การเกิดหน้า ๒ (ต่อจากหน้า
๑) เพราะฉะนั้น รูป รส กลิ่น
เสียง สัมผัส คุณไม่ต้องไปเน้นมันหรอก มันมาก มันมักมากอยู่แล้ว เน้นให้มันน้อย
เพราะฉะนั้น พวกเราน้อยแล้ว เราสบายใจไหม สมัยขนาดพระพุทธเจ้ายังสรรเสริญ
ผู้นุ่งผ้าสีหม่น ผู้นุ่งผ้าบังสุกุล สมัยนี้ต้องบังสุกุลขนาดไหน ต้องสีหม่นขนาดไหน
นี่ ยัง แหม ชักจะสีซีดแล้วเรา ย้อมเถอะ ชักซีดแล้ว อย่าใส่เลย ปะก็ไม่ได้
กลัวมันจะเป็นบังสุกุล อาตมายังทำ พวกคุณนุ่งพวกผ้าปะ ยังไม่ค่อยได้เลย อีกหน่อยต่อไป
หมู่บ้านปฐมอโศก หรือ พวกชาวอโศกนี่ จะนุ่งผ้าปะ เป็นสัญลักษณ์ แต่ไม่ใช่แกล้งปะนะ
มันขาดจริง อย่าไปแกล้งปะ มันน่าอายเขาท้วงว่า มันขาดตรงไหนเล่า เขาค่อยๆแง้มดู
แงะดู ปัดโธ่เอ๊ย ดัดจริต มันไม่ขาดก็ทำเป็นอยากโก้ สร้างค่านิยม ไปเฉยๆ
ให้มันเป็นจริง เราเอง เรามักน้อย เราเอง เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความอุตสาหะ
แม้น้อย เราก็เอา มันยังพอไปได้ ประหยัดให้โลกหน่อย โลกมันฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเหลือเกิน
ถ้ามัน ถามมาว่า ที่พ่อท่านเทศน์ว่า พุทธเมืองไทยมีอริยะ ที่ไม่สามารถวัดอริยคุณในตัวเอง ไม่มีปัญญา ที่มีสัมมาทิฐิชัด ใช่ไหม ใช่ ไม่มีปัญญาที่มีสัมมาทิฐิชัด คือเรียกให้เต็มๆก็คือ ถ้าเรียกปัญญาแล้ว พวกคุณก็จะไม่ชัดเรียกญาณ ไม่มีญาณ ไม่มีญาณทัสสนวิเศษ ปัญญาที่สัมมาทิฐิชัดนี่ ถ้าเรียกเป็นศัพท์แล้วก็เรียกว่า ไม่มี ญาณทัสสนวิเศษ ที่คมชัดเป็นเครื่องวัด เครื่องรู้ที่สมบูรณ์ ไม่มีอันนั้นจริง ขอปัญญาทฤษฎี ซึ่งตัดสินอริยะ พร้อมพฤติกรรมที่พอสามารถวัดจิต พฤติกรรมของตนเอง ที่จะได้ ขวนขวาย ปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นไป แหม พูดอยู่ไม่รู้กี่พูด หลักเกณฑ์ ก็บอกแล้ว ศีล ๕ อบายมุข โสดา ศีล ๘ ก็กว้างขึ้น ศีล ๑๐ ก็กว้างขึ้น สำหรับ อนาคามี ก็ศีล ๑๐ ขึ้นเป็นเขต แล้วก็นัยละเอียดก็พยายามอธิบายอยู่นี่ อธิบายย่อยๆไม่ได้ นี่อาตมาเอาภาษาพวกนี้มาพูดเอง ที่จริงก็อยู่ในหลักสังโยชน์ ๑๐ แต่สังโยชน์ ๑๐ วัดในทางจิตชัด แต่ ทีนี้ ทางจิตตัวเดียว พวกคุณวัดไม่ได้ ไม่มีหลักด้วยบัญญัติ ไม่มีหลักด้วยวัตถุอะไร หรือว่าข้างนอกด้วย มันก็ยาก เพราะฉะนั้น ในฐานต้นนี่ โสดา สกิทา ก็พูดโดยทางวัตถุ ทางโลกนอก ภพนอก กันเสียก่อน ส่วนภพใน ไม่ใช่อาตมาไม่สอน ไม่ใช่ไม่บรรยาย บรรยายๆ ภพในก็บรรยาย สอดซ้อนอยู่ ตลอดเวลา วันนี้ที่ขอมา ก็จะไม่บรรยายซ้อนหรอก พอคุณฟังแล้ว คุณก็จะตัดสินว่า เรานี่ เอ๊ะ เราเป็นโสดาหรือยัง เรานี่เป็น สกิทาหรือยัง เอาน่ะ ใจเย็นๆ ก็บอกหลักแล้ว ศีล ๕ อบายมุข ถ้าอบายมุขของเรานี่ มันหมด จริงๆ มันฐานต่ำ ปิดอบายนี่ คืออบายมุขนี่แหละ ปิดอบายนี่แหละ ทุกอย่างมันก็เป็นอบาย มันเป็น ความไม่เจริญ อบายนี่ เป็นนรก พระสกิทาคามีก็มีอบาย อ่านในทางเอกซิ อาตมาเขียนเอาไว้ ไม่ใช่ว่า เป็นพระอนาคามีแล้วไม่มีอบาย เขาไม่เข้าใจอบาย อบายของเขาตื้น แค่อบายของเขาแค่นั้น เขาก็ยัง ไม่เข้าใจ แล้วเขาก็เลยเลอะเลย พระโสดา ปิดอบาย สกิทา อนาคา ไม่มีอะไรที่ต้องไปนั่นแล้ว ยิ่งยอดเลย เขาก็เลยเข้าใจศาสนาพุทธ มีอริยคุณอันเดียว คือโสดา โสดาเท่ากับอรหันต์ อรหันต์เท่ากับโสดา อย่างนี้ ทางเถรวาทขณะนี้ ก็เข้าใจอย่างนั้น เข้าใจว่า โสดานี่แหละ คืออรหันต์ อรหันต์คือโสดา เขาแบ่งแยกไม่ออกเลย ที่จริงไม่ใช่ พออาตมา มาแยกวิเคราะห์เป็นชั้นๆ เป็นสัด เป็นส่วนชัดๆ ทั้งๆที่ จะสอนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ผู้มีมรรคองค์ ๘ นี่ ผู้นั้นมีอริยะ ๔ เหล่า มีสมณะ ๔ เหล่า แยกเป็น ๘ ก็ชัดขึ้น ละเอียดขึ้น นี่เขาแยกไม่ออกเลย แล้วก็ไปเข้าใจผิดด้วยว่า อริยคุณโสดา ไปเอาเป็นอรหันต์เลย โอ้ย ท่านเป็นโสดาบันแล้ว ไม่มีตัวตนแล้ว ปัดโธ่เอ๊ย สักกายะ ของพระโสดา ละสักกายะแล้วไม่มีตัว ไม่มีตนแล้ว ท่านไม่กลัวตายแล้วด้วย แหม เอ๊ย พระโสดา ไม่กลัวตาย ขนาดวิสาขา หลานตาย ยังร้องไห้ขี้มูกโป่งๆ ไม่กลัวตาย ไม่เสียดาย มันไม่รู้อย่างนี้ มันสับสนกัน อะไรก็ไม่รู้ พระโสดาเหรอไม่กลัวตาย โสดานั่นเหรอ ไม่มีตัวตน นี่เขาไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ว่า อาตมาอธิบายผิด อย่างนี้เป็นต้นนะ เอาละ ตัดเรื่องนี้ไว้ก่อน มาต่อ มาต่อที่กำลังพูดอยู่ แม้แต่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นสิ่งสัมผัส พวกนี้นี่ เราก็ต้องถ่วง เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ จะนุ่งผ้าปะต่อไป สีหม่นลงมา ได้พอสมควร อาตมาก็เห็นทิศทาง พวกเราเจริญ พวกเรา เจริญนะ เจริญที่ไม่ หน้าก็แดง ตาก็เขียว ปากก็แดง ผมก็มีมันระยับอะไรอย่างนี้ นี่เจริญ เจริญ ด้วยสีหมอง เจริญด้วยสีหมอง แต่เรามีแจ่มใสในๆ คนตาดีว่ารู้ว่า เราแจ่มใส แจ่มใส ใจเราเบิกบาน แจ่มใส สรีระที่ซ้อนอยู่ในตัวมันแจ่มใส ไม่จำเป็นต้องแจ่มใส เพราะเอาสีมาทาปกปิด พวกนี้น่ะ มันไม่แจ่มใส ตั้งแต่ถ้ามาเทียบกันจริงๆนะ พวกที่ทาใช้เครื่องสำอางมากๆนี่ อยากรู้ว่าแจ่มใส หรือ ไม่แจ่มใส ต้องรู้ตอนตื่นนอน ต้องตอนตื่นนอน เคยมี ไม่ใช่นิทานหรอก เป็นเรื่องเขาเล่า ฝรั่งมาขึ้น ห้องกับโสเภณี มันก็ต้องเล่าประกอบนิดหน่อยล่ะ มันเป็นเรื่องที่ว่า มันก็ไม่น่าเอามาพูด แต่มันก็พูด เพื่ออธิบายธรรมะ อาตมาไม่ได้เจตนาลามกอะไรหรอก พอขึ้นห้องเสร็จแล้ว ก็โอ้โฮ ตอนที่มันดึงออกไป จากไนท์คลับนี่นะ อื้อ อือ อย่างกับ นางฟ้า เทวดา งามเหลือเกิน นางนี้ ก็ซื้อไปขึ้นห้อง อย่างที่ว่า นั่นแหละ พอรุ่งเช้า มันก็ตื่นรู้สึกตัวขึ้นมา พอเห็นหน้าผู้หญิง มันก็ตกใจนึกว่าผี เอ๊ ! เรามากับนางฟ้า ทำไมเรามานอนกับผี ตกใจว่าเป็นคนละคนเลยนะ มันเป็นคนละคนเลย มันตกใจ มานอนกับผี คือมันหน้าซีดแท้ คือพวกนี้ พวกหากินในไนท์คลับ มันหากินในพวกนี้ มันทรมานตนน่ะ มันทรุดโทรม ไอ้เครื่องสำอางนี่ มันก็กัดกร่อน อย่าว่าแต่โสเภณีเลยคุณ คนธรรมดาสามัญที่ทาหน้า แต่งหน้าเป็น ประจำอะไรนี่นะ พอเวลาจะนอน เขาก็ล้างหน้า แล้วหน้าแท้ของเขานี่มันซีดคุณ ปฏิกิริยาของธาตุเคมี มันทำให้เซลล์ประสาทอะไร เสื่อมโทรมลงไปหมด แล้วหน้าซีด มันไม่เหมือนคนน่ะ เลือดฝาด มันไม่มีน่ะ มันเป็นอะไรๆ ขึ้นไปจริงๆนะ ทีนี้ ผัวเมียมานอนด้วยกันทุกวันๆ มันก็เห็นหน้าอย่างนี้ทุกวัน มันก็ชิน เท่านั้นเอง แต่ไอ้ฝรั่งนี่ มันไม่ อย่างนั้นซิ มันไม่นึกน่ะ มันไม่ใช่ผัวเมีย ที่นอนทุกวันทุกคืน พอตื่นเช้าก็มาเจอหน้า เมียเราก็ไม่มีสี มันก็เป็นอย่างนี้น่ะ เขาทาสี ก็เป็นอย่างนี้ เมียเรา ผัวเรา มันก็เห็นกัน มันก็ไม่ตกใจ มันก็ไม่แปลก แต่ไอ้ฝรั่งนี่ มันไม่คิดอย่างนั้นน่ะ มันไม่เห็นอย่างนั้น พอตื่นเช้ามันก็ตกใจ ตกใจจริงๆ มันนึกว่า เอ๊ นอนกับผี มันเหมือนผีซากตาย มันเหมือนคนตายนั่นแหละ มันเหมือน มันมานอนอยู่นี่ ข้างๆ คนตาย มันตกใจเลย เพราะในสำนึกของมันนี่ มันมากับนางฟ้า แหม เราอบอุ่น มันมีความสุขกับนางฟ้า หน็อย ที่ไหนได้คนตาย คนเป็นโรค อมโรค เอ๊ นี่จะพกเชื้อโรคไว้เท่าไหร่หรือเปล่า แล้วจริงๆ มันก็พก เชื้อโรค ไว้ด้วย ฝรั่งมันยิ่งกลัวโรค ฝรั่งนี่ ขี้กลัวโรคมากที่สุดเลย ตายละหว่า เราขืนคบกับคนขนาดนี้ เรามิเอาโรค เข้าไปเต็มเปาแล้วเหรอ แล้วมันก็ไม่รู้ตัวหรอก ว่ามันก็เอาไปจริงๆนั่นแหละ นี่อย่างนี้ เป็นต้นนะ ซีดโทรม แล้วก็อะไรต่อ อะไรต่างๆนานา ยาก แต่ของเรานี่ จะไม่เป็นเช่นนั้น ของเรา จะไม่มีสีอย่างนั้นก็จริง แต่เรามีใน เรามีความผ่องใสในๆ มีความเปล่งปลั่งในๆ ไม่ฟู่ฟ่า หวือหวา เหมือนกับ คนโลกๆหรอก เพราะฉะนั้น จะสมบูรณ์แข็งขัน เมื่อวานนี้ อาตมาดูที่มันใช้แสงผสมหน่อย คือว่า วิดีโอนี่ เวลาถ่าย พวกเรานี่ พระของเรานี่ดู เห็นชัดเลย มันเหมือนกับเอาเครื่องเข้าไปผสมนิดหน่อย เพื่อที่จะให้แสดง อันนี้ออกมา แล้วเราเห็นเลย โอ้โฮ หน้าตาเนื้อตัว พระของเรานี่ออกมา ผ่องดู แหม ได้ระดับ มันดูดี แล้วก็อย่าลอยตัว เห็นว่าคนชมอย่างนี้น่ะ เอ้า จริงๆน่ะ เป็นเรื่องจริงที่ เราเอาปัจจุบัน เอาอะไรต่ออะไร มายกเทียบประกอบให้ฟัง คือเราได้สภาพ ได้ระดับที่มาๆนี่ โกโรโกโรคมา ก็ดูเหมือน ขี้ยาเข้ามา ก็ค่อยยังชั่ว พอไอ้ที่มันเฟ้อๆ ฟะๆมา จากข้างนอกนี่โอ้โฮ บวมๆ เป่งๆ อะไรมา ก็ดูมา รูปร่าง ก็ได้รูป ได้ร่าง อะไรขึ้นมา ซึ่งอันนี้ อาตมาว่า มันเป็นสัจจะนะ มันเป็นความพอเหมาะพอดี ของความจริง แล้วเราก็มา ได้ทำอย่างนี้ เมื่อเรามารู้จุดถ่วง มารู้จุดพอดี เราไม่ได้น้อยใจ อาตมาไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้เห็น เป็นปมด้อยอะไร ที่อาตมาเป็นอย่างนี้ ขนาดนี้ อย่างนี้ แต่ก่อนที่จริงน่ะ อาตมาอยู่ทางโลกน่ะ มันโกโรโกโร่ กว่านี้ เพราะฉะนั้น มาเป็นพระแล้วจึงสมบูรณ์ดี สมดุล เพราะฉะนั้น อาตมาจึงหล่อกว่า ตั้งแต่เป็นฆราวาส นี่ ไม่ได้ชมตัว แม้แต่สักน้อยนะ นี่พูดสัจจะให้ฟัง ฟังภาษาสัจจะ จิตของอาตมาไม่ได้ชมตัวเอง ไม่ได้ชมตัวเองนะ แต่พูดสัจจะให้ฟัง แต่พวกคุณมันสะเทิ้นสะท้าน แหม ใครชมตัวเอง มันรู้สึกว่า มันเหนียมๆ อาตมาไม่ได้เหนียมนะ อาตมาไม่ได้มีอุทธัจจะอะไร ธรรมดา พูดให้ฟัง ความจริงให้ฟัง แล้วเป็นความจริงหรือเปล่า ใครเก่าๆ เคยรู้จักอาตมา มาแต่ก่อน แต่ไหน แต่ไร จริงหรือเปล่า เคยดู แต่ก่อนนี้ มันแก้มตอบกว่านี้ หน้าไม่เต็มเลย ผิวพรรณอะไร เลือดฝ่งเลือดฝาดอะไร ก็เกร็ง แต่ก่อนนี้เกร็ง เพราะมันเอาแต่งาน แต่การ มันเอาแต่เรื่องโลกๆ ส่วนจะให้มันหล่อ มันนั่น มันนี่ ก็ปรุงไปตามเรื่อง แหม ผมนี่ต้องทาน้ำมันอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรต่ออะไร เนื้อตัวก็ต้องใส่น้ำหอม อะไรต่ออะไร เสื้อผ้าตรงนั้นตรงนี้ ตรงนี้ควรจะมาก ควรจะน้อย อะไรต้องให้ มันอ้วนมันพี มันดูอ้วน ดูพีนะ แต่เปล่าน่ะ โกโรโกโร่ ดูเนื้อตัวแล้ว แย่กว่าเดี๋ยวนี้มากเลย เดี๋ยวนี้ พอเหมาะพอดี อาตมาว่า พอเหมาะพอดี แม้จะทำงาน ก็ไม่ได้น้อยกว่าแต่ก่อนเท่าไหร่ แต่มันไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้อาตมา รับผิดชอบ มากกว่าแต่ก่อน แต่ก่อนนี้ อาตมาไม่ได้รับผิดชอบ เพราะอาตมาไม่ได้เป็นตำแหน่ง หัวหน้ากอง เอาแค่อย่างเก่ง หัวหน้าแผนกนะ ถ้าเปรียบนะ ถ้าวัด อาตมาทำงานทางโลกแค่นั้นน่ะ แค่ตำแหน่งหัวหน้าแผนก ถ้าจะเทียบเงินเดือนสมัยโน้นก็กะ ขั้นอาตมาก็แค่ขั้นหัวหน้าแผนก แต่ก่อนนี้ ที่ลาออกจากโลกมานี่ ไม่ได้สูงส่งอะไร ทำงานแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้น รับผิดชอบ ไม่ได้มากนัก แต่งานส่วนตัว ของอาตมา มากเพิ่มหน่อยเท่านั้นเอง แล้วมันก็ทำหนักๆ แต่ไม่หนักเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้รับผิดชอบมาก ต้องบริหาร ต้องดูแล ต้องทำอะไรต่ออะไร ต้องทั้งใช้ บางทีแรงก็ต้องลงไปทำ แต่ก่อนนี่ อาตมาแรงจะไปทำอะไร สตางค์มี ก็ไม่ต้องแบก ไม่ต้องหามอะไรนี่ ก็รักษามานะ อยู่เหมือนกันน่ะ ไม่เอาละ จะลดไปทำงานอันนี้ ตำแหน่งของภารโรง ตำแหน่งของนักการ ตำแหน่ง ไอ้โน่น ไอ้นี่ คุณก็ทำซิ เรื่องอะไรเล่าเราจะต้องไปทำกับเขา แต่ก่อนนี้ ก็เป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ มันไม่เป็น แม้แต่เดี๋ยวนี้อาตมาก็ยัง เอ๊ พอเหมาะ พอเจาะ มันก็ต้องแบก ต้องหามละ จะไปรอ ไปรั้งทำไม มันเป็นเรื่องธรรมดาก็ทำ ไม่ได้ติดอะไรเหมือนแต่ก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเรามารู้ แม้แต่สัมผัสนอก มีผัสสะเป็นสมุทัย มีตัวที่จะต้องรู้ ตั้งแต่วัตถุเป็นผัสสะแล้ว เราเห็นเพชร เราเห็นทอง เราเห็นเงิน เราเห็นแบ๊งก์ ธนบัตร เราก็ต้องศึกษา ว่ามันเป็นตัวเหตุให้เกิดที่จิต แล้วเราก็ฝึกกันมา จนกระทั่งว่าสมบัติคุณก็รู้ ที่จริง มันก็ยังหวงอยู่บ้างแหละ มันก็ยังปล่อยไม่หมด จนกว่า คุณจะเห็นว่า เออ เราสามารถมั่นใจ สร้างมนสิการ สร้างความเกิดให้ที่จิต เกิดอริยคุณนะ แต่ดับเหตุเกิด คือดับตัวกิเลส กิเลสมันมี มันทำปฏิกิริยาของเราอยู่ในใจเรื่อย แล้วมันก็ต่อเนื่อง มาจากข้างนอก ตั้งแต่วัตถุ จนกระทั่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่อเข้ามา จนกระทั่งถึงในจิตของเราเอง เราก็ต้องจับให้ออก อ่านให้ออกว่ามีธรรมารมณ์ มีอารมณ์กิเลส มันยังปรุงอยู่น่ะ มันยังเป็นรูปราคะ มันยังเป็นอรูปราคะ จับถอนมันสิ้น จนเป็นพระอรหันต์ในโสดา นี่ อาตมาก็อธิบายมามากแล้ว จนอรหัตคุณในโสดาให้ได้ๆ ให้มันมี ถอนรูปราคะ อรูปราคะจากเหตุ ตั้งแต่วัตถุนอกอันนั้นๆ นี่มันเป็น ยังไงเล่า ไอ้เรื่องเครื่องสำอาง เดี๋ยวนี้ มันสัมผัสแล้ว มันเป็นยังไง เหอ แหม ยังจำได้ไหม ถึงอะไร อันหนึ่ง อะไรอย่างนี้ มันเป็นยังไง ถามทำไมต้องเหนียมอยู่อย่างนี้น่ะ ตอบซิ ครู กับนักเรียนนะ ตัวเรา ก็เป็นครูน่ะ พอเราเป็นครูถามเด็กนักเรียน พอเด็กมัน อย่างนี้ ไม่ตอบ ไม่ยกมือ อะไรอย่างนี้ คุณรู้สึก อย่างไรล่ะ เสียเวลา กระบิดกระบวนอยู่นั่นแล้ว เอ๊ ! มันต้องดุใช่ไหม อาจหาญซิ ครูถาม ก็ต้องตอบซิ ใช่ไหม นั่นแหละตัวเองก็เป็นคุณครู พอตัวเองเป็นนักเรียนเข้ามั่ง ก็เป็นเหมือน นักเรียน ที่ต้องถูกครูดุ เหมือนตัวเราดุเขา แล้วตอบช้าก็ต้องดุ ทำไมไม่ตอบละ ทำอะไรอยู่ ก็ต้องดุนักเรียน อีกแหละ ใช่ไหม แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้ เวลาดุเขา ดุได้ พอตัวเองเป็น ก็ต้องถูกดุเหมือนกัน เอ้า ว่าไงละนี่ เฉยได้จริงๆ นะ ไม่เห็นเขาสวย ดูถูกเขาน่ะซิ มานะ นี่มันก็ เพราะนอกจากรูปราคะ อรูปราคะ มันไม่มี ในใจแล้ว มันจะผยองตัว และมันจะเกิดมานะง่าย เพราะฉะนั้น มานะจึง เป็นสังโยชน์ข้อที่ ๘ ต่อไป ก็แม่รู้ดีแล้ว แม่จึงไม่อยากให้ลูกต้องมาเป็นอย่างแม่ ที่ แต่ก่อนแม่ยังโง่ เดี๋ยวนี้แม่ฉลาดแล้ว ก็บอกเขา ให้จริงๆ ทีนี้เรารู้แล้ว เราศึกษา เราไม่มีความจำเป็น ก็อธิบายไปซิ ถ้าเผื่อเราไปทำอย่างนี้นะ ถ้าผู้ชาย มาชอบเรา ก็จะได้ผู้ชายตาถั่วนะ อะไรพวกนี้ ก็เคยอธิบายแล้ว ก็บอกเขาจริงๆ บอกว่า ความดีไม่ได้อยู่ที่ สิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องเป็นใหญ่ของสังคม ความสามารถ ความดีงามสมรรถภาพ และ น้ำใจอันดี พวกนี้เป็นคุณภาพ เป็นคุณธรรมของคน สิ่งนี้ไม่ใช่คุณธรรม เสียเวลา เปลืองเวลา เปลืองแรงงาน เปลืองอะไรก็บอกเขาซิ นัยละเอียดพวกนี้ ต้องมีปัญญาบอกเขา เหตุผลสูงสุด มันก็จำนนมนุษย์ อาตมาลองเช็คดูเท่านั้นเองนะ ลองวัดดู ลองเปรียบเทียบดู ลองอะไรๆดู เพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้น มีตัวอย่าง มีอะไรต่ออะไรเท่านั้นเอง งั้นถ้า เผื่อว่าเรารู้ว่าอันนี้เป็นเหตุ ตั้งแต่นอก วัตถุนอก จนกระทั่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนอกกระทบเรา ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็เข้าไปที่ใจเป็น แดนเกิด เป็นสัมภวะ เป็นที่ใจ ถ้าเราสามารถรู้กิเลสมันเกิด จับตัวกิเลสให้ได้ จับหัวจับหางมัน มีแรง มีมาก มีน้อย ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยนี้ ของข้างนอกจนข้างในๆ จนกระทั่งข้างนอกก็ไม่ต้องมีข้างนอก รู้เลยว่า ไอ้เจ้ากิเลสตัวนี้นี่ มันไม่มีเหตุนอกเลย มันก็ยังมีชีวิตชีวาๆ อยู่ดีๆ มันก็ยังแง้มๆ แงะๆ ยังมีอาการ อารมณ์ขึ้นมา ระลึกอดีตบ้าง ไม่ระลึกอดีต ก็เอ๊ มันโผล่เข้ามาเป็นโอปปาติกะมา หลอกหลอนเราอยู่ อย่างโน้นอย่างนี้ เราต้องจับได้แม่น ว่าไอ้เจ้านี่ มาจากอันนี้ ด้วยเหตุอันนี้ ตระกูลอันนี้ เราก็จับได้ และก็ต้องหาวิธีการลดละ ปลดปล่อย พิจารณา จะดับกิเลสในภพได้นี่ ต้องใช้ปัญญาอันยิ่ง เหตุผล เหตุผลจริงๆ กระทบ ข้างนอกนี่ สู้ด้วยใจนะ แต่ข้างในนี่ จะต้องสู้ ด้วยใจนั่นแหละ แต่ว่ามันมี ฐานแล้ว มันสู้ด้วยใจได้ พอฐานหนึ่งแล้ว มันก็มีเจโต มีอินทรีย์พละ มีอินทรีย์ ๕ พละ ๕ พอสมควร แล้ว จะต้องใช้ปัญญา เพราะฉะนั้น เราต้องนึกทบทวนให้ดี มีเตวิชโช ระลึกทบทวน วันนี้เราไปสัมผัส โน่นนี่มา มันเกิดอาการโดยที่เราไม่รู้ตัวง่ายๆหรอก มันเล็กน้อย บางทีไม่เกิดอาการ แต่เราเองว่างๆ ตอนนั้นตอนนี้ ก็ยังระลึก อาวรณ์อาลัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เอาขึ้นมาปรุงอร่อยของเรา เหมือนกับตัวเราเอง เหมือนกับควายเคี้ยวเอื้อง กินหญ้ามาแล้ว ก็เอามาพักเอาไว้อยู่ในโกดัง พอเสร็จ เข้ามานอน ก็สำรอก ออกมาเคี้ยว มันดีโว้ยๆ ของเก่านะ ที่ไปกิน มาจากข้างนอกนะ มันอยู่ในเอื้อง เขามีกระเพาะ ๒ กระเพาะ ไอ้วัวควายนี่ สำรอกออกมา เคี้ยวเอื้อง อย่างนั้นแหละ อร่อยอยู่ เราเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เราเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ต้องรู้ตัว ต้องเข้าใจพวกนี้ แล้วก็มีวิธีรู้ ทั้งรู้ทั้งเจโต หยุด ดับ ฆ่าให้ตาย เห็นให้ชัดเจน มีปัญญาเป็นอุตระ ปัญญาต้องเหนือชั้น จริงๆเลย มีอำนาจ อย่างจริงๆเลย มีอธิปไตย มีสติ รู้ให้ชัดว่านี่มันเล่นเรา แม้แต่ข้างๆในในใน มันก็ เล่นเรานะเนี่ย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ทั้งนอกและใจ กายนอกกายใน นี่มันขึ้นมา ประชุม โอ้โห มันเล่นใหญ่แล้ว ตั้งวงดนตรีอยู่ข้างในเลย ล่อเละเลย ขนาดนั้นยังไม่รู้ตัว ไม่มีสติเลย นี่ก็เจ๊ง ต้องมีสติรู้ตัวว่า เอ๊ แม้มันไม่เป็นดนตรีหรอก มันมาแอบมาสีซอ อ่อนๆน้อยๆ อ๊อแอ๊ๆๆอยู่ในใจ ก็ต้องจับมันให้ได้ มีสติ มีอธิปเตย มีสติ มีอำนาจที่จะหยั่งรู้ รู้นอกรู้ใน ก็บอกแล้วว่า กายนอกคือ การประชุมทั้งหมดเลยนี่ บรรยากาศนี่ กายอาตมานี่โตนะ เพราะอาตมา จะต้องรู้ กาย ความประชุมของสังคม ความประชุม ของบรรยากาศ โดยเฉพาะในประเทศไทย ประเทศนอก อาตมาจะต้องรับรู้บ้าง อาตมาไม่เพ่งมาก เพ่งในประเทศไทย และในแวดวง ถ้าแวดวงการศาสนา อาตมาก็รับรู้ ต้องมีตากว้างที่จะรู้รอบ นี่เป็นองค์ประชุม ที่อาตมา จะต้องรับผิดชอบ และต้องดูกายอันนี้ อะไรไม่ควรจะเป็นพิษเป็นภัย อาตมาปล่อย อะไรที่เป็นพิษ เป็นภัย อาตมาก็ปราบ แม้กายนอก อาตมาจึงเป็นนักปราบอยู่ จนกระทั่งใน แวดวง ของเรานี่ อาตมา ก็ปราบ ไอ้ที่มันไม่ได้เรื่อง ปราบยิ่งกว่าด้วย นี่งานชัดขึ้น มาปราบยิ่งกว่า ตัวไหน ที่ควรเป็นไป พอไปอยู่ เออ เอาไว้ อันนี้ดี บำรุงให้เกิด รู้ตัวเกิด รู้ตัวดับ จะดับอะไร จะเกิดอะไร นี่กาย สำหรับอาตมารู้ อาตมา ทำหน้าที่นี้ ทีนี้ สำหรับคุณก็เหมือนกัน กายพวกนี้ จะทำให้เราไป จะทำให้เราบานทะโล่ ต้องใช้ภาษาศัพท์สแลง พวกนี้ เขามันจะเยอะเลอะเทอะไปอีก ไม่เอา เราจะดับ เราจะลด เราจะละ เราก็ต้องรู้ตัวเราของเรา เพราะฉะนั้น หน้าที่ที่เราจะไปช่วยคนอื่น เราจะไปแบกหามเรื่องอื่น เราก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ รู้ความสัมผัส มันจะเป็นเหตุใหญ่ รู้ว่ามันจะเกิด แม้กระทั่งวัตถุนี่ ก็เกิดใหญ่แล้ว เกิดเกินตัวแล้ว เราจะต้อง มามักน้อยก่อน แม้จะมาสร้างบ้าน สร้างบ้านเล็กให้มันได้ก่อน ลดให้มันลงก่อนเถอะ ไม่มีบ้านอยู่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวอาตมาจะสละ ศาลานี่ให้อยู่ แล้วกวาดให้ทุกวันนะ ไม่เป็นไร สร้างให้มัน เล็กดูซิ จนกระทั่ง บอกว่า เอ๊ย มันเล็กอย่างนี้ จนกระทั่งไม่มีบ้านแล้วจะอยู่อะไร ก็ไม่เป็นไร มาอยู่ศาลานี่ ก็มันเล็กไม่ลง มันอยากใหญ่ ก็เอาไปเลย ขนาดศาลานี่ ถูทุกวันด้วย กวาดให้ได้นะ จะเอามั้ยละ จะเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ซิ อยากจะใหญ่อยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น เราต้องเล็กลงให้มันได้ เล็กลงได้ เราก็ไม่ค้านแย้ง ที่เราขยันหมั่นเพียรสร้างสรร มีความดี มีสมรรถภาพอยู่ ไม่ดูดาย มีกะจิตกะใจ ไม่เห็นแก่ตัว คุณจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้น้า จะไปกลัวอะไร จะอยู่ที่ไหน สังคมมนุษย์นี่นะ ที่เราไม่ได้เป็นคนดูดาย เป็นคนที่เอาเปรียบเอารัดอะไร มีแต่ เป็นผู้สร้างสรรให้เขาได้ประโยชน์ ได้กำไร อย่าไปจากบ้านอั๊วเลยเว้ยลื้อ แหม ลื้ออยู่นี่ อั๊วเบาชะมัดเลย ลื้ออยู่เหอะ ก็ทำงานมาก กินน้อยใช้น้อย ผลาญน้อย ไม่เอาราคาด้วย ไม่เอาเงินเดือนด้วยนี่ อยู่ไปซิ จะไปมีปัญหาอะไรล่ะ โลกไหนก็ต้องการ โรงงานไหนบ้าง ไม่ต้องการคนงานทำๆๆๆๆ แต่เงินเดือนไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องขึ้นเงินเดือน ขอให้เขาลด เงินเดือนตัวเองด้วย อย่างนี้เป็นต้น คล้ายๆอย่างนี้น่ะ โรงงานไหนไม่เอาคนงานนี้นะ อยากรู้ โลกเขาก็เอา มันไม่ค้านแย้งกับโลกนะ ธรรมะเราก็ต้องมี อยู่ในวงการธรรมะ เราก็ต้องเอา อยู่ในทางโลก เขาก็ยังเอาเลย ที่ไหนมันไม่ต้องการ ที่มันกดขี่ข่มเหงกรรมกร อะไรกันอยู่ มันก็คือ ความเห็นแก่ตัว จุดนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนเสียสละอย่างนี้ในโลก ในสังคมกว้างๆ พวกนายทุน มันก็อายเองแหละ ถึงมันไม่อายเอง ก็ไม่เป็นไรนะ เราจะมีปัญญารู้ว่า ไอ้นี่มันหน้าเลือด มันเป็นนายทุนมากมาย มันไม่ต้องเอาไปสนับสนุนหรอก ให้มันแห้งตาย เราอยู่กับพวกหมู่ ที่สมเหมาะ สมควรกันนี่ เดี๋ยวมันก็ถูก ถูกปลดปล่อยเองแหละ โดยไม่ต้องไปทารุณกันหรอก ปลดปล่อย ละ วาง อย่าไปยุ่งเขาอะไรอย่างนี้เป็นต้น มันจะเป็นเองนะ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องนอกๆก่อน ทีนี้ อาตมาอยากจะพูดจุดหนึ่ง ก่อนที่จะหมดเวลา ก็คือ ความไม่เข้าใจ การเกิดอีกชนิดหนึ่ง คือการเกิดของสภาพตัวร่างกายมนุษย์ นี่อย่าไปบอก อย่าไปพูดว่า การเกิดต่อชาติไม่มี เพราะอันนี้ บรรลัยกว่าการพูดว่าการเกิดต่อชาติมี สังคมบรรลัยกว่า ผู้ไม่รู้ และ ก็ผู้หลง ก็จะมาเน้นแต่ว่า เอาการเกิด มนสิการ การเกิดที่จิตเท่านั้น เป็นการเกิดกิเลสอีก อยู่ที่จิตเท่านั้น พูดไม่ผิดๆ แต่ถ้าบอกว่า การเกิดชาติหน้าไม่มี อันนี้ผิดบรรลัยเลย ผิดเอามากๆ ด้วย เพราะพวกนั้น ไม่เข้าใจ ไม่รู้เลยว่า การเกิด การเชื่อมต่อ เชื่อมโยงของมนุษยชาติ ของชีวะ ของวิญญาณเนี่ย มันไม่รู้ ที่จริงนะ ไอ้ที่ไปเกิดนะ มันไม่ใช่วิญญาณไปเกิด เพราะว่าวิญญาณนี่นะ เป็นธาตุรู้ ที่บริสุทธิ์ เรียกแต่เฉพาะวิญญาณ มันเป็นธาตุรู้ ที่บริสุทธิ์ แต่คนที่นะ มันไม่ได้มีธาตุรู้ ที่บริสุทธิ์อยู่มาแต่ไหนๆ ไม่ใช่นะ มันมีกิเลส เป็นตัวตามเกิด เป็นตัวอัตตามาเรื่อยๆ แล้วก็จนกระทั่ง เป็นกิเลสมาก กิเลสน้อย แม้จะมาละลดมาแล้ว มันก็ยังไม่หมดกิเลส กว่าจะหมดกิเลส เหลือวิญญาณ เป็นพระอรหันต์จริงๆ นั้นน่ะ ผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงจะมีวิญญาณบริสุทธิ์ แล้ววิญญาณ ก็ไม่ไปเกิดนี้ถูก วิญญาณ ไม่ไปเกิดหรอก แต่ไอ้ที่ไปเกิดนะ มันกิเลส อัตตา อัตตา หรือ สักกายะไปเกิด เพราะฉะนั้น ชาติหน้านี่ อะไรไปเกิด มีอัตตา หรือสักกายะไปเกิด พูดศัพท์ให้ถูก เราเป็นนักศึกษา ธรรมะ พูดสำคัญนะ เขาบอกว่า เอ๊ย ไม่เอาหรอก วิญญาณเกิดเป็นตัวตน วิญญาณตายแล้ว วิญญาณก็ไปเกิดอีก วิญญาณก็ไปเกิดอีก พูดอย่างนี้ผิด ถูกต้อง พระพุทธเจ้า ไม่ให้พูดอย่างนี้ ไม่ให้พูดอย่างนี้ ว่าวิญญาณตายแล้วไปเกิด (ตายแล้วไปเกิด )ไม่ให้พูดอย่างนี้ เพราะศัพท์ ที่ละเอียดแล้ว ใช้วิญญาณไปเกิดไม่ได้ และวิญญาณมันไม่ได้เป็นตัว อย่างนั้น มันไม่เป็นตัวนำเกิด วิญญาณไม่ได้เป็นตัวนำเกิด กิเลสเป็นตัวนำเกิด โลภ โกรธ หลง เอาศัพท์ตัวเฉพาะ มันเป็นตัวนำเกิด เพราะฉะนั้น คุณไม่หมดสักกายะ อัตตา ก็เป็นตัวสรุปของ โลภโกรธหลง นี่แหละ เป็นตัวนำเกิด เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไปเกิดต่อมีไหม มี อะไรไปเกิด มีโลภโกรธหลงไงละ วิบากของกรรม อกุศลของตน มันยังมีอกุศลอยู่ ก็ต้องไปเกิดอยู่ หรือไปติดกุศล แหม เรายังดีนะ ได้ดีแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า เป็นผู้ที่มีบุญมากมาย จะต้องไปอยู่กับพระเจ้า เป็นสวรรค์ก็ยังมีอัตตา ก็ไปเกิดอยู่กับสวรรค์ ถ้าเผื่อว่าเราปฏิบัติหมดกิเลส ที่จะมาเกิดในโลกกาม เราก็ไม่มาเกิดในโลกกาม ก็เป็นปรมาตมัน อยู่อย่างนั้นแหละ เป็นมหายาน โตงเตง เพราะฉะนั้น จึงเป็น...อะไร อวโลกิเตศวร ต้องเป็นเจ้าแม่ กวนอิม ต้องเป็นอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ไปผุดไปเกิดเลย ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าเป็นไหนๆ อีก เขาก็นับถือ พวกนี้ใหญ่ซะด้วย เพราะว่าพวกนี้มีประโยชน์ มีคุณค่า เรื่องอะไร จะสูญไปทำไม พวกนี้ก็เลยโต่งไปเรื่อย ไม่สูญ เสร็จ แล้วก็มาสอนสูญ สูญตา สูญภาพ แล้วตัวเองก็ไม่สูญ เห็นไหมว่า มันค้านแย้งกันอยู่ อย่างนี้ตลอดเวลา มหายาน มันก็เลย เอ๊ย อะไรกันแน่ ก็ไม่รู้ จะเอาสูญไม่ เอาสูญก็ไม่รู้ ไม่สอนเขา ไม่สาบสูญ ทิ้งมนุษย์บาป โหดร้าย ต้องช่วยมนุษย์ ไม่ผุดไม่เกิด จนกระทั่ง อธิบายสำนวนโวหาร บอกว่า ถ้าเรารื้อขนสัตว์ไม่ได้หมดโลก เราจะยังไม่ยอมตาย เราจะตาย เป็นคนสุดท้าย เราจะนิพพานเป็นคนสุดท้าย อวดดีใหญ่เลย ใช้สำนวน ถึงปานนี้ มันเลยเถิด คิดดูซิ พระพุทธเจ้ายังไม่กล้ากล่าวอย่างนี้เลย หน็อยนี่ กล้ากล่าวอย่างนี้ได้ คิดดู อย่างนี้ เป็นต้นนะ เพราะฉะนั้น เราก็มาเรียนรู้ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดไป แล้วเราขอกำชับกำชาในเรื่อง บอกว่า อย่าไปบอกว่า คนตายแล้วไม่เกิด ทีนี้ถ้าคุณ บอกว่า คนตายแล้วเกิด คุณก็ต้องมีเหตุผลกำกับ มีวิชาความรู้กำกับ พูดให้ถูกว่า เอ๊ คนตายแล้วไปเกิด ก็วิญญาณเป็นอัตตา วิญญาณไปเกิด เป็นอัตตาๆซิ วิญญาณไม่เป็นอัตตา อัตตาไม่ใช่วิญญาณ บอกเขาให้ชัดอีก เอ๊ย ไปบอกว่า อธิบายว่า อัตตาไปเกิด อัตตาเกิดนะคุณ อนัตตาต่างหากนะไม่เกิด พูดกันให้เป็นผู้มีปัญญา มีวิชาการ เพราะฉะนั้น บอกว่า ไอ้ที่ไปเกิดนั่นอะไร ก็มันมีอัตตา คุณรู้จริงรึเปล่า ว่าคุณหมดอัตตาแล้ว อย่าเอา แต่ความรู้ อย่าเอาแต่เหตุผล อย่าเอาแต่เข้าใจว่า เออ ไม่มีอัตตาไปเกิด ถ้าไม่มีอัตตาแล้วไม่เกิด แต่คุณหมดอัตตารึยัง หมดโลภ โกรธ หลงรึยัง แม้แต่อย่างละเอียด ถึงอรูป ถึงอนุสัย อาสวะ หมดยัง ถ้ายังไม่หมด ก็มีอัตตาซิ ... อัตตาพาเกิด เป็นวิภวตัณหาไง เป็นอัตตา เพราะฉะนั้น ในเรื่องกาม เรามาเกิดในโลกนี้เหมือนกัน แต่มาเกิดแล้ว ไอ้เรื่องกาม ก็เหมือนลิงลม อมข้าวพอง โลกมันมอมเมาขึ้นมา ก็เป็นเด็ก มันก็ถูกยัดกันมา มันก็หลงไปตามโลกเขา พอรู้สึกตัว ไอ้ย่า ให้เราตาย ทีนี้ผู้ที่มีจริงแล้ว มันร่อนแล้ว มันสลัดกืด มันก็หมดตัว ไม่ต้องมาก มากน้อยก็แล้วแต่ ผู้ยังพอถูกเขามามอมเมานิดหน่อย มันก็ยังมีเชื้ออยู่แยะ หรือว่ามันยังมีอะไรอยู่มาก มันก็ดูดมาก ก็สลัดยาก แต่อย่างพระพุทธเจ้านั่น โถ ท่านเอง ท่านไม่ต้องสลัด มันก็หลุดเองนะ เอากาวแปะ มันยังไม่ค่อยอยู่เลย เขาก็เอากาวมาแปะ เอา ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็ต้องเอาลาเท็กซ์มาแปะ หรือเอา ๒ ตัน ๓ ตัน ชื่อกาว ๒ ตัน หรือ ๓ ตัน ไม่รู้เอามาแปะ มาติดไว้ จะให้ติดท่าน แต่ท่านรู้ตัวปั๊บ หลุดเลย ไม่ต้องสลัดอะไรมาก อย่างอาตมา ยังสลัดอยู่พอสมควรเลย แหม จะสลัดออกมา กามบ้าง ไอ้โลกบ้าง อะไรบ้าง ที่มันจะสลัดนี่ พอสมควร กว่าจะสลัดหลุดออกมานี่ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านจะสลัดอะไร เห็นอะไรเป็นเหตุนิดหน่อย แล้วท่านก็มันสบายมาก มันล่อน จนไม่รู้จะล่อนยังไง แต่โลก ก็มอมเมา จนได้ พยายามมอมเมา ถ้าไม่มอมเมาขนาดพระพุทธเจ้า จ้างก็ไม่มีอะไรไปแตะท่านได้ ต้องประคบ ประหงม อย่างที่เราทราบประวัติพระพุทธเจ้ามา ตำนานพระพุทธเจ้าก็มอมเมาท่านด้วย เบญจกามคุณ ไอ้ความอยู่เป็นโลกียสุขด้านนั้น ด้านนี้ต้องประคบประหงมของท่านเหลือกำลัง ต้อง แหม แวดล้อมไว้ทั้งหมดเลยนะ ไม่ให้สัมผัสสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังในโลกเลย จะต้องให้รู้สึก หลงไป เลยว่า ในโลกนี้ มีแต่ของน่ารักน่าใคร่ น่าเอ็นดู น่าปรารถนา ไม่ให้ไปเห็นไอ้ของที่ไม่น่ารัก ไม่น่าเอ็นดู ไม่ปรารถนา แม้แต่คนแก่ยังไม่ให้เห็นเลย กลัวจะดูน่าเกลียด น่าชัง ให้อยู่แต่ แหม สาวสรร กำนัลใน นางฟ้า อยู่ในสถานที่สัมผัสเย็นร้อน อ่อน แข็ง มีบ้าน ๓ ฤดู อบร่ำด้วยเบญจกามคุณ อะไรต่างๆ นานา ทุกอย่างไม่ให้กระทบ กระเทือน ไม่ให้เดือดร้อนอะไรต่ออะไรต่างๆเลย ขนาดนี้ ยังเอาท่านไม่อยู่ ขนาดนี้ ถึงจะเอาให้ท่านรู้สึกว่า เออจะอยู่กับโลกเขานิดๆๆๆๆ เสร็จแล้ว ฝีมือ ทางโลกน้อยมาก แย่มาก ฝีมือที่จะไปปรุงโลกเขา อย่างโลกๆเขา ที่จะไปหวือหวาอย่างโลกๆ พระพุทธเจ้าน้อยมาก แต่ขนาดนั้น ก็ยังใช้เวลาตั้งนาน ตั้ง ๒๙ ปี อาตมาตั้ง ๓๖ ปี กว่าจะเฮ้ย ! ไม่เอาแล้วโว้ย กว่าจะออกมาอย่างนี้ ๓๖ ปี พระพุทธเจ้า ๒๙ ปี แต่อย่างนี้ ก็อย่าเพิ่งไปนับ ตัวเลขซับซ้อน สำหรับบางคนได้เก่งกว่าอาตมา เฮ่อ เราเก่งออกมาตั้งแต่ อายุ ๒๐ กว่า แล้วเก่งกว่า อาตมา อย่า อย่า คิดอย่างนั้น มันซับซ้อน พวกนี้ มันซับซ้อนนะ เดี๋ยวจะหลงตัว ว่า โอ้ อาตมา เอาไปเทียบ กับพระพุทธเจ้านิดหน่อย อาตมาไม่เก่ง เท่าพระพุทธเจ้า เพราะอาตมา ๓๖ พระพุทธเจ้า เก่งกว่าอาตมา ๒๙ คุณก็เลยบอกเอาสูตรนี้ มาใช้บอก เอ้า ! งั้นเราเก่งกว่า พระพุทธเจ้าอีกแน่ะ น้อยกว่าพระพุทธเจ้า ๒๙ อย่า อย่าว่าแต่ พระโพธิรักษ์ ๓๖ นี่ สู้เราไม่ได้เลย ระวัง เดี๋ยวจะตายเอาง่ายๆ พวกนี้ซับซ้อนลึกซึ้งนะ อาตมาก็พูด ไม่หมด มันอจินไตยอีกหลายอย่าง ถ้าเราเป็นเหมือนวัวเคี้ยวเอื้อง จะมีวิธีดับได้อย่างไร กรุณาอธิบาย อีกครั้ง รู้ให้ได้ ว่าเราเคี้ยวเอื้องขี้หมาอะไร เคี้ยวขี้หมาอยู่ ก็เลิกเคี้ยวขี้ หมานะ มันอร่อยนักเหรอ แหม ระลึกถึงอดีต หรือว่ามันโผล่ขึ้นมา มันไม่โผล่ ก็เลยย้อนเอาเอง ระลึกมา หลงตัวไปเลย เพลินไปกับ อารมณ์โลกีย์ อารมณ์สุข ปรุง รูปราคะ อรูปราคะใส่กระป๋องเป๊งๆๆๆๆอร่อยๆๆๆๆใส่กระป๋องเสริมราคะ เสริมกิเลสของเราอร่อย หรือจะตัวสายโทสะก็เหมือนกัน ระลึกถึงไอ้หน้าคนนี้ ไอ้คนนี้ แหม เกลียดมันจริง แหม ไอ้คนนี้นี่จับขึ้นมาพั้บแล้ว ลูบแก้ม ๒ ที แล้วตบ หน้า ๕ ทีน่า ดีนะ ไปไม่รู้เรื่องแล้ว ไปเฟื่องอุทธัจจะอะไร ไปสั่งสมอาฆาต พยาบาทใส่กระป๋องออมสินของตน หรือสั่งสมราคะ ใส่กระป๋อง ออมสินของตน รู้ตัวให้ได้ มีสติเป็นอธิปไตย มีสติรู้ตัว อย่าเผลอ แม้ในภพก็อย่าเผลอ แม้สัมผัสนอก ก็อย่าเผลอ อย่าเผลอ มีสติปัฏฐาน รู้กายนอก กายในให้ชัด แล้วก็หยุดมันซิ อย่าไปปรุง อย่าไปสังขารอะไร เอารส เอาอร่อย เอาเสพย์ใส่เข้าไปทำไม แม้แต่ถีนมิทธะ นั่ง หยุด ซึม ว่าง โอ้ย อร่อยๆๆๆๆ ก็ยิ่งเป็นฤาษีไปมาก ก็ยังซึมไร้ค่า ไร้คุณ ไร้อะไรต่ออะไร สงสัยอะไรนั่งอยู่ว่างๆ เฉยๆ แล้วว่า มันก็เบา ง่าย สบาย แบบเบาง่ายสบายๆ สบายแบบเบา แบบง่าย คุณสงสัยอะไร อาตมา ไม่สงสัย หรือคุณยังงง เอ๊! มันอร่อยจริงหรือเปล่าวะ ว่าง ไปดูอะไรก็หนัก ไปดูอะไรก็ยาก ไปดูอะไร ก็ลำบาก ก็จริง ถ้าเราไปจัดการไปโน่นไปนี่ มันก็ลำบาก เจ้ายิ่งขี้เกียจๆ ยิ่งสันหลังยาว ยิ่งไม่เอาภาระ อะไรเลย อีกหน่อย แขนก็ไม่อยากยกละ โอ๊ย น่าเมื่อย อีกหน่อยลืมตา ก็ไม่อยากลืม เอาแต่นั่งปรือ ปรือๆ โอย ตาลืมไม่ขึ้นแล้วหนัก เห็นไหมล่ะ หนักเข้า แม้แต่เปลือกตายังยกยากเลย มันจริงๆนะ เพราะฉะนั้น ฤาษี ขนาดจะยกเปลือกตานี่ยัง แหม มันจำเป็นนะ ต้องลุกไปขี้ ไปเยี่ยว มันจำเป็นน่ะ ต้องเกา มันคัน ถ้าไม่อย่างนั้น จะไม่เกาเสียเลย ไม่อะไรเลย จะนั่งมันอยู่อย่างนี้ แม้แต่เปลือกตา มันยังยืด ไม่ค่อยขึ้นแล้ว เปลือกตานี่ ฤาษี ถ้าเอาหนักๆ มันก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วยิ่งไม่รู้ ยิ่งงมงายนะ ยิ่งไปกันใหญ่เลย สงสัยอะไรล่ะ ควรตายซะ มันหนักนัก อะไรก็หนักไปเสียหมด มันหนักนัก ก็ควรตายซะ เข้าใจไหม เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ว่า อะไรควรจะให้มันคล่องแคล่ว ให้มัน กระปรี้กระเปร่า ให้มันว่องไว ให้มันแข็งแรง ให้มันเป็นไปโดยสภาพ คุณไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ร่างกายนี้ ถ้ามันแคล่วคล่อง แข็งแรง อยู่แล้ว พอแก่ๆๆๆๆ มันก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงดังใจเลย ถ้าเผื่อ มันกิเลสนะ แหม ไอ้นั่น มันทำไม่ได้ดังใจน่ะนี่ มันอืดอาด แล้วเซลประสาทกล้ามเนื้อ มันก็ไม่ค่อยดี กระดูก มันก็จะผุแล้ว แล้วเราก็ทำให้สมตัว เดี๋ยวมันก็ตาย ตายยังคล่องแคล่ว แข็งแรง แหม อายุ ๑๐๐ ปี ยังทำงานอยู่อย่างดี ยังแข็งแรงยิ่งกว่า พวกเดียรถีย์ หรือพวกเข้าใจผิดอย่างนี้ซิ ถึงจะแจ๋ว ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราเข้าใจทิศทางพวกนี้ไม่ถูก ถ้าเราไม่รู้ความเกิดอะไรควรให้เกิด อะไรควรให้ดับ เราจะสับสนมาก ก่อนจะจาก อาตมาได้ย้ำในเรื่องของว่าอย่าไปอธิบาย หรืออย่าไปพูดว่า การเกิดต่อชาติไม่มี ในพระไตรปิฎก มีการเกิดต่อชาติมาก ไม่ต้องเอาอะไรมาก พระพุทธเจ้าท่านเล่ามาถึง แม้ประวัติ ท่านเกิด ทศชาติ ห้าร้อยชาติ อะไรก็มีอย่างน้อยที่สุดทศชาติ คุณก็ปฏิเสธไม่ได้ ท่านก็เล่า ท่านก็พูด แต่พวกที่สุดโต่ง จะเอาแต่จิต เอาแต่จิตๆๆๆ เอาแต่ปัญญา เอาแต่จิต ไปปฏิเสธ อันนี้จึงเกิด ภาวะลำบาก ในสังคม เพราะตัวหยาบ ไม่เข้าใจตัวหยาบ จะเอาแต่ ตัวมนสิการ จะเอาแต่ตัวในภพ ในจิต จิตนั่นแหละเป็นตัวเกิด กิเลสที่เกิดแต่จิตๆ โดยไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่มีศีล ระงับที่กาย ระงับที่วาจามาก่อน ละลด เลิก ปละปล่อยพวกนี้ออกมาก่อน ไม่อยู่บนมันเหนือมัน แล้วมันเหนือได้ยังไง มันลัดยังไง พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนอย่างนี้เหรอ ท่านไม่เคยสอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้น มันจึงสับสน สับสนแล้วไม่งามด้วยเบื้องต้น ไม่งามด้วยท่ามกลาง ไม่งามด้วยบั้นปลาย มันจึงลดไม่ได้จริง แล้วสภาพไม่สอดคล้อง เมื่อไม่สอดคล้อง ค้านแย้งอยู่ คนก็ไม่ศรัทธา ไม่ศรัทธา จะศรัทธาด้วยกัน เพราะว่ามันมีเล่ห์ด้วยกัน รู้กันๆ เพราะฉะนั้น พวกที่บอกว่าจิตว่าง อยู่เหนือมัน มามัน ไม่ต้องมัน นั่นหรอก เสพย์มันด้วยจิตว่าง พวกนี้ ลัทธิอย่างนี้ เห็นดีอย่างนี้ เป็นทิฐิตรงกัน เหมือนกัน เพราะชอบด้วยกัน มาลด มาละล่ะ มันก็ต้องกิน ต้องอยู่ มันก็เป็นธรรมดาสามัญน่ะไตรลักษณ์ ก็กินไปซิ แต่เขาไม่รู้น่ะว่าภพ มนสิการในจิต ภพที่ เกิดภวภพ กิเลสที่เป็นตัวสภาพ เขาไม่รู้ ไม่รู้ ไม่เข้าใจอาการพวกนี้ เพราะฉะนั้น เขาจะละล้าง พวกนี้ ไม่ออกสนิท ไม่ถอนอาสวะ และจะไม่เน้นอาสวะ ไม่เน้นอนุสัย ไม่เน้นสภาพสังโยชน์ซ้อน สังโยชน์ สังโยชน์โสดาบอกว่าสาม แต่สังโยชน์โสดาเป็นอรหัตผล อรหัตคุณของโสดาก็สิบก็สิบ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณแน่ใจ คุณยังจะเสียดายอะไรกับอบายมุข คุณจะเสียดายอะไร ขอถามหน่อย คุณจะเสียดายอะไรกับอบายมุข ถ้ามันจะดับสนิท ให้ตาย ไม่ผุด ไม่เกิดอีกเลย อบายมุขนี่ คุณจะเสียดายมันเหรอ เอาแค่นี้ก่อน ใครจะเสียดายมั่ง ยกมือขึ้น มันๆๆ มันส์เหมือนกันน่ะ อบายมุขนี่ อย่างว่านี่ อย่างนั้นเหรอ แหม ชาติหน้า ก็ควรจะมีบ้าง ไม่เกิดเสียเลยนี่ มันก็จะดูไร้รส เหมือนกันน่ะ งั้นเหรอ ไม่มีปัญหาเลย คุณดับได้เลย โสดาบันดับอบายมุขนี่ ยังบอกว่าปิดให้ได้ ปิดให้ได้ ปิดสนิทเลย ไม่ผุด ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดาให้ได้ โสดา สกิทาก็มาลดลงไปอีก คุณจะกลัวเหรอ ต้องเกิดกาม ถ้ามัน จะดับเลย ให้ตาย ไม่มีสิ้นซาก สิ้นเชื้อ ไม่ต้องไปมีอะไรอีกเลย ไม่มีสมรรถภาพทางกาม ไม่ต้องว่า อะไรมาก แต่เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เกิดมาชาติหน้านี่ ไม่เอาภาระ เรื่องนี้เลย จะเป็นอะไรมี ไม่เห็นมีปัญหาอะไร อาตมาชาตินี้ แหม มันมอมเมายังมีเชื้อ มีขนนะนี่ จำเป็นจะต้องไปมีคู่รักเสียตั้งหลายคน ยังไปโน่น ไปนี่ อะไรต่ออะไรเป็น อาตมาเคยยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า แหม ที่จริงนะน่ะ นางสนมกำนัล ที่มายก ให้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวนะ พระพุทธเจ้าไม่เกี่ยว ถ้าเกี่ยวก็คงไปมีลูก กับนางสนม ไม่รู้อีกกี่คน ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่มี ยุ่งเกี่ยวแต่พิมพาคนเดียว แล้วฝีมือแย่มาก แต่งงานอายุ ๑๖ อายุ ๒๙ ค่อยมีผลิตผล ฝีมือแย่มาก ถ้าคุณ คุณก็คงจะไม่เหมือนกัน ถ้าคนโลก ผู้หญิงทางโลก เขาเป็น นางพิมพา คงทิ้งพระพุทธเจ้าไปนานแล้ว ถ้าผู้หญิงทางโลกๆ เขานะ แต่งงานกับพระพุทธเจ้านี่นะ คงทิ้งพระพุทธเจ้าไปนานแล้ว ไม่เอาไหนเลย ว่าอย่างนั้นน่ะนะ อย่างนี้เป็นต้น อาตมาเองยัง เอ๊ เรายังรู้สึกว่า เรานี่ ยังมีเรื่องพวกนี้อยู่ อะไรต่ออะไร จนกระทั่งมาปฏิบัติ มาอะไรต่ออะไรขึ้น ไปจริงๆ แต่ท่านไม่ได้ปฏิบัติเลย พระพุทธเจ้าไม่ต้องปฏิบัติ เลิกก็เลิกกัน ไม่ต้องปฏิบัติหรอกของท่าน พอรู้ตัว แค่เหลียวไปมอง มันอายเลย กิเลสมันอาย มันร่วงผลอยไปเลย ของเราเหรอ ปัดโธ่เอ๊ย เหมือน ขี้กลากน่ะ ทาแล้วทาอีก ขูดแล้วขูดอีก มันก็ยังไม่ค่อยจะออกเร็วนัก ยิ่งคุณล่ะ ขี้เรื้อน ไม่ใช่ขี้กลาก หรอก ขี้เรื้อนเลย อย่าหาว่า ว่าเลยนะ ใช่ไหม มันก็ยาก มันก็ต้องเพียรทำ รักษา บำบัดจริงๆ กระทำ ให้ออก ถ้าไม่ได้ของเรา ใครมาทำให้เรา กรรมเป็นของตน เราไม่เอาออก เรายังอยากได้อยู่ เราก็ยังอยากได้อยู่ เราโหยหา เราก็โหยหาอยู่ เราอาลัย เราก็อาลัยอยู่ แต่ถ้าเราไม่อาลัย ตัดอลยวิญญาณให้ได้ แล้วไม่ต้องกลัว มันจะไม่มาหาคุณ ขนาดคุณจะเป็น โพธิสัตว์ มาเกิดอีก ก็ไม่ต้องกลัวหรอกน่ะ จะโพธิสัตว์ขนาดไหน ขนาดอาตมาว่าระดับ ๗ นี่ มันก็ยังขนาดนี้ เลย มันมีวิบาก แก่กันและกันนะคุณ มันมี มันต้องมาห้อมล้อม มันต้องยั่ว มันต้องมีช่อง ไอ้เราไม่ๆๆ แล้วน่ะ เอ๊ ทำไมมันมา เราว่า ไม่ๆๆ มันก็มาอะไร พวกนี้ มันมา ขนาดอาตมานี่ ว่าไม่ๆๆๆ นี่นะ ไม่ด้วย เดี๋ยวนี้น่ะ เดี๋ยวนี้ รู้ ว่าไม่ แต่ก่อนนี้ ไม่ไม่ล่ะ เอ๊ เราก็ต้องแมนเหมือนกันน่ะ ยังนึกว่า อื้อฮือ เขาเก่งนะ เขามีแฟน มีเฟินกัน ไอ้คนนี้ๆ มันเก่ง มันจีบเจิบกัน เอ๊ มันเก่งนะ ทำไมเราไม่มีฝีมือนะ แหม ทำไม เราก็ว่า เราก็หล่อเหมือนกันนะ ก็เป็นเจ้าชู้ไก่แจ้ให้มาได้ แต่เสร็จแล้ว ก็เพราะอย่างนั้นแหละ ไม่ค่อยเก่ง เท่าไหร่นะ ก็อย่างนั้น อย่างนั้นล่ะ แต่เสร็จแล้ว เดี๋ยวนี้ถึงมารู้ว่า ไอ้พวกนี้ มันเป็นโรคเหมือนลิงลม อมข้าวพอง มันมอมเรา มันยั่วยุเรา มันจะต้องเป็นคนอย่างโลกน่ะ ต้องเป็นอย่างโลก ต้องเอาอย่างโลก อยู่ในโลกเกิดมา มันก็ลืมๆ ไปนิดหนึ่ง จนกว่าเรา จะมีสติเต็ม อำนาจของสติอธิปไตย อำนาจของสติถึงขึ้นในตัว ถึงได้รู้ตัว อ๋อ อย่างนี้ แล้วมันก็ไม่รู้ว่า อ๋อ อย่างนี้ทีเดียวหรอกน่ะ มันค่อยๆ เป็นไป มีเหตุ มีปัจจัยให้เราเป็นไป ถ้าเรามีบารมี มันก็จะส่งเสริมไปเอง เหมือนดวง เหมือนชะตา พอมันได้แล้ว ถึงมารู้ตัวเต็มครบ ตอนมีอำนาจเต็มแล้ว เรามีอำนาจของเราเท่าใด เมื่อนั้นแล้วทีนี้ อย่าเสียให้ยาก อย่าเสียให้ยากเลย พอ อำนาจนั้นเต็มแล้ว ไม่มีปัญหา อย่างนี้ เป็นสภาพที่ต้องเป็นจริง มีจริง พ่อท่านครับ ขอบข่ายความเกียจคร้านของโสดาบันมีมากแค่ไหนครับ ขอบข่ายของความเกียจคร้านนี้ มันอยู่ที่ตัวบุคคล เพราะว่ามันเป็น กิเลสแขนงหนึ่ง บางคนเป็นโสดา ไม่เกียจคร้าน เพราะเขาได้บำเพ็ญ ได้เห็นคุณค่าของความไม่เกียจคร้าน เห็นโทษภัย ของความเกียจคร้าน ผู้ได้บำเพ็ญแล้ว โสดาบันบางคน ความเกียจคร้านไม่มาก เพราะฉะนั้น เราจะไป ตีราคา ว่าขอบข่ายของความเกียจคร้าน มีแค่ไหน ผมจะได้รู้ว่าผมหยุดเกียจคร้านแล้ว หรือว่าผมไม่มีความเกียจคร้าน ขนาดนี้ ผมก็เป็นโสดาบันแล้ว ว่าอย่างนั้นนะ อาตมาก็ขอบอกว่า อย่าไปตัดเขตมันเลย ให้มันขยันให้หมดก็แล้วกัน อย่าไปตัดเขตมันเลย ความเกียจคร้านนี่ ยิ่งฤาษี ลัทธิฤาษีโน้มเอนไปอยู่ในทางเมืองไทยเป็นแบบเถรวาทนี่ มันมาก เพราะฉะนั้น ความเกียจคร้าน หรือความที่ไม่เอาถ่าน ความเฉื่อย เฉยชาอะไรพวกนี้ มันมากอยู่แล้ว ก็ยิ่งจะต้อง ไม่ต้องไปกังวลเรื่องความขยัน เป็นแต่เพียงรู้ว่า เราอย่าทรมานร่างกายสังขาร เมื่อยจริงๆ ควรพักได้แล้วล่ะ ไม่พัก ประเดี๋ยวจะเป็นลม ไม่พักประเดี๋ยวก็จะป่วยไข้ ก็ต้องหยุด แต่อย่าออเซาะ ตัวนัก ไอ้ตัวนี้ ก็ให้ค่าของตัวเองง่าย เหมือนกัน โอ๊ย เดี๋ยวจะป่วย เดี๋ยวจะไข้ อะไรก็เหยาะๆ แหยะ อย่างนี้ มันก็ง่ายอีกเหมือนกันแหละ ก็ต้องประมาณให้ดีๆ ขยันเข้าไว้ ยิ่งจะแข็งแรงแล้วเรา จะรู้ว่า ยิ่งขยัน ยิ่งซักซ้อม มันยิ่งแข็งแรง ถ้าไม่ขยัน มันก็ไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้น ในหมู่ในกลุ่มพวกเรานี่ คนขนาดนี้ ประมาณนี้นี่ เราจะต้องขยันหมั่นเพียร พอที่จะโอบอุ้ม หรือ สร้างสรรออกไป แต่ไม่ได้หมายความว่า จะพาให้พวกคุณสุขภาพร่างกายเสีย อาตมายืนยัน แม้แต่พวกเรา พากันทำงานนี่ ก็ไม่ได้พาให้สุขภาพร่างกายเสีย แต่ถ้าเราจัดสรรให้มันสมดุล พอดีแล้ว มันก็จะเจริญ อาตมาคงจะอธิบายไม่มากกว่านี้ แต่ตั้งใจจะพูดเรื่อง ความเกิด นี้อีก อีก ต่อๆๆๆๆ ไป ให้มากที่สุด เพราะว่าจุดๆนี้ เป็นสำคัญ ต้องรู้ตัวเกิด ต้องรู้การเกิด แม้กระทั่ง จะเกิดอีก เกิดต่อ หรือ ไม่เกิดอะไรต่ออะไรต่างๆ นี่ จะพูด จะบรรยาย จนกว่าเราจะเข้าใจแยกแยะ ไตรลักษณ์ที่เป็น สามัญลักษณ์ และเข้าใจไตรลักษณ์ที่เป็นวิสามัญลักษณะ หรือวิสังขาร สามัญที่รู้ไตรลักษณ์ แล้วก็อยู่ เหนือไตรลักษณ์ จนกระทั่ง เรามีสภาพที่อะไรไม่ดับ อะไรดับ เราไม่ดับร่างกาย ไม่ต้องดับ อันนี้เป็น ไตรลักษณ์ ให้อาหารมันกินพอสมเหมาะสมควร ถ้ามันเจ็บป่วยก็มีปัจจัย รักษามันพอสมควร มันร้อน มันหนาว ก็ถ้าเผื่อว่าน้อยได้ ไม่ต้องไปถึงขนาด ซักซ้อม ทนร้อน ทนหนาวพอสมควร จนทนได้ จนมีอำนาจ พอสมควร อะไรต่างๆ พวกนี้ เย็น ร้อน อ่อน แข็งอะไร เราก็ไม่อ่อนแอเกินการ แข็งแรงเสีย ด้วยซ้ำ ถ้าคนอื่นเขาหนาวแล้ว เรายังไม่หนาว ก็ดีกว่าแล้ว เราก็เป็นผู้นำได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น อย่างนี้ ก็ต้องศึกษา ซ้อนๆๆๆๆไป แล้วเราก็จะมาฝึกฝน รู้ ว่าอะไรที่มันให้เป็นไปอยู่ ก็ต้องให้เป็นไป แล้วก็ต้อง เป็นไปให้ยิ่ง ก็ต้องให้เป็นไป ให้ยิ่ง ไม่ใช่ว่าสุดโต่ง เอียงข้างหนึ่งไปว่า เอาแต่ดับๆๆ อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ทรมานตน จนกระทั่งไม่กินข้าว ไม่กินข้าว ไม่มีกำลังเลยจะทำ ถ้าของพระพุทธเจ้า ก็สุดโต่งไปถึง ขนาดว่า แม้แต่เราระลึกว่า เราจะต้องลุกไปเยี่ยวเท่านั้นเอง เราก็ซวนเซล้มลง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ ตอนที่ท่านทรมานกาย ปางทรมานนั่นน่ะ อด ไอ้เราน่ะ อดอย่างขนาดท่าน ไม่ได้ คงตายไปนานแล้วละ ไอ้ประเภททอด ถึงขนาดนั้น แต่ของท่านอดอย่างนี้ แล้วจะไปเอาอะไร ที่จริงท่านก็อดมาตามปาง นะ ปางที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็อดมาๆ ตามควร ให้เพื่อพิสูจน์ ความจริงว่า มันจะอดได้ ขนาดไหน แล้วความพอเหมาะ พอดีขนาดไหน พอถึงขนาดพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ต้องอินทรีย์พละ อย่างนั้นเลย พวกเราอย่าไปอดขนาดพระพุทธเจ้า นั่นมันตายนานแล้ว จับข้างหน้า ก็ถึงข้างหลัง จับข้างหลัง ก็ถึงข้างหน้า เหมือนกับหน้ากับหลัง เป็นอันเดียวกัน ที่ร่างกายเป็นปุ่ม เป็นปม ไอ้เส้นเลือด กล้ามเนื้ออะไรเป็นขอดๆ จะไปเหมือนกับเถาวัลย์อะไร ท่านเรียกเถา มีในภาษา พระบาลีอะไร เป็นเถาไม้ เลื้อยเต็มในร่างกาย โอ้ย ถ้าอย่างนั้น มันก็ควรจะตาย ถัาคนธรรมดา แต่พระพุทธเจ้า ต้องทน ต้องสามารถมาก ซึ่งเป็นเรื่องของท่าน เป็นเรื่องของท่าน เราจะไปเอาอย่างท่านก็ไม่ได้ แล้วท่านก็ไม่ได้ทรมาน ของเราเหมือนกัน ขนาดของเรา แต่เราต้องมีตบะ ต้องอดทน ต้องฝึกฝน ของเราเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ ยังมีอีกมาก ที่เราจะเน้น สำหรับวันนี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว เพราะฉะนั้น ในเรื่อง ความเกิด ที่อาตมาตั้งต้น และเริ่มต้น จะสาธยายบทเรื่อง ความเกิดนี่ไปอีกเยอะแยะ ตอนนี้ มันอาจจะเยอะหลายเรื่อง อาตมาพูดปันกันอยู่ ต่อไป จะค่อยๆแบ่ง ค่อยๆสลับ แบ่งก็ซ้อนนะ แบ่งก็ซ้อนแหละล่ะ อาตมาไม่อยากให้เข้าใจสุดโต่ง ไปในแง่เดียว แล้วอาตมาก็ไม่มีเวลานานพอ ที่จะนั่งอยู่ที่ตรงนี้แหละ อธิบายแต่เรื่องนี้ เรียงลำดับไป ยาวนาน พวกคุณก็อยู่กับอาตมายาวนานไป จนใครฟังก็ช่าง ไม่ฟังก็ช่าง เรียบเรียงเป็นหนังสือ เล่มหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง อาตมาไม่ใช่เป็นอย่างนั้น เพราะอาตมา ต้องสร้างกลุ่มศาสนา ไม่ใช่อาตมา จะมานั่ง สร้างตำรา เหมือนท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสท่านทำได้ พอนั่งอธิบายไป แล้วเรียบเรียงไป แล้วท่านเจตนาอันนั้น แล้วท่านก็ทำออกมาไว้ วันนี้ก็อธิบาย พรุ่งนี้ก็อธิบายต่อ มะรืนก็อธิบายต่อ ใครจะฟัง ไม่ฟังก็ช่างคุณ ท่านก็เอาอันนี้ ท่านไม่ได้เอาอันโน้น แต่อาตมาต้อง คำนึงพวกคุณด้วย ไอ้เรื่องตำรา อาตมาเสียอีกว่า คำนึงน้อยแล้วอาตมา ไม่กลัวเรื่องตำรา แม้อาตมาจะไม่ได้สร้างตำรา ด้วยฝีมือ อาตมาไม่กลัว จะมีคนมาสร้างตำรา จะเก็บกวาดคำสอนของอาตมา หรืออะไรต่ออะไรนี่ ไปเรียบเรียงในอนาคต อาตมาไม่กลัว จะต้องมีคนมาเรียบเรียงจริงๆ เพราะฉะนั้น อาตมาไม่จำเป็นจะต้องไปเรียบเรียงกันจริงๆจังๆ แต่ท่านพุทธทาส ท่านกำลังสนุก ในเรื่องนั้น ท่านสนุกของท่านในเรื่องนั้น ปางของท่านเป็นอย่างนั้น อาตมารู้ว่า อะไรหลายๆอย่าง อาตมาไม่อยากจะพูดอะไรมาก แต่ท่านก็ได้มีบุญคุณ มีประโยชน์ คุณค่าในศาสนาทีเดียว ท่านเป็น คนแก่ของอาตมา อาตมาเป็นคนหนุ่ม ที่จะต้องสืบต่อคนแก่ของท่าน เอ้า เอาละ สำหรับวันนี้พอ สาธุ ถอดโดย
คุณทองอ่อน จันทร์อินทร์ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๒ |