สมาธิ สัมมาสมาธิ ตอน ๓ หน้า ๒

โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๓๓ เนื่องในงาน พุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ของพุทธ ครั้งที่ ๑๔
ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก จังหวัดนครสวรรค

ต่อจากหน้า ๑


เพราะฉะนั้น องค์ประชุมนอก ก็คือ อัสสาสะปัสสาสะ หรือ กายนอก หมดไปเรื่อยๆๆ ดับไปเรื่อยๆ ไม่ได้มาเกี่ยว มาข้องได้เรื่อยๆๆ จนกระทั่งรู้เวทนาในเวทนา ฌาน ๔ คือ ฌานสูงแล้ว ฌาน ๔ นี่ เป็นฌานที่ตัดสินแล้ว เพราะฉะนั้น จะเกิด อุเบกขา จะเกิดแม้แต่สุข สุขเพราะไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา สุขเพราะ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หรืออุเบกขา อทุกขมสุข หรืออุเบกขานี่ เขาใช้เป็น Synonym เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ อทุกขมสุข หรือ อุเบกขา

เวทนาในเวทนา ถึงขั้นนั้น เพราะเราดับสังขารที่เป็นทุกขเวทนา ดับสังขารที่เป็นสุขเวทนา หรือดับเหตุ แห่งทุกข์ ออกไปได้จริงๆ เวทนานั้น ก็สะอาด ผุดผ่องบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อย จนมันเองเป็นอุเบกขาเวทนา มันก็เป็นสิ่งหนึ่ง เป็นเจตสิกสิ่งหนึ่ง ใช่เราหรือเปล่าๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใคร มันเป็นธาตุตัวหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ต้องทำสัญญามั่นหมายให้รู้ว่า นี้คือธาตุที่บริสุทธิ์อันหนึ่ง เราจะหลงว่า เราได้แล้วละโว้ย เสร็จเลย ตอนนี้ สังขารแล้ว สังขาร อุเบกขาแล้ว อันนี้คืออันนี้ อันนี้คือ อุเบกขาธาตุ คืออทุกขมสุข เจตสิกธาตุอันหนึ่ง ทำใจในใจให้ลึกซึ้ง ในเวทนาขึ้นไป นั่นแหละ ตอนนี้ จึงสามารถ ไปทำปฏิกิริยา หรือว่า ทำการสังเคราะห์ อย่างลึกซึ้งละเอียด จะมานั่งขนาดนี้ คุณมานั่งคำนึง ถ้าพูดกัน ด้วยหยาบ ว่าจะมานั่ง นึกถึง ลมหายใจ มันออกอยู่หนอ ลมหายใจ มันเข้าอยู่หนอ วาบออกไปนอกแล้ว วาบเข้ามาพิจารณาอยู่ โอ๋ย ไม่ต้องคิดถึงแล้ว ตอนนี้ ไม่มีหรอก ลมอัสสาสะปัสสาสะ ไม่เกี่ยวแล้ว มันละเอียดมากแล้ว

เพราะฉะนั้น จากนี้ไป จึงจะพิจารณาถึงผลว่า สะอาดบริสุทธิ์หรือไม่ ในจตุตถฌาน แม้แต่ที่สุดว่าว่าง คุณก็ซับอารมณ์เวทนา นี้เป็นอากาสาฯให้ได้ รูปสัญญาย่อมดับ เมื่อพูดถึงอากาสานัญจายตนะ รูปสัญญา ก็คือ สิ่งที่ถูกรู้ กำหนดรู้ว่า อุเบกขา อุเบกขาเจตสิกเป็นอย่างไร หรืออทุกขมสุขเจตสิกเป็นอย่างไร แล้วเราก็ อย่าไปกำหนดหมายว่า สิ่งที่ถูกรู้นั้นเป็นเรา เมื่อไม่กำหนดว่าเป็นเรา คุณก็จะว่างเลย นี่เป็นภาษาพุทธนะ เมื่อคุณวาง ไม่ใช่เรา มันก็คือการกำหนดสัญญานั่น แหละ มันเป็นอากาสานัญจายตนสัญญา นั่นแหละ ฟังให้ดีๆ เป็นอากาสานัญจายตนสัญญา คือ การกำหนดว่าง คุณใช้สัญญาของคุณทำ กำหนดจริงๆ กำหนดรู้ว่า ว่างคืออะไร แล้วทำว่างนั้น ให้เวทนารับรู้ เวทนาของคุณเอง ความรู้สึกของคุณเองว่า อ๋อ ว่าง อย่างนี้เองนะ กำหนดให้ว่างไม่ใช่เรา พอขจัดตัวเราออกวับหนึ่ง ก็คือ ไม่ ใช่เราวับหนึ่ง ถ้ากำจัดไม่ใช่เรา ได้นานๆ มันก็คือ อากาสาฯ สภาพอากาสานัญจายตนฌาน ก็เกิดอยู่นั่นน่ะ คุณลองนึกตาม โดยคะเน เดาๆตาม ก็ได้ สภาพฟังภาษาเหตุผลนี่ มันว่างต่อเนื่องอยู่ยาวๆ ก็นั่นแหละ ในช่วงนั้นแหละ คือ คุณอากาสาณัญจายตนฌาน ทีนี้ พอระลึกรู้ว่า อ๋อ วิญญาณ มันนิ่ง ที่จริงโดยความเป็นจริง เราลืมตัวเรา ได้ชั่วครู่ แต่จริงๆ ในสมมุติจริงๆแล้ว เรามีเราด้วยหรือเปล่า ตัวเรายังอยู่ ตัวเรายังไม่ได้สลายเป็น ปรินิพพาน ยังไม่ได้สลาย เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ยังมีธาตุวิญญาณ ที่เราอาศัยเป็นเรา โดยสมมุติ และเป็น วิญญาณอันนั้นจริง อยู่ที่เรา ธาตุรู้ทุกอย่าง

พอเราระลึกรู้ตัวอีกอันหนึ่ง สูงขึ้นไปเป็นญาณปัญญา อาตมาเอามาอธิบายนี่ เป็นสิ่งที่อาตมาเกิดเอง ไม่ได้อ่านมาจากไหนนะ เป็นของจริงที่เรารู้ อ้อ มันลึกละเอียดอย่างนี้เอง (สภาพอากาสา) รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ความว่าง แล้วจะไปรู้อะไรล่ะ รู้อยู่ตลอดเวลา แต่รู้แล้ว เราก็ต้องวิจัยออก เราต้องมีสัญญา กำหนดออก กำหนดรู้ว่า ความรู้ของคุณเอาไปใช้ได้ทันที เมื่อคุณถึงเวลานั้น บอกนี่ไม่ใช่เรา เออ มันก็ไม่ใช่เรานะ คุณก็จะต้องซับซาบ คุณทำบ่อยๆ คุณก็จะซับซาบบ่อยๆ ว่าไม่ใช่เราๆ ถ้าคุณไม่ทำเลย มันก็เราอยู่ โดยที่ไม่เคย เอาออกสักที มันก็ไม่ออกสักที ไม่ได้วาง ไม่ได้ว่างสักที พอเราอากาสา มันว่าง คุณทำต่อเนื่อง ได้นานเท่าใด ก็คือว่างเท่านั้น เสร็จแล้ว เราก็ระลึกอีกทีหนึ่ง โดยความจริง ของความเป็นจริง ก็คือ เรามีวิญญาณ เรามีตัวเราอยู่ โดยสมมุติ โดยจริงเรายังอาศัยอยู่นะ เมื่อเรานึกว่า เมื่อชัดเจนแล้วว่า ตอนนี้ ไม่ได้ไปหลงติด ว่า แม้แต่เฉยก็เป็นอร่อย เฉยก็เป็นเรา โอย เราจะต้องอยู่ที่อากาสานี่ แหละ ไม่เป็นไร ไม่เอาอื่นแล้ว ไม่เอาอื่นแล้ว ในขณะที่มันเป็นอย่างนั้นนะ

อาตมาเคยเล่าตัวเองนะว่า อากาสา โอ้โฮ มันว่าง มันโล่ง อื้อฮือ ความระลึกว่า ไม่อยากออกจากภพนี้เลย นั่นแหละ กูๆที่เป็นอากาสานะๆ มันจมอยู่ในภพนั้น ก็ความหมายมันว่า กู ไม่อยากออกจากนั่นล่ะ ก็คือ มันอยู่ในภพนั้น ฟังภาษาให้ดี ความรู้สึกของเราเกิดเลยนะ

อาตมายังจำได้เลยนะ สัญญาของเราก็ยังจำเวทนาของเราได้ เวทนาของเราบอกว่า โอ้โฮ แหม อาตมาเห็นใจ นายฝรั่งที่ตามหา ตามหาอั้ยที่ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาเอา มันว่าง มันแหม เจ้าพระคุณเอ๋ย มันวิเศษจริงๆ นั่นแหละ ชั่วอารมณ์ที่เราเกิดว่า แหม เราจะอยู่มันตรงนี้แหละ ไม่อยากไปไหนล่ะ นั่นแหละ มันติดอากาสาแล้ว ถ้าเราติดแล้ว เราก็ติดไปเนื่องๆ ไปต่อเผลอตัวว่า เรา จริงๆน่ะ เรามีวิญญาณ เรามีธาตุรู้ ที่รู้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่อาศัยทั้งหมด ถ้าเราโง่ เราก็จะอยู่มันตรงนั้นนานๆ พอรู้ตัววิญญาณ ระลึกรู้ได้ วิญญาณ คือธาตุรวมของเจตสิก และวิญญาณก็คือ มีทั้งวิญญาณทางตา วิญญาณทางหู ไม่ใช่มี วิญญาณอยู่ในตัวว่างๆเท่านั้น ไม่เห็นอะไรเลย มีแต่แสงสว่างโล่งๆ ไม่ใช่วิญญาณ จริงๆนั้น มีวิญญาณตา วิญญาณหู วิญญาณจมูก วิญญาณลิ้น วิญญาณกาย มีวิญญาณ ออกมาทั้งหลายทั้งหมด ขืนไปจมอยู่ ตรงนั้นน่ะ มันเป็นภพแคบๆ ภพเล็กๆ ภพที่ไม่มีใครเขารู้อะไรกับเราหรอก มีแต่ตัวมึงของมึง สุขมาก สุขจริงๆ สุขว่างๆ สุขเบา ว่าง โล่ง โลกนี้ไม่มีอะไรทุกข์เลย ไม่มีอะไรที่มันลำบาก ไม่มีอะไรหนัก ไม่มีอะไรอึดอัด

โล่ง โปร่ง หาที่สุดมิได้ โอ้โฮ มันโล่ง มันเบา มันว่าง มันอื้อฮือ ไม่มีน้ำหนักเลย อากาสานัญจาฯ มันรู้สึก อย่างนั้น ถ้าเราต่อเนื่องอากาสาอยู่นั้น โดยที่ไม่รู้ความจริง ไม่เกิดญาณปัญญาว่า เอ็งไม่ใช่อย่างนี้หรอก ขณะนี้ เอ็งมีรูปนามขันธ์ ๕ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีอายตนะ ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น ตอนนั้นไม่มี ตาก็ไม่มี หูก็ไม่มี อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น มีเดียว มีรู้สึกว่า มันโล่งอย่างเดียว ไม่มี ไม่เห็นผู้เห็นคน ไม่เห็นอะไร ไม่รู้ นึกไม่ออก อะไรทั้งนั้น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น

ถ้าเราหลงความจริงอย่างนี้ หลงสมมุติสัจจะอย่างนี้นั่นแหละ เราก็จมอยู่ตรงนั้น คุณจะอยู่อารมณ์นั้น อย่างเดียว เพราะฉะนั้น คนที่ติดนาน โง่นาน เขาก็ติดอยู่ในนั้นนาน เพราะฉะนั้น ใครยิ่งไปจมอยู่ในนั้นนาน ยิ่งโง่นาน ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าได้แว๊บหนึ่งออกมา นั่นคือ ภูมิของเราสูง ถ้าคนที่ไปจมอยู่นานๆ ติดนานๆ คนนั้น พากเพียร ที่จะทำภพให้แก่ตนเอง ก็ทำภพอากาสาให้แก่ตนเอง เสร็จแล้ว เราก็จะต้องลืมอะไรให้หมด อยู่มันในภพนั้น นั่นแหละคือ เราเข้าไปอยู่ภูมินั้น ภพนั้น ฟังดีๆนะ นี่อธิบาย อภิธรรมที่เอา สภาวะจริง มาอธิบาย ให้คุณฟัง เป็นภาษาคน ภาษาไทยไม่ใช่บาลี บาลีเอามาอธิบาย อย่างนี้ ไม่ได้บาลี ไม่พิสดาร อย่างที่อาตมาพูดภาษาไทย ภาษาไทยทุกวันนี้ มันมากกว่าภาษาบาลี ที่มีแต่เดิม ภาษาแต่เดิม เป็นภาษา ที่บัญญัติไว้ข้นแค่นๆ แล้วก็ไม่เจริญแล้ว ตายแล้วด้วย มีแต่จะหมดไป ไม่มีใครไปแต่งภาษาบาลี ต่อขยาย อีกแล้ว ภาษาบาลีมีเท่านั้น ไม่มีใครไปขยายภาษาบาลี ไม่เจริญแล้ว หมดงอกงามแล้ว แต่ภาษาไทยนี่ ยังงอกงามได้อีก และยังเอาภาษาบาลีมาแถมด้วย ดีไม่ดี เอาฝรั่ง เอาจีนมาแถมด้วย ขยายไปได้เรื่อย ๆ

มีถามแทรกมาว่า ทำไมพระพุทธเจ้าปรินิพพานในฌาน ๔
พระพุทธเจ้าปรินิพพานในความจริง ไม่ได้ปรินิพพานในภพลวง อากาสาฯเป็นภพลวงชนิดหนึ่ง

ขณะนี้ มันกำลังเป็นภพ เป็นภูมิ ยังมีภพอากาสาฯนี่ เป็นภพ
ความเป็นจริงนั้น คือธาตุที่อาศัย แล้วก็ทำอะไรปกติ เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดวิญญาณ วิญญาณก็คือธาตุรู้ วิญญาณที่เป็นตัวตรัสรู้ ก็คือ รู้ความจริง พ้นอวิชชา มีวิชชา เอ่ย ไม่ใช่หรอก มันต้องมีวิญญาณ ไม่ใช่ว่า มันต้องมีตัวเรา มันต้องมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีอายตนะทั้ง ๖ อั้ยนี่ มันอยู่ในภพ ที่อยู่ไหนก็ไม่รู้ มีมึงคนเดียว ความจริง มันจะต้องตื่นทั้งหมด ตื่นทางตา ตื่นทางหู จมูก ลิ้น กาย ทั้งหมด ให้รู้อะไรครบพร้อม

ถาม... ธาตุรู้ กับขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกันหรือไม่ใช่ครับ
ตอบ... ธาตุรู้นั่น ถ้าจะบอกถึงเจตสิก มีธาตุรู้ ๔ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๔ รูปไม่ใช่ธาตุรู้ รูปเป็นสิ่งอาศัย รูปเป็นธาตุที่ถูกรู้ ธาตุขันธ์ ๕ รูปขันธ์ ไม่ใช่ธาตุรู้

ถามมาว่า ธาตุรู้กับขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกันหรือไม่ใช่
ในขันธ์ ๕ มีธาตุ ๔ ที่เป็นธาตุรู้ เป็นอันเดียวกันก็คือ ธาตุ ๔ จิต เจตสิก วิญญาณก็เจตสิก๓ นั่นเรียกว่าธาตุรู้ ส่วนรูป ไม่ใช่ ในขันธ์ ๕ รูปขันธ์ ไม่ใช่ธาตุรู้

แหม่ ช่างถามมาจริงๆนะ เวลาทำอสัญญี นั่น ดับธาตุรู้หรือครับ หรือ ดับขันธ์ ๕

ดับธาตุรู้ อสัญญีไม่ได้ไปดับขันธ์ ๕ ดับธาตุรู้ ดับขันธ์ ๕ ก็เอาไปเผาซิ ดับขันธ์ ๕ ก็คือธาตุวิญญาณ ไม่ได้ทำงานกับร่างกาย แล้ว เหลือแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เหลือแต่รูปธาตุ ดับขันธ์ ๕ ก็คือ ธาตุวิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่เกี่ยวกับอันนี้ มันแยกขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันแยกกันแล้ว ก็เอารูปธาตุ นี่ไปเผา ไม่ได้ดับ

มันลวง มันซ้อน อ๋อ ก็มันเป็นภพที่เราไปสร้างขึ้นมาในขณะนั้น เราทำจิตของเรานี่เข้าไปๆ ก็เหมือนอย่างที่ ธรรมกายเขาบอกว่าเข้าไปหาใสๆๆ ก็เป็นเขาสร้าง เขาไม่ได้สร้างอย่างอากาสาฯ นี่เป็นของฤาษี สร้างมาแต่เก่า อาจารย์ แบบนี้ เขาสร้างมา เขาก็เรียกฌานแบบนี้เอาไว้ เป็นอากาสาฯ

ส่วนธรรมกาย มาสร้างใหม่ แล้วบอกว่า ใสเข้าไป ใส๑ ใส๒ ใส๓ เป็นอะไรเขาเรียกภาษาของเขา เหมือนกัน ว่านี่โสดาภูมิ อะไรของเขา สกิทาคามีภูมิเข้าไปใสซ้อนเข้าไป ใสซ้อนเข้าไป ซ้อนเข้าไปๆ มีกี่ชั้น เขามีภาษา ของเขา ธรรมกาย นั่นน่ะเหมือนๆกับรูปฌาน อรูปฌาน นี่ก็สร้างแล้วก็สมมุตินั่นขึ้นไป สร้างภพใหม่ ขึ้นมาให้แก่ตนเอง เข้าไปไชชอน เหมือนกับไส้เดือน เหมือนกับหนูเจาะรูเข้าไปอย่างนั้น แล้วก็เข้าไปอยู่ ในช่องนั้นนะ ไม่รู้เรื่อง ไม่เห็น ไม่อะไรต่ออะไร มันไม่ได้เป็นธรรมดาๆ สามัญ เปิดโลก ที่มีคน ที่มีอายตนะ ๖ และก็มีอะไรเป็นปกติธรรมดา ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อเจาะเข้าไปในนั้นแล้ว มันเกิดวิชชาขึ้นมา อากาสา มันจะรู้สึกว่าวิญญาณคือเรา มันจะเกิดวิญญาณ เกิดขึ้นคือเรา มันรู้สึกว่าเรานั่น แหละ คือตัววิญญาณนัญจายตนะ ว่าเป็นธาตุรู้ อ๋อ ว่าเรากำลังเสวยภพนี่ เท่านั้นเอง ถ้าเผื่อว่า เราไม่ติด เราไม่มีอะไรที่จะไปหลงอยู่นาน แม้ความอยากได้ นาน ถ้าไม่ชำนาญ มันก็จะออกไปเหมือนกัน

ทีนี้ ถ้าเผื่อว่า ทำให้ความชำนาญเกิดมากๆ มันก็จะอยู่ได้นาน มันกลับไปกลับมา ถ้ายังทำไม่ได้เก่ง มันก็จะออก กลับมาสู่สภาพปกติ ปกติก็จะรู้เต็มธาตุ รูปนามขันธ์ ๕ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่อยากออก ก็ทำฝึกเอา ฝึกไม่ง่ายนะ

ทีนี้ ฝึกไปได้ติดแล้วทีนี้ เสร็จแล้ว ทีนี้ก็ไปถูกภพที่ตัวเองสร้างเอง เข้าไปอยู่ในภพนั่นอีกได้นานเท่าไหร่ๆ ก็นึกว่าตัวเก่ง ที่จริงเก่ง เพราะมันไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เก่งเหมือนกับพวกเรานี่ ไปหลง แหม อั้ยนี่ มันไม่ต้องปรุง ขนมอย่างนี้ มาให้อร่อย รสอย่างนี้ เดี๋ยวเสนอคนนี้ เราว่าดีนะ รสนี่วิเศษ ปรุงขนมรสนี้ออกมา คนก็ติด คนก็หลง ตัวเองหลงก่อน ตัวเองหลงขนมอย่างนี้ ปรุงขนมอันนี้ มาทำให้คนติดรสนี่ สีนี้ รูปนี้ กลิ่นนี้ ติดก่อนเหมือนกัน นั่นแหละปรุงขนมมาให้คนหลง ตัวเองนั่นแหละหลงก่อน แล้วก็ไปช่วยคนอื่นหลง คนก็เลย หลงตามไปทั้งโลก ใครหลงก็หลงตาม ฌานนี่ก็เหมือนกัน เหมือนปรุงขนมอันหนึ่งมาให้มัน ทำเป็นภพ อันหนึ่ง เป็นภพอย่างของทางจิตวิญญาณ ทางจิต ทางเจตสิก ฯลฯ ..

คนที่ทำใหม่ๆ นี่ ทำไม่ค่อยได้ เมื่อทำไม่ค่อยได้ ก็ยังไม่ค่อยเก่ง เรียกว่า เป็นนักปรุงขนมยังไม่เก่ง ก็อยากจะปรุงเก่ง เพราะมันหลงว่า ขนมนี่ ต้องทำขึ้นมาในโลก สร้างโลกขึ้นมาอันหนึ่ง สร้างภพขึ้นมา อันหนึ่ง ก็สร้างโลกนี่ใหม่ ก็เราได้แล้ว เรารู้แล้ว ปรุงยังงี้ได้ ทำอย่างนี้ได้แล้ว สร้างขึ้นไปอีก ทำขึ้นไปอีก ชำนาญเป็นจนกระทั่ง แคล่วคล่อง ก็ทำได้ แล้วก็สร้างภพนี่ ไป ให้ตัวอยู่คนหลงๆจริงๆ

ที่อาตมาพูดๆนี่ พูดเพราะอาตมารู้แล้ว และกำลังบอกให้คุณรู้ตัว อย่าไปหลงตามเขา เพราะฉะนั้น เมื่อคุณรู้แล้ว คุณจะเข้าภพนั้น ก็ยาก พอรู้แล้ว โอ๊ ไม่ติดหรอกไอ้นี่ มันเป็นของลวงๆ หลอกๆ ขนมอย่างนี้ ไปติดมันมาทำไม คุณรู้ตัว ถ้าคุณไม่รู้ คุณจะทำได้ง่าย เพราะฉะนั้น คนที่ไปนั่งเข้าฌานอย่างนี้ เห็นลูกแก้ว ไม่ค่อยเห็น มันคงจะได้ถูกสอนมาบ้างแล้ว จิตลึกๆ มันเคยได้รับมาแล้ว เคยมี อาจารย์เคยบอกมาแต่ ๓ ๔ ชาติที่แล้ว ชาติที่แล้ว มันยังเหลืออยู่ มันก็เลยไม่ค่อยเชื่อง่ายๆ มันก็เลยเข้ายาก มันพยายามจะเข้ายังไง ก็เข้าไม่ได้เลย ก็เพราะมันรู้อยู่ ปัดโธ่เอ๊ย โง่เข้าไป ก็เข้าไปขี้หลอก เพราะฉะนั้น คนที่เข้าไปไม่ได้นั่นนะ ที่จริงนั่นนะ มันเฮง

ทีนี้ ไอ้คนที่มันหลง มันเตรียมจะหลง มันหลงมาตั้งนานแล้ว ตามมาหา ตั้งหลายชาติแล้ว ไม่ได้ แหม ชาตินี้มาถึง ทำจนได้ พอได้ ยิ่งได้เร็วเท่าไหร่ ก็แสดงว่า เราเคยหลงเข้าไปได้แล้วด้วยก็ได้เร็ว เมื่อได้เร็ว ก็คือ คนพวกนี้ คนโลกที่ถูกลวงไว้เนี่ย โลกเนี่ย ถูกลวงไว้เนี่ยๆ สอนอย่างนี้ พวกคุณจะได้ ทำได้ยาก มันย้อนกัน อยู่อย่างนี้ พอสอนแล้วทำได้ยาก ต้องไม่กลัว เข้าไปในโลกลวง นี่ดูมั่ง ให้มันจบไปเถอะ อาตมาจะลาก ออกมาเอง ถ้าอาตมาตามเข้าไปได้ จะไปลากออกมาเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ยอมให้ลากเหรอ ก็ต้องปล่อยไป ก็ไม่ยอมให้ลากนี่ ก็ในเมื่อจะไปติดกับเจ้าโลกๆนั่นแล้วนี่ เจ้าภพ เจ้าภูมินั่น ไปหลงเขาแล้ว เป็นบริวารเขาแล้ว ก็ต้องไปอยู่กับเขา

ถ้าจะออกมาอยู่โลกุตรภพ โลกุตรภูมิ ก็ค่อยออกมา ถ้าไม่ออก ก็อยู่ไปเลย ลืมโลกุตรภพไปเลย ก็อยู่ในภพ นั่นแหละแน่ มันละเอียดอย่างนี้ วันนี้อธิบาย เรื่องภพเรื่องภูมิ อาตมายังไม่เคยอธิบาย อย่างนี้เลยนะ วันนี้ นี่เจาะชอนไชลงไป ตั้งใจจะซอยให้ละเอียดในเรื่องของ ฌาน ในเรื่องของ ภพ ในเรื่อง ของ สมถะ ในเรื่องสภาพ ที่เข้าไปอยู่ ภวังค์ ในอะไรพวกนี้ให้ฟัง

เมื่อเรารู้ตัวเป็นวิญญาณัญจายตนะ ความยังเข้าใจผิดอยู่ เมื่อมันรู้ตัวแล้ว มันก็รู้ตัวเราขึ้นมาแล้ว เราบอกแล้ว โอ๊ เสร็จ มันจะทนอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้นาน เพราะเรายังไม่ช่ำชอง มันจะออกมา มันก็ ไม่อยากออก มันก็จะกลับเข้าไป กลับเข้ามา อยู่ระหว่างอากาสาฯ วิญญาฯ พากเพียรแล้ว จะเป็นอย่างนั้น

ทีนี้ ความเข้าใจผิดของคนที่เข้าใจผิดมา แบบฌานฤาษี เข้าใจว่า อากิญจัญญายตนะ คือสภาพที่บอกว่า เอ๊ มีความรับรู้อยู่อย่างนี้ เป็นวิญญาณ มันก็มีธาตุรู้ พอมีวิญญาณรู้พั้บ ในเจตสิก ๓ ก็ตามมา มันก็มีเวทนา สัญญา ความจำได้ ก็มี มันก็ เอ๊ เราก็คือเรา เรามีความหลังของเรา มีอดีต เรามีโน่นมีนี่อะไร อยู่ใน สัญญา มันมีหมด มันก็บอกว่า มันยังไม่ดับหรอกอย่างนี้ มันยัง คนเข้าใจผิดนี่ คือ จะดับแม้แต่อดีต ความจำ หรือมันยังรับรู้อะไรอยู่ ก็ยังเรียกว่า มันยังไม่ดับสนิท เพราะความเข้าใจผิด ก็เลยต้องดับสัญญา อย่างที่ว่านี่ อย่างอธิบายให้ฟังนี่ โอ สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือว่าอะไรนี่ ต้องดับสัญญา ถ้ายังรับรู้อยู่ ยังไม่ได้ ต้องไม่รู้ อะไรเลย นี่ ก็จะดับ นี่เข้าใจผิด นี่อากิญจัญญายตนะ นี่พูดที่เป็นฌาน แบบฤาษีก่อน เขาก็จะดับอย่างนี้ ไม่รับรู้อากาสา แสงสว่างก็ไม่เอา ไม่รับรู้อะไร ถ้ารับรู้แสงสว่างอย่างนี้ มันก็จะมีวิญญาณรู้อยู่ มันธาตุไม่ได้ดับธาตุ ไม่ได้ดับสัญญา ไม่ได้ดับความรู้ ไม่ได้ดับอะไร ความรู้สึก จะต้องดับความรู้สึก ดับหมด ทั้งเวทนา ความรู้สึก กำหนดก็ไม่กำหนดอะไร ไม่รู้อะไร วางหมด ดับๆ เวทนา ดับสัญญานั่นเอง ดับไม่กำหนดรู้ ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ดับนิดหนึ่ง น้อยหนึ่ง ไม่ให้รู้ตัว ก็เข้าสู่สภาพอีกอันหนึ่งเลยทีนี้ นี่แหละ อากิญจัญญายตนะ ที่เขาหมาย อาฬารดาบส อุทกดาบสอะไรเล่นพวกนี้ เสร็จแล้ว ดับไปเถิด คุณจะดับไปให้ อย่างไร คุณก็จะต้องออกมา เพราะความจริง คุณจะต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นความตื่นธรรมดา จะดับยังไง มันก็ต้องพากเพียร ที่จะกดข่มดับๆ ต้องพากเพียร อยู่ตลอดชาติ

เพราะฉะนั้น พวกฤาษี จะนั่งสะกดมาตลอดชาติ ไม่มีแล้ว ไม่มีเสร็จ ทำได้ชำนาญก็ชำนาญ แต่ต้องทำเอา ไม่ทำเอาไม่ได้ ก็ดับดับ แล้วมันก็ต้องออกมา ลำๆเลืองๆ เนวสัญญานาสัญญาดับไป เดี๋ยวก็ออกมา ลำๆเลืองๆ ดับเข้าไปใหม่ ดับก็ลำๆเลือง ดับเข้าไปใหม่ อยู่อย่างนั้นน่า หมุนอยู่ตรงนั้นน่ะ

ทีนี้ ก็เลยเถียงกันซิ ดับว่าสูง เฮ้ย มันสูงไม่ได้ มันต้องออกมา อุทกดาบส อาฬารดาบส ก็เลยต้องเถียงกัน อุทกฯ ก็เอาอันหนึ่ง อาฬารฯ ก็เอาอันหนึ่ง สูงอยู่อันหนึ่ง วันนั้นใครบอก อุทกฯ เอาอะไรนะ อาฬารฯ เอาอะไร เอา อากิญจัญญาฯ อา เอาอา ใช่กลเม็ดนิดหนึ่ง อา เอาอา อาฬาฯ นี่ เอาอากิญ อุทกฯไปเอาเนวสัญญา ก็เถียงกัน ต่างคนต่างเถียงกัน ที่แท้ มันก็วนอยู่ตรงนั่นแหละ มันไปไหนไม่ได้ ในวงที่แคบที่สุดแล้ว อยู่ในภพของจิต อยู่ในวงที่แคบที่สุดแล้ว อยู่ในภพ ในวงที่แคบที่สุดแล้ว ตรงนั้นดับ ประเดี๋ยวมันก็ออก ก็ดับมันใหม่วะ ยังไม่สูงนี่ สูงมันต้องดับ ไอ้นั่นก็บอก พิโธ่เอ๋ย มาดับยังไง มันก็ต้องมารู้ มันก็ลำเลืองๆ อย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น อยู่ลำๆเลืองๆ ไม่ต้องไปดับอะไรมันมาก มันก็อยู่อย่างนั้น ลำๆเลืองๆ คนนี้ก็เลยเอาอันนี้ ลำๆเลืองๆ ลำๆเลืองๆ อยู่อย่างนั้น เนวสัญญานาสัญญา อีกคนหนึ่ง ก็เอาดับให้ได้ น่า ถ้าไม่ดับ ไม่สูง อยู่แค่นั้นเอง นี่ เรียกว่า ภพของฤาษี

ส่วนของพุทธนั้น อากาสาฯ ก็รู้ว่าว่าง ต้องรู้ความว่างจากสังขาร ว่างจากอกุศล ว่างจากทุจริต ว่างจากเหตุ ที่เป็นสมุทัย เสร็จแล้ว วิญญาณ ก็บริสุทธิ์ วิญญาณก็สะอาด วิญญาณก็คือธาตุรู้ที่มีเจตสิก ๓ เป็นเจตสิกใหญ่ เจตสิกหลัก ต้องประมาณเต็มที่

อากิญฯ ก็คือ สิ่งที่เราต้องการตรวจสอบ ซ้อนเชิงลงไปอีกนิดหนึ่ง น้อยหนึ่งไม่ให้มี ไม่ให้จร ไม่ให้หลง ไม่ให้เหลือ ทำให้ไม่มีอย่างต้องรู้ ต้องมีญาณทัสสนวิเศษ รู้สัญญาเวทยิตตังนิโรธัง ย่อมเกิดการเคล้าเคลีย อารมณ์ ทำการตรวจสอบ ค้นให้ซอกแล้วซอกอีก ซอนแล้วซอนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในสภาวะเป็นๆ อย่างพุทธนี่ ลืมตา ไม่ต้องหลับตา ลืมตา หลับตาก็ช่าง หลับตาก็ด้วย ตลอดเวลานี่ มีกระทบสัมผัสทางทวารทั้ง ๖ นี่ รู้หมดเลย เกิดเมื่อไหร่ มีฌานที่มีมุทุภูตธาตุ มุทุภูเต กมฺมนิเย €ิเต อาเนฺชปฺปตฺเต อย่างแข็งแรงมั่นคง จะทีเผลอทีไม่เผลอ ตั้งใจไม่ตั้งใจ เมื่อนั่นเมื่อนี่อะไร จิตมุทุภูตธาตุ จะแววไว เร็ว ดูวินิจฉัยตรวจสอบ แล้วก็ปรับ แล้วก็ดัด ล้าง ก็เอาออกได้ อย่างลืมตาโพลงๆ จกฺขุมา ปรินิพฺพุโพติ เป็นความดับสนิท สะอาด บริสุทธิ์อย่างจริงๆเลย

ถาม. ใช่ คือ ที่ถามมาว่า ความจริง คนติดอากาสานัญจายตนะมากที่สุด ใช่ไหม ใช่ไหม
ตอบ. ติดอากาสาฯ มากที่สุด เพราะมันว่าง มันโล่ง แต่เสร็จแล้ว พอมารู้สึกเป็นวิญญาณฯ มันจะรู้สึกตัว แล้วมันก็จะมีอดีต มีสัญญา มีอะไรต่างๆ นานามั้ง เป็นทุกข มันไม่ลืมทุกข์ มันไม่รู้หรอก มันไม่หมดหรอกทุกข์ มันก็เลย ถ้ามันรับรู้อยู่ บนโลกมันว่าง มันก็จะมาอากาสา ก็จะมาหาวิญญาณ วิญญาณัญจาฯ และมัน จะต้องไปดับให้หมด เขาจึงไปเอาที่อากิญจัญญาฯ กับเนวสัญญาฯ ว่ามันพ้นทุกข์ ถ้ามารับรู้อยู่ มันไม่ทุกข์ แต่ในรสว่าง รสอร่อยนั่น มันอากาสาฯ ดับนั่นมันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แต่มันไม่มีทุกข์ มันลืมทุกข์ไปๆ เหมือนว่า มันมีอะไรอยู่ในรูป อยู่ในอะไรนี่ รูปเป็นอะไรนี่ ถ้าแสงสว่างส่องมัน ก็เห็นรูป มันมีอยู่นั่นแหละ มันมีอดีต มีโน่น มีนี่ มีอะไร มีปัจจุบัน มีอะไรอยู่อย่างนั้น โดยเฉพาะมันอดีต มันเคยทุกข์อยู่ ที่เคยผ่าน และมันก็ยังมีโน่น มีนี่มาหลอน เพราะเรายังไม่ได้มาระงับกิเลส กิเลสมันมีฤทธิ์

เพราะฉะนั้น อย่ากระนั้นเลย เอาสีดำมาทาเลยดีกว่า สีดำทารูปหมดเลย มันก็ไม่เห็นรูปอะไรเลย ก็เหมือนกับอดีต ดับอะไรต่ออะไรไปหมด วิญญาณมันก็คือ ยังมีธาตุสัญญา ยังมีธาตุอะไรอยู่ อย่างนี้ เป็นต้น หรือแม้สังขาร ก็ยังระงับไม่ได้เลย พอรู้ เดี๋ยวก็มีเจตสิกทำงาน นี่แหละปรุงเป็นทุกข์ไป ก็เพราะว่า ไม่ได้ทำ เต็มที่ ไม่ได้ทำอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้อยู่เหนือสังขาร

พระพุทธเจ้าอยู่เหนือสังขาร เราจะปรุง เรามีฤทธิ์มีสิทธิ์ที่จะปรุง สังขารนี่ ไม่ใช่เพื่อตัว สังขารไม่ได้เป็นธาตุ จะปรุง โดยเฉพาะมันหมดตัว หมดตน ไม่ใช่เพื่อตัวอะไรจริงๆ และก็สังขารเพื่อผู้อื่น ก็มีคุณค่าประโยชน์อย่างนั้นจริงๆ

สุดท้ายแล้ว เมื่อเราทำอย่างนี้จริงๆๆ มาจนกระทั่ง เนวสัญญานาสัญญา คือความไม่รู้ไม่ใช่ ต้องให้รู้ อย่างเป็นญาณทัสสนวิเศษ รู้รอบ รู้ทะลุ รู้แจ้งแทง ทะลุรอบ สัญญาเวทยิตนิโรธ จึงดับอวิชชาสนิท สัญญากำหนดรู้อวิชชา แล้วก็ไม่เหลืออวิชชาเลย อวิชชาสังโยชน์ก็ดับ อวิชชาสวะก็หมดเกลี้ยงจริงๆ เป็นผู้ถึงซึ่งวิชชาที่สมบูรณ์ เรียกว่า สัญญาเวทยิต นิโรธอวิชชา นิโรธอาสวะ ไม่ใช่นิโรธสัญญา
ไม่ใช่นิโรธ คือดับเอาสัญญา ไม่ใช่ไปดับเอาเวทนา ไม่ใช่

พระอรหันต์ที่หมดกิเลส นิโรธสมบูรณ์ ที่เป็นอุปาทิเสสนิพพาน ถึงสภาพภพนิพพาน ภูมินิพพานแล้วสมบูรณ์ เป็นพระอรหันต์จริงๆแล้ว ลืมตาอยู่ทุกทวาร สัญญามี เวทนามี มีสัญญา เวทนา สังขาร มีขันธ์ ๕ รู้ทุกข์ รู้สุข ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ นิพัทธปวดขี้ ปวดเยี่ยว เป็นทุกข์ แหม คนนี่ ไม่ออกสักทีหนึ่ง ส้วมมันน้อย คนมันเยอะ รอ อื้อฮือ จุ๊ มันจะไหลแล้วนะ เอาเถอะ พระอรหันต์ไม่ทุกข์ก็ให้มันรู้กันไปเถอะ ไม่ไหวแล้ว นิพัทธทุกข์ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มันยังมีขันธ์ ๕ สัญญารู้ กำหนดรู้ เวทนารู้สึกทุกข์ แต่ ก็ไม่อึดอัดขัดเคือง ไม่สังขาร เอาตัวตน เอาเรื่องราวอะไรมาอึดอัดขัดเคืองตัวเอง มากมายนักหรอก ก็รู้กับความเป็นจริง ตามที่มันมีสภาพ อย่างนี้ เป็นต้น

ทุกข์ เพราะว่า จะต้องมานั่งสอนพวกคุณนี่ อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์เพราะว่าแสวงหา อาตมาก็แสวงหา โพธิญาณ แสวงหาภพภูมิที่สูง ก็มาทำอันนี้ ให้เกิดความช่ำชอง เป็นครู จะได้เป็นครูใหญ่ ในอนาคต มันก็ตั้งภูมิ ตั้งภพของเรา เหมือนกัน ไม่ได้หลงอะไรเลย ใครจะบอกว่า ตั้งภูมิ ตั้งภพที่จะเป็น พระพุทธเจ้า ใช่ไหม ใช่ ทำไม ใช่ ภูมิภพเป็นพระพุทธเจ้า คืออะไร เรียนรู้ความจริง เราไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตน เสียสละ ก็อยากเป็นพระพุทธเจ้า ต้องเสียสละ จะเหนื่อย หรือ ไม่เหนื่อย อย่ามาพูด สมน้ำหน้า อยากเป็นพระพุทธเจ้านี่

ถ้าผู้นั้น มีสิทธิ์ต่อภพต่อภูมิ ก็มีสิทธิ์ทำได้จริง ใครจะมาว่าไม่จริง ก็ช่างเขาปะไร ไม่จริงหรอก มันขี้โม้ มันยังอยากอยู่ แต่อยาก ต่างอยากนะ อยากเพื่อผู้อื่น มันไม่ได้อยากเพื่อตัวเราเอง ถ้าทำตัวเราเอง กิเลสของเรา เท่านั้นๆ เราเรียนรู้ให้จบ ครบก็แล้วกัน

ถาม อรูปฌานของพุทธ เป็นผล จะสังเกตได้อย่างไรว่า ได้อรูปฌาน ถ้าปฏิบัติธรรมแบบมรรคองค์ ๘ จะมีอาการอย่างไร ช่วงไหน
ตอบ ก็มีสภาพที่จริง ถ้าขืนตอบปัญหาอันนี้ ป่านนี้ไปไหนไม่รอด และไม่ได้พานั่งอีกวันนี้ ถ้าจะตอบปัญหานี่ ไปไม่รอด เอาๆ ใส่ไว้ในนี้ ติดตามฟังอย่ารีบ กลับน่ะ กลับไม่ได้รู้ เอาไว้ตอบ เมื่อตอนตอบปัญหา มันละเอียดพวกนี้ ยิ่งอธิบายน้อย ก็ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องอธิบายเยอะ เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งเอาอันนี้ก่อน มันไม่ต่อ มาขัดจังหวะอยู่นี่ มันไม่ต่อ

ถ้าผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว ไม่ต้องต่อ จะมีภพมีภูมิที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็มีภพมีภูมิที่เรารู้ ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า มีอะไรล่ะ ก็เป็นไป ไม่ใช่เพื่อตน ยังจะมาเพื่อตนอีก ก็เมื่อไร มันจะหมดตนสักทีล่ะ ยังมาเพื่อตนๆ อยู่นั่นแหละ และ มันจริงอย่างไร ที่ว่า เราทำเพื่อเขา ตัวเราเองเป็นอาหารปริเยฏฐิทุกข์ๆ แสวงหาภพ หาภูมิสูงขึ้น ภพภูมิของพระอริยะ พระโพธิสัตว์ ก็ว่ากันไป แต่ภพภูมิที่เราแสวงหาของตนเอง แค่กาม แค่มานะ อัตตา ก็ยังไม่รู้ และก็ทำยังไม่ได้ ยังจะไปภพภูมิเพื่อเขาๆ มันขี้เก๊ มันจะไปฆ่าอยู่อย่างไร คือ แหม อาตมาพูดแล้ว กับพวกนี้ ไม่ได้เรียนก็ไม่ได้เรียน ไม่รู้จะทำยังไง เขาเรียนยังไม่ถึงสภาวะ เขาก็ต้องเถียงๆ จริงๆ ถ้าคนที่ถึงภูมิๆนั้นถึงจริงๆ เขาไม่เถียงหรอก ก็เพราะมันเข้าใจ ขนาดพวกคุณ ยังไม่ถึงขนาดไหน มีภพมีภูมิที่จะรองรับจักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่ นี่ ก็ยังพอได้อยู่ ยังพอลำลอง ยังพอรู้ว่า โอ มันสอดคล้องกัน แต่มันใหญ่ มันโตต่างกันเท่านั้นเอง

แต่ทางโน้น มันไม่มีอั๊ยพวกนี้ไปเทียบ เลยรู้อยู่ในโลกเดียว อย่างเดียว เพราะฉะนั้น เขาคิดไม่ออกๆ เป็นยังไง เขาคิดไม่ออกหรอก ซึ่งเราก็เข้าใจ เขาเข้าใจไม่ได้

เรื่องภพ ภูมิ ของภวังค์ เป็นฤาษี มันก็จะเป็นอย่างที่อาตมาว่า ซึ่งพวกคุณก็ฟังแล้ว ก็ยังทำไม่ถึง มันว่าง มันโล่ง มันก็รู้สึกตัว และก็ต้องเพียร แล้วก็อยู่ในนั้น ถ้าเพียรอยู่ในนั้นได้ ก็อยู่ในนั่นเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น จะมาดับ ถ้าคุณหลงอากาสา ก็หลงสภาพที่มีแสงสว่าง จนกว่าคุณจะมาคิดตามที่เขาพูดว่า ยังมีความรู้สึก ยังมีแสงสว่าง ยังมีเวทนา สัญญาอะไรอยู่ ยังไม่สูง สูงต้องดับหมดเลย อากิญจัญญายตนะ นั่นเป็นเรื่องของ ฌานฤาษี เขาก็จะมานั่งหัดดับ ว่างโล่ง ก็ไม่เอา ก็จะดับ ทำให้นิวรณ์ๆไม่มีได้แล้ว ก็ผ่านไป แต่ยังมาเล่น อยู่กับอรูปฌาน จะต้องเอาสว่าง เอาดับเลย ไม่รู้สึกเลย นี่ดับเลยเถิดไป ไม่รู้เถิดขนาดไหน

ของพระพุทธเจ้านั่น อยู่แค่ขั้นเอานิวรณ์หมดเท่านั้น เอานิวรณ์หมดเท่านั้น เพราะฉะนั้น จะมานั่งดับสัญญา ดับเวทนาอีกนั้น ออกนอกเขตเทศบาลไปแล้ว ไม่ใช่เทศบาลพุทธแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านถึงไม่วุ่นวายอะไรกัน อรูปฌาน ถ้าจะเอามามีความหมายอธิบายก็คือ อย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว

อากาสา ก็คือ ว่างจากกิเลส
วิญญาณัญจา ก็คือ ธาตุวิญญาณที่บริสุทธิ์
อากิญจัญญา ก็คือ ตรวจสอบให้ละเอียดลออ
เนวสัญญา ก็คือ ธาตุรู้อีกทีหนึ่ง
อากิญจัญญา ก็คือ จิตจริงๆ จะต้องไม่ให้มีเศษเหลือให้ธุลีละอองอะไร ทั้งนั้น
เนวสัญญานาสัญญา ก็คือ ไม่ใช่รู้ก็ไม่ใช่ รู้ก็ไม่ใช่ ต้องให้รู้เป็นตัวสมบูรณ์
เป็นตัวญาณทัสสนวิเศษ อันยิ่งใหญ่ พ้นความไม่รู้สมบูรณ์จริงๆ ถ้าจะเอาความหมายนี้ มาอธิบาย ก็อธิบายอย่างนี้จริงๆ และทำให้ได้ ตามนี้

เพราะฉะนั้น รูปฌาน ก็คือ พ้นนิวรณ์ ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงอธิบายอยู่แค่ฌาน ๔ เป็นตัวปฏิบัติ ตัวนี้เป็นตัวเสริม จริงๆเอาก็เอาเข้าไปย้อนหาฌาน ๔ ก็ได้เหมือนกัน พยายามทำรายละเอียดของมัน มีวิตกวิจาร มี ตกฺโก วิตกฺโก สงฺกปฺโป อปฺปนา พฺยปฺปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสงฺขาโร ก็คือ สังกัปปะ อย่าให้มีมิจฉา จนกระทั่ง แม้แต่เบียดเบียนตน เบียดเบียนท่าน ที่เป็นมิจฉาสังกัปปะ ให้ละเอียดจริงๆเลย วาจาก็ให้ละเอียดลงไป เป็นคำพูดแล้วก็ตาม กรรม การงานก็ตาม อย่าให้ไปเบียดเบียน อะไรหมด เบียดเบียนตน เบียดเบียนท่าน เป็นการฆ่า เป็นการมีโทสะ โลภะ ปาณา ก็โทสะ อทินนา ก็โลภะ กาเมสุมิจฉา ก็ ราคะ ไม่ให้มีอย่างเกลี้ยงจริงๆได้

เพราะฉะนั้น ทำการงานอยู่ มีกัมมัญญาอยู่ มีการงานอยู่ในโลก มีบทบาท มีคุณค่า มีประโยชน์ เป็นตัวพิสูจน์ว่า เราทำการงานสร้างสรร มีชีวิตอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจะมีลาภ มันจะมียศ มันจะมีสรรเสริญ มันจะมีอะไรต่ออะไรมาอย่างไร รู้เท่าทันอยู่ อยู่เหนือโลกียะ อยู่เหนือจิตนี่แหละ มันจะไปสัมพันธ์ จะไปเที่ยวเกาะกับโลกธรรม ไปเกี่ยวเกาะเอากับลาภ เกี่ยวเกาะ เอากับยศ มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ซ่อนเชิง มันหลอกตัวเองบ้าง กิเลสนี่ กิเลสมันเป็นเจ้าเรือน ตัวเรา และมันก็ทำให้เรา หลอกตัวเอง ก็เรายังอวิชชา จนตัวเรารู้ตัวเอง แล้วก็ทำให้บริสุทธิ์ ให้ซื่อตรงบริสุทธิ์ๆๆ ซื่อตรง จนกระทั่ง เราไม่ได้ทำอะไร เป็นเชิงชั้น เป็นตัวหลอกอะไรใครเลย มีแต่ความซื่อตรง มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำเพื่อลาภ แต่ลาภก็ต้องมี ไม่ได้ทำเพื่อยศ ยศก็มี อาตมานี่ เป็นประธานชาวอโศกเชียวนะ ยศใหญ่ยิ่งนะ และเราหลงผิดว่าเราเป็น หลงว่าเราเองนี่ แหม ว่า ยิ่งใหญ่ ไอ้โน่น ไอ้นี่ มาทำเบ่ง ทำอะไรต่ออะไร จะยังงั้น ยังงี้หรือไม่

อาการที่มันมีอยู่ในจิตจริง ก็ต้องอ่านให้ละเอียดลออ ยิ่งเล็ก ยิ่งน้อย ยิ่งเหลือเล็กเหลือน้อย ธุลีละออง ใครไม่รู้กับเราง่ายหรอก แต่เราต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง เราต้องรู้ความจริงของตนเอง แล้วล้างละเลิก มันเป็นหน้าที่ของเรา ที่เรารู้แล้ว เราจะต้องมีความสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงของเรา ไม่ใช่คนอื่น

ความจริง คือความจริง ถ้าเราไปหลบ ไปเลี่ยง ไปหลอกไปอยู่ มันหลอกก็คือหลอก ความจริง ยังไม่จริง และยังไปแถม ไปหลอกคนอื่นอีก และมันก็บาป ๒ บาปแล้ว ความจริงเราก็ยังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ และแถม ไปหลอกคนอื่น ว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์อีก ชั่วหนักเข้าไปอีก และคุณจะมาชั่ว หรือคุณจะมาดีล่ะ นั่นน่ะ ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เพราะสุดท้าย มันก็คือ ตัวเรานั่นแหละ จะบริสุทธิ์ ก็ตัวเราเอง นี่ ยกตัวอย่างให้ฟัง เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรื่องอัสสาทะใดๆ โลกียะทั้งหมด เราก็ทำไป จริงๆของเรา รับผิดชอบของเราให้ดี เราไม่ต้องไปอ้าขา ผวาปีกอะไร ให้มันมาก มันมาย แต่ในสภาพที่เรา จะเกื้อกูลกัน ตามควรตามอะไร มันก็เป็นไปตามธรรม มันก็เกิดหมู่กลุ่ม เกิดคณะ เกิดมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งสิ้นทั้งหมดของศาสนา ถ้าบอกว่า ศาสนาพุทธ ก็ทั้งสิ้นทั้งหมดของศาสนาพุทธ นี่ก็มีมิตรดี มีมิตรดัดมั่ง มิตรดีบางมิตร ก็ดัดๆเรามั่ง ก็ทำไป มันมีมิตรดีจริงๆ ขึ้นมายังงี้ คนดี ก็เป็นมิตรดี ก็ปรารถนาดีต่อกัน กิเลสมันยังมีซ่อน มีอะไรอยู่ มันก็มีไป มันก็ต้องรู้ตัวเองให้ได้ ก็พยายาม ลดละจริงๆ องค์ประกอบของมิตรดี ที่อยู่ร่วมกัน ที่มีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา มีสิ่งที่มันตรงกัน ไปในทิศทาง เดียวกัน เป็นครรลองเดียวกัน แต่มันไม่เท่ากันเป๊ะหมดเลยหรอก เสมอกันหมดไม่มี โสดาเสมอโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ แม้คำว่าเสมอ มันก็ยังมีสิ่งที่ไม่เสมอ แล้ว อย่างไปพูดอรหันต์ขี้เป้ พูดแต่ว่า อาตมาจะเทียบทีไร ก็บอกอรหันต์ขี้เป้ กับอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ไม่ได้เหมือนกันเลย เผื่อที่จะให้กระจ่างชัด อย่าไปว่าเขา เขาจะหาว่า ลบหลู่พระอรหันต์ เดี๋ยวใครได้ยิน แล้วผมจะลบนะนี่ พ่อไปพูดทีไร ก็ไปว่าอรหันต์ขี้เป้ พระอรหันต์ขี้หมาอะไร ยังงี้ เป็นต้น ขี้กะโล้โท้อะไรอย่างนี้ เป็นต้น อย่าไปดูถูกพระอรหันต์เขานา เขาฟังเขาสแลง จะบอกว่า พระอรหันต์ ที่ท่านฐานะไม่สูงจริง แต่ลีลา โวหาร ศิลปะที่พูดนี่ พวกคุณฟังก็เข้าใจ ก็เพราะไม่ถือ แต่เขาถืออรหันต์ ทั้งๆที่ตัวไม่ได้เป็นอรหันต์สักหน่อย บอกอรหันต์ขี้เป้เท่านั้นโกรธ อย่างกับตัวเอง เป็นอรหันต์นั่นแหละ ยิ่งไม่ใช่อรหันต์ ขนาดพวกคุณไม่ใช่อรหันต์ คุณมีภูมิธรรมดา เป็นภูมิสูงขึ้นมา เป็นอริยะ เป็นอะไรขึ้นมาแล้ว มันเข้าใจ มันก็ไม่ติด ไม่ยึดอะไร เพราะฉะนั้น ติดยึด ถึงขนาดภาษาบัญญัติ โถ ใครไปแตะบัญญัติว่า อรหันต์ขี้เป้ไม่ได้

เพราะฉะนั้น อรหันต์ก็ไม่เท่ากัน แม้อรหันต์ที่บอกอรหันต์ อยู่ในภูมิไล่เลียงกัน มันก็ไม่มีอะไรเท่ากัน ไม่มีอะไร เท่ากันบอกแล้ว ในมหาจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรเท่ากัน มีสิ่งที่เท่ากันอย่างเดียว คือ ความไม่มีกิเลส อรหันต์ระดับ แหม จะว่าอะไรอีกล่ะ กับอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เท่ากันตรงที่ไม่มีกิเลสเหมือนกัน เท่านั้นแหละ แต่คุณภาพของอรหันต์ ต่างกันมาก มีประสิทธิภาพ มีอภิญญา มีปฏิสัมภิทาญาณ อย่างกับพระพุทธเจ้า เรียกเวสารัชญาณ พลญาณ ตถาคตญาณ อะไรของพระพุทธเจ้า เหนือชั้นกว่า พระอรหันต์ธรรมดาเยอะ มันก็ไม่เท่ากันอยู่ในส่วนที่ไม่เท่ากัน ส่วนที่ไม่เท่ากัน ก็ต้องรู้อะไร ส่วนที่ไม่เท่ากัน และ อะไรเท่ากัน

เพราะฉะนั้น คำว่าเสมอสมาน ศีลเท่ากัน ๕ ข้อเท่ากัน แต่ก็ไม่เท่ากัน โดยกว้างๆ โดยใหญ่ๆ รวมๆ เท่ากัน แต่โดยละเอียด ทำได้แล้วหรือยัง ยัง สมาทานอยู่เท่านั้น ยังไม่เป็นผลสำเร็จ หรือแม้สำเร็จแล้ว ก็ยังมีหยาบ กลาง ละเอียด เท่ากันหรือเปล่า ถึงเท่ากันแล้ว ก็ยังเป็นคนที่มีชั่วปัจจุบันนี้ คุณมีอุตสาหวิริยะ อธิศีลกว่านี้ ไม่เท่ากันแล้ว วินาฑีนี้ ขณะนี้ คนนี้ อธิกว่าคนนี้ๆ คุณเอาอะไรไปวัด คนนี้ตั้งใจกว่าคนนี้ ตั้งจิตอธิกว่าคนนี้ คุณเอาอะไรไปวัด ไปเสมอกันตรงไหน เท่ากันเป๊ะ ตรงไหน เมื่อไหร่ กี่วินาฑี กี่เศษหนึ่งส่วนร้อยของวินาฑี ไม่ใช่เรื่องที่จะง่ายๆ เห็นไหม มันไม่ใช่เรื่องที่มันจะเป๊ะๆ แต่เรามีครรลอง เรามีโครงสร้าง มีระบบ มีแบบ มีอะไรต่ออะไร ที่จะเทียบ จะวัด ที่จะเป็นไป ในทางแนวเดียวกัน

นี่ ชาวอโศก ก็มีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา เสมอไป ทำไปจริงๆ ให้มันขึ้นไปเรื่อยๆ จะไปนั่งติดยึด เป็นมานะ โสดาเสมอโสดา แล้วไปติดแป้น คัดออกจากบัญชีนะ เดี๋ยวให้ไปอยู่กับบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่นะ รู้หรือเปล่า บริษัทบุญรอด เรเวอรี่ ทำอะไรขาย ทำโซดา ทำโซดา ตราสิงห์ขาย บริษัทอื่นก็มี แต่บริษัทนี่ เขาดัง เขาใหญ่ ก็เลยเอาบริษัทนี่โฆษณาให้บุญรอดหน่อย ทำโซดา เดี๋ยวให้ไปอยู่กับบริษัทโซดาโน่น โสดาก็ติดแป้นอยู่ โสดาไปอยู่กะโซดาก็แล้วกัน

เอาละ อาตมาอธิบายอะไรต่ออะไร พยายามอธิบาย ไม่ให้เร็วนัก แล้วก็ไม่ให้มันหนักนัก มีบันเทิง มีโน่น มีนี่ มีอุทาหรณ์ เปรียบเทียบอะไรต่ออะไร มาให้ฟัง

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่พาซื่อเป็นรโหคตะ เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่มันลับ ยากที่จะรู้ และก็ไม่ใช่ ภาษาพาซื่อ ไม่ใช่เรื่องตื้น บุคคลาธิษฐาน หรือธรรมาธิษฐาน ก็มีนัยที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ต่างกันมาก ภาษาอาตมา พยายามที่จะเอาภาษา ที่จะมาชี้ มายืนยันให้ฟังให้ชัดขึ้นมา อย่างโน้น อย่างนี้ แม้แต่อาตมา ไปแปลอะไร ไปเพิ่มเติมขึ้นไปอีก ในวันนี้นี่ แปลวาจาว่า เรื่องราว เขาก็ต้องไปนั่งคิด เอ๊ ทำไมไปแปลว่า เรื่องราว วาจานี่เป็นเรื่องราว เขาแปลแต่คำพูด ถ้อยคำอะไร อาตมาขอยืนยัน เป็นเรื่องราว เป็นนัย และก็อัสสาสะ ปัสสาสะ อาตมาพยายามอธิบาย ไม่ใช่ไปดับอัสสาสะปัสสาสะจริงๆหรอก จิตของธาตุ ของภพของภูมิ มันเป็นอย่างที่กล่าวไปแล้ว มันไม่มี ตอนนี้ไม่เกี่ยว มันไม่มี มันไม่เกี่ยว แล้วมันก็จะต้อง เกี่ยวกัน ไอ้นั่นให้เข้มข้นเข้าไป เพราะตอนนั้น จะต้องละเอียดลอออะไรต่างๆ พวกนี้

จตุตถฌาน เป็นฌานที่จะต้องละเอียดอยู่ในภพใน เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ที่ในจริงๆ

เพราะฉะนั้น ในมันจะมาเอี่ยวกาย องค์ประชุมนอกไม่ได้ กายคือ องค์ประชุม มันจะมาเกี่ยวกับความประชุม ที่หยาบไม่ได้ มันจะต้องอยู่ในความประชุมที่ละเอียดในละเอียด ฟังภาษาออกชัดไหม เพราะฉะนั้น จตุตถฌาน นั่น มี ฌานที่จะต้องอยู่ในภพละเอียดอย่างนั้น จตุตถฌาน และเป็นภพไม่เกี่ยวเนื่องกับ ความประชุมที่หยาบอย่างนั้น อัสสาสะ ปัสสาสะ คือ กาย ต้องอ่านพระไตรปิฎก หลายๆหมวด หลายสูตร ถึงจะขยายความพวกนี้ ยืนยันต่างๆ มันถึงจะได้ ถ้าเข้าใจความหมายอันนี้ อาตมาก็ว่า ไม่ต้องไปติด ภาษามากนัก แล้วทำก็แล้วกัน พิสูจน์ก็แล้วกัน พิสูจน์สภาพอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณก็จะได้รู้สภาพนั้น จะเกิดสภาพนั้น จะมีอันนั้น แล้วเอาอธิบาย

อาตมาเอามาอธิบาย นี่ไม่ได้อ่านตำรา ถ้าตำราอันไหนผิด อันไหนถูก อาตมาก็จะรู้อีก ดีที่ว่าอาตมา ไม่ขยันอ่านตำรา ถ้าขยันอ่านตำรา มันจะยาวกว่านี้ เพราะจะเอาของเขามาวิเคราะห์มากกว่านี้อีก จะเอาของเขามาวิเคราะห์ เป็นตัวที่เปรียบเทียบ ว่ามันไม่ดี มันไม่ถูก จะเอามาวิเคราะห์มากกว่านี้ นี่ดี แต่ว่า เอาไอ้ที่เรารู้ เอาไอ้ที่เราว่า มันถูกมันต้องมาวิเคราะห์ แง่เดียวเชิงเดียว มันก็เลยสั้นหน่อย ไม่งั้นจะยาวกว่านี้ แต่ถ้ายาวก็ดีนะ ถ้าอ่านมากๆ มีสิ่งนั่นมาเปรียบเทียบถูกไม่ถูก มากๆ และคุณก็ไปเคยรู้ ไปเคยอ่าน ไปเคยศึกษาโน่นมาด้วย และ หยิบเอาอันโน้น ที่เคยมาศึกษา มาเปรียบเทียบ คุณก็จะเห็นชัด ว่าอาตมา แยกออก ให้ได้ชัด อะไรต่อะไร ก็ยิ่งจะเข้าใจดีเหมือนกัน แต่มันก็นาน มันจะยาว อาตมาก็คงอายุ ๒๐๐ ปี เพราะมันต้องใช้เวลาอธิบายมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น มันก็สมส่วนนะ อาตมาก็เลยไม่ต้องขยันอ่าน มากนัก ไม่ต้องไปขยันรู้ของคนอื่นมากนัก ขนาดไม่รู้นี่ เขายังว่าปากจัดขนาดนี้ ถ้ารู้ไปรู้มามากกว่านี้แล้ว โอ้โฮ เขาจะมิว่า ปากอะไร กระจกซ่อนกระจก เงาซ้อนเงา

เอาละ วันนี้ ก็ได้ขยายความอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ที่จริง มีสูตรอื่นอีก นี่จะต้องอธิบายซ่อน เพื่อไข อย่างน้อย มีอีกหนึ่งสูตร ที่จะต้องขยายคำนี้ ที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ว่า ที่จริง มันดับสังขาร ไม่ได้ดับอะไรอื่น เวทนาก็ต้องรู้เวทนาที่ซ้อน มันมีอีกสูตรอื่นอีก ที่ขยายนี่พอสมควร อีกอย่างน้อยสักสูตรหนึ่ง ไม่งั้นวันนี้ที่ ๔ เข้าไปแล้ว พรุ่งนี้ที่ ๕-๖ โอ เอาเข้าจริง ก็ได้นั่งกัน ไม่ได้กี่ทีหรอกน้อ มันรู้สึกอธิบายไปแล้ว มันก็ไม่ค่อยจะรวบรัด จะเร็วๆ เกินไป ก็จะดูไม่ดี เอาไปเอามา ก็เวลาก็นี้แหละ ไม่เป็นไรหรอก อย่าพึ่งตาย จากกัน เร็วนัก ว่ากันไป ฟังกันไปเรื่อยๆ ก่อน วันนี้ พอแค่นี้ก่อน

สาธุ


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ
ตรวจทาน ๑. โดย อภิญญา เทพไพฑูรย์ ๑๘ พ.ค.๒๕๓๓
พิมพ์โดย สม. นัยนา เถระวงศ์ ๑๙ พ.ค.๒๕๓๓
ตรวจทาน ๒. โดย สม. ปราณี ๒๓ พ.ค.๒๕๓๓
FILE:0675B.TAP