วิธีแก้จิตกระด้าง หน้า ๒
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๑๒ มี.ค. ๓๐ ณ พุทธสถานสันติอโศก

ต่อจากหน้า ๑


แล้วก็จะเดินเข้า หนีไปอยู่ในป่าอย่างนั้น นั่นผิดทางแล้ว ทางของพระพุทธเจ้านั่น เดินมาสู่ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ มาสู่หมู่ชน เป็นสัตว์สังคม แล้วมีอำนาจอยู่เหนือ สมถะดับสนิท ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ สัมผัสกับโลกธรรมทั้งปวง จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ อโสกัง วิรชัง เขมัง ไม่มีสิ่งที่มันจะกระเพื่อม แม้ธุลีหมอง ธุลีเริง ไม่มี สุขเกษมอยู่ท่ามกลางกิเลสกอง เท่าภูเขา เดินทะลุได้ ลูบพระอาทิตย์ ลูบพระจันทร์ได้ อาตมาเคยใช้สแลงว่า ถึงขนาดลูบหัวล้าน พระอาทิตย์ ลูบหัวล้านพระจันทร์ได้ ไม่ไหม้มือ นี่เป็นอิทธิวิธี มีอิทธิวิธีจริงๆน่ะ เรียกว่าไปตลอด พรหมโลกได้หมด อย่าว่าแต่อยู่กับนรก สัตว์นรกเลย ทะลุทะลวงอยู่กับกิเลสเลย ตลอดพรหมโลก ใครจะยิ่งใหญ่แค่ไหน พรหมโลกก็คือ ตัวมีจิตวิญญาณสูงใหญ่ มีมานะ ก็สามารถที่จะอยู่กับ พรหมโลกต่างๆได้ ไปได้ตลอดพรหมโลกจริงๆ มีอิทธิวิธีจริงๆ อยู่เหนือโลก ไม่ได้หนีไปไหน

เพราะฉะนั้น ทิศทางที่ว่านี่ ถ้าปฏิบัติมันเอียง มันผิดนะ มันจะเหนื่อยหน่ายไป ในระยะกลางทาง อะไรก็แล้วแต่ มันก็อยากจะหนีเข้าป่า เข้าเขา เข้าถ้ำ อยากจะไปอยู่ สงบ อ้าว! ก็ไปทดสอบดู สงบแล้วน่ะ เป็นยังไง พระพุทธเจ้าเคยให้พระออกไปในป่า ไปดูความเงียบ ความสงบ แล้วมันก็ เป็นสิ่งที่น่ากลัวน่าเกรง มันน่าหวาดหวั่นอยู่เหมือนกัน สู้ได้ อ้าว! สู้ได้แล้วก็สู้ได้ สมาธิตั้งมั่น แล้วก็เอา เข้าใจ รู้เท่าทันแล้ว รู้ทั้งทิศทางนั้น ทิศทางป่าอันสงบเงียบ แล้วทิศทางป่ามนุษย์ ทิศทางป่ามนุษย์นี่แหละอยู่ยาก

เพราะฉะนั้น บางคนมีโลกุตระ ไม่มีเจโตสมถะ ไม่ต้องไปนั่งสงบหลับหรี่อะไรต่ออะไร ดับจิต ก็ทำงาน จิตทำงานอยู่นี่ มีโลกุตรจิต มีตัวสมถะ คือสงบ เพราะกิเลสมันสงบ มีวิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี แล้วมีปฏินิสสัคคานุปัสสี ก็คือหมายความว่า เรายังดูหนังไม่ได้ เราก็ดูไม่ได้ ต่อมาตอนหลัง เราก็กลับมาดูวิดีโอได้ นี้เรียกว่าปฏินิสสัคคานุปัสสี ดูวิดีโอได้จนกระทั่ง สลัดกิเลสคืน สลัดกิเลสคืนหมด แล้วเราจะรับกิเลสเข้ามา ไม่ใช่รับกิเลสหรอก รับสังขารโลก เข้ามาปรุง รับสังขารโลกเข้ามาปรุงๆๆ นี่คือมันย้อนกลับไป กลับมา ปฏินิสสัคคา สลัดคืน กลับไปกลับมา หรือกลับไปกลับมานี่ก็ได้ ได้โดยที่เรียกว่า ได้โดยที่ไม่สะดุ้งสะเทือน เราไม่เกิด อะไรเลย เราสังขารกับเขาได้ จะเป็นเรื่องรัก เรื่องชังยังไงก็รับได้ ช่วยคนได้ด้วย รับรู้ ปรุงกับเขา เออ! รู้ เข้าใจ เออ! เห็นใจ เขา พูดด้วยสำนวนง่ายๆของภาษาไทยว่า เห็นใจคุณ ใจของคุณเป็นอย่างนี้ คุณทุกข์อย่างนี้ โอ๊ย! เข้าใจแล้ว เข้าใจ เห็นใจคุณ เห็นเลยว่า ใจคุณทุกข์ขนาดไหน เห็นตาม ปรุงตาม ได้ รู้ตามได้เลย เข้าใจจริงๆ ปรุงกับเขา รู้กับเขา แต่ตัวเราไม่เป็นกับเขาหรอก นี่ ปฏินิสสัคคะ อย่างสมบูรณ์แล้ว

เพราะฉะนั้น พระอริยเจ้า หรือพระโพธิสัตว์เจ้านี่ ทำงานกับคน รู้ใจเขายิ่งกว่าเขานะ เขาทุกข์ อย่างไร รู้กับเขา รู้ว่าเหตุอะไรเป็นยังไง มันมีอะไร จึงอธิบายถูก จึงบอกลีลาได้ สอนได้ จะถอนมุมไหนอันไหน ก็เฉลียวฉลาดที่จะช่วยเหลือรื้อขนสัตว์ได้ เกื้อกูลกันได้ จึงเป็น โลกานุกัมปายะ เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านถึงปานฉะนี้ สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ปากเปล่า

เพราะฉะนั้น ปฏินิสสัคคะนี่ การสลัดคืน จิตมันอยู่ที่จิตเท่านั้น พอทำสูงส่งแล้วก็ อยู่ที่จิต แล้วก็ไม่เป็นถีนัง ไม่เป็นมิทธัง ถ้าจิตที่ยังเป็นถีนังมิทธังอยู่ ไม่เจริญ พวกเรานี่ อาตมาแก้ปม ไม่ได้แก้อะไร แก้ถีนังมิทธัง พวกสายฟุ้งซ่าน มีอุทธัจจกุกกุจจะของนิวรณ์นี่ก็ มันก็มากไป นี่ดึงดันๆกันอยู่นี่มันแรง มันก็จะกระจายออก มันจะออก ก็ดึงเอาไว้ ดึงเอาไว้ก็ อ้าว! ไม่เอา ก็เลยประชดอีกทีหนึ่ง ไม่เอาก็ได้วะ ลงภพอยู่มันอย่างนี้แหละวะ ซึมๆ เอ้า! ก็แก้ออกอีก ตกภพหนักขึ้นมา ให้ขึ้นมา มีพวกเราเห็นๆอยู่นี่หลายคน อาตมาก็ต้องค่อยๆแก้ไป

จิตมันมีอยู่ ๒ ตัว จิตตัวหลัก คือตัวมันจะหยุด กับตัวมันจะเกิน มันจะเป็นมหายาน กับมันจะเป็น เถรวาท ประเภทสุดโต่งทั้ง ๒ ด้าน เถรวาทก็เอาแต่ตัวกู อยู่ในภพ หลับดับจิตไป มันก็จะเป็นฤาษี คนไหนออกนอกรีต มันก็ไปเป็นฤาษี มันกลายเป็นศาสนาพุทธ ที่ออกนอกรีต หรือไม่ก็จะสอนแต่เขา จะกลายเป็น พวกนักรู้วิชาการ รู้กันใหญ่ จะเอาแต่ รู้ๆๆๆๆ แล้วมันก็จะช่วยแต่คนอื่น แล้วก็ขายความรู้ เอาความรู้ไปหากิน ทุกวันนี้ก็มีความรู้ แล้วก็ขายความรู้นี้หากิน ร่ำรวย เสพโลกียสุขอยู่ ทุกวันนี้ ก็ค้าความรู้กันทั้งนั้นแหละ

อาตมาว่า อาตมาศึกษาอะไรรู้ได้ ทุกวันนี้ก็มีความรู้อย่างที่รู้ๆยิ่งขึ้น ถ้าจะไปเป็นนักคิดกับโลก เขาเดี๋ยวนี้ อาตมาว่า โอ้! เป็นนักคิด แต่ก่อนทำไมมันไม่ฉลาดอย่างนี้ก็ไม่รู้ สู้กับโลกเขา แค่จะสอบ เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย ยังสอบไม่ได้ อาตมาก็งงๆอยู่เหมือนกันว่า เอ๊! สอบเข้าเตรียม อาตมาก็สอบตก สอบเข้าโรงเรียนเตรียมนี่อาตมาสอบนะ สอบเข้าไม่ได้หรอก จนต้องไปเรียนเตรียม โรงเรียนราษฎร์ สอบเข้าไม่ได้ แต่ดูเหมือนอาตมาไม่เคยสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยเลย ดูเหมือนจะใช่ อาตมาไม่เคยสอบเข้าเอ็นทรานซ์ เข้าธรรมศาสตร์เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ ก็ไม่ต้องสอบเข้า เพราะเป็นตลาดวิชา สมัยโน้นเขาเป็นตลาดวิชา เข้าก็เข้าไปเลย อาตมาก็เข้าไป เมื่อมีเกรด ที่เรียนต่อธรรมศาสตร์ได้ อาตมาก็เอาเกรดที่เรียนต่อธรรมศาสตร์ได้ ไปเข้าไปเฉยๆ ไม่ได้สอบเข้า เออ! ชีวิตนี้ จริงๆด้วย ไม่เคยสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เคยสอบเอ็นทรานซ์ เข้าโรงเรียนเตรียม ก็ตก เข้าไม่ได้ เท่านั้น แล้วก็ไปเรียนเตรียมโรงเรียนราษฎร์เขา เรียนไปตกไป อะไรต่ออะไรกันไป แล้วก็ไปเรียนอื่นต่อ จนกระทั่ง มีเกรดที่มันเทียบได้ เข้าได้ จะเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้ ตอนหลังๆ ก็มาสมัครเข้า จะไปเรียนจุฬาฯ จะไปเรียนคณะครุศาสตร์ จะไปเรียน นิเทศศาสตร์ ไม่มีโอกาส มีเกรดเข้าเรียนได้แล้วนะ แต่ไม่มีโอกาส จะเรียนครุศาสตร์ เขามีภาค twilight ภาคอะไร ต่ออะไรก็เรียนได้ แต่ว่าไม่ได้เรียนแล้ว นิเทศศาสตร์เปิดใหม่ๆก็เหมือนกัน ก็เรียน twilight ตอนแรก เขาไม่เรียกนิเทศศาสตร์ เขาเรียกคณะ สื่อสารมวลชน ตอนแรก ยังไม่ตั้งชื่อด้วยซ้ำไป ตั้งแต่รุ่นแรก รุ่นหนึ่งโน่นแน่ะ ตั้งใจจะไปเรียน เอาไปเอามา ไม่มีเวลาจะเรียน มันทำงาน แล้วเราทำงาน กลางคืนด้วย ตอนเย็นๆด้วย เรียน twilight เรียนเย็นๆ ภาคเย็น เราก็ไม่มีเวลาเย็นจะไปเรียนกับเขา เลยไม่ได้เรียนกัน ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เรียน ก็มันเป็นไปตามธรรม ฟ้าลิขิต แหม! ฟ้าลิขิตให้เรา ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เรียนอะไร อาตมาไม่กลัว ว่ากันจริงๆ เรียนได้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีตลาดวิชา สุโขทัยมั่ง รามคำแหงมั่ง โอ๊ะ! จะไปเรียนกันกี่คณะ ก็เรียนเข้าไปซิ จะไปยากอะไร นักหนา แต่อาตมาก็ไม่มี เวลาเรียนอีกแหละ ทุกวันนี้ก็ไม่มีเวลา จะไปเรียนอีกแหละ มีแต่เวลาทำงาน ก็คิดว่าไม่มีปัญหานะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราได้รู้ ได้เรียน หรือว่าได้ศึกษา อะไรต่ออะไรเข้า มาในรายละเอียดต่างๆ นานา พวกนี้แล้ว เราจะรู้ โดยเฉพาะมารู้ปรมัตถธรรม มารู้ถีนัง มารู้มิทธัง มารู้จิตที่ซ่านกระเซ็น ศึกษาเอาแต่ความรู้ แล้วก็เอาความรู้นั่นแหละมาอวด มาเก่ง เพราะฉะนั้น พระพวกเราบางคนนี่ เป็นนักเทศน์ นักเทศน์เป็นสายอุทธัจจะกุกกุจจะ ส่วนที่นักไม่เทศน์ หนีตะพึด ก็เป็นสายถีนมิทธะ อ้าว! เรียนแกนกาม แกนพยาบาท ก็เรียนกันไปเถอะ แต่ตัวเองไปตกอยู่ในฐานอะไรต่อ ฐานถีนังมิทธัง ไม่เอาแล้ว โลกนี้ไม่น่าไปสัมผัสกับมัน มันก็เข้าไปในสายสร้างถีนมิทธบารมี ส่วนอีกสายหนึ่งก็บอก แหม! มันเขี้ยวๆ แล้วหลายคนนะ มีทั้ง ๒ ธาตุอยู่ด้วยกัน ธาตุถีนังมิทธัง ก็เยอะ ธาตุอุทธัจจกุกกุจจะก็เยอะ มีทั้ง ๒ ธาตุ ธาตุถีนังมิทธังก็คือ เอาแต่กู ตามภพของกู ตามความเห็นของกู ไอ้ไม่ใช่ของกู กูไม่เอา ไอ้นี่ตรงกับความเห็นของกู กูเอาใหญ่ละว้า พุ่งไปเลย

ขณะนี้มีพระของเราอยู่รูปหนึ่ง กำลังเป็นโรคนี้กันจัด มี ๒ ธาตุ มีธาตุถีนัง มิทธัง กับมีธาตุ อุทธัจจะกุกกุจจะ มุ่งเพ่งอุทธัจจะแท้ๆ ทำให้รำคาญคนอื่น ตัวเองก็ไม่รำคาญตัวเอง เพราะมันไม่รู้ โมหะ มันไม่รู้กุกกุจจะ แล้วมันก็เป็นนิวรณ์แรง จนกระทั่ง เพื่อนก็ช่วยจับ เพื่อนก็ช่วยพยายาม ตั้งทัณฑ์ ตั้งมาตรการอะไรให้หยุดให้อยู่อะไร ไม่ค่อยอยู่ เพราะธาตุอุทธัจจกุกกุจจะ มันแรง และ ก็เป็นลักษณะ ตัวเองเป็นลักษณะถีนังมิทธังนะ ไม่ค่อยเอาภพอื่นกับใคร เอาแต่ภพของตัว

นี่ฟังให้ดี ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันลึกซึ้ง คัมภีระ หลากหลาย และจะละเอียดลออ ที่อธิบายนี่ อธิบายลักษณะ ไม่ใช่ถีนังมิทธัง เอาแต่ชั้นประถม ถีนังมิทธัง คือนั่ง ง่วง ไอ้แค่นั่งง่วง มันก็ยัง ไม่รอดเลย แล้วยังรายละเอียดพวกนี้ก็ไม่เรียน แล้วก็ไม่รู้ แล้วมันจะไปเจริญได้ยังไง เพราะฉะนั้น ถ้าง่วงจริงๆนี่นะ ถ้าคนพวกเรานี่นะ เรียนจริงๆนะ ทำงานให้สมดุลจริงๆ พวกเรานี่ บางคน ก็งานมาก มันก็หนัก มันก็เปลี้ย มันก็ไม่ค่อยไหว อินทรีย์พละ มันก็อย่างนั้น ถ้าแข็งแรงจริงๆแล้ว เราทุกคนนี่นะ ทำงานกันทั่วถึง เฉลี่ยกัน รู้จักระบบ รู้จักอะไรดีๆนะ ได้พัก ได้ผ่อน ได้ตื่นได้หลับ ได้ใช้แรงงานอะไรพอเพียง สมดุล ไม่มีมานั่งง่วงหรอก และอีกอย่างหนึ่ง จิตใจมันก็เจริญ มันเจริญ ในธรรม มาฟังธรรม มาโน่น มานี่ ไอ้โน่น ไอ้นี่ มันไม่ง่วงหรอก ทำงาน มันก็ไม่ง่วงแล้ว หรือมานั่ง ฟังธรรม มันก็เบิกบานในธรรม เจริญในธรรม ฟังธรรมมีรส มีธรรมรส มันไม่ง่วง ไอ้ง่วงอย่างนั้น มันชั้นต้น ส่วนถีนังมิทธังที่มันมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นนี่ เราต้องแก้ภพ อันนี้ด้วย ถ้าแก้อันนี้ไม่ได้ แก้ง่วงก็ง่วงไม่ออก ก็แก้ง่วงไม่ได้ มันผสมผสานกันอยู่ ก็แก้ไม่ได้ เพราะจิตมันผลัก ไม่เอา มันก็ง่วงแล้ว มานั่งฟังธรรม มันก็ไม่เอา มันอยู่ในภพเรา มันอยู่ในของเรา

นี่แหละ จิตถีนังมิทธัง มันเป็นจิตตัด จิตปิด มันเป็นจิตหรี่ เป็นจิตไม่รับ จิตมัน รับซิ จิตมันต้องตื่น เป็นผู้รู้ พุทธะ จิตต้องตื่น มันต้องรับ อะไรก็รับทั้งนั้นแหละ รับรู้ แต่ไม่ ใช่รับเอา จิตนี่มันตัวรู้ ธาตุรู้ รับรู้ทั้งนั้น จึงเรียกว่าผู้รู้ ผู้ตื่นอยู่ซิ ไปปิดจิตทำไม ตรงกัน ข้าม ถีนังมิทธัง ตรงกันข้ามกับตัวตื่น ชาคริยานุโยคะ ถีนังมิทธังจึงตรงกันข้ามกับ ชาคริยานุโยคะ ตรงข้ามกับความตื่น ถีนังมิทธังนี่ มันต้องตื่นรับ ตื่นรู้ จะรู้ขยะ รู้สิ่งดีไม่ดี อะไรก็รับ ไม่ใช่เอาตัวเราเข้าไปเป็น ไอ้นี่กูไม่ชอบ กูไม่รับ นั่นแหละถีนังแล้ว ถีนังมิทธังแล้ว กระด้างมึนชาแล้ว รับรู้ซิ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวอย่างเรา ไม่ใช่จริตเรา ก็ต้องเรียนรู้ สิ่งนี้เราไม่ชอบ ก็เป็นวิภวตัณหา แล้วเราก็ไม่รับ มันก็เป็นตัณหา ชนิดหนึ่งแล้ว เห็นไหม ไม่อยากได้ เราไม่ทั้งไม่อยากได้ ทั้งอยากได้ก็ไม่มี หน้าที่กิจกรรมการกระทำ กำลังทำ ฟังธรรม ฟังธรรมก็เปิดจิตฟังธรรม รับธรรม เออ! อันนี้ดีไม่ดี วิจัยวิจารณ์ไป อย่างนั้น อย่างนี้ๆๆไป มันก็รู้ ก็ตื่น นี่พิจารณา พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณานิวรณ์ ถีนมิทธะนี่ ก็เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่ง อุทธัจจะกุกกุจจะ มันฟุ้งมันซ่าน มันจะเอา ฟังไปก็ฟังไม่อยู่ จิตไม่เป็น เอกัคคตา ไม่เป็นฌาน ไปแล้ว จะต้องไปทำอันนั้น จะต้องไปทำอันนี้ จะต้องไป มุ่งมาดอันนี้ โอ๊! อันนี้เราต้องรีบติดต่อเรื่องนี้ จะต้องอันโน้นอันนี้ โอ๋! ไปใหญ่เลย เรื่องที่ตัวเองชอบทั้งนั้น ไปจะทำโน่น จะมีนี่ จะไอ้โน่นไอ้นี่อะไร มันก็ฟุ้งซ่านไปอยู่อย่างนั้น มันก็จะรู้เรื่องอะไรเล่า ยิ่งอธิบาย ธรรมะละเอียดๆ ธรรมะโน่น ปะติดปะต่อกันไม่ถูก มันก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง ก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง ก็ยิ่งเบื่อยิ่งหน่าย ยิ่งไม่เอา ฟังธรรม ฟังไปทำไม เรา ไม่ฟังเราก็ได้แล้ว อวดดิบอวดดี

เพราะฉะนั้น บางคนที่รู้แล้วว่า ตัวเองไม่ประมาท ตัวเองนี่ไม่อวดดิบอวดดีอะไรหรอก เราก็ตั้งใจ ฟังธรรม อาตมาเคยบอก แม้แต่มานั่งฟังธรรมอยู่ในนี้ มันได้ฝึก อะไรตั้งเยอะตั้งแยะ มันมีสิ่งแวดล้อม บางคนมีมานะมาก โอ๊! เรามานั่งฟังธรรมแล้วเราง่วง เรามานั่งฟังธรรม แล้วเราไม่ชำนาญ ก็เลยไม่ค่อยจะมา ไม่ค่อยจะมาก็ยิ่งไม่ค่อยจะมา ไม่ค่อยจะมา มันก็เป็นภพ ของตัวเอง เอ๊อ! ฟังเองดีกว่า ฟังเองดีกว่า มันได้หมดจริงๆ หรือ ฟังเองมันได้หมดจริงๆ หรือ อย่างน้อยมาฟังนี่ อย่างน้อยก็สิ่งแวดล้อมบังคับให้เราได้ฟังมากกว่า อยู่กับเพื่อนกับฝูง ประเดี๋ยว เพื่อนฝูงก็ ไอ้นี่มันไม่รับแล้ว ตอนนี้มันไปแล้ว ลงภพไปแล้ว หรือยิ่งฟุ้งซ่าน แล้วยิ่งไม่รู้ กับคุณด้วย นั่งคล้ายๆกับ แหม! ตาตื่นเชียวนะ แต่ฟุ้งซ่านไปแล้ว รับไม่รับ ไม่รู้เรื่องเลย ขนาดนั่ง อยู่กับเพื่อน แล้วนั่งอยู่กับไม่มีใครรู้ ใครเห็น อยู่ในกลด นั่งเข้าสมาธิ โอ๋ย! เก่งนักเก่งหนา เรานอนฟังก็ได้ นอนฟังก็ได้ แหม! ผู้รู้ ท่านผู้รู้ ท่านผู้ตื่นแล้ว นอนฟังก็ได้ เปิดจิตรับเต็มที่เลย ขนาดตาก็ดู รับสัมผัสทางตา หู ก็ฟัง อาตมาก็แสดงธรรมให้มันมีทั้งสภาพลีลา ไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรต่างๆนานา ไม่ใช่ฟังแต่น้ำเสียง แต่หูเฉยๆ ให้ทั้งทวารอื่นทวารใด หลายๆทวาร ที่จะชวนให้รู้ สื่อให้รู้ ประกอบกรรม ประกอบกิริยาให้รู้ มันยังไม่ค่อยเข้าใจกันดีเลย นี่จะเอาแต่แค่นั้นดีกว่า ก็แล้วแต่ บางคนบอกว่า ไม่ต้องฟังแล้ว ฟังเท็ปก็ได้ มันจำเป็นต่างหาก เราถึงต้องทำ อย่างนั้น ฟังอย่างนั้น ถ้ามันไม่จำเป็น ก็ขวนขวายขึ้นน่ะ

ไม่ว่าจะฟังธรรมอาตมา ฟังธรรมใครก็ตาม เราอย่ากลายเป็นถีนังมิทธัง กลายเป็นจิตถีนัง จิตมิทธัง ไม่ใช่พ่อท่านไม่ฟัง พระองค์ไหนก็ไม่ฟัง หลายคนนะขึ้นมา ซังกะตายไปอย่างนั้นน่ะ จำนน ที่เขาด่าก็ขึ้นมา อย่างนั้นนะ ที่จริงไม่อยากฟังหรอก ถ้าพ่อท่านขึ้น ค่อยขึ้นไปฟัง ก็แบบนี้ ก็มานะใหญ่ ทำไม คุณเก่งขนาดไหนกันเชียว ปราชญ์นี่จะได้รับความรู้ ทั้งผู้ที่โง่ที่สุด ที่นึกว่า ตัวเองฉลาด โดยเฉพาะกูเองแหละกูฉลาด กูเองนี่แหละ จะทำให้ผู้อื่นเขาได้ความรู้ อาตมาได้ความรู้ จากคุณเองนั่นแหละ นึกว่าตัวเองฉลาดนักหนา ที่แท้ก็โง่ โง่ อาตมาก็รู้จากคุณ นั่นแหละ อ้อ! คนนี้เป็นอย่างนี้นั่นเอง ที่เอามาพูดนี่ก็เอามา พูดจากคุณนั่นแหละ ใครว่าเป็นตัวกู ก็รู้ตัวกูก็แล้วกัน คุณคือใคร ใครคือคุณ แล้วเราก็ดูถูก ดูแคลนคนนั้นคนนี้ ไม่เอาล่ะ ไม่ฟัง จะฟังแต่ พระโพธิรักษ์ โอ้โห! สูงนะ ใหญ่นะ คนอื่นไม่เทียบเท่าแล้ว คนอื่นไม่ฟังหรอก ฟังก็ไม่ได้เรื่องอะไร เพราะเราเหนือกว่าทั้งนั้นแล้ว ยังรองๆอยู่ก็แต่พระโพธิรักษ์เท่านั้นเอง ยังดีนะ ยังมีพระโพธิรักษ์รองๆนะ ยังดี ยัง แหม! กุศลอยู่ ที่จริงมันควรจะใหญ่กว่า พระโพธิรักษ์แล้ว ฟังให้ก็บุญแล้ว พระโพธิรักษ์น่ะ เราเองน่าจะสอนพระโพธิรักษ์ด้วย น่าจะสอนคนอื่นๆด้วยทั้งโลก ใครจะมายิ่งใหญ่เท่ากู ยังดียังฟังของพระโพธิรักษ์บ้าง ยังเข้าท่าอยู่นิดหนึ่ง เกือบแล้ว เกือบจะไม่ต้อง ฟังใครแล้ว ถ้าเรายิ่งไม่ฝึกหัด ยิ่งไม่อบรมตัว อ่อนน้อมถ่อมตน อปจายนมัย นะ มันก็จะกระด้าง มันก็จะถีนังมิทธังอย่างนี้ มันจะกระด้างกระเดื่อง จะเป็นถีนัง เป็นมานะอย่างนี้ มันจะเป็น อย่างนี้จริงๆนะ ดูก็รู้ ดูก็เห็นอยู่นี่ แล้วรู้ตัวหรือเปล่าว่าเออ! เรามีธาตุตัวนี้อยู่จริงๆ สำนึก เถอะ รู้ตัวเถอะ ไขความออกไปให้รู้ ไขความออกไปให้ฟัง มันไม่รู้ตัวง่ายๆนะ มันอวดดิบ อวดดี อย่างไรแค่ไหน พวกเราก็รู้ พระหลายรูป อย่าว่าแต่ฆราวาสเลย บางทีอาตมาก็ว่า ฆราวาส ยังดีเสียกว่า เพราะว่ายังไงๆ เราเป็นฆราวาสก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ฐานะเป็น ฆราวาส รอแต่ว่า อึม! กูได้เป็นพระเสียหน่อย กูจะหลบมุม ไม่มีใครมาว่าได้ ตอนนี้เป็นฆราวาส โดนเขาว่ากัน คนนั้นก็ว่า คนนี้ก็ว่า อ้าว! ก็พยายามสั่งสมไอ้ความเห็นที่เลวๆนั้น ไว้เถอะ จริงๆ บางคน แม้แต่พระ ไม่ต้องไปว่าแต่แค่ฆราวาส ก็มีถีนังมิทธัง ในลักษณะพวกนี้ มันก็ไม่เจริญ

เพราะฉะนั้น เข้าใจลักษณะถีนังมิทธังให้ดี ถีนังมิทธังนี่จะแก้เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เปิดรับ เป็นผู้ไม่ดูถูก เป็นผู้ไม่มีเกิดมานะ อาตมาแก้ไขแกนมานะ สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบ เป็นพลความ ของมานะทั้งนั้น ถีนังมิทธังตัวนี้เป็นลูกน้องของมานะทั้งนั้น ทำให้กลายเป็น จิตดื้อด้าน ถีนังมิทธัง เข้ามากๆ ก็เป็นถัมภะ ดื้อ มึนชา กระด้างกระเดื่อง อวดดี ถือตัว หยิ่งผยอง อะไรไปหมดน่ะ กลายเป็นปิด ไม่รับ ไม่รู้ ไม่ดู ไม่ดี ใครจะแนะนำอย่างไร ข้ารู้แล้วๆ ข้าจะทำตามใจข้า เพื่อนฝูง จะทำยังไง ก็ช่างแกปะไร ข้ารู้ ข้าเข้าใจ ข้าไม่ทำก็ได้ ข้ารู้แล้ว ข้าเก่งแล้ว ถึงแม้ไม่เก่ง ก็ข้าไม่เอา จะทำไม ก็ข้าไม่เอา จะทำไม มันก็จิตถีนังมิทธัง ทำไมไปด้วยกัน พรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันทำ ไปด้วยกัน เรานี่ได้รับ คนเขานิยมชมชื่นเราอยู่อันหนึ่งว่า ไอ้พวกอโศกนี่ มันไปไหนมันก็ไปเป็นหมู่ๆ มันทำอะไรก็ โอ้โฮ! กรูเกรียวกันเป็นหมู่ มันทำอะไรเหมือนพวกโง่ๆ เหมือนพวกนักโทษ ถูกรวมหมู่รวมกลุ่มกันไป พาไปทำไอ้โน่นไอ้นี่ เหมือนพวกนักโทษ เขาเคยดูถูก และ พร้อมกันนั้น เขาก็เคยชื่นชม เขาเคยดูถูก ดูซิ มันทำเหมือนคนโง่ แต่งชุดรองเท้าก็ไม่ใส่ ม่อฮ่อม ทำอย่างกับคนใช้ ทำอย่างกับพวกกรรมกร ดูซินี่ ไปก็ทำซ่อกๆๆๆ อย่างกับคนโง่ คนไม่มีอะไร พวกดูถูกเขาก็จะดูถูกอย่างนี้ แต่พวกที่เขามองชื่นชม เขาบอก โอ้โฮ! พวกนี้ มีพลังสามัคคี รวมแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนะ ทำอะไรพรั่งพร้อมกัน เป็นหมู่เป็นกลุ่ม มีน้ำหนักน้ำเนื้อ ทุกวันนี้ ลักษณะพวกนี้ เป็นเอกลักษณ์ของอโศกแล้วนะ คุณฟังมุมดี มุมที่เขา ดูถูกก็ดูถูก คุณเป็นอย่างไรล่ะ คุณเป็นคนโง่งมงายอย่างนั้นจริงๆหรือ หรือว่า คุณรู้ว่า คุณทำ พรั่งพร้อม มีพลังรวมเหมือนเรียวไผ่ ที่รวมกันมัดเป็นหมู่ มีพลังบอกว่าเราไป ไป ถ้าพวกเรา ทำได้มากนี่นะ ต่อไปนี่ ทั้งประเทศเลยนี่ โอ้โฮ! กอ.รมน. น่ากลัวนะ บอก ตายละวา มันเรียกพลแล้ว ทำยังไง อโศกรวมพรึบทั่วประเทศ จะทำยังไง พลังรวม อันเป็นพลังน้ำหนึ่ง ใจเดียวกันนี่ มันเกิดแล้วนะ อโศกมีเอกลักษณ์อันนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าขบถอยู่ในตัวอโศก เอ้า! อโศกรวมพร้อมประชุม เอ็งไปเหอะ อั๊วไม่ไปละว่ะ อั๊วจะพัก อั๊วจะนอน อั๊วจะแคะเล็บ อั๊วจะนั่งหลับตา อั๊วจะทำงานของข้า อั๊วจะทำสิ่งที่ข้าชอบ ไม่ฟังเหตุฟังผล ไม่ฟังเลยว่า เขาต้องการเราไปร่วมหรือไม่ ไม่ฟัง ไม่อะไร นี่จิตมันจะเป็นตัวกูของกู อย่างนี้ มานะนี่คือ ตัวกูของกู มานะคืออัตตา คือตัวตน อาตมากำลังจะตีแตกอันนี้ ถ้าพวกเราไขอันนี้ไม่ออก ตีแตกอันนี้ไม่ได้ นี่ อาตมาถึงบอกว่า อาตมาได้ยอดเพชรตรง แหม! ถีนังมิทธังนี่ อาตมาสว่างขนาดหนัก จะอธิบาย ขยายไปอีกนาน นี่ค่อยๆขยายขึ้นๆ แล้วคุณจะรู้ตัวมากขึ้นว่า ต๊าย! ตัวเรานี่ มีถีนังมิทธัง อยู่ไม่ใช่น้อย บางคนอาจจะบอกว่า เราตื่นแล้ว เราไม่นั่งหลับแล้วเดี๋ยวนี้ ไอ้นั่น บอกแล้วว่า ปัดโธ่! ชั้นประถม ชั้น ป. ขี้ไก่ ไอ้เรียนรู้กันแค่นั้นน่ะ ไอ้จิตพวกนี้สะสม อาตมาถึงบอกว่า เอ๊! จะแก้ปัญหา พวกเรานั่งหลับไม่ได้ เจโตสมถะก็แล้ว ให้ตื่นในหลับ เอ๊! ก็แล้ว อะไรก็แล้ว มันไม่รู้ธาตุลึกตัวนี้ นี่ขณะนี้ อาตมาว่าแจ้งธาตุลึกตัวนี้มามากแล้ว มาอธิบายกันแล้วพวกคุณจะรู้ เกิดภูมิปัญญา เกิดความรู้ตัว แล้วก็เกิดสภาวะตัวนี้ แล้วคุณก็แก้ๆๆๆ อาตมาว่าขอเวลาอีกไม่กี่ปี เราจะแก้ถีนัง มิทธังนี่ได้กัน แล้วภูมิเราจะเจริญขึ้น จะกลายเป็นพลังรวม จะกลายเป็นคนที่อยู่ในฐานคน ประเสริฐ เป็นคนมีประโยชน์คุณค่า เป็นคนไม่เฉื่อย เป็นคนที่กระปรี้กระเปร่า รู้ตื่น เบิกบาน แจ่มใส แข็งแรงดี จะเป็นจริงๆ

เพราะฉะนั้นผู้ใดนี่ มีทั้งตัวกูของกูประเภทถีนังมิทธัง มีทั้งตัวกูของกูประเภท อุทธัจจกุกกุจจะ ประเภทฟุ้งซ่าน ไปไหนก็จะไปแต่ตัวกูของกู กูจะเอาอย่างกูว่า สอน บุกแหลก ลุย เพื่อนไปอย่างโน้น อย่างนี้ ไม่เกี่ยว ของข้าเอาของข้าไปเลย อุทธัจจะกุกกุจจะ สร้างความรำคาญให้กลุ่ม ตัวเองไม่รู้ว่า ตัวเอง สร้างความรำคาญให้แก่ตัวเอง กุกกุจจะมันไม่ใช่ ธาตุรำคาญเท่านั้น มันธาตุเสื่อม มันธาตุกระเซ็น มันธาตุทำให้มัน มันยัง ธาตุจริง ก็คือ อุทธัง อุทธะ มันลอย มันฟุ้ง มันไม่แน่น ไม่สนิท ไม่เป็นระบบ ไม่เป็นความแน่นอน มั่นคง มันไปเป็น อเนญชา มันไม่ไปเป็น แหม! จะอธิบายเป็นภาษาคนว่าอย่างไร มันไม่เป็นลักษณะที่แข็งแรง เร็วแต่แรง หนักแน่น แต่ลอยเร็ว แหม! มันภาษากำลังภายใน ทั้งนั้น มันหนักหน่วง แต่เบาหวิว จะว่ายังไง มันยิ่งกว่า เคล็ดวิชา กำลังภายในชั้นลึกนะ มันหนักแน่นนะ มันหนักหน่วงนะ แต่ว่ามันก็เบาหวิว มันไม่ใช่หนักตื้อ เป็นเรือเกลือ ไม่ใช่เลย แต่มันก็ไม่ใช่ลอยหวิว จนกระทั่ง ไม่มีน้ำหนักเลย

เพราะฉะนั้น อุทธัจจกุกกุจจะ มันก็จะไปลอยหวิว ไม่มีน้ำหนัก เสร็จแล้วก็ทำ ได้ผิวๆเผินๆ ทำอะไรก็ไม่ได้น้ำไม่ได้เนื้อ มันไม่มีเนื้อสมบูรณ์ มันเป็นเนื้อแหว่ง เป็นเนื้อ อุทธัจจกุกกุจจะ ก็แหว่งไปข้างหนึ่ง ถีนังมิทธังก็แหว่งไปข้างหนึ่ง นี่นิวรณ์ ๕ เราต้องเรียน จริงๆ จนไม่สงสัย จนพ้นวิจิกิจฉา จะพ้นวิจิกิจฉาต่อเมื่อ เรารู้จักธรรมะละเอียดลึกซึ้ง ทั้งหมด อาตมาไขนิรุตติ ปฏิภาณไม่ออก จนมาไขออก ก็จะเห็นได้ว่า มันทะลุทะลวงไปอีก ตั้งเท่าไหร่ อาตมายังพูดออก ไม่หมดนะ ในนิรุตติปฏิภาณที่ว่าได้แล้วนี่ ก็ยังออกไม่หมดหรอก ก็ยังต้องค่อยๆพูด ค่อยๆอาศัย ฐานพวกคุณด้วย อาศัยพฤติกรรมของพวกเราด้วย แล้วจะค่อยๆเปิด ค่อยๆเผย นี่เราเรียนรู้ เราพิจารณา ตั้งแต่ธรรมในธรรม ตั้งแต่นิวรณ์ ไปจน กระทั่งถึงอริยสัจ ๔ แล้วมีในตัวเราจริงไหม ถ้าเราทรงธรรม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมนี่ เราจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ประจำตน เที่ยงแท้ หรืออยู่กับเรานาน อยู่กับเรามาก จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน มันได้พิจารณาธรรมะ ได้ผัสสาหาร ได้วิญญาณาหาร ได้อาหารทางวิญญาณมาเรื่อยๆ เป็นวิญญาณสะอาดขึ้นเรื่อย ได้ละ ได้ลด ลงมาเรื่อยๆ กิจกรรม พฤติกรรม ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญทางกิจกรรมต่างๆ เราก็ไม่ลดหย่อน สมรรถนะ สมรรถภาพ ความสามารถของเราไม่ลดหย่อน

อาตมามองไม่เห็นว่า ทฤษฎีไหนมันจะดีเท่าทฤษฎีที่กำลังอธิบาย ที่อาตมาว่า นี่เป็นของ พระพุทธเจ้า ค้นพบนี่ วิเศษสุดประเสริฐ ไม่มีทฤษฎีไหนเท่าเทียมหรอก แล้วทำให้ คนประเสริฐ สุดยอดจริงๆได้

งั้นก็ขอให้พวกเราได้พยายามสังวรระวัง ดูวิดีโอนี่ก็ยังต้องพูดกันอีกน่ะ ว่ามีผู้ที่ยังเพ่งโทษ ยังเป็น จิตถีนังน่ะ ผู้ที่ฟุ้งซ่าน ก็ระวังแอบแฝง ดูวิดีโอก็ ที่จริงตัวเองก็อาศัย อันนี้เป็นฐานเสพแลบเลีย แล้วก็ แหม! ฟุ้งซ่านหาเหตุหาผล หาอะไรมาอ้างมาอิง มายก ประกอบ ดีอย่างนั้นนะ ดีอย่างนี้นะ แล้วตัวเอง ก็อาศัยเป็นฐานเสพไปวันๆ ระวังนะพวกมัน มี ๒ ธาตุ ๒ ทาง บอกแล้ว พวกถีนังมิทธัง ก็ปฏิเสธ ถล่มทลาย ไม่เอาด้วย ไม่เอาด้วย พวกที่เอาๆ ก็หาเหตุหาผลมาอุทธัจจะ ฟุ้งซ่าน ปรุง ยกเหตุยกผลมาอ้างมาอิง มาอย่างโง้นอย่างนี้ มากมายเกินการ แต่แท้จริงก็ไม่รู้ว่าตัวเองนะจมๆ อีกหน่อยก็ตกเพราะ ว่าดูวิดีโอ นี่เพราะดูวิดีโอทีเดียวท่านต้องสึก เพราะดูวิดีโอทีเดียว เราต้องหลุดไป ก็เป็นได้ เป็นได้แน่ๆ เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้

นี่อาตมาก็ใช้อาศัยอันนี้ เป็นองค์ประกอบในการอธิบายความหมายตัวนี้เหมือนกัน นี่รู้สึกว่า ยังอธิบาย ไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ใช้อันนี้มาเป็นเครื่องประกอบอธิบาย ก็คิดว่า ผู้มีปฏิภาณ จะพอเข้าใจ แล้วว่า อ้อ! เป็นทิศทางที่ทำให้เราดูแล้ว เราก็กลายเป็นสายอุทธัจจะ สายสังขาร ปรุงฟุ้งซ่าน หาเหตุหาผลมาทำ อย่างโง้นอย่างงี้ มันจริงหรือ หาโวหารมาเท่าไรก็ได้ อ้างอิงด้วยเหตุ ด้วยผล อะไรก็ได้ นักสังขาร นักปรุง นักคิดนี่ โอ้! เก่ง ยกตัวอย่างมา อ้างฟ้าอ้างดิน ยกตัวอย่าง มาจนกระทั่ง เง็กเซียนฮ่องเต้ ต้องจำนน ต้องยอมอนุมัติ แม้แต่ขอไปลงนรกก็ยังต้องให้ อ้างว่า เป็นสวรรค์ ยอม เง็กเซียนฮ่องเต้สู้ไม่ได้ เอ้า! ตกลง เราบัญชาให้เธอไปสวรรค์ แท้จริงลงนรก จงไป เง็กเซียนฮ่องเต้เมา สู้เขาไม่ได้ พวกเทพยดามาร เทพบุตรมาร เล่นเอาเง็กเซียนฮ่องเต้เง็งเลย เง็กเซียนละเง็กเลยนะ สแลงเง็ง สแลงงง งงจนเง็กเลย เอาสแลงของเง็กเซียนฮ่องเต้มาใช้
เสียเลย มัน ง งู เหมือนกันนี่นะ ก็ได้ มันก็เป็นอย่างนั้นได้นะ

เอาล่ะ ค่อยๆขยายความ เราก็เรียนรู้ในรากฐานเดิม ภาษาบัญญัติเก่า นี่แหละ แต่ว่าขยายความ อะไรให้พิสดาร ไอ้โน่นไอ้นี่ออกไปมากหลาย ตั้งใจแก้ไข อะไรๆ ที่ได้พูดผ่านไปแล้ว เรารู้ตัวว่า เออ! อันนี้เราควรจะแก้กลับ เราควรจะทำคืน เราควรจะพัฒนาปรับปรุงตนเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสาย ถีนังมิทธัง หรืออยู่ในสายอุทธัจจกุกกุจจะ ก็รู้ตัว เรื่องกาม เรื่องพยาบาท เราพูดกันมาก มาพอสมควรแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทิ้ง เราก็ต้องวนเวียนพูดกันอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าฐานของนิวรณ์ ถีนังมิทธัง กับ อุทธัจจกุกกุจจะ ๒ สภาพธรรมนี้ มันมีมากนะ ไม่ใช่น้อยนะ ถีนังมิทธัง แล้วมัน ละเอียดด้วย มันประณีต มันนิปุนา ปณีตา สันตา ปณีตา นิปุนา มันละเอียดนะพวกนี้ มันยาก ไอ้อย่างกาม พยาบาท มันหยาบ มันง่ายน่ะ มันยังพอตามสายของมันไปได้ง่ายกว่า อันนี้มัน ยิ่งละเอียด ถ้าภวตัณหาเราตีไม่แตก วิภวตัณหายิ่งกว่าอีก ซึ่งเราจะต้องรู้ว่า ตัวไหน ธาตุอาศัย ตัวไหนธาตุที่จะต้องล้มล้างมัน วิภวตัณหามันยิ่งละเอียดกว่าภวตัณหาอีก จนเหลือเศษเหลือ ขั้นวิสังขารนี่ จะต้องรู้เลยวิสังขาร ตัวใดจะต้องไม่ ตัวใดจะต้องทรงไว้อย่างยิ่ง วินี่ ๒ ธาตุ แบ่งเป็น ๒ ข้าง ๒ ฝัก ๒ ฝ่าย วิสังขารจึงมีความหมาย ๒ อย่าง อยู่อย่างนั้นจริงๆ อะไรล่ะจะต้องทรงไว้ยิ่ง อย่างยิ่งนะ เป็นกุศล ยังกุศลให้ถึงพร้อม อันใดที่จะต้องดับสนิท ให้จริงๆ ต้องไม่อย่างเด็ดขาด วิภวตัณหานี่

เพราะฉะนั้นวิภวตัณหาจริงๆนี่มันไม่ใช่ตื้นเขินเลย แต่เขาเรียนกันไม่ถึง เมื่อเรียนไม่ถึง มันก็เป็นพระอรหันต์กันไม่ได้ รู้สุดยอดกันไม่รู้ ความหมายยังไม่รู้เลย แล้วจะไปทำถูกได้อย่างไร เข้าใจตื้นๆพื้นฐาน มีแต่ความหมาย ก ขี้ไก่ แม้แต่ถีนังมิทธังก็ ก ขี้ไก่ ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็แบบ ก ขี้ไก่ เราก็รู้ วิภวตัณหาเป็นการปฏิเสธกลับ อยาก ได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ก็รบกันเท่านั้นเอง เพราะความหมายตื้น เราไม่ใช่ไม่รู้ เราก็ทำด้วย แล้วความหมาย ลึกขึ้นไปอีกนี่ มันก็ไม่มีทิศทางที่ จะได้เรียนชั้นสูง ทำไมเราไม่รู้แม้แต่ความหมาย เราไม่สัมมาทิฐิ ไม่เกิดความรู้ความเห็น เราจะมาปฏิบัติอะไรได้ ขนาดรู้ขนาดเห็นแล้วนี่ ยังปฏิบัติกัน ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าอาตมาก็ยังจะได้ช่วยกันอยู่ ก็พยายามไปใส่ใจ ฝึกฝน อย่าช้า ไม่แน่นะนี่ ผมขาวมามากแล้ว โรคภัยไข้เจ็บมันส่อเทวทูตมามากแล้วนะ ตายวันตายพรุ่งไม่รู้ได้นะ อาตมาตั้งใจจริงว่า ยังไม่อยากตาย แต่มันไม่รู้ได้ว่าวิบากมันจะเท่าไร ไม่แน่ เสถียร โพธินันทะ เขาก็ว่าเป็น พระโพธิสัตว์ อายุยังไม่ถึง ๔๐ เลย ๓๙ ตายแล้ว เอาไป ตายแล้ว อาบน้ำอาบท่าอย่างดี เข้านอน ไม่ตื่นเลย รุ่งเช้าขึ้นมา เอ้า! เสถียรตายเสียแล้ว อายุ ๓๙ อาตมาก็เป็น พระโพธิสัตว์ ก็ไม่ได้หยั่งดูว่า ตัวเองจะเท่านั้นเท่านี้อะไรหรอก แต่ก็เคยพอรู้ เจตนาก็ไม่แน่หรอก อาจจะกิน บุญเก่า แล้วก็สั้น กว่าเก่าก็ได้ เอากุศลมาแลก แล้วก็อายุสั้นลงไปก็ได้ ไอ้พวกนี้เป็นอจินไตย อาตมาพูดไปแล้ว เดี๋ยวก็จะเข้าใจกันยาก

เพราะฉะนั้นก็พยายามอยู่ ใช้อิทธิบาทอยู่ มันไม่แน่ไม่นอนหรอก นี่เทวทูตมัน ตอนนี้ก็เห็นตัวเอง แหม! นี่โกโรโกโรคเต็มที เป็นพระแก่ ผมดำๆด่างๆ บางๆหนาๆ หัวมันกระหย่อมกระแหย่มนี่ โอ! เห็นตัวเองนี่ ไม่ได้เป็นโล้เป็นพายเลย ผมเผ้ามันไม่ได้เป็น ระเบียบระบบเลย เหมือนหนูแทะนะ ดูๆแล้ว โอ๊! อย่างนี้เชียวนะนี่เรา โกโรโกโรคน่าดู ยิ่งข้างหลังมันไม่เห็นเลย เขาถ่ายมาให้ดู ข้างหลังยิ่งเห็น โอ้! ถ่ายรูปมาให้ดู ชัดเจน มันแย่แล้ว มันเสื่อม มันแก่ อาตมาก็มีชีวิตอยู่ก็ช่วย ช่วยคุณได้เท่าใดก็ช่วย อย่าประมาท อย่าช้า แต่ก็ไม่ใช่เร่งจนร้อน เร่งจนกลายเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ จนฟู ยั้งไม่หยุด กู่ไม่กลับ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องไปด้วยกัน มาด้วยกันเป็นปึกแผ่นน่ะ ดูหมู่ดูฝูง ดูอะไรต่ออะไร ให้รวมเป็นพรรคเป็นหมู่ มีอปริหานิยธรรมกัน พรั่งพร้อมกันตกลง พรั่งพร้อมกัน ประชุม พรั่งพร้อมกันตัดสิน พรั่งพร้อมกันทำไปเป็นหมวดเป็นหมู่ ตราบใดที่ยังมีอปริหานิยธรรม พวกนี้อยู่ ลิจฉวีตีไม่แตก กษัตริย์ลิจฉวี ไม่มีข้าศึกใดตีลิจฉวีแตก ที่จริงของลิจฉวี อชาตศัตรู จะมาตีไม่แตก ใครจะมาตีไม่แตก อริราชศัตรูใดๆ ก็จะมาตีไม่แตก ถ้าตราบใดกษัตริย์ลิจฉวี และพลเมืองของลิจฉวียังเป็นอยู่อย่างนี้นะ ตราบใดพลเมืองของอโศก พวกชาวอโศก ยังมีอปริหานิยธรรมอยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไรจะมาตีแตก จะมีแต่เจริญถ่ายเดียว

เอาละ สำหรับวันนี้พอ


ถอดโดย สุพรรณี เนตรสว่าง
ตรวจทาน ๑ โดย นางเจษฎา เพ็งชาตา ๖ ม.ค. ๓๓
พิมพ์และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๘ ก.พ. ๓๓
File 0466B.TAP