ชีวิตนี้มีปัญหา ตอน ๒ หน้า ๒
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เนื่องในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๔
เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๓ ณ พุทธสถานศาลีอโศก

(ต่อจากหน้า ๑)


แหม นี่คือ เข้าใจไม่พอ อาตมมาก็เลยพูดให้เข้าใจเสียพอๆ คืออะไร คนก็จะคิดอย่างนี้อยู่ว่า งานในวัดนี่ แหม ! พวกเราก็ไปทำงานสังคม ยังมีงานสังคมข้างนอกอยู่แนวไหน มันจะเป็นทางเดินที่เจริญกว่า อาตมาเอง ยอมให้ทำงานข้างนอกอยู่ เพราะคุณมีภาระ มีเรื่องราวที่คุณจะต้องเกี่ยวต้องข้อง คุณจะปลีกมาเป็นคน วัดไม่ได้ต่างหากเล่า มันยังไม่ได้ ถ้าได้แน่ะ เหนือกว่า ถ้าทำได้ มันก็เหนือกว่า มาเป็นคนวัด มาเป็นคนทำงาน เพื่อสังคมต่อสังคมอย่างแท้จริงนั่นแหละ ขณะนี้นี่ พูดได้อย่างองอาจเลยว่า ชาวอโศกเรานี่ ในวัดของเรานี่ ทำงานกับสังคมเขาได้ อย่างมีคุณค่ามาก เหนือชั้น คุณจะไปทำส่วนนอกกับสังคมไหนๆ กับใครอยู่อย่างนี้ มันไม่เท่าหรอก ไม่ใช่ข่มเขานะ ใครจะว่าข่มก็ข่ม เอ้า เขาจะเข้าใจว่าอย่างนั้นก็ได้ ใครจะมาหลง ก็หลง อาตมาพูดให้ฟัง

ถาม : พ่อเป็นคนไม่มีเหตุไม่มีผล แม่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบยอมพ่อ (ไม่รับวิบากตัวเอง) ผมเป็นคนชอบเบรกแม่ (บางครั้งด่าว่าแรงๆ) อ้อ นี่ บอกลักษณะพ่อ แม่ตัวเองมาให้ฟัง ผมควรทำอย่างไร ในการแก้ปัญหาให้ตัวเอง ต้องไม่บาปมากกว่านี้ แม่ก็ปฏิบัติธรรมมาหลายปี พ่อไม่มีธรรมะเลย ตัวอย่าง พ่อห้ามทำ ห้ามไม่ ให้มางานต่างๆ แม่ก็ดื้อจะมาให้ได้ พ่อก็เกิดทุกข์ ไม่เต็มใจด่าว่าต่างๆนานา

ตอบ : เรื่องนี้ เป็นปัญหาอยู่ อาตมาคิดว่า ไม่มีมากก็น้อย อยู่ในครอบครัวอยู่หลายครอบครัว ถ้ามันยังไม่ลงตัว ยังไม่เห็นร่วมกันน่ะ พ่อ แม่ ลูก มันมาได้ เสี้ยวหนึ่ง บางทีครอบครัวนั้น พ่อแม่ ลูก แบ่งเป็น ๓ ง่ายๆ มาได้ ๒ เหลือ ๑ หรือมาได้ ๑ เหลือ ๒ ก็ยิ่งหนัก แล้วก็ต้าน ค้านแย้งด้วย ไม่วางเฉยด้วย มันก็เป็น ปัญหาอยู่ล่ะ ไม่มากก็น้อย อยู่ในพวกเรา จะทำอย่างไร นี่ก็ตอบกันอยู่เรื่อยน่ะ เราก็พยายาม ก็เลี่ยงบ้าง ทำที่เราให้ดีๆๆๆๆ เรายังทำดียังไม่พอ เขาไม่จำนน อาตมาเห็น หรือก็เราๆ หลายครอบครัว หลายหมู่ หลายเหล่าแล้ว หลายคนหลายคู่ หลายกลุ่มแล้ว ที่เกิดปัญหาอย่างนี้ สุดท้าย ผ่านวัน ผ่านเวลาไป พิสูจน์ยืนยันว่า เราทำสิ่งเหล่านี้นี่ เราไม่ดีอย่างไร ถ้าคนไม่มิจฉาทิฐิจริงๆ นะ ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าคนไม่มี มิจฉาทิฐิจริงๆ มันจะยอมรับเป็นที่สุดจนได้ แต่ถ้ามีมิจฉาทิฐิอยู่ ก็แน่ล่ะ มันก็ต้องทะเลาะ เบาะแว้งกัน หรือว่าจะต้องอย่างนั้น อย่างนี้อยู่นั่นแหละ แน่นอน ถ้ามิจฉาทิฐิอยู่ ถ้าคุณเอง คุณไปเจอครอบครัว มีแม่ก็มิจฉาทิฐิ พ่อก็มิจฉาทิฐิ หรือพ่อ แม่เองน่ะ โดนลูก เหมือนอย่างครูรัชฎานั่น อาตมาก็ว่า วิบากของใคร ก็วิบากของมัน ดีแล้วละ มันจะได้ใช้หนี้ ใช้วิบากไปเสีย วางใจได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว มันก็ต้อง แก้ปัญหาทำให้ดี ของเรานี่แหละ ให้ดีให้มาก มันยังดียังไม่มากพอ มันก็ไม่จำนน ก็ตอบได้อย่างนี้น่ะนะ เพราะฉะนั้น จะต้องยอมบ้าง หลบเลี่ยงบ้าง แต่เราก็มีแกนหลักๆ หรือเรื่องใหญ่ๆ ที่เราต้องทำอยู่ ใช่ไหม เราก็ทำไป อันไหนที่ บางที เราไม่ได้ทำใส่ต่อหน้าต่อตาเขาจนเกินการนักนี่ บางทีเราต้องเลี่ยงบ้าง ก็จำเป็น มันวิบาก ของใครของมัน เรื่องอย่างนี้น่ะ มันไม่อยากได้เลยน่ะ แต่ไม่รู้จะ เลี่ยงยังไง มันเลี่ยงยังเลี่ยงไม่ออก ใช่ไหม

ถาม : ดิฉันแอบรักคนศีล ๘ นั่นแน่ เห็นปุ๊บ รักปั๊บ ตัดใจไม่ขาด รักสุดขีด
(ผู้ฟังหัวเราะ)

ตอบ : อะไรขนาดนั้น ไปผูกพันกันมาอะไรกันนักกันหนาแต่ปางไหน คำตอบในช่วงนี้ก่อน ยังไม่ได้อ่านต่อนะ อ่านแค่นี้ก่อน แล้วตอบก่อนเลยว่า ยังไงๆก็ตัด มันจะตาย ก็ให้มันตายลงไป เพราะตัดนี่แหละ นี่ เป็นคำตอบแรก ถ้าคุณแน่ใจว่า จะต้องมาในทิศทางนี้ ทิศทางนิพพานนี่ ต่อให้เป็นบุพเพสันนิวาสขนาดไหน ก็ตาม เป็นคู่เวร คู่กรรม ที่เรียกว่า คู่บารมี ทางโลกเขาเรียกเพราะๆ ว่าคู่บารมี เป็นคู่เวร คู่กรรม มากันขนาดไหน หมื่นชาติกันมาแล้วก็ตาม ตัดลูกเดียว ให้มันตายลงไปเลย ตัดกิเลสน่ะ ไม่ใช่ไปตัดคอตัวเอง เดี๋ยวอาตมาปาราชิกล่ะ ไปบอกให้ตัดคอตัวเอง แล้วคุณก็เลยไปตัดคอตัวเองตาย อาตมาปาราชิก อาตมาไม่ได้บอกน่ะ บอกไว้ก่อน ถ้าเขาจะไปตัด อาตมาไม่ได้บอกนะ อาตมาไม่ปาราชิกนะ ไม่ได้บอกให้ ไปตัดคอนะ ให้ไปตัดกิเลสน่ะ ตัดจริงๆ กิเลสมันตาย ไอ้คนมันไม่ตายหรอก แต่คนมันไม่เอาจริงๆน่ะนะ ฟังความนี้ให้ชัดเจน น่าให้มันตายลงไป ให้ดิ้นลงไป อะไรกับกิเลสนี่ กิเลสมันไม่ใช่ตัวจริง มันไม่ใช่ตัวตนจริง มันตัวหลอก ตัวปลอมจริงๆนะ ไม่เชื่ออย่าเชื่อ

ถาม : รักสุดขีด มันลงตัว ทำใจลำบาก จะแก้ไขอย่างไรดีคะ

ตอบแล้ว อ่านจบ แล้ว ก็ตอบแล้ว จะแก้ไขอย่างไร ก็เรียนรู้ให้จริงเลยบอกว่า ไม่เอา
Šก็เรียนรู้ให้จริงเลย ไม่เอาหรอก อาการอย่างนี้ อารมณ์อย่างนี้ ไอ้รักๆ ใคร่ๆ แบบผู้หญิงผู้ชาย แบบกาม แบบอย่างนี้น่ะนะ ไม่เอา ถ้าเราจะมาทิศทางนี้ แล้วพยายามอย่างจริงๆจังๆให้ได้ มันเกิดอยู่ก็เพราะว่า มันยังมีเชื้อ มันยังมีอารมณ์นั่นแหละ เพราะฉะนั้น จะถามว่า จะทำอย่างไร ตัด จะทำอย่างไร ตัด มีวิธีตัดอย่างไร เรียนวิธีตัดเข้าไปจริงๆ ลดละให้มากขณะ

ถาม : เหตุปัจจัยในการบรรลุธรรม มีอะไรบ้างครับ

ตอบ : เหตุปัจจัยในการบรรลุธรรม ก็คือ ทำกิเลสให้มันออกได้ นั่นแหละ เหตุปัจจัยในการบรรลุธรรม ออกได้หมด บรรลุปุ๊บเลย เอ้า ก็ตอบง่ายน่ะซิ ก็ของมันถูกต้องน่ะ ของมันถูกต้องนี่ ตอบง่ายน่ะ ของที่ไม่ค่อยถูกต้องนี่ ตอบยาก ตอบไปแล้ว เอ มันอย่างไง มันงงๆอยู่นะ ถ้าของไม่ถูกต้องนี่ ตอบยาก ถ้าของที่ถูกต้องนี่ ตอบง่าย นี่ ถามว่า เหตุ ปัจจัยในการบรรลุธรรม มีอะไรบ้าง บอกเหตุ ปัจจัยในการบรรลุธรรม ไม่ได้บอกว่า ทำอย่างไร ใช่ไหม ตอบง่าย ทำยาก นั่น เป็นอีกปัญหาหนึ่ง

ถ้าถามว่าทำอย่างไร
ก็ตอบว่า ทำอย่างไร ใช่ไหม นี่ ตอบว่า เหตุปัจจัยในการบรรลุธรรม มีอะไรบ้าง ก็คือการลดกิเลสตัณหาน่ะซิ เหตุปัจจัยในการบรรลุธรรม ใช่ไหม เมื่อลดกิเลสตัณหานั้นได้ๆๆ หมดกิเลสตัณหา บรรลุ บรรลุเลย ถูกไหม ถูก อาตมาได้ คะแนนเต็ม

ถาม : การตั้งตบะธรรม มีข้อพึงระมัดระวังอะไรบ้างครับ

ตอบ : การตั้งตบะธรรม มีข้อพึงระมัดระวัง คือว่า อย่าให้มันเกินฐานะของตน มันขี้มักอยากจะไฟแรง ทำอย่างนี้พอทำไป จะตายแล้ว ลดลงมาหน่อยๆๆ หนักเข้า ก็ยังมีใจแรงมาก แล้วมันก็ฝืนฐานะจริงๆน่ะ ทีหลัง ฝืนๆ ทำจนกระทั่งหนักเข้าเข็ด ถอยหนีไปเลย มีนะพวกเรานี่ มาไฟแรง มาถึงจะเอาปุ๊บปั๊บๆ อย่างโน้น อย่างนี้ ไม่ดูตัวเอง นึกว่าตัวเองก็หนึ่งๆ เหมือนกับเขา จะเล่นกันยอดๆ อย่างเขาเลย จะเอาลัด เอาเร็ว เสร็จแล้ว เข็ดขยาดเลย ทำไปจริงๆ ยังพยายามมีอุตสาหะ วิริยะน่ะ แหม กัดอดกัดใจเก่งน่ะนะ เสร็จแล้วเข็ด ถอยหลังไปเลย ไม่เอาเลย ทีนี้ ไม่ดูดำดูดี เห็นมันมีมานะ ส่วนมาก จะเป็นอย่างนั้นน่ะ คนที่แรงๆ แบบนี้ มีมานะ พอตัวเองเป็นอย่างนั้นไม่ได้ แล้วอาย อาย ทีนี้ไม่สู้หน้าแล้ว หนีเลย ไม่ให้เห็นหน้าเลย ไปลิบ ไปอยู่กับผี กับสางทีไ่หนก็ไม่รู้ การตั้งตบะธรรม ก็ระมัดระวังข้อ นี้ให้มาก ๑. ต้องรู้ว่า ตั้งตบะธรรมนั้น มันทำแล้ว จะให้ประโยชน์ๆในการเป็นไป เพื่อการบรรลุ หรือเพื่อเป็นการตรัสรู้ นี่แหละ เป็นไปเพื่อการลดละ หน่ายคลายนี้ จริงหรือไม่ อย่างไร แล้วก็ต้องประมาณว่า ทำได้ขนาดไหน มันเกินตัวเอง เกินกว่าอินทรียพละ ตัวเองหรือไม่ ให้ระมัดระวัง อันนี้นี่ คือ การตั้งตบะธรรม

ถาม : การที่เราไม่ชอบนิสัยเพื่อนๆ หรือคนๆหนึ่ง มีคนบอกว่า เพราะตัวเรามีนิสัยเหมือนเขา จริงหรือไม่คะ

ตอบ : นิสัยเหมือนกัน มันชอบกันก็ได้น่ะ นิสัยเหมือนกัน แต่มันไม่ชอบก็ได้ มันแข่งดี มันเหมือนกัน มันก็แข่งดีก็ได้ เพราะฉะนั้น อันนี้บอก มันไม่ตายตัว เพราะถามมาว่า ไม่ชอบนิสัยเพื่อน หรือคนๆหนึ่ง เพราะเรามีนิสัยเหมือน อันนี้ ไม่ตายตัวนะ

ถาม : ดิฉันว่า มันน่าจะตรงกันข้ามกัน

ตอบ : ไม่ตายตัวทั้งสองอย่างน่ะ ตรงกันข้ามกัน ก็จะบอกว่า เราไม่ชอบก็ไม่ได้ ตรงกันข้ามกัน เราชอบก็ได้ หรือเหมือนกัน เนี่ย ชอบกันก็ได้ เหมือนๆกัน ไม่ค่อยชอบกันหรอกก็ได้ มันแข่งดีกัน มันอะไรกันนี่มันก็ได้ เพราะฉะนั้น คำตอบก็คือ มันตอบตายตัวไม่ได้นะ ก็มีแง่เชิงเรื่องอย่างนี้อยู่ เรื่องนิสัยก็ตาม จริตก็ตาม ถ้าเราบกพร่อง หรือเราขาดในส่วนใด โทสจริต ก็ควรจะไปคบหากับพวกราคจริต พวกราคจริต ก็ควรจะคบหากับพวกโทสจริต พวกเจโต ก็ควรจะไปคบปัญญา ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ปัญญาก็ควรจะไปคบกับเจโต เพื่อหาดี ค้นเอาดี ค้นเอาส่วนที่เราเองขาด จากที่เรามันไม่เป็น ไม่มี มันต้องมีทั้งสองด้าน อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

ถาม : อยากจะถามพ่อท่านมากๆ แต่พอเห็นหน้าพ่อท่าน ทำให้หมดปัญหา เอ๊ จริงหรือเปล่า โอ้ ถ้าจริง ก็สบายน่ะซิ เห็นหน้าก็หมดปัญหาได้นี่นะ มันไม่จริงมั้ง เห็นหน้าแล้วหมดปัญหา เอ๊ ไม่จริงมั้ง เพราะพ่อท่านเบิกบานเหลือเกิน

ตอบ : เอ้า เบิกบานแค่นั้น หมดปัญหาได้เลยเหรอ เอ๊ มันลืมมั้ง ลืมปัญหาๆ มั้ง เห็นพ่อท่านเบิกบานเหลือเกิน ทำให้ดิฉันมีพลังในการปฏิบัติธรรมต่อไป ในวันนี้ และอนาคตอันยาวนาน ขอสัญญาว่า ดิฉันจะนำเอาไป ปฏิบัติอย่างจริงจัง และจริงใจ ไม่มีปัญหาข้อนี้ ก็ดีน่ะ เอา อย่างนั้นใช้ได้น่ะ ใช้ได้ เห็นหน้าแล้วก็มีกำลัง ปฏิบัติธรรมต่อ ก็ดี ไม่มีปัญหาก็ดี ไม่กวนมาก ถ้ามีปัญหา ยังมากวนต่อไปอยู่นั่น แหละ แต่ก็เอา กวนก็อย่าให้ระวังบ้าง กวนหนักๆเข้า อาตมาก็เมื่อยมากเกินไป ก็ไม่ไหวนะ

ถาม : ผมรู้สึกไม่ได้สังวรในศีลเท่าที่ควร (ไม่เคร่ง) เวลาที่วิกัป จึงไม่ได้สารภาพบาป ในสิ่งที่ผิดพลาด ศีลขาด หรือด่างพร้อยไปบ้าง ก็ปล่อยปละละเลย เพราะนึกไม่ได้ จำไม่ได้บ้าง แล้วก็มีที่เกิดความขลาดอาย กลัวในความผิดว่า ถ้าพูดสารภาพบาปไปแล้ว ตัวเองจะทนไม่ไหว(นินทา) จะหลีกเลี่ยง ตลบตะแลง พ่อท่านว่า บาปมากไหมครับ และเมื่อผ่านไปแล้ว จะทำอย่างไรต่อไปครับ

ตอบ : ผ่านไปแล้ว ก็มาบอกความผิดพลาดที่ผ่านไปแล้วได้ ถ้าเราเต็มใจที่จะ เปิดเผย การเปิดเผยกับผู้ที่ เรารู้อยู่ว่า ท่านปรารถนาดีต่อเรา แล้วก็คอยระมัดระวังไม่ให้เราผิดพลาด ไม่ให้เราตกต่ำ ท่านเป็นผู้ที่ เอาภาระอันนี้ หรือดูแลอันนี้อยู่นี่นะ เราไม่บอกท่านนี่ ท่านก็จะได้รู้ จะได้ไม่ต้องไปงง บางทีเข้าใจผิดไปว่า เออ คนนี้ ไม่มีความผิดอันนี้หรอก คนนี้ไม่มีความบกพร่องอันนี้หรอก ไปหลงผิดน่ะ ก็เลยไม่ค่อยได้สังเกต มันก็รอดหูรอดตาไปได้ แต่พอมารู้ว่า เอ้า คนนี้ มีจุดบกพร่องอันนี้นะ มันสังเกตง่ายขึ้น ไปบอกท่าน ท่านก็จะรู้จักสัญญาณคล้ายๆกับ ไปให้สัญญาณท่านไว้ เมื่อให้สัญญาณท่านไว้ ท่านจะรู้สัญญาณอันนี้ อ้อ คนนี้บกพร่องอันนี้ คนนี้ผิดพลาดอันนี้นะ เป็นสัญญาณที่ท่านจะช่วยให้เราได้ มันดี เป็นสัญญาณที่ท่าน จะช่วยเราได้ ถ้าไม่มาก ดีไม่ดีเข้าใจผิดด้วยว่า เขาไม่บกพร่องหรอก เขาก็เลยเผลอๆ ผ่านๆไป มันไม่สะดวก มันไม่เป็นสัญญาณที่เหมือนกับสัญญาณ ภาษาของภาษาวิทยุ ภาษาอะไรก็ได้ ภาษาพวกไฟฟฟ้านี่ก็ได้ มันเป็นสัญญาณ สัญญาณอันนี้ เป็นลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน แต่เป็นนามธรรม มันเป็นเรื่องราว เมื่อเป็น นามธรรม เป็นเรื่องราว บอกเอาไว้ เหมือนกับทำสัญญาณ ติดเอาไว้ มันจะเกิดสภาพ ที่จะทำปฏิกิริยาต่อกัน ถ้าไม่บอกสัญญาณ มันก็เลยๆ ไปได้เหมือนกันน่ะ ไอ้วัตถุรูปนี่ก็เหมือนกัน นามธรรมนี่ มันก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น การจะสารภาพผิดนั้น ถ้าเราคิดว่า เราสารภาพผิดได้ ถ้าสารภาพไปแล้ว เรา แหม ไม่ไหวล่ะ เราเอง เราอายมาก เราอะไรต่ออะไรมาก เราตั้งใจจะทำของเราเอง ไม่เปิดเผยหรอก มันแย่เต็มที เอาล่ะ เดี๋ยวมันก็จะยิ่งแย่ จนกระทั่งเข้าหน้าไม่ติด มันก็เลยต้องอายเกินก็ต้องจาก ต้องพราก ต้องห่างกัน ก็อย่าพึ่ง แต่ต้องทำนะ ต้องแก้ไขตนเองให้ได้ แต่ถ้าเราคิดว่า ไม่เป็นไรหรอก เราถึงแม้สารภาพไปแล้ว เราก็ไม่อาย ถึงขนาดจะพาให้เสียผลอย่างนั้น และจะเป็นคุณประโยชน์ด้วย อย่างที่กล่าวแล้ว ท่านจะได้ช่วยเราไว้ด้วย ก็ดี การสารภาพ พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ผู้สารภาพแล้วจะมีการปลงอาบัติ สารภาพสิ่งที่ผิด ถ้าไปปกปิด เอาไว้นานๆ ยิ่งเหลวไหล เพราะฉะนั้น การสารภาพผิดโดยจริงๆ แล้ว มันเป็นสิ่งดี นอกจากว่า คุณทนไม่ไหว เท่านั้นเอง ดังที่กล่าวแล้ว อธิบายแล้ว มันจะทำให้เรา โอ้ แย่เลยนะ มันทนไม่ไหว ไปสารภาพ แล้ว อายจัด แย่จัดเลย แล้วก็ไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม แล้วจะต้องห่าง ต้องพราก ต้องจากบัณฑิต จากผู้ที่เป็น มิตรดี สหายดี ที่จะช่วยเราด้วยบ้าง ในอย่างนั้นอย่างนี้ด้วย มันก็เสียหายน่ะ มันไม่ได้อยู่ในมิตรดี สหายดี มันก็ไม่อยู่ในแวดวง เราก็เสียประโยชน์

ถาม : ดิฉันเป็นคนโมโหง่าย หายเร็ว เป็นคนไม่ค่อยเก็บอารมณ์ พอเจออะไรไม่ถูกใจ ก็จะพูดออกไปเลย พูดทักตรงๆ ซึ่งบางที คนอื่นก็รับไม่ได้ มันก็ไม่ดี แล้วอีกอย่าง จะไม่ค่อยพอใจ กับคนจริตไม่ตรงกับเรา เวลาเห็นเขาทำอะไร ที่เราไม่เห็นด้วย ก็จะไม่พอใจทุกที โดยเฉพาะผู้นำ (ยกเว้นพ่อท่าน) มียกเว้น อาตมาด้วยเหรอ โดยเฉพาะผู้นำ ที่จริงไม่ค่อยตรงกับใจเรา จะทุกข์มาก ปัญหานี้ จะแก้อย่างไรค๊ะ

Šตอบ : ก็มองให้เห็นว่า เราก็คือเรา เขาหรือท่านไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ท่าน วิธีการพิจารณาก็พิจารณาอย่างนี้ เราไปถือสา ถ้าเรายิ่งว่าเป็นเรา แล้วมันยิ่งจะทุกข์มาก เช่น ไอ้นี่มันลูกเรา ไอ้นี่พ่อเรา ไอ้นี่แม่เรา แล้วก็ไปบกพร่อง หรือไม่ดี ก็เหมือนกับเราเอง มันเหมือนกับเราไม่ดีด้วย เรามันก็ถือซิ ทีนี้ แหม ไม่ดี เพราะฉะนั้น แม้แต่เป็นครูบาอาจารย์ ก็เหมือนกัน บอก เออ ครูบาอาจารย์เราไม่ดีก็เสียใจ มันมีส่วนกุศล อยู่บ้างส่วนหนึ่ง กุศลที่ว่า มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้นะ ยิ่งเป็นพ่อ เป็นแม่ หรือ เป็นครูบาอาจารย์ ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ เราอยากให้ สูงๆ สวยๆ เอ้า ก็ท่านมีอย่างนี้เท่านี้นี่นะ ถ้าท่านมีมากๆ จนเราเอง ปล่อยวางได้ เช่น ยกตัวอย่างนี้นะ ยกเว้นอาตมา ที่จริง อาตมาก็มีข้อบกพร่อง ใช่ไหม แต่คุณบอกว่า คนนี้ยกไว้ ไม่ถือสา คุณก็ต้องทำอย่างนั้นกับคนที่คุณถือสา ที่ควรจะยกไว้บ้างซิ ดี อย่างนี้ดี ยังมีบางสิ่ง ที่คุณเอง คุณก็ทำได้อยู่ ต้องคิดอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จะเป็นพ่อแม่ก็ดี เป็นครูบาอาจารย์ก็ดี เป็นผู้ที่เรายกไว้ก็ดี เป็นพี่ เป็นป้า น้าเชื้ออะไรก็แล้วแต่ เป็นผู้ใหญ่ ที่เราเอาเถอะ เป็นอย่างนี้ เราก็ยกไว้เสีย ไม่ถือสา มันก็จะไม่เป็นอะไรมาก

ถาม : พวกเราส่วนใหญ่ มีอาชีพปฏิบัติธรรมกับพ่อท่าน เพื่อตั้งใจที่จะตามพ่อท่านกันไปทุกชาติ

ตอบ : จริงหรือเปล่า จริงเหรอ ไม่เป็นไรหรอกน่ะ บรรลุอรหันต์ก่อน ก็ไปเลย อาตมาเป็นโพธิสัตว์น่ะ ยังจะไปอีกนานน่ะ ไม่ต้องตามไปทุกชาติหรอก ให้บรรลุอรหันต์ไปชาตินี้ ก็ไปก่อนเลย ปรินิพพานไปก่อนก็ได้ แต่ถ้ามันยังไม่ปรินิพพานก็แล้วไป ก็ตามเถอะ อย่าไปตั้งว่า จะต้องไปทุกชาติซิ เลยช้าใหญ่ บอก ยังหรอก ยังไม่บรรลุจะตามไป เอ๊ ไปทำอย่างนั้นทำไม ถ้าจะไปตามอีก บรรลุอรหันต์แล้วมาตั้งต่อโพธิสัตว์ตามกันต่อ ทีนี้ไปเลย ไปด้วยกันอีก อย่างนี้ดี อย่าไปคิดง่ายๆ ยังๆ ไม่บรรลุอรหันต์หรอก เราจะตามไปอย่างนี้ไม่ดี บรรลุอรหันต์ให้ได้ ไม่ต้องตามล่ะ เมื่อบรรลุแล้ว เสร็จ คุณอยากตามอีก บอกแล้วว่า ของทางที่อาตมา อธิบายนี่ ไม่เหมือนกับทางโน้นเขา จริงๆได้ทำได้ ขอให้ถึงเถอะ คุณจะรู้เอง

ถาม : พวกเราส่วนใหญ่ ที่ปฏิบัติธรรมกับพ่อท่าน ก็ตั้งใจจะตามพ่อท่านไปทุกชาติ จะไปเกิดกับพ่อท่าน แต่บางครั้ง พวกเราก็ทำตัวไม่ตรงอย่างที่พ่อท่านสอน แต่ก็ตั้งจิตไว้ที่จะตามพ่อท่าน แบบนี้ จะได้ตามพ่อท่าน หรือเปล่าคะ

ตอบ : อย่างนี้ อาตมาเดินไปนี่ แหม เดินไปนี่นะ นี่ทางเจริญ นี่ทางกุศล นี่ทางดี บอก มา คุณก็บอกโอ้ดี อยากไปตามจังเลย อย่างนี้กุศล อย่างนี้ดีนะ บอกว่าเดินๆๆ คุณก็หันหลังไปหาชั่วๆๆๆไปเลย นี่ยิ่งตรงกันข้าม ยิ่งเห็นชัดน่ะ เดินอย่างนี้ แล้วอาตมาก็พากันไป คนนี้เขาเดินไปได้ แม้แต่จะโค้งออกมาบ้าง ก็พยายามเข้า โค้งออกมา ก็พยายามเข้า คนอื่นนะ ไอ้นี่เดินอย่างนี้เลย ไปอย่างนี้ อยากจะไปกับอาตมานะ ดีๆๆๆๆๆ แต่เดินอย่างนี้ แล้วมันจะได้ไปด้วยไหมล่ะ เข้าใจไหม ไม่ต้องไปตอบภาษาอะไรอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจว่า อาตมาพาไปทางนี้ แล้วอาตมาบอกให้ปฏิบัติอย่างไร พาไปอย่างไร อย่าให้คด อย่าให้โค้ง ให้ตรงไปด้วยกันนั่นแหละ จะไปได้ ไม่ตกไม่หล่น ไม่ออกนอก ไปด้วยกัน ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งทำให้มากเข้าไป เท่าไหร่ๆ ด้วยได้ยิ่งรับรอง หนักเข้า ก็เป็นสหชาติเลย เกิดพร้อมกันเลย สหชาตินี่ เขาก็เกิดพร้อมกันเลย อย่าง พระพุทธเจ้านี่ เกิดมาปั๊บ สิ่งที่เกิดพร้อมกัน มีม้ากัณฐกะ มีขุมทรัพย์ ๔ ทิศนั่นแน่ มีพระนางพิมพา มีพระอานนท์ มีอะไรต่างๆนานา มีสหชาติ อย่างนี้ เป็นต้น เข้าใจแล้วนะ

ถาม : ดิฉันปฏิบัติธรรมกับพ่อท่านมาหลายปี ก็เห็นพ่อท่านสอนเจโตมาเสมอ แต่มาเน้นมากปีนี้ แล้วดิฉันเอง ก็มีใจชอบมาตลอด ก็ฝึกเวลาพ่อท่านสอน หรือ สมณะสอนก็ตาม แต่ดิฉันก็ไม่เคยทำได้สักที นั่งทีไร ง่วงทุกที

ตอบ : เอ๊ ขนาดชอบน่ะนี่นะ แต่ใจก็ยังชอบนั่งชอบเจโต แต่มันก็ทำไม่เป็น ไม่ได้ แต่ใจยังชอบ ทำอย่างไร จะทำเจโต โดยไม่ง่วงได้สักที รู้แต่ว่ามันง่วง นี่ทุกข์ ภาษาให้หายใจเข้า หายใจออก มันก็พอรู้ แต่มันทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำไปทำมา ก็ง่วงทุกที ปัญหานี้ จะแก้อย่างไรคะ อันนี้ อาตมาก็ตั้งใจไว้แล้วล่ะนะ ต่อไปนี้ จะพยายามพาทำให้มากขึ้น ก็เปิดศักราช อาตมาเห็นแล้วว่า ตอนนี้ มันอยู่ในกาละ หรืออยู่ในสถานการณ์ ที่เราควรจะต้องดำเนินอันนี้ให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไปปล่อยให้ไปทางความรู้ มากเกินไปนัก ไปเอาแต่เรื่องปัญญามากนัก ประเดี๋ยวมันก็จะล้น จะเกิน แล้วมันก็จะทำอะไรให้นอกไป ปัญญาขนาดนี้ มันพอแล้ว กำลังของอินทรีย์ทางเจโต มันไม่พอ เพราะฉะนั้น เรามาเสริมทางนี้กันก็จะดี เอาล่ะ ที่คุณยังทำไม่ได้ อาตมาก็รู้นะว่า มันไม่ง่ายนัก ก็ต้องพยายามพากเพียรไป เอ้า แล้วค่อยนำเดินต่อไป ติดตามให้ดีๆ ก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าหากสามีภรรยามาปฏิบัติธรรมทั้งสองคน และลูก และภาระครอบครัว ยังมีอยู่อีกมาก แล้วยังไม่มีเงินเหลือเก็บเลย อาตมาไม่ได้เคยสอนให้เก็บเงินนะ ที่จริงแล้วอยากจะถามพ่อท่านว่า เราควรจะหาเงินสะสมเอาไว้ก่อน หรือไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นจึงจะหา (ความเห็นของสองคน ไม่เหมือนกัน) คงสามีกับ ภรรยาน่ะนะ ความเห็นสองคนไม่เหมือนกัน

ตอบ : เรื่องนี้นี่จะพูดไป อย่างที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้ว่า ก็ไม่ได้สอนให้เก็บเงิน หรือ ไม่สอนให้สะสม แต่ที่จริงแล้วล่ะก็ ถ้าคุณเอง คุณรู้ว่า คุณมีภาระ แล้วคุณยังมีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบอย่างที่กล่าวนี้ พ่อแม่มา แต่ลูกไม่มา ลูกไม่มา คุณจำเป็น คุณต้องเลี้ยงลูกคุณ มีวิบากของคุณ คุณสร้างเอง คุณก็ต้อง หาเงิน คุณก็ต้องสะสม ซึ่งมันไม่ใช่ลักษณะที่ดีเท่าไหร่ แต่คุณก็ต้องทำ คุณจะต้องวางรากฐาน คุณต้องวาง อะไรต่ออะไรให้แก่เขา ต้องให้การศึกษา ต้องสั่งสอน ต้องมีทุนรอน พระพุทธเจ้าท่านก็บอกเลยว่า มีลูกแล้ว หน้าที่ของบิดา มารดาที่ดี ถึงเวลาก็ต้องมอบทรัพย์สมบัติให้เขา แบ่งมรดกให้เขา อะไรอย่างนี้ เป็นต้น มันก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติ ที่จะต้องรู้ว่า สังคมเขาเป็นอย่างนี้ แล้วตัวผู้นั้น เขาไม่เอากับเรา ถ้าลูกที่ดีนี่ ให้มรดกเขาก็ไม่เอาหรอก ลูกที่ดี ให้มรดก เขาก็ไม่เอา ไม่เอาจริงๆ จะเอามาทำไม เพราะว่าเราเอง เราก็เข้าใจแล้วว่า เราก็ทำของเราได้ พ่อ แม่เขาเลี้ยงเรามา พ่อแม่เขาให้อะไรแก่เรา เขาให้ความรู้ อะไรต่ออะไร มันก็ดีแล้วแหละ เขาให้แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าลูกที่ดีๆ เขาไม่เอาหรอกมรดก เอาไปเถอะ พ่อแม่ มีอยู่เหลือ พ่อแม่จะเอาไปทำบุญทำทาน แม้ว่าที่สุดแล้ว ไม่มีลูก คนอื่นที่จะแจก ลูกคนอื่นก็ไม่เอา มันก็ยังเหลืออยู่ของตัวเอง พ่อเอาไปทำบุญทำทานซิ ของตัวเอง จะเอามาให้ลูกให้เต้าทำไม ใช่ไหม มันก็จะเป็นบุญของพ่อแม่ไปเอง ลูกที่ไม่ได้เอามรดกของพ่อแม่น่ะบาปหรือเปล่า มีแต่จะเป็นบุญด้วยซ้ำ ถ้าว่ากันจริงแล้ว อาตมาไม่เคยคิดที่จะเอามรดกของพ่อแม่ แล้วก็ไม่เคยเอา ไม่เอานะ อาตมาไม่เคยเอา ออกมานี่ ทุกวันนี้นี่ ที่ดิน ที่ดอน อะไรต่างๆนานามี ทุกวันนี้ ก็ยังแปลกน่ะ มันมีที่ดินเหลืออยู่เท่านั้นแหละ ไอ้เงินทองอะไร มันไม่มีแล้วล่ะ ไอ้ตอนหลังๆนี่หมดชีวิตแม่ไปแล้ว พ่อก็ยังตัดที่ดินขายกินอยู่เรื่อยไป ขายกิน ก็กินเหล้ากินยาไปตามเรื่อง อย่างที่เคยรู้ประวัติ แต่มันก็ยังเหลือน่ะ แม้เหลือที่สุด อาตมาก็ไม่เคยคำนึง ไม่เคยไอ้นั่น แต่มันก็ต้องพอรู้ เพราะว่า เป็นลูกคนโตน่ะ แต่แล้วก็พอเวลาสุดท้าย แล้วก็ไม่มีแย่งกัน พวกอาตมา ไม่มีใครแย่งกัน เดี๋ยวนี้ สมบัติอันนั้นก็ยังอยู่เลยนะ ยังไม่เคยจำหน่ายจ่ายแจกอะไร ยังอยู่ ก็น้องสาวคนโตดูแลอยู่ แล้วก็ยังนึกอยู่เลยว่าถ้าไอ้น้องชายคนโตนี่ มันเป็นหลัก มันเป็นฐานดี ก็จะให้คนนั้น ด้วยซ้ำไป เพราะทุกคนเขาก็ฐานะของเขาก็เลี้ยงตัวได้ทุกคน มีเจ้าน้องชายคนเล็กของอาตมาเท่านั้นล่ะ ขณะนี้ แล้วสติไม่ค่อยดี แล้วพี่สาวคนโต เขาเป็นคนดูแลอยู่ ตอนนี้ ไอ้สมบัติชิ้นนี้น่ะ มาเป็นของพ่อ ของแม่ ยังไม่เคยไปขาย ไม่เคยไปจำนอง ไม่เคยไปจำนำอะไรเลย มันก็อยู่ของมัน อย่างนั้นแหละ มันจะขายได้ เท่าไหร่ เราก็ไม่รู้ มันจะขึ้นราคา ตอนนี้น่ะ มันขึ้นไปเรื่อยๆน่ะ ไอ้เรื่องที่ดินอะไรนี่ เขาก็ยังเคยนะ ยังเคยได้ยิน แว่วๆว่า เออ ถ้าเผื่อว่า น้องชายคนเล็กนี่ คือมันไม่ค่อยเอาถ่าน มันไม่ค่อยสร้างหลัก สร้างฐาน คนอื่นเขามีหลัก มีฐานหมดแล้ว น้องทุกคน เขามีหลักมีฐานหมดแล้ว ก็มีคนเล็กนี่แหละ มันสติไม่ค่อยดีน่ะ มันไม่ค่อยเต็ม มันก็ทำงานไม่ค่อยได้ อะไร ไม่ค่อยได้ เรียนไป อยากไปเมืองนอก เมืองนา เขาก็ให้ไป ไปเป็นโรบินฮู๊ด อยู่เมืองนอกก็ตั้งหลายปี กลับมาก็อย่างนั้นน่ะ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร มีแต่คุยโม้ อุ้ยโย โม้ไปอย่างนั้น ไม่ดีล่ะ อะไรต่ออะไร ก็เลี้ยงตัวเองไม่ได้ ให้ไปทำงาน ฝากงานก็แล้ว มีแต่เสียหน้า ให้เข้างานที่ไหน ก็ไปทำเหลวทำเละที่นั่นที่นี่อยู่ ตลอดเวลา จนไม่รู้จะทำอย่างไร ที่จริงน่ะ เขาก็กินอยู่บ้านนี้ นอนบ้านนั้น บ้านนี้ อะไรไปตลอดจนตายอะไร ก็ยังไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ น้องคนหนึ่งนะ นี่ก็อย่างหนึ่งน่ะ ดีอยู่อย่างเดียวที่ว่า ไม่มีเมีย แหม บุญจริงๆ ไม่มีเมีย ไม่มี จะได้ไปถ่ายทิ้งตรงนั้นตรงนี้ ตอนนี้ ๔๐ แล้วนะ อายุน่ะ น้องคนเล็กสุดนี่ ๔๐ แล้ว เอ๊ ๓๙ หรือ ๔๐ นี่ จำไม่ได้ น้องคนเล็กนี่ จำไม่ได้ ปีอะไรจำไม่ได้ ปีอะไรนั่นน่ะ เสร็จแล้ว เขาก็ยังไม่ให้ เขาบอกว่า ให้ไปก็ฉิบหายแน่ ถ้าให้ไป ก็สูญเปล่าๆ ไม่เข้าเรื่อง เขายาอะไร ไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่เขา จะเป็นโทษด้วยซ้ำ เขาก็ไม่ให้ แล้วเขาก็บอกให้เป็นเครื่องประกัน อีกว่า ทำตัวดีๆ ซิ พยายามฝากตัวอะไรดีๆ ปริญญาก็จบ คุยเก่ง ภาษานี่ พูดเก่งกว่าพี่สาวด้วย แต่พี่สาวอีกคนหนึ่งไม่ได้ อีกคนหนึ่งพูดภาษาเก่ง บัวบูชานั่น เขาเรียนอักษรศาสตร์ ไปเมืองนอกมา เก่ง คล่องแล้ว แต่นี่เขาก็ไปเมืองนอก แล้วมันกล้า ไอ้คนนี้ มันกล้าพูดภาษาตั้งแต่ เรียนอยู่ในนี้แล้ว พอไปเมืองนอก ก็ไปคุยแหลกเลย คนที่กล้าแบบนี้ เขาก็พูดเก่ง พูดไม่กลัว ไม่เกรง ไม่อาย ไอ้คนที่พูด ไม่ค่อยเก่งซิ อาย มันพูดไม่เก่ง แต่คนไม่ค่อยอายนี่ พูดเก่ง แต่เสร็จแล้ว ไม่ค่อยได้นั่นอะไร มรดก มันเป็นอย่างนั้น จริงๆนะ มันมีเป็นบุญเหมือนกันนะครอบครัว ก็เป็นบุญของครอบครัว เพราะฉะนั้น ครอบครัวไหนนี่ แหม มีอะไรอยู่นิดๆหน่อยๆ ก็แย่งกันอย่างกับอะไรดี โอ้ อย่างกับผี ตายซาก มันเวรกรรม จริงๆนะวิบาก อาตมาถึงว่า ไอ้ทุกอย่างนี่ มันมาจากกรรม มาจากวิบากจริงๆนะ อาตมาว่า เป็นบุญน่ะ แต่อาตมาไม่มีปัญหาหรอก เรื่องพวกนี้ ไม่มีปัญหาเลย วิบากพวกนี้ น้องนุ่งก็ไม่ได้ทำเกเร ถึงแม้เค้า ไม่เลี้ยงตนอย่างนี้ นะ เขาก็ไม่เคยไปทำอะไรให้มันยุ่งยากหรอก ไปก่อเรื่องมาให้ จะให้ต้องวุ่นวาย อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ล่ะ ตัวเองถูกด้วยซ้ำไป เคยถูกแทงทะลุปอด ทะลุไส้อะไรถึงสามสี่ครั้ง น้องชายคนนี้ ประสาทมันถึงไม่ดี ถูกแทงมีดของชาวอิสลาม โอ้โฮ ยาวแหลม ไม่ได้มีอะไร มันแทงผิดตัว แล้วก็ซวยเปล่าๆ แล้วตัวเองไปถูกเขาแทงเพราะเมา แท็กซี่มันแทงเอา นี่เป็นอิสลาม แหม ก็เลยประสาทเสีย อะไรต่ออะไร นั่นก็เป็นวิบากของเขา ตัวเองกระทำให้ไปก่อเรื่องอย่างโน้น อย่างนี้มา ก็ไม่ค่อยมีน่ะ นอกนั้น เขาก็อยู่ดีกันหมด นี่ก็เป็นบุญ เป็นบุญของครอบครัว เป็นบุญของอะไร

เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่องอะไรที่เป็นภาระ อะไรที่เป็นอะไรของใครๆนี่นะ ก็ต้องเตรียมไว้ แล้วของใคร ก็พยายาม ทำเอาให้ดี การไปมีลูก มีเต้า ไปมีไอ้โน่น ไอ้นี่มานี่ มันเลี่ยงไม่ได้นะ น้องนุ่งก็ไกลออกมาหน่อยหนึ่ง เป็นน้อง อย่างอาตมา เลี้ยงน้องนี่ ที่จริง อาตมาจะเลี้ยงน้อง หรือไม่เลี้ยงน้อง มาว่า อาตมาเกินขนาด เป็นลูกนี่ ไม่เลี้ยงนี่ มันไม่ได้เลย ไอ้น้องนี่ มันลูกของพ่อ ของแม่น่ะ มันไม่ใช่ลูกของเราโดยตรงใช่ไหม แต่ทีนี้ พ่อแม่ตายไปแล้ว ก็อีกแหละ มันก็จำยอมแหละ

มันก็จะทำอย่างไรได้เล่า พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว ที่จริงนะ อาตมาเลี้ยงน้องมาตั้ง แต่พ่อยังไม่ตาย ว่าที่จริง ไม่ใช่ลูกพ่ออาตมาด้วย พ่อเลี้ยง แต่อาตมาก็เหมือนกันล่ะ ไม่ได้เคยแยกว่า เป็นน้องเลี้ยงอะไร เหมือนน้องตัว นั่นแหละทุกอย่าง ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ไปไอ้นั่นอะไรหรอก ที่พูดนี่ พูดไปแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยดีที่จริง มันจะไอ้นั่นเปล่าๆ ที่จริงน้องนุ่งนี่นะ ไม่มีใครรู้หรอกว่า อาตมานี่ เป็นอีกพ่อหนึ่ง เขาไม่เคยกันหรอกน่ะ ถ้าอาตมไม่เปิดเผยเลยนะ ไม่มีใครรู้ เพราะคนที่รู้ตายไปหมดแล้ว คนที่รู้ว่า อาตมามีพ่ออีกคนหนึ่ง น้องๆนี่ ไม่มีใครรู้ ยังไม่รู้ว่า นายชาติ เขาจะรู้หรือเปล่า น้องคนโต ที่ติดกับอาตมา นอกนั้น ไม่รู้หรอก น้องยิ่งคนเล็กๆ ไม่รู้ ไม่มีใครรู้หรอกว่า อาตมานี่ เป็นลูกอีกพ่อหนึ่ง ไม่มีใครรู้หรอก ถ้าไม่เปิดเผย ก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครอะไร ถ้าจะปกปิดเลยนะ รับรอง ไม่มีใครรู้ว่าอาตมานี่ มีอีกพ่อหนึ่ง ก็มันไม่มีสัญญาณอะไรเลย ไม่เคยฮิแงะอะไร ด้วยซ้ำไปว่าจะมีอะไรพวกนี้ มันไม่มี ไม่มีสัญญาณว่าจะเป็นอย่างนี้ มันก็เหมือนลูก พ่อเดียว แม่เดียวกันมาตลอดกาลนาน ไม่มีอะไร นี่ก็เลยเล่าส่วนตัวประกอบ ถ้าพูดถึงเรื่องภาระแล้ว ก็ต้องสะสาง ก็ต้องกระทำ จะให้อาตมาตอบว่าอย่างไร คุณจะเก็บ จะสะสมบ้างก็ต้องทำ เป็นภาระของคุณ แต่ถ้าเผื่อว่า ลูกที่ดีแล้วไม่ต้อง ให้การศึกษาเขา อบรมเขา เขาเป็นเด็กดี เขาเป็นลูกที่ดี มันก็ไม่เป็นไร แม้เขาจะไม่มาทางนี้ ก็ต้องให้ความรู้ แม้ที่สุด ถ้าคุณจะปฏิบัติธรรมให้สูง คุณก็จะไปมีปัญหาอะไร มรดกก็เอ็งเอาไป ข้าเข้าวัด มันก็จบเท่านั้นเอง จะมีปัญหาอะไร ทางอโศกเราใช่ไหม ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าเขาบอกว่า เขาไม่เข้าหรอก เขาแอนตี้ด้วย เอ้า แอนตี้เอ็งเอาไปเลย ให้ความรู้ไม่พอ มรดก เอ็งเอาไป หมดเลย เลิกกัน ใช่ไหม ข้อสำคัญ คุณซิปฏิบัติให้ดี ปฏิบัติให้ดี

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเถียงกันหรอก คนหนึ่งเห็นว่า จะต้องสะสมทุนรอน ให้เขาหรือไม่ อีกคนหนึ่ง จะไม่สะสม สะสมก่อนก็ได้ ตามโลก ไม่เป็นไร แต่อย่าไปขูดรีดใครเขามามากนักนะ สะสมตามสัมมาอาชีพของเรา ขยันเข้า

ถาม : รู้สึกว่า สมองของลูก มันไม่ค่อยปรุงเลยคะ ไม่อยากใช้ความคิด วันๆ ไม่ค่อยคิดอะไรเลย อยู่เฉยๆ ว่างๆ ขี้เกียจเข้ากินแหงเลยนี่ สมาธินิมิต สมาธิ นิมิตแหงๆเลย มันก็สบายสงบดี เลยไม่ค่อยมีปัญญา รู้สิ่งใดมาก จะแก้ไขจุดนี้ อย่างไรคะ

ตอบ : ต้องเพิ่มปัญญา เพิ่มความขยัน รับสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขวนขวาย ปัคคหะ ให้มันมีความสัมพันธ์ต่อทวารข้างนอก ไม่อย่างนั้น ก็อยู่ในภพ สมาธินึกๆเอา เอาเถอะ ไม่ต้องพูดอะไร ไม่ต้องคิดอะไร ระวังเป็นฟอสซิ้ลนะ แปลว่า ไม้ที่มันกลายเป็นหินน่ะ ตายซาก จนกระทั่งซาก มาเป็นหินเลย เป็นซาก ตายซาก ข้างในเป็นเพชร เป็นเพชรอย่างไร เพชรมันตระกูลถ่าน หิน มันก็คือ หิน หินไม่ใช่เพชรหรอก

ถาม : ชาวอโศก มีการแข่งขันการตัดกิเลสหรือเปล่า

ตอบ : มีๆๆๆๆ เมื่อกี้นี้ ไม่ได้ไขความมากนัก ผู้ที่ติดอย่างนี้ จะทำอย่างไร ก็หนีออกมา บอกแล้ว ก็ให้มาตื่นตัว ต้องมาคบหา ต้องมาสร้างปัญญา มาสร้างความขยัน มันไปจมอยู่ในเจโตอย่างนั้น ไม่ได้ ต้องพากเพียร มีงานการ มีอะไรต่อ อะไรขึ้นมา อย่าไปเอาทิศทางนั้น มันจะเสียหาย ดีนะ ที่ได้ท่าเรียนสมาธิมาเรียน อะไรต่ออะไร มาเรียนอะไรพวกนี้มา ก็มามีหลักฐาน พวกนี้มาพูดๆ สดๆอย่างนี้ดี เข้าใจดี

ถาม : ชาวอโศก มีการแข่งขันตัดกิเลสหรือเปล่า ผมเห็นว่า การสั่งสมกิเลส มันมากขึ้น ชอบตำหนิ ทุกแง่ทุกมุม มีทำอะไรก็ให้ข้อคิด กับเรื่องตำหนิ มีธรรมะอะไร ที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องตำหน

ตอบ : ก็อย่าไปตำหนิอะไรเขามากนักซิ ตำหนิตัวเองนั่นให้มาก มองตนเอง ตำหนิตนเอง เมื่อเรารู้ตัวว่า เราเองนี่ แหม ช่างไปตำหนิคนนั้นคนนี้ อะไรมากมายขึ้นไปอยู่อย่างนี้ จะบอกว่า แข่งขันตัดกิเลสหรือเปล่า โอ้ เขาแข่งขันกัน อย่างอะไรดีที่นี่ ระวัง การแข่งขันนี่ ไม่ใช่ว่า เราไปแข่งขันเอาชนะคะคานคนอื่น เราแข่งขันว่า ตัวเราเอง เราจะตัดกิเลสได้มากกับคนอื่นหรือไม่ ส่วนคนอื่น ได้ตัดกิเลสได้มาก เราอนุโลมเขา ใครตัดกิเลสได้มาก เราก็อนุโมทนา เราจะแข่งขัน เราะตัดกิเลสของเรา ให้ได้มากๆ เท่าท่าน หรือเลยหน้าท่านให้ได้ เราก็ทำของเรา แต่ถ้าเขาชนะ เขาได้มากกว่าเรา เราก็อนุโมทนา อย่างนี้ เรียกว่า ไม่มีริษยา แข่งขันกันแบบนี้ แข่งขันดี ดี เข้าใจให้ดีๆน่ะ ไม่ใช่ไปกด ไปข่ม ไปกั้นไปต้านเขา ไปแกล้งเขา อะไรอย่างนั้น ไม่ได้สนับสนุนส่งเสริม เขาจะลดกิเลสของเขาได้เสริมเขา เราก็ทำของเรา ให้มีอุตสาหะวิริยะ ให้มันพากเพียรเข้าจริงๆ จะว่าแข่งขันก็แข่งขัน แต่ต้องเข้าใจว่า แข่งขันอย่างไรดี

ถาม : ดิฉันปฏิบัติธรรมมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมกิเลสจึงมากเหลือเกินคะ

ตอบ : เพราะคุณปฏิบัติธรรมมาหลายปี คุณจึงรู้ว่า กิเลสตัวเองมาก คนข้างนอกไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองมีกิเลส มากหรอก แม้เขาจะพูดว่า โอ้ ฉันกิเลสมาก จริงๆ เขาไม่รู้กิเลสเลย กว่าจะมารู้กิเลสนี่นาน และมารู้กิเลสแล้ว เสร็จแล้ว ก็ยิ่งมาอยู่ในวัด ในวา มาอยู่ในหมู่ในกลุ่ม ซึ่งเป็นตัวคอยระวังให้ทั้งนั้นเลยนะ แล้วก็ไม่มีสิ่งแวดล้อม ที่จะมามอมเมาให้กิเลสเกิดมากมายอะไรด้วย ใช่ไหม อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี พวกเรานี่ แล้วกิเลสมันจะเกิดมากขึ้นได้อย่างไร ถ้าคุณอยู่ข้างนอกซิ กิเลสมันจะขึ้นได้มาก เพราะว่ามันมีแต่ตัวที่จะ มอมเมากิเลสเราทั้งนั้นเลย อยู่ในนี้ ไม่ได้มอมเมาอะไรกัน เพราะฉะนั้น มาปฏิบัติในนี้ สิ่งแวดล้อมอย่างนี้นี่ มันจะไม่เกิดกิเลสมาก แต่ทำไม เราเห็นว่ากิเลสเรามากขึ้น เพราะเราตาดีขึ้น ความจริงน่ะ กิเลสเรามาก แต่ตาเราไม่ดี เราไม่รู้ว่ากิเลสเรามาก เหมือนคนข้างนอกเขามีกิเลส เขาไม่รู้ เพราะเขาไม่มีดวงตาที่แท้ ธรรมจักษุที่แท้

เพราะฉะนั้น เมื่อคุณมาปฏิบัติเข้าจริงๆ คุณก็เห็นกิเลสของคุณมากขึ้นน่ะ คุณเจริญ ฟังดีๆน่ะ ไม่ใช่ว่า คุณมีกิเลสมากเจริญน่ะ แต่ว่าคุณเห็นกิเลสของคุณมากขึ้นๆ น่ะเจริญ ถ้าอยู่ในสัดส่วน คุณต้องเข้าใจนะ อยู่ในแวดวงนี้ เราไม่ได้พากันเติมกิเลสนะ มีแต่พยายามช่วยกันรักษาอย่างกะอะไรดี อะไรนิด อะไรหน่อย ก็ไม่ได้ มาทำชายหูชายตาไปทางสมณะเล็กๆน้อยๆ ก็โดนแล้ว อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้ใช่ไหม ที่นี่ ระมัดระวังกัน อย่างกะอะไรดี เล็กๆน้อยๆ แม้แต่จะโลภมาก ข้าวของ เครื่องกินเครื่องใช้ อย่างโน้น อย่างนี้ ก็ว่ากันแล้ว ก็ติงกันแล้ว ก็ช่วยระมัดระวังไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ อะไรต่ออะไร ต่างกันอยู่ตลอดเวลา ป้องกัน ช่วยกันอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น กิเลสมันจะเกิดมากไม่ได้ที่นี่ แต่ความจริงนั้น คุณจะรู้สึกว่า กิเลสมากขึ้น เพราะคุณมีดวงตาเห็นกิเลสของตัวเอง ที่ชัด ขึ้นๆๆๆๆ เรียกว่าดวงตาของคุณสูงขึ้น ละเอียดขึ้น ญาณทัสสนะของคุณสูงขึ้น ก็ดี แล้วนี่ ก็รีบๆปฏิบัติ รีบลดละลงไป ไม่ต้องไปเสียใจ แต่ไม่ใช่ดีใจว่า เรากิเลส มากนะ แต่ดีใจ ที่เราได้รู้ว่า เรามีกิเลสมาก ไม่เป็นคนโมหะ ไม่เป็นคนหลงผิด เป็นคนที่มีดวงตา ต้องเอาให้ชัด

ถาม : อารมณ์ร้อน เกลียดใครก็ฝังใจ อ้อ ไปถูกใครสอนมาอย่างนั้นล่ะ เกลียดใครก็ฝังใจ

ตอบ : ไปเกลียดเขาทำไม แล้วเกลียดแล้วไม่พอ แล้วฝังลงไปอีก มันก็แย่น่ะซี เกลียดใครๆนี่ มันก็เป็นกิเลสแล้ว ยิ่งไปฝังลงไปอีก บ๊ะแล้วเลย ไอ้อย่างนี้ เป็นมิจฉาทิฐิแน่ เข้าใจเสียใหม่ แม้เกลียดคน ก็เป็นกิเลสแล้ว แล้วยิ่งไปฝังน่ะ มันยิ่งแย่ เพราะฉะนั้น อย่าไปฝังนั่นเป็นตัวต้น ถอนก่อน แม้มันยังจะมีอารมณ์ รู้สึกเกลียดก็อย่าไปฝัง รู้ไหมว่า อย่าไปฝัง ทำอย่างไร ก็อย่าไปปักอกปักใจ อย่าไปให้มันแน่น อย่าไปให้มันหนัก ทำกลับคืน อาการกิเลสมันฝังอยู่ที่เรา ก็ถอน ถอนฝังนั่นเสีย ใช้ภาษามันดื้อๆอย่างนี้ อาการทำอย่างไร คุณไปลองดูซิ พยายามคลาย พยายามจะไปทำดูอย่างนั้น กลับ แก้กลับ แล้วทีหลังก็อย่าเกลียดเลย แม้ แต่ไปเกลียด ก็อย่าไปทำเลย มันจะได้ไม่ต้องฝัง เกลียดฝังใจ แหม เกลียดใครก็ฝังใจ แนะนำวิธีด้วย ก็แนะนำวิธีอย่างนี้แหละ อย่าไปเกลียด รักเราก็ไม่เอา เกลียดชัง เราก็ไม่เอา นั่นล่ะนะ เราต้องรู้อาการ นี่เรามาเรียนนี่ เรามาเรียนรู้อาการเกลียด มันก็โทสมูล รัก มันก็ราคมูล เราก็ต้องเห็นจริงๆ เราเห็นอาการใจของมันให้จริงนะ แล้วเราต้องแก้กลับ ภาษานี้ คุณก็คงจะได้ยิน เราต้องแก้กลับ ใช่ไหม ภาษานี้ ภาษาพระท่าน เป็นภาษาทางศาสนานี่ เราต้อง ใช้อย่างนั้นจริงๆ

ถาม : ขณะดิฉันกำหนดนั่งหลับตา จับลมหายใจเข้าออก จะมีสภาวหนึ่ง คือ จะเห็นภาพปรากฎ เป็นฉากๆ เช่น เห็นน้อง เห็นอาหารที่ตนเองติดรสชาติอยู่ๆ แต่ ขณะอยู่สภาวนั้น ได้รับรู้ลมหายใจแล้ว ดิฉันจึงถอนจิต กำหนดลมหายใจใหม่ ไม่ทราบว่า ที่ดิฉันทำจิตอย่างนี้ จะถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

ตอบ : ในขณะที่คุณนั่งทำสมาธิอยู่อย่างนี้ แล้วก็ภาพพวกนี้ มันเกิดขึ้นมา มันเป็นความจำ มันเป็นสัญญา ที่มันเกิดขึ้นมา เห็นน้อง มันเป็นสัญญาปกติก็เป็นได้ เห็นน้องเฉยๆ เห็นน้องแล้วเกิดเรื่องราวอะไรล่ะ เห็นน้อง แหม โอ้ น้องคนนี้ มันมาด่าเรา โกรธ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น มันน่าจะตบให้สักฉาด อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราก็ต้องรู้แล้วว่า เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ วันนี้อารมณ์อาฆาต หรือ อารมณ์พยาบาท มีอารมณ์เคียดแค้น อย่างนี้ละก็ จะต้องอ่านให้ดีแล้วว่า อย่าให้อารมณ์เคียดแค้น สังขารที่เป็นสิ่งที่จะต้องล้างออก อันนั้น ล้างออก ให้ออกให้ถูกตัว แต่คุณจะเห็นน้อง เป็นความจำได้ระลึกถึง ที่จริงด้วยลึกๆ มันก็เป็นสภาพของ การระลึกถึงกัน หรืออาวรณ์อาลัย ถ้ามันระลึกถึงอย่างอาวรณ์ อาลัย คิดถึง ห่วงเขา เขาจะเป็นอะไรไหมหนอ ไอ้โน่น ไอ้นี่หนอ มันก็เป็นกิเลสที่มากขึ้น แต่ถ้าน้องก็คือน้อง มันจำได้ สัญญามันปรากฎ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก เราก็ผ่านไป อันนี้ ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งว่า เห็นอาหารที่ตนเอง ติดรสชาติอยู่ นี่คุณก็รู้ตัวน่ะ นี่มันขึ้นมา เพราะอันนี้ มันชอบ มันระลึกถึง มันหวนหาอาหารที่ฉันชอบ รสอันนี้มา พูดอย่างนี้ คุณก็แสดงว่า คุณรู้ตัวแล้ว แล้วบอกว่า ทำไม มันจะต้องมาระลึกถึงกันอยู่ นี่ แค่อาหารน่ะ มันไม่หนักหนากว่านี้นะ ถ้าผีร้ายกว่านี้น่ะ หนักเห็น เราก็ต้องรู้อารมณ์ รู้อาการที่แท้จริง อันนั้นๆ แล้วทำจางคลายออก พิจารณาให้เห็นว่า ไปติดมันทำไมขนาดนี้ ยังจะติดอยู่ แล้วจะไปไหนรอด นิพพานมันจะไปได้หรือ แหม อร่อยขนมอยู่ยังงี้ล่ะนะ เอ๊ มันเป็นอย่างไร มันติดกันจริงกันจังขนม

อาตมาก็ เข้าใจ ก็เข้าใจนะ แต่ว่ามันไม่น่า มันรู้สึกว่าเยอะเหมือนกันนะ เอ๊ ทำไมยังติด ขนมจัง คนไทยนี่ กินขนมจัด ชอบน้ำตาล ติดขนมจัง เพราะฉะนั้น พูดอันนี้แล้ว ระลึกถึงสภาพของวัฒนธรรม ศิลปวัฒนธรรม แหม ศิลปวัฒนธรรม ขนมไทยๆ อะไร นี่ จะรักษาวัฒนธรรมไทย ต้องเอาศิลปิน ที่ทำขนมไทยๆ ยกย่อง ชูเชิด โลกียะ นี่ มันทวนกระแสโลกุตระอย่างนี้น่ะนะ ถ้าเป็นเรา ก็บอกว่า จะไปกินอะไรกันนักกันหนาเล่า มันจะทำขนมอะไรเก่งๆ ก็ช่างหัวมันเป็นไร ประเดี๋ยวก็มาไอ้นี่มากมาย แค่อาหารนี่ เรายอมปรุง ยอมแต่ง อย่างนี้ ขนาดนี้ ก็เหลือเกินแล้ว เหลือใช้แล้ว แต่ที่จริง ขนมมันก็อาหาร แต่เราแยกเรียกกันไปเท่านั้นเอง ขนมก็อาหารนั่นแหละ กินแป้ง กินไอ้โน่น ไอ้นี่ เพิ่มเติมกันเข้ามา ส่วนมากก็แป้ง กับน้ำตาลส่วนมาก มีไขมัน มีกะทิอะไรบ้างเล็กๆน้อยๆ นอกนั้นก็แป้ง กับน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่เลย แปรรูป แปรร่าง แปรสภาพ ไอ้โน่น ไอ้นี่ ใส่อย่างโน้น อย่างนี้ สารพัด โอ้ นับไม่ถ้วน อย่างที่จริงน่ะ ก็กินกันอยู่นั่นแหละ ก็พิจารณาให้เห็นจริงซิ ก็ไอ้แค่นี้แหละ ไอ้แป้งกับน้ำตาลเป็นหลัก จะเป็นรูปนั่นรูปนี่ จะเป็นขนมชั้น จะเป็นขนมถ้วย จะเป็นขนมถั่วแปป จะเป็นขนมอะไรก็แล้วแต่ โอ้ย สารพัด นับไม่ถ้วนเลย ปั้นมาบ้าง อย่างเหนียวบ้าง อย่างกรอบบ้าง อย่างเป็นขี้หนู ขี้แมวอะไร ก็ไล่ไปเถอะ ก็ไอ้แป้งทั้งนั้นแหละ กับน้ำตาลเป็นหลัก มีกะทิบ้าง มีไอ้โน่น ไอ้นี่ผสมไป อยากให้มันเขาใส่แบะแซ อยากให้มันฟูก็ใส่ผงฟู อยากให้มันร่วน ก็ใส่อะไรเข้าไป ก็เท่านั้นเองล่ะ ไอ้หลักของมันก็ไอ้แค่นั้น สารพัดถูกหลอก เหลือกำลังวังชา เอ้า ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ศึกษาเอา ก็ตัดปล่อย หัดวางเอาก็แล้วกัน ขนาดตั้งชมรมขนมหวานก็แล้ว หัวหน้าขนมหวานก็ไม่รู้ว่า ไปถึงขนาดไหน แล้วก็ไม่รู้ ยังอ้วนอยู่อย่างนั้นแหละ

อาตมาก็ไม่รู้ว่า จะทำอย่างไร ไอตีมอะไรนี่ มันระลึกถึง อย่างนี้ไหมล่ะ นั่งหลับตาเจโตสมถะ ไอตีม มันมาอย่างคนนี้ไหม นี่ ตอบ เป็นพระ แล้วยังโกหกนะ ไม่มี เข้าท่าหน่อย แหม นึกว่า จะหน้าแตก อุตส่าห์สอบมาหลายปีดีดัก ถ้าบอกว่ามีนี่ อาตมานี่ แหม หน้าแตกเหมือนกันนะ สอนยังไง ไอติมแท้ๆ มันยังลดไม่ได้ อาตมาจริงๆ กินไอติมไม่ค่อยไหว ทุกวันนี้ เย็นฟัน กินแล้วก็เย็นฟัน โอ้ แล้วก็เอามาให้กิน ก็กินไป บางทีก็ต้องกินไป ขนม ข้าวต้มนี่ เอามากองๆ เอ้า นี่ต้องตักนะ เพราะฉะนั้น ฟันอาตมานี่ ได้รับคำชมเชยนี่ หมอตรวจดูเรื่อย ไปตรวจไปอะไรนั่น ถามผู้ที่นำซิน่ะ หมอฟัน ดีมากเกรดดีมาก แม้แต่ขูดหินปูนนี่ แทบจะไม่ได้ขูดหลายปีแล้วนะ ไม่ได้ขูดหรอก เล็กๆน้อยๆ ไม่ได้ขูดหรอก หินปูนยังไม่มีให้ขูดเลย คิดดูซิ ธรรมดานี่หินปูนนี่ ทั้งนั้น บางคน ปีหนึ่งนี่ ขูดหินปูนกันทั้งนั้นแหละ หินปูนก็ไม่มีให้ขูด เพราะอาตมาไม่ได้กินจุกจิก ไม่ได้กินเล่น สีฟันแล้วก็เลิกกิน แล้วก็กินแต่น้ำ จะดื่มก็ดื่มน้ำ น้ำยิ่งดี ยิ่งล้างไปใหญ่เลย น้ำสะอาด ไม่กินจุกจิก ขนมอะไร เพราะฉะนั้น อาตมาเกิดมา ไม่เคยเป็นโรคฟัน ไม่เคยปวดฟัน มันมีบุญปานฉะนี้ เอ้า จริงๆนะ เขาบอกว่า ใครไม่ปวดฟันนี่ หาได้ยากใช่ไหม ฯลฯ..

ถาม : พ่อท่านครับ คนที่มีกิเลสหนักไปทางแกนมานะ มักคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นเสมอ ควรแก้ไขอย่างไร จะตั้งตบะ หรือกรรมฐานอย่างไร

ตอบ : อ่อนน้อมถ่อมตน คิดด่าตัวเองเก่งเสมอ ก็พยายามตั้งจิตเสมอว่า เอ๊ จริงหรือเปล่า ว่าเราเก่งกว่าเขา จริงหรือๆ ถามตัวเองเสมอๆ คุณรู้ตัวอย่างนี้ ดีแล้วล่ะ คนที่ไม่รู้ตัวน่ะซี ไม่ค่อยถามมา แต่เสร็จแล้ว ก็ยังมีอันนั้นอยู่แน่ๆกว่าเขา และไม่รู้ตัว เออ ไอ้คนนั้นแหละแย่ แต่ที่รู้ตัวนี่ ถามมานี่ดีแล้ว เมื่อถามมาแล้ว ก็พยายาม จงพยายามอย่าไปหลงตัว ยกตัว เราอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้ดีกว่า จริงบ้าง เล็กน้อย แล้วมันจะเป็นมานะเหมือนกันน่ะ การที่เราสูงอย่างนี้ เราก็ว่าเราต่ำกว่าความจริงนี่ มันก็เป็นมานะชนิดหนึ่ง เหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่า แต่น่าเอ็นดูกว่าเท่านี้หรือว่าตนเท่านี้ เขายังยึดเดี่ยว แล้วนึกว่าตัวเองต่ำ แล้วนึกว่า ตัวเองสูงกว่า มันไม่ดี มันไม่เข้าท่า แต่ถ้าตัวเองนี่ สูงกว่า แล้วก็นึกว่า ตัวเองต่ำกว่า ยังดีกว่าไหม แต่มันก็ไม่ดีหรอก ที่จริง มันก็ต้องเข้าใจให้ตรงกับความจริง

ถาม : จะมีกุศโลบายในการฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตนได้อย่างไรครับ
Š
ตอบ : ก็ในเมื่อเรามีมิตรสหาย เรามีใครต่อใคร การอ่อนน้อมถ่อมตน ก็เป็นคนนั้นแหละ เป็นคนว่าง่าย เป็นคนรับฟัง ความคิดของคนอื่น เป็นคนที่ไม่ยึดความถือดี ความถือตัว ถือตนจริงๆ นั่นแหละ ความหมาย พูดเหมือนกำปั้นทุบดิน อย่างนี้น่ะนะ ต้องรู้อารมณ์ ต้องรู้ตัวเองเลยว่า นี่เรานี่ แหม มันไม่ยอมน่ะ มันไม่ยอม เพราะฉะนั้น ก็หัดยอมเสียบ้าง พิจารณาความจริงลงไป บางทียอม โดยไม่ได้เรื่องได้ราว มันก็ไม่ดีนะ แต่ว่าก็ต้องพยายามทำอารมณ์ ทำความคิดนึกของเราเป็นอย่างไร ให้มันอ่อนน้อมถ่อมตนก่อน ให้มันยอมก่อน แล้วก็ค่อยพิจารณาดีๆ ถ้าแม้ว่า ที่จริงแล้วเราถูก เขาผิด ก็ค่อยๆพูดกัน ถ้าแม้ที่สุด มันพูดกันไม่ได้ ก็จบไปเท่านั้นเอง

ถาม : ทำอย่างไร จึงจะนอนหลับ แล้วไม่ฝันฟุ้งซ่านครับ

ตอบ : ก็คุณ ก็ตัดสังขารอย่างที่เราพูดมาแล้วเป็นภาษา เรียนเจโตสมถะมา เรียนอะไรมา สมาธิมา เรียนรู้สังขาร หัดตัดกิเลสนั่นแหละ เมื่อหัดตัดกิเลสแล้ว สังขารที่ไม่เข้าเรื่อง เข้าราวที่ไม่ถูกต้องนี่ มันจะลดลงไป เมื่อมันลดลงไป มันก็เป็นสภาพ เป็นไม่ฟุ้งซ่าน มันจะมีการปรุงอยู่ตามสมควรของมัน ตามสัญญา สังขารวิญญาณที่มันเป็นธรรมดา

ถาม : ผู้ที่จะตั้งจิตเป็นพระโพธิสัตว์นั้น เริ่มตั้งจิตตั้งแต่เป็นพระอริยะขั้นต้นๆ หรือต้องสำเร็จอรหัตผล เสียก่อนครับ

ตอบ : ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันก็ได้ แต่ไม่ควรตั้ง ตั้งแต่เป็นปุถุชน เพราะว่า มันไม่มีตัวตรัสรู้ โพธิ นั่นคือ ตัวตรัสรู้ เป็นสัตว์ที่ไม่มีโพธิ์ ยังไม่มีตัวตรัสรู้ แล้วก็จะเป็นโพธิสัตว์ จะเป็นสัตว์ไปช่วยคนอื่น ว่าอย่างนั้นเถอะนะ ถ้าอย่างนี้แล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งๆ สัตว์ที่ไม่มีโพธิ ให้มีโพธิเสียก่อน อย่างน้อยให้มีตัวตรัสรู้ ในกิเลสของเรา เราลดละกิเลสได้บ้างจริงๆ แน่ใจว่า เออ อย่างน้อย เป็นพระโสดาบัน เราก็จะช่วยเหลือ ผู้อื่นได้บ้าง เหมือนกับเราเองนี่ จะไปแจกสตางค์เขา แต่ไม่มีสตางค์ของตัวเองเลย ก็ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาแจก เท่านั้นเอง มันจะไปได้เรื่องอะไร ดีไม่ดี ไม่มีก็ไปเที่ยวเอากระดาษมาปลอมเป็นสตางค์ ต้องไปหยิบไอ้โน่น ไอ้นี่ มาปลอมเป็นสตางค์ แล้วก็เอาไปแจกคนอื่นเขา ก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้เรื่องหรอก ไปกู้หนี้ ยืมสินเขามานั้นนะ มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะ มันสมมติก็สมมติไม่เข้าเรื่อง ที่จริงมันจะต้องปลอม ถ้าเป็นโพธิสัตว์ ที่ยังเป็นปุถุชนน่ะ มันก็จะปลอม กระดาษหรือปลอมอะไรเป็นเงิน ไปแจกเขาเท่านั้นเอง ปลอมอันนั้นไปเป็นสมบัติ แจกคนอื่น มันไม่รู้นี่ มันยังไม่มีตัวตรัสรู้ มันยังไม่มีตัวจริง แม้นเป็นโพธิสัตว์ ในระดับโสดาบัน ก็อย่าไปอุตริที่จะสอน อรหันต์ สอนอะไรต่ออะไรของสกิทา อนาคา อะไรเขามากมายนัก มันเกินสิ่งที่ตนมี เพราะฉะนั้น อย่าไปแสดง หรือจะไปอวด หรือจะไปอะไร จนเกินไปนัก ระวัง

ถาม : ทำอย่างไร จึงจะเจริญในธรรม

ตอบ : โอ้ย ถามกำปั้นทุบดินกันจังเลย ทำอย่างใด จึงจะไม่เสื่อมจากธรรม จะไม่เสื่อมจากธรรม ก็โดยการมาวัดบ่อยๆซิ แล้วก็ตั้งใจฟังธรรม ความเสื่อม ๗ ประการ ใช่ไหม ไม่ได้ทบทวน มนต์ไม่ได้สาธยาย ชักลืมแล้ว เอ้า ๗ ประการ ช่วยกันไล่ซิ ๑ มาวัดเสมอๆ ถ้าผู้ใดที่ไม่มาวัดซิ จะเสื่อม เสื่อมข้อที่ ๑ ไม่มาวัด ๒ มาวัด ก็ไม่ฟังธรรม ๓ ไม่เจริญในอธิศีล นี่หมายความว่า เราปฏิบัติธรรม แล้วศีลอยู่ได้เท่าใด ก็เอาเท่านั้น ถึงมาวัดก็เท่านั้น ฟังธรรมก็ศีลเท่าเก่า นี่คือ ความเสื่อมแล้ว เห็นไหม เพราะฉะนั้น ต้องเจริญในอธิศีล ต้องเจริญขึ้นเรื่อยๆ ๔ ไม่เลื่อมใสในภิกษุๆ ผู้เถระ ผู้กลาง ผู้ใหม่ อะไรก็แล้วแต่ ไม่เลื่อมใสในภิกษุ ๕ ฟังธรรมเพ่งโทส ๖ แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ นี่นะ เราจะไปศึกษาที่อื่นบ้าง ไม่ใช่แสวงบุญน่ะ แสวงบุญ นอกขอบเขตพุทธ หมายความว่า เราเอง เราเอาทฤษฎีหลัก ไปเอาทำอะไรต่ออะไรตาม โดยเฉพาะ ยิ่งไปเอาทฤษฏีแก่นหลัก ไปทำตามเขา ไปศึกษา ไปฝึกฝน ไปทำอะไรต่ออะไร อย่างนั้นจริงๆ แล้วก็มี ความจริงใจด้วยนะ จริงใจว่า โอ้ อันนี้ดีนะ นั่นแหละมิจฉาทิฐิ มันมิจฉาทิฐิว่า อันนี้ยอด อันนี้ดีกว่า มันออกแล้วๆ แล้วก็แสวงบุญอย่างนี้แหละ เป็นการชำระกิเลส แบบนี้ถูกถูกทาง มันที่ทิฐิ ไปเห็นอันโน้น เป็นสัมมา ทั้งๆที่ตัวเองเป็นพุทธ แต่ไปเห็นทิฐิอย่างโน้น เพราะฉะนั้น การแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธนี่ ถ้าว่ากันคนละลัทธิ คนละศาสนาแล้ว ก็ไปเห็นแนวหลักของเขาว่า ถูกต้องกว่านี้ เป็นทิฐิอย่างนี้ เรียกว่า เริ่มออกแล้ว แล้วยิ่งไปปฏิบัติตามไปเลยนี่ ออกนอกขอบเขตพุทธ ถ้าเผื่อว่า ศาสนาเดียวกัน พุทธเหมือนกัน ก็ออกนอกขอบเขตพุทธได้ ผู้ที่มิจฉาทิฐิ แล้วเราก็ไปหลงเห็นตามมิจฉาทิฐินั้นจริงๆ เลยของพุทธด้วยกันนี่น่ะ ว่าเป็นทางพุทธที่ถูกทาง นี่ก็คือ แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธด้วย ฟังชัดๆนะ พูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า อโศกนี่ถูก แล้วออกนอกอโศกไม่ได้ ไม่ได้พูดอย่างนั้นนะ แต่มันก็น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ได้พูดอย่างนี้นะ นี่หมายความว่า อาตมามั่นใจ อาตมาก็พูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พวกคุณก็อย่าเพิ่งมาหลงเชื่ออาตมา ตามอาตมามาดายๆ เพราะฉะนั้น จะศึกษาอันอื่น ศึกษาได้ๆ สุดท้าย คุณเอง คุณจะเห็นอย่างโน้น คุณก็ว่าของคุณถูกล่ะ จะว่าเรามิจฉา ทางโน้นสัมมา เพราะฉะนั้น จิตนี่ มันจะ ไปจริงๆอย่างนี้ ต้องแสวงบุญ นอกขอบเขตพุทธ เพราะฉะนั้น ระวัง แล้วก็อย่าไปเที่ยวได้โด๋ๆ เด๋ๆ จนกระทั่ง แหม จะไปศึกษา ทางศาสนาอื่นก็ไม่ได้ ไ ศึกษาลัทธิเดียวกันล่ะ แต่ว่า มันนอก ๆความเห็น เป็นนานาสังวาสบ้าง อะไรต่อ อะไร หรือว่า หรือแม้แต่นิกายบ้างก็ไม่ได้ มันเกินไป ของพุทธเราไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะ ของพุทธ เราไปศึกษาต่างนิกาย ศึกษาได้ ก็ศึกษาคนละศาสนาเลย ก็ศึกษาได้ แต่ใจเราเป็นขนาดไหน อาตมาบอกจุดสำคัญให้ จุดสำคัญ มันจะเป็นอย่างนั้นน่ะ สักการะก่อน เหมือนกับคล้ายๆกับแสวงบุญ สักการะก่อน คือนิยม นับถือจริงๆ นับถือศาสนานั้น ยิ่งกว่าศาสดาพระพุทธเจ้า นี่เป็นแล้ว สักการะก่อน แล้วสักการะศาสดานั่น เขาเหนือกว่าจริงๆ มันมีจิตเอนเอียงอย่างนั้นจริงเลยน่ะ นี่เรียกว่า จิตจะเสื่อมแล้ว เสื่อม เสื่อมจากอันนี้แล้ว ไม่ต้องบอกเสื่อมจากศาสนา หรือเสื่อมจากความดี ความงามหรอกนะ ไปอยู่ศาสนาโน้นแล้ว จะไปนับถือศาสดาของศาสนาอื่น อาจจะไปดีในศาสนานั้นก็ได้ แต่เสื่อมจาก ศาสนาพุทธ เสื่อมจากศาสนาพุทธ ไม่ผิดเลย ใช่ไหม ต้องชัดๆ สักการะก่อน หรือว่าไปเห็นดี เห็นงาม ในอันโน้นอันนี้ อะไรต่างๆ ต้องระมัดระวัง แค่แต่ไปเห็นส่วนดี แต่ไม่ใช่ว่า เอาเป็นทิฐิ ไปเห็นอย่างจริงจัง อย่างนั้น แต่ก็รู้ว่า เออ จุดนี้ดีนะ อันนี้ดี แต่ค่าเฉลี่ยแล้ว มันสู้อันนี้ไม่ได้หรอก ค่าจริงๆแล้วสู้อโศกไม่ได้หรอก อโศกเหนือกว่าจริงๆ แต่อันโน้นเขาดี อันโน้นอันนี้เขาดี อันนี้ แต่ดูค่ารวมหมดแล้ว อันนี้ดีกว่าอยู่ อย่างนี้ เรียกว่า ไม่สักการะก่อน แล้วเราก็ไม่ได้ไปปฏิบัติ หรือไม่ไปเอาตามด้วย สักการะก่อน ก็ยังไม่ถึงเขตนั้น ไปเอาตาม ก็ยังไม่ถึงเขตนั้นน่ะ นี่คือ ความเสื่อม หรือความที่มันไม่ค่อยชอบมาพากล หมดเวลาแล้ว นี่ ตอบได้แต่เสื่อม

ถาม : ทำอย่างไร จึงจะเจริญในธรรม

ตอบ : ปฏิบัติเข้า

เอ้า เอาล่ะ เอ๊ อาตมาเองนี่ แข็งแรงนะ ไม่มีใครชมๆ ตัวเอง จริงๆนะ ยังไม่เมื่อยอะไรหรอก แต่ว่ามันก็สมควร แก่เวลา ตกลง เหมาไปหมดเลยนี่ จะตอบแล้วไม่ตอบ ก็พอ เอาลง

สาธุ


ถอดโดย นายทองอ่อน จันทร์อินทร์
ตรวจทาน ๑ โดย อรณี ศรีทองอินทร์ ๒๖ เม.ย.๓๓
พิมพ์โดย สม. นัยนา เถระวงศ์ ๔ พ.ค.๓๓
ตรวจทาน ๒ โดย สมศรี แช่มช้อย ๔ พ.ค.๓๓
FILE:0632B.TAP