ในแบงก์เลยนะ แล้วเอามาฝากไว้กองบุญสวัสดิการเท่านั้นเลย บอก บริจาคไปเลยก็ได้ เมื่อถึงคราวถึงครั้ง นี่ไม่ได้มายุนะ เดี๋ยวจะหาว่า อาตมา มาพูดเอา ไม่ได้มายุ ไม่ได้มาพูดเอา แต่ว่ามันจะเป็นจริงของคน มันค่อยๆ ไปของมันตามจริง ตามสัจจะ ตามจิตวิญญาณ เมื่อมันมั่นใจ เมื่อมันเป็น มันมี

พวกเราไม่ใช่คนไม่มีสมรรถภาพ มีสมรรถภาพ มีบุญบารมี บางคนไม่ได้หาเองก็มี มันมีบารมีของแต่ละคน บางคนมี บางคนตัวเองไม่ได้ทำงานหรอก สามีให้มาอยู่เรื่อย เยอะ แล้วก็มาทำอะไรอยู่ทางนี้ก็ได้ มันมีบุญ ของแต่ละคน แต่ถึงมีนี่ละ เราต้องพิสูจน์ว่า เราจะต้องสละออกได้ อย่างไรแค่ไหน แล้วมันจะรวมกันเอง เหมือนเขาเป็นน่ะ ธนาคารของเขาทางโลก เขาบาปมากเลย ธนาคารของเรา มันไม่มีบาป กองบุญสวัสดิการ ของเรานี่ ก็พยายามพัฒนา ทุกวันนี้เราทำงานพอมีสัมมาอาชีพ มีสัมมากัมมันตะ พอที่จะพอเป็นไป เครื่องมือไฮเทค เครื่องมือเทคโนโลยีชั้นสูงอะไร ที่เราจำเป็นที่จะต้องเอามาใช้ให้มันทันเวลา เขาเหมือนกัน ถ้าไม่งั้นแล้ว เราจะบอกว่า เราจะวิ่งทันเขาไหมนี่ พวกโลกเขานี่ โอ้โฮ เทคโนโลยีของเขาเหลือเกิน เหลือกินนะ เราจะวิ่งทันไหม เราไม่ต้องวิ่งทันหรอก เป็นแต่เพียงว่า เขาไม่ต้องมาข่มเรามาก คุณค่าที่วิเศษ อันนี้อธิบาย ให้เขาจริงๆ แล้วเขาจำนน อย่างของคุณ ของคุณขูดรีด ของคุณข่มเบ่ง ของคุณเอาเปรียบ ของเรานี่เสียสละ เสียสละ ทุนรอนเอามาสร้างสรร ไม่ได้เอามาเข้าตัว สร้างสรรนี่ เราเอามาเป็นส่วนกลาง มาเป็นส่วน ที่จะเฉลี่ยส่วนที่จะกระจายไป แม้แต่คืนไปหาคุณเอง อย่างเราผลิตแล้ว เราเอาออกไป ร้านค้า ร้านขาย คุณก็มีสิทธิ คุณจะรวยเท่าไหร่ คุณก็มีสิทธิจะมาซื้อของเรา อย่างนี้เป็นต้น เราให้แก่คุณอย่างอิสระ อย่างนี้ แต่ของคุณหลายอัน คุณปิดป้อง คุณไม่ให้เราเกี่ยวข้อง แต่ของเรา เข้ามาเกี่ยวข้องได้ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ในการเป็นไป ในลักษณะของโลก ในลักษณะของธรรม ในลักษณะที่กำลังเป็นไป แบบทุนนิยม บุญนิยม อะไรอยู่นี่ อาตมาขอยืนยันว่า ทางนี้นี่ พระพุทธเจ้ารู้แล้วสอน แต่สังคมสมัยพระพุทธเจ้า มันไม่ได้ จัดจ้าน มันไม่ได้หยาบคาย มันไม่ได้ซับซ้อน มันไม่ได้ขี้หลอกอย่างทุกวันนี้ ก็มีคนมองอาตมา เหมือนกันว่า ทำไมพาทำ ถึงขนาดนี้ สมัยพระพุทธเจ้า ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้นี่ ใช่ ใช่เลย สมัยพระพุทธเจ้า ไม่ทำถึง ขนาดนี้หรอก มันหลายอย่างที่ทำขนาดนี้ไม่ได้ ๑.แม้กระทั่งสมบูรณาญาสิทธิราช สมัยพระพุทธเจ้า ก็ทำอย่างที่ อาตมาพาทำไม่ได้ ความเข้าใจในเรื่องของสังคม เขาก็ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างนี้ เขาก็ยัง สังคมทาสอยู่ ต่างกันมาก

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ต่างคนต่างมีอัตตามานะ สมัยพระพุทธเจ้านั่น อัตตามานะไม่มี ข่มกันได้ง่าย ใครมีอำนาจ ข่มกันได้หมด เป็นทาส สมัยนี้ต่างคนต่างมีอิสรภาพ ต่างคนที่ต่างเบ่ง แล้วจะไปทำอย่าง สมัยพระพุทธเจ้า นะเหรอ ไม่ได้ ใช่ไหม มีนัยละเอียดกว่านี้ ที่อาตมายังอธิบายไม่ออก เพราะฉะนั้น หลายอย่าง ที่อาตมาจำนน แล้วทำไมต้องรับอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมอาตมาไม่ให้ใช้ดอกไม้ ธูปเทียนเลย สมัยพระพุทธเจ้า ท่านยังอนุโลม รับดอกไม้อยู่ ท่านยังรับเลย แต่สมัยนี้พูดกันรู้เรื่อง ไม่ต้องรับดอกไม้ จะเสียหายอะไร แล้วคุณมีปัญญาพอที่จะรู้ แล้วก็ไม่ต้องรับ เพราะฉะนั้น อาตมาคัดเลือกเอาคน ที่มีปัญญารับ บอกว่าไม่ต้องใช้ดอกไม้ ธูปเทียน แค่ดอกไม้ธูปเทียนไม่ต้องติดนี่ จะมาปฏิบัติธรรม ได้เนื้อหาไหม เอาคนแค่นี้ก่อน ไม่ต้องติดแค่ดอกไม้ธูปเทียน ไม่ต้องติดไฟ ไม่ต้องติดน้ำ เอาสูตรหลักของ พระพุทธเจ้า มาใช้เลย ที่นี้พวกคุณเถียงไม่ได้ มันสูตรหลักมีอยู่

แล้วก็ซ้อน อย่างดูหนังดูละครละ ผิดศีลน่ะ อาตมาก็บอกว่า ไอ้หนังละครนี่ต้องเรียนรู้ เหมือนเรียนรู้ไฟฟ้า เหมือนเรียนรู้ยาพิษ แล้วเราเอามันมาใช้ อยู่เหนือมันให้ได้ แล้วเรามาใช้ประโยชน์ได้ อาตมาตัดสินใจช้านะ กว่าอาตมา จะตัดสินใจว่า เอ๊ จะเอาวิดีโอ มาฉาย มาดูกันดีหรือไม่ดี ตัดสินใจตั้งนาน จนดูพวกเรา กำลังอินทรีย์แล้ว อาตมาก็บอกพวกเราแล้วว่า คุณจะไปปิดวิดีโอ ปิดทีวี ของเขานั่นล่ะไม่ได้ ทีวี มีซับซ้อน ลึกซึ้ง ยิ่งคุณจะไม่เอา มันก็จะยัดเข้ามาหาลูกนัยน์ตาของคุณน่ะ ในอนาคต เสียงคุณบอกว่า จะต้องเป็น วิทยุ ถึงจะเปิด มันจะไม่ต้องเปิดวิทยุ มันก็จะต้องอุดหูคุณน่ะ คุณวิ่งหนีไม่ได้หรอก โลกมันจะสร้างมา เป็นอัตโนมัติ เป็น automation มากขึ้น คุณหนีไม่ได้หรอก

อาตมาเลยเห็นความจำนนตรงนี้ว่า ถ้าเราไม่ตั้งท่าที่จะสู้มัน ก่อนมันมาหาเรา เมื่อนั้นเรายับเยินเลย มันมีฤทธิ์แรง ยับเยินเลย เพราะฉะนั้น ตอนนี้ต้องเตรียมท่าสู้มันก่อน เรียนรู้ มันจะมาท่าไหน เรียนรู้มันก่อน

เพราะฉะนั้น อย่าประมาทเลย อาตมาบอกคุณแล้วว่า สร้างอินทรีย์พละก่อน ไปดูโทรทัศน์ เดี๋ยวนี้โทรทัศน์ แม้แต่ตะวันตก แม้แต่เมืองที่เขาไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้มากนัก เขาก็รู้แล้วว่า โทรทัศน์นี่ มันทำร้ายมนุษย์ เด็กทุกคน เป็นลูกโทรทัศน์ ตะวันตกในอเมริกา เด็กเป็นลูกโทรทัศน์ แล้วมันก็เลวไปตามโทรทัศน์ เพราะโทรทัศน์มันเปิดเพื่อโฆษณาเป็นหลัก เพื่อดึงดูดให้คนมานิยมชมชื่นสินค้าผลผลิตของเขา แล้วสินค้า ผลผลิตของเขาจะขายออก คนจะนิยม เขาก็จะต้องเอาให้คนชอบ คนชอบก็เอาอะไรละ ก็เอากิเลสมาล่อ ทั้งนั้น เอากิเลสมาล่อแล้วมันเปิดฟรีเซ็กซ์ ฟรีกิเลสมาก เพราะมันไม่ค่อยประสีประสา กับกิเลส เท่าไหร่ คนตะวันตก คนอเมริกันไม่ประสีประสากับกิเลส ก็เลยปล่อยกิเลสเพ่นพ่านไปหมด เรานี่มีความรู้ทางด้านนี้ ทางด้านนามธรรม ทางด้านจิตวิญญาณ กิเลสตัณหาพอ โดยเฉพาะพุทธ

เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นกิเลสพวกนี้มีฤทธิ์แรงขนาดไหน อาตมาปรามพวกคุณ อาตมาต้องเหน็ดเหนื่อย มานั่งเซ็นเซอร์ทุกวันนี้นา อาตมาอยากปลดปล่อยเต็มที อยากให้ตั้งคณะเซ็นเซอร์ขึ้นมาแทนอาตมา และ พวกเราก็หลายคน พวกเรายังไม่เอาถ่าน อาตมาก็ต้องดูก่อน จนกว่ามันจะพอเป็นไป ไม่เช่นนั้น อาตมา ก็ต้องแบกภาระ แต่ก็ต้องทำ บอกแล้วว่าคุณวิ่งหนีไม่ได้ ตอบอาตมามาซิว่าพวกคุณเอง คุณจะหนีรอด พวกไอ้เครื่องเทคโนโลยีไฮเทคพวกนี้ไปได้ คุณตอบซิว่ามันจะเป็นไปใครจะทำลาย มันมีประโยชน์ไหม มี และก็ไม่ควรทำลาย แต่เราต้องใช้มันให้เป็น ต้องอยู่เหนือมันเหมือนไฟฟ้า มันฆ่าเรา ตายได้ แต่มันซ้อนเชิง ยิ่งกว่าไฟฟ้า ไฟฟ้ารู้เลย จับมันหรือว่าทำเกิน มันตายชักดิ้นชักงอ แต่นี่ตาย ทางวิญญาณ ตกต่ำทาง วิญญาณเป็นเปตานัง เปตานังคือการตายชนิดตกต่ำลงไป ตายอย่างเป็นๆ นี่แหละ คือจิตวิญญาณ มันตายตกต่ำลงไป มันไม่ใช่ตายเหมือนไปจับไฟฟ้าดูดแล้วก็ร่างกายตายแข็งเขียว ไม่ใช่ แต่จิตวิญญาณ นี่แหละแข็งเขียว จิตวิญญาณนี่แหละเสื่อมต่ำลงไป เปตานัง ผู้ตกล่วง หรือผู้ตาย เปตานัง คือการตายชนิด ถ้าเรียนรู้โลกุตระแล้ว ต้องเข้าใจให้ดี เพราะฉะนั้น ที่ไปบอกว่าโปรดพ่อแม่ จากความเป็นเปรต ก็คือโปรด พ่อแม่ ให้จิตวิญญาณตื่นขึ้นมาตรงนี้ ไม่ใช่ว่าตายแล้วค่อยอุทิศส่วนกุศลไปให้ เปรตพ่อแม่ ที่ตายไป ที่อธิบายกันเพี้ยน อยู่ทุกวันนี้ ที่อาตมามาแก้ตรงนี้ อาตมาถึงบอกว่าไปตามบาลีแล้วนี่ ก็แก้เปตานัง ตัวนี้ แต่เปตานัง เขาเข้าใจว่าตายจากท้องพ่อท้องแม่ ตายจากร่างกายนี้แล้วถึงไปเป็นเปตานัง ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้ก็เป็น เปตานัง พ่อแม่ก็เป็นเปตานังอยู่เดี๋ยวนี้ ช่วยให้พ้นจากความเป็นเปรต ช่วยจากให้ตายให้ฟื้นเสีย

เพราะฉะนั้น เราใช้พวกนี้นี่ พวกโทรทัศน์วิทยุอะไรพวกนี้ด้วยกัน ต้องศึกษาฝึกฝน หลัก ๔ ประการ ที่อาตมา คิดไว้ให้นั่นน่ะ ศึกษาดีๆ มันลึกซึ้งนะ ต้องเกิดอริยญาณ หมายความว่า อริยสัจต้องเกิดจริงๆ ทำการปฏิบัติ คุณอยู่กับมัน คุณต้องปฏิบัติ จะต้องมีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ดูวิดีโอ คุณจะต้องมีโพชฌงค์ดูเสมอ โดยเฉพาะสติ ธัมมวิจัย วิริยะให้เกิดปีติ ปีติขนาดไหนคุณรับ, ปีติขนาดไหน คุณลด ดีด้วยในการปฏิบัติ คุณดูไปก็แหม ประทับใจในปีติ อัดพลังกุศล ปีติ อย่างโน้นอย่างนี้ คุณก็ต้อง ลดอุปกิเลสนั้นด้วย หรือบางทีบางคน ยังไม่ต้องลดหรอก อุปกิเลสตัวนั้น เพราะคุณต้องอาศัยพลังนี้ อาศัย พลังปีติ แล้วถึงจะมีกำลัง ถึงจะมีพลังสร้างสรรได้อยู่ เอ้า ตัวคุณ คุณไม่ต้องลด ปีติไปก่อน แต่ถึงวาระ ที่จะลดปีติคุณ เราก็ต้องลด อัดพลังกุศล แล้วก็ต้องลดปีติ ที่เป็น อุปกิเลสซ้อน

ฝึกฝนโลกวิทู ก็รู้อยู่แล้ว ก็ได้รู้โลก มันไม่ต้องเอาตัวเข้าไปเสียเวลา เข้าไปลำบาก โลกมันเป็นอย่างไร เขาอัดกระป๋อง ไว้ให้เราดูหมด แต่อาตมาไม่ให้เอามาดูหมดเท่านั้นแหละ เพราะหลายอย่างเป็นภัยเป็นพิษ และไม่จำเป็นต้องดู ระดับอาร์หยาบๆ ระดับเอ๊กซ์หยาบๆ เอ๊กซ์เองอาตมาก็ไม่เคยเซ็นเซอร์หรอก ...

เอาละกลับมาที่โลกาภิวัฒน์อีกนิดหนึ่ง โลกทุกวันนี้นี่เรากำลังเดินเข้าไปหาเขา ที่จริงมันเดินไปเดินมา จากเขามาหาเรา หรือเรามาหาเขา มันก็อยู่อย่างนี้แหละ เพราะว่าเราไม่ได้ตัดเขาตรงไหน แต่ตัดเขต โดยปัญญา ตัดเขาโดยวิธีการ มีวิธีการ แล้วเราก็เป็นอยู่กันได้ มีจารีตมีประเพณี มีวัฒนธรรม เป็นขีดเขต ที่เป็นเรื่องของความตัด เป็นกำแพงไร้สภาพ

เพราะฉะนั้น คนที่เขาจะเดินเข้ามาในหมู่อโศกนี่นะ คนที่ไม่ค่อยจะอาจหาญ ไม่ค่อยมีภูมิเข้ามา เขาจะรู้สึก เลยว่า โอ๊ย มันยุบๆ ยิบๆ ไปหมดน่ะ เดินเข้ามามันยาก อยู่ไปวัน สองวันนี่ โอ้ ถ้าเผื่อเขาไม่ใช่คนในภูมินี้นะ อยู่ไม่รอดหรอก อยู่ไม่ได้หรอก จะอดจะทนจะแกล้งอดแกล้งทนไปประเดี๋ยวก็ไป ขอให้เนื้อนี่แน่นเถอะ แล้วเรา นี่แหละ จะไปอยู่กับเขาอย่างสบาย เขาจะเข้าใจเราขึ้น และเขาจะยอมรับของเรา โดยที่เรียกว่า ยอมรับ อย่างยกย่อง บางคนอาจจะเคย เดินเข้าไปในเมือง เดินเข้าไปในกรุง ตั้งแต่สมัยแรกๆ โอ้โฮ เขามอง ตั้งแต่ หัวจดเท้า แล้วลักษณะการมองนี่ เรารู้เลยว่ามองอย่างหมิ่นหยาม แล้วก็ อาตมาแสดงให้ดู ในเทป ไม่มี นี่เป็นท่าทีแสดง มองอย่างหมิ่นหยาม มองอย่างดูถูกดูแคลน แล้วก็ พอสรุปผลแล้ว ก็บอกว่า เหมือน สัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ช่างมันเถอะ หรือบางทีอดไม่ได้ ก็บอกว่ามาทำไม มาทำอะไร ไปๆๆๆๆ ถ้าอดไม่ได้ ถ้าอดได้ ก็ปล่อยไป ช่างมันเถอะสัตว์ประหลาดตัวนี้ แต่เขาจะไม่รู้สึกว่า มีค่าอะไรเลย จนกระทั่งผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปีมาถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ ก็ทั้งๆ ที่ตัวเก่านี่แหละ มอซออย่างเก่านี่แหละ นุ่งผ้าถุง แบร์ฟุต ไม่มีรองเท้า บางทีเสื้อผ้าที่เก่าๆ ยับๆ ระวังกลิ่นแล้วกัน ...

เพราะฉะนั้น ต้องหัดซักกันบ้าง หาวิธีการให้มันสะอาดบ้าง แต่ในรูปมอซอ ในรูปโทรมๆ เขาไม่ค่อยถือ แล้วนะ เขาเข้าใจนะ ตอนหลังนี่ เกือบยกมือไหว้ไม่ทัน เพราะเรามันไหว้เร็วกว่า กลัวจะไม่ได้หรอก ต้องไหว้ ก่อนเลย มันเกิดสภาพนี้ขึ้นมา ถึงแม้จะยังไม่ชัด ยังไม่มาก โยมเหมือนคำ บอกว่า เขามองเราเหมือนกับ ท้าวสามล มองเจ้าเงาะป่า รูปร่างข้างนอกนี่เป็นเงาะ แต่อย่าไปมองตื้นอย่างแค่รูปข้างนอกนะ ไอ้เงาะนี่ อย่านึกว่า ไปดูถูกนะ พยายามมองทะลุ เขาพยายามจะทะลุให้เห็นทองเหมือนกัน ระวังทองเก๊นะ (ผู้ฟังหัวเราะ) พวกเรานี่เสร็จแล้วก็ ข้างนอกน่ะเงาะแน่ แต่ข้างในล่ะ ยิ่งกว่าเงาะอีก หว่า ตายแน่ๆ เลย หรือไม่ก็ทองเก๊ ไม่ได้เรื่องนะ มันลวงกันได้จริงๆ คนชั่วจะมีในอนาคต คนซ้อนแฝง คนชั่วจะมี คนแอบแฝง จะมี นี่ในอโศกเรานี่ ชักมีบ้างเหมือนกันแล้ว แต่ยังน้อย

แต่นั่นแหละ จะน้อยจะอะไรก็แล้วแต่ ของจริงน่ะมันเลียนแบบไม่ค่อยได้หรอก แล้วยิ่งมีมวลมากๆ แล้วมัน ก็จะมีฤทธิ์จริง อยู่ในนั้นเอง เพราะฉะนั้น ขอให้อโศกมีมวลอย่างนี้ไปเถอะ มีลักษณะวัฒนธรรม จารีต ประเพณี ความเป็นอยู่ เป็นคนอีกตระกูลหนึ่งจริงๆ เสร็จแล้วโลกเขา เขาจะค่อยๆ ซับซาบ เขาก็แสวงหา เขาก็จำนนแล้ว อาตมาบอกได้ว่า เขาจำนน เขาไม่มีทางไปหรอก ถ้าไม่มา กลับมาทางวิญญาณนี้ ไม่มีทางไป วัตถุมันหมดแล้ว เขาเก่ง เขาเก่งยอดเลยวัตถุ วิจัยเก่งทุกอย่างเลย ที่จะทำอะไรต่อะไร ออกมา ใช้ได้ เก่งหมด จนกระทั่งวัตถุดิบ มันจะไม่มีให้เก่งแล้ว มันจะไปไม่รอดแล้ว แต่เขาติดนิสัย mass consumption มามาก เขาหุบไม่ลง พวกเราปรับปรุงตัวเองแล้วมาอัปปิจฉะ กินน้อย ใช้น้อย กล้าจน มาเป็น mini consumption ที่จริงก็คือ economy consumption คือบริโภคอย่างประหยัด economy ก็คือประหยัด economy ภาษาอังกฤษเขานี่ แปลว่า ประหยัดโดยตรงเลย มาบริโภคอย่างประหยัด แต่ไม่ได้ทรมานตน เพราะเราหยุดเสพ เรียนรู้ อัสสาทะ เรียนรู้ความจริงว่า ชีวิตตั้งอยู่ได้อย่างง่ายๆ ปัจจัยสี่ เครื่องบริขารนิดหน่อย ถ้าจะทำงาน ก็บริขารส่วนกลาง มีเจ้าแจ็ค อะไรก็เป็นของส่วนกลาง เครื่องกลหนัก มีคอมพิวเตอร์ของส่วนกลาง มีเครื่องมือ เครื่องใช้ส่วนกลาง มีศาลาใหญ่นี่ส่วนกลาง มีโรงเรือน ห้องหับทำงานไอ้โน่นไอ้นี่ ของส่วนกลาง ส่วนตัวเราเองนั้น อู้ ง่าย นั่งที่ไหนก็เป็นทิพย์ นอนที่ไหนก็เป็นทิพย์ ยืนที่ไหนก็เป็นทิพย์ เดินที่ไหนก็เป็นทิพย์ มันสบาย มันไม่ติดยึด มันจะไม่สะดวกบ้าง เราก็ไม่ติดใจอะไรนักหนา แม้น้อย เราก็พอไปได้ แม้จะ ขาดแคลนบ้าง ก็พอไปได้ แต่ มันก็ไม่ขาดแคลนนักหรอก ขนาดนี้นี่นะ เทียบกับค่าส่วนรวม ของสังคม เขาดูซิ พวกเรานี่ไม่ขาดแคลนอะไรจริงๆ

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ให้รู้ฐานะหรือว่ารู้เหตุการณ์ รู้กาละเสียว่า เรากำลังโต เรากำลังจะสัมพันธ์ทั้งหมด โลก โลกียะกับโลกุตระ แต่เราก็จะต้องเป็นโลกุตระที่จะต้องอยู่กับโลกเขาได้ ในมุมที่อาตมาเคยบอกว่า โลกุตระ นั้น เป็นฝ่ายให้ โลกียะเป็นฝ่ายเอา เหมือนคน คนละตระกูล ตระกูลหนึ่งตระกูลเอา ตระกูลหนึ่ง ตระกูลให้ ตระกูลหนึ่งตระกูลเสียสละ ตระกูลหนึ่งตระกูลเอาเปรียบ ๒ ตระกูลนี่ มันคนละตระกูลจริงๆ เพราะฉะนั้น อโศก กับคนโลกปุถุชนนี่ มันคนละตระกูลจริงๆ แต่มันอยู่ด้วยกันได้ เพราะคนหนึ่งเอา คนหนึ่งให้ มันก็ไม่ทะเลาะกัน เขาเองเขาว่าตระกูลเดียวกัน เขาตระกูลเอาเปรียบ ตระกูลเอา ตระกูลไม่สละ ตระกูลขี้โลภ มันก็เลยแย่งกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ทั่วโลก มันตระกูลทุนนิยม ตระกูลเดียวกันหมด อย่างเก่ง ก็แค่กัลยาณชน กัลยาณชนก็หาได้ยาก กัลยาณชนยังไม่ชัดเจนด้วยปัญญา ยังทำไม่ได้ ตรงจิตวิญญาณ ยังไม่แก้ไขถูกตัวจิตวิญญาณ เป็นแต่เพียงรู้ด้วยเหตุผลว่า เออ สละดีนะ สละดีนะ แล้วเขาก็สละไป ซื่อบื้อๆๆ พยายามทำ แต่ลึกๆ เขาไม่รู้ว่า sub-concious unconcious จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก ที่มันทำงาน มีบทบาทอยู่ ที่มันจะหาวิธีฉลาดแกมโกง เพื่อที่จะเอามา เพราะฉะนั้น ในโลกานุวัตร เขาถึงบอกว่า พวกนี้สร้างอำนาจ พวกนายทุน พวกที่จะเป็นเจ้าทั้งทางการเมืองนี่ ประเทศนั้น ประเทศนี้ เขาก็ถือว่า เขาเป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นประเทศใหญ่ แล้วเขาก็พยายามที่จะเป็นเจ้ามหาอำนาจ ด้วยทางรัฐศาสตร์ ด้วยทางเศรษฐศาสตร์ ด้วยทางวัฒนธรรม เขาก็เป็น พยายามเป็นเจ้าอำนาจ ถ้าคนไทย ไปแต่งตัว เหมือนอย่างชาวอเมริกันเขาหมดเลยนะ วัฒนธรรมของไทยแค่เรื่องแต่งตัว ก็ไม่มีแล้ว ถูกกลืนหมด ยิ่งทางเศรษฐกิจ วิธีการอะไรทุกอย่าง เหมือนกับไปรับเอาของเขามาหมด เราก็เข้าข่าย ก็เขาเป็นเจ้า ตั้งหลักการ เศรษฐกิจอันนี้ อย่างนี้ไว้หมด เราก็เข้าเป็นเครือข่ายของเขาหมด มันก็คือ ทาสอาณานิคม

การเมืองล่ะ ระบบวิธีการเมืองของเขามีอย่างนี้ๆมา ไม่ใช่อย่างพ่อลูก ไม่ใช่อย่างพ่อลูกเหมือนอย่างเรา ไม่ใช่เป็นพี่น้อง การเมืองของเขาไม่ใช่ระบบพ่อลูก การเมืองของเขาอย่างตัวใครตัวมัน เคยได้ยินคำว่า อเมริกันแชร์ไหม ตัวใครตัวมัน การเมืองเขาก็การเมืองลักษณะอย่างนั้นแหละ อเมริกันแชร์ การเมือง แบบนั้นน่ะ เราไม่เอา ต่างคนต่างอิสรเสรีภาพ ต่างคนต่าง แล้วเขาก็พูดเล่นๆ อาตมาขอยืนยันว่า พูดเล่นๆ ช่วยกันซิ เกื้อกูลกันซิ มีน้ำใจซิ เขามีบ้าง แต่ เป็นตัวอย่างว่า แต่จริงๆ แล้วข้าจะต้องเหนือกว่า ข้าจะต้องใหญ่ ข้าจะต้องรวย ข้าต้องเบ้ง ข้าต้องข่ม หน้าตา EGO ใหญ่มาก

เราไม่เอาคุณธรรมอย่างนั้น ไม่ดี เราจะเอาอย่างที่นี่ ดีกว่า อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เขาก็ใช้อิทธิพล ของโลก ตั้งแต่ ๑ คน จนกระทั่งถึงสถาบันครอบครัว ๒ คน ๔ คน จนกระทั่งถึงสถาบันของสังคม เป็นกลุ่ม เป็นหมู่ จนกระทั่งถึงสถาบันของตำบล สถาบันของจังหวัด สถาบันของประเทศ ถึงขั้นสถาบันของโลก ก็ล้วนแล้วแต่จะแพร่ลัทธิ แพร่อำนาจตามที่เขาต้องการ

จะว่าไปทำไมมี อโศกก็ต้องการจะแพร่ลัทธิเหมือนกัน ต้องการแพร่อำนาจคุณลักษณะอย่างนี้ ออกไป เหมือนกัน แต่เราไม่ไปบังคับใคร ไม่ไปขูดรีดใคร เราจริงใจว่าอย่างนี้ดีกว่า เพราะฉะนั้น เราก็พยายาม อภิวัฒน์ พัฒนาที่เรา เรารู้วิธีการ วิธีการโลกาภิวัฒน์ ก็คือวิธีการที่เรารู้โลก แล้วเราก็จะพยายามที่จะไป ช่วยโลกเขา โดยที่เรา อย่าไปแพร่อย่างนั้น แพร่อย่างอิสรเสรีภาพ นี่ของดีนะนี่ เอหิปัสสิโก ท้าทายให้มาดู เรียกร้องให้มาดู แต่เข้ามาดูนั่นน่ะ มีเครื่องคัดเลือก คนที่เข้ามาผ่านนี่ เขาจะมีเครื่องตรวจเลเซอร์นะ ที่นี่ก็มียิ่งกว่าเลเซอร์ ผ่านเข้ามานี่ บางคนนี่แอบแฝงเอาอะไรพกเข้ามาได้ด้วยนะ แต่เข้ามาข้างในปั๊บนี่ เจ็บปวด ต้องรีบออกไปเองนะ นี่ของเรามีเครื่องคัดเลือกอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ละ อาตมาพูดนี่ เป็นนามธรรม อยู่ในนั้นอีกเยอะ มันได้ มันคล้ายๆกันกับทางโลก แต่ว่ามันเหนือชั้นกว่าทางโลก เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเรา พรักพร้อมกันอยู่อย่างดีหมดเลย ทุกอย่างมันจะยังทรงอยู่มีฤทธิ์มีอำนาจ เพราะฉะนั้น ฤทธิ์อำนาจ ของธรรมะ เป็นธรรมฤทธิ์มี ยิ่งกว่าเลเซอร์ เครื่องตรวจก็มี คอมพิวเตอร์ก็มี ในสภาพนามธรรม นี่แหละ พวกเรามีญาณปัญญา ญาณทัศนวิเศษ มันจะละเอียด เราจะแววไว เราจะรู้ เอ๊ คนนี้นี่มันรู้แล้ว ตรวจออกแล้ว บอกกันสัญญาณ พอให้สัญญาณ ประเดี๋ยวเถอะมีวิธีการ เดี๋ยวคนนั้นก็ออกไป ถึงไม่ออกไป ก็อยู่ยาก อยู่ลำบาก มีวิธีการ ไม่ค่อยจะร่วมมือ หนักเข้าพรหมทัณฑ์ หนักเข้าอัปเปหิ มันมีวิธีการของธรรมะ ไว้หมดแล้ว ของพระพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ขณะนี้นี่ เราสัมพันธ์กับทางโลกขึ้นไป เป็นของพุทธ ศาสนาพุทธมันเสื่อม มันทิ้งโลก มันกลายเป็นฤาษี แต่ก็ยังดีเถรวาทนี่ ยังรักษาเนื้อความหมาย รักษาตำราพระพุทธเจ้าเอาไว้ได้มากที่สุด ส่วนมหายานนั้น ไปกระจายตำราของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งกลายเป็นคำสอนของ อาจารย์รุ่นหลัง ไปเสียหมด เรียกว่าอาจาริยวาท ไม่ใช่เถรวาท เป็นคำสอนของอาจารย์รุ่นหลังไปเสียหมด เนื้อหาเก่า ตั้งแต่ของ เถรวาทคือเถระผู้ใหญ่ ตั้งแต่ในระดับต้น พระกัสสปะ พระอานนท์ อะไรพวกนี้เป็นต้น หายหมด สูญไปหมด เลยไม่มีหลักเก่า ก็เลยเพี้ยนกันไปใหญ่ มหายานเลยเละใช้ไม่ได้

ของเถรวาทมีเนื้อดีอยู่ แต่นั่นแหละเขาตีไม่แตกเนื้อพวกนี้ นอกจากตีไม่แตกแล้ว ยังกลายเป็นกลองอนากะ มาบรรยายอีก อาจารย์หรืออนุฎีกาจารย์ อธิบายก็คือ อาจาริยวาทซ้อนในเถรวาทนั่นเอง เสร็จแล้ว ก็ไปถึง คำสอนของ อาจาริยวาท คือฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ อธิบายอันนั้นๆ ไปเรียนพวกนั้นมา พระไตรปิฎก อาจาริยวาท หรือ อนุฎีการจารย์ท่านอธิบาย ตัวเองเข้าใจแก่นของพระไตรปิฎกไม่ได้ อาตมาถึงไม่ค่อยอ่าน อาจาริยวาท ไม่อ่านอนุฎีกาจารย์เท่าไหร่ ฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ อาตมาไม่อ่าน อาตมาขออ่านพระไตรปิฎก แม้คำแปล ก็เป็นคำแปลของอาจารย์ที่ไม่มีเนื้อแท้เท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ อาศัยพยัญชนะสู่พยัญชนะ อาตมา ก็ยังพอทน ก็พอได้ แล้วก็พยายามเอารากฐานของเนื้อพวกนี้ มาสู่พวกเรา คนยังไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร อาตมา ไม่ได้ทำให้คนเชื่อหรอก อาตมาทำความจริง คนมีปัญญาก็เอาความจริงไปเชื่อเอง คนจะเชื่ออาตมานี่ เชื่อเอง คนเอาความจริง ใครเห็นความจริง ใครเห็นว่ามันควรเชื่อก็เชื่อไป คนเห็นว่าไม่ควรเชื่อก็ไม่เชื่อ ไม่มีปัญหาหรอก อาตมาเป็นคนไม่มีปัญหา แต่คนชอบมามีปัญหากับอาตมา เอ๊า จริงๆ อย่างนั้น

สรุปแล้วก็โลกาภิวัฒน์ ก็เรากำลังเปิดม่านเพชรทองคำ เอามันหมด เขาว่าเพชรดี ทองคำดี เอามันหมดทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่แค่ม่านไม้ไผ่ ไม่ใช่แค่ม่านเหล็ก เปิดม่านเพชรทองคำออกไปบ้างละตอนนี้ มากขึ้น นั่นคือ โลกาภิวัฒน์ แล้วเราก็จะช่วยเขา เราจะช่วยเขาได้ เราต้องช่วยตัวเราเองให้แข็งแรง ถ้าตัวเราเอง ไม่แข็งแรง ช่วยเขาไม่ได้หรอก เตี้ยอุ้มค่อมไม่ได้ ระวัง การเปิดนี่ก็ระวัง พอพูดอย่างนี้แล้วก็จะเปิดฉาก เปิดใหญ่ เปิดใหญ่ ระวังเถิด ตาย ภายในวินาทีเดียวนะไม่ได้หรอกนะ เรายังเล็กนัก ร้องเพลงอยู่บ้านเถิดลูก ให้ดีๆ เรายังเล็กนัก ยังไม่โตอะไรเท่าไหร่หรอก แต่ก็ต้องมาเปิด เพราะถึงเวลาแล้ว ทำไมต้องเปิด เพราะข้อสอบ บทฝึกหัด มันมาจากที่โน่น พวกเราไม่เจอแบบฝึกหัดก็เลย นอนหลับอุตุ อุตุกันไป เดี๋ยวก็ถึงเวลาตาย มันไม่เข้าท่าอะไร

เพราะฉะนั้น ต้องเปิดฉาก เอาศัตรูเข้ามาหน่อย เอาคู่ต่อสู้เข้ามาด้วย อย่าหาว่าอาตมาเองหาเรื่อง รนหาที่ ต้องทำ แต่เราต้องระมัดระวังช่วยกันเปิด แล้วก็ต้องช่วยกันระมัดระวัง เปิดมากไม่ได้ เปิดต้องให้ดูจังหวะ นี่เป็นเรื่อง ของสัตบุรุษ เป็นเรื่องของสัปปุริสธรรม จะต้องเป็นไปตามธรรม แล้วก็ขอยืนยันนะว่า ต้องมีอาชีพ เราต้อง มีการงาน

ทุกวันนี้การงานข้างในเรานี่ เรายังเป็นที่มีน้ำใจเป็นคนที่ดูดายมาก เป็นคนที่มีน้ำใจน้อย เรายังไม่มี ความกระปรี้กระเปร่า ยังไม่คล่องแคล่ว ยังไม่มีตัว กิงกรณีเยสุ ทักขตา, กิงกรณีเยสุ ทักขตา นี่เป็นที่พึ่ง เป็นนาถกรณธรรม ธรรมอันเป็นที่พึ่งของอาริยชน จะต้องมีความขยัน เอาภาระทั้งกิจน้อยกิจใหญ่ ของเพื่อน สหธรรมิก และก็ขยันขัดเกลากิเลสเราด้วย ในนาถกรณธรรม นี่มีทั้ง ๒ ขยัน ขยันรู้ ดูแลกิจน้อยกิจใหญ่ ของเพื่อนสหธรรมิก แล้วช่วยร่วมไม้ร่วมมือกัน อย่าดูดาย เราตกลงกัน กิจนี้เราเห็นว่า มันไม่ไหว จะหยุดก่อน ก็หยุด กิจนี้พอไปได้ก็ทำไป กิจนี้ดีอยู่แล้ว อย่าให้ล้ม ทำไป ปลูกฝังไป พยายาม

ใครจะรับหน้าที่ใดๆ ในตอนนี้นี่ จะอยู่เป็นปู่เป็นย่าของงานก็เอาเลย เช่น จะเป็นย่าชมร. ทำมาตั้งแต่อายุ ๑๔ จนถึงอายุ ๑๔๐ เอาเลย ไม่เป็นไร แต่นั่นแหละ ในช่วงวาระเวลา เราก็ต้องมีสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่อยู่แต่ในรู ชมร. ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเขาเลย มันก็เกินไป เพราะฉะนั้น เราก็ต้องร่วมไม้ร่วมมือ ฟังเสียง ไอ้โน่นไอ้นี่ ให้มีปฏิภาณปัญญาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าอะไรๆ ก็สทร. ทุกเรื่อง มันก็มากไป สทร. ก็เรียกว่า แส่ทุกเรื่อง สทร. ก็ไม่ใช่แส่ทุกเรื่อง แต่ก็พอสมควรตามฐานะ คนที่ชอบแส่มากๆ ลดลง คนที่ไม่ออก จากรูเลย แส่ขึ้นหน่อย มันต้องดูความขาดความเกิน อะไรเกินก็ลดลง อะไรขาดก็ต้องเติม เป็นธรรมดา มันถึงจะเกิด ความมัชฌิมา เกิดสมดุล พูดอย่างนี้ก็คงรวมหมดแล้ว คงเข้าใจแล้ว

งานเรายังมีอีกมากนัก อีกมากนัก และอีกมากนัก เพราะอะไร เพราะงานอย่างบุญนิยม เราก็ยังไม่ช่ำชอง เรายังไม่เก่ง เรายังไม่แข็งแรง ยังไม่เก่งเท่าไหร่หรอกนะ งานบุญนิยมของพวกเรา บุญไปบุญมา ประเดี๋ยว ก็เป็น ทุนนิยม แซมๆอยู่เรื่อย มันยังไม่หมดเชื้อ ระวังนะ ฟื้น เป็นโรคร้ายๆ นี่ โรคอะไร ก็ไม่ร้ายแรง เท่าโรค ทุนนิยม เป็นโรคไทฟอยด์ฟื้นขึ้นมานี่ เขาว่ามันรอดยากแล้วนะ เป็นโรคอะไรที่เป็นโรคแรงๆ และ โรคร้ายๆ นี่นะ พอฟื้นกลับมาอีกที มันรักษายากนะ ถึงตายง่ายเลยนะ เพราะฉะนั้น อย่าให้มันฟื้น อย่าให้มันฟื้น เพราะฉะนั้น เรามาเป็นบุญนิยม ก็เป็นบุญนิยมจริงๆ อย่าให้เป็นทุนนิยมมาฟื้นในตัวเอง ระวังโรค พยายาม ยังเหลือโรคทุนนิยมอยู่บ้าง ก็ลดลงไป ไม่ต้องไปเป็น Carrier หรอก ไม่ต้องไปแพร่หรอก ทุนนิยมน่ะ พอแล้ว แพร่บุญนิยมไปเถอะ เราล้างเชื้อพวกโรคพวกนี้ออกไปให้หมด พยายาม พยายามกัน

อาตมาใช้ภาษาอะไรก็ไม่รู้ละนะ มาอธิบายธรรมะ มันเป็นธรรมะหรือเปล่า เออ เก่งเว้ย พูดอะไรก็รู้เรื่อง carrier นั่นแน่ภาษาลาวที่ไหนล่ะ ภาษาอังกฤษโน่นแน่ะ ขนาดบอก carrier ฟังเฉยเลยนะนี่ มันมีเชื้ออยู่ ในตัวเรา มันไม่ทำร้าย แต่เราเป็นพาหะที่จะไปเที่ยวได้แพร่ให้คนอื่นซิ อย่าไปแพร่เชื้อทุนนิยม แม้มันมี ก็ฆ่ามันให้หมด ในตัวเราให้เกลี้ยง เชื้อทุนนิยมนี่ ให้มันเป็นบุญนิยมให้ได้ แล้วเราจะอภิวัฒน์โลกา หรือ โลกนี้ จะพัฒนา จะช่วยเขาจะทำให้ดียิ่งขึ้นให้ได้ ไม่ว่าเขาจะค้าขาย ก็ต้องค้าขายให้ดีอย่างเรา นี่แหละ แต่อย่าไป เสนอหน้านัก เดี๋ยวเขาฟันหน้า หน้าหัก อย่าเพิ่งไปแหยมมากนัก แต่ทำนี่แหละ แล้วเขาจะรู้ เราจะค้าขาย เราจะทำกสิกรรม เราจะทำอุตสาหกรรมก็ตาม อุตสาหกรรมอย่างของพวกเรานี่ จะเป็น อุตสาหกรรม แบบชาวบ้าน อุตสาหกรรมหมู่บ้าน อย่าไปเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ ถ้าอุตสาหกรรมใหญ่แล้ว จะเกิดมลพิษ ที่เป็นจำนวนปริมาณมากและเข้มข้น สลายยาก ตีแตกยาก และมันก็เลยจะกลายเป็นตัวภัย อยู่ในสังคม ไม่ว่าน้ำ ไม่ว่าอากาศ ไม่ว่าแก๊ส ไม่ว่าพิษอะไรจะเกิดมาจริงๆ ถ้าเกิดอุตสาหกรรมหนัก จะเกิดมลพิษ เศษกากพวกนี้ขึ้นมาอย่างมากหนัก สลายยาก ทำลายไม่ทัน แต่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมย่อย อุตสาหกรรมหมู่บ้านมากๆ แต่ละคนๆ การแจกจ่าย การขนส่งเคลื่อนย้ายก็น้อยลง ทุ่น เพราะต่างคน ต่างมีแซมไป อะไรจำเป็น อะไรสำคัญ อุตสาหกรรมหรือว่าการสร้าง ก็ทำขึ้นแล้วก็แจกจ่าย เจือจาน จิตใจที่แจกจ่าย เจือจาน จิตใจที่มีปัญญา มีปัญญาเพื่อที่จะพัฒนาคนทุกคน คนจนก็อย่าให้เขาจน อย่างโง่ๆ เง่าๆ ให้เขาพัฒนาขยันขันแข็ง อย่าให้เป็นตัวบาป ให้เป็นตัวบุญขึ้นมา ให้เป็นตัวที่จะพัฒนา ตนเอง รู้จักสร้างสรร รู้จักเกื้อกูล อย่างน้อยก็เลี้ยงตัวเองให้ได้ ช่วยกันขึ้นมาให้ได้ ช่วยกันขึ้นมา เราเป็น ปลาใหญ่ ก็เกื้อกูลปลาเล็ก ไอ้ปลาเล็กที่ขี้เกียจ ก็พยายามให้มันขยันขึ้นมา แล้วจะเป็นคนดีขึ้นมาอย่างนั้น แล้วจะมี วิชาความรู้ ประสิทธิภาพที่จะสร้างคน มีวิชาความรู้ที่จะพัฒนาคน เพราะตอนนี้ เราเรียนรู้ พัฒนาคน พวกเราคนโตคนแก่ ก็สอนกันมามาก คนกลาง คนหนุ่มคนสาว ก็สอนกันมามาก ตอนนี้ กำลังจะสอนคนเด็ก แต่ยังไม่ถึงอนุบาล ยังไม่ถึงประถม ขอมัธยมก่อน ได้เด็กมาแล้ว ต่อไปกว้าง เก่งอีก ก็จะรับถึงอนุบาล อย่าว่าแต่ประถม สักวันหนึ่ง ต้องถึงอนุบาล แม้เรียนสูง มหาวิทยาลัยของเรา เป็น มหาวิทยาลัยชีวิตอยู่แล้ว แต่จะตั้งเป็นมหาวิทยาลัยจริงๆบ้าง ก็จะทำในอนาคต อาจจะในชีวิตอาตมา อาจจะตั้งไม่ได้ พวกคุณก็ตั้งกันต่อ ไม่มีปัญหาหรอก เรื่องเหล่านี้ ถ้าเรารู้สารัตถะแท้จริงแล้ว ถึงเรียน เราก็เรียน อย่างไปเป็นคุณค่า สร้างก็สร้างอย่างไปเป็นคุณค่า ทำลายก็ยังทำลายอย่างเป็นคุณค่าเลย เพราะฉะนั้น ไม่เป็นความแปลกประหลาดอะไร เป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เอาละ อาตมาก็สำทับทุกสิ่งทุกอย่าง ขยายโลกาภิวัฒน์ก็นิดหน่อย ไม่ได้ขยายฉีกชี้อะไรเกินไป ก็คงพอเข้าใจ ยังมีโลกวิทู ยังมีโลกที่เราให้ดู มีอะไรต่ออะไรตรวจไปเถอะข่าวคราว ไม่ต้องว่า แหม หนังสือพิมพ์อ่านไม่ได้ คอลัมน์โป๊ ก็อย่าไปอ่านมันซิ คอลัมน์อะไรหยาบคาย ก็อย่าไปอ่านมันซิ อ่านคอลัมน์ดีๆ คอลัมน์ไม่ดี ที่เรารู้ว่า เราแตะคอลัมน์นี้ เราสู้กิเลสมันไม่ไหว เราก็อย่าไปดันทุรังอ่าน อ่านคอลัมน์ที่ดีๆ มันก็อย่างนั้น แหละ หนังสือพิมพ์โลกๆ เขาก็เอาคอลัมน์ ต้องการให้มันยั่วกิเลสคนมามากๆ เอามาลง เนื้อหาจริงๆ มันก็เลือกให้เป็น ถ้าเลือกเนื้อหาเป็น เราก็ใช้ได้

จบบริบูรณ์ ๖ ตอน


จัดทำโดย โครงงานถอดเท็ปธรรมะออกพิมพ์ให้ท่วมโลก

ถอดโดย พรพรรณ เอมพันธุ์
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี
พิมพ์โดย ทองแก้ว ทองแก้ว
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป. ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๗
พิมพ์เล่ม โดย เมฆใส วงศ์พิวัฒน์
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
GLB1L.TAP