การเกิด
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์

วันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๗ ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก


ธรรมดา ธรรมชาติของวัฏฏะ ย่อมมีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ มีดับไป หมุนวนเป็นวัฏจักรอยู่เช่นนั้นๆ
ถ้าเราไม่รู้เหตุแห่งความเกิด และเราไม่ดับเหตุแห่งความเกิดจนสิ้นสนิทได้ ความเป็นวัฏจักร ที่เป็นธรรมดา ธรรมชาติก็ย่อมเกิดแล้ว เกิดอยู่

เมื่อเรามาศึกษาถึงเหตุเกิด แล้วเราก็ได้ศึกษาวิธีที่จะดับเหตุเกิด จนเราได้ดับจริงๆ ฝึกฝนอบรมตน จนได้ดับเหตุนั้นสนิท ถอนสิ้นอาสวะอนุสัย ก็จะไม่เกิดอีก จะดับสนิท รู้ความดับสนิท เห็นความจริง เห็นของจริงแห่งการดับสนิท

ดังนั้น คำว่า การเกิด จึงเป็นจุดสำคัญ ที่เราจะต้องศึกษา ที่เราจะต้องรู้เหตุแห่งการเกิด ทั้งที่ดี และที่ชั่ว ทั้งที่จะให้เกิดให้ยิ่ง ทั้งที่จะไม่ให้เกิดอีกเลย

ดังนั้นในความหมาย หรือในความจริงแห่งสิ่งที่จะเกิดอยู่ หรือไม่ให้ เกิดอยู่ จนกระทั่ง ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีตั้งอยู่ สูญสนิท ดับสนิทอยู่ สิ่งใดเล่า ที่เราจะไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ให้ตั้งอยู่ สูญสนิท ดับสนิท หมดวัฏฏะเป็นธรรมชาติไม่มี แต่เป็นธรรมะอันเป็นอมตะ Š เป็นธรรมะอันวิเศษยิ่ง

มันจะอยู่ที่ใด เราจะต้องค้นคว้าให้เจอ และเป็นผู้ที่รู้ความจริงของวัฏฏะ หรือธรรมดา ธรรมชาติ อันเกิดขึ้น และยิ่งเรา ยิ่งจะให้เกิดให้ยิ่ง ให้ตั้งอยู่ให้นาน และไม่ให้เสื่อม ไม่ให้ดับไปได้ โดยเจตนารมณ์ ก็ย่อมมีสิ่งนั้นอยู่จริง ด้วยความปรารถนาดี เช่น เราต้องการให้ศาสนาเกิดขึ้น ให้ศาสนาตั้งอยู่ ให้ศาสนาไม่เสื่อม ดังนี้เป็นต้น

นั่นคือ สิ่งที่เราจะให้เกิด แต่สิ่งที่จะไม่ให้เกิดอย่างยิ่ง ให้ดับสนิท ให้ไม่เกิดอีกเลย ก็คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งอาศัยจิตเป็นแดนเกิด

เพราะฉะนั้น เราจะต้องพบตัวเกิดที่อยู่ในจิต ที่เป็นแดนเกิดแท้ๆจริง มันเป็นกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่อาศัยภพของจิตเท่านั้น ผู้ค้นพบ ผู้รู้วิธีดับ ผู้ดับได้ ผู้นั้นแล เป็นผู้พบอมตธรรมแล้ว


วันนี้ อาตมาก็ตั้งใจจะเทศน์เรื่อง การเกิด คำว่าการเกิดนี่ สำคัญ มันมีหลายนัยมาก ถ้าไม่รู้ การเกิดแล้ว จับสภาพจุดเกิด แดนเกิด แล้ว จะให้เกิด หรือไม่ให้เกิด ถ้ารู้พวกนี้ ไม่ชัดน่ะ เราก็กลายเป็น ปฏิบัติธรรม เลอะๆ อยู่อย่างนั้นแหละ เข้าใจเพี้ยนๆ แล้วมันก็ไม่แม่นเป้า สับสน ยกตัว อย่างง่ายๆ เช่นว่า เราเข้าใจเผินๆกันมานานว่า เราจะไม่ให้ร่างกายนี้เกิด เสร็จแล้ว เราก็ทรมานกัน เหมือนหลายลัทธิ ให้ร่างกายนี้ทรุดโทรม ให้ ร่างกายนี้เสื่อม ผอมแห้ง แรงน้อยไป แล้วก็ไม่ได้มี สมรรถภาพอะไร เหมือน อย่างลัทธิเชน พวกชีเปลือยน่ะ ที่เราได้ดูภาพไปแล้วเมื่อวานนี้ ไปบิณฑบาต บิณฑบาตเสร็จแล้ว เขาก็ใส่บาตร แล้วก็กราบอย่างดีเลย แล้วก็จะอธิษฐาน หรือไม่เป็นอธิษฐาน ก็ตามแต่เถอะ คงตั้งใจพูดดังๆด้วย ให้อาตมา ต่อหน้า อาตมา

สาธุ ขออย่าให้ต้องตกไปเป็นลูกศิษย์ชีเปลือยเลย ว่าอย่างนั้น ทั้ง สีหน้า น้ำเสียง ลีลาจริงจังว่างั้น ว่า แหม รู้สึกเศร้าใจ รู้สึกทุเรศทุรังการ รู้สึกว่า แหม มันคงอาภัพอัปภาคเหลือกำลังแล้ว ไปเป็นลูกศิษย์ ชีเปลือย พวก นั้นน่ะ คือเห็นสภาพแล้ว สัมผัสแล้ว มันโอ้โฮ เจ้าประคุณเอ๋ย เราจะเห็นได้ ว่า มันไม่ใช่เรื่อง ศิวิไลซ์ มันไม่ใช่เรื่องความเจริญ มันสุดโต่งไปอีกทางหนึ่ง ให้เห็นเด่นชัดเลยว่า มันโต่งไป ยิ่งกว่าพวกเรา พวกเรานี่ เหมือนพวกมอซอ โลกๆที่เขาจี๋จ๋า เขาปรุงแต่งเป็นแบบโลกียะ อย่างฟูฟ่า หรูหรา แล้วเขานิยมกัน สร้างค่านิยมไปหลงในความงาม หลงในความสวย เขาก็เรียกของเขาว่า ความเจริญ ความพัฒนา ความศิวิไลซ์ของเขานั่นแหละจนมาก และมันก็มีนัยที่ซ้อน มันมากเกิน จนกระทั่ง ทำให้คนเป็นทุกข์หนักเป็นภาระ เป็นเรื่องผลาญ เป็นเรื่องทำลาย แล้วเป็นเรื่องแย่งชิง วุ่นวายกัน เกิดทุกข์ทรมานกัน เดือดร้อนมาก นี่เป็นทิศทางของค่านิยมของโลกียะ มันทำให้คนทุกข์ อย่างนั้น ส่วนพวกสุดโต่งไปในทางที่ไม่เกิดๆๆๆ แล้วก็ไม่สร้างอะไรให้เกิด ไม่ทำอะไรให้ เกิด จนลัทธิ พวกชีเปลือยนี่ ถึงขนาดเขาจะไปนั่งอดข้าว แล้วก็นั่งสมาธินี่ นั่งอด ข้าวให้แห้งลงๆๆๆๆๆๆ แล้วก็ให้ตายไปเลยนั่น เขาถือว่า นั่นแหละอมตธรรม ถึงนิพพาน คนนั้นน่ะทำเก่ง ถึงเก่ง เขาจนถึงขนาดนั้นน่ะ เรื่องร่างกายตายนี่ เขาถือว่า ร่างกายนี่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ร่างกายนี่ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก

เพราะฉะนั้น ใครสามารถถึงจริงๆนี่ เขาจะทำอย่างนั้น เพราะว่า พวกที่เขาถือว่าถึงขั้นอรหันต์ของเขานี่ เวลาจะตายแล้ว จะต้องไปนั่ง แล้ว ก็ไม่กินข้าว ไม่กินอะไร นั่งทน ทนจริงๆ พวกนี้ทนมาก แล้วก็ แห้งลงๆๆๆ แล้ว เขาก็ตาย แต่เขาถือว่าคนนี้ องค์นี้ล่ะเยี่ยมยอดเลย แล้วเขาก็อยู่กันอย่างนั้นละ อยู่กันทรมานร่างกายไป ดัดตนไป ทำอะไรต่ออะไรไป ไม่เอาภาระโลกีย์โลกอะไร ร่างกายผอมๆ แห้งๆ กร่องๆ แกร่งๆ อย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็สมประกอบด้วย มันเป็นคนดำ ที่เราเห็นตัวอย่างนะ ถ้าเป็น คนขาว มันก็คงไม่น่าเกลียดเท่านั้นนัก หรอก ทีนี้กลายเป็นคนดีเสียด้วย มันก็เลยดู แหม น่าเกลียดพิลึก ผอมกะหรอง กะแหรง ไม่ได้เรื่อง มันเกิน มันเห็นเด่นชัด โดยเขาไม่รู้ว่า ควรให้เกิด หรือ ไม่ควรให้เกิด เขาไม่รู้ ร่างกายนี้ควรให้เกิดขนาดใด มีสันโดษขนาดใด มีความพอเหมาะ สัมมาพอดี ขนาดใด เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ อาตมาเห็นว่า แหม ลัทธิพุทธนี่ เป็นลัทธิที่ไม่ค้านแย้งกับโลก ไม่ค้านแย้ง กับเมื่อใดๆ ไม่ค้านแย้ง อกาลิโก สัมมา มัชฌิมา ปานกลาง อยู่ในจุดที่ดีที่สุด ประโยชน์สูง ประหยัด สุด ดีที่สุด

อาตมาจะลองไล่เรื่อง การเกิด ไปเป็นตั้งแต่ระดับวัตถุ ไปจนกระทั่ง ถึงที่สุด มนสิการเป็นแดนเกิด แล้วก็จะรู้ยิ่ง เห็นจริงว่า อะไรที่เราจะไม่ให้เกิด ให้ดับสนิท ซึ่งเป็นวิสามัญลักษณะ ซึ่งอาตมา ได้พยายาม เน้นจุดนี้ขึ้นมาอีกพอ สมควรตอนนี้ เน้นถี่ แล้วอธิบายถี่ เพราะจะขยายเรื่องไตรลักษณ์ และ วิสามัญ ของไตรลักษณ์ พอเราเรียนรู้มาตั้งแต่เรื่องไตรลักษณ์นี่ เรียนรู้ ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องไตรลักษณ์ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดาสามัญ ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เรารู้ขอตรงนี้ก่อน ขอเจาะตรงนี้ก่อนนิดหนึ่งว่า ร่างกายขันธ์นี้มันเกิดขึ้น แล้วมันก็ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป ร่างกายนี้ อะไรเป็นเหตุให้เกิดอยู่ อาหารเป็นเหตุ อาหารเป็นหนึ่ง ร่างกายนี้ด้วยรูปขันธ์ อะไรเป็นเหตุ อาหาร คือข้าวสุก ขนมสด อาหาร คือกวฬิงกราหาร เป็นเหตุ สำคัญใหญ่หลัก ซึ่งใครก็รู้อันนี้

เพราะฉะนั้น ให้อาหารมันกินอยู่เมื่อไหร่ คือเหตุเกิด เราไม่ได้ดับเหตุ เราไม่ได้อดอาหาร เหมือนอย่าง พวกเชน ที่เขาทำอย่างนั้น พระพุทธ เจ้าไม่เคยให้อดอาหารตาย รู้ว่าเหตุเกิด แล้วเราไม่ได้ดับเหตุนั้น แม้พระพุทธเจ้า ซึ่งวันจะปรินิพพาน ท่านก็ยังรับประทานอาหาร ก็ยังให้เหตุเกิด เหตุก็เกิด เพราะเรา ให้เหตุอยู่ ให้อาหารเป็นเหตุ ร่างกายก็ยังเกิดอยู่ อย่างนี้เป็นต้น เราไม่ได้ไปดับเหตุอาหารนะ สิ่งที่ให้เกิด เกิดไป เหตุ คืออาหารก็ให้มันกินไป ให้สมควรพอเหมาะ สัมมา เมื่อได้สัมมา ร่างกายก็อยู่ อย่างสมบูรณ์พอดี สมดุล ไม่อ้วนไป ไม่ผอมไป ไม่อ่อนแรงไป ไม่มีพลังงานแคลลอรี่มากเกินไป จนกระทั่ง ไปหาปี๊บเตะ ไปวุ่นวายอะไร เดือดร้อนอยู่ในสังคม ไม่ไปทำอะไรเกินๆ การๆแรงไป เพราะว่า มันไม่รู้ความจริง พอดี พอเหมาะของชีวิต ไม่รู้ความพอดีของเหตุ ให้อาหารมันมากไป มันก็ไป สังเคราะห์ แคลลอรี่มากไป แคลลอรี่มากไป มันก็ฟุ่งซ่านมากไป มันก็ไปเที่ยวได้สร้าง ได้ทำอะไรต่อ อะไรเยอะเกินไป วุ่นวายเกินไป มันเป็นธรรมดา แต่ถ้าพอดี มันก็พอดี แล้ว เราก็ไม่ได้ดับเหตุนี้ อย่างนี้เป็นต้น

ทีนี้ ถ้าเผื่อว่า เรารู้จักตัวเหตุที่เราจะไม่ให้เกิดชัดเจนว่า ตัวนี้ไม่ ให้เกิด อะไรไม่ให้เกิด พระพุทธเจ้าสอน ในเรื่องทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ ดับ ทุกข์ ดับเหตุแห่งความทุกข์ แล้วก็มีชีวิตเป็นธรรมดา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นคนธรรมดาเหมือนชาวบ้าน ปฏิปทา คามินีปฏิปทา แต่ดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ เพราะรู้เหตุ อย่างชัดแจ้ง ดับเหตุ ดับสนิทอย่างชัดแจ้ง ไม่มีเกิดอีก เห็นความ ไม่เกิด ไม่ใช่ว่า ตายไปแล้ว ถึงจะไม่เกิด ไม่ใช่ ร่างกายนี้ตายแน่ ร่างกายนี้ จะเกิดอีก ไม่เกิดอีก เราจะรู้ด้วย ญาณปัญญา เราจะตั้งจิตเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก เรารู้ด้วยปัญญา มันมีความลึกซึ้งมากตรงนั้น คุณฟัง อาตมาพูดนี่ คุณฟังแต่ภาษา แต่คุณยังไม่รู้ เพราะคุณยังไม่เป็นพระอรหันต์ คุณยังไม่รู้หรอกว่า มันไม่เกิดอีก มันเป็นอย่างไร แต่ก็มีตัวน้อย มีรอบเล็ก รอบน้อย ให้คุณได้พิสูจน์ เช่น

เราดับสนิทกิเลสในจิตที่เป็นแดนเกิด ในสัมภวะ เราดับกิเลสในจิต ตัดกิเลสเรื่องใดอันใด เราชัด นี้เป็นเหตุ มีผัสสะกับอันนี้แล้วละก็เป็นเหตุ ตั้ง แต่ผัสสะข้างนอก เราทนไม่ได้ จนเราทนได้ แต่ก็ยัง มีเกิดใน เป็นอนาคามีภูมิ ยังเหลือรูปราคะ อรูปราคะอะไรอยู่ เราก็ดับรูปราคะ อรูปราคะจนสิ้นเกลี้ยง ถอนอนุสัยอาสวะไม่เหลือ ไม่เหลือเลย เมื่อไม่เหลือจริงๆ ก็ไม่เกิดอีก คุณจะ รู้เลยว่า กิเลสเราไม่เกิด วัฏฏะของกิเลสเรื่องนี้ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอาการที่เกิด เพราะเหตุนี้ แม้แต่ผัสสะใน ที่เรียก ธรรมารมณ์ ในจิตเอง ข้างนอกนี่ พอผัสสะยังไง เราก็ทนได้ แล้วก็เฉยวางไม่เดือดร้อน ไม่ไปทำอะไรกับมัน ไม่ไปปรุง ไปแต่ง ไม่ไปเมถุนกับมันเลย ข้างนอกน่ะ ข้างใน แม้มันจะมีสภาพ อาการ เราก็ไม่มีจริงๆเลย เห็นสนิทรู้ รู้จริงๆ รู้ของคุณเลยว่า รู้ความ ประชุมลง รู้เวทนา เวทนาเป็นความประชุมลง เอาสูตรนี้ ก็ได้มาก่อน มูลสูตร เรามีฉันทะเป็นมูล เรามีความยินดีพอใจ เข้าใจ ดีใจ หรือใจของเราดีแล้ว เราพอใจแล้ว ใจเราพอ ใจเรารู้ ใจเราเห็น เรายินดี มีฉันทะนี่ เป็นความยินดี มีความสบายใจ มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการ เป็นแดนเกิด มีตัวกิริยา การงาน การกระทำได้จริงๆ อยู่ที่จิต เป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุ เป็นเหตุเกิด เป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ หรือว่า มันไม่สุข มันไม่ทุกข์ มันเป็นอัพยากฤต มันเป็นสภาพที่ไม่ต้องเป็น มีสมาธิเป็นประมุข มีสมาธิเป็นที่ตั้ง แล้วมันจะมั่นคง แข็งแรงตั้งมั่น ตั้งมั่นจริงๆ คุณให้ดับ ให้ตั้งมั่น ก็ดับตั้งมั่น คุณให้เกิดตั้งมั่น ก็เกิดตั้งมั่นอยู่ อย่าง พระพุทธเจ้านี่ มีความเกิด ตั้งมั่น จนสร้างศาสนาให้เกิด จนสร้างศาสนานี่ เกิดมา ตั้งหลายพันปีแล้ว ตั้งมั่นอยู่เดี๋ยวนี้ หลายพันปีแล้ว คำว่าตั้งมั่นนี่ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า เดี๋ยวจะพูดเรื่องการเกิดนี่ให้พิสดาร ให้ มากกว่านี้ให้ฟัง มีสมาธิเป็นประมุข เป็นความตั้งมั่น เป็นประมุข เป็นสิ่งที่จะ เป็นแกน เป็นแก่นนำ เป็นหัวหน้านำ ที่จริงแกนแก่นจริงๆนั้น วิมุติ แต่ว่าอันนี้ เป็นตัวนำ ตัวที่ตั้งมั่น แล้วก็เป็นตัวหลัก ตัวนำ ตัวที่จะต้องพาเป็นพาไป ได้ เกิดนำนี่ มันจะต้องเกิด จะมีอะไรที่จะนำไปได้จริงๆ ถ้ามันหมดสมาธิ หมดความตั้งอยู่ ไม่มีอะไรตั้งอยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีความแข็งแรง เหลวๆเละๆ มันจะไปนำอะไรไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น สมาธิเป็นประมุข มีสติ เป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง ท่านแปลในพระไตรปิฎก ท่านแปลว่าอย่างนั้น ซึ่งอาตมาเอง อาตมาก็เห็น ด้วยอยู่ แต่ก็ยังไม่ถนัดคำนั้นทีเดียว แต่ก็เห็นว่าดี อาตมาก็ยังนึกว่า คำไหนจะ เหนือกว่านั้น จะดีกว่านั้น ก็ยังไม่งาม มันง่าย มันสั้น มีสติเป็นใหญ่ มีปัญญา เป็นยิ่ง ก็ดี แต่ในพระบาลี ของท่าน มีสติเป็นอธิปไตย ภาษาบาลีว่า อธิปเตย มีปัญญาเป็นอุตร อธิปเตย ก็มันยิ่งใหญ่น่ะ มันมีอำนาจ อธิปไตย มีสติเป็นใหญ่ เป็นอำนาจใหญ่ แล้วก็มีปัญญานี่ เป็นตัวเหนือ อุตร พระบาลีใช้ตัวนั้น มาแปลเป็นไทย ว่ายิ่ง ว่าใหญ่นี่ก็ดี มีตัวปัญญาเป็นตัวอยู่เหนือ คลุม ดูแล จัดแจงเลย อันไหน ให้เกิดก็ปัญญาตัดสิน อันไหนไม่ให้เกิด ก็เป็นตัวปัญญาตัดสินไม่ให้เกิดแล้ว โดย ไม่ต้องไปทำงาน อีกแล้ว มันก็ไม่เกิดอยู่เป็นธรรมดา ก็รู้ ปัญญาคือตัวตัดสิน เป็นปัญญาวิมุติ หรือเป็น วิมุติญาณทัสนะ อยู่อย่างชัดเจนอีกเหมือนกัน ส่วนอะไรจะ ให้เกิด จะเกิดมาก เกิดน้อย เท่าไหร่ ปัญญาเป็นตัวอุตร เป็นตัวคลุมอยู่เหนือเลย เหนือชั้นอุตร ปัญญาเป็นตัวเลิศ ตัวยอด อยู่อย่างนั้น จริงๆ มีวิมุติเป็นแก่น เป็นสาระ มีมุติเป็นแก่น มีอมตะเป็นที่หยั่งลงๆ เป็นโอฆธะ ภาษาบาลีใช้คำว่า โอฆธะ มีนิพพานเป็นที่สุด ปริโยสาน

ใน มูลสูตร นี่ ประเดี๋ยวจะอธิบายขยาย ค่อยๆออกไปแต่จะ เน้นตรงที่เกิด จะเน้นตรง ที่เกิด แล้วเข้าใจ ตัวเกิด หรือคำว่าเกิดอะไรนี่ ให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้น เราก็ไม่รู้เรื่อง เอ๊! เราจะไม่ให้เกิด แล้วอะไรไม่ให้เกิด แล้วอะไรให้เกิด ถ้าพระพุทธเจ้ามีความเข้าใจผิดนะ มีความหลงผิดอย่างเผินๆ เหมือนอย่างลัทธิพุทธ ในเมืองไทย นี่พูดกันง่ายๆ แล้วจะไม่ให้เกิด แต่ที่จริง ตัวเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองก็กินข้าว ให้ร่างกาย เกิดอยู่ แล้วความดีให้เกิดก็ไม่รู้ว่า เราจะทำดี ขี้เกียจ ไม่ขยัน ไม่ขวนขวายที่จะสร้างดีให้เกิด ดีชั้นไหน ขนาดไหน ที่ควรให้เกิด ที่จริงดีที่สุด ก็ควรให้เกิดทั้งนั้นแหละ ดีเป็นประโยชน์คุณค่า ของสิ่งที่ดี เรื่องอะไรจะให้ดับ โลกนี้จะไปให้ความดีดับทำไม เขาไม่เข้าใจ ถ้าใครไปยึดดีอยู่ ยังไม่เป็นอรหันต์ แหม อยากเป็นอรหันต์ แต่ไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง ถ้าพระพุทธเจ้าคิด เออ เราไม่ขวนขวายหรอก ดีมันก็เป็น ธรรมดา ชั่วก็เป็นธรรมดา เราไม่ติดดี ไม่ยึดดี ไม่ยึดชั่ว กลางๆ เราเป็นอรหันต์ ศาสนามันจะมาให้เกิด เหลือให้คุณทุกวันนี้เหรอ ท่านอุตสาหะ ขวนขวายเท่าไหร่ พระสาวก มหาสาวก คุณไม่ต้องดู มหาสาวก อะไรมาก ดูพระโพธิรักษ์นี่ก็ได้ ขวนขวายเท่าไหร่ เหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ ยังแค่นี้เลย วิเศษอะไรกันนักหนา ก็แค่นี้เอง พวกคุณก็ได้ของคุณ ได้วิเศษอะไรกันนักหนา ยังอีกไกล หรือใกล้ จวนอรหันต์หรือยังละ จวนหรือยัง ก็รู้อยู่กันอยู่อย่างนี้น่ะ แล้วจะมานั่ง แหม เราไม่ยึดดี ไม่ยึดชั่ว ยึดดีไว้เดี๋ยวไม่เป็นอรหันต์ มันซับซ้อนน่ะ อาตมาไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร สภาพหมุนรอบ เชิงซ้อนนี่ มันซับซ้อน ลึกซึ้งมากๆ แล้วก็เรียนกัน โอ้ เรียนกันแต่ละคนนี้หวัดๆ อย่างกะตัวเอง รู้ซับรู้ซ้อนรู้ชัด รู้เจนเหลือเกิน เห็นแล้วก็อื่อ แหม ไม่รู้จะทำยังไง แล้วก็ยึดตัวเองเสียด้วยน่ะ โอ้โฮ เขา สอนมาเก่าแก่ เกจิอาจารย์ๆอะไรสอนมา ต้องเอาเชื่อเก่าแก่ มีอะไร พระโพธิรักษ์องค์เดียว แล้วก็มา พูดโด่ๆ เด่ๆ บาลีก็ไม่เคยเรียนมา ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ด้วย อะไรอย่างนี้ต่างๆนานา ซึ่งอาตมาเห็นใจ อาตมาต้อง แสดงฤทธิ์อันนี้ อาตมาต้องทำ ให้เห็นให้ได้ เพราะอาตมารู้ อาตมารู้อะไรหลายอย่าง ของอาตมา อาตมาต้องพิสูจน์ อันนี้เป็นอลังการ ของอาตมา อลังการของอาตมาอะไร อลังการของ อาตมา คือ ความจน คือความกระจอก อลังการ ของอาตมา คือความจน คือความกระจอก คือ ความไม่มีอะไรที่จะไป ใครสัมผัสปุ๊บ ต้องเห็นทึ่งปั๊บเลย ไม่ อาตมาต้องแสดงความมีเนื้อ โดยที่ไม่มีเนื้อ ภาษาซับซ้อนแล้ว อาตมาต้องแสดงความมีเนื้อ โดยความไม่มีเนื้อให้เขารู้ ให้เขาเชื่อ ให้เขายอมรับให้ได้ ถ้าเศรษฐีมีเงินทอง มีอลังการอะไรอย่างนั้น อย่างนั้นโลกๆ เป็นโลกีย์ตรงๆนี่ ไปให้เขาสัมผัส เขาก็ยอมซูฮกรับนับถือ มันก็ไม่ประหลาดอะไร แต่เป็นเศรษฐี ที่ไม่มีสตางค์ เศรษฐีที่ ไม่มีเงินเลย เขาก็มานับถือว่าเราอุดม เรามีความอุดมสมบูรณ์ เขาต้องทึ่ง เพราะเราไม่มีอะไรเลย จน ไม่มีสตางค์ ก็ไม่มีจริงๆ แต่เราสมบูรณ์น่ะ ขยายความขึ้นมา นิดหนึ่ง อย่างนี้ เป็นต้น อาตมาไม่มี อลังการ และอาตมาเจตนา อลังการอะไรจะไม่ใช้ แม้แต่ ปาฏิหาริย์อื่น อาตมาจะเอา อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ เท่านั้นให้เพียว นี่เป็นตัว นี่เป็นของอาตมา

เพราะฉะนั้น อาตมามีสิ่งเหล่านี้เป็นอลังการ มีความไม่มี เป็นอลังการ เป็นเครื่องประดับของอาตมา แล้วเราจะแสดง ให้คนนับถือความไม่มี ความกระจอก ความจน ความมักน้อย เน้นตัวมักน้อย ปางนี้ ต้องเน้นอันนี้ด้วย อาตมาปางนี้ สมัยนี้ก็ต้องเน้นอันนี้ด้วย เพราะว่ามันหลงไอ้ใหญ่ไอ้โต ไอ้หรู ไอ้หรา จนมันพูดกัน ไม่รู้เรื่องแล้ว ปางนี้ ต้องเน้นอันนี้ด้วย ข่ม ไอ้ที่ใหญ่ ข่ม ไอ้ที่หรูหราฟูฟ่า อย่างนี้จริงๆ อย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราก็มารู้ให้ชัดลงไปว่าอะไรให้เกิด อะไรไม่ให้เกิด อะไรควรที่จะเข้าใจอย่างแน่แท้แล้ว จะไปเบลอๆ ไม่แม่น ไม่คม ไม่เข้าใจ ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะเข้าใจศาสนาพุทธไม่ได้ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาทำลายสังคม ไม่ใช่ศาสนาทำลายมนุษย์ ไม่ใช่ศาสนาทำลายความดี ไม่ใช่ศาสนาจะมา เที่ยวได้ด้อย ที่สังคมเขานิยมมนุษยชาติในโลก คนในโลกเขานิยมศาสนาพุทธ ไม่ค้านเลย แต่ลึกซึ้ง ละเอียดลออ สิ่งที่ควรจะเจริญอย่างนั้น อย่างนั้นไม่มีปัญหา ใครๆฟังอาตมานี่นะ แล้วก็อาตมา พามาทำหมู่เมือง หมู่บ้านนี่ อาตมาพยายามกด พยายามที่จะให้ลดให้มักน้อย บ้านหลังเล็ก ให้อยู่กัน น้อยๆ อะไรนี่ อาตมาไม่ได้สอนให้คุณมาอยู่บ้านหลังเล็กหลังน้อย ก็อยู่กัน กุฏิใครกุฏิมัน งอก่องอขิง ไม่ก่อ ไม่สร้าง ไม่สรร ไม่ใช่น่ะ อาตมาบอกว่า เราจะมาจนน่ะ แต่เราจะไม่จน มันมีคู่เคียง อธิบาย ประกอบ จนที่สุด อาตมาบอกว่า จะมีสถาปัตยกรรมที่จะสร้าง อาจจะเป็นวังหินอ่อน ขลิบทองเลยก็ได้

คุณฟังดีๆ ก็จะรู้ว่า อาตมาไม่ใช่ว่า อาตมาจะดับสูญให้พวกคุณเป็นกระจอกไปหมด แล้วจะไม่มี อะไรน่ะ มีน่ะ จะสร้างใหญ่ ถึงขนาดที่อาตมาเปรยไปอย่างที่ว่านั่นด้วย แต่อาตมาก็ไม่ได้มุ่ง หมาย สร้างได้ไม่ได้ อาตมาไม่เกี่ยวเรื่องนั้น ไม่เกี่ยง ไม่ได้ก็ไม่ว่า เพราะสมัยนี้ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นต้องไป อวดโอ่อะไรเขา แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่อาตมาก็บอกแนวโน้มแล้วว่า ไม่ใช่อาตมานี่ โต่งไป ข้างหนึ่งเลยนะ อีกข้างหนึ่งไม่มีอะไร ไม่ใช่ อาตมารู้โลก ที่เขาจะอลังการ ด้วยความหรูหราฟู่ฟ่า สวยงาม อาตมาเข้าใจทั้งสิ้น แล้วเราก็ไม่ได้ด้อยน้อยหน้าเขาหรอก เรารู้ จะทำหรือไม่ทำ แล้วเรา ไม่ทำแล้ว ก็ไม่น้อยหน้า ไม่ได้เป็นปมด้อย ปมเสียอะไร อย่างนี้ เป็นต้น อาตมารู้ว่า ทิศทาง หรือว่า ความควรว่า อะไรควรจะจะมีขนาดไหน ประมาณขนาดไหน ที่จะเป็นประโยชน์คุณค่า ของสิ่งที่จะ สังเคราะห์ หรือ สังขารออกมา อาตมากำหนดสังขาร ประมาณสังขารได้ ที่ทำงานนี่ ก็ประมาณ สังขารมาตลอดเวลา อาตมาอยู่เหนือสังขาร ไม่ใช่สังขารเกิด หรืออำนาจกิเลส อำนาจอยากจะสังขาร ปรุงมาก ก็ไม่รู้ ปรุงน้อยเกินไป ก็ไม่รู้ ไม่ใช่ รู้สังขาร เหนือสังขาร เข้าใจสังขารปรุง

เพราะฉะนั้น อะไรไม่ให้สังขาร ให้ดับเลย เราก็ดับ ดับให้สนิท ดับให้ตาย อันนี้ไม่ต้องให้เกิดอีกเลย ก็ต้องดับ อันนี้ให้เกิดอยู่ ก็ต้องให้เกิด ให้เกิดอย่างยิ่ง ต้องให้เกิด อย่างนี้เป็นต้น

จับตั้งแต่เรื่องของความยินดี เอาสูตรนี้เป็นหลัก เรามียินดี เป็นราก เป็นมูล เป็นเค้าเงื่อน เป็นต้นทาง มีความยินดี เพราะฉะนั้น ก็ขอเปรยปรายกับพวกคุณเลย อาตมาพูดมามาก พูดบ่อยกับพวกคุณ คุณพอใจ จะอยู่นี่ คุณอิสรเสรีภาพของคุณนะ คุณยินดี พอใจของคุณเอง อาตมาไม่ได้ปกปิด เพราะฉะนั้น จะมาตู่อาตมาอะไรไม่ได้ มีฉันทะของคุณเอง ความยินดีที่ว่านี้ มีความพอใจ มีความรู้ ใช้ความรู้ เป็นตัวตัดสินของตนๆ ของใครก็ของมัน ตัดสินแล้วว่าดีน่ะ อย่างนี้ดีหรอก เอ้า เอาอันนี้ล่ะ เป็นตัวต้นทาง เป็นตัวรากเค้า เป็นตัวต้นน่ะ จะไปเรียกอะไรล่ะ มีมูลรากเป็นเค้าเงื่อน เป็นจุดเริ่มต้น คุณต้อง มีความยินดี พอใจ ความหมายอันนี้ ถ้าใครเข้าใจชัดเป็นปฏิภาณ จะเห็นได้ว่า อันนี้แหละ คือ ความอิสรเสรีภาพ ไม่ใช่เรื่องของการเผด็จการ ไม่ใช่เรื่องของการมาบังคับกดขี่ ข่มเหงน้ำใจอะไร น้ำใจเป็นของคุณ คุณเป็นผู้ยินดี คุณเป็นผู้ไม่ยินดี คุณเป็นผู้พอใจจะเอา ไม่พอใจจะเอา เป็นของคุณเอง

เพราะฉะนั้น ของคุณพอใจจะเอา ยินดีเอง นี่เป็นตัว อาตมาถือว่า เงื่อนไขอันนี้ชัดเจนมาก ของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นมูล เป็นต้นเค้า ถ้าที่จริงสูตรนี้นี่ มันมีอย่างนี้ๆ พระพุทธเจ้าเคยตรัส ถามภิกษุ เพื่อจะสอนสูตรนี้ ว่านี่ เธอทั้งหลาย เธอมาปฏิบัติธรรม หรือมาศึกษานี่ เธอมีอะไรเป็นมูล มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นอะไรนี่ ท่านว่าอย่างนั้น มีอะไรเป็นมูล มีอะไรเป็นเหตุ พระลูกศิษย์ สาวกของท่าน ก็ทูลตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย มีพระตถาคต มีพระผู้มีพระภาคนั่นแหละเป็นมูล เป็นเหตุ มาเพื่อพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าน่ะ ท่านหยั่งรู้แล้วว่า ภิกษุจะตอบอย่างนั้น เพราะศาสนา ในสมัยโน้นเป็นอย่างนั้น คือเขาติดพระเจ้า นอกจากติดพระเจ้า เป็นมูล เป็นเหตุแล้ว เขาก็มาติดบุคคล คือ พระพุทธเจ้า นอกจากพระเจ้า ซึ่งไม่มีตัวตนแล้ว เขาก็มามีตัวตน ถือว่ามามี พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ เป็นยิ่ง เขาก็เอาอันนั้นเป็นเหตุ ซึ่งพระพุทธเจ้า ไม่สอนศาสนา อัตตาอย่างนี้ ไม่ได้สอนศาสนาศรัทธาอย่างนี้ ตัวเดียวโด๋เด๋ ศรัทธาพระเจ้า ศรัทธาพระพุทธเจ้า แล้วก็เอาตัวนี้ เป็นอัตตา พระพุทธเจ้าต้องการแก้ แก้ประเด็น หรือแก้ปมที่มันหลงผิดอันนี้ สมัยโน้น มันหลงผิด กันมานาน ไม่มีศาสนาที่ชัดเจน ที่จะไม่เป็นอัตตาแบบนี้น่ะยากมาก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ชัดเจน จึงมาแก้ไข พระพุทธเจ้าจึงไขบอกว่า ไข แสดง ใช้ศัพท์ภาษาทางคริสต์บ้าง พระพุทธเจ้าจึงไขแสดง บอกว่า เธอทั้งหลาย ฉันทะนั่นแหละเป็นมูล ต้องมีฉันทะเป็นมูล ไม่ใช่ไปมี พระผู้มีพระภาคเป็นมูล ไม่ใช่ มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นเหตุเกิด เป็นสมุทัย แดนเกิดก็สัมภวะ

ท่านก็ตรัสไล่มา เดี๋ยวอาตมาก็จะไล่ให้ฟังอย่างเมื่อกี้ มีผัสสะเป็นเหตุเกิด แค่นี้ แค่ ๓ ตัวนี่ชัด สำหรับ อาตมาน่ะ ชัดเด่นเลย อ้อ มันมีตัวผัสสะ เป็นตัวเกี่ยวข้องตลอด ตั้งแต่นอกและใน ในภพของจิต ของเรา เราก็มีผัสสะใน ที่เรียกว่า ธรรมารมณ์ ข้างนอกเราเรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์ ผัสสะข้างนอก เราเรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์ ข้างในเราเรียกธรรมารมณ์ ในภพของจิต มันก็มีสัมผัส นี่แหละ มันเป็นเหตุ มันเป็นตัวสำคัญ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจับเหตุอย่างหยาบก็ไม่รู้เรื่อง ละเอียดเข้าไปๆๆ จนกระทั่งถึงข้างในเป็นเหตุเกิด เราก็ไม่รู้เรื่อง แล้วดับเหตุไม่ได้ หรือปล่อยให้เหตุนั้นเกิดไม่เป็น แล้วประมาณเหตุนั้นก็ไม่ถูก จะให้เกิด เท่าใด มีสันโดษอยู่ มีสัมมาอยู่ มีความพอให้เกิดเท่านี้ละนะ ประมาณเท่านี้พอดี สัมมา มัชฌิมา เราควบคุมไม่ได้ เราทำไม่ได้ เราก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่เหนือ ไม่ใช่ผู้มีอุตระ ไม่มีปัญญา นั่นเอง ปัญญาเป็นอุตร เมื่อกี้ก็ไล่ไปแล้ว ปัญญาเป็นใหญ่ เป็นยิ่ง ปัญญาเป็นยิ่ง ที่จริงภาษาไทยนี่ จะเอายิ่ง มาใส่ตัวอุตระก็ได้ จะเอาใหญ่มาใส่ตัวอุตระก็ได้ แต่ก็เอาละ เขาใช้ตัวนั้นก่อน อาตมาถึงบอกว่า ถ้าไม่กำกับ ด้วยภาษา บาลี ๒ ตัวนี้นะ สติกับปัญญา สติเป็นใหญ่ ปัญญาเป็นยิ่งนี่ ไม่กำกับด้วย อธิปไตย กับอุตรนี่ มันไม่ถนัดเลย อาตมาเห็นว่า เป็นภาษาไทย มันยังไม่ครบ ยังใช้แทนกันได้ แล้วดูมันสับสนอยู่ เหมือนกัน ที่จริงมันทั้งใหญ่ทั้งยิ่งทั้ง ๒ ตัว สตินี่เป็นตัวครองชีวิต อยู่อย่างมีชีวิตอยู่ ต้องมีสติ และ ก็ต้อง มีตัวปัญญาเป็นตัวนำ ตัวคุม ตัวจัดแจง ตัดสิน ทำอะไรต่ออะไรอยู่ทีเดียว มันสำคัญ ไม่มีสติ ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่มีปัญญา ก็ด้อย ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์คุณค่าสูงสุด

เอ้า ทีนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัส ท่านก็ไม่ได้อธิบายอะไรละเอียด ลออเหมือนอย่างที่อาตมา กำลังอธิบาย ให้ฟังหรอก ท่านก็ตรัสบอกสภาพพวกนี้พอสมควร คนสมัยโน้น มันอุคฆติตัญญู วิปัญจิตัญญู พอบรรยาย พอท่านบอกหัวข้อ แต่เพียงหัวข้อ ขยายความนิดหน่อย บัวก็บาน สว่างไสว พวกเราน่ะ มัน เนยยบุคคล อธิบายไปเถอะ ขยายหัวข้อนี่ ไม่รู้กี่ขยายแล้ว ขยายไปเถิด ก็ยังเฉย สู้ครูเสียด้วย บางทีน่ะสู้ครูเสียอีก มันก็อย่างนี้แหละ มันเป็นธรรมดา อาตมาไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้อะไร หรอก เพราะว่าอาตมารู้อยู่ว่า อาตมาคือ อาตมา อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า ที่จะได้มี แหม เหมือนกับ ผู้ที่นั่งเสวย มาถึง สอนพั้บ บรรลุอรหันต์ อรหันต์ เป็นอะไรต่ออะไรเจริญงอกงาม ทำอะไร ก็มีผลเลิศ ผลยอดทันที อาตมาไม่ใช่คนเช่นนั้น อาตมาไม่เคยหลงตัวว่า อาตมายิ่งอย่างนั้น ใหญ่อย่างนั้น ไม่เคยหลงตัว รู้ดีอยู่ ก็พร้อม พร้อมที่จะเหนื่อย พร้อมที่จะอุตสาหะวิริยะ ขวนขวาย แล้วก็ทำน่ะ

อาตมาเข้าใจเด็ดๆแน่ๆว่า อาตมาจะต้องสร้างความเกิด สร้างอะไร สร้างงานที่ทำนี่แหละ สร้างหน้าที่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ก็ทำหน้าที่นี้ งานนี้ อาตมาเห็นว่าสิ่งที่ดับ สิ่งที่มันไม่ต้องให้เกิด รู้ของอาตมาเอง ว่าอะไรอาตมาไม่ให้เกิด เอาตั้งแต่ ๑ วัตถุ อาตมาเอาตัวเองเป็นหลักให้ฟังก่อนนะ เอาอาตมา เป็นหลัก ที่จะถือเป็นตัวอุเทศขยายความ ยกขึ้นแสดง อธิบาย อะไรต่ออะไรให้ฟัง อาตมาเอง อาตมาอธิบายดับ ให้คุณฟัง ก็คงจะลึกจนกระทั่ง คุณรู้ตัวดับไม่ได้ แต่อธิบายตัวเกิดให้ฟังประกอบ จะเห็นชัดกว่า แต่ก็จะอธิบายด้วยตัวดับ ก็ต้องอธิบาย ในเรื่องตั้งแต่วัตถุนอก อาตมาตั้งแต่รู้ เข้าใจ อาตมาใช้คำว่า ตรัสรู้ด้วย แต่ว่าตรัสรู้อันนี้ ไม่ใช่คำว่าตรัสรู้ อาตมาเคยขยายความ ไม่ใช่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านะ อาตมาตรัสรู้ ในตัวตรัสรู้ของอาตมา ในระดับในภูมิของอาตมา ตั้งแต่อาตมารู้เรื่องวัตถุสมบัติ ข้าวของ นอกตัว อาตมาว่า อาตมามีจิตของอาตมาดับ ไม่เกิดไปอยากได้ยินดีของนั้น มาเป็นของตัว ของตนอีก อะไรต่ออะไรอีก ตั้งแต่แน่ใจชัดเจน ไม่สงสัยลังเล แล้วก็จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ แม้จะมี อะไรต่ออะไร เกิดขึ้นมานี่ก็ อาตมาก็ทำหน้าที่ให้เกิดอีกแหละ ซ้อน ทำหน้าที่ให้เกิด มันมีเกิดมา ตามบุญ ตามบารมี มาให้เกิด แม้จนกระทั่งเกิดหมู่บ้าน จะต้องเกิดข้าวของวัสดุอะไรขึ้นมา ที่จะมา ใช้งาน ใช้อะไรต่ออะไร เป็นไปอะไร อาตมาก็ต้องรู้จักตัวเอง แล้วรู้จักสภาพ ส่วนรวม แล้วอาตมา ก็ไม่ได้ติดยึดอะไร ว่าอาตมา ติดยึด หรือไม่ติดนี่ ซ้อน อันนี้พูดยากนะ พูดแล้วก็อธิบายยาก บอกแล้วว่า ตัวดับ มันมีอยู่ที่ตัวอาตมา ที่อธิบาย ให้คุณฟังไม่ได้ แต่อาตมาก็ต้องเป็นไปอยู่

เพราะฉะนั้น คนจะไม่เข้าใจ เมื่อเลยเถิด เออ มาสร้าง มาก่อ มาอะไรนี่ มันไม่ใช่ตัวเกิด ศาสนาพุทธ ของเมืองไทยเรา มันเถรวาท เน้นตัวดับ เน้นดับจนเลยเถิด เน้นดับ จนเอียงข้างไปหาเชน ดีแต่ว่า มันยัง ไม่แก้ผ้าเท่านั้นละ มันเอียงเข้าไปหาสุดโต่ง เข้าไปหาฤาษี หรือเชน เข้าไปหาตัวดับมาก เน้นตัวดับ แต่ก็ถูก เพราะว่าถ้าไม่ดับกิเลสเสียได้สนิท ดับกิเลสได้ จริงจัง มันก็บรรลัย เดี๋ยวมัน ก็เลอะเทอะ ไปใหญ่เลย ปรุงสร้าง ทำแต่ประโยชน์ผู้อื่น เหมือนกับอย่างมหายาน เลยเป็นมหายาน โตงเตงเลย มันเป็นธรรมะ หรือว่าเป็นพุทธศาสนาสังฆเภท ของพุทธนั้น มีทั้งเกิดและดับ ของ พุทธนั้น มีทั้ง ประโยชน์ตน -ประโยชน์ท่าน แยกกันเมื่อใด ก็สังฆเภทเมื่อนั้น เอียงเมื่อใด ก็เริ่มแล้ว ถ้าเอียง ไปทาง ประโยชน์ท่านมาก ประโยชน์ตนน้อย โดยไม่รู้ว่าตนเองนี้ ยังไม่ได้ผลประโยชน์ ของตนเอง มากพอ ที่จะไปเน้นประโยชน์ผู้อื่น มากเกินไป อาตมาไม่รู้จะพูดยังไงนะ ฟังดีๆน่ะละเอียด ผู้นั้นเพี้ยน ผู้นั้นผิด ผิดระดับของตน แต่ถ้าเผื่อว่ามีประโยชน์ตนมากแล้วสอบได้ ๗๐% ขึ้นไปเป็น พระอนาคามี แล้ว สอบได้ ๗๐ แล้ว ต้องมีประโยชน์ผู้อื่นมากกว่าประโยชน์ตน เพราะตนได้ตั้ง ๗๐-๘๐-๙๐ ยิ่งจะเป็น พระอรหันต์อยู่รอมร่อแล้ว ยังมาเน้นแต่ ประโยชน์ตนๆ ประโยชน์ท่านไม่ทำ คนนี้ก็เอียง

ฟังที่อาตมาให้ข้อมูลขยายความอันนี้ก่อน คนนี้ก็เอียง แต่ถ้าเราเป็นโสดา พึ่งได้ประโยชน์ตนซัก ๒๕% แหม ! กระเหี้ยนกระหือรือ จะเอาประโยชน์ท่านให้หนัก นี่แหละ มันซวยตรงนี้ ไม่รอดๆ คนนี้ไปไม่รอด ตายแน่ไอ้หวัง ไอ้หวังตายแน่ นี่มันไม่รู้ฐานของตน ไม่รู้ฐานะของตน ได้ของตนเองแค่ ๒๕% ก็ต้อง ขวนขวายให้ตัวเอง นี่ เพิ่มความตั้งอยู่ สมาธิมีประมุข มีตัวหัวหน้า ของเรา ถึงจะไปเดินหน้า ให้มากหน่อย ต้องสั่งสม ให้ได้สกิทาคามีภูมิขึ้นมา จนได้ตัวเอง ๕๐% ขึ้นไป ก็จะมีประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านกึ่งกัน ทำประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านกึ่งกัน ถ้าสูงขึ้นมา เกินกว่าสกิทาคามี มีเนื้อหาของ อนาคามีขึ้นมา มากขึ้นๆ ประโยชน์ท่าน ต้องมากกว่าประโยชน์ตน ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีประโยชน์ตนเลยหมด มันจบแล้วประโยชน์ตน สูญ ประโยชน์ตนสูญ เมื่อได้ ครบ ๑๐๐% แล้ว ประโยชน์ตนก็สูญ มีแต่ประโยชน์ท่านทั้งสิ้น อย่างนี้ เป็นต้น

เมื่อไม่เข้าใจรอบละเอียดซับซ้อนพวกนี้ จึงกลายเป็นมหายาน และเถรวาทที่โต่ง เพราะฉะนั้น เถรวาท เน้นตน ๒๕% ก็ไม่รู้ ๕๐% ก็ไม่รู้ และ ยิ่งไม่เอาอื่น มันยิ่งซับซ้อนเลยว่า เถรวาทนี่ ไม่สามารถบรรลุ เพราะมันไม่มีผัสสะ เป็นปัจจัย มันไม่รู้โลก มันไม่รู้โลกียะ มันไม่เดินมรรค มันก็โต่งไปหาฤาษีๆ เอียงเป็นสังฆเภทไปอย่างนั้น ศาสนาพุทธจึงเสื่อมด้วยประเภทอย่างนี้ แต่ก็ยังมีเนื้อโสดา สกิทา เพราะฉะนั้น จะเอาพระอริยะแล้ว ในเมืองไทยมี โสดา สกิทามี ไม่ใช่น้อย แต่เขาไม่รู้ ที่อาตมาไม่ให้ค่า ของพระโสดา พระสกิทาในเมืองไทย อาตมาไม่ให้ค่าเพราะอะไร อาตมาไม่ให้ เพราะเขาไม่รู้ของเขา ทั้งๆที่เขามีน่ะ เขามีคุณธรรมโสดา แต่มันไม่เป็นอุภโตภาค มันไม่เป็นสองส่วน เขามี จิตเขามี แต่เขาไม่มีปัญญารู้ ทีนี้ ถ้ามีมาก แม้เขาไม่รู้ อาตมาก็ให้รู้ ฯลฯ

Š เพราะฉะนั้น ในเมืองไทยนี่แหละ มีอริยะ โสดา สกิทา มี เพราะรู้จักเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เน้นตนก่อน เอาที่ตนให้ได้ๆๆๆ ไป เน้นคนอื่นก่อน อย่างมหายาน จึงไม่มีอริยะ ผิดฐาน ไม่ได้ประโยชน์ตน แล้วเอาอะไรเป็นเศรษฐี เราจะไปแจกคน แต่เราไม่มีเงินสักบาท เอา...อะไรไปแจก เราจะเผื่อแผ่คนอื่น แล้วเราไม่มีอะไรเลย จะไปเผื่อแผ่ เอาอะไรไปให้เขา นี่เป็นเหตุผลง่าย เพราะฉะนั้น มันต้องมีเสียก่อน เราต้องมีเสียก่อน แล้วเราถึงจะเอาไปให้คนอื่นๆได้ ถ้าเราจะแจก อริยทรัพย์ เราต้องมีอริยะเสียก่อน เราถึงจะเอาอริยทรัพย์ไปแจกคนอื่นได้ แล้วก็มีอยู่นิดหนึ่ง มาทำเป็นแอ๊ค แหม จะนั่งแจกๆ หมดตัวก็ไม่รู้ตัว พอหมดตัวแล้วเป็นไง ชักของปลอมออกแจก นี่ มันเสื่อมตรงนี้น่ะ เพราะฉะนั้น ไม่รู้ตัว ตัวเองเพิ่งได้มายี่สิบห้า หน็อย แจกหมดยี่สิบห้า ตายล่ะหว่า ต้องรักษาหน้า ว่าเราเป็นเศรษฐี ตอนนี้ ควักขี้หมาแจก ควักของปลอมแจก มันจึงเสื่อม เพราะเหตุนี้ด้วย จึงไม่ขึ้นสูง อริยะของประเทศไทย จึงไม่ขึ้นสูง แต่อริยะของประเทศไทยมี

ทีนี้มหายานนั้นน่ะ ตัวไม่มีเลย จะเอาแต่ประโยชน์ท่านๆ สอนเขาตะพึด โอ้โห! เรียนไอ้ทางโลกๆ โลกีย์ สังคมนอกตัว เรียนศึกษาเหตุผล อะไรต่ออะไรมากมาย โอ้โฮ! เขาลึกมาก ลึกด้วยภาษา เขามากๆ มากด้วยภาษา มากด้วยเหตุผล มหายาน จึงยานโตงเตง มีเยอะ แม้แต่คัมภีร์ พระไตรปิฎก ก็ข่มเถรวาท มีตั้ง ๓๐๐ เล่ม เถรวาทมีเท่าไหร่ สี่สิบห้า ไอ้จ้อย ก็ดูถูก ข่มไปหมด มีหมู่มวลเยอะ มีอะไรต่ออะไรมากมาย จนตัวเองไปเป็น ตันตระลัทธิ เอาแต่ท่องสวดมนต์ ลัทธิเอาแต่สอนผู้อื่น ลัทธิเอาแต่เหตุผล ลัทธิเซน ลัทธิอะไรต่างๆนานา พอมันมากเข้า มันชักเมื่อย เซนนี่ มันเกิดเพราะ ความเสื่อม เซนนี่มันเกิดขึ้นเพราะตะกละ และเพราะเมื่อย เฮ้ย วางเสียที อะไรก็ ว่าๆ วางเสียที เซน คือมันเมื่อย มันมีแต่เหตุผลๆๆๆๆ จนวุ่น จนฟุ้งไปหมด เลย เฮ้ย หยุดเสียบ้างเถอะวะ วางๆ เสียบ้าง เถอะว้า เซนนี่ มันเกิดเพราะความเมื่อย มหายานแล้วมันก็สลัด แล้วมันก็เอาวาง เอาซาโตริ ก็วางได้ ได้นิดได้หน่อย เขาก็เอา วางได้นิดได้หน่อย เขาก็ยังพอบรรเทา ไม่อย่างนั้น มันยุ่ง มันปวดหู มันปวดหัว ไปหมดเลย เหตุผลมันเยอะ โอ้โฮ อะไร มันเยอะเหลือเกิน เสร็จแล้ว ไม่มีเนื้อ ไม่เข้าแก่น ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่ถูกต้องอย่างที่ว่าแล้ว ต้องเบื้องต้นที่ตน แล้วต่อให้มีเนื้อหา สาระแก่นสาร ให้มีวิมุติ เป็นแก่นให้ได้ สั่งสมให้จริง มีสติสัมปชัญญะ มีหลักเกณฑ์ มีการประพฤติ ปฏิบัติที่ถูกศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นหลักแท้ แล้วก็จับเป้า จับสาระ จับมนสิการ จับแดนเกิดให้ได้ จึงจะได้

อาตมายังไม่ได้อธิบายถึงมนสิการตัวแดนเกิดที่เป็นภพใน อธิบายไปนอกก่อน เพราะฉะนั้น อาตมา พอรู้ว่า เรื่องวัตถุ สมบัติภายนอก มันไม่เกิดหรอก อาตมาไม่เกิด แต่คนอื่นดูยากน่ะ ดูว่าอาตมาเกิด ไม่เกิด ดูยาก จะรู้อาตมาไม่ได้ อาตมายินดีหรือไม่ยินดี คุณจะมารู้ตัวดับ ตัวเกิดของอาตมา ไม่ออกหรอก อาตมาทำทีว่ายินดีนะ ไอ้นี้ เออ ไอ้นี้เอามามากๆดีอย่างนี้ คุณไม่รู้หรอกว่า อาตมาชอบ หรือไม่ชอบ เหมือนกับอย่างชำนิ มโนรมณ์ ที่เขา แหม ช่างจับที่ เทศน์ตอนนั้น ที่บอกว่า ที่ข้างหน้านี่ ที่สันติ เราน่าจะได้ นี่เห็นไหม กิเลสแล้วๆ เขาก็ว่า เขาก็ซัดอาตมา แหม ทำเป็นพระอริยะ ดูซิ นี่กิเลส อยากไปได้ที่ของเขา อยากได้อะไรอย่างนี้ ส่วนเขาไม่เข้าใจหรอก อาตมาเข้าใจเขา เออ เขาก็ เอาพวกนี้ มาจับ มันก็จริงของเขา ถ้าเขาคิดแค่นั้นๆ จะไม่ให้พูดอะไรเลย จะ ไม่ให้สร้างสรรอะไรเลย เขาจะเอา แต่ดับๆ ก็เขาเรียนเปรียญมา เขามีแต่ สายดับในเมืองไทย มันเถรวาท

เพราะฉะนั้น อะไรจะเกิดอะไรขึ้นมา เขาแพลมๆ เขาจับมาว่าได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุด้วยผล แต่เขาไม่รู้ ลึกซึ้งว่า มันคืออะไร ประโยชน์อะไร ควรเป็น ควรแค่ไหน เขาไม่เข้าใจ ในเรื่องลักษณะการเกิด เขาไม่เข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าไม่เกิด อาตมาก็ขอย้ำอีกว่า ถ้าพระพุทธเจ้ามีสุดโต่งแบบ เถรวาท ทุกวันนี้นี่ จะเอาแต่ดับๆๆๆ เอาหยุดๆๆๆเลย ศาสนาไม่เกิดหรอก พระพุทธเจ้าขวนขวายอย่างกะอะไรดี แม้จะตายอยู่แท้ๆ ยังต้องสร้างพระอรหันต์ องค์สุดท้าย ดูพระกรุณาธิคุณซิ คุณไม่ซาบซึ้งยังไง

เพราะฉะนั้น เมื่อเถรวาทมันโต่งอย่างนี้ อาตมาก็ต้องถ่วงโต่งนี้ มาเป็นมหายานให้มากขึ้น แต่อาตมา ก็จะไม่พาคุณเพ้อ แบบมหายาน อย่างเสถียร โพธินันทะ อย่างอะไรต่ออะไรนี่ สอนเพื่อที่จะให้เป็น มหายานให้มาก แล้วเขา ก็โต่งมหายาน แล้วเขาก็ไม่เข้าแก่น เขาจึงไม่ได้อะไรมากนัก อย่าง เสถียร โพธินันทะ เขาประกาศตัวเป็นมหายานในเมืองไทยเลย อาตมาไม่ได้ประกาศมหายาน แต่อาตมา แสดงพฤติกรรมมหายาน เพื่อถ่วงเถรวาท เพราะฉะนั้น อาตมาหวือหวา ที่ไม่มีค่านิยม ไม่มีจารีต ประเพณี ไม่มีแบบอย่าง ไม่มีตัวอย่าง แบบมหายาน แบบสร้างก่อ สร้างสรร สร้างเมือง แต่อาตมา ก็บอกแล้วว่า อาตมาก็ไม่พาโต่งแบบมหายาน จะต้องสร้างวัง สร้างเวียง จะต้องสร้างอะไร ให้มัน อะร้าอร่าม สร้างอย่างกับวัด... ขึ้นมาให้ได้ ไม่บ้า อาตมาต้องสร้างแค่โบสถ์ให้หรูหรา สักหลังหนึ่ง แบบที่เขาสร้างกันน่ะ นั่นก็คือ มหายานซ้อนอยู่ในเถรวาท การสร้างโบสถ์ สร้างเครื่อง อลังการ อะไรต่ออะไรมาซับซ้อนน่ะ นั่นแหละ ลัทธิแบบมหายาน ฯลฯ

เพราะฉะนั้น อาตมาเองก็ขอวิเคราะห์ว่า แม้แต่อย่าว่าแต่เรื่องของ วัตถุสมบัติ ในที่นี้ผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย กาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อาตมาก็ว่า อาตมาไม่มีปัญหา ของอาตมา ไม่มีอะไร แต่ต้อง เกี่ยวข้างนอกอีกเหมือนกัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย วัตถุรูปนอก รูปอะไรต่ออะไร อาตมาก็มาถ่วงอีกมา ถ่วงพวกเรา มาถ่วงให้เห็นว่า อย่าเลย ไอ้รูปนี่ ไอ้รส มันของเขา มันประเจิดประเจ้อ แล้วมันก็หรูหรา ฟูฟ่า ก็พามาถ่วง ไม่ต้องให้เกิดหรอก ให้ดับลงมา ถ่วงให้ดับ ให้น้อย เราจะเห็นหลักของพระพุทธเจ้า ที่ท่านสอน ธรรมใด วินัยใด เป็นไปเพื่อความมักน้อย ขนาดสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ท่านยังถ่วง ให้มักน้อย มากกว่ามักมาก ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อ ความมักมากมักใหญ่ ไม่ใช่ของเราตถาคต นี่เป็นหลักชัดน่ะ

เพราะฉะนั้น มักน้อย ถ่วงมาแล้วตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี เพราะยุคกาลของศาสนานั้น ยุคกาลของ ศาสนาก่อนโน้น พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆโน้นน่ะ ไม่ต้องถ่วงมากเท่าพระสมณโคดม ไม่ต้องถ่วงมาก เท่าพระสมณโคดมละ ตั้งแต่ ตอนที่มีอริยะ หรือมีอะไรที่อุดมสมบูรณ์ โลกนี้ยังมาก ยังมายกว่านี้อยู่ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆโน้น ไม่ต้อง ไม่ต้องถ่วงเท่าพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้านี่ มันใกล้กลียุคแล้วจึงถ่วง เพราะฉะนั้น หลักแกนของท่าน ถึงบอกให้มักน้อยเป็นแกน ไม่ใช่ให้มักมาก และโดยส่วนกว้าง ส่วนรวมด้วยก็ไม่มักมาก แต่ท่านไม่ต้องเน้นอันนี้เลย ในพระพุทธเจ้าบางองค์ ไม่ต้องเน้น ไม่ต้องเน้นมักมากมักน้อย ไม่ต้องเน้น แต่ของพระพุทธเจ้าองค์นี้เน้น พระสมณโคดมเน้น อาตมายิ่งต้องเน้น ยิ่งต้องเน้น ยิ่งต้องเน้นมักน้อย ถ่วงให้ตาย จนกระทั่งอาตมาตาย เกิดมาตายอีก ๔-๕ ครั้ง ก็ยังต้องเน้นอันนี้อยู่ ก็ไม่รู้ว่า มันจะพลิกกลับมาได้แค่ไหน ในความมักมาก มักใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย มันไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องเน้นอันนี้ให้มักน้อย ให้สูญ ให้น้อยมาให้มาก เมื่อมันเป็นฤาษี มันขี้เกียจมาก ก็ต้องมาเน้นขยันให้มาก พระพุทธเจ้าจึงเน้น สมัยโน้นก็ยังเป็นฤาษีอยู่ไม่ใช่น้อย จึงเน้นขยัน ธรรมใด วินัยใด เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อ ความขยันหมั่นเพียร ธรรมนั้นวินัยนั้น ของเราตถาคต ท่านเน้นให้ขยันเกิด ท่านเน้น ให้มักน้อยเกิด ฟังภาษาซ้อน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คุณไม่ต้องไปเน้นมันหรอก มันมาก มันมักมากอยู่แล้ว

(อ่านต่อหน้า ๒)

(FILE:0337A.TAP / การเกิด)