ตอบปัญหา (ตอน ๑)
งานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ
ครั้งที่ ๑๔
หน้า ๒
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๕ ก.พ. ๒๕๓๓ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก

(ต่อจากหน้า ๑ )


ถาม ขอให้อธิบายคำดั่งนี้ด้วย ๑.กามล้างกามได้ ๒.มานะบ้างมานะได้ วิธีปฏิบัติ อย่างไรคะ

ตอบ กามล้างกามได้ หรือมานะล้างมานะได้ พระพุทธเจ้าหรือพระอานนท์เคยพูดว่า ใช้ตัณหาล้าง ตัณหานี่ก็ตาม ก็คือว่าเราจะต้องรู้ว่า อันนี้คือกาม กามมันก็แปลว่า ความใคร่อยาก เราจะล้างกาม ก็คือ เรารู้ว่ากามนี่มันมีหลายอย่าง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ใคร่อยากจะได้ลาภ ยศ อะไรก็เป็นกาม เป็นความใคร่ เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องพยายาม เราอยากจะเลิก มันก็เป็นกาม ธัมมกาโมนี่ ใคร่ในธรรม ไม่ใช่ความเลวร้าย เราใคร่ในธรรม เราใคร่ในคุณค่า เราก็เอาสิ่งที่ใคร่ นี่แหละ ล้างสิ่ง ที่เราไปใคร่ ที่มันเป็นฐานต่ำ มานะเราเคยได้ยินแล้วนะ มานะ ภาษาไทย แปลว่า ความอุตสาหะ บากบั่น เราก็ต้องพยายามที่จะต้องพากเพียร อุตสาหะ บากบั่น เพื่อล้างสิ่งที่ตัวเองไปติด ยึดความดี เราอยากได้ความดี มันได้ดี เสร็จแล้วเราก็จะต้องรู้ว่า เราก็จะต้องลดล้างสิ่งที่เราได้ดี แล้วก็ไปหลงดี ภาษามันก็ซ้อนอยู่น่ะ

เพราะฉะนั้น จะต้องบากบั่น เพื่อที่จะไปล้างดี แล้วอย่าไปติดดีอีก มานะล้างมานะ ที่จริงที่ถามมานี่ มานะล้างมานะ อาตมาไม่เคยได้ยินหรอกนะ เพิ่งเคยได้ยินนี่ ไอ้กามล้างกาม หรือตัณหาล้างตัณหา นี่เคยได้ยิน แต่มานะล้างมานะนี่ เพิ่งเคยได้ยินตอนนี้ แต่ก็พยายามอธิบาย ให้คุณฟัง คือจริงๆแล้ว คือใช้ความใคร่อยากนี่ตัวตัณหา หรือตัว ปรารถนานี่ ตัณหาก็คือ ตัวใคร่อยาก หรือตัวต้องการ ต้องการที่จะชนะ ต้องการที่จะทำให้มันได้ดังประสงค์ คนเขามาถามเราว่า เราอยากได้นิพพานนี่ ไม่เป็นกิเลสหรือ ไม่เป็นตัณหาหรือ ใช่ แต่เป็นตัณหา ไปล้างตัณหา เป็นกิเลสไปล้างกิเลส เพราะเราอยากได้นิพพาน เราอยากได้ จะอยากได้อะไรก็แล้วแต่ อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่เก่า เสร็จแล้วเราอยากได้นิพพานนี่ คืออยากได้การที่ ไอ้ที่เป็นอยู่อย่างเก่านั่น ให้มันลบล้างไป มันก็เป็นความอยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ใครจะมา ต่อว่าเรา บอกว่า แหม! อยากได้นิพพาน มันจะไปหมดอะไรล่ะ ก็มันอยากได้นิพพาน มันก็คือความอยาก มันจะไปหมดอะไร

หมดสิ เพราะว่าเราอยากได้ สิ่งที่มีวิธีการไปล้าง ความอยากนั้น เมื่อมันได้แล้ว อาตมาพูดตอนต้น เมื่อกี้ว่า ผู้ที่ได้นิพพานแล้ว ก็ไม่อยากได้นิพพาน เพราะผู้ที่ได้จริงๆแล้ว ได้สิ่งที่เขาไปอยาก แล้วเขาก็ล้าง ความอยากได้หมดมาให้แก่ตัวเอง ตัวเองก็ไม่ต้องอยากได้อะไรให้แก่ตัวเอง แต่ความปรารถนาดี อยาก ต้องการ ต้องการให้คนอื่นได้ อย่างที่เราได้ดีบ้างนี่ ไม่เรียกตัณหา, เรียกตัณหาเหมือนกัน แต่มันเป็นวิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาที่ไม่ใช่ตัวกู ของกู ไม่ใช่เพื่อตัวกู เพื่อเขาน่ะ เราทำเพื่อเขา โดยเราไม่ต้องการดีการเด่น ไม่ต้องการการชมเชย ไม่ต้องการสรรเสริญ ไม่ต้องการ อะไรที่คนอื่น เขาจะมาตอบแทนอะไรทั้งนั้นแหละ ซึ่งอธิบาย กันมามากแล้ว มันซ้อนเชิง เพราะฉะนั้น ความบริสุทธิ์ ที่บริสุทธิ์ที่สุด ต้องการช่วยผู้อื่นจริงๆ โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน ส่วนเขาจะ ตอบแทน มีกตัญญูกตเวที มีการเกื้อกูล เอื้อเฟื้อไว้นั้น ก็เป็นพฤติกรรมที่ดีของเขา พอเหมาะพอควร เมื่อผู้ใดจริงๆแล้วว่า ไม่ต้องการอะไรบำเรอตน ก็จะรับสิ่งที่ควรรับ เป็นปฏิคาหก เป็นผู้รับสิ่งที่ควรรับ บ้างเท่านั้นเอง

แม้ที่สุดเขาไว้ใจให้เงินให้ทอง ให้ทรัพย์ ศฤงคารมา เราก็ไม่ได้อยากได้จริงๆ ถ้าเราจะเอามา เราก็เอามาสร้างสรร มาทำงาน มาเผื่อแผ่ต่อ เขาไว้ใจเรา เขาเข้าใจเรา เราก็รับ แล้วก็เอามาสร้างสรร สิ่งที่เป็น ประโยชน์คุณค่า ความบริสุทธิ์จริง มันจะเป็นจริงซ้อนเชิงอยู่อย่างนี้ สุดท้ายเพื่อผู้อื่น จะต้องมีความอยากให้ผู้อื่นได้ดี เรียกว่าปรารถนาดี ยิ่งจะมีความปรารถนาดีสูงขึ้น สำหรับผู้ที่หมด ความเห็นแก่ตัว แต่ไม่ต้องการอะไร ตอบแทนจริงๆ แม้แต่เขาจะด่า เขาจะชมเชย ยกย่อง ก็ไม่ได้ต้องการ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่จะต้องการตอบแทนนั่น ไม่มี แล้วก็ไม่ใช่ จะเป็นโลกียสุขอะไร ได้ทำอย่างนี้แล้วมันหัวใจ มันที่ไหนล่ะ มันเมื่อย ทำมันก็เมื่อย แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ มันเมื่อยก็เข้าใจ เราก็ปล่อยวางความเมื่อย ความขี้เกียจอะไร จนกระทั่งไม่ขี้เกียจ แล้วก็มีความขยัน หมั่นเพียร สร้างสรรไป รู้ความจริงว่า เรามีชีวิตก็เพื่อที่จะสร้างสรร มันเหมือน เครื่องกลน่ะ ถึงเวลาทำงาน ก็ทำงาน ถึงเวลาพักควรพัก ถึงเวลาเพียรก็ต้องเพียร

อาตมาถึงซาบซึ้งในคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า ผู้ไม่พักไม่เพียร คือผู้ถึงนิพพาน หรือผู้ข้ามโอฆสงสาร ได้แล้ว พูดถึงนิพพานแล้ว ท่านก็ตรัสแค่ว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร เทวดามาถามปัญหา พระพุทธเจ้า อันนี้ เราไม่พัก เราไม่เพียร นี่ล่ะคือเราถึงนิพพาน หรือ เราข้ามโอฆสงสารได้แล้ว อาตมาแน่ใจว่า แหม! คนจะฟังอันนี้เข้าใจเป็นที่สุดนี่นะ จะต้อง เป็นผู้ที่ถึงจริงๆ อาตมาไม่ดูถูกคนหรอกนะ แต่ว่ามันพูดไปแล้วมันถูก คือเขายังไม่รู้จริงๆ คนเขาไม่เอาออกมาใช้ อันนี้อาตมาซาบซึ้งจริงๆ แล้วอาตมาเอาอันนี้มาใช้กับพวกเรานี่ อาตมาเชื่อว่า หลายคนเข้าใจยังไม่ละเอียดมากนัก แต่ก็เข้าใจได้บ้างขึ้นมาแล้วก็ได้ พากเพียรอยู่ เป็นคนที่ไม่พักไม่เพียร หรือเป็นคนที่เพียรนำหน้า อะไรควรพักก็ค่อยพัก พวกเรานี่ ทำอย่างนี้อยู่จริงๆขณะนี้ ตามที่อาตมาเอามาให้พวกเราได้ฝึกปรือ แล้วคุณจะซาบซึ้งว่า อ๋อ! สุดท้าย คนเรามันอย่างนี้เองแหละหรือ มันต้องเพียรอยู่จนตาย อย่างนี้ล่ะหรือ แม้กระทั่ง จวนจะตายแล้ว ก็ต้องเพียรอีก อย่างพระพุทธเจ้านั่น ยกตัวอย่าง หลายทีแล้ว ขนาดจะตายอยู่รอมร่อแล้ว ยังต้องเพียรอีกนะ เอ๊อ! น่าเห็นใจจริงๆ แล้วมันก็จริงๆ ด้วย พระพุทธเจ้าท่านจะไม่รังเกียจ ท่านจะไม่ขี้เกียจ เออ! ก็ต้องเพียรน่ะ คนเรา มันเกิดมา มันต้องเพียร มันมีโอกาส มีเวลาที่จะต้องทำได้ ก็ต้องทำมันน่ะ สุดท้ายมันก็จะตาย เป็นการพัก ถ้าปรินิพพาน ก็พักไปนิรันดร์ เป็นการพักครั้งสุดท้าย ก่อนจะพักไปนิรันดร์ ท่านก็ทำจนกระทั่ง โอกาสสุดท้ายนี่ มันเป็นตัวอย่างที่ อื้อหือ! อาตมาล่ะซาบซึ้งจริงๆ คนเรามันต้องเพียรเท่านั้นแหละ จำไว้นะ ยิ้มรับอย่างแหยๆ ยังไม่เต็มที่นัก ยิ้มรับ พอบอกว่าคนเราต้องเพียรนะ ยิ้มอย่างนี้หน่อย ไม่ได้หรือ คนเราต้องเพียรนะ ยิ้มรับแหยๆ หลบๆ ไม่ค่อยเต็มที่นัก เพราะว่ามันรู้ว่า มันก็เพียรอยู่หรอก แต่ว่ามันเพียรน้อย มันขี้เกียจมากหน่อย มันเป็นสันดาน มันเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันจริงๆ คนเราใช่ไหม คนเราเป็นคนเพียรที่อย่างเต็มใจ แล้วก็ฝึกฝนได้ดีๆ มันจะไปจนตรงไหนนะ ขนาดไอ้โจร มันเพียร ไปเที่ยวได้ปล้น มันยังรวยเลย แต่มันก็อาจจะเจอตำรวจจับสักวันหนึ่ง ปล้นบ่อยๆ ก็จับ โดนไวๆ เหมือนกันล่ะนะ เพราะฉะนั้น คนเราไม่ได้เป็นโจร เราเป็นสุจริตชน เราเป็นคนขยันหมั่นเพียร ทำสิ่งที่ควรกระทำ สัมมาอาชีพ สัมมากัมมันโต สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ อะไรอยู่นี่ โอ๊! มันไม่มีทางจนหรอก ไม่มีทางจน แล้วไม่มีทางขาดทุนด้วย เพราะเราสร้าง เมื่อเราสร้าง เราก็มีผลผลิต เมื่อเราทำงาน มันก็ต้องมีผลผลิต คุณค่า เราแบ่งกินแบ่งใช้ แล้วเราก็มาหัดกินน้อย ใช้น้อย ให้มันลงตัว ให้มันไม่ต้องไปผลาญไปเปลืองอะไรด้วย มันจะไม่เหลือยังไง แหม! คุณฟังสูตรนี้ ให้ชัดๆเถอะ รับรองไม่ล่มจมหรอก ชาติไหน ประเทศไหน มนุษย์ที่ไหนๆก็แล้วแต่ ไม่มีล่มจม ขอให้ปฏิบัติได้ลงตัวไอ้จุดนี้ เถอะ ท้าทายจริงๆ อาตมาท้าทายให้มาพิสูจน์เลยจริงๆ ไม่ต้องกลัวหรอกว่า จะล่มจม ต่อให้มันอยู่โน่นแน่ะ กลางทะเลทราย มันก็จะปั้นทรายเป็นน้ำได้ ไม่ต้องกลัวจริงๆ

ถาม อโศกมีความผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างไร ขอให้พ่อท่านเจาะลึกรายละเอียดสักคืน (คืนวันมาฆฯก็ได้)

ตอบ แน่ะ มาล้วงตับเรา อโศกมีความผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างไร ขอให้พ่อท่าน เจาะลึก ละเอียด สักคืนหนึ่ง สักคืน โอ้โห! เอาทั้งคืนเลยหรือ คืนวันมาฆฯก็ได้ ก็เป็นคำถาม หรือเป็นสิ่งที่ ต้องการรู้ ให้แน่นแฟ้นนะ อาตมาว่าผู้ถามนี่ คงอยากจะรู้แน่นแฟ้น มีความผูกพันกับ พระพุทธศาสนาอย่างไร ถ้ามีอะไรหยาบๆ พอจะบอกเป็นเนื้อเป็นตัวให้ฟัง ก็อยากจะฟัง อะไรอย่างนี้ คงอย่างนั้นล่ะนะ

อาตมาไม่อยากจะให้พวกเรานี่นะระเริง แล้วไม่อยากจะเอาว่า เอาอันนั้น อันนี้มาพูด เพื่อที่จะยกอ้าง ขึ้นมาด้วย มนุษย์มนาก็ไม่รู้เรื่องด้วย คุณก็ไม่รู้ ใครก็ไม่รู้ แล้วก็กลายเป็นเรื่อง นิยมนิยายนิทานอะไร แต่ดูแล้วเขื่องๆ ดูแล้วก็ อื้อหือ! เข้าท่านะ นี่แบบนี้ หลอกกินดิบก็ได้อะไรนี่ มันใช้กันมานานแล้ว คนใช้ไอ้สภาพพวกนี้ หลอกกันมานานแล้ว อาตมาไม่ค่อยอยากทำ

อาตมาอยากจะทำสิ่งจริงที่ทำลงไปแล้ว คุณก็รู้ด้วยน่ะ ปัจจุบันธรรมนี่ยิ่งดี พูดกันรู้เรื่อง พิสูจน์เหตุ พิสูจน์ผล พิสูจน์สัจจะว่ามันจริงอย่างนี้ มันดีอย่างนี้ๆๆๆ แล้วใครจะเอามาย้อนแย้งอาตมาไม่ได้ อาตมาจะพิสูจน์ความจริงอย่างนี้ ไอ้สิ่งที่มันไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวนั่น มันเหมือนบ้า แล้วมันก็หลอก เป็นเชิงหลอก อาตมาไม่ต้องการ ใครๆเอามาทำ อย่าไปหลงเชื่อนะ ขนาดอาตมายังไม่ใช้น่ะ ขนาดอาตมายังไม่ใช้ แล้วคนอื่นเอามาใช้ แล้วคุณก็ไปหลง ถ้าอาตมาพาทำวิธีนี้แล้วนะ พวกที่จะมาทำตาม อาศัยหลอกกินนี่ มันจะมีขึ้นมาก ขนาดที่อาตมาไม่ทำ ยังมีหลอกกินเลยน่ะ มาหลอกว่า ระลึกชาติได้นะ แมวขโมย โอ้โห! อาตมาจะเจ็บอก จะตกตาลตาย เธอนี่ แต่ก่อน ปางก่อน ชาติแต่ก่อนก็เกิดมาเป็นผัวเมียกันน่ะ ชาตินี้เราจะไปไหนเสียเล่าน่ะ แต่ปางก่อนนั่นเป็นผัว เมียกันมาตั้งหลายชาตินะ หลอกกินอย่างนี้ แล้วก็เชื่ออะไรๆไป แล้วก็ แหม! พังยับเยินกันมา อาตมาเอง เจอไอ้แบบนี้ ไอ้เรื่องอย่างนี้ อาตมากลับมาสอนว่า ถึงแม้คุณจะเป็น คู่กรรมคู่วิบากกัน จริงๆเลยนะ มาขนาดไหน ก็ต้องมาพรากทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องมานั่งทวงเอา แล้วก็มานั่งตีกินกลับไป คิดให้ทันนะ คนโง่ถูกหลอกเอาทั้งนั้นแหละ ไม่รู้ผู้หญิงจะไปหลอกผู้ชายบ้างหรือเปล่า เธอน่ะ เป็นคู่ฉันมาแต่เดิมแล้วนะ ควรจะมาอยู่กับฉัน ไม่รู้มีหรือเปล่า แต่ผู้ชายไปหลอกผู้หญิงน่ะมี แหม! จะพังมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ หลอกทำเป็นระลึกชาติได้ ทำเป็นแต่เก่าแต่ก่อน อย่างโน้นอย่างนี้ คนที่เจตนาทำอย่างนี้น่ะ เป็นคนเจตนาไม่ซื่อแล้ว แล้วก็ไม่เข้าใจสัจธรรม ยิ่งมาเป็นนักปฏิบัติอยู่ในนี้ ยิ่งอย่างนั้น ยิ่งต้องเลิกมากๆ ก็มันเป็นคู่ตุนาหงันมา ก็ต้องรีบพรากให้มากๆ แยกให้มากๆ มันถึงจะถูกต้อง

เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาหลอกอย่างนั้นแล้ว รู้ไว้เลยว่า คนนี้นี่กิเลสเข้า กิเลสเข้าแหงๆ ไม่ได้มาตั้งใจ ปฏิบัติธรรม ฟังให้ดีนะ กิเลสเข้าแหงๆเลย ใช่ไหม ก็มาปฏิบัติธรรมเพื่อจะเลิก ขอให้ยิ่งเป็นคู่ชัดๆ จริงๆด้วยนะ เป็นคู่ชัดๆ ยิ่งต้องมาละเลิกให้มากๆ เพราะมันผูกพันมาก จึงจะเจตนาตรง ถ้ายิ่งบอกว่า ไม่ได้หรอก จะต้องชาตินี้ ก็ต้องไปก่อนน่ะ ก็กิเลสน่ะซี มันจะขึ้นแล้วน่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คุณไปแต่งงานกับคนใหม่ มันจะได้ไม่ผูกพันมาก ก็ยังดีกว่า ยังเบากว่า มันยังล้างง่ายกว่า ไอ้คู่เก่ายิ่งไปย้ำเติมๆๆๆเข้าไปอีก ฉิบหายซี คุณพี่ ฉิบหายอีกกี่ชาติล่ะ คิดให้ดีนะ คิดให้ถูกนะ ไม่สมควร ไม่สมควร ยิ่งเป็นคู่ยิ่งต้องพรากให้จัด ต้องเข้าใจให้ถูกทางเป็นสัมมาทิฐิ อย่าไปถูกหลอก เพราะฉะนั้น ใครจะเอานิยายนิยมพวกนี้มาหลอกนะ เชิงอะไรต่ออะไรต่างๆนานา พวกนี้นะ อย่าไปเสียท่า

อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง ถูกพวกเราล้วงกินตับ แหม! อาตมาจะพังมาหลายทีแล้ว อาตมาก็ไว้ใจ นึกว่าตัวเองเก่ง ที่สอนเขาถูกแล้ว ที่ไหนได้ พวกผีมารพวกนี้ มาแอบ ไม่รู้จะทำยังไง มันก็มีบ้าง อาตมาก็จำนนน่ะ พยายามตั้งใจดีๆ อย่าให้อาตมาต้องมาทำอะไรที่มัน แหม! เอาบุพเพนิวาสานุสติญาณมาเล่ามาบอก นี่ยกตัวอย่างบางเรื่อง บางเรื่องก็เหมือนกัน อย่างโน้น อย่างนี้ ถ้าอาตมาจะเก่ง เก่งเดี๋ยวนี้สิ ทำไมจะต้องไปอ้างไปเล่า ที่คุณไม่รู้ว่าเก่งจริงหรือไม่ ไม่รู้ มีดีๆ มีโน่นมีนี่ ตั้งแต่ปางไหนๆยังไงๆ คุณก็ไม่รู้ เอามาอ้างคล้ายๆมาประโลมคุณไว้ คนตั้งใจจะ ประโลมคุณ ต่างหาก เขาถึงเอาสิ่งที่คุณตามรู้ไม่ได้นั้นมาอ้าง เพื่อสร้างอลังการของตัวเอง เพื่อสร้าง คุณค่าของตัวเอง ให้คุณหลงเชื่อศรัทธาเลื่อมใส ถ้าอาตมาไม่เล่าให้คุณฟัง อาตมายิ่งเก่ง ต่างหากล่ะ ถ้าอาตมาเล่าให้คุณฟัง เพราะอาตมาไม่เก่ง ต้องไปเอาไอ้โน้นมา มาเป็นเครื่องประกอบ ให้คุณศรัทธาเลื่อมใสเชื่อ ยอมจำนน แล้วคุณก็ไม่รู้จริงด้วย อาตมาพูด คุณจะรู้ด้วยกับอาตมา ได้ยังไง ใช่ไหม ไม่เข้าท่า ฟังให้ดีๆนะนี่ อาตมาใช้เหตุผลมาพูดให้คุณฟัง

เพราะฉะนั้นคนเราคิดกลับ ไอ้นี่เก่งจริงต้องระลึกชาติมาให้ข้าฟังสิ แล้วระลึกจริงหรือเปล่า พวกคุณก็ไม่รู้ อย่างที่ว่า ถึงเวลาตื่นแล้วหรือ (ผู้ฟังหัวเราะ) ทำไมตื่นสายนัก ตี ๕ ครึ่ง ฟังให้ดีนะ เพราะฉะนั้น อย่าไประลึกอย่างนั้นมากมาย ไม่ดีนักหรอก เอาละ อาตมา ฟังไว้ จะระลึกอะไร ให้ฟังเหมือนกันนะ ว่าความผูกพันกับพระพุทธศาสนา เป็นอย่างไร จะเจาะลึก แต่ว่าจะไม่เป็น อย่างที่คุณหมายนะ บอกไว้ก่อน อย่าอกหัก ดี

อาตมาตั้งใจอยู่เหมือนกันว่าจะเจาะลึกความสัมพันธ์ผูกพันถึงศาสนา โน่นนี่อะไร จะอธิบายอะไร ในนัยเหตุผล และสิ่งที่ควรจะเป็น ที่เราควรจะกระทำนี่ให้มากๆ เอาละ ไว้พบกัน วันมาฆบูชา

ถาม ตั้งแต่พ่อท่านเริ่มปฏิบัติธรรมจนออกบวชนั้น ใช้เวลากี่ปี
ตอบ จริงๆแล้วนี่นะ อาตมาปฏิบัติธรรมนี่นะ จะบอกให้ว่าการปฏิบัติธรรมนี่ พระพุทธเจ้าปฏิบัติธรรม ๖ ปี ว่างั้นนะ ที่จริงท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมหรอก ๖ ปี ท่านไปทำสิ่งที่พระมหาโพธิสัตว์ ที่จะต้อง ไปเก็บสุดท้าย แล้วมันเป็นเรื่องมิจฉาทิฐิทั้งนั้นแหละ ๖ ปี พระพุทธเจ้าที่ทำไปนั่นน่ะ ใครไปปฏิบัติ ตามพระพุทธเจ้านะ ลงทะเลยะเยือกเย็นหมดเลย ไม่ได้เข้าท่า แต่พระพุทธเจ้ามาเริ่มต้นสอนนี่ ฟังดีๆนะ ใครศึกษาประวัติพระพุทธเจ้ามาแล้ว ใน ๖ ปีนั่น ท่านไปทรมานตน ไปกินขี้ กินเยี่ยว ไปศึกษากับฤาษีอาฬารดาบส อุทกดาบส มันออกนอกทางหมดเลย มิจฉาทิฐิทั้งนั้น แต่ท่านเองเป็น พระมหาโพธิสัตว์ ท่านไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น ไปลองของตัวเอง ว่าตัวเองจะหลงผิดไหม ตัวเองจะเพริดไปกับ เรื่องงมงายเหล่านั้นไหม หรือว่าจะรู้ตัวทัน ไม่มีใครบอกท่านหรอก ท่านจะรู้ตัวท่านเอง และ เป็นเรื่องที่ไม่ถูก

เพราะฉะนั้น ถ้าใครเข้าใจผิดว่า โอ๋! พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติธรรม ๖ ปี นั่นน่ะ แล้วก็ไปปฏิบัติ ตามที่ท่านปฏิบัติ ๖ ปีนั่นนะ เสร็จ ส่วนที่ท่านมาสอนมนุษย์นั่นน่ะ ของที่ท่านได้มาเก่าแล้ว มรรคองค์ ๘ ท่านตรัสรู้ ไม่มีใครบอกท่านหรอก และอาฬารดาบส ก็ไม่ได้บอก ไปนั่งอดข้าวอดน้ำ จนแห้ง ก็ไม่ได้มีบอก เกินด้วย ห้ามทำด้วย ใช่ไหม ไปอะไรอีกล่ะ ไปกินขี้กินเยี่ยว ไปทรมานตน เขย่งเก็งกอย อะไรต่างๆนานา มหาศาล เยอะแยะน่ะ ก็เป็นเรื่องนอกรีตหมดเลย ไม่ได้เอามาสอน ในพุทธนะ บอกว่า เรื่องเหล่านี้ โยนทิ้งได้เลย ไม่ต้องไปปฏิบัติ ท่านเอามรรคองค์ ๘ มาสอน ซึ่งท่าน ไม่ได้ไปเรียนกับ อาจารย์ไหน ไม่ได้มาปฏิบัติอยู่ในตอนที่ท่านออกบวช ๖ ปี ไม่มี

อาตมาก็คล้ายๆกัน อาตมาออกไปเล่นทางไสยศาสตร์ ทางไหนๆ อย่าไปตามอาตมาน่ะ ไปเล่นทาง วิทยาศาสตร์ เรื่องจิต เรื่องอะไรนั่น มันเป็นเรื่องของอาตมา ฐานะอาตมา เล่นอยู่นานปี เหมือนกัน พระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ๖ ปีของท่าน เพื่อบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ อาตมาไม่ได้บรรลุ สัมมาสัมโพธิญาณหรอก อาตมาไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ ๘ ปีน่ะ จะว่าพุทธหรือไม่ มันก็ไม่ใช่พุทธ แต่มันก็เป็นแนวทาง ที่จะเข้ามาหาเรื่องจิต มันมีอะไรอันหนึ่งที่ดึงอาตมาไว้ คือจิต อาตมาจะต้องตามจิต จิตมันเหมือนกับ สิ่งที่อาตมาจะต้องได้ อาตมาได้แล้วหรือไม่ได้ มันก็ต้องมีอยู่ อันนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านมีแล้ว ทฤษฎีมรรคองค์ ๘ ท่านก็เคยมาแล้ว

อย่างที่ อาตมาเคยอธิบายว่า เอ๊อ! ไม่มีปัญหาหรอก ท่านมีอะไรของท่านในๆ ท่านจะมาตรัสรู้ เอาไม่เร็ว ไม่นานนี้ แล้วท่านจะไปได้อะไรมามากๆมายๆ มาสอนคน ไม่พอหรอก ท่านสั่งสมมา นานับชาติ นั่นคือคุณธรรม คือบารมี คืออะไรมากมายหลากหลายแล้ว ที่จะมาสอนคน ๔๕ พรรษา ไม่ใช่ศึกษาเอา ๖ ปี ไม่ ไม่ใช่ แล้ว ๖ ปีนั้นก็ไม่ได้เอามาสอนด้วย อย่างที่บอกแล้ว ใช่ไหม ตามประวัติศาสตร์ ใครก็เรียนประวัติของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้เอาอันนั้นมาสอน ห้ามด้วย ห้ามไม่ให้พวกเรา อย่าไปยุ่งเกี่ยว นอกรีตนอกเรื่อง อย่างที่ท่านสอนนั่น ท่านไม่ได้เรียน ๖ ปีนั้นเลย แต่ท่านมาสอนตั้ง ๔๕ พรรษา สอนกันจนไม่หมด เรียนกันหูหักหูพัง เป็นของเก่า นี่คนไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็หาว่า อาตมานี่มาพูดนอกรีตนอกเรื่องนอกทาง แล้วเขาก็จะเรียนอะไร เอาละ อาตมาเอง ไม่มีปัญญาพอที่จะไปสาธยาย ลบล้างเขา แต่คุณฟังไปเรื่อยๆ คุณจะเข้าใจ

อาตมาเอง อาตมาปฏิบัติธรรมนั้น จะบอกว่าอาตมาไปไสยศาสตร์ มันก็เป็นทางที่อาตมาต้องเดิน คุณไม่ต้องมาเอาอย่างหรอก อาตมาไปศึกษาอันโน้นอันนี้ อะไรนอกๆ เรื่อง มันก็ไม่เข้าท่า แต่ว่า อาตมาก็ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ต้องปฏิบัติ ท่านก็เข้าทางของท่านปั๊บ บรรลุ เพราะท่านมีหมดพร้อมแล้ว ท่านมาเก็บตัวสุดท้ายนิดๆหน่อยๆ อาตมาก็มาปฏิบัติบ้าง ก็ต้องมาปฏิบัติ ซึ่งอาตมาบอกว่า อาตมาปฏิบัติเอง ก็ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ตามแนวละชั่ว ประพฤติดี ที่อาตมามีภูมิปัญญาของอาตมา อาตมาก็ทำๆๆเอง ทำแล้วก็ได้ก็รู้ มันก็เป็นหลักมรรคองค์ ๘ นั่นแหละ ถ้าเริ่มต้นมาปฏิบัติ มรรคองค์ ๘ จริงๆ อาตมาก็เคยเล่า ให้พวกเราฟังว่า ก็ในราว ๒ ปี ถ้าจะบอกว่า เยื่อตำตามา ที่ไปเล่นเรื่องจิตเรื่องอะไรมา มันก็ลดก็ละ อะไรมาเหมือนกันนะ ตอนที่เล่นไสยศาสตร์ เล่นอะไรก็ลดก็ละบ้างเหมือนกัน แต่มาตั้งใจจริงๆ นี่บอกว่า หยุดละเรื่องพวกนี้ จะปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ไปหาหนังสืออะไรๆมาอ่าน มาสังวร ระวังนี่ก็ในราว ๒ ปีน่ะ ก็เท่านั้นเอง แล้วมันก็ได้ เล่นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิต โดยมีจิต คำว่าจิตนี่จะต้อง จิตบริสุทธิ์ หรือจิตจริงๆเป็นอย่างไร เป็นแกน ตัวนั้นล่ะเป็นของ.. ซึ่งอาตมาก็มีของ ตัวเอง ไม่ต้องไปยากอะไร เพราะว่ามันมีบารมีอยู่แล้ว มันก็ไม่ยาก พวกคุณไม่มีบารมี พวกคุณต้อง สั่งสม มันยากก็ต้องทำ ยากยังไงคุณก็ต้องทำให้ได้ ได้แล้วมันถึงจะเป็นของเรา

ถาม ที่เคยเล่าว่า ตัดเพลงได้หลังสุดนั้น พ่อท่านมีการต่อสู้อย่างไร มีอาการจิตอย่างไร พิจารณาอย่างไร จึงหลุดพ้นออกมาได้
ตอบ ก็พิจารณาเหมือนทุกๆอย่างนั่นแหละ ก็เห็นจริงให้ได้ว่า สิ่งอย่างนี้มันก็เป็นสังขาร จะไปยินดี ในเพลง ยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไรก็ตามแต่ มันก็เป็นเรื่องของสังขารธรรมทั้งนั้น ซึ่งเราจะต้องพิจารณาวางปล่อยจริงๆ วางด้วยการหยุดดื้อๆ สมถภาวนา กับวางด้วยการเห็นด้วยเหตุ ด้วยผลจริงๆเลยว่า โอ๊! สิ่งนี้เราหลง มีอาการติดของเราเป็นอาการลิงคะ นิมิต อย่างไร ให้มันน้อยลง อาการนั้นต้องน้อยลง อาการติด อาการยึด อาการยังดูดดึง อาการยังหลงใหลได้ปลื้ม มีอร่อย มีอัสสาทะ อะไรก็แล้วแต่ เห็นจริงๆ แล้วมันลดน้อยจริง ปฏิบัติด้วยเหตุผล ด้วยสารพัดเหตุผลเลย คุณต้องหาให้มันมากมาย หาเหตุผลให้มันจริงๆเลย อ๋อ! มันไปติดอยู่ มันก็โง่อยู่อย่างนั้นแหละ มันเหลืออยู่ อย่างนั้นแหละ ถ้าเราไม่ติด ไม่มีอาการนั้น ทำให้เกิดที่เราไม่เกิดอาการนั้นให้ได้

สรุปง่ายๆ ทั้งวิธีที่มันจะหยุดเฉยๆ ทั้งวิธีเหตุผล วิธีที่จะต้องรู้แจ้งเห็นจริงเลย จนจำนนต่อ เหตุผล ตัวเองน่ะ จนเห็นจริงเลยว่า มันมีฤทธิ์มีแรง ด้วยอำนาจของเหตุผล มีฤทธิ์มีแรง เห็นความเป็นกิเลส ตัณหาที่เหลือน้อยก็ตาม มันลงไปเลย มันหายไปเลย มันยอมไปเลย มันอ่อนไปเลย มันจางไปเลย คุณต้องรู้ว่า ความจางคลาย วิราคานุปัสสี ความจางคลาย มันเป็นอาการอย่างไร คุณต้องเห็น ด้วยญาณของคุณว่า เออ! ของคุณจางออกไปแล้ว เออ! บางทีมันวูบหายไป เออ! ทันที เห็น คุณต้องเห็นเองนะ มันไม่มีตัวตน แต่มันก็มี อาการนิมิต เครื่องหมายให้เรารู้ได้ อาการของมัน คุณจะต้องมีญาณจับสภาพพวกนี้ จับสภาวะพวกนี้ออก ถ้าคุณจับไม่ได้ จับสภาวะพวกนี้ไม่ออก คุณก็ไม่มีดวงตา คุณก็ไม่มีญาณ ไม่มีตาทิพย์ คุณมีตาทิพย์พวกนี้ คือ เจโตปริยญาณ คุณต้องรู้ว่า นี่ราคมูล โทสมูล โมหมูล เจโตปริยญาณ ๑๖ น่ะ ไล่ไปอีกประเดี๋ยวก็ ๖ โมง ขยายอีก ก็พอดี ๖ โมงทันที เพราะฉะนั้นก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกันว่า คุณต้องรู้จริงเห็นแจ้งอย่างนั้น ปฏิบัติจริงๆ อาตมาก็ปฏิบัติ อันไหนที่มันเหลือก็ทำ อันไหนที่มันอยู่ ก็ทำต่อ ก็ถึงจะเห็นจะเข้าใจ แล้วมันก็หมดไปเองน่ะ

ถาม พ่อท่านรักกันกับแฟนคนล่าสุดกี่ปี
ตอบ กี่ปีหรือ รักนี่หมายความว่า คืออาตมาเองนี่นะ แหม! จะบอกว่ายังไง แฟน คนล่าสุดนี่คือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อาตมารู้จักกับเขามา ตั้งแต่เขายังเรียนหนังสืออยู่ แต่ตอนนั้นก็สัมพันธ์กัน ก็คบหากันมา จนกระทั่งอาตมารู้สึกว่าอาตมาสนใจ แล้วก็ เอ๊! ผู้หญิงคนนี้ ตอนที่เขาจะเดินทาง ไปนอกนะ จะไปเรียน อาตมาก็ เอ๊ะ! อาตมาก็ทำก้อร่อก้อติกกับเขา อยู่แล้วล่ะนะ แล้วเขาก็ไป เรียนนอกตั้งหลายปี ก็กลับมา พอกลับมานี่ อาตมาก็สัมพันธ์ใหญ่เลย ก็ไม่รู้จะนับตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ แหม! มันตอบตายตัวยากนะ อาตมาก็ไม่ได้มานั่งเรียบเรียงไว้ ไม่ได้มานั่งไล่ จะรู้ไปทำไม กี่ปี ก็ช่างมันปะไร ก็เลิกได้แล้ว ก็สบายแล้ว (ผู้ฟังหัวเราะ) จะอยู่กี่ปี จะไปรักกันอยู่กี่ปี ก็ช่างมันเถอะนะ

ถาม และตั้งแต่รู้สึกว่าพยายามเลิก ใช้เวลาเท่าไหร่
ตอบ ก็มาปฏิบัติธรรมนี่ก็เป็นแฟนคนสุดท้าย อาตมาปฏิบัติธรรมกับแฟน ที่จริงอาตมา ใฝ่ธรรม ปฏิบัติอะไรอยู่นี่ ปฏิบัติเล่นไสยศาสตร์ เล่นอะไรอยู่นี่ ก็แฟนคนก่อนที่ก่อนคนสุดท้าย นี่ ก็ไปทำแล้วล่ะ เล่นไสยศาสตร์ เล่นอะไร เขาก็ว่าอาตมาไปปฏิบัติธรรมนะ ไปทำไสยศาสตร์ ไปทำโน่นทำนี่ เพราะมันต้องมีพระพุทธรูปบูชา จุดธูป จุดเทียน ทำอะไร เล่นไสยศาสตร์นี่ ก็แฝงอยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับพระพุทธรูปเหมือนกันนะ โอ๊! จุดธูป จุดเทียน เล่นนั่นเล่นนี่ มีพระพุทธรูปเต็มบ้านเลย เต็มห้อง เต็มหับเลย ปลุกเสกเอง ทำอะไรเอง มันก็เหมือนเกี่ยวกับ พุทธศาสนาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เขาก็ว่าเราปฏิบัติธรรมเหมือนกัน เป็นอย่างนั้นน่ะ ตั้งแต่แฟน คนก่อนคนสุดท้ายนี่ เขาก็ว่าอาตมาปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น แฟนคนสุดท้ายมาสัมพันธ์ขึ้นมาแล้ว เลิกกับแฟนคนนั้นไปแล้ว มันก็ต่อเนื่องกันมา อยู่นั่นล่ะน่ะ ก็เป็นแฟนกันไป จนกระทั่งสุดท้ายก็ อาตมาก็ปฏิบัติ จนจี๋จ๋าทางธรรมะมันมาก จนกระทั่งเรา เอ๊! แฟนนี่มันก็ต้องเลิกด้วยนะ ก็มาบอก จะเลิกกันจริงๆ ก็บอกเลิก เขาก็มาปฏิบัติ พากันปฏิบัติ เขาก็ปฏิบัติ แต่เขาไปไม่ได้

สุดท้ายอาตมาก็บอก เอ๊! ถ้าไปไม่ได้ อาตมาต้องไปคนเดียวแล้ว ก็บอกเขา เขาก็ว่าไปไม่ได้ ไปไม่ได้ เขาต้องปล่อย อาตมา ทีหลังถ้าบอกกัน บอกว่าจะต้องเลิกรา จะต้องพยายามห่างจากกันนี่ มันบอก ตายตัวไม่ได้ มันค่อยๆคลายมา จนกระทั่งค่อยๆบอก ค่อยๆหาวิถีทางที่จะจากกัน ภายในปีท้ายน่ะ ปีสุดท้าย ก็บอกจากกัน เขาก็จาก ปีสุดท้ายเขาก็ปล่อยอาตมา อาตมาก็มาปฏิบัติธรรม พอปล่อยแล้ว ก็ปฏิบัติไป ไม่ช้าไม่นานอาตมาเลิก เข้าวัดเข้าวาไปเลย ทิ้งสมบัติอะไรต่ออะไรไปหมด แต่เขาก็ว่า เขายังสัมพันธ์ เขาก็ยัง เขาไม่กล้ามาพบหรอก เลิกใหม่ๆ เขาไม่กล้ามาเห็นหน้าอาตมา ตั้งหลายปี อาตมามาบวชแล้วตั้งหลายปี ค่อยๆเข้ามาพบ พบก็ไม่ กล้ามาพบบ่อยน่ะ ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่กล้า มาพบอย่างจี๋จ๋าเท่าไหร่ นี่มาเมืองไทยไม่ค่อย กล้าเข้ามาพบเลย คราวที่แล้วมา ได้ข่าวว่าเขามา พวกน้องๆ คือน้องๆของอาตมานี่ เขาก็สนิทสนม คบกันอยู่อย่างสนิทสนม ทุกวันนี้เขาก็ยังคบกัน สนิมสนมอยู่ เขาก็ติดต่อกัน จะไปจะมาอะไร เขาก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ กับแฟนคนสุดท้ายนี่ เขามาเขาก็รู้กัน เขาก็ส่งข่าวมาบ้าง บอกบ้าง เขายังไม่มาพบเลย อาตมาถาม เอ้า! เขากลับไป แล้วหรือ บอกกลับไปแล้ว ทำไมไม่มา โอ๊ย! เขายุ่ง งานโน้นงานนี่ อาตมาว่า แก้ตัวมากกว่า ยุ่งไอ้โน่น ไอ้นี่เลยไม่ได้มา ไม่ได้มาหา เคยมาวัดครั้งเดียวเท่านั้นน่ะ ใครโชคร้าย หรือโชคดี ก็แล้วแต่ ได้เห็น ก็เห็นไปแล้ว ตอบไม่ได้นะ อาตมาตอบ อยากจะให้รู้วิธีการไว้ ช่วยเล่าให้ละเอียด มันไม่เหมือนกัน หรอกคุณ แต่ละคน ไม่เหมือนกัน ขอบอกได้ว่าไม่เหมือนกัน บางคนเก่งๆหน่อย ในเรื่องนี้ไม่ยาก อาจจะเร็ว บางคนไปยาก ในเรื่องอะไร อื่นๆ ซึ่งไม่เข้าท่าอะไร เรื่องนี้อาจไม่ยากก็ได้ มันไม่แน่ แต่ที่จริง ไอ้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง ผู้ชาย เรื่องเกี่ยวกับคู่นี่ มันนัวเนียเหมือนกันนะ เพราะว่ามันเป็นแกน ของการเกิดของสัตวโลก มันก็นานก็ช้า

เพราะฉะนั้น มันยิ่งนานยิ่งช้า มันยิ่งนัวเนียนี่ ยิ่งต้องอย่าไปเล่นกับมัน ยิ่งต้องรีบตัด ยิ่งต้องรีบวาง ยิ่งต้องรีบจัดการ อย่ามานั่งหาเหตุผลว่า จะต้องอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างที่อาตมาพูดแต่ต้นแล้ว ไม่ได้ เหลาะแหละกับมันไม่ได้ มันเหลี่ยมเยอะ มันเหลาะแหละ มันต้องเอา ยิ่งเอาให้ได้ก่อน เด็ดขาดไปเลยยิ่งดีใหญ่ แล้วมันจะมีเรื่องราวมากนะ นัวเนียๆอย่างโน้นอย่างนี้ มีเหตุปัจจัยอะไร มากมาย มันเหลือเกินเหลือกินน่ะ เพราะฉะนั้นรู้ไว้ ใครเองใครว่างมาได้ อย่าไปหาเหตุหาผล หาอะไรมาสนับสนุน เพื่อที่จะไปเที่ยวได้ล่วงล้ำเข้าไปเป็นอันขาดน่ะ เห็นคุณค่าของความเป็นโสด หน่อยซี ผู้ตั้งตนเป็นคนโสด เขาเรียกว่าบัณฑิตนะ ผู้ใฝ่ในเมถุน มันก็ตรงกันข้ามกับบัณฑิต ก็คือคนโง่ใช่ไหมเล่า อย่าโง่ อยากโง่ก็ทำเองก็แล้วกัน ใฝ่ในเมถุน เป็นคนโง่น่ะ ผู้ที่ท่านไม่ให้ใฝ่เมถุน ผู้ที่ตั้งตน เป็นคนโสดนั่น ท่านเรียกว่าบัณฑิต บัณฑิตก็ผู้ฉลาด ผู้ที่ใฝ่ในเมถุน โง่ อย่าไปงอแง เอาให้มันชัดๆ เห็นคุณค่าให้มากว่า อยู่ว่าง ไม่มีอะไรที่จะต้องทุกข์ใจ ไม่ต้องมีอะไรอาลัยอาวรณ์ ไม่ต้อง ว่างๆ ไม่ว่าง แว้บ เอาล่ะ กรุ่นอีกแล้ว โอ! บ้าๆบอๆ เสียเวลา แว้บไปแล้วน่ะ หนักเข้าวูบเลย จม จมอยู่ตรงนั้นแหละ หนักเข้าวูบเลย ยิ่งกว่าเขาค้ออีก เขาค้อนั่นเขา ปลดแล้วนะ แขวนนวมแล้วนะ โรควูบ เอ้า! ต่อ

ถาม ดิฉันสับสนเรื่องอาหาร อยากบรรลุเรื่องอาหาร อันไหนเป็นวิธีที่ถูกต้องคะ เพราะมีหลายวิธี เหลือเกิน เช่น งดปรุงแต่ง กินสำรวมทุกอย่าง กินทีละอย่าง
ตอบ ทำมันทุกอย่าง ไม่ต้องสับสน หัดไปซี จะเอาอย่างไหนก็หัด แล้วก็อ่านใจไป
อาตมาปฏิบัติธรรม เรื่องอาหารการกินนี่ กินลดมื้อ กินน้อยลง กินปรุงแต่ง กินคลุกเคล้ากัน ปรุงแต่ง เป็นอย่างๆ แล้วก็ดู แต่ปรุงแต่งเป็นอย่างๆนี่ อย่าเอาก่อน เอาไม่ปรุงแต่งก่อน หรือว่า เอาคลุกกันก่อน ก็ได้ เอามาคนกันเลยน่ะ ของหวานผสมกับแกง แกงผสมกับน้ำพริก ปนกันเลย คลุกๆกันเลย เป็นข้าวหมา กินเข้าไป เฉยๆก่อน นี่เบื้องต้น หัดกินคลุกเสร็จแล้ว กินแยกทีนี้ กินทีละอย่าง ทีละอย่าง กินข้าวเฉยๆ เอ้า! กะกินข้าวเท่านี้พอ กินแต่ข้าว เปล่าๆ กินผักเปล่าๆ กินแกงเปล่าๆ แหม! คุณจะรู้เลย กินแกงเปล่าๆนี่ไม่ง่ายเลย เจ้าประคุณเอ๊ย บางทียิ่งแกงจัดๆ รสจัดๆ เผ็ดๆ เค็มๆจัดๆ นี่นะ มันไม่ได้คลุกข้าวคลุกผัก อะไรด้วยนี่นะ โอ๊ย! ยิ่งกินยากใหญ่เลย ลองกินน้ำพริกเปล่าๆดูซี เราจะซึ้งล่ะทีนี้ มันไม่ใช่ของเล่นเลย ยากน่ะ หัดกินคลุก กินแยก แล้วก็กินปรุงแต่งทีนี้ สู้กับมันแล้ว ทีนี้ต้องฐานสูงแล้วนะ สู้กับไอ้ปรุงแต่งมา สู้กับแก กินปรุงแต่ง เขาว่าอร่อย กินกับแกอีกทีดู ต้องฐานดีแล้วนะ ฐานไม่ดี เสร็จมันก่อนนะ อย่าไปเล่นกินปรุงแต่งก่อน ถ้าฐานไม่ดีเสร็จมันนะ หัด หัดจริงๆ จะบอกว่าไล่เลียง ก็อย่างที่อาตมาว่านี่ ลองดูน่ะ กิน หัดกิน ฝึกไปจนกระทั่ง ไม่ใช่ง่ายนะ อาหารการกินนี่ โอ้โห! เป็นพระอรหันต์แล้ว ยังต้องกินทุกอย่าง เขาปรุงแต่งมาก็ต้องกิน เขาไม่มีปรุงแต่ง ก็ต้องกิน ใช่ไหม เรียกกินยังขันธ์น่ะ เพราะฉะนั้น ต้องฝึก กินดีๆ

ถาม ความพอดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น การประพฤติปฏิบัติ พ่อว่าความพอดี หรือสายกลาง ควรจะมีจะเป็นอย่างไรคะ
ตอบ เรื่องสายกลาง หรือความพอดี พอเหมาะ แต่ละคนนี่ มันละเอียดลออ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ว่า ท่านตรัสรู้ความเป็นสายกลาง อย่าลืมนะ พระพุทธเจ้านี่ ท่านตรัสรู้ ทฤษฎีอะไรนี่ เป็นทฤษฎีที่ไม่ใช่ง่ายๆ ฟังภาษาง่ายๆสายกลาง แหม! อย่างกับไขปั๊บก็รู้เลย เอ๊ย! สายกลาง เดินทางสายกลาง ไม่ง่ายนะ คำว่าทางสายกลาง หรือคำว่าเป็นกลางนี่ มันลึกซึ้งมหาศาลนะ ลึกซึ้งจริงๆ มากมายรายละเอียดเยอะ เพราะฉะนั้น คำว่าสายกลางนี่ บอกได้ง่ายๆก่อนว่า คือความลงตัว ความลงตัว ตั้งแต่แรกเริ่ม ที่คุณจะปฏิบัตินี่ คุณจะตั้งศีล ตั้งธรรม ตั้งตบะ ให้ตัวเองเสียก่อน คุณก็บอกว่า จะต้องเอาพอเหมาะกับตัว เอาละ นี่ความหมายง่ายๆ ต้องให้ พอเหมาะกับตัว แต่ความพอเหมาะนั้น ต้องระลึกถึงคำว่า ตั้งตนอยู่บนความลำบาก ทุกวันนี้ ทางสายกลางที่คนส่วนใหญ่ เขาประพฤติธรรมแล้ว เขาไปเอาชนิดว่ามันสบายๆ มันไม่ต้องฝืน ถ้าฝืนไป แปลว่า ไอ้นี่มันทรมานตนน่ะ ถ้าฝืนไป แปลความว่า มันทรมานตน

พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้ทรมานตน ท่านให้ทำทางสายกลาง แน่ะ อีกอันหนึ่งท่านสอนไว้ ให้ตั้งตนในความลำบาก โยนทิ้งไปหมดแล้ว นี่อาตมาดึงกลับมา รื้อฟื้นมา ให้พวกเราทำ ใช่ไหม ตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ตั้งตนบนความลำบากอะไร บนความลำบากในศีลในพรต ที่เราปฏิบัตินั้นต้องมี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ต้องมี ความจริง เอาจริง แล้วต้องมีทมะ มีขันติ มีความอด มีความข่มฝืน ต้องข่มฝืนนะ ตั้งตนอยู่บนความลำบาก คือต้องตั้งศีล ตั้งพรต จะต้องข่มฝืน ถ้าไม่ข่มฝืน ไม่อดทน ไม่ลำบาก มันกลายเป็นเรื่องบำเรอ บำเรอกิเลส แล้วก็เลย ไปตีความ หรือว่าประมาณ ประมาณ บำเรอกิเลส ถ้าคุณประมาณบำเรอกิเลส ไม่ได้ตั้งตนพากเพียร ต่อสู้ ไม่มีทมะ ขันติ ไม่มีความอดทน ไม่มีความข่มฝืน จึงจะสละจาคะได้ ไม่มีอันนี้ ไม่มีทาง อาตมาเคยเอา สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะนี่ ฆราวาสธรรม อาตมาเคยเอาฆราวาสธรรมนี่มาอธิบาย จนดูเหมือน จะทำเรียบเรียงไว้เป็นหนังสือเล่มหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้พิมพ์ เรียบเรียงแล้วนะ อันนี้ อาตมาเอามาจากสูตรอะไร จำไม่ได้แล้ว นั่นน่ะ เอามาอธิบายขยายความให้เห็นความสำคัญ แล้วก็เรียบเรียงไว้แล้วด้วย สำคัญนะ ในหลวงท่านเอาอันนี้มาให้พวกเราได้ฟังนี่ ที่จริงดี แล้วลึกซึ้ง ละเอียดด้วย ซึ่งเราจะต้องกระทำกันจริงๆน่ะ

เราจะต้องมีการอดทน ข่มฝืน ต้องตั้งตนอยู่บนความลำบาก แล้วก็ปฏิบัติ นี่สายกลางของแต่ละคน ประมาณให้ดี เสร็จแล้วกลางที่ว่านี่คือ มันจะลงตัว มันจะปฏิบัติ แล้วก็ขัดเกลา จนกระทั่งมันลงได้ จนกระทั่งไม่ต้องอดทน ไม่ต้องข่มฝืน ไม่ต้องก็ได้ แต่เป็นได้ ดังศีลดังตบะนั้นอย่างง่าย ได้โดยง่าย ได้โดยไม่ลำบาก ได้โดยง่าย ได้โดยไม่ลำบาก คือมันขัดเกลากิเลสนี่ มันเป็นฌาน ฌานนี่คือ การขัดเกลากิเลส ขัดเกลาได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก จนที่สุดเป็นวิมุติ แล้วมันก็เลยเป็นอัตโนมัติ เป็นกับตัวเองเลย เป็นปกติ เรียกว่าเป็นศีลที่สำเร็จ สบาย เป็นอย่างนั้นล่ะ ตบะนั้นหรือศีลนั้น เป็นอยู่ในตัวเราเลย ประจำ ไม่ต้องไปสังวรระวังอะไร มันก็เป็นแล้ว เรียกว่านั่นน่ะเป็นกลาง ลงตัวแล้วน่ะ

Šอาตมายกตัวอย่าง พระพุทธเจ้าท่านไม่สวมรองเท้า ไม่สวมฉลองพระบาท ไม่ใส่รองเท้าเลย ท่านก็สบายๆ ลงตัวแล้ว กลางแล้ว ท่านฉันมื้อเดียว กลาง ลงตัวแล้ว สบายแล้ว นี่แหละคือ มัชฌิมาปฏิปทา ใส่ผ้า ๓ ผืน พระพุทธเจ้าท่านทำอะไรต่ออะไรที่ท่านเป็น ท่านเป็นเจ้าของสูตร มัชฌิมาปฏิปทา การประพฤติที่เป็นกลาง ไม่ได้ฝืน ไม่ได้โต่ง แต่คนหาว่าสุดโต่ง นี่มากินมื้อเดียว สุดโต่ง มาไม่มีรองเท้าสวมใส่ มาอยู่กันยังงี้ นอนกระดาน นอนพื้นนี่สุดโต่ง มากระเหม็ด กระแหม่ อะไรนี่ เกินไปนี่ สุดโต่ง ไอ้นี่มองอย่างตื้นๆ มันเหมือนโต่งสำหรับเขา เขาทำไม่ไหว แต่เราทำได้แล้ว ได้แล้วจนกระทั่งเรารู้ตัวแล้ว ว่า โอ๊! ต้องใจนะ อาการอารมณ์ของเราเห็นว่า มันลงตัวแล้ว มันสบายๆ แล้ว ตอนนี้มันไม่ฝืน มันไม่อะไรแล้ว ตอนที่ฝืนอยู่ก็คือยังปฏิบัติ ยังตั้งตน อยู่บนความลำบากอยู่ จนกระทั่ง มันไม่ลำบากแล้ว มันสบาย มันก็ธรรมดา ไม่ต้องมีอะไร ง่ายๆ แต่ก็รู้ว่า ไม่ง่ายสำหรับคนอื่น ไม่ง่ายสำหรับคนอื่น

เพราะฉะนั้น ทางสายกลางนี่ จึงเป็นสิ่งที่ละเอียดลออลึกซึ้งอยู่มาก ตั้งแต่เริ่มต้น ประมาณ ให้พอเหมาะของตน จนกระทั่ง เราทำได้ ได้ๆๆๆ จนกระทั่งลงตัวสุดท้าย นี่คือ สายกลาง ไม่ใช่พูดกัน ตื้นๆต้นๆ เอาแค่นี้ก่อนนะ

ถาม คนที่มีครอบครัวแล้ว มีลูกแล้ว แล้วเกิดดวงตาเห็นธรรมออกมาบวช ทิ้งภาระต่างๆ เช่น การเลี้ยงลูก และอื่นๆไว้ให้อีกฝ่ายหนึ่ง จะบาปหรือเห็นแก่ตัวมากหรือเปล่าคะ
ตอบ คงจะมีปัญหานี้มากเหมือนกันนะ ในหมู่พวกเรา คนที่มีครอบครัวแล้ว มีลูกแล้ว เกิดดวงตา เห็นธรรม แล้วจะหนีออกมาบวชเลยทีเดียวนั้นไม่ได้ จะต้องรู้ว่า ลูกเป็นภาระที่ตัวเอง เป็นคนก่อ เราโง่เอง เราไม่รู้ตัวเอง แล้วเรามีวิบากเอง ที่เราต้องไปสร้าง อย่างนั้นมาแล้ว ก็เป็นของตน เพราะฉะนั้น เราต้องรับผิดชอบ ดูแล ส่งเสีย หรือว่าทางอีกฝ่ายหนึ่งเขารับ อย่างพระพุทธเจ้านี่ ท่านไม่มีปัญหาหรอก ท่านมีลูกก็มันเป็นบารมีของท่าน สมบูรณ์แล้ว ท่านออกมาไม่ตายหรอก ลูกเขาเลี้ยงกันได้ ใช่ไหม ลูกเจ้าไม่มีปัญหาอะไร อบรมเลี้ยงดูได้ อะไรต่างๆนานา ไม่เป็นภาระ ถ้าคุณเอง แม้ว่าฐานะคุณดี ลูกเต้าให้พ่อให้แม่เลี้ยง ให้ลูกให้พี่ให้น้อง หรือแม้แต่ให้ภรรยา ให้สามี เขาเลี้ยง เราจะออกมา เราจะออกมาบวชก็ได้ แต่มันมีภาวะลึกกว่านั้น คือ ถ้าเผื่อว่า เราออกมานี่นะ ไอ้ลูกเต้าเหล่า ต่างๆพวกนี้นี่ แหม! มันก็แย่ พวกนี้เขาเลี้ยง มันก็ คุณเห็นเองแหละ คุณจะรู้เองว่า คุณควรจะช่วยเสียก่อนบ้างว่า ถ้าคุณไม่ช่วยนี่ มันจะแย่นะ เงินทองมันอาจจะมี แต่มันอาจจะเลวลงได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ หลายๆอย่าง หลายๆฐานะ คุณก็ควรจะต้องไตร่ตรอง ตรวจสอบน่ะ หรือบางทีนี่ เขาไม่ยอม เขาเลี้ยงได้ แต่เขาไม่ยอม จริงๆไม่ใช่ไม่ยอม เพราะลูกหรอก จะเอาตัวคุณไว้ คุณก็ต้องดูด้วยว่า เอ๊! เหตุการณ์พวกนี้นี่ คุณจะอนุโลม ปฏิโลมได้แค่ไหนน่ะ มันเป็นวิบาก มันเป็นภาระที่ตัวเองไปสร้าง ถึงบอกว่าคนที่ยังไม่ได้สร้าง ไม่ได้มี ไม่ได้เป็นนี่นะ โอย! อย่าไปสร้าง เจ้าประคุณเอ๋ย แล้วอย่ามานั่งถามเลย ทีหลังนี่ อาตมาขี้เกียจคำตอบ ไม่รู้จะตอบ ยังไงได้แต่ละคน แต่ละคน แต่ละเรื่อง แต่ละอย่างนะ โอ๊ย! รายละเอียดบอกยากเลยนะ คนนั้น ก็มีอย่างนั้น เหตุนั้น เหตุนี้ วุ่นที่สุดเลย ฉะนั้นใครไม่ไปสร้างไปก่อได้ล่ะ แหม! มันบุญหัวจริงๆเลย เจ้าประคุณเอ๊ย มันบุญหัวจริงๆ เลย ใครที่ไม่มีไปได้ก่อนน่ะ ดี

เพราะฉะนั้น คนที่มาพบอโศกแล้วนี่นะ อย่าดันทุรังไปสร้างภาระวิบากพวกนั้น ออกมา ให้มันตายดิ้น ชักดิ้นชักงอเป็นไร อย่าไปวุ่นวาย อย่าไปสร้างมา สร้างมาแล้ว อย่างนี้มันยาก อาตมาจะตอบ ก็ไม่รู้ จะตอบยังไง ให้มันสมบูรณ์ได้ มันตอบไม่ได้มากกว่านี้ล่ะนะ จะบอกว่าเห็นแก่ตัวมากไหม บาปไหม ก็ตอบไม่ได้ตายตัวอีกแหละ ถ้าบาป พระพุทธเจ้าท่านก็บาปก่อนเพื่อนแล้วสิ ก็ท่านทิ้งออกมา โดยไม่แยแสเลย ให้ร้องห่มร้องไห้ กันอยู่อย่างนั้น ถ้าจะว่าบาป ถ้าจะว่าไม่บาป มันก็เป็นเวรานุเวร มันก็ผูกพัน แม้แต่ปัจจุบันนี่ มันก็บางทีก็มากวนนั่นกวนนี่ อย่างโน้นอย่างนี้อยู่น่ะ สรุปแล้ว แหม! เลี่ยงได้เลี่ยงเถิด เจ้าประคุณเอ๋ย อาตมามันมีบุญจริงๆเลย ขอบคุณ บุญอันนี้มหาศาล บุญอันนี้ ไม่ได้หมายความว่า อาตมามาสร้างชาตินี้นะ ชาตินี้มันรอมร่อนะ จะไปแต่งงาน พุทโธ่! เวรแท้ๆเลย แล้วมันหลุดรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ โดยไม่รู้ตัวหรอกนะ โอ้โห! เสียววาบๆๆๆเลยนะ จริงๆนะ ไม่ได้รู้อย่างรู้ทุกวันนี้ โอ้โห! ไม่ได้รู้อย่างรู้ทุกวันนี้จริงๆเลย ไปเล่นกับไฟอยู่ได้ ไม่รู้ตัวจริงๆ มันมีบุญ มันมีบุญจริงๆนะ คู่ที่จะแต่งงานนี่มีอยู่ ๒ คนเท่านั้น ในชีวิตที่อาตมา ว่ามันนัวเนียๆๆๆ มันก็อายุ ก็มากแล้ว อาตมาก็มันน่าจะแต่ง ฐานะมันก็น่าจะแต่งได้ คู่คนแรกนี่จะแต่ง คู่ที่ว่าถึงขั้น จะแต่งงาน นอกนั้นก็ อาตมามีคู่รักจริงๆ มี ๓ คนเท่านั้นแหละ ที่ถือว่าคู่รักละนะ คือรู้กันนะ พี่ๆ น้องๆ ก็รู้กัน แล้วคนเพื่อนฝูงก็รู้กัน ไอ้ที่ไปจีบกันอย่างโน้น อย่างนี้ ปะเหลาะปะแหละนี่ มันนับไม่ถ้วนหรอก ไอ้อย่างนั้น มันไม่ใช่คู่รัก มันคู่จีบ คู่ระเริง กันไปเฉยๆ ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไร ที่บอกว่ารู้กันนี่ เป็นคู่รักนะ

คนแรกที่สุด ก็ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมโน่นแน่ะ เสร็จแล้ว ตอนหลังก็ต้องมาเลิกรา ไอ้นั่นมันก็ยังเด็กๆ อยู่บ้าง มันก็ไม่ไอ้นั่นเท่าไหร่หรอก ไอ้อย่างนั้นก็แล้วไป จะเรียกว่าคู่รัก ก็เป็นคู่รักคนแรก ก็เท่านั้น เองน่ะ เสร็จแล้วก็เลิกรากันไป ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ถึงขั้นจะต้องแต่งงง แต่งงานอะไรหรอก อย่างนั้นน่ะ แต่คนที่ ๒ คนที่ ๓ นี่ คู่รักคนที่ ๒ คนที่ ๓ นี่ คนที่ ๒ นี่ เขาก็ทำงานแล้ว อาตมาก็ทำงานแล้ว มันก็น่าจะแต่งงานกันได้ล่ะนะ หลายๆ อย่าง ฐานะก็พอเป็นไป แต่ว่ามันก็อย่างว่าล่ะ มันก็เป็นไป กับสังคม กับครอบครัว กับโน่น กับนี่ ก็เลยไม่ลงตัวอะไรกันนัก มันก็เลยไม่ได้แต่งงานกัน สุดท้าย ก็ต้องเลิกรากันไป ถ้าจะแต่งมันก็แต่งได้ ทั้งพ่อแม่พี่น้องของเขา ก็ไม่มีปัญหานะ พอคนที่สุดท้ายนี่ มันเป็นเรื่องพ่อแม่ พี่น้องยังไม่ พ่อแม่เขาอยากจะได้ลูกเขย ดีกว่าอาตมา หรือยังไงก็ไม่ทราบ ทำเป็นขวางๆรีๆอะไรอยู่ มันก็ไม่ลงตัว ถ้าเผื่อว่าเขาเออออห่อหมก เอ้อ! อาจจะแต่งงานกันไปได้แล้ว จริงๆนะ เพราะว่าอาตมาก็อายุ ๓๐ กว่าเข้าไปแล้วน่ะ มันก็น่าจะแต่ง ฐานะอะไรก็ไม่มีปัญหา อะไรแล้ว ยังจะซื้อรถเบ๊นซ์มาข่มพ่อเขาเลย เพราะพ่อเขานี่ขี่ รถเบ๊นซ์ ตั้งแต่อายุ ๓๐ กว่า แล้วเขา ก็บอกว่า เอาสิ ซื้อรถเบ๊นซ์มาข่มเลย เขาไม่ไว้ใจ เขาบอกว่า พ่อเขาไม่ไว้ใจอาตมา แฟนเขาก็ยุ อาตมาก็ไปสั่งรถเบ๊นซ์ ลากออกจากอู่เลยนะ ขี่รถเบ๊นซ์นี่ตั้งแต่อายุ ๓๐ กว่าเหมือนกัน เรียกว่า คือเอาชนะพ่อแม่เขาน่ะ คือเขาไม่ค่อยเออออห่อหมกกับอาตมา เรื่องของเรื่อง มันมีเยอะ โอ้โห! ยิ่งกว่าหนังจีน

ถ้าอาตมาเล่าละเอียด คุณเอ๊ย จริงๆ เหมือนหนังจีนเลย เอาละ ไว้ว่างๆ มีเวลาค่อยเล่า นี่หมดเวลาแล้วน่ะ อย่างนี้มันคงจะต้องเล่าอยู่จนได้ล่ะ สุดท้าย สักวันหนึ่งล่ะนะ มันเหมือน หนังจีนน่ะ โอ้โห! ทิ้งกันเข้าไป อย่างโน้นอย่างนี้ เหมือนกันเลยนะ ทั้งพ่อแม่ก็ไปส่งเสริม คนที่อยาก จะได้เป็นลูกเขย อาตมาเอง่ เขาไม่แลนะ มันก็มีอย่างนี้แหละ มันอะไรกัน โอ๊ะ! น่าดูคุณ มันมีเหตุการณ์ เหมือนกับในหนัง มีการอย่างโน้นอย่างนี้ เขาพาไปกินเลี้ยงกัน มีอย่างนั้น ต่างคน ก็ต่างใช้วิธีการอะไร โอย! เล่าเป็นนิทานมันก็เหมือนหนัง คุณถ่ายหนังมาก็เป็นหนัง หลายอย่าง เสร็จแล้ว มันก็ไม่ได้แต่งนะ สุดท้ายอาตมาก็มาพบธรรมะเสียก่อน ก็เลยออกมา มาจริงๆจังๆ มันก็หลุดไปน่ะ เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่องราว พวกนี้นี่ เอาละ พอ พอแล้ว ไอ้เรื่องคู่เรื่องเค่อ ไม่สร้างได้มันดี

อาตมาถึงบอกว่า มันบุญนะ มันหลุดออกมา ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ตาย แต่งงานไปแล้ว ไม่เจอกับ พวกคุณหรอก ป่านนี้ไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ดูอะไรมันไม่เข้าท่านะนี่ ฮึ! แล้วอาตมาก็เป็นคน มีคุณธรรม ใช่ไหม อาตมาก็จะต้องดูว่า เอ๊! มันจะพอทิ้งมา ถ้าเผื่อว่า เวรานุเวร มันยังมี ถ้าลูกมันเกิดมา มันเป็นไอ้โจรไอ้ค่าง ทำอะไรขึ้นมาอีก โอ้โห! ตาย อาตมาคงไม่มีบาปถึงขนาด นั้นหรอกนะ ถ้าว่า มันก็คงเป็นไป แล้วลูกยิ่งดี มันก็ยิ่งอยู่ชื่นชมอีกเลย ทำยังไงอีกล่ะ มันได้ทั้ง ๒ นัยเลย โอ๊! ตาย แหม! หวาดเสียว หวาดเสียวจริงๆ เพราะฉะนั้น อย่าไปเล่นกับไฟ อย่าไปร่อแร่ อย่าทะร่อทะแร่ ไม่ควรไปผูกพัน ด้วยประการทั้งปวง บอกแล้วว่า ยิ่งเป็นตุนาหงันแท้ๆ เป็นคู่บารมี ที่ผูกพันกันมาแต่ปางบรรพ์ ยิ่งต้องรีบตัด เพราะไอ้ตัวนี้มันยิ่งร้ายน่ะ เพราะยังไงๆ ก็ต้องพราก จากกันทั้งหมดในโลก อย่าไปสร้างทั้งใหม่ทั้งเก่า พูดอย่างนี้เลย ไม่เอาคู่ตุนาหงัน ไม่ไปเล่นกับคนใหม่อีก ไม่เอานะ พูดอย่างนี้ก็ พวกไอ้เฉโกนี่เล่นทุกท่า เอาละ หมดเวลาแล้ว อาตมาเก็บทางนี้ดีกว่า ไม่ต่อแล้วน่ะ

เอาละวันนี้ก็ว่ากันอุ่นเครื่อง ก็ยาวๆยืดๆหน่อย พอตอนท้ายๆ ก็ชักจะต้องช้าละ ปัญหาวันที่ ๓ ที่ ๔ อะไรไป ก็จะต้องช้าลง นี่มันก็จะเพิ่มขึ้นๆ นี่วันเดียวนะ ตอบไปได้แค่นี้ นี่ยังไม่ได้ตอบนะ ก็ไม่เป็นไร มันก็จะเล่าอะไรๆ หลายๆอย่าง พวกคุณอาจจะรู้ คืออาตมา อยู่ดีๆ มันจะนึกมาเล่า มันก็นึกไม่ออก หรอกนะ

เพราะฉะนั้น ปัญหาพวกนี้คุณแยงมา ประเดี๋ยวก็เล่าอันนั้นอันนี้สู่ฟังไปบ้าง ก็นึกเสียว่า ปีนี้เป็นปี มีอะไรๆ พอเล่ากันได้ก็เล่ากันไป อะไรไม่ได้เล่า ก็ไม่ต้องเล่า อะไรไม่ต้องพูดก็ไม่ต้องพูด อะไรพูดกันได้ ก็พูดน่ะ เอ้า! ก่อนจะลงจากนี้ไป ก็เอาโศลกไปอีก อาตมามีให้มากนะปีนี้ มีให้มากน่ะ ไม่มีสูตรเป็นสูตร ก็มีโศลกพวกนี้น่ะ แต่ว่าสูตรที่จะให้ หรือโศลกที่จะให้นี่ เน้นจุดเดียวกัน เน้นเป้า ที่สำคัญทั้งนั้นน่ะ อย่างที่ให้ไปแล้วตั้ง ๔ แล้วนี่ นะ ๔ หรือ ๕ แล้วนะ เอ้า! เอาไปอีก อันนี้ยาวหน่อย อีกอันหนึ่ง

คนที่ทำงานโดยใช้กำลังมือ ก็คือกรรมกร
คนที่ทำงานโดยใช้สมองและหัวใจ ก็เป็นได้เพียงกรรมการ หรือบัณฑิต หรือ นักวิชาการ
คนที่ทำงานโดยใช้มือและสมอง ก็เป็นช่างฝีมือ
คนที่ทำงานโดยใช้มือและหัวใจ ก็เป็นได้เพียง ผู้หลงตนว่าเป็นศิลปิน
คนที่ทำงานโดยใช้มือ ใช้สมอง และหัวใจ ก็เป็นศิลปิน

อันเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ศิลปินนะ คนที่ทำงานโดยใช้มือและหัวใจ ก็เป็นได้เพียง ผู้หลงตนว่าเป็นศิลปิน แล้วคนที่หลงตนว่าเป็นศิลปินมีเยอะ ในตลาดสังคมทุกวันนี้น่ะ คนที่ทำงานโดยใช้มือและหัวใจ ก็เป็นได้เพียง ผู้หลงตนว่าเป็นศิลปิน อย่างพวกดารงดารา อย่างนี้เป็นต้น โอย! เขาใช้หัวใจเลยนะ ใช้ฝีมือ ใช้หัวใจ ใช้ฝีมือน่ะ แต่ไม่ใช้ทั้งหมดหรอก ไม่มีสมอง สมองมีบ้าง แต่ยังไม่พอน่ะ คนที่ทำงานโดยใช้มือ ใช้สมอง และหัวใจ ก็เป็นศิลปิน
คนที่ทำงานโดยใช้มือและหัวใจ พร้อมทั้งสมองและญาณ ก็คือพระอริยะ หรืออัจฉริยบุคคล

อันสุดท้ายนี่ ใช้มือ ใช้หัวใจ ใช้ทั้งสมองและญาณ ในคำว่าสมองนั้น มีความรู้ ถึงขั้นญาณ เพราะฉะนั้น คนที่ใช้สมองยังไม่ถึงขั้นญาณ ก็เป็นได้แค่ศิลปิน ถ้าคนใช้สมองถึงขั้น ญาณ จึงจะถือว่าเป็นพระอริยะ หรืออัจฉริยบุคคลน่ะ

เอ้า! เอาละ สำหรับวันนี้ เอาแค่นี้ก่อน พอ สาธุ


ถอดโดย นายประสิทธิ์ ฝ่ายทอง มี.ค. ๓๓
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาต ปราณี ๑๖ มี.ค. ๓๓
พิมพ์และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๒๗ มี.ค. ๓๓
File 0535B.TAP