ตอบปัญหา (ตอน ๒)
งาน
ปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๔

โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๖ ก.พ. ๓๓ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก

ที่ให้โศลกอะไรไปแล้ว ก็เลยยังสงสัยกันต่อน่ะ ก็เลยจะอธิบายถึงโศลกนั้น ก่อนนิดหน่อย โศลกเมื่อวานนี้นะ โศลกเมื่อวานนี้ที่บอกว่า
- คนที่ทำงานโดยใช้กำลังมือ ก็คือกรรมกร
- คนที่ทำงานโดยใช้สมองและหัวใจ ก็เป็นได้เพียงกรรมการ หรือบัณฑิต หรือ นักวิชาการ
- คนที่ทำงานโดยใช้มือและสมอง ก็เป็นช่างฝีมือ
- คนที่ทำงานโดยใช้มือและหัวใจ ก็เป็นได้เพียง ผู้หลงตนว่าเป็นศิลปิน
- คนที่ทำงานโดยใช้มือ ใช้สมองและหัวใจ ก็เป็นศิลปิน
- คนที่ทำงานโดยใช้มือและหัวใจ พร้อมทั้งสมองและญาณ ก็คือ พระอริยะ หรืออัจฉริยบุคคล

ก็มีคนไม่เข้าใจคำว่าสมอง มันแค่ไหน กับศิลปิน มันแค่ไหน คำอื่นคงพอเข้าใจได้น่ะ คือคนทำงาน โดยใช้กำลังมือ ฝีมือนี่นะ มีความสามารถเท่าไหร่ มีฝีมือกระทำ ด้วยมือทำ ลงมือทำเลยจริงๆนี่ คนทำโดยลงมือทำ เขาเรียกกันทั่วไปง่ายๆว่า เป็นกรรมกร คนที่ลงมือทำ แล้วทำได้อะไรแค่ไหน ก็มีความรู้ หรือถ้าว่าจริงๆแล้วใช้สมองก็ใช้น่ะ ไม่ใช้สมองแล้วจะไปควบคุมได้ยังไง มันก็ใช้ตามธรรมดา มีความรู้ มีสมอง มีความคิดควบคุมเท่าไหร่ เขาก็ใช้ความรู้ใช้สมองของเขานั่นแหละ ควบคุมฝีมือ ควบคุมกำลังมือของเขากระทำ ไม่มีใครหรอก ทำงานทำอะไรต่ออะไร โดยไม่มีสมอง ไม่มีฝีมือ ไม่มี ทำไม่ได้หรอก ทำโดยเผอๆเรอๆ ไม่มีสมอง ไม่มีอะไรต่ออะไรเลยนี่ มันได้เหมือนกัน สำหรับคนที่ชำนาญ

จนกระทั่งสามารถที่ช่วยควบคุมความชำนาญของมือกับสมอง และความรู้ความกำหนดของจิตใจ จิตใจนี่ฝึกแล้ว มันก็จะเอาไปควบคุม เอาไปควบคุมสิ่งที่ เรากระทำนี่ มันสามารถจะแบ่งเอามา ทำได้แค่ไหน ถ้ามันชำนาญมาก ก็ใช้มันควบคุม ไม่ต้องมากนัก มันก็ทำได้ แต่ก็ต้องมาควบคุมน่ะ ควบคุมมากหรือน้อยก็ตาม ก็ต้องมาควบคุม ชำนาญมากก็แทบจะหลับตาทำ แทบจะไม่ต้องใช้สมอง หรือว่าใช้ความรู้อะไรมาควบคุมมากนัก ชำนาญมาก แต่ก็ต้องใช้ ไม่ใช้จริงๆ ไม่ได้ ไม่ใช้จริงๆ มันไม่เป็นเรื่องเป็นราว

เพราะว่ามันจะต้องเป็นตามจังหวะ ตามเรื่องราวอะไรๆของมัน ที่จิตต้องส่งเข้าไปกำหนด สัญญากำหนดให้ทำ จะทำอะไรล่ะ คุณจะทำอะไรก็ตามใจ มันก็จะเป็นเช่นนั้นน่ะ แม้แต่คุณ จะก้าว จะเดิน จะขยิบตา จะกะพริบตา จะเอี้ยวแขน ไกวขาอะไร ก็มีจิตเข้าไปสั่งการ ทั้งนั้นน่ะ มีสมอง มีความรู้ว่า เราควรจะเดิน เดินยังไง ทำอะไรยังไง ยกมือ ยกแขน ยกขา อะไร ยังไง มันมีความรู้ มันรู้ และ มันก็สั่งตามรู้นั้น

เพราะฉะนั้นคำว่า สมอง นี่ หมายถึง ความรู้ เท่าที่เรารู้ด้วย และมีความรู้ ที่ยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็มาทำงาน ร่วมกับสมองอยู่ด้วย สมองหมายถึง ความรู้ล่ะนะ ทีนี้คนทำงาน โดยใช้สมองน่ะ ใช้สมองและหัวใจ คือใช้ความรู้ แล้วก็ใช้ใจที่.. หัวใจนี่หมายความว่า จิตวิญญาณส่วนหนึ่ง หรือใจส่วนหนึ่งที่..เขามีความชอบ มีความชอบ มีความศรัทธาในสิ่งนั้น มีความเห็นดีเห็นชอบ มีความมุ่งมั่นในสิ่งนั้น อย่างโถม อย่างอะไรเข้าไปมาก มีหัวใจมากเท่าไหร่ ก็คือมีใจที่โถมเข้าไปมากเท่านั้นน่ะ แล้วก็มีความศรัทธาสูงเท่าไหร่ ก็คือหัวใจมากเท่านั้น ศรัทธาอันนี้ หมายถึงหัวใจ สมองหมายถึงปัญญา คล้ายๆอย่างนั้นน่ะ หมายถึงหัวใจ หมายถึงศรัทธา มันยินดี มันเห็นจริง มันเป็นจุดหมาย จุดเลิศ จุดยอด จุดที่เห็นว่า สำคัญ สมควรอะไรอย่างมากมาย ยิ่งมีใจเข้าไปแนบเนื่องเท่าไหร่ว่า โอ๊ย! นี่เป็นจิต เป็นใจทีเดียว ทำอย่างสุดจิตสุดใจทีเดียวเท่าไหร่ นั่นคือ ความหมายคำว่า มีใจประกอบในสิ่งนั้นๆ ทำโดยที่ว่ามีจิตใจประกอบเข้าไปมากเท่าใด ก็มีหัวใจมากเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำงานโดยใช้ความรู้ด้วย ด้วยศรัทธา ด้วยหัวใจด้วย ก็เป็นได้เพียงกรรมการ หรือบัณฑิต หรือนักวิชาการ ทุกวันนี้นี่มีมาก แต่ไม่ค่อยมีฝีมือ ไม่ค่อยทำ ได้แต่ความรู้ กับใจรัก ใจสมัคร ใจศรัทธา มีแต่ความรู้กับใจศรัทธา นักอุดมการณ์มากมาย ที่มีความรู้ แล้วก็มีใจศรัทธา ผูกพัน มีใจ เต็มใจถึงขนาดกล้าตายด้วยเลยได้ แต่ทำจริงๆ ไม่เป็น ไม่มีฝีมือในการลงมือทำ จะทำอะไรตั้งแต่หยาบ จนกระทั่งถึงละเอียด อะไรก็แล้วแต่ ในวงชีวิต เช่นว่า ต้องการให้ประชาชน นี่เป็นสุข แต่ตัวเองยังไม่เป็นสุขเลย ยังทำไม่เป็นเลย ของตัวเองล่ะนะ

เพราะฉะนั้น ยิ่งจะไปลงมือทำกับประชาชนให้เขาเป็นสุข ก็เลิกกันเลย แต่มีศรัทธา มีความรู้นะ โอ๊! มีฉากๆ เลยนะ มีทฤษฎีอย่างโน้นอย่างนี้อะไรมากมาย แต่ตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็นสุขไม่ได้ หรือบางทีนี่ มีความรู้ว่า จะต้องให้ประชาชนนี่ร่ำรวย ไม่อดอยาก แต่ตัวเอง ยังอดอยากเลย ตัวเองยังไม่ร่ำรวยเลยนะ ไม่ร่ำรวยคำนี้ หมายความว่า ตัวเองยังทำกินทำใช้ ไม่เป็นเลย ยังจะต้องไปแฝงกิน แฝงใช้อยู่กับคนอื่นมากมาย ไม่ได้ลงมือทำหรอก อาจจะมีความรู้ด้วยซ้ำว่า จะทำกินทำยังไง ทำไร่ทำยังไง ทำนายังไง ทำสวนยังไง ทำงานโน้นนี้ยังไง อาจจะรู้ด้วยซ้ำนะ รู้ทฤษฎี ศาสตร์ต่างๆ จะทำอันนั้น ทำอันนี้ แต่ไม่เป็น ไม่ได้ลงมือทำ ไม่เคยทำน่ะ ถ้าคนที่รู้ว่า ทำอันโน้น ทำอันนี้นะ ยังพอบอกคนอื่นได้ ให้เขาไปทำ คนอื่นกลับไปทำเป็นบ้าง แต่ตัวเองไม่เป็นเลย นักอุดมการณ์ อย่างนี้มีเยอะ เดี๋ยวนี้ยิ่งเยอะขึ้นทุกวัน จะไม่ทำ แล้วจะไม่เป็น มันเอาแต่รู้กับมีหัวใจ กับสิ่งนั้น ผูกพันกับสิ่งนั้น ศรัทธากับสิ่งนั้น ยินดีกับสิ่งนั้น เลยโลกเต็มไปด้วยบัณฑิต แล้วส่งเสริมนะ สนับสนุน แล้วขายได้ด้วยนะ ราคาดีด้วยนะ คนแบบนี้ราคาดี

คนในระดับอย่างที่ ๑ คือลงมือทำ แล้วก็มีความรู้ มันต้องมีอยู่แน่ บอกแล้ว มีสมองแล้วมีความรู้ พอที่ตัวเองจะทำ เป็นกรรมกรนี่ ในโลกนี้ขณะนี้นี่มากไปด้วยกรรมกร ๑
กับกรรมการ หรือบัณฑิต หรือนักวิชาการนี่ ชื่อเขาเยอะ อันนี้ตำแหน่งเขาเยอะ อีกอันหนึ่งเยอะ แล้วก็ดูเหมือน กรรมกรจะแพ้ลงไปทุกที กรรมการ หรือบัณฑิต หรือนักวิชาการ จะชนะเข้าไปทุกที ทุกวันนี้ชนะ แล้วคุณคิดดูซิว่า ถ้าเผื่อว่าโลกนี่ส่งเสริมให้แต่ผู้ที่เป็น กรรมการ หรือเป็นบัณฑิต เป็นนักวิชาการนี่ เต็มบ้านเต็มเมือง คือไม่ทำ ทำไม่เป็น เป็นแต่รู้นี่มากขึ้น กรรมกรน้อยลงๆ เป็นไง หือ ตาย ไอ้อุดมการณ์ที่ว่านั่น ล่มจมหมด จะให้เป็นสุข จะให้อุดมสมบูรณ์ จะให้เป็นโน่นเป็นนี่ อะไรนี่ หมด บรรลัยหมด แม้แต่จะให้เป็นนิกส์ เป็นนิกส์ก็บรรลัย คิดดูง่ายๆ จะให้คนมาเป็นบัณฑิต เป็นกรรมกร รู้นะ ทำไม่เป็น บัณฑิต กดปุ่มยังไม่เป็นเลย บัณฑิตนี่ เอาง่ายๆคือไม่ทำ เป็นกรรมกรไม่เป็น เป็นกรรมกร ไม่ได้

นี่เป็นเรื่องเสื่อมเสีย เป็นเรื่องที่ไม่รู้ เป็นเรื่องที่หลงใหล หลงใหลจริงๆ เลยทุกวันนี้ พูดจริงๆ เขาก็รู้นะว่า ทำ ลงมือทำนั่นมันดี แต่ไม่ทำหรอก แล้วมาสร้างค่านิยม ว่าเป็นศักดิ์ศรี คนทำก็คือ คนทำชั้นต่ำ คนที่ชี้ใช้ คนที่บงการ สามารถใช้ความรู้ความสามารถนี่ บอกแต่ปากเฉยๆ นั่นแหละ เป็นคนสูง เห็นไหมว่า ความหลงผิด ความเข้าใจผิด นี่ มันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว แล้วนิยมกัน มันก็พัง เพราะฉะนั้น ต้องเห็นว่า ลงมือทำนี่แหละ คนที่ลงมือทำแท้ๆนี่แหละ เอ๊! ดูเหมือนจะเคยผ่านๆ วาทะคานธีนี่ใช่ไหม ที่ว่า.. หรือ ใครล่ะที่ว่า ใครที่ไม่ลงมือทำ ก็ไม่ควรกิน วาทะคานธีหรือใครนี่ คนที่ไม่ลงมือทำ ก็ไม่ควร กินอะไร หือ เลนินหรือ คนที่ไม่ลงมือทำงาน ก็ไม่ควรกินอาหาร หรืออะไรนี่นะ นี่ล่ะ มันเป็นความเข้าใจที่เผินที่ผิดไปทั่วโลกเลย นิยมอย่างนั้น เป็นศักดินาน่ะ เป็นทุนนิยมอะไร ไปอย่างที่ว่านั่นน่ะ เอาล่ะ นี่อธิบายความหมายหลักๆให้ฟังก่อน

ทีนี้ต่อมา คนที่ทำงานโดยใช้มือ ก็คือย่อลงมาจากว่า ใช้กำลังมือ หรือฝีมือ อะไรพวกนี้ และสมอง หมายความว่า มีความรู้มากขึ้น ใช้มือ ลงมือทำ แล้วก็ใช้สมองมากขึ้น ศึกษาความรู้ ก็เป็นช่างฝีมือ ช่างฝีมือนี่ จะมีความรู้ รู้ในงานที่เขาลงมือทำจริงๆ ช่างฝีมือคือคนทำได้ มีฝีมือ บางทีเขาก็เรียกว่า ศิลปะ ศิลปิน เหมือนกัน พวกช่างฝีมือ บางทีเขาก็เรียกศิลปิน ทำออกมาได้จริงๆ มีฝีมือทำ แล้วทีนี้ มันมาเหยียดกัน ระหว่างศิลปิน กับช่างฝีมือ เขาเหยียดกัน มันมีศักดินาขึ้นมาอีกซ้อนเชิง ศักดินาซ้อนเชิงน่ะ คนที่เป็นช่างฝีมือก็บอก เอ๊อ! ไอ้นี่มัน ภาษาอังกฤษเขาใช้ craft มันเป็นงานแค่ craft มัน ไม่ใช่ art เขาเหยียดกัน พวกนี้ช่างฝีมือ craft น่ะ ถ้าเผื่อว่าจริงๆแล้ว มันต้องเป็น art ต้องเป็นศิลปะ ศิลปะ art น่ะ มันเหยียดกันตั้งแต่ ทั้งฝรั่งมาจนไทย เหยียดกัน แบ่งชั้นวรรณะกันน่ะ

เพราะฉะนั้น คนที่ทำงานด้วยลงมือทำจริงๆ แล้วก็มีความรู้ประกอบ หรือมี สมอง ใช้สมองด้วย ก็เป็นช่างฝีมือ ทำได้มาก มีความรู้ที่จะพัฒนา ประยุกต์ ดัดแปลง ปรับปรุงอะไรขึ้นมา แล้วก็ทำขึ้นมา สำเร็จทุกทีๆ ก็เรียกว่า ช่างฝีมือ

ทีนี้คนทำงานโดยใช้มือ ใช้หัวใจ ไม่ค่อยใช้ความรู้เท่าไหร่ พวกนี้เก๊ลงๆ พวกภาพ abstract ส่วนมากน่ะ พวกเขียนภาพก็ภาพ abstract พวกปั้นก็ปั้นด้วย abstract คือใช้มือกับหัวใจ ตามใจกูเท่านั้นแหละ ศรัทธาเลื่อมใส แล้วดิ่งไปในภพของตัวเองนะ กูจะหมายอย่างนี้ หรือไม่หมายอย่างนี้ กูจะทำสบายใจ ของกูเอง มีหัวใจ ดิ่งไปเลย อู้หู! ยอดเยี่ยม อื้อหือ! ลึกซึ้ง อื้อหือ! แน่จริงๆ โอ้โห! ไปอยู่มันคนเดียว นี่พวกนี้พวก ab abstract art เขาเรียก ศิลปะนามธรรม อะไรพวกนี้ ใจเขาแน่เลยนะ รุนแรงไป บางทีตัวเองยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองหมายถึงอะไร ขอให้มันสมใจกูอย่างเดียว อยากจะขีด อยากจะเขี่ยยังไง ก็ไปของกู โอ้โห! มันมันดีเหลือเกิน มัน อู้ฮู! วิเศษ เหลือเกิน คนอื่นไม่รู้ด้วย กูรู้อยู่คนเดียว บ้าอยู่คนเดียว ใช้หัวใจ ใช้มือกับใช้หัวใจทำ อย่างนี้ คือก็เป็นได้เพียง ผู้หลงตนว่า เป็นศิลปินเท่านั้น แล้วเยอะด้วย ตลาดศิลปะทุกวันนี้ มีศิลปินแบบนี้มาก ถึงขนาดให้รางวัล เหรียญทองกันเลยนะ อาตมายกตัวอย่างบ่อยนี่ มันซึ้งจริงๆเลยนะ เขาเขียนภาพเสร็จแล้วก็ โอ้โห! ภาพนี้ได้รางวัลเหรียญทอง คนไปสัมภาษณ์ บอกว่า เออ! ภาพของท่านนี่ หมายความอะไร ผมยังไม่รู้เลยว่า หมายความว่าอะไร แหม! อาตมาฟังแล้วมันเน่าในหัวใจจริงๆเลย บอก โอ้โห! คนทำยังไม่รู้เลยว่าอะไร แล้วมันจะไปให้คนอื่นรู้ได้ยังไงว่าคืออะไร แล้วหมายว่าอะไร นี่ยังงี้ มันเป็นการทำสมใจตัวเอง เท่านั้นเอง ทำไปเถอะ อะไรก็ได้ จะเอาอันนี้ สื่ออันนี้อะไรก็คิดไป ของตัวเอง เมาๆ เมินๆ ฝันๆ เพ้อๆ อะไรไป เอาตัวนั้นมาต่อตัวนี้ เอาอันนี้มาอะไรๆ ไปตามเรื่อง ตามราว คิดฝันวุ่นวายอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็ไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้จุด ไม่รู้หลัก ไม่รู้ว่า อันนี้มันประกอบด้วยอันนี้ มันจะสื่อให้คนรู้ได้ไหม คนอื่นจะเข้าใจได้ไหม ไม่คำนึงถึงใคร อยู่กับกูคนเดียว เป็นการบำเรออัตภาพ บำเรอภพ อัตภาพ บำเรออัตตา อันนี้อาตมาเคยเขียน เคยว่า เคยเขียนไว้ โอ๊ย! เขาโกรธกัน พวกนักศิลปินเขาโกรธกัน หาว่าไปว่าเขา ที่จริงไม่ใช่หาหรอก อาตมาว่าจริงๆเลยน่ะ ว่าจริงๆ เจตนาว่าจริงๆ ไม่ต้องมาหา เหอ ว่าอาตมาว่าอย่างโน้นอย่างนี้ เจตนาว่าให้รู้ตัว แต่ไม่รู้ตัวหรอก โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

นี่ก็พูดเหยียดๆหน่อย คือเอาใช้มือกับหัวใจ แล้วทำไปเถอะมือ บางทีก็คิด อยากจะทำอะไรก็ทำ เอาไอ้นั่นมาต่อมาติด เอาไอ้นั่นมาโปะมาปะอะไรก็ทำไป กับหัวใจที่ตัวเองคิดว่ามันดี แต่ไม่มีความรู้ว่า แล้วมันสื่อได้ไหมล่ะ แล้วมันหมายว่าอะไร ไม่มีความรู้ ไอ้ที่หมายนั้นน่ะ มันเป็นสารัตถะ ที่มนุษย์มนา ควรจะรู้ ควรจะเรียน ควรจะได้รับการ... พอดูแล้วนี่ มีผลกระทบ ทำให้เกิดสำนึก หรือเกิดสติ หรือเกิดการพัฒนาอะไร หรือการสร้างสรรอะไร ความดีงามอะไรขึ้นไหม ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ขาดความรู้ ขาดสมอง ขาดความรู้ มีแต่ใจ หัวใจกับไอ้มือทำเท่านั้นเอง นี่พวกนี้หลงตนว่าเป็นศิลปิน มีเยอะ

เพราะฉะนั้น คนที่ทำงานโดยใช้มือ ใช้สมอง ใช้หัวใจ ก็เป็นศิลปินน่ะ ชักใช้ ความรู้ มีทำจริงๆ มีมือ มีใช้มือ ลงมือทำ จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นนักสร้างบ้านก็สร้าง จะเป็นนักสร้างอะไรก็สร้าง ทีนี้เขาไปเรียก แต่เพียงศิลปิน แต่นี่กำหนดนิยามคำว่าศิลปิน หน่อย

เขาไปกำหนดแต่ศิลปินคือพวกเขียนนะ พวกวาด พวกปั้น พวก.. อะไรอีกล่ะ มีจิตรกรรม ปฏิมากรรม สถาปัตยกรรม พวกเขียน แต่ก่อนนี้อาตมาเรียน Fine art มันมี ๕ แขนงเท่านั้นน่ะ เดี๋ยวนี้มันมี โอย! art มันมีไม่รู้กี่ art แล้ว แต่ก่อนอาตมาเรียน เขาแบ่งมันมี ๕ แขนงใหญ่ๆเท่านั้น มีเขียน ศิลปะเขียน ศิลปะปั้น ศิลปะสร้าง ก่อสร้าง สร้างบ้านสร้างเรือนนี่ เป็นสถาปนิกนี่ ศิลปะทางวรรณกรรม วรรณกรรมทางด้าน literature ทางด้านภาษาหนังสือวรรณคดี อะไรพวกนี้นะ แล้วก็ศิลปะทางดนตรี นาฏกรรม มันมี ๕ ดนตรีกับนาฏกรรมนี่ เขารวมไว้อันเดียวกันเสียด้วยซ้ำ ที่จริงมันน่าจะแยกได้ ดนตรี นาฏกรรม การร่ายรำฟ้อนอะไรต่างๆนานา ลีลาทางด้านท่าทาง เดี๋ยวนี้ เขาแยกกันไปเยอะแยะแล้ว มีพาณิชยกรรม มีอุตสาหกรรมศิลป์ มีอะไรก็แล้วแต่ โอ้โฮ! มากมายก่ายกอง มีโฆษณาศิลป์ มีพาณิชยศิลป์ อะไรต่างๆนานาสารพัด มีศิลปะการ์ตูน ศิลปะรูปประกอบภาพ เขียนประกอบภาพ โอ๊! แบ่งกันไปมากมาย ศิลปะต่างๆนานา มี มัณฑนศิลป์ ศิลปะตกแต่ง อะไรอีกเยอะแยะ อาตมาก็ไม่มีปัญหานะ ที่จริงน่ะจะตามเขาก็ได้ อาตมาตามไอ้พวกนี้ก็ได้ เพราะว่ามันย่อย มันแยกย่อยออกมา แบ่งกันเรียนให้มันมากขึ้น เท่านั้นเอง ที่จริงแล้วศิลปะนี่ แม้แต่ศิลปะ ลงมือทำหน้าก็มีศิลปะ ลงมือกวาดบ้านก็มีศิลปะ ลงมือขัดส้วมก็มีศิลปะ ศิลปะคือการกระทำด้วย ศิลปะ นี่คือการกระทำ นี่ยังไงในนี้บอกแล้ว ศิลปะคือ การกระทำด้วยมือ และหัวใจ พร้อมทั้งใช้สมอง จนกระทั่ง สมองนั้นถึงขั้นญาณ โน่นแหละ สมองหรือความรู้นั้น จนถึงขั้นญาณ ขั้นญาณหมายความว่า รู้ความจริงตามความเป็นจริง ที่ถ้าเป็นสมมุติสัจจะ ก็มีคุณค่า ที่อาศัยได้อย่างดี ถ้าเป็นปรมัตถสัจจะ ก็ได้ลดกิเลสตนเอง เรียกว่าญาณ รู้ความจริง ทั้งสัจจะที่เป็นสมมุติ ทั้งสัจจะที่เป็นปรมัตถ์ ที่หมายถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน คือสัจจะมี ๒ อย่างนะ คุณอย่าเผลอไปดูถูกสมมุติสัจจะนะ ชีวิตคนเรานี่ อยู่ได้ด้วยสมมุติสัจจะ แต่จะเจริญได้ด้วยปรมัตถสัจจะ คนเราอยู่ได้ด้วยสมมุติ ถ้าไม่มีสมมุติสัจจะ อยู่ไม่ได้ สำคัญนะ พระอรหันต์เจ้า หมดปรมัตถสัจจะ แล้วอยู่ได้ด้วย สมมุติสัจจะ อาศัยชีวิตไปด้วยสมมุติสัจจะ เพราะฉะนั้น พัฒนาปรมัตถสัจจะ จบถึงนิพพานแล้ว ก็อยู่อาศัยอยู่กับสมมุติสัจจะ

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้านี่ จึงมีสมมุติสัจจะเป็นสำคัญ คำนึง สำนึก ตรวจตราอยู่กับ สมมุติสัจจะ แล้วก็พยายามช่วยเหลือเฟือฟายคนอื่นด้วยสมมุติสัจจะ พร้อมกันนั้น ก็ให้คนอื่น ได้พัฒนา ทางปรมัตถสัจจะด้วย เพราะมีความรู้อันนี้ด้วยน่ะ ศิลปินมีครบครัน ทุกอย่าง ที่จริงแล้ว ศิลปินก็ ถ้าเผื่อว่าถึงขั้นปรมัตถสัจจะ ก็เป็นพระอริยะ มีญาณ ถ้าศิลปิน อย่างสูงนี่มีญาณ เพราะฉะนั้น จะมีความรู้ทั้งนั้นเลยว่า อันนี้ดีเป็นกุศล ดี แม้แต่กวาดบ้าน กวาดเรือน ขัดส้วมอะไร ก็มีความรู้ มีความละเอียดลออ มีฝีมือทำได้ แล้วก็ทำดี ได้อาศัย อย่างดี ปัด กวาด เช็ด ถู สร้าง ก่อ ทำโน่น ทำนี่ ทำกับข้าวกับน้ำ เป็นศิลปะน่ะ ทำอาหารการกิน ตัดเสื้อตัดผ้าใส่ เป็นศิลปะน่ะ สร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่อาศัย มีที่พักที่อาศัยต่างๆนานา นี่เอาปัจจัย ๔ หลักๆมา เป็นศิลปะ ทำหยูกทำยา ทำอะไรต่ออะไรขึ้นมา ให้ได้รักษา แม้แต่ทำยา ให้มันรู้สึกดีนะ ทำ รู้จักวิธีการ ที่จะทำยังไง ขึ้นมา ให้มันง่าย ให้มันสะดวก ให้มันกินแล้วก็ทำคุณค่าประโยชน์กับร่างกาย ทำปฏิกิริยาสังเคราะห์ได้เร็ว อะไรต่างๆนานา เป็นความสามารถ ความรู้ และทำด้วย อย่างที่ศรัทธาเลื่อมใส เห็นจริงเลยว่า อันนี้มันดีนะ เป็นประโยชน์คุณค่าน่ะ แล้วทำจริงๆ เป็นศิลปะ สมมุติสัจจะที่ดีน่ะ ยิ่งมีญาณรู้ลึกไปถึงปรมัตถสัจจะ ว่าโอ! ถ้าทำพวกนี้ด้วย แล้วเราก็ละความโลภ ของตัวเองด้วย เราสร้างได้มากๆ ให้คนอื่นได้มากๆนี่ ยิ่งเกิดญาณปัญญา เกิดจริง โอ๊! ดีนะ เรายิ่ง สร้างได้ดี โอ๊! มีคุณค่าต่อมนุษย์ แล้วรู้ด้วย มนุษย์คนนั้นคนนี้ควร คนไหนควรให้ คนไหน ควรสงเคราะห์ คนไหนควรช่วย คนนี้ไม่ควรช่วยหรอก ไม่ดีหรอก คนนี้ทำแต่พังๆๆน่ะ แล้วก็จิตใจไม่ดี นิสัยไม่ดี อกุศลแยะ แล้วก็ฉลาดโกงด้วย โกงแยะด้วย คนนี้อย่าเพิ่งช่วย ช่วยไม่ไหวน่ะ ให้ห่างออกไปไกลๆก่อน อยู่ใกล้ๆไม่ได้ พออยู่ใกล้ๆ แหม! รวน แล้วจะทำ ตัวอย่างอันไม่ดีไม่งาม ให้คนอื่นที่ยังเข้าใจไม่ได้ พาหลงตาม เป็นบาปของเขาด้วย บาปหนักด้วย ไม่ดี ต้องออกไปก่อน หนีไปก่อน นั่นแหละ ถ้าหนีไปก่อนยังเป็นบุญเสียกว่า ถ้าอยู่แล้วเป็นบาปน่ะ อยู่ด้วยล่ะเป็นบาป เพราะว่าเขาเอง เขาไม่รู้ตัวว่าเขาทำชั่ว ที่เป็นตัวอย่าง คนอื่นอยู่อย่างไม่เข้าท่าเลย โดยเฉพาะ ในคนหมู่ที่เขากำลังทำดี อยู่ในขั้นหนึ่งด้วย ไปอยู่กับหมู่ที่ยังไงๆมันก็เน่าอยู่ด้วยกัน มันก็เละๆ อยู่ด้วยกัน เออ! อย่างนั้นมันก็ค่อยยังชั่ว มันก็ยัง ขี้โคลนก็ปนขี้โคลนไป มันก็อยู่ด้วยกันได้ อย่าเอามาปน นี่ขาวๆ ผ้าขาวๆ แล้วเอาเน่าๆมาอยู่กันอย่างนี้ เสียหาย ไม่ดี เพราะฉะนั้น ขจัดออกไป การขจัดออกไปเป็นบุญ การเอาไว้เป็นบาปน่ะ เสียหาย อย่างนี้เป็นต้น

จะรู้จักอะไรต่ออะไรลึกซึ้งละเอียดลออ คนนี้ควรให้ คนนี้ควรไม่ให้ สมองก็ความรู้ก็ลึกซึ้ง สูงเป็นญาณ รู้จักการจัด การแจก การแบ่ง การกำหนด การอะไรต่ออะไรไปต่างๆนานา มันลึกซึ้งขึ้นไปมากขึ้น และอะไรๆ ถ้าว่ากันจริงแล้ว ถ้าเกิดประโยชน์ ดำเนินสูงด้วยสัจจะทั้ง ๒ ส่วน ทั้งสมมุติสัจจะ และ ปรมัตถสัจจะ นั่นแหละคือ อัจฉริยบุคคล หรือพระอริยะ หรือศิลปินแท้ๆ แต่มันเหนือกว่า ศิลปินแล้ว ถ้าเผื่อถึงขั้นมีญาณ ถึงขั้นเป็นอริยะแล้วนี่ เป็นศิลปินแท้ๆ เขาเรียน ศิลปะ ในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก เขาเรียนถึงอภิปรัชญาด้วย เรียนถึงขั้น ปรมัตถสัจจะด้วย แต่ว่าในต่างประเทศ เขาไม่มีความรู้ทางด้านปรมัตถสัจจะ เขาก็สอนอภิปรัชญาอย่างนั้น อาตมาเลย ไม่ต้องไปเรียนในต่างประเทศ เพราะอาตมาเรียนรู้อภิปรัชญา และรู้จักความเป็นอัจฉริยะ หรือ อริยะในศิลปะได้โดยเอง โดยตนเองนะ พวกศิลปินทั้งหลายแหล่ พวกที่ได้บัณฑิตมาทางศิลปะ ทั้งหลายแหล่ ได้ฟังแล้วคงหมั่นไส้ เหมือนกับผู้ที่เรียนเปรียญมา เหมือนกันกับพวกที่เรียนเปรียญมา ก็เลยหมั่นไส้

อาตมามาบรรยายพระบาลี มาบรรยายภาษาที่เขาเรียนมาโดยตรง อาตมา ยิ่งบาลีไม่ได้เรียนเลย เขาก็ยิ่งเอาใหญ่เลย แล้วอาตมาเรียนศิลปะ ก็ไม่ได้เรียนสูงส่งอะไร เรียนแต่แค่พื้นฐาน เรียนรู้แต่ แค่หลักๆๆๆ ส่วนรายละเอียดลึกๆๆๆ ที่แบ่งย่อยออกไป อาตมาไม่ได้ไปเรียน มันประหลาดนะ ซึ่งมันประหลาด ไอ้ตรงที่ว่า อาตมาไม่น่าที่จะไม่ได้เรียนน่ะ ความรู้ความสามารถของอาตมา ไม่น่าจะ entrance ไม่ได้ ไม่น่าจะไม่ได้น่ะ ประหลาด มันประหลาดที่ว่าอาตมาไม่น่า

แม้แต่ศิลปะจุฬาฯนี่นะ ในด้านครุศาสตร์ เขามีแขนงจุฬาฯนี่ อาตมานี่ ไปเริ่มคนแรกเลยนะ ตอนนั้น อาจารย์อำไพ เป็นคณบดี เอาไปเลยนะ เอาไอ้พวก I-๒๐ อะไร ต่างๆไปดู ไปตรวจอะไรหมดแล้ว เสร็จแล้ว ตอบอาตมายังไง บอกว่า เขายังไม่มีงบประมาณจะเปิด major อันนี้ เพราะฉะนั้น ยังไม่รับ ขนาดรับไว้หมดแล้วนะ อะไร อาตมามีสิทธิ์ที่จะเรียนได้นะ จะทำปริญญาครุศาสตร์แขนงศิลปะ ที่นี่มีท่านสิริเตโช จบ ครุศาสตร์ แผนกศิลปะ จุฬาฯน่ะมี ตอนหลังมี แต่อาตมานี่ไป ไม่มี ก็เลย ไม่ต้องเรียนกัน ศิลปะ ซึ่งมันตลกนะ อาตมานี่ ศิลปากรก็ไปสอบเข้านะ แต่ไม่รู้มันไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันไม่ทันการ ทำส่งไม่ทัน ก็เข้าไม่ได้น่ะซีเนาะ ทำส่งไม่ทัน แล้วจะไปได้เรื่องอะไร มันตลกนะ มันไม่น่าจะไม่ได้นะ มันตลกน่ะ ก็ไม่ต้องเรียนกัน ไม่ได้เรียน

ไอ้อันอื่นจะได้เรียน ที่จริงอาตมาควรจะได้เรียนนะ ครุศาสตร์แขนงนั้นน่ะนะ เรียน twilight ด้วย เพราะว่า ไม่มีเวลาเรียนตรง เรียน twilight เขาก็เกริ่นๆ น่ะจะเปิด เอาไปเอามา ก็ให้อาตมาอุตส่าห์ เอาอะไรๆไป เสร็จแล้วมาตอบทีหลัง บอกว่า เขาไม่มีงบประมาณ เอ๊ะ! ไม่มีงบประมาณ ทำไมจะต้อง บอกว่าเปิด ให้อาตมาเที่ยวได้เอาหลักฐานอะไรไป เที่ยวได้วิ่งเต้นเดินเรื่อง เสร็จแล้วก็มาบอก อาตมาว่า เขายังไม่เปิด เออ! ไม่เปิดอาตมาก็ไม่ต้องเข้า เขาไม่เปิด เข้าไปได้หรือ ใช่ไหม เดี๋ยวก็ โดนจับ อย่างนี้เป็นต้นนะ อาตมาก็ประหลาดดีนะ ศิลปะที่อาตมาขวนขวายที่จะเรียนก็มี ด้านวาดเขียน ด้าน painting ด้านวิจิตรศิลป์ กับด้านดนตรี ดนตรีก็ไปนั่งเรียนที่จุฬาฯ อาจารย์กำธร ไปสอน ไปนั่งเรียน เรียนแล้วก็มันก็ไปแฝงๆ เขาอยู่เหมือนกันนั่นแหละ เดี๋ยวนี้เขามีแล้ว แผนกดนตรีการ เขาก็มีแล้ว ไอ้ที่ตอนอาตมาไปนั่งเรียนนั่นนะ ก็ไปนั่งเรียนอยู่จุฬาฯ ครุศาสตร์ นั่นแหละ อยู่ในห้องเรียน อยู่ในโน่นล่ะ เขาก็ไม่รับ เขาก็ยังไม่ได้จัดการอะไร เวลาจะสอบ ส่งไปสอบ Trinity ส่งไปสอบ ส่ง paper ไปโน่น เมืองฝรั่งโน่น อังกฤษโน่น อาตมาได้เกรด ๔ สอบมันจนกระทั่งเกรด ๔ ในทางดนตรีนะ สอบได้ certificate ของเมืองนอกนะ เดี๋ยวนี้ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ จาก Trinity จาก มหาวิทยาลัย Trinity ที่อังกฤษ เรียนไปเรียนมา อาตมา เอ๊อ! มันยังไง มันไม่เห็นจะ
มีอะไรกัน ที่นี่ก็ไม่รับสักที ก็เลยหนีอีก ก็ไม่ต้องได้กัน ไอ้เรื่องที่ทางอักษรศาสตร์นั่นน่ะ ไม่ต้องห่วงเลย เพราะว่า ไม่ได้เจตนาจะเข้ามาแต่ต้น ซึ่งก็เคยเล่าให้ฟังว่า พี่ชายเขาบอกว่า ถ้าเผื่อว่า จะเข้าศิลปะ อาตมา ถ้าว่าเรียน art มันก็คงได้เหรียญ ว่างั้น มันก็คง ได้เกียรตินิยม อะไรยังงี้นะ เมื่อมันดันเรียน วิทยาศาสตร์ แหม! วิทยาศาสตร์นั่นก็ คะแนน ๑๐๐ ก็เอาแค่ ๑๐ อะไรอย่างนี้ มันก็จะไปรอดอะไรนะ คะแนน ๑๐๐ เอาแค่ ๑๐ อาจารย์สอนนั่น ดร.สตางค์ มงคลสุข อย่างนี้ ดร.ทองสุข พงศทัต อะไรอย่างนี้ โอย! ชั้น ๑ เลย อาจารย์ที่จุฬาฯนะ สอนน่ะ อาตมาเรียนโรงเรียนราษฎร์ แต่ว่าจ้าง อาจารย์ จุฬาฯ เขามาเป็นอาจารย์ที๋โรงเรียนน่ะ เขาสอน เขาจ้างอาจารย์จุฬาฯมาสอน ครูก็สอนไป เราก็นั่งวาดรูปไป ครูสอนไป เราก็แต่งเพลงไป อยู่ที่โต๊ะเรียน โต๊ะห้องเรียน เราแต่งเพลงไป วาดรูปไป เขาก็สอนไปสิ วิทยาศาสตร์ เราก็วาดรูปไป แล้วก็แต่งเพลงไป แล้วมันจะไปได้ยังไงล่ะ ๑๐๐ คะแนน ๑๐๐ มันก็เอาแค่ ๑๐ ก็บุญแล้วน่ะ สอบคะแนน ๑๐๐ ก็ได้ ๑๐/๑๐๐ มันจะไปเหลืออะไร ก็ตกน่ะ ไม่มีปัญหา ไม่เอาถ่านในเรื่องพวกนี้น่ะ ก็ไปเอาถ่านทาง art แต่ก็เอาละ ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่สงสัยนะ ว่าอาตมาเป็นศิลปิน

การพูด การใช้ภาษา สำนวนโวหาร ท่าทีลีลา อะไรต่างๆนานา เดี๋ยวนี้ก็เป็นดาราดาเรอ เป็นนักแสดง ก็เป็น art เขาก็ถือว่า art ศิลปินทั้งนั้นแหละ ศิลปิน การทำชีวิต

สรุปแล้วนี่ การทำชีวิตของเราให้พ้นทุกข์ ให้ลดกิเลสได้ด้วย ให้มีความสามารถ ฝีมือ มีความรู้ มีหัวใจ มีสมองจริงๆ มีญาณถึงขั้นญาณจริงๆ ลงมือประกอบการให้ชีวิต ของเรานี่อยู่เป็นสุข และก็ดำเนินไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้กำหนดเอาไว้ เป็นคนเลี้ยงง่าย กินง่าย เป็นคนอยู่ง่าย เป็นคนบำรุงง่าย ให้เจริญได้ง่าย นี่เรียกบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ ถ้าได้เป็นอย่างนี้ เป็นยอดศิลปิน

เพราะฉะนั้น พวกศิลปินนี่ ดูแล้วคุณจะสงสัย พวกที่เขาหลงๆตัวว่าเป็นศิลปินนี่ หลายคนนี่ ก็พอมีแว็บๆ รู้เหมือนกันนะ จะไปรวยทำไม จนๆดีกว่า บ้าๆบอๆ ไม่ต้องไปสะสม เป็นคนสันโดษ มักน้อย ทำเป็นรุ่มๆร่ามๆ เป็นเหมือนไอ้บ้าไอ้บอ อะไรต่างๆนานา มันมีมี อยู่นะ รำๆไรๆ วอบๆแวบๆ แต่เอาจริง มันก็ต้องการชื่อเสียง ต้องการเงินทอง ให้ราคา ของของเราดีๆนะ ต้องราคาแพงๆ งานของเรานี่ ต้องขายได้ขนาด แฮ่ เป็นเงินล้านๆ เหมือนอย่างกับ แวน โก๊ะ อย่างนี้เป็นต้น รูปหนึ่งขาย ๕๐ ล้าน อะไรอย่างนี้ มันก็บ้าๆ บอๆ มันกวัดๆ แกว่งๆ มันไม่แน่ไม่นอนหรอกน่ะ รูปของเราต้องมีค่า มีราคา ขาย ๕๐ ล้านได้ มันถึงจะ แหม! เป็นศิลปินชั้นเลิศชั้นยอด อะไรอย่างนี้นะ บางทีก็บอกว่า มอซอ แล้วกัน เป็นคนจนๆก็ได้ อะไรต่างๆนานา มันสับสน มันไม่แน่นอนหรอก มันไม่มีความรู้ ที่เด่นชัด จะอะไรก็ไม่อะไร จะบอกว่ามักน้อย ที่จริงมันก็เข้าท่านะ รู้สึกว่า แหม! ไม่ต้อง ไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องไปติดยึดโน่นนี่ อะไรต่ออะไรต่างๆนานาน่ะ ไม่ต้องยึดรูปแบบ ไม่ต้องยึดอะไร ต่างๆนานา เลยเขียนส่งเลยนะ ไม่มีรูปแบบเลยนะ abstract เลย ไม่ต้องรูปแบบแล้วน่ะ เขียนเส้นโค้งเส้นเดียวให้เป็นรูปหน้าคน เอ็งมองเอาเองว่าหน้าคน เอ็งมองไม่เห็น เอ็งยังหัวไม่ถึงน่ะ ไปโน่นเลย อะไรไปใหญ่เลย บ้าๆบอๆ อาตมาพูดนะ พูดแล้วก็ทะเลาะกัน พูดกับศิลปินในระดับ เรียนจบด็อกเตอร์มาเลย ก็ทะเลาะกัน คือพูดไม่รู้เรื่อง เขาก็อยู่ในภพของเขา อาตมาก็บอก อาตมาไม่สามารถ ตีภพของพวกนี้แตก แต่ อาตมาว่า อาตมาเข้าใจนะ เรื่องศิลปะ แล้วศิลปะนี่ เป็นมงคลอันอุดม ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะ ฉะนั้นศิลปินก็คือ ผู้ที่ทำให้ตนเองมีประโยชน์ คือพ้นทุกข์ และมักน้อย สันโดษลงไปได้ แล้วมีศีลมีธรรมที่แท้จริง มีคุณค่าความดีงาม เสียสละ ลดโลภ โกรธ หลงได้จริงๆ พระพุทธเจ้าจึงเป็นศิลปินเอก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แล้วท่านทั้งพูด ทั้งจา ทั้งมีวิธีที่จะทำอะไรต่ออะไร แล้วแต่ ที่จะแนะนำสั่งสอน นำให้คนได้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งสมมุติสัจจะ และ ปรมัตถสัจจะ

เดี๋ยวจะได้ตอบกันว่า ทำไมสมัยพระพุทธเจ้า ท่านไม่สอนมากมายเหมือน อาตมาสอน ต้องสอน มาพากัน มาทำการค้า มาทำนา ทำไร่ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่พาถึงขนาดนั้น ส่วนอาตมา ทำไมต้องมาทำ เดี๋ยวค่อยตอบน่ะ มันมีคำถามมาอยู่น่ะ

เอาละ ก็คิดว่าได้สาธยายคำว่า ศิลปะ ศิลปิน อะไรให้ฟังให้ชัดขึ้นมา พอสมควรแล้วน่ะ ทีนี้ตอบปัญหาในนี้เลย


ถาม ความรักเชิงชายหนุ่มหญิงสาว เกิดเพราะเหตุอะไร (ช่วยแจกแจง)
ตอบ เกิดเพราะกิเลส เหตุคือกิเลส สมุทัย คือกิเลส กิเลสตัวราคะนี่ เป็นตัวรากเหง้า ของสัตวโลก สัตว์โลกมันจะต้องสมสู่ มันจะต้องแตกตัว มันจะต้องแพร่พันธุ์ออกไป มันจะต้องมีกิเลส ตั้งแต่อ่อน ตั้งแต่เป็นสัญชาตญาณของสัตวโลก มันจะต้องเกิดๆๆๆๆ พระพุทธเจ้าท่านมาล้มล้างว่า การเกิดเป็นทุกข์ เกิดใดๆ ชาติ ปิ ทุกขา ไม่ว่าเกิด แม้ ว่าใดๆ มันเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะเหตุใหญ่ ที่มันพาเกิดอย่างโง่ๆนี่ คือกิเลส เมื่อดับกิเลสได้หมด ถ้าสิ่งที่ยังเกิดอยู่ มันเป็นคุณค่า มันก็ทุกข์ แต่ว่าทุกข์อย่างมีคุณค่า มันก็ดีกว่า ถ้าใครยังจะสู้ทุกข์อยู่อีก ก็เชิญ จะสืบทอดต่อ จะสร้างสรรประโยชน์แก่โลก เป็นมนุษยโลกที่มีประโยชน์คุณค่าจริงๆ แต่ทุกข์ ไม่ได้เห็นแก่ตัว ยิ่งเป็นอรหันต์แล้ว ไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ หมดความเห็นแก่ตัวจริงๆ จะทนทุกข์อยู่ เพื่อมนุษยชาตินี้ มันจะไปเสียหายอะไร ไม่เป็นไร จะเอาหรือไม่เอาละ ถ้าไม่ทนทุกข์ ก็ไม่เป็นไร มีทางออกได้ จะปรินิพพานเอง เมื่อไหร่ก็ปรินิพพาน ก็เชิญซิ แต่ถ้าจะเป็นประโยชน์ในโลกแล้ว มันก็ต้อง มันวิเศษล่ะ

เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่รังสรรค์โลกอยู่ ก็คือผู้ที่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ประโยชน์ของผู้อื่นได้อย่างสูงสุด ไม่มีประโยชน์ตน หรือว่าไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ตน ประโยชน์ตนอันสมบูรณ์ ก็คือหมดกิเลสแล้วนี่ เป็นเป้าหมายหลัก ของพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุด ท่านตรัสรู้แล้ว ท่านทำได้จริง มันก็วิเศษ โลกมันก็ดี เพราะว่า ท่านจะเกิดอยู่ ก็เกิดอยู่เพื่อสร้างสรรมนุษย์ ไม่ได้เบียดเบียนใครจริงๆ ท่านไม่ได้เบียดเบียน ผู้อื่นจริงๆ พระอรหันต์เจ้าไม่ได้อยู่ด้วยเบียดเบียนผู้ใด มีแต่เป็นที่พึ่งของโลก เป็นโลกานุกัมปายะ อย่างพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่า เป็นพระโลกนาถเลยทีเดียว เป็นที่พึ่งของโลกเท่านั้น ท่านเกิดอยู่ ก็เป็นทุกข์อยู่ ของท่านเอง ท่านทนได้ ก็เป็นวิภวตัณหาของท่าน ท่านทนทุกข์อันนั้นได้ เป็นทุกข์ที่ว่ากันไป ก็ไม่รู้กี่ทุกข์แล้ว เป็นสภาวทุกข์ เป็นนิพัทธทุกข์ เป็นอาหารปริเยฏฐิทุกข์ แม้มันจะมีพยาธิทุกข์ มันจะมีวิปากทุกข์ ทุกข์จะเป็นวิบากตามมาชนเอา ก็เลี่ยงไม่ได้ วิบากมันเยอะ มันแยะ ขนาดพระพุทธเจ้าก็เลี่ยงไม่ได้ ก็ยกตัวอย่างให้ฟังแล้ว ก็ไม่เป็นไร คุณทนได้ คุณก็เอาซิ อย่างพระอรหันต์ มันจะไปมีปัญหาอะไร แม้ที่สุดวิบากจะเอาถึงตาย พระอรหันต์เจ้า
ท่านจะไปกลัวอะไร ตายก็ตายสิ ท่านจะเกิดอีก ท่านก็เกิด ใช่ไหม ท่านจะไปกลัวอะไร ตายหรือ อือ! ตายก็คือตาย เกิดก็คือเกิด มันจะไปเป็นปัญหาอะไร ถ้าเราจะเกิดอีกก็เกิดเถอะ เอ้า! ตาย ตายไป นี่ตาย ตายครั้งที่ ๕ ตายครั้งที่ ๘ ก็ตายไปก่อน ไม่เป็นไร เพราะตายก็คือตาย เกิดก็คือเกิด ท่านจะไปกลัวอะไร แล้วท่านก็สร้างกุศล เกิดมากุศลดีกว่าเก่า อย่างเก่า เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ เปลี่ยนอะไรไป เท่านั้นเอง มันไม่มีปัญหานะ อาตมาพูดนี่ฟัง คุณฟังดีๆ มาคราวนี้ ตอบปัญหา ก็พูดอะไรลึกๆๆๆ ฟังๆเอาก็แล้วกัน ฟังดีๆนะ ที่พูดนี่เหมือนพูดภาษาง่ายๆนะ แต่เรื่องลึกนะ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้า ท่านไม่มีปัญหาอะไรน่ะ คุณฟัง คุณก็รู้สึกว่า เออ! เราฟังก็ฟังอย่างนั้นล่ะนะ เราก็คาดคะเนด้นเดาไปตามเอาล่ะนะ ท่านไม่มีปัญหา เออ! ท่านจะเหมือน ชาติชายไหม หนอน่ะ ก็ชาติชาย no problem นี่เนาะ ไม่มีปัญหา ท่านจะเหมือนชาติชาย ไหมหนอ ใจท่านไม่มีปัญหาจริงๆ เพราะว่าท่านรู้ว่า เกิดก็คือเกิด ตายก็คือตาย ตายก็ตาย ก็เปลี่ยนภพ เท่านั้นเอง เปลี่ยนจริงๆ ท่านเกิดอีก ท่านก็ไม่มีปัญหาอะไร รู้แล้วว่า ถ้ามันไม่หยุด มันก็ เกิดเท่านั้นเอง แต่ก็เกิดต่อได้ จะเกิดก็เกิดต่อ นี่พูดกับพวกเรานะ ถ้าไปพูดกับผู้อื่น อรหันต์บ้าอะไรวะ เกิดอีก พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ใครยังสงสัยอยู่ ก็ค่อยๆคิดไป ยิ่งคนมาใหม่นี่ บอก เอ๊ะ! ไม่เคยได้ยิน ทำไม ยิ่งเรียนมาทางโน้นช่ำชอง ทางเถรวาท ตายแล้วเกิดใหม่ได้ยังไง พระอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกหรือ กิเลสพระอรหันต์นั่น ไม่เกิดอีกหรอก กิเลสที่เห็นแก่ตัว ที่จะมาบำเรอตัวน่ะ ไม่เกิดอีกหรอก มีแต่จะเกิดมาเพื่อผู้อื่น แล้วห้ามคนที่เกิดมาเพื่อผู้อื่น หรือคนที่จะทำกิเลสให้ตัวเองตายไป แล้วก็ทำแต่ประโยชน์ เพื่อผู้อื่น ไปห้ามได้ยังไงนะ แหม! ท่านเถรวาททั้งหลายแหล่นี่ ที่หลงปัก หลงปรำ เถรวาทสุดโต่งนี่ แล้วจะไปห้ามคนที่ไม่มีกิเลสเพื่อตัวเองเลย แล้วจะมีแต่กิเลส เพื่อผู้อื่นนี่นะ ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่ใช่ พระอรหันต์ เอาเถอะ ของคุณไม่เป็นพระอรหันต์ คุณจะเอาแต่อรหันต์ คือ ไม่มีกิเลสอะไรเลย กิเลสเกิดอะไรอีกก็ไม่ได้ จะเกิดเพื่อผู้อื่นอะไรก็ไม่ได้ ก็เอาเถอะ เอาแต่กิเลส ไม่ต้องเพื่อใคร ก็อยู่มันลอยๆอย่างนั้น ก็ถึงได้เป็นอรหันต์ลอยๆ อย่างนั้นน่ะ อรหันต์ไปนั่งหลับหูหลับตา มุดอยู่ในถ้ำในเขาอะไรอย่างนั้น แล้วมันก็จริงของเขา เพราะเขามีแนวคิด อย่างนั้น ทิศทางอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น คุณก็เลือกเอาก็แล้วกัน ถูกทั้ง ๒ อย่างก็แล้วกัน เขาว่าของเราไม่ถูก คุณว่ามันเป็นไป ได้ไหม คุณก็พิสูจน์เอา เขาบอกว่า ถ้าพระอรหันต์ ต้องอย่างของเขานี่ถึงจะถูก และเป็นไปได้ ถ้าอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ ก็ตกลง ไม่เป็นไร คุณเชื่ออย่างไหน คุณก็เอาอย่างนั้น อาจจะเอา อรหันต์อย่างโน้น อาตมาไม่ได้ขัดข้องนะ อย่างอรหันต์อย่างนั้นน่ะ เป็นได้ แล้วก็เป็นอย่างนั้น อาตมาไม่เอา อรหันต์อย่างที่เขาอธิบาย อาตมาไม่เอาอรหันต์อย่างนั้น อาตมาว่ามันง่ายเกินไป ง่ายเกินไป แล้วก็ไร้คุณค่า อาตมาถือว่า ยังไม่สมบูรณ์ในศาสนาพุทธ หลงทางด้วย เพราะว่า วิธีการอย่างนั้นน่ะ เขาสร้างได้มานานแล้ว จะพูดแต่แค่กิเลสของชายหนุ่มหญิงสาวเท่านั้นแหละ เลยเถิดไปถึงอรหันต์ หันกลับมาที่เป้า

ความรักระหว่างเชิงชายหนุ่มหญิงสาวเกิดเพราะอะไร
เพราะมนุษย์โลกมันมีการต้องเกิด เกิดร่างเกิดกาย เพราะฉะนั้น กิเลสเกิดร่างเกิดกาย มันก็พาให้ก่อเกิด ต้องสมสู่ถึงจะเกิด มันก็เลยต้องมีอันนี้เป็นรากเหง้า แหม! มันดึกดำบรรพ์ แหม! มหาดึกดำบรรพ์เลย ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ ก็มาตั้งแต่ Eve กับ Adam โน่นแน่ะ มาตั้งแต่ Eve กับ Adam โน่น คู่แรกเลย อย่างนี้เป็นต้น ถ้าจะเอาอย่างศาสนาคริสต์นะ เอาอย่างศาสนาพุทธ อาตมาว่า แต่คนอื่น เขาไม่ว่าอย่างอาตมา เอาอย่างศาสนาพุทธ ก็มาตั้งแต่เซลล์เดียว ๒ เซลล์มาเลยแหละ ตั้งแต่เป็นชีวะมาเลย มันดึกดำบรรพ์ ที่จะต้องทำให้เกิด แล้วมันก็มีการดิ้น เมื่อมีการดิ้น ก็มีพยายามที่จะเกิด ถ้าหมดดิ้นเป็นไง ก็ตาย

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดิ้นก็พยายามดิ้น จนกว่ามันไม่มีแรงดิ้น มันถึงจะยอมตาย เมื่อมันมีแรงดิ้น มันก็จะเกิดๆๆๆๆ นี่เป็นสัญชาติของสัตวโลก เพราะฉะนั้น การที่จะรักเกิดอยู่อย่างนี้ มันจึงเป็น เรื่องลึก เรื่องฝัง ฝังมาในกิเลสมาก คนจะล้างอันนี้อย่างถอนราก ถอนโคน ถอนอะไรมันทิ้ง ไม่ใช่ง่ายๆน่ะ แม้มันจะมีแรงอ่อนเหลือ เรียกว่าราคะในระดับ รูปราคะ อรูปราคะ ซึ่งมันมีแรงอยู่นะ แต่มันอ่อน มันไม่แรงพอที่จะทำในระดับหยาบได้แล้ว มันจะออกมาข้างนอกอะไร มันมีหิริ มันมีโอตตัปปะ มันมีคุณธรรมเพียงพอเลยว่า โอ๊! มันมีปัญญาพอ เรื่องนี้หยาบคาย เราอย่าไปทำเลย จริงๆ คนที่มีความรู้สึกว่า เราฆ่าคนไม่ได้นี่นะ แหม! มันหยาบเหลือเกิน มันรุนแรง ฆ่าไม่ไหวหรอก ฆ่าไม่ได้ ใจไม่ถึงจริงๆนี่ คนนั้นก็คือ คนที่มีใจดีแล้ว อย่าเรียกว่าคนใจอ่อนนะ คนที่ฆ่าคนไม่ได้นี่ อย่าไปเรียกว่า คนใจอ่อนนะ จงเรียกว่า คนใจแข็ง ใจอันนี้คือใจของอริยะด้วย แต่ถ้าคนที่ใจแข็ง ฆ่าคนได้นั่นมัน ใจโจร ใจผี ใจอย่างนั้นเรียกว่า ใจผี คุณจะเอาใจผี หรือคุณจะเอาใจอริยะกันล่ะ

เพราะฉะนั้น เอาใจอริยะ แข็ง อย่าไปเอาแข็งอย่างโจร หรือ อำมหิตอย่างโจร เราไม่เรียกแข็งหรอก เรียกอำมหิตไปเลย ใจอำมหิต ถ้าใจอำมหิตฆ่าคนได้ เพราะฉะนั้น คนที่มีใจที่อ่อนโยน หรือมีคุณธรรมมากแล้ว มีหิริ โอตตัปปะเพียงพอ ฆ่าคนไม่ได้ ฆ่าไม่ได้จริงๆ ใจไม่อำมหิตพอ แต่ใจแข็ง คือมันทำชั่วไม่ลง มันแข็งนะ ใจแข็ง ทำชั่วขนาดนั้นไม่ได้แล้ว มันจะไม่ได้จริงๆ

เพราะฉะนั้น คนที่จะมีราคะในระดับ ท่านตัดเขตว่าเป็นอนาคามีไป จะไม่ทำชั่วในเรื่องกาย ในเรื่องวาจาหยาบอะไรออกไปในภพนอก ภพ ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่ จะไม่แสดง จะไม่แสดง สภาพที่จะเป็นกาม หรือเป็นราคะทางภพนอก ทำออกไป หยาบคายเท่าไหร่ มันก็ละอายเท่านั้น มันกลัว มันรู้เลยว่า มันทำไม่ได้ เหมือนกับคนฆ่าคนไม่ได้ นี่แหละ คงพอจะนึกออกนะ อาตมาพอเทียบๆ ลักษณะให้ฟัง คนทำไม่ลง

เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตสูงละเอียดถึงขั้นว่า ขโมยของคนนี่ โอ้โฮ! มันขโมยไม่ได้ ขโมยไม่ได้ มันหิริ มันโอตตัปปะ มันทำชั่วขนาดนี้ไม่ได้ ทำไม่ได้ จะไปขโมยของคน แม้จะมีโอกาสลับหลัง มันก็ขโมยไม่ได้ บางคนขโมยต่อหน้าขโมยไม่ได้ อายมาก แต่ลับหลัง นี่ขโมยได้ คนที่มีหิริโอตตัปปะ สูงกว่านั้นแล้ว ขโมยลับหลังก็ขโมยไม่ได้ เหมือนกับฆ่าคนนี่ ฆ่าไม่ได้ ฆ่าไม่ลง ขโมยไม่ลง มันเป็น จิตวิญญาณที่จริง เพราะฉะนั้น คนที่ละอายต่อผู้หญิง ผู้ชาย เรื่องกาม เรื่องอะไรนี่ ถึงขีด อนาคามีขึ้นไป เป็นอนาคามี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ อนาคามีสมบูรณ์เต็มรูปนี่นะ ไม่มีทางที่จะมา ทำชั่วใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ในเรื่องของ กาม เรื่องของราคะ โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงผู้ชาย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เหมือนกัน ละอาย แสดงความอร่อยทางปาก อร่อยทางลิ้น อร่อยทางจมูก อร่อยทางตา แหม! แสดงความลิงโลดในเรื่องตา พอเห็นรูปสวยแล้ว เอ๊อ! อนาคามีอายมากแล้วน่ะ ทางเสียง ไพเราะอะไรก็ จะมีสติสัมปชัญญะ จะมีอะไรต่ออะไร อินทรีย์พละนี่เพียงพอที่จะเห็นว่า ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี แต่ทางวาจามันอาจจะออกได้บ้าง มันชินปาก หรือมันติด หรือบางทีบางครั้งนี่ จะอนุโลมกับเขา แล้วมันก็พูดปุโลปุเลปนไปได้บ้าง แต่จะให้ทำด้วย หยาบด้วยกาย ไม่ทำ ไม่ทำ ทำไม่ลงหรอก ทำไม่ได้ ทำไม่ลง มันรู้ว่ามันของหยาบ ไม่ต้องเอาอะไรมาก พวกคุณนี่นะ บางคนนี่ เต้นรำเก่ง แหม! มันอร่อยๆ พอรู้สึกว่า ไอ๊ย่า! มันเหมือนคนบ้า พระพุทธเจ้าท่านบอก พวกเต้นรำนี่ มันเหมือนคนบ้านะ เขาจะเห็นเลยว่า โอ๊! ไปเต้นรำ มันก็เหมือนคนบ้าจริงๆ แล้วก็เต้นไม่ลง แหม! มันกระดาก มันไม่ไหวน่ะ มันเต้นไม่ลงจริงๆ แต่ก่อนนี้ เต้นเป็นบ้าเลยนะ มัน นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ใครเจอมา ก็เจอเถอะ อาตมาเองชาตินี้ มันเต้นรำไม่ได้ แต่ว่า เออ! รำวงมันก็รำอยู่นะ มันมีอะไร ก็ไม่รู้นะ ที่จริงรำวงนี่ มันไม่น่าเกลียด เท่ากับเต้นรำ เต้นรำแต่ก่อนนี้ ball room มันต้องจับมือจับไม้กันนะ ต้องกอดกัน ยิ่งสโลว์ซบแล้ว เจ้าประคุณเอ๋ย นะ มันไม่เหมือนเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวมันเต้นรำนี่ มันก็ต่างคนต่างก็ดีดไป ก็แล้วกัน ต่างเต้น หกคะเมนตีลังกาไปเถอะ มันไม่จับอะไรกัน แต่ก่อนนี้ สมัยก่อน สมัยอาตมา เต้นรำ มันไม่เหมือนอย่างนี้ทีเดียวหรอก เต้นรำมันจะต้องจับกัน ไม่ว่าอะไรมันก็ต้องจับกันล่ะ จะจังหวะอะไร มันก็ต้องจับกัน มันต้องจับกันก่อน เต้นรำนี่ วิธีการระบายกามของมนุษน์ ไอ้เต้นรำ อาตมาไม่เต้นรำเลย ชาตินี้ไม่เต้นรำ ไม่เคยเต้น แม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต คนอื่นเขาเต้น รู้จังหวะ มันเต้นรำไม่รู้จังหวะ มันยังมาถามเรา จังหวะอะไร เราก็บอกให้ เขาก็ไปเต้น แล้วเขา
ไม่เชื่อว่า อาตมาเต้นรำไม่เป็น คนไม่เชื่อว่าอาตมาเต้นรำไม่เป็นน่ะ ถ้าฟังดีๆแล้ว คุณจะเห็นว่า มันลึกๆแล้ว อาตมามันมาแต่ปางไหนก็ไม่รู้ ไม่เอาไอ้อย่างนี้ มันเป็นเชื้อเป็นโยง เป็นอะไรต่ออะไร ไปอย่างนั้น ใช่ไหม รำวงเอา รำวงมันก็ต่างคนต่างรำ มันจะมีอะไร ก็วาดไปสิ ใครจะควักกะปิ ก็ควักไป (ผู้ฟังหัวเราะ) เขาจะสอดสร้อยมาลา ชักแป้งโปะหน้าอะไร ก็ชักกันไป คนละฝ่าย ผู้หญิงก็รำไป เราก็รำไป ผู้ชายก็รำไป มันไม่ได้ไปจับมือจับไม้อะไร ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกันนี่ เราก็ทำอย่างนั้น ชีวิตอาตมาก็อย่างเก่งก็รำวงเท่านั้นเอง เต้นรำไม่ ไม่เต้น ไม่ยอมเต้น ทั้งๆที่รู้จังหวะ จังเหวอะอะไร อะไรต่ออะไร step เข้าใจทั้งนั้น ก็เป็นนักดนตรี เป็นผู้ที่รู้จังหวะ ไม่มีปัญหา แต่ไม่เต้น ไม่ยอมเต้น จนกระทั่งจนแล้วจนเล่า จนกระทั่งป่านนี้ ยิ่งไม่มีสิทธิ์ได้ไปเต้นเลยน่ะ นี่อาตมาอธิบาย วิเคราะห์ให้ฟังว่า รากฐานของกิเลสนี่มันมีจริงเป็นจริง แล้ว มันลด มันละ มันแหนง มันหน่าย มันเบื่อ มันไม่เอา มันก็เป็นไม่เอา เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่องผู้หญิงผู้ชายนี่ ถ้าคุณเอง คุณยังมีรากเหง้า พวกนี้ เชิงผู้หญิงผู้ชายอยู่นี่ ถึงบอกว่าเป็นเรื่องมาแต่ดึกดำบรรพ์ สำคัญมาก ต้องเอาจริงเอาจัง พวกเรานี่ ข้างนอกกลัวนะ มันยังไง ปฏิบัติกัน หนุ่มๆสาวๆ คลุกคลีเกี่ยวข้องกัน อื้อหือ! หวาดเสียว หวาดเสียวจริงๆนะ เพราะฉะนั้นขอให้เอาจริงๆ อย่าเล่น ทุกวันนี้นี่มัน แหม! ไม่รู้จะทำยังไง มันสหศึกษา สมัยโบราณนี่ เขาไม่มีหรอก สหศึกษา ฝ่ายหญิงก็อยู่ในม่าน โน่นอีกหลังหนึ่ง ผู้ชายก็อีกม่านหนึ่งหลังโน่น ไม่เกี่ยวข้องกัน สมัยโบราณเขาอย่างนั้น ทีนี้ สมัยจิตวิทยาชักสูงขึ้น บอกว้า มันไม่ไหว ยิ่งปิดมันยิ่งไปหากัน อีตอนที่ไม่มีใครเห็น แหม! มันก็ไม่ดี เขาก็เลยค่อยๆเปิดม่าน ค่อยๆ หนักเข้าสหศึกษาเลย เราก็เลยทันสมัยไป มันก็เลยสหศึกษา เรียนกันอย่างนี้ คนก็หวาดเสียว แต่เอาจริงในลักษณะทางด้านหลายๆด้าน เขามีอย่างนี้มา ทางด้านตะวันตกเขาก็มี จิตวิทยานี่ มันกลับไปกลับมา ถ้าปิดมาก มันก็อยากจะเปิด ถ้าเปิดไปมากๆ มันก็เกินไป ก็มาปิดใหม่ ตอนนี้ ยุคนี้ ยุคเปิดก่อน ยุคต่อไปโน่น เขาจะปิดกันใหม่อีก ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา ไปปิดกันเอง อาตมามารู้ตัว ตอนวนเวียนมาหายุคเปิด ก็เปิดก่อนน่ะ เข้าใจไหม ที่อาตมาพูดให้ฟังนี่ อย่างคนโบราณนี่จะรู้ เรียนแต่ก่อนนี่ ไม่ได้ ผู้หญิงผู้ชายนี่ โอ๊ย! มันต้องแบบนั้นน่ะ แต่เสร็จแล้ว ทางจิตวิทยามันเสีย เขาก็เลย ค่อยๆเปิด จนสุดท้ายต้องมีสหศึกษาเหมือนกัน อาตมายุคอย่างนี้ ยุคกาลนี้ อย่างสมัย พระพุทธเจ้า ก็ต้องห่างกันมาก สมัยนี้ห่างอย่างนั้นไม่ได้หรอก มันยิ่งกดดันเลยนะ เพราะฉะนั้น แม้แต่ที่สุดนี่ เขาจะว่าไปทางด้านจิตวิทยานี่ มันแอบไปเล่นสนุ้กเกอร์มาก เฮ้ย! ตั้งโต๊ะสนุ้กเกอร์ ให้มันเถอะ เขาจะเล่นแบบนี้อีกเหมือนกัน เห็นไหมนี่ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ในโลก ในสังคม

เพราะฉะนั้น ด้านจิตนี่มันไม่เที่ยง แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นล่ะ เปิดให้มันหน่อย มันก็พอไปล่ะ มันประเดี๋ยวก็เบื่อ มันเป็นได้เหมือนกัน ถ้าไม่เปิดให้มันเลยนะ โอ้โห! มันกดดัน มันอยากรู้ๆๆ อยากรู้ มันจะเป็นอย่างนั้นน่ะ

Š สรุปแล้วเรื่องกิเลสราคะ กิเลสเชิงหญิงเชิงชายนี่ ต้องเอาจริงๆ ทำไมมันถึงเกิด เพราะเหตุอะไร ก็เกิดเพราะว่า มันมีมามาก มีมานาน ต้องลด ต้องละ ต้องรีด ถดถอย จางคลาย ให้มันได้มากๆจริงๆ ขีดมันจะเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ โสดาก็ลดลงมาบ้าง สกิทา โสดาก็อยู่ในเขตที่มันไม่ฟุ่มเฟือยอะไร ผัวเดียวเมียเดียว ก็อดก็ทนได้ มีหิริ มีโอตตัปปะเพียงพอว่า เออ! โดยวัฒนธรรม โดยความเรียกว่า ไม่ไปนอกจิตนอกใจ นอกตัวนอกตนอะไรกับใครคนอื่นคนใดเขา ระมัดระวัง สกิทาก็ลดลงไปเลย ไม่มีผัวเดียว เมียเดียวล่ะ ก็มันเบาบาง พออดพอทนได้ แม้มันจะมีอย่างโน้นอย่างนี้ยังไง ก็ทนได้ อนาคามีก็ โอ๊! อ่อนบาง ไม่เอา ใครรู้ยังอายเลย ว่าเรายังมีกิเลส ยังจะต้องอาย บางทียิ่งอนาคามีนี่ ยังทำเท่เหมือนกับอรหันต์นะ ไม่ให้ใครรู้ แต่รู้ของกูเอง มีอยู่นิดหน่อย อะไรก็ช่างมัน แต่มันไม่ออกมา ข้างนอก มันไม่มาเพ่นพ่าน มันไม่มาทำชั่วข้างนอกอีก นี่ก็บอกลักษณะให้ฟังว่า มันจะต้องทำ


ถาม จะตัดรักด้วยวิธีอย่างไร จนหมดอาสวะในเรื่องรักเชิงนี้ได้จริง

(อ่านต่อหน้า ๒)

File 0536A.TAP