ชีวิตนี้มีปัญหา
ตอนที่สอง
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ถาม คนทำไมถึงตีหลายหน้านัก ตอบ ฟังให้ดีๆนะ คนที่เพ่งโทสว่าตีหลายหน้านี่นะ พูดกันตื้นๆ คนตีหลายหน้า มันก็ไม่ดีนะ แต่คนที่ตัวเองนี่ มีใจมันทุจริต แล้วก็พยายาม ทำกาย กรรม วจีกรรม ให้มันสุจริตนี่ เหมือนตีหลายหน้าเหมือนกันน่ะ เหมือนกับคนใจ อย่างหนึ่ง ข้างนอกอย่างหนึ่ง ใจมันยังมีกิเลสที่ แหม อยากตีเขาเหลือเกิน ฮือ พยายาม ไม่ตี สงวนท่าที ไม่ตี พยายาม ทำเป็นหวานดีอะไร เออ มันดี เขารู้สึกตัว ก็พยายาม ไม่อยากจะทำชั่ว อย่างนี้ ก็เหมือนกับตีหลายหน้า ที่จริงนะ แหม น่าจะชัด อะไรต่ออะไรต่างๆ นานานี่ เขาก็ไม่ทำ พยายามไม่ทำ นี่ก็ตีหลายหน้า คล้ายๆอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจะต้อง อย่าเพิ่งไป เพ่งโทษอะไรเกินไปนัก ตีหลายหน้า ตีหลายตาอะไรก็แล้วแต่ เอ้า ด้วยความจริง ก็จริงแหละ คนเราตีหลายหน้า ก็เพื่อที่จะให้คนอื่นเชื่อว่า ตัวเองดี แต่ความจริงนั้น มีอะไรซ่อนแฝงอยู่ในใจอีกหลายอย่าง ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่า ชั่วซ้อนชั่ว ข้างนอกทำดี ข้างในน่ะไม่ดี ไม่ดีจริงๆซ่อนเชิงไว้ เพื่อจะให้คนอื่น เขาหลงว่า เรานี่ดี แต่สุดท้าย ก็เล่นงานทีหลัง อย่างโน้น อย่างนี้ เป็นทุจริตอะไร ที่มันเป็นความไม่ซื่อไม่ตรง ไม่ดี ไม่งาม อย่างนี้ก็แน่นอนล่ะ จะถามว่า ทำไม ก็ตอบกำปั้นทุบดิน ก็เพราะเขายังโง่ ทำไมถึงตีหลายหน้า เอ้า ทีนี้ก็จำกัดความลงไปดีๆแล้วนะว่า ถ้าจะหมายเอาอย่างนั้น อย่างตื้นๆอย่างนี้ ก็เพราะเขายังโง่ แต่ถ้าอย่างที่อาตมาพูดตอนแรกนั่นน่ะ เขาฉลาด เขาดี อย่างนั้นน่ะ แต่คนอย่างนี้น่ะ เอาชั่วมาเป็นหลัก แล้วก็หลอกคนอื่นว่าเราดี แล้วก็ไปทำชั่ว อย่างนั้นน่ะ มันก็โง่จริงๆ แต่คนที่รู้สึกว่าเราน่ะ จะทำไม่ดี แล้วก็พยายามทำดี ให้คนอื่นรับเห็นว่าดี แล้วเราก็พยายามเข้าใจว่า เราจะทำดีๆๆๆ มันก็เหมือนกับ กลับกันเหมือนกัน เห็นเหมือนคนหลายหน้า อย่างที่ว่านั่นแหละ แล้วก็จะให้ดีเป็นที่สุด ไอ้อย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องไม่ดีน่ะ เรื่องดี มันเป็นความไม่โง่ ทำไมชอบตีหลายหน้า ก็เพราะเขายังโง่ ถาม เราจะแก้ไขคนขี้อิจฉา ให้หมดแผ่นดินไปได้ จะแก้อย่างไร ตอบ ก็แก้ที่เรานี่แหละ ไปแก้ที่ใครๆ มันยาก มันไม่ได้ง่ายๆหรอก แก้ที่เรานี้ จะไปริษยาเขาทำไม แล้วก็ทำดีนี่ ให้ยืนหยัด ยืนยัน ว่าคนที่ทำดี ไม่ต้องไปริษยาใคร น่ะ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ตรง ใครได้ดี ก็อนุโมทนา ใครยังไม่ดีอยู่ เราก็พยายามช่วยเหลือกัน เมตตากัน เกื้อกูลกัน เขาไม่ดี ช่วยเขาได้ก็ช่วย บางคนมันไม่ยอม ให้ช่วยหรอก มันจะโง่ มันจะดื้อ มันจะเป็นอยู่อย่างนั้น อยู่อย่างเก่าน่ะ ระวังน่ะ พวกคุณก็เหมือนกันน่ะ จะดื้ออยู่อย่างนั้นน่ะ จะช่วยก็ไม่เอา อย่ามาช่วยดู อะไรอย่างนี้ แหมระวังเถอะ ก็ตอบง่ายๆอย่างนั้นน่ะ ไม่ตอบยากอะไรหรอก แต่ทีนี้ ภาคปฏิบัติจะให้ดี ไม่ต้องริษยา ก็คือกิเลส ริษยาก็ตัวกิเลส ภาษาบาลีเรียกว่า อิสสา อิสสาทางอีสานนี่เรียกถูก อิสสา แปลว่าริษยา แปลว่า ไม่ต้องการให้คนอื่นได้ดี เห็นคนอื่นได้ดีแล้ว มันก็คันหัวใจ อะไร จะแกล้งเขา จะทำลายเขา อะไรนั่นน่ะ อิสสา ทีนี้ ภาคกลางนี่ เสล่อไปหน่อย ฟังอิสสามาไม่ชัด ก็ไปเรียก อิจฉา มันก็เลยพูดเพี้ยน ก็เรียกว่าพูดเหน่อ พูดไม่ถูกต้อง ไปเรียกริษยาว่า อิจฉา มันก็เพี้ยนไปน่ะซิ นี่เป็นความผิดของทางภาคกลางนี่เอง แล้วหลงถูก ทีนี้เจ้าภาคอีสาน หนอย พูดดีๆ ก็พูดไปตามคนเหน่อๆ ของเขาที่เพี้ยน ก็เลย ไปอิจฉา ตามเขาไปอีก ก็เลยไปเรียกตามภาคกลาง อิจฉา ตามเขาไปอีก เพราะฉะนั้น ชาวอโศก เมื่อจะพูด ริษยา ก็พูดริษยา ริษยา มันตรงธรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องไปพูดอิจฉา ที่มันผิด หรือจะพูดให้มันถูก ก็พูดอิสสาเลย ภาคกลางก็พูดอิสสา ให้เขาทัก แล้วเราก็แก้ให้ถูกให้ต้องให้เขา เขาจะว่าอย่างไงก็ว่า พูดผิดภาษา ไม่ผิดหรอกคุณน่ะ พูดผิดภาษามานานแล้ว ริษยา เอ้านี่ก็แถม ความรู้รอบตัวนิดหนึ่ง ถาม เมื่อเราถูกขูดเกลากิเลส แต่เรายังมีอินทรีย์พละอ่อนอยู่ เราควรทำเช่นไร จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แล้ววิธีรองลงมา ตอบ ก็ต้องพยายามตั้งหลักรับดีๆน่ะซี เมื่อถูกขูดเกลากิเลส เรามันมีอินทรีย์พละอ่อน ก็รู้ว่าตัวเราเอง อินทรีย์พละอ่อน ก็ตั้งหลักให้ดี เขาขูดเราแล้วนะ เขาขัดเราแล้วนะ เขาเอาเราแล้วนะ ตั้งใจให้ดีๆ รับให้ดีๆ ต้องตั้งใจแล้วก็รู้ตัว แล้วก็ตั้งใจขึ้นเสมอ แล้วก็จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหละ คือสร้างอินทรีย์พละ คนที่พูดนี่ ก็น่าจะรู้ว่า คนที่ขัดเกลากิเลสให้แก่เรา น่าจะ รู้ใช่ไหม คนที่ถามมานี่ อาตมาว่า ถ้าไม่รู้ก็รู้เสียเดี๋ยวนี้ นี่ อาตมากำลังบอก คนที่ขัดเกลากิเลสให้แก่เรานี่ มันดีใช่ไหมเล่า เมื่อดี เราก็ตั้งรับให้ดีๆซิ เขาจะขัดเกลา ด้วยลีลาอย่างไร ก็แล้วแต่เถอะ บางคนก็แหม รุนแรงเหลือเกินเจ้า ก็ได้ บางคนก็พอดีๆ บางคนก็อย่างนั้น อย่างนี้ อะไรก็ตามใจเถอะ เราต้องตั้งรับ เราต้องฝึก ถามมาปัญหาแค่นี้ ก็อย่างนี้แหละ ทางออกที่ดีที่สุด อย่างนี้แหละ ไม่ใช่เขาขัดเกลาเรา ทางออกก็คือหนี ไม่ให้เขาขัดเกลา ไอ้นี่ ไม่ใช่ทางออกเลย ไม่ใช่ทางออกที่ดี ทางออกที่ดีที่สุด คือที่อย่างที่ อาตมากล่าว ไอ้เขาจะขัดเกลาแล้ว พอถูกขัดเกลาแล้ว เรายังมีอินทรีย์พละ อ่อน ก็จะทำอย่างไร ถึงจะเป็นทางออกที่ดี หลบหนี นี่เป็นทางออกที่เลว เพราะที่ถามมานี่ ถามทางออกที่ดี และบอกทางออกที่ดีที่สุดด้วย ก็ตอบไปแล้ว รองลงมา ก็เหมือนกันนั่นแหละ ก็ตั้งใจให้ได้ ถ้ามันรองลงมา เมื่อตั้งใจสู้ ยังเรียกว่าสู้ แล้วก็ยังไม่ไหว ก็ถอยนิดหนึ่ง อย่าหนี รองลงมาก็ถอยนิดหนึ่ง อย่าหนี การหนีผู้ที่ ขัดกิเลสน่ะ เรียกว่า เราเองไม่มีทางได้เจริญหรอก ถาม อาชีพเกษตร เป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ตอบ ไม่เป็นมิจฉาชีพหรอก มันมีนัยซ้อนเชิงน่ะ อาชีพนี่ อย่าเข้าใจว่า ทำงานอะไรแล้วก็ได้ผลผลิต ไปแลกเงินทองมา ถึงเรียกว่า อาชีพ เหมือนทุกวันนี้ อาชีพอะไรนี่ ก็ขี้มักจะตอบว่า สิ่งที่ได้เงิน ใช่ไหม สิ่งที่ได้เงินมาเลี้ยงชีวิต เอาอันนั้น มาเป็นอาชีพ ทั้งๆที่บางคนน่ะ ไม่ค่อยได้ทำอันนั้นเท่าไหร่หรอก แต่ได้เงินน่ะ แต่ได้เงิน จริง อาชีพอย่างนั้น เช่น คหปัตตานี รู้จักคหปัตตานีไหม ใครรู้จักคหปัตตานีบ้าง เป็นอย่างไง ผู้ร่ำรวย ผู้หญิง คหปัตตานี คหบดี รู้จักไหม ผู้ชาย คนฐานะดีร่ำรวย ผู้ชายเขา เรียกคหบดี ผู้หญิงเขาเรียก คหปัตตานี ถ้าพูดให้เต็มเป็นภาษาแบบคหบดี ก็คหบัดดานี ตัวต แผลงเป็นตัวด เด็กเสีย คหบดี ก็คือคหปัตตินั่นแหละ ทีนี้ ถ้าเป็นผู้หญิง เขาก็เรียกยาวออกไป ไปเป็นปัตตานี ผู้ชายก็ปัตติ คหปัตติ ก็มาแปลเป็นไทยก็คหบดี ก็คหปัตตินั่นแหละ ผู้หญิงก็คหปัตตานี ถ้าแปลเป็นไทย แบบ บดีก็บัดดานี แผลง ต เป็น ด น่ะ ผู้หญิง ที่ฐานะดีอย่างนี้ เขากรอกใน ช่องอาชีพอะไร อาชีพคหปัตตานี คือ ไม่ทำงานน่ะ มีเงิน กินดอก มีเงินกิน อะไรต่อะไรไปเฉยๆอย่างนี้ ไม่ใช่หรอก แต่ความจริงน่ะ วันทั้งวัน เขาทำอะไรรู้ไหม ไปนั่งเล่นไพ่ วันๆก็ไปนั่งเล่นไพ่ ไปเที่ยวอะไรนี่ เพราะฉะนั้น อาชีพคนนี้จริงๆน่ะ คนนี้น่ะ อาชีพเล่นไพ่ ที่จริงเสียเงินด้วยนะ คืองานที่เขาทำประจำชีวิตนั่นน่ะ คือเล่นไพ่ ไอ้ที่ได้เงินมา ไม่ใช่งานเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย มันเป็นระบบ อันฉ้อฉลของสังคม นั่งกินดอกน่ะ มันเป็นระบบฉ้อฉลของสังคมชนิดหนึ่ง เท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นงานการอะไรของเขา พูดง่ายๆ ไม่ได้ทำอะไร งานของเขา ที่จริง เขาไปทำงานอะไร ก็แล้วแต่ เขาไปทำ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เขาทำประจำชีวิต ขี้มักจะไปชอบนั่งเล่นไพ่อยู่เรื่อยน่ะ ไปจั่วไพ่นะ เสียเงินด้วย นั่นแหละอาชีพของเขา กรรม หรือการกระทำ หรือการงานที่เขาทำประจำชีวิตมากๆ เป็นส่วนมาก นั่นคืองาน คืออาชีพ อย่าไปหมายเอาว่า ไอ้ที่ได้เงินมาเลี้ยงชีวิตน่ะมันคืออาชีพ อันนี้เป็น ความเข้าใจผิดที่ อาตมาขอยืนยันว่า พูดกันมานานแล้ว แล้วก็ผิดพลาด เพราะฉะนั้น ถ้าไปอธิบายว่าได้เงินมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแล้ว ถึงเรียกอันนั้นว่าอาชีพแล้วล่ะก็ ไม่พ้น มิจฉาชีพตลอด กี่ชาติๆ ก็ไม่พ้น ใช้คำว่าอาชีพผิดพลาดอย่างนี้ เพราะมิจฉาชีพข้อที่ ๕ ไม่เป็นสัมมาอาชีพ หรอก ยั เป็นมิจฉาชีพอยู่ แม้แต่ข้อที่ ๕ ก็ได้เงินแลกเปลี่ยนอยู่นี่ เพราะฉะนั้น พ้นมิจฉาชีพอย่างสูงสุดแล้ว ไม่ต้องได้อะไรแลกเปลี่ยนมาเลย ไม่ได้เงินค่าตอบแทนนั่นแหละ ยิ่งเป็นอาชีพชั้นสูง สัมมาอาชีพชั้นสูงด้วย อย่างที่เราก็เรียนกันมาแล้ว เพราะฉะนั้น คำว่าอาชีพนี่ จะต้องเอาให้ดี ถาม อาชีพเกษตร เป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ตอบ ไม่เป็นมิจฉาชีพหรอก เป็นสัมมาอาชีพ นี่พูดกันหลวมๆน่ะ ถ้าคุณทำการเกษตร อย่างที่เรียกว่า ยิ่งทำก็ยิ่งจ่าย ไม่ต้องขาย ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกลับคืนมาเลย ทำข้าวแจก แจกๆๆๆ แหม เกื้อกูลกัน สำหรับ คนที่ควรทาน ให้ทาน ต้องมีปัญญาน่ะ ไม่ใช่ แจกแหลก โดยที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เหลือหรอก ไม่เข้าท่าอะไรหรอก เพราะฉะนั้น อาชีพเกษตร ก็ไม่ได้เป็นมิจฉาชีพ ถ้าทำให้ถึง แต่ถ้าทำยังไม่ถึงน่ะ ก็เป็นมิจฉาชีพ ทำเกษตร อย่างน้อย ก็ยังขายอยู่ ก็ยังไม่พ้นมิจฉาชีพ ระดับที่ ๕ หรือทำอาชีพเกษตรนี่แหละ แต่ยังไปเกี่ยวข้องกับ บริษัทห้างร้าน ฮั้วกัน ทำอะไร เป็นกลไกเฟื่องที่มันยังไม่ชอบมาพากล มันยังโกงๆ หรือว่ายังไม่ค่อยจะซื่อตรง มันยังไม่ค่อยจะบริสุทธิ์ มันยังไม่ค่อยอะไรดี อย่างน้อยโกงภาษี อะไรอย่างนี้เป็นต้น อะไรก็แล้วแต่ มันก็ยังเป็นมิจฉาชีพอยู่ ตามลำดับ ระดับที่ ๔ น่ะ ยังมอบตนอยู่ในทางผิด อย่างที่ ๓ ยังมีตลบแตลงอะไรอยู่ อย่างนี้ หรืออย่างที่ ๒ ไม่มีหลอกลวงอยู่ด้วย ทำข้าว ขึ้นมาขาย ไอ้นี่ขายน่ะ ไอ้แค่ ๒ นี่ ยังขายอยู่นี่แน่ ทำข้าวขึ้นมา ได้ข้าวหลายกระสอบ มันไม่ค่อยหนักกว่าเอาหินมาใส่ เอ้าจริงๆด้วยน่ะ เอาหินมาผสม ข้าวกระสอบหนึ่ง ผสมลงไปกี่กิโลไม่รู้ หินแหลกๆอะไรนี่ ก็เอาใส่ เอาไปชั่งขาย ก็ได้มา ๕ กิโล ๑๐ กิโลก็เอา พวกนี้ขี้โกง แล้วหลอกลวง หรือขี้โกงอยู่ ในชั้นไหน ระดับไหน ก็แล้วแต่ อย่างนี้เป็นมิจฉาชีพ ต้องเข้าใจว่า คำว่า มิจฉาชีพนั้น หมายเอาตรงไหน สัมมาอาชีพนั้นหมายเอาตรงไหน น่ะ อ้อนี่ ถามต่อด้วยว่า เพราะจะผิดศีลข้อที่ ๑ ได้ ถ้าเราจับจอบขุดดินไปถูกไส้เดือนตาย อันนี้อธิบายไปทีหนึ่งแล้ว สัตว์ต่างๆ มันก็มีอยู่ ในดิน มันก็จะต้องตาย ต้องอะไรลงไป แต่เราไม่ได้เจตนา ไม่ได้ครบองค์แห่งการฆ่าสัตว์ ไปทีเดียว มันก็เป็นบ้าง มีส่วนวิบากบ้าง แต่โดยจริงแล้วเราไม่มี ท่านยังบอกว่า ท่านให้เอาที่เจตนา กรรมนี่ จะเป็นบาป เป็นไม่บาปมากนี่ ให้เอาที่เจตนา เจตนาฆ่าเขาก็แน่นอนล่ะ นี่ไม่ได้เจตนา พยายามเลี่ยงสุดวิสัย แต่เราก็ต้องทำ อันนี้เป็นอาชีพ ไม่ทำไร่ ไม่ทำนา ไม่ทำสวน ไม่ทำอะไรก็ต่อเมื่อในโลก ในสังคมนี้นี่ มันมีพอแล้ว ข้าว เคยอ่านไหมเล่าในพระไตรปิฎก มันมีข้าวสาลี มีอยู่เต็มไปหมด คนก็ค่อยๆไปเอาข้าวสาลี ไปหุงกิน ไม่ให้สะสมด้วยนะ หนักเข้าขี้เกียจขึ้น กิเลสขึ้น เห็นแก่ตัวขึ้น ก็ค่อยๆตักมากองไว้ที่บ้าน หนักๆ ก็แย่งกันเลย หมด ที่นา ที่ของกลางไม่มี เมื่อไม่มี สุดท้าย ก็ต้องมาทำเอง ทำเอง ก็เป็นของใครของมัน หนักเข้าของใครของมัน ทีนี้ก็ซื้อๆขายๆ นี่ สรุปง่ายๆ ลัดง่ายๆ มันก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จะกลับคืนไปสู่สภาพที่มันเป็นอย่างอุดมสมบูรณ์นี้ โอ้โฮ อาตมาว่าคงล้างโลกก่อนแล้วล่ะ ไม่มีทิศทาง ที่จะกลับเข้าไปอย่างโน้นแล้ว เพราะฉะนั้น คนก็ต้องทำ จะเลี่ยงว่า เราไปทำประเดี๋ยวจะบาป จะต้องขุดถูกไส้เดือนสัตว์นั่น สัตว์นี่อะไร ถึงบอกว่า เราพยายามที่จะมาเป็นเกษตรธรรมชาติ ที่จะไม่ต้องขุดดิน อย่างไงล่ะ เห็นไหม เมื่อเราไม่ต้องขุดดิน ต่อไป มันก็ไม่เป็นอะไร มันก็ไม่มี อย่างที่คุณว่านี่ ก็จะพ้นไปละเอียดลออ แต่มันยังเหลือเศษด้วยวิบากอะไรบ้าง ก็จำเป็น ถ้ามันจะต้อง แม้ทำให้สัตว์ อะไรมันตาย แต่เราก็ไม่ได้เจตนา องค์แห่งการเป็นปาณาติบาต ยังไม่ครบ ๕ เท่าไหร่หรอก ถาม องค์คุณของการขูดเกลา เป็นอย่างไร ตอบ องค์ของการขูดเกลาเป็นอย่างไร เอ๊ ไม่เคยดูองค์ของการขูดเกลา เป็นอย่างไร ขัดเกลาหรือขูดเกลา ก็เอาเถอะ เหมือนกันนั่นแหละ องค์ของการขัดเกลาหรือขูดเกลาเป็นอย่างไร ขัดเกลาก็คือ พยายาม ที่จะขัดใจ นั่นแหละ ขัดใจ หรือขัดกิเลส ออกไปจาก ถ้าของเราก็ขัดเกลาตัวเราเอง ภาษาบาลีท่านเรียกว่า สัลเลข ขัดเกลานี่ ถ้าเราขัดให้ผู้อื่น ก็บอกผู้อื่นได้เท่านั้นเอง ส่วนการขัดเกลาจริงๆนั้น ก็ต้องให้คนอื่น เป็นคนขัดเกลาเอง อาตมาไม่เคยเห็นองค์แห่งการขัดเกลา อย่างไร ก็ติเตียนกันนั่นแหละ ติเตียนด้วยนัย หรือเรื่องราวที่จริงให้ตรง บอกกันโดยมีประมาณๆ จะขัดเกลากันอย่างไง จะ ทำกัน ติเตียนกันอย่างไง อ้อ พูดมาถึงนี้ ก็นึกถึงได้ว่า ถ้าจะว่าเป็นองค์คุณ ก็น่าจะเป็นองค์คุณ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ผู้รู้ติเตียน ด้วยศีล แล้วก็ตามกาล ต้องไตร่ตรองเสียก่อน ไตร่ตรองแล้ว ติเตียนผู้อื่นได้ด้วยศีล เพราะฉะนั้น ผู้รู้นี้ จะติเตียน หรือ ขัดเกลาคนอื่นนี่ ติเตียน หรือว่า จะพยายามช่วยเหลือคนอื่นให้รู้ ให้เจริญขึ้นนี่ ก็ต้องไตร่ตรองดูเสียก่อน ว่าสมควรหรือยัง และในการขัดเกลานั้น ต้องอยู่ในหลักในเกณฑ์ของศีล อย่างคนนี้ถือศีล ๕ แล้ว ไปเอาขนาดศีล ๘ ไปขัดเขานี่ ระวังนะ หมัดมันสวนมาไม่รู้ด้วยนะ เพราะ มันผิดฐานเขาน่ะ แล้วเขาแค่ศีล ๕ โน่น ไปเอาโอวาทปาฏิโมกข์ศีลไปขัดเขาแล้ว หรือเอาศีล ๑๐ ไปขัดเขา ก็เล่นให้เท่านั้นเองนี่ระวัง ต้องไตร่ตรอง ต้องให้รู้ฐานะ แม้แต่ในศีล ๕ ยังมีอธิศีล เขาอธิศีลขนาดไหนล่ะ ถ้าอธิศีลมันมากไป มันเหนือฐานของเขา มันก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น จะขัดเกลาคนก็ต้องให้รู้ ต้องไตร่ตรอง ให้สมสัด ให้สมส่วนที่พอเหมาะพอดี ถาม ดิฉัน นิสัยขี้อาย จะแก้ได้อย่างไรคะ ตอบ การปฏิบัติธรรมนี่นะ จะทำให้คนแกล้วกล้า อาจหาญ ก็ตรงกันข้ามกับคำว่าขี้อาย ขี้กลัวขี้อาย ขี้ขลาด คำตอบตรงๆว่า ต้องปฏิบัติธรรมให้เกิดมรรคผล แล้วเป็นคนที่แกล้วกล้าองอาจ จะแก้อย่างไร ปฏิบัติธรรม ให้ได้มรรคผลจริงๆ นี่เหมือนกำปั้นทุบดินน่ะ แต่เรื่องจริง จะเห็นได้หลายๆคนนี่ขี้ขลาด พอมันมั่นใจ ทำไมมันมั่นใจ เพราะเราเอง เราไม่ได้ไปคิดร้ายใครหนึ่ง ถ้ามันมีมานะ มันก็กลัวว่า จะทำไม่ได้ดี เราก็รู้สึกว่า เราไม่ได้คิดร้ายต่อใครหรอกน่ะ จะบอกเขาหรือว่าจะขึ้นมาแสดงท่า แสดงธรรมอะไรก็แล้วแต่ตอนนี้ ต่อหน้า ต่อตา บริษัทอย่างนี้น่ะ เราก็จะมาทำดี แต่ว่ามันมีมานะ แหม กลัวจะไม่ได้ดี กลัวจะไม่ได้รับคำชมเชย กลัวจะผิดพลาด กลัวจะโดนตำหนิ ติเตียนไอ้พวกนี้ ในมานะซ้อน ที่นี้ ถ้าเผื่อว่าเราไม่มีมานะอันนี้นะ ตัวตน มันลดลงไป บอก เอ้า ก็เราดีเท่านี้ เราเก่งเท่านี้ เราทำได้เท่านี้จริงๆน่ะ ใครจะว่าเราก็ช่างเป็นไร เขาเก่ง กว่าเรา ก็ดีแล้วนี่ เขาบอกเราอีกซิ ถ้าเขาไม่เก่งกว่าเรา เขาก็ฟังเราได้ เราผิดบ้าง เขาก็แก้ไขให้เราเองแหละ คนรู้ล่ะ เพราะที่หมดตัว หมดตนอย่างนี้ ไม่มีมานะอย่างนี้ ก็จะไปอายทำไมล่ะ จะ ไปขลาดทำไมล่ะ กล้าได้ นี่มันเข้าหลักของความจริงทั้งนั้น เป็นความจริง แล้วไม่ต้องกลัวทั้งนั้นหรอก เรามาพูด หรือเรามาแสดง หรือเรามาทำอะไร ต่อหน้าต่อตาใคร เราก็มาทำสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า สิ่งที่จริง หรือ จริงๆเราก็มา เสียสละแท้ๆ ก็เราจะมาเสียสละ เราจะไปกลัวเขาทำไม อายเขาทำไม ขลาดทำไม ไม่ได้มาคิดร้ายคิดเลว ไม่ได้มาเอาอะไรของใคร ไม่ได้มาเบียดเบียนใครนี่ เห็นไหม นี่คือหลักการของความจริง ที่ทำให้เรามั่นใจว่า เราไม่ต้องไปอาย ไปขลาด ปฏิบัติธรรม ให้มันเกิดมรรคให้มันเกิดผล นี่ เป็นคำตอบ ถาม อยากทราบว่า พระโสดาบันสามารถล่วงสิกขาบทอย่างใด ชนิดใดได้บ้าง นอกจากศีลอย่างหยาบแล้ว ตอบ พระโสดาบันที่จริง ก็มีขีดมีขั้นน่ะ พระโสดาบันจะสามารถล่วงสิกขาบทใดได้ ก็สิกขาบทที่ตัวเอง สมาทาน ก็ล่วงไม่ได้ ในขอบเขต มันเป็นอธิ ขนาดไหน ก็ขนาดของคนนั้น นั่น พระโสดาบันเขาต้องไม่ล่วง ก็ล่วงสิกขาบท ที่ตัวเองยังไม่ได้สมาทานนี่ มันยังสูงกว่า เรายังทำไม่ได้ เรายังไม่ได้สมาทาน ก็ล่วงได้อยู่ บอกว่า นอกจากศีลหยาบ เพราะฉะนั้น ศีลละเอียดขึ้นไปๆ ศีลหยาบ ก็ล่วงไม่ได้ สมมุติว่า ถ้าจำเป็นต้อง พูดเท็จ โดยที่การพูดเท็จนั้น ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ตนเอง และผู้อื่น เช่น การพูดปฏิเสธ หรือยอมรับ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อันนี้น่ะ ชอบเอามาถามเรื่อย ประเด็นอย่างนี้ ทำไม เราจะพูดปด ที่จริงบอกแล้วว่า อยู่ที่เจตนา น่ะ เราไม่ได้เจตนาที่จะไปทำให้เสียหาย ทำให้เอาประโยชน์เข้าตน เพื่อตน เห็นแก่ตน มันไม่ได้เพื่ออันนั้น มันก็ไม่ได้ผิด ๑๐๐ % อะไรหรอก แต่ถึงไม่ผิด ๑๐๐ % มันก็ต้องฉลาดน่ะ คนเราว่า ถ้าเผื่อว่าเราว่า จะรู้อยู่ว่า นั่นมันเป็นการโกหก เราก็พยายามที่จะใช้ปฏิภาณ ว่าจะทำอย่างไงนี้ ว่าจะพูด ไม่ให้มันเป็นการโกหก มันจะต้องพูดอ้อมๆเอียงๆอะไรบ้าง ที่มันไม่โกหก ถ้าโกหกตรงๆแล้ว มันจะเป็นการร้ายแรง หรือเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่งามอะไรจริงๆ น่ะนะ เกิดเรื่องแน่ อะไรอย่างนี้ เราประมาณแล้ว จริงๆนะ เราเข้าใจแล้ว ก็เห็นอย่างนั้นจริงๆแล้วชัดเจน ด้วยว่ามันจะต้องไม่ดี เราก็จะเลี่ยงเสีย เจตนานี่ มันเป็นกุศลจิต เป็นกุศลธรรม เพราะฉะนั้น เราก็พยายามใช้ปฏิภาณปัญญา ทำให้ได้ อย่างดีที่สุด แม้สุดท้าย มันจะต้องเลี่ยง เกือบๆจะโกหกบ้าง เจตนาที่เป็นกุศล มันก็ยังพอคุ้ม แต่ขนาดไหน ก็แล้วแต่ ในกรรม กิริยาของคนที่ทำออกไปนี่ มันมีกุศลด้วย อกุศลด้วยพร้อมกัน มันก็มีอยู่เสมอ แต่งบแล้วกุศล ร้อยหนึ่ง อกุศลอยู่สิบ เออ ก็ยังพอกำไรบ้าง แต่ถ้าทำให้ไม่เกิดด่างพร้อยเลยได้ มันก็ดี ถาม ผู้ที่กำลังดำเนิน โสดาปัตติมรรค แต่ยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล จะมีโอกาสตกสู่อบายภูมิทั้ง ๔ ได้หรือไม่ ตอบ แล้วแต่น้ำหนักของพลวะปัจจัยนั้น ว่ามีกำลัง หรือมีรอบ ที่ได้สั่งสมลงไปหนาแน่น หรือตั้งมั่นได้เท่าใด ถ้าตั้งมั่นได้มาก แม้จะยังไม่ถึงขีด โสดาปัตติผล ก็จะเป็นพลวะปัจจัยอยู่บ้าง แต่ถ้าเผื่อว่า มันไม่ตั้งมั่นหรอก ทำไปเหลาะแหละๆ บอกแล้วว่า เวลาตายแล้ว ว่านี่ ทุกอย่างเสื่อม แม้แต่ยังไม่ตายนี่ ผ่านกาลเวลาไป เป็นๆนี้ มันยังเสื่อมเลย ทุกอย่าง มันไม่เที่ยง มันเสื่อมได้ ถ้าสิ่งที่ถึงรอบแล้ว มันก็ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรที่มันถึงรอบแล้ว มันก็ไม่เปลี่ยนแปลง คือ แม้จะลดสภาพลงมาบ้าง ลดสมรรถภาพลงมาบ้าง ก็ลดลงมาบ้างเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านยืนยันเลยว่า ไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา จะไม่ตกต่ำในขีดที่เรียกว่า ผู้เป็นพระโสดาบันนี่ ขีดจริงๆแล้วจะเป็นผู้ที่ จะได้บรรลุ อรหัตผล หรือจะได้เป็น ผู้ถึงนิพพานเป็นที่สุด อย่างแน่นอน เที่ยงแท้ ต่อนิพพานอย่างนี้เป็นต้น ก็จริง แต่อาตมา เคยบอกน่ะ พวกเราขอบอกอีก ที่เคยพูดกันมาว่า โสดาบันอย่างเลวที่สุดก็จะเกิดอีก ๗ ชาติ แล้วก็จะได้บรรลุ เป็นอรหันต์นั่นน่ะ อย่าพาซื่อว่าเกิด ๗ ชาติ คือการเกิดอย่าง ภาษาว่าบุคลาธิษฐาน นี่ฟัง คนใหม่ฟัง คนเก่าได้ฟังแล้ว ก็ฟังซ้ำเอาไว้ เกิด ๗ ชาติ อย่างบุคลาธิษฐาน หมายความว่า คลอดปุ๊บ ออกมาจากท้องแม่ ๑ ชาติ เสร็จแล้ว ก็ไม่ได้พากเพียรอะไรเลย นับ ๑ ชาติ ไม่ได้ทำดีอะไร ไม่ได้พากเพียรอะไร ไม่ได้สั่งสม มรรคผล อะไรอีกเลยน่ะ อยู่มันอย่างนั้นน่ะ อาตมากำลังติงพวกเรานี่ ติดแป้นอยู่ทำไมนี่ มันได้เลื่อนฐานะ แล้วมันก็ไม่ได้เจริญอะไร ก็คืออย่างนี้นี่ ข้ามชาติเลยน่ะ โสดาอยู่ตรงนี้ ๑ ชาติ ชาติหน้าปุ๊ดออกมาอีก อยู่อย่างนี้ นี่ ๒ ชาติ ต่อให้เจ็ดร้อยชาติ ไม่มีทาง ปุ๊ดออกมาเจ็ดร้อยที ข้อสำคัญไม่ทำบาปนี่ แม้แต่การเกิด ทางรูปกายนี่ ดีไม่ดี มันจะไปเป็นบาป เป็นเวร เป็นวิบาก อะไรต่ออะไรเป็นลูกหมา ก็ยังไม่รู้เรื่องเลย แต่ฐานของจิต มันไม่เปลี่ยนแปลงหรอก ถ้าเข้าใจมหายาน ถ้าเข้าใจโพธิสัตว์แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก รูปกายคือรูปกาย ปรมัตถ์คือปรมัตถ์ มันไม่ได้ตกต่ำตามปรมัตถ์ แต่นั่นแหละ มันก็ช้า มันก็วนเวียน ไปรับวิบาก อะไรต่ออะไร ที่จริงสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้เรารู้จักทุกข์ หรือ เข็ดหลาบ ด้วยนะ ถ้าจะมองไปในแง่ดีแล้วดี เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าผู้ใดเข้าใจไม่ได้แล้ว ไปเข้าใจว่า คลอดจากท้องแม่ ๗ ครั้ง ปุ๊ดนี่ จะได้เป็นพระอรหันต์ จ้างก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การเกิดนี่ ไม่ใช่รอบของการเกิดทางกาย เป็นรอบของการเกิดทางจิต จิตจะต้องพัฒนา ขึ้นไปสู่รอบของปรมัตถ์ ที่ลดละกิเลสจริงๆนั่น ด้วยสามารถของเรา ไม่ใช่รอฟ้า รอฝน ไม่ใช่ รอใครบันดาลไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเกิดมาแต่ละชาติๆ ไม่พากเพียร มันก็เกิดจากท้องแม่เปล่าๆ อันนี้ ก็เติมให้ แถมให้ ต้องเข้าใจให้ดีว่า เมื่อเกิดจากท้องแม่ อย่างนั้น ไม่ใช่หรอก การเกิดอันนี้ ไม่ได้เรียกว่า การเกิดอันนั้น เรียกการเกิดแห่งกรรม สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก เสร็จแล้ว ก็จะต้องมีสภาพ ที่มันหล่อหลอม ทางจิตวิญญาณ มีแม่ มีพ่อ ทางจิตวิญญาณ แล้วก็เกิดทางโอปปาติกะ เรียกว่า โอปปาติกโยนิ สัตตาโอปปาติกา ไม่ใช่เกิดทางกาย เป็นสัตตาโอปปาติกา เกิดทางจิตวิญญาณ ถาม แรงงานไทย(ส่วนมากเป็นชาวอีสาน) ไปตายที่สิงคโปร์ โดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะบาปกรรมอะไร จึงเป็นเช่นนั้น ตอบ กรรมวิบากนี่ตอบไม่ได้น่ะ ตอบยาก ถ้าไม่หยั่งรู้ ชาติแต่เก่าปางก่อนอะไรของคน เหมือนอย่าง พระพุทธเจ้า ที่ท่านหยั่งรู้จริงๆแล้วละก็ โอ้ย ไม่ได้หรอก ตอบก็ผิดๆเพี้ยนๆ มีแต่เดาเท่านั้นแหละ อาตมาก็ไม่ได้มีเวลา วาระอะไรจะไปทำอย่างนั้น อาตมาชาตินี้ พยายามไม่ทำด้วย แม้แต่ตัวเอง ก็ไม่พยายามที่จะย้อน เพราะฉะนั้น ป่วยการกล่าวไปไยกับคนอื่น ไม่ค่อยไปวุ่นวาย อะไรหรอกคนอื่น อะไรที่มันจะพอ จะพึงเป็นไปก็เป็นไป มันจะรู้เอง โดยที่เรียกว่ามันสุดวิสัย มันรู้เอง บางอย่าง บางอัน มันขึ้นเอง มันเป็นอะไรของมันเองก็แล้วไป แต่เจตนา ไม่เจตนากระทำ เพราะฉะนั้น จะให้ตอบอันนี้นี่ไป ถามทั้งๆที่ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า คนอีสานไปไหลตายที่สิงคโปร์ ชื่ออะไร เป็นใคร ที่ไหน อย่างไร ยังไม่เคยรู้เลย แล้วยังมาถามอาตมาว่า เพราะอะไร เพราะไม่หายใจ ชัดไหม เออ ชัด เห็นไหม อาตมาตอบถูกแล้วน่ะชัด ว่าอย่างนั้น เพราะกรรมอะไร ไม่กระทำการหายใจ เพราะกรรม คือไม่กระทำการหายใจ บาป คือความไม่ดี ไม่งามอะไร มันเป็นโทษเป็นภัยอะไร อาตมาตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้จริงๆ อันนี้ก็เรียกว่า คำตอบอันนี้ตอบอย่างนี้ จะเรียกว่า ตอบถูก หรือไม่ถูก ไม่รู้ล่ะ ตอบไม่ได้ กรรมวิบากนี่ ตอบเล่นๆลิ้นๆเดาๆเลยไม่ได้หรอก เป็นเรื่อง อจินไตยอีกข้อหนึ่ง วิบาก กรรมวิบากนี่ เป็นเรื่องอจินไตยอีกอันหนึ่ง ยาก ถามมาตอบยาก ถาม ไม่ทราบว่ามางานพุทธาภิเษกครั้งที่ ๑๔ จะได้ฟังเสียงท่านจันทเสฏโฐ บ้างไหมค่ะ ตอบ ก็คงไม่ได้ฟังแล้วหมดแล้ว ๓ นาที พระเกจิ วันนี้น่ะ ตั้งใจ อย่าพลาดนะ อย่าหลับตา อ้าวไม่ได้เป็น เกจิอีกด้วย พลาดไปแล้ว ไปฟังส่วนตัวก็ได้นี่ เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก ดี แฟนเรียกร้อง ดีรักษา เทศน์ให้ดีๆ เอาไว้อย่างนั้นแหละ ดีแล้วล่ะ เป็นพระธัมมกถึก เทศน์แล้วคนติดใจ ก็ดีแล้วล่ะ ระวังนะ มีคนชมชอบ ยังหนุ่ม ยังแน่น ฉันจะไม่สึกๆ ระวังน่ะฮื่อ น้ำหยดลงหิน ทุกวัน หินมันยังกร่อนน่ะ ไอ้ที่พูดนี่ พูดถึงเรื่องมานะ มานะ นี่ ก็ทำให้เหมือนน้ำหยดลงหิน แล้วหินมันกร่อนได้เหมือนกันระวัง มานะทำให้อย่างโน้น อย่างนี้ มันมีอะไร ต่ออะไรได้เหมือนกัน ไม่ได้ไปดูถูกเรื่องกามหรอก อาตมาว่าเรื่องมานะ ระวัง อย่างนี้ เป็นเรื่องสรรเสริญ เยินยอ มันเป็นเรื่องยกย่อง ได้ปลื้ม ได้ดี อะไรนี่ระวังบ้าง เป็นอันตราย ลาภ สักการะ เสียงเยินยอ เป็นอันตราย อันแสบเผ็ด แม้พระขีณาสพ ก็ต้องอย่าประมาท ถาม ในบทสวดทำวัตรทุกเช้าทุกวัน ในบทพาหุง ตอนที่ว่า พระพุทธเจ้าปราบพญามาร ที่เนรมิตแขนถึงพัน หรือ นันโทปนันทนาคราช โดยบุคลาธิษฐานแล้ว มีจริงหรือไม่ ท่านช่วยขยายความข้องใจด้วย ตอบ โดยรูปธรรม จริงๆมันไม่มีหรอก อาตมาเคยขยายความพาหุง ๘ นี่นะ มารถึงพันนี่ ถ้าใครรู้ชัดๆนี่ พวกเรานี่ รู้จักมารชัดๆ แขนถึงพัน คืออะไรแล้ว เห็น โอ้โฮ มันมากกว่าพันแล้วเดี๋ยวนี้ โอ้โฮ เดี๋ยว นี้ มันเจริญงอกงาม แต่ก่อนนี้นี่นะ สมัยโบราณนี่เขาเขียนมานี่ เขาวาดไว้ เป็นยักษ์ เป็นมาร ๒๐ แขน สิบเศียร เขาเรียกทศกัณฑ์ ๒๐ แขน ๑๐ เศียรเท่านั้นแหละ ต่อมาๆมันร้ายกาจ ยักษ์ มาร ผีพวกนี้มันร้ายกาจขึ้นมานี้ เป็นถึงพันพันมือ พันแขน เป็นการสื่อออกมาแบบบุคลาธิษฐานแบบคน แบบรูปร่าง ที่เราพอเข้าใจได้ สื่อให้เข้าใจ ว่ามันร้ายกาจ มันเหมือนกับมีเหตุ ปัจจัย มีอาวุธยุทธภัณฑ์ มีอะไร ที่มันเยอะๆแยะ ที่จะเล่นงาน เราได้มากมาย เหมือนกำลังเราโดนอยู่เดี๋ยวนี้นี่ ว่าก็ว่าเถอะ โอ้โฮ ร้ายกาจๆ หลายพันแขน มีอาวุธครบมือ นี่ อย่างนั้นแหละ ทีนี้ลักษณะต่างๆ นาคราช ก็ลักษณะอย่างนั้น ท้าวผกาพรหม ก็ลักษณะอย่างนั้น ต้องศึกษาดีๆว่า ลักษณะอย่างนั้น เกี่ยวข้องกับชั้นสูงขึ้นไป หรือชั้นแง่เชิงต่างๆ ตั้งแต่มารถึงพันจนกระทั่ง มาราติเรกะว่า มารที่สูงขึ้นไป ช้างนาฬาคิริงแล้วก็อะไร พวกนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละ ไปจนมีลักษณะเชิงชั้น ที่จริง มันเป็นอุปสรรค หรือมันเป็นเรื่องเลวเรื่องร้าย อยู่ในสังคมสู้กับเรา ลักษณะอย่างนั้น ที่จริงน่ะ การขยายความ บทพาหุงนี่ อาตมาเทศน์ขยายความ แล้วก็เคยพิมพ์เป็นหนังสือ ยังหาอ่านได้อยู่นะ ชื่อ ยุทธวิธี ๘ ขั้น แห่งการเป็นผู้พิชิต หาอ่านดูน่ะ ถ้าจะขยายความ มันไม่ไหวหรอก มันไม่มีเวลาหรอกนะ ถาม ท่านเจ้าคุณนรฯ ซึ่งพ่อท่านได้รับรองว่า เป็นพระอริยะองค์หนึ่ง หรือ พระอาจารย์มั่น ซึ่งการปฏิบัติ ของท่านทั้ง ๒ แตกต่างจากการปฏิบัติของพ่อท่าน ซึ่งกำลังพาทำอยู่นี้ โดยเฉพาะ ท่านเจ้าคุณนรฯ ทราบว่า ท่านปฏิบัติโดยลำพัง โดยไม่ได้อาศัยกัลยาณมิตรทั้งหลาย เช่นแนวสันติอโศก แต่ก็สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะเหตุใด ตอบ เพราะเหตุว่า ท่านมีของท่านเอง แล้วท่านก็มีอย่างนั้นแหละ มีอย่างได้น้อย แต่มีอานิสงส์มาก ก็เป็นแต่ส่วนตน เป็นได้อย่างนั้นๆ แค่นั้นๆกัน อย่างอาจารย์มั่น ก็พอมีบ้าง เพราะฉะนั้น จะสังเกตได้ อาจารย์มั่น ท่านก็ยังมีการคบหาสมาคม ก็จะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่าเจ้าคุณนรฯ เพราะฉะนั้น จะปฏิบัติอย่างเจ้าคุณนรฯนั้น ไม่มีประโยชน์กับใคร อะไรจริงๆ เลย ตัวเองก็แคบอยู่อย่างนั้นน่ะ ตัวเองก็ช้า อยู่อย่างนั้น แล้วก็เป็นไปอย่างนั้น แหละ มันก็สู้สภาพที่เปิดออกไป แล้วก็มีผัสสะ มีอะไรต่ออะไรเรียนรู้อะไร ออกไปไม่ได้ บรรลุได้เพราะเหตุใด ก็เพราะเหตุ เขาพากเพียร เจ้าคุณนรฯ พากเพียรจริงๆเลยนะ ถ้าใครอ่าน ประวัติ หรือว่า สืบประวัติดูแล้ว เป็นคนที่พากเพียรจริงๆ พากเพียรจริงๆ ยังได้แค่นั้นเลย ได้แค่นั้นน่ะ แล้วท่าน มีบุญเก่าของท่าน แล้วก็เป็นไป เพราะว่าท่านเองไม่สร้างมิตรดีสหายดีเอาไว้มาก แล้วยิ่งมาทำ อย่างนี้ ก็ยิ่งไม่ค่อยมี ยิ่งจะเหี่ยวไปใหญ่เลย เพราะฉะนั้น ก็อีกนาน กว่าจะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ จะต้องมี พวกที่มีบุญบารมีที่จะช่วยสะกิด ช่วยเตือน ช่วยติง ช่วยแก้ไข แล้วก็จะเปลี่ยนเข้ามาสู่ สัมมาทิฐิ เข้าทางมา เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็จะนานไปเรื่อยๆน่ะ คือ จะนานอีกนานอยู่ เพราะมันไม่ถูกครรลอง มันไม่มีทั้งหมด ของพรหมจรรย์อันสมบูรณ์ มันไม่ครบครัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่ครบครัน มันก็ได้เท่าที่ได้ สายฤาษีน่ะ ท่านมีทิฐิบ้างเหมือนกัน มีทิฐิในส่วนที่ท่านมี แต่ก็อยู่ในฐานอย่างนั้นน่ะ อยู่ในฐานขนาดที่ท่านมี เป็นแบบฤาษีแท้ๆ มากทีเดียว สัมมาทิฐิอยู่บ้าง ถาม ดิฉันมีปัญหาเรื่องความรัก คือรักตัวเองมากเกินไป มันเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก ดิฉันขอกราบเรียนถามว่า ควรจะทำอย่างไร ตอบ ที่จริงโดยสามัญแล้ว คนเรารักตัวเองทุกคน ทีนี้ มันรักมากไป แต่ที่จริงบางคนนี่นะ นึกว่าตัวเอง ไม่รักตัวเองมากไปหรอก นึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้รักตัวเองมากเท่าไหร่ แต่ที่แท้เอาเข้าจริงแล้วนะ ตัวเองน่ะ รักตัวเองมากกว่าคนบางคน ที่เขารู้สึกว่ารักตัวเองมากด้วยซ้ำ แต่บางคนยังรู้สึกว่า เอ้ย ตัวเอง ไม่ค่อยได้รักตัวเอง เท่าไหร่หรอก เอาแท้ๆพิจารณาอย่างลึกซึ้ง พาเข้าจริงๆแล้วนะ คนที่หลงตนว่า ไม่ได้รักตัวเองมากน่ะ ที่จริงโดยสาระแล้ว กลับหลงรักตัวเอง มากกว่าคนที่เขา รู้สึกว่าเขารักตัวเองมากอยู่ แต่แท้จริง เขาก็ไม่ค่อยหรอก เขาสังวรระวังด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ค่อยได้รักตัวเองมากเท่าไหร่ด้วยซ้ำ อย่างนี้ มีอยู่เยอะน่ะ ถาม คนที่รู้ว่าตัวเองโง่ เคยได้ยินไหม ผู้นั้น คือผู้ยังมีความฉลาดแล้วบ้าง คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองโง่ หลงว่าตัวเองฉลาด คนนั้นโง่กว่าคนที่รู้สึกว่าตัวเองโง่ เอา สังเกตดีๆ ที่ถามมานี่ รู้ว่าตัวเองหลงตัวเอง รักตัวเองมาก ทีนี้ถามว่าจะแก้อย่างไร กำปั้นทุบดิน ปฏิบัติเข้าไปเถอะ มันอยู่ที่เราบำเรอตน มันรักสิ่งนั้น สิ่งนี้มาเป็นสุข หลงสุขบำเรอนั่นแหละ มันเห็นแก่ตัวเอง ตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่ข้างนอก เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นวัตถุรูป ตั้งแต่สมบัตินอก จนกระทั่งเกี่ยวเนื่องมาใกล้ชิด มาเรื่อยๆๆ เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาเรื่อยๆๆๆๆๆๆ จนกระทั่ง มาถึงในภพ ในเรื่องภวตัณหา ไปหลงภพ หลงภูมิ อะไรจนกระทั่งเข้าใจ มันก็หลง ให้ตัวเองเสพย์ เสียเวลาบำเรอตนอยู่ จนกระทั่งภพที่สูงขึ้น เป็นภพแห่งความถูกต้อง ดีงาม แล้วท่านยังหลง เป็นภวภพ เป็นภวตัณหา ซึ่งมันทำได้เป็นภพที่ดี ที่อาศัยเท่านั้น เสร็จแล้ว เราก็ไม่รู้ว่า นั่นเป็นแค่ภพ นี่เป็นแค่อัตภาพ ที่เราอาศัยลำลอง ไม่ใช่ของตัวของตน ไม่ใช่ตัวตนจริง แต่ภาษาไม่มีเรียกแล้ว อัตตา หรือ อัตภาพ มันแปลว่าตัวตน ซึ่งเป็นตัวตนที่ไม่ใช่เรา ถ้าจะใช้ภาษาไทยชัดๆ มันก็เป็นตัวตน มันเป็นสภาพ สภาวะ อันนั้นแหละ วิญญาณ ก็เป็นสภาวของวิญญาณ วิญญาณของใครล่ะที่จริง มันก็ของเรา แต่เราอย่าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นภาษาสุดท้าย แค่นั้นละว่า อย่าไปยึดว่าเป็นเรา ปล่อยวาง เฉย มันจะเป็นยังไง ก็อย่าไปยึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นเรา เขาแตะได้บ้าง เขาต้องได้บ้าง เขาว่าได้บ้าง เขาข่ม เขาขี่ อะไรได้บ้าง เขาอะไรต่ออะไรได้บ้าง แก้ง่วง ก็คือใส่ใจให้มาก ใส่ใจให้มาก นั่นแหละแก้ง่วง เอาน้ำร้อนราดเลยดีไหม อ้าว แก้ง่วง นี่หายนะ ดิ้นเลย ใส่ใจให้มาก เคลื่อนไหวให้มาก นวดเนื้อ นวดตัว มีวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน พระโมคคัลลา พระโมคคัลลานี่ ยอดง่วงเก่งเลย พวกสายหลับตานี่ติดภพ สายเจโต ยอดง่วง แต่อย่าหลงดีใจว่า ตัวจะเหมือนพระโมคคัลลานะ อย่าทำเป็น.. พอบอกพระโมคัลลา ฮื่อ เรานี่เหมือนพระโมคคัลลา ไม่เป็นไร เพราะ ฉะนั้น เราง่วงต่อไป นั่นแหละโง่ซ้อนโง่เลยๆ ใส่ใจให้มากขึ้น อาตมาจำได้ว่า ข้อที่ ๑ ตัองใส่ใจในเรื่องนั้น ให้ยิ่งๆขึ้น ข้อที่ ๑ ข้อสุดท้ายท่านบอกว่า เมื่อมันแก้อะไรไม่ได้แล้ว มันมี อาตมาจำไม่ได้ เรียงลำดับนะ ตั้งแต่ พยายามใส่ใจต่อสิ่งนั้น นวดเนื้อนวดตัว หายใจยาวๆ หรือไม่ก็มองสู่ที่กว้าง ที่สว่าง มอง อากาศที่ว่าง ที่สว่าง ออกไปเดิน เอาน้ำล้างหน้า ท่านบอกทั้งนั้นแหละ เอาไม้ยอนหู จริงๆน่ะ อาตมาจำได้ ไม่ได้เรียงลำดับล่ะ มีอยู่ ๘ ข้อนั่นแหละ ที่อาตมาว่านี่ทั้งนั้นแหละ แม้แต่เอาไม้ยอนหู คือไม่ได้หมายความว่า จะง่วงแล้ว เราจะต้องนั่งเป๋ง กระดุกกระดิกไม่ได้ ไม่ใช่ ท่านไม่เคยสอนอย่างนั้นเลย แก้ง่วงน่ะ ให้พยายามทำ เคลื่อนไหว ให้พยายามใส่ใจ เคลื่อนไหว นวดเนื้อ นวดตัว หายใจ เข้าออกยาว อะไร ต่ออะไรต่างๆ มองแสงสว่างทั่วไป คือมันไม่ไหวจริงๆ ออกไปเดิน เอาน้ำล้างหน้า ล้างตา ทำอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา มันไม่ไหว เอาไม้ยอนหู หนักเข้า ข้อสุดท้าย ท่านบอก นอน นอน ตั้งใจนอน มันไม่ไหวแล้ว วิธีแก้ หมดท่าแล้ว นอนด้วยสีหไสยาสน์ มีสติแล้วก็กำหนดเวลาหลับ เวลาตื่น มันเป็นไป จริงๆนะ มันเป็นเรื่องที่ บางทีมันง่วงจริงๆ มันสุดวิสัย เพราะฉะนั้น บางคนบอกว่า พระอรหันต์เจ้าไม่ง่วงหรอก แหม อาตมาถึงบอกว่า มา พระอรหันต์เจ้าองค์ไหน เก่งๆ มาเถอะ จะจับไม่ให้หลับให้นอนกันสัก เอาให้มันแน่ๆ สักร้อยวัน ดูซิว่าจะไม่ง่วง พระอรหันต์นี่มา อาตมาจะลองดู อะไรกันล่ะ นอกจากจะไม่ให้นอนร้อยวันแล้วก็จะให้ไปแบกหินทุกวันๆ แบกหินทุกวันๆ ดูซิร้อยวัน ดูซิร้อยวัน มันจะไม่ง่วง คนเรา ถ้าเผื่อว่า ร่างกายมันพักผ่อนไม่พอ ไม่เพียงพอ มันก็ต้องการพัก มันก็ต้องง่วง มันก็ต้องเพลีย มันก็ต้องเปลี้ย ต้องหาว อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่ คือพาซื่อกัน จนกระทั่ง ไม่รู้เรื่อง รู้ราวอะไรเลย ด้วยกิเลสมันก็คือด้วยกิเลส ง่วงนอนด้วยกิเลส ง่วงนอนด้วยความเพลีย ง่วงนอนด้วยโรคภัย ไข้เจ็บ อินทรีย์มันอ่อนแล้วง่วงนอน ด้วยอะไรก็แล้วแต่ มันก็มีเหตุปัจจัยของมันบ้าง จะไปพาซื่อ บอกว่า พระอรหันต์ ไม่ง่วงนอน พอเห็นง่วงนอนแล้วไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่ พระอรหันต์ เห็นหาว ไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่ได้ทีเดียวนะ อย่าพาซื่อ อย่างนั้นไปทีเดียว พอพูดอย่างนี้ ก็ไม่ใช่เป็นข้อแก้ตัวนะ ฉันอรหันต์แล้ว แต่ฉัน จะหาวน่ะ ฉันอรหันต์แล้ว แต่ฉันก็จะง่วง ฉันไม่ใช่นะ อย่ามาหาข้อแก้ตัว ต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง ถาม ทำไมผู้ชายบางคนเป็นผู้ชาย แต่คุณธรรมต่ำ เช่นไม่มีสัมมาทิฐิ กินข้าวมื้อเดียวไม่ได้ (เอาแค่ข้าวมื้อเดียวนี่หรือมาเป็นข้อที่จะวัด อาตมาไม่เคยเห็น พระพุทธเจ้า ท่านเอาข้าวมื้อเดียวนั่น มาวัดคนเท่าไหร่หรอกน่ะ พวกเรานี่ เอามังสวิรัต ไปวัดคนอย่างนี้เป็นต้น เป็นอริยะ เอาข้าวมื้อเดียว ไปวัดคน อริยะอย่างนี้ อาตมาว่า เอ๊ ศึกษากันยังไง อาตมาก็ไม่เคยสอนอย่างนั้นสักทีนะ เราบอกว่า เอาศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์อะไรอย่างนี้นะ จริง มันมีข้อ วิกาลโภชนา เป็นศีลข้อสูงขึ้น ที่จริงน่ะ เขากินสองมื้อด้วยซ้ำไป วิกาลโภชนา เอ้า ถ้าเผื่อว่าลึกๆ มันพอได้ อย่าเพิ่งไปเอาตื้นๆอย่างนี้ ไปวัดจนเกินไปนัก ต้องเข้าใจให้มันลึกๆ หน่อย) แต่ทำไมบางคนเกิดมาเป็นผู้หญิง แต่มีเจโตสูงกว่าผู้ชาย บางคนไม่ติดอบาย มีสัมมาทิฐิ กินข้าวมื้อเดียวได้ (เอาละ เอ้า ผ่านไป เรื่องข้าวมื้อเดียว) ตอบ เอ้า มันก็เรื่องจริงน่ะซิ ก็ผู้ชายสมัยพระพุทธเจ้านอกจากไม่บรรลุพระอรหันต์ ยังเป็นโจรอยู่ด้วยซ้ำไป ก็เยอะแยะไป ผู้หญิงบรรลุอรหันต์ไปก็ตั้งเท่าไหร่เล่า ทำไม ไม่น่าถามเลย มาถามว่าทำไม อาตมาก็ถามคืนว่า ทำไมน่ะถึงไม่ฉลาดพอ ที่จะรู้อันนี้นะ มันเป็นเรื่องของคุณธรรมที่เขาไม่ได้สั่งสม ไม่ได้สร้าง มันก็ต่ำน่ะซิ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย เป็นวิบากของใคร ของมัน เป็นกัมมทายาโท เพราะฉะนั้น ที่เขาว่าต่ำกว่า แม้จะเกิดเป็นหญิง เป็นชายก็ตาม คุณธรรมนั้น เขาไม่ได้สั่งสม กุศลธรรมของเขามันด้อยๆกว่าจริง แม้จะเป็นผู้ชายก็ด้อยกว่าผู้หญิงได้ มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องว่าเป็นรูปร่าง ผู้หญิง ผู้ชายไปทีเดียวนัก แต่มันก็ ไม่ได้หมายความว่า มันไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์เหมือนกัน ในส่วนที่สูงจริง สูงสมบูรณ์ ก็ต้องสมบูรณ์ สัดส่วนเป็นผู้ชายด้วยนั่นแหละ แต่ถ้าเผื่อว่า ยังเป็นผู้หญิงอยู่ มันก็ยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้บรรลุ อรหันต์ได้ ไม่ใช่เป็นผู้หญิงแล้ว บรรลุอรหันต์ไม่ได้ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า จำนน พระอานนท์ตรงนี้น่ะ ตรงที่ว่า แล้วผู้หญิงบรรลุอรหันต์ได้หรือเปล่า ความเป็นผู้หญิง ไม่ได้ขั้นเป็นพระอรหันต์ ความเป็นผู้หญิง ไม่ได้ขั้นคุณธรรมที่สูง ที่มนุษย์จะพึงเป็น พึงมี แม้แต่ทางปรมัตถ์ แต่ว่า ถ้าจะเอาสูงสมบูรณ์สุดยอด ถ้ามีผู้ชายด้วยแล้ว เหนือไม่ได้เลย เหนือกว่า ไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ในส่วน โดยเฉพาะส่วนตัวเป็นอรหันต์นั้นได้ แต่ถ้าเทียบเคียงกันแล้วเป็นผู้หญิงแล้ว จะเหนือกว่าผู้ชายไม่ได้ เท่านั้นเอง ถาม ผู้หญิง ทำไมช่างพูด ช่างนินทา อย่างเช่น ตอนบ่าย เข้าศาลาฟังธรรมก็คุยกันให้แซด หาความสงบไม่ได้ (มันไม่ได้เอาเชียวเหรอ) อยากทราบผลของวิบากคะ ควรฝึกสมถะให้มากใช่ไหมคะ ตอบ เอ้า ก็จริง ก็พอรู้เหมือนกันน่ะ ควรฝึกสมถะให้มาก แม้ฝึกปัญญาให้มาก ถ้าเรามีเจโตพอสมควร ที่จะระงับ รู้จักกาลเทศะ เออ ตอนนี้ เราไม่ควรพูด หรือว่า เราไม่ควรจะไปนินทา ไอ้พูด ไม่ใช่พูดไม่มีกาล ไอ้ช่างพูดน่ะ มันเป็นศัพท์ประชด พูดมาก ที่จริงมันไม่ควรจะใช้คำว่า ผู้หญิงทำไมช่างพูด มันควรจะถามว่า ผู้หญิงทำไมพูดมาก เออ มันน่าจะถามอย่างนี้มากกว่าหนอ ผู้หญิงทำไมช่างพูด ช่างพูด เป็นคำชมกลายๆนะ ช่างนินทานี่ ประชดแล้ว นินทา เป็นช่าง ไม่มี นินทานี่ มันว่าเขาจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าถามบอกว่า มันเป็นผลของวิบากจริงไหม ก็จริง จะฝึกสมถะมากๆ จะแก้ได้ใช่ไหม ก็บอกว่าใช่ แล้วก็ฝึกปัญญาด้วย ไม่ใช่ฝึกแต่สมถะ ถ้ามีปัญญาแล้ว มีอินทรีย์พอสมควร มันก็แก้ได้เหมือนกัน ถาม ทำยังไง จิตจึงจะไม่อ่อนแอ สะเทือนใจหน่อย น้ำตาก็พานจะไหล บางครั้ง พูดกันอยู่ดีๆ (ในขณะที่อารมณ์กลุ้มยังค้างใจอยู่) ถ้ามีคนแสดงความเห็นใจ น้ำตาจะไหลออกมาทันที ตอบ อัตตา อัตตา นี่เขาเรียกว่าอัตตา คือตัวเอง มันสงสารตัวเอง มันโอ๋ตัวเอง พอเรามีอะไรในใจอยู่ พอคน มาแสดงอะไรออกมา ในฐานะคล้ายกับเห็นใจ โอ้ย มานะ โอ๋ตัวเอง ร้องไห้ น้ำตาไหลพราก ขี้อ้อน ขี้อ้อน ไอ้หนู อีหนู อย่างนั้นน่ะ มันเหมือนเด็กๆ มันไม่แข็งแรง มันมีอัตตาใหญ่ อัตตาโต แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง ประทับใจในเรื่อง คุณงามความดี แล้วน้ำตาไหล อย่างนี้เขาเรียกว่าอุพเพงคาปีติ น้ำตาไหล ปีติ ที่มันมีถึงขั้น ปฏิกิริยาน้ำตาไหล พยายามห้ามด้วยซ้ำไปนะ รู้ตัวนี่ห้าม ไม่อย่างนั้นนี่ มันไหล อุพเพงคาปีติ อะไรอย่างนี้ มันมีปฏิกิริยากับ สรีระบางคน ไม่น้ำตาไหล แต่น้ำตาไหลนี่มันง่าย บางคนนี่มันสั่น ตัวสั่น บางคนกระตุก บางคนยืดๆๆๆข้างใน ไอ้อุพเพงคาปีติ บางทีเขาบอกว่าถึงเหาะได้ อาตมาก็ไม่เคยเห็นหรอก อุพเพงคาปีติถึงปานนั้น ก็ได้ฟังแค่นี้ ในตำราตำรับอะไรเขาว่ากันไปก็ ผู้ที่อ่านตำรา ก็คงเจอทั้งนั้น ไอ้อย่างนั้นปีติความดีใจ ความประทับใจ อันนั้น มันยังเป็นอยู่บ้าง อาตมาก็ยังเคยบอกพวกเราเลย เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก อย่างนี้อนุโลมก็ได้ อุพเพงคาปีติ ถึงขั้นที่เรียกว่า ประทับใจในกุศล ก็พวกเรานี่ มันยังอืดอาดอยู่เลย มันยังแหม มันยังไม่มีพลัง พอที่จะยังกุศล ให้ถึงพร้อม ให้มันมีฤทธิ์ ให้มันมีแรงอะไรเลย รู้ว่าดี มันไม่มีอะไร มันอืดช้า แล้วมันไม่มีพลัง เรียกว่าดี ดีก็เร่งซิ ดีก็ทำซิ ดีก็ลงมือซิ ดีก็ช่วยกันซิ มันไม่มีใจตัวนี้เลย มันก็เลย เอ๊ มันไม่ได้สร้างสรร มันไปไม่รอด เพราะฉะนั้น อุปกิเลสอันนี้ ไม่เป็นไรหรอกเพราะว่าธรรมดานี่ คนเรานี่ ถ้ามันมีความดีใจเป็นปีตินี่น่ะ อันนี้ อุพเพงคาปีติอย่างที่ว่า ถ้าเผื่อว่า เราจะมีปีติ ในอะไรก็แล้วแต่ คนเรานี่ ถ้าพอนานๆๆๆๆแล้วมันก็หายเอง ดีใจ นะอันนี้ แหมได้อันนี้นี่ ได้ไปบ่อยๆ ซ้ำๆนานๆๆๆๆเข้าซ้ำๆซากๆเข้าก็ชิน แล้ว มันก็หายเองได้เท่านั้นแหละ มันไม่เป็นไรนักหนาหรอก มันก็หายเองได้ แล้วมันก็รู้ดีเลยว่า ยิ่งเรารู้สึกอยู่ เราก็เข้าใจด้วยปัญญาอยู่ แล้วเราก็พยายาม พากเพียรลดบ้างๆๆอยู่บ้าง ฝืนหรือขัดเกลานั่นเองฝืน ลด ทำๆอยู่บ้าง มันก็ไม่กะไร ให้มันมีกำลังอีกส่วนหนึ่ง ที่มันเป็นกำลัง ที่จะผลักดันให้เราสร้างดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ขณะนี้มันขาด มันขาดกรรมกิริยา ที่จะเป็นการเสริมหนุน ที่จะแข็งแรง ที่จะสร้างสรร อะไรเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า แม้จะเสียสละหน่อยว่ามีอุปกิเลส อันนี้เป็นอุปกิเลส เป็นปีตินี่บ้าง แต่มันสร้างสรร คุ้มกัน อาตมาก็เลย เอ้า เอาอย่างนี้ด้วยก็ดี จะตอบง่ายๆก็ ทำยังไงจิตใจจะไม่อ่อน แอ ก็ต้องฝึกเพียรเอา ที่ถามมานี่ ไม่ใช่อุพเพงคาปีติ ถามมานี่ ตัวเอง มันมีอะไรอยู่ในใจ สะเทือนใจอะไรอยู่ เราเอง มันมีอะไรอยู่ มันโอ๋ตัวเอง ใจเรามีอย่างนี้ ขาดอันนี้ แหม แล้วเราก็ไม่ได้อันนี้ พอคนมาแสดงความเห็นใจหน่อย มาแสดงเข้า เพราะตรงกับไอ้ที่เรานี่ มาแสดงความเข้าข้างเท่านั้นแหละ โอ๊ย มันขี้โอ๋เลย มันขี้โอ๋ตัวเองเลย ทำออเซาะเข้าไปเลย ร้องไห้ น้ำตาไหล อันนี้ต้องรู้สึกตัวให้ดีว่า มันไม่ใช่ของดี เราแก้จริงๆ อุพเพงคาปีติ ที่อาตมาว่าเมื่อกี้นี้ ร้องไห้เพราะว่า มีความประทับใจในกุศล เป็นความยินดีในสิ่งที่ดี เป็นอุปกิเลสอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ อันนี้ มันเป็นความบกพร่องของเราด้วยซ้ำไป เป็นอัตตาที่ตัวเองมาหลงตัวเอง อยากจะให้คนอื่นเขาเห็นใจตัวเอง อะไรต่างๆ นานา ที่จริงไม่เห็นใจหรอก เห็นกิเลสตัวเอง ที่มันไม่ได้สะใจ มันไม่ได้สมใจอะไรตัวเองอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ต้องพยายาม พยายามที่จะรู้ความจริงอันนั้นว่า อันนี้ไม่น่าที่จะให้ใครเขามาเห็นใจเรา แล้วเราก็ไม่น่าที่จะต้องไปออเซาะ อ่อนแอ เพื่อทำให้กิเลสมันได้ใจ แล้วกิเลสมันโต มีเหตุผล เพราะฉะนั้น คุณจะ ต้องพิจารณาให้เห็นความจริงอันนี้ให้ได้ ทุกทีๆแล้วแก้ๆๆๆๆๆ เกิดเมื่อใด ให้รู้ทันเมื่อนั้น แล้วแก้ ปรับๆๆๆ ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นหรอก รู้ความจริงตามความเป็นจริง ภาษาของท่านสั้นๆ อย่างนี้ แก้กลับ คือทำคืน คือทำกลับ อย่าให้มันเป็นอย่างที่มันเป็นนั่น อันนั้น มันผิด ทำให้มันมีทิศทางที่มันถูกต้อง ถาม เราจะประมาณอย่างไรคะ ระหว่างงานในวัดกับงานที่ยังมีคุณค่าต่อสังคมอยู่ ขอพ่อท่านช่วยกรุณา ให้แนวคิดเพื่อเป็นการตัดสินใจเลือกเดินทางต่อไป เมื่อพร้อมด้วย ตอบ คำว่างานในวัด กับงานที่ยังมีคุณค่าต่อสังคม คุณมองงานในวัด ไม่มีคุณค่าต่อสังคมอย่างไร อาตมามองไม่เห็นว่า งานในวัดไม่มีคุณค่าต่อสังคม ไม่เห็นมี คุณไปทำเองซิ อยู่นอกวัดซิ มีคุณค่าต่อสังคม น้อยกว่างานในวัด ขอให้เป็นวัดที่ถูกต้องนะ อาตมากล้าพูดน่ะวัดของเรานี้ คุณเคยได้ยินว่า เงินกองกลาง สงฆ์ไหม เคยได้ยินไหม เงินนี่ ในวัดหลายวัด เขามีเงินเป็นกองกลางสงฆ์ แล้วก็สงฆ์นี่ไปเบิกใช้ได้ โดยเฉพาะ ไม่ใช่เงินกองกลางสงฆ์ ก็เป็นเงินที่มี ไวยยาวัจกรดูแลให้ ที่จริง ของเขาเองน่ะ ที่จริง อาตมาว่า อันนี้เพี้ยนแล้ว ยังยินดีเงินนี่เป็นของตัว แต่ให้ผู้นั้นเก็บรับเอาไว้ ซึ่งมันค้านแย้งปาจิตตีย์ข้อนี้อยู่ อาตมาว่า อนุโลมกัน จนเพี้ยนแล้วอันนี้น่ะ ไวยยาวัจกรนั้น ดูแลของกลางสงฆ์ เหมือนกับอย่างมูลนิธินี้ ดูแลของกลางสงฆ์ ไม่ใช่ไปดูแลเงินส่วนตัวไว้ แล้วบอกว่าไวยยาวัจกร เงินนี้ให้ไวยยาวัจกรเก็บ แต่ที่จริงก็ของฉันนะ คนอื่นมาใช้ ของกองนี้ไม่ได้หรอก ไวยยาวัจกรก็รู้ว่านี่ คือ พระ ก พระ ข ไอ้อย่างนี้ มันปาจิตตีย์อยู่ ไม่ได้พ้น ไม่ได้พ้นอาบัติ เพราะฉะนั้น ไวยยาวัจกรนี่ ดูแลของกลางสงฆ์ วัดที่ยังมีเงิน ของกลางสงฆ์แล้วสงฆ์ ที่จะไปเบิกมาใช้ ส่วนตัวได้ ส่วนตัวจริงๆนี่ มีอยู่ ในหลายๆวัด อย่างนี้แหละ อาตมาว่า มันยังเป็นสภาพที่ยังไม่สมบูรณ์ ของเรานี่นะ ไม่มีน่ะเงินต่างๆนานา ก็ใครให้มา อย่างอาตมานี่ ให้มากี่บาทๆ อาตมาก็เข้ามูลนิธิหมด มีกี่บาทก็เอาเข้ามูลนิธิหมด มูลนิธิก็มีฆราวาสดูแลกันไป มีอะไร ก็ช่วยกันคิด อาตมาช่วยคิดบ้าง กรรมการก็ช่วยกันคิดบ้าง อะไรต่ออะไรก็เข้าประชุมร่วมทำงาน อะไรต่ออะไรส่วนตัว ของแม้แต่สมณะเองน่ะ ไม่เคยเลย ว่าจะไปเอา แม้แต่อาตมานี่ พูดกันจริงๆน่ะ อาตมายังไม่เคยเบิกเงินของมูลนิธิ มาใช้ส่วนตัวเลย มีแต่ญาติโยม ต้องส่วนที่จะเสริมหนุนให้อาตมา จะต้องใช้ แว่น ก็มีคนแย่งคิวกัน บริจาคที่จะทำแว่นให้ ไม่ได้ใช้เงิน กองกลางสงฆ์เลยนะ จะไปตรวจรักษา โน่นนี่ ก็มีคนที่จะรู้แล้ว พอรู้ปั๊บก็หยิบจ่าย ยัดเงินไปให้ ผู้ที่พาอาตมาไปแล้ว ขออยู่ตลอดเวลา ไอ้โน่น ไอ้นี่ ไม่ได้เคยไปใช้เงินกองกลางสงฆ์เลย แล้วพวกเรา ก็ไม่เคยได้ใช้เงินกองกลางสงฆ์มา จะมีบ้างก็บางรูป ที่ป่วยเจ็บ จนกระทั่ง เขาต้องไปเบิกเงินกองกลาง แม้แต่เจ็บป่วย ค่ารักษา ค่าหยูก ค่ายา อาตมาก็ไม่เคย ไปเบิก มีฆราวาสส่วนนอกเลย เป็นส่วนที่เขาศรัทธา เลื่อมใสพออยู่แล้วน่ะ มีบุญพอ ว่างั้นเถอะ กองกลางสงฆ์นี่ นี่คือส่วนที่จะเป็นประโยชน์ให้แก่สังคม ข้างนอกด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น วัดของเรานี่ จึงทำงานเป็นประโยชน์ต่อสังคมมาก เพราะเงินที่บุญอะไร ที่ทำนี่ส่วนมากนี่ ให้คุณไป ทำกับข้างนอก คุณว่าคุณไปทำกับสังคม มันจะเท่าวัดหรือ คนมาช่วยงานในวัดนี่ คนมาช่วยงานในวัด ไม่อยากพูด ถ้าพูดไปก็ประเดี๋ยวจะไปเร่งรัดลาออกจากงานมาไว มาช่วยงานในวัด นี่แหละ เป็นงานช่วยสังคม ที่มีคุณค่ามากกว่า ไปช่วยข้างนอก คุณว่าทำงานยังคุณค่า ต่อสังคมอยู่ สังคมไหน คุณไปทำส่วนตัวกับใคร ถึงจะบริสุทธิ์ บริบูรณ์เหมือนอย่างที่วัดของอโศกทำ แหม คุยใหญ่ คุยโตน่ะขณะนี้ ฟังดีๆน่ะ นานๆคุยที คือพูดให้ชัดน่ะ คุณฟัง พยายามพิจารณาตามนะ อาตมาคุยเกินเหตุหรือเปล่า เกินเรื่องจริง หรือเปล่า เพราะฉะนั้น คนที่ช่วยงานอยู่ในวัดอโศกนี่ ไม่ต้องห่วงเลยว่า เราจะทำงานมีคุณค่าต่อสังคม มากหรือน้อย เราไม่อยากคุย ขนาดไม่คุย เขายังหมั่นไส้จะมากอยู่แล้ว โดยสัจจะนะ มันไม่ใช่น้อยๆน่ะ เราทำงานต่อสังคม ผลสะพัดต่อสังคมทุกวันนี้ สังคมเขายอมรับว่า อโศก มีประโยชน์ ต่อสังคมคืออะไร เขาปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหม ขณะนี้น่ะ พระโพธิรักษ์สอนดี พวกอโศกดี ดีฆราวาสทำดี แต่เขาจะโค่นฆ่าพระ ทำไปเถอะ ปฏิบัติธรรมไปดี คนอโศกน่ะดี ทำไปเถอะ แต่จะฆ่าพระ แหม จริงๆน่ะ เกลียดตัวกินไข่ ก็ได้กินแค่ไข่ที่มันไข่อยู่นั่นแหละ ฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว เอาอะไรมาไข่ให้กินต่อละ เกลียดตัวกินไข่ ไข่แล้วก็ฆ่าแม่ไก่ทิ้งหมด ไข่หมดก็อดไปซิ ก็ไม่มีมาให้กินต่อแล้ว จะมานั่งเกลียดตัวกินไข่ ไอ้แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน นี่ฉลาดหรือโง่กันแบบนี้ ยอมรับนะว่า ปฏิบัติไปเถอะ เขาไม่ห้ามหรอก ฆราวาสชาวอโศกปฏิบัติไปเถอะ ปฏิบัติดี แล้วมันดีมาด้วยใครล่ะ มาด้วยใครล่ะ ดีมาด้วย แม่ไก่ใช่ไหม แต่จะฆ่าแม่ไก่ โอ๊ ประหลาดนี่ โอ้ ตลกนี่ มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอตอบย้ำอีก ยืนยัน ไม่ใช่ เข้าข้างตัว ไม่ใช่หลงตัว ไม่ใช่ยกตัวยกตน การทำงานในวัดนี่เป็นงานบุญ งานต่อสังคม
ทำงานเพื่อสังคมจริงๆ ใครเล่ามาลิ้ม มาเลีย มาคอมมิชชั่น คอร์รัปชั่นอยู่ในนี้
ฆราวาส เอ้า สมณะ ใคร บอกมา ก็คงไม่อยากบอกหรอกน่ะ ถ้าทำ ใช่ไหม ของเรานี้
มันพูดได้อย่างสบาย ไม่มีคอมมิชชั่น คอร์รัปชั่น เราถึงทำงาน ทุกบาท ทุกสตางค์
ทุกแรงงาน ที่ ผสมรวมกัน เข้าไปนี่เท่าไหร่ ผลผลิตหรือแรงงาน หรืออะไรที่สะพัด
ต่อสังคมมันถึงมาก ที่จริงอโศก ไม่ได้ใหญ่ เข้าใจใช่ไหม ไม่ได้ใหญ่นะอโศก
ไม่ได้ใหญ่ แต่ทำงาน ผลผลิตอะไร เขารับรอง ส่วนกว้าง ข้างนอก เขารับรอง มีผลงานจริงๆ
มีผลงานอย่าง เขาเห็นจริงเลย เห็นจริง แล้วมันมีบุญมาก ทำงานต่อสังคม ที่ถามมานี่
เรียกว่างานในวัด แหม นี่ คือเข้าใจไม่พอ อาตมาก็เลยพูดให้เข้าใจ เสียพอๆ
เผื่อหลายคนด้วย ที่จะคิด อย่างนี้อยู่ ก็งานในวัดนี่ เอ๊ พวกเราก็ไปทำงานสังคม
แล้วยังมีงานสังคมข้างนอกอยู่ (ชีวิตนี้มีปัญหา ตอน ๒ / FILE:0632A.TAP) |