กอบกู้พุทธด้วยชีวิต
แสดงโดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๔
เมื่อวันมาฆบูชาที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก


เจริญธรรม พวกเราชาวอโศกทุกๆคน

วันมาฆบูชา ๒๕๓๓ ในวันนี้ อันตรงกับวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ เราก็เวียนบรรจบครบรอบ ที่เรามาได้จัด ปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธกัน เป็นครั้งที่ ๑๔ เราได้ถือเอาวันมาฆบูชาเป็นหลัก ในการจัดงานปลุกเสกฯ นี่ กันมาเรื่อยมาตลอด จนกระทั่งบัดนี้ แล้วก็คงจะตลอดไป ที่เราจะได้ดำเนินการจารีตประเพณีอันนี้อยู่ เพราะฉะนั้น การปลุกเสกฯ จึงมีวันพิเศษ คือวันมาฆบูชาอย่างนี้ ที่จะเป็นรายการพิเศษ อันใดอันหนึ่ง ขึ้นมาทุกครั้ง ของงานปลุกเสกฯ ถ้าอาตมาอยู่ ก็มักจะเป็นอาตมา เป็นผู้ที่จะต้องเทศน์กัณฑ์พิเศษ กันเสียส่วนใหญ่ ถ้าอาตมาไม่อยู่ มีบางครั้งบางคราว งานปลุกเสกที่อาตมาไม่ได้มา พวกเราก็จัดรายการพิเศษไป อย่างที่เราได้จัดกันเป็นพิเศษ ก็เคยทำมาแล้ว

องค์ประกอบของกาลเวลา องค์ประกอบของสิ่งที่ชุมนุม อะไรต่างๆนานา ที่เป็นองค์ประกอบที่มากอย่าง มากเรื่องนี่ ประกอบกันเข้าแล้ว มันทำให้เกิดองค์ประกอบ ที่ทำให้มีฤทธิ์ หรือมีแรง หรือมีสภาพที่ว่า เกิดคุณค่าอะไรมากๆ อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นได้เสมอ อย่างที่เราเคยประสบมา ตามที่เคยประสบมา

ขึ้นถึงปี ๓๓ ปีนี้ ชาวอโศกเราก็คงจะได้รู้ ได้รับซับทราบกันมาตลอด ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น มีเรื่องราว มีสภาพโน่นนี่ อะไรต่างๆนานาสารพัดเกิดขึ้น แต่ถ้าเผื่อว่ามองกันให้ลึกซึ้งแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของเรื่องราว ที่บางคนมองอย่างตื้นๆเผินๆ คือว่าเป็นเรื่องไม่ค่อยดี เป็นเรื่องของอุปสรรค ที่ดูแล้วก็เหมือนมันเป็นอกุศล หรือว่าเป็นภัย เป็นโทษ เป็นบาป เป็นเรื่องทุกข์ร้อนอะไรอย่างนี้ต่างๆ ดูเผินๆ ก็ใช่ ดูด้วยหมากรุก ชั้นเดียวง่ายๆ ใช่ แต่อาตมาก็ได้ยืนยันมาเสมอว่าเป็นเรื่องปกติ และก็เคยพูด ด้วยซ้ำไปว่า เป็นเรื่องดี แต่เรายังไม่อยากจะพูดไปว่า เป็นเรื่องดีมากเกินไปนัก เพราะว่า ถ้าจะพูดว่าเป็นเรื่องดีมากเกินไป บ่อยเกินไป ได้ยินกระจายไปถึงหูของผู้ที่เขาจะพยายามจัดการไป ในความมุ่งหมายที่เขาจะจัดการ มันเหมือนกับยั่วยวน มันก็ไม่ค่อยดี มันกลายเป็นสภาพที่จะทำให้เกิดความโกรธแค้น หรือว่าสภาพที่มันเป็นผลกระทบที่แรงขึ้นมาเปล่าๆ แต่ที่อาตมาใช้คำพูดว่า เป็นเรื่องดีนั้น มีความรู้สึกจริง แล้วก็มีความหมายที่เคยอธิบายให้ฟังมาบ้างแล้ว วันนี้ก็จะได้ขยายความ จะได้อธิบายถึงความเป็นไป ที่ตามที่ได้บอกไว้แล้วว่า มันเป็นเรื่องดีนั้น ให้ฟังเพิ่มเติมขึ้นอีกไปบ้าง จะใช้คำว่าเป็นเรื่องปกตินั้น ก็เป็นความจริงอีกเหมือนกัน คำว่าความปกตินั้น ก็คือเป็นธรรมดาเอง ที่จะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ที่คิดไม่ออก หรือผู้ที่เข้าใจยังไม่ถึง ก็อาจจะเข้าใจยาก แต่ผู้ที่คิดออก แล้วก็เป็นผู้ที่คิดตามเหตุตามผล ก็ตามแต่ ที่บอกว่าเป็นเรื่องปกตินั้น ผู้ที่มีปัญญา มีความเข้าใจลึกซึ้งเพียงพอที่จะเข้าใจได้ ก็จะเข้าใจได้จริงๆ จะเห็นความจริง จริงๆว่า มันเป็นเรื่องปกติ อาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดเก๋ๆโก้ๆอะไรไปไม่เข้าเรื่อง ไม่ใช่ เป็นเรื่องปกติ สภาพความเป็นจริงของสังคม สภาพความเป็นจริงของมนุษย์ สภาพความเป็นจริงของสังขารธรรม ที่เป็นโลกียะ มันจัดจ้าน ความเลว ความผิดพลาด ความไม่ดีไม่งามของมนุษย์ ของสังคม หรือความบาปมันมากขึ้น มิจฉาทิฐิมากขึ้นในสังคม เมื่อมีสัมมาทิฐิ มีความดีงาม ความถูกต้องเกิดขึ้น มันก็ต้องขัดแย้งกัน มันก็จะต้องต่อสู้กัน เป็นธรรมาธรรมสงคราม เป็นเรื่องจริงๆ ถ้าคนที่มีภูมิปัญญาจริงๆ มองสังคม ดังที่อาตมากล่าวแล้ว มองสังขารธรรม มองพฤติกรรมมนุษย์ว่า มันเป็นความตกต่ำ เป็นโลกียะจัดจ้าน เป็นเรื่องของบาปของนรกมากมาย ทุจริตอกุศลมากมาย ถ้าใครยอมรับ หรือใครเห็นความจริงอันนี้ว่าจริง สังคมส่วนใหญ่ มนุษย์ส่วนใหญ่ อกุศลมากจริงๆ อกุศลทุจริตบาป ความไม่ดีไม่งาม พฤติกรรมที่ไม่เป็นไปเพื่อกุศล ไม่เป็นไปเพื่อโลกุตระ โดยเฉพาะไม่เป็นไปเพื่อโลกุตระ แม้อยู่ในวงการของศาสนา มันมีมากกว่ามากจริงๆ ถ้าใครยอมรับเห็นจริงเรื่องนี้ ถ้ามีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา ท่ามกลางสิ่งนี้ สิ่งนั้นเหมือนกับความดำ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นพื้นกันอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ ตามที่กล่าวแล้ว เหมือนความดำ ถ้ามีความขาว หรือมีความถูกต้อง หรือมีความดีงาม มีสัมมาทิฐิ มีโลกุตรธรรมเกิดขึ้น ท่ามกลางความดำ แน่นอน มันต้องตัดกัน มันต้องเป็นธรรมาธรรมะสงคราม มันต้องเป็นแน่ๆ ใช่ไหม มันต้องเกิดการขัดแย้งกัน หรือจะใช้ศัพท์ว่า มันจะต้องต่อสู้กัน

ยิ่งความดำคือความดำจริงๆ ความมิจฉาทิฐิ คือความมิจฉาทิฐิจริงๆ ความชั่วความบาปอกุศล มันก็เป็นความชั่ว ความบาป อกุศลจริงๆ ส่วนความขาวก็ขาวจริงๆ เป็นสัมมาทิฐิจริงๆ เป็นกุศล เป็นโลกุตระจริงๆ มันก็ต้องขัดแย้งกัน มันก็ต้องต่อสู้กัน มันก็ต้องรบกัน มันเป็นความแปลกตรงไหน มันเป็นปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดา ใช่ไหม มันเป็นความจริง มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้รู้จริงๆก็จะต้องรู้อยู่ ความจริงไม่ใช่เรื่องแปลกนี่ ถ้ามันไม่ใช่ซิ ถ้ามันไม่รบกัน มันไม่ขัดดำขัดขาวกันจริงๆ มันดำด้วยกัน มันจะไปชกอะไรกัน มันก็ไปด้วยกันเท่านั้นเอง

อาตมาย้ำอยู่จุดที่ว่า เราเห็นชัดเจนจริงๆไหมละว่า ส่วนใหญ่ มนุษย์ส่วนใหญ่ พฤติกรรมส่วนใหญ่ หรือโลกียะ มันมีเป็นส่วนมากส่วนใหญ่ แล้วมันก็เป็นโลกียะจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องชั่ว เรื่องไม่ดีไม่งาม เรื่องทุจริต เรื่องอกุศล เรื่องมิจฉาทิฐิ อันนั้นน่ะ มันจริงไหมล่ะ หรือกลับกัน ไอ้ที่เราว่าเขาไม่จริง ที่ว่าส่วนใหญ่ ไม่จริง ที่ว่าส่วนใหญ่เป็นอกุศล สังขารธรรมโลกียะนั้น ที่จริงไม่ใช่โลกียะ ที่จริงเป็นโลกุตระ ที่จริงเป็นกุศล ที่จริงเป็นสัมมาทิฐิ อย่างที่เราเป็นส่วนน้อยนี้ขึ้นมานี่ ก็ต้องเป็นส่วนมิจฉา มันจะต้องเป็นส่วนผิด จะต้องเป็นอกุศล แล้วเราก็คงเป็นโลกียะ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นโลกุตระ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นสัมมาทิฐิ สังคมมนุษย์ส่วนใหญ่ขณะนี้ ก็ต้องเป็นความถูกต้อง เป็นความดีงาม เราก็ต้องเป็นความทราม เป็นความผิด เป็นความชั่ว เพราะมันขัดแย้งกันแน่ๆ มันเห็นจริงๆอยู่แท้ๆเลย มันขัดแย้งกันจริงๆ มันตรงกันข้ามกันจริงๆ มันก็ต้องอย่างนั้น เราก็คิดทั้งสองด้าน เราอาจจะผิด เราอาจจะเป็นส่วนเป็นโลกียะ เป็นความไม่ถูกต้อง เป็นความชั่วความบาป ส่วนใหญ่นั้นก็เป็นความถูกต้อง เป็นบุญ เป็นสิ่งที่เป็นกุศล เป็นสิ่งที่เป็นโลกุตระโน่นแหละ จนของเราก็เป็นโลกียะ

เพราะฉะนั้น เราก็ต้องมาตรวจสอบ ตรวจทานสภาพที่เป็นอยู่ ทั้งพฤติกรรม กิจกรรม พิธีกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตรวจสอบหลักฐานจริงๆว่า มันเป็นไปเพื่อโลกุตระหรือไม่สำหรับพวกเรา สำหรับที่เรา เป็นอยู่ ฝึกหัดอบรมฝึกฝน แล้วก็ลดละจางคลายอะไรมาได้ ต่างๆนานา มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ มากน้อยขนาดไหน มันชัดเจนขนาดไหน มั่นใจขนาดไหน ทุกคนก็ต้องพยายาม อย่าไปหลงใหล อย่าไปเที่ยวได้หลงละเมอเพ้อพกง่ายๆ ตรวจสอบ ตรวจทานเข้าจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านให้ตรวจสอบ ตรวจทานตามธรรมตามวินัย ตามคำตรัสคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ได้ตรัสสอนไว้ เท่าที่เราจะมีหลักฐานยืนยันยืนหยัดว่า เป็นหลักฐานคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ผิดแน่ ไม่เพี้ยนแน่ เท่าที่เราจะสามารถหาได้ ยืนยันกันได้ แล้วในคำสอนเอง ก็มีความสอดคล้อง อยู่ในตัวของมันเองด้วย มีหลักปรัชญา มีหลักแห่งสิ่งที่สื่อความหมาย เป็นไปดังที่ตรัส ดังที่บรรยาย ดังที่ยืนยัน อย่างโน้นอย่างนี้ เอาไว้สื่อบอกให้เราได้เข้าใจได้ตามสื่อ ความหมายเหล่านั้น เราก็เอามาตรวจสอบกับสภาพจริงที่เป็นไป ทั้งด้านนอก กาย วาจา ทั้งด้านใน ถึงจิตวิญญาณ ถึงอารมณ์ อาการของจิตวิญญาณต่างๆนานา ตรวจสอบ แล้วเราก็จะรู้ว่า เราสอดคล้องกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือว่าทางด้านอีกฝ่ายหนึ่งฝั่งหนึ่ง ที่ตรงกันข้ามกับเราน่ะ ใครสอดคล้องมากกว่ากัน ใครถูกต้องมากกว่ากัน ก็ต้องตรวจสอบจริงๆ เราก็จะสามารถวินิจฉัยได้ ตัดสินได้ ใครที่ตัดสินไม่ได้ ก็เป็นจริงในภูมิธรรมของแต่ละบุคคล อาจจะตัดสินไม่ได้ ไม่มีความแหลมคม ไม่มีความแม่นความตรง ไม่มีความเฉลียวฉลาดเพียงพอที่จะตัดสินได้ ก็อาจจะมี ผู้ที่ตัดสินได้ ก็ต้องมีแน่ๆ เมื่อตัดสินได้แล้ว ชัดเจนแล้ว เราก็ต้องลงมือทำ หรือผู้ที่ได้มาพิสูจน์ มีสภาวะรองรับด้วยซ้ำ มีของตนๆ ด้วยซ้ำ มันก็ยิ่งจะลึกซึ้ง ยิ่งจะเป็นความจริงที่จริงยิ่งขึ้น เพราะมีสภาวะรองรับ มีสิ่งจริงรองรับ มันก็ยิ่งจะมั่นคงขึ้นไปใหญ่

อาตมาเคยกล่าวเสมอกับพวกเราบ่อยๆ กล่าวว่าอาตมาเอง อาตมาไม่ได้หวั่นอกหวั่นใจ ไม่เคยตกอกตกใจ ไม่เคยกลัวว่า พวกคุณจะหนีจากอาตมาไปทั้งหมด อาตมาเคยสมมุติเล่นๆก็หลายที ว่า แม้คุณจะหนีไปจากอาตมาทั้งหมด อาตมาก็ยังมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในสภาวธรรม มั่นใจในสิ่งที่อาตมาได้ อาตมาเป็น ว่ามันเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น มันมีความเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มีความมักน้อย ไม่ได้อดไม่ได้ทน ไม่ได้ฝืน มักน้อย เห็นว่าสบาย มีความสันโดษ มีใจพอ มันพอ ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่ ลาภก็เหลือเฟือ พอ เกินพอ ยศตำแหน่งก็พอ เกินพอ สรรเสริญเยินยอก็พอ เกินพอ ไม่ได้อยากได้ลาภ เพิ่มเติม ไม่ได้อยากได้ยศ ไม่ได้อยากได้สรรเสริญ ไม่ได้อยากได้มาบำเรออะไร โดยเฉพาะมันมาบำเรอเรา พอเราได้มา ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจฟูใจ อาการเหล่านี้ อาตมาว่า อาตมารู้จักปรมัตถธรรม ฝึกอบรม ศึกษาตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า แล้วก็แน่ใจว่า เรารู้อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ ที่พระพุทธเจ้าท่านยืนหยัดยืนยันมา เอามา พิสูจน์สภาวะ ในตัวในตนของเรา รู้จิตรู้เจตสิก เห็นรูปเห็นนาม เห็นอาการเหล่านั้น ว่ามันมีอาการโลภโกรธหลง หรือมีอาการยินดี หรือไม่ยินดี ทุกข์ร้อนกับลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข มีอาการขนาดไหน หรือไม่มี เราก็เห็นของเรา รู้ของเรา อาตมาว่า อาตมาไม่ได้พูดเล่น เอาของจริงสภาวะจริงมาพูดมาบอก จะเรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม ก็ใช่ ก็บอกยืนหยัดยืนยันอยู่ ว่ามันจริง การโกหกก็เป็นบาป อาตมาก็รู้ว่าบาป ถ้ามันไม่จริง โกหกไปมันก็ยิ่งบาปซ้ำ แล้วบาปประเภทที่จะไปหลอกคนอื่นเขา ให้มาเชื่อในสิ่งที่ประเสริฐด้วยซ้ำ มันยิ่งบาปมาก อาตมาพากเพียรมา ปฏิบัติตน จนกระทั่งทิ้งโลกียะ ลาภยศสรรเสริญ ทรัพย์ศฤงคาร ญาติโกโยติกาอะไรมา ไม่ได้มาเล่นๆ ไม่ได้หลงๆเลอะๆ ไร้สติสัมปชัญญะ ทำด้วยความรู้ตัว ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเห็นจริงว่า มันเป็นสิ่งประเสริฐจริงๆ เป็นสิ่งที่เราได้ เรามีเราเป็น เราพอใจยินดีในสิ่งนี้จริงๆ แล้วก็เอามาเปิดเผย เอามาบอกกัน เอามาท้าทายให้พิสูจน์กัน เป็นเอหิปัสสิโก คุณเอาไปพิสูจน์ เป็นสันทิฏฐิโก คุณได้ มันก็เป็นอกาลิโก คุณก็จะรู้ว่ามันเป็นอกาลิโก แล้วก็มันเป็นสันทิฏฐิโก นั้นๆนี่ ที่ยังไม่ได้ก็มี มันเป็นโอปนยิโก มันเป็นสิ่งที่ควรเอื้อมมาให้แก่ตนให้ได้ ยาก ไม่ง่าย เป็นเหมือนดอกฟ้า ที่จะต้องเอื้อมเอามาให้ได้ โน้มน้าวเอามาให้แก่ตนให้ได้ เป็นของจริงที่คุณแน่ใจว่าจริง เป็นสิ่งดีสิ่งจริงที่มนุษย์ พึงได้พึงเป็น พึงเอื้อม พึงไขว่คว้าเอา เป็นโอปนยิโก เมื่อคุณได้ คุณก็ได้ส่วนตน เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เห็นของตน ซาบซึ้งของที่ตนได้ ตนเป็น ตนมีเอง แล้วคุณก็เชื่อ แล้วคุณก็เป็นบัณฑิตเอง ในตัวเองนั่นเอง เป็นบัณฑิตเอง เป็นเวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นอยู่ในตัวคุณเอง ไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง จะได้มากหรือได้น้อย มันก็จะบอกรสเอง จะเป็นธรรมรสถึงขั้นวิมุติรส ในรอบใดๆก็ตาม มันก็เป็นธรรมรส เป็นวิมุติรสในรอบต้น รอบกลาง รอบปลาย หลายๆรอบซับซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อน ลึกซึ้งขนาดไหน เราพากเพียรประพฤติปฏิบัติ จริงๆ ทำจริงๆ คุณก็จะมีของจริงนั้น รู้เอง เห็นเอง

เพราะฉะนั้น อาตมาไม่หวั่นไหว ไม่กลัว ไม่เคยตกอกตกใจ ว่าจะไม่มีพวกคุณ จะไม่มีผู้ปฏิบัติได้ความจริงนี้ ถ้าพวกคุณปฏิบัติไม่ได้ มันก็เป็นความไม่สามารถของอาตมา ที่อาตมาสื่อเปิดเผยนำพา ให้อบรมฝึกฝนตน พิสูจน์ แล้วมันไม่ได้ อาตมาไม่มีความสามารถ ที่จะสื่ออันนี้ไปได้ ให้พวกคุณรู้ตาม แล้วก็เอาไปฝึกฝนอบรม จนเกิด จนเป็นเองของตนเอง ได้ตามจริง ตาม อาตมาไร้สมรรถภาพที่จะสื่อ ที่จะสอน หรือที่จะเอามาเปิดเผย เอามาแนะนำ พยายามเคี่ยวเข็ญกันก็ตาม ให้อบรมฝึกฝน อุตสาหะวิริยะให้มันเกิด ให้มันเป็น ให้มันได้ อาตมาเป็นครู ที่เป็นครูสอนลูกศิษย์ขึ้นมาไม่ได้เท่านั้นน่ะ มันไม่มีความสามารถเท่านั้นน่ะ

อาตมาเคยสมมุติว่า แม้พวกคุณไม่ได้สักคน อาตมาก็ยังมั่นใจในสิ่งที่ได้นี้อยู่ แต่ความจริง มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ทุกวันนี้มันก็ยังมีผู้ได้ แล้วก็ได้อย่างที่อาตมาเองอาตมาพูด อาตมาพูดเผื่อไว้ตั้งนานแล้ว ก็ยังพูดอยู่อย่างนี้ พูดว่า เผื่อคุณไม่ได้ เหลือคนเดียว มีแต่อาตมาคนเดียว อาตมาพูดเผื่อไว้เท่านั้น โดยจริงแล้ว มันไม่เป็นจริงเลย แล้วอาตมายิ่งเห็นว่ามันไม่จริง ถึงปีนี้มากขึ้น อาตมาทักให้พวกเราฟังว่า ปีนี้นี่นะ มีคนมาปลุกเสกยิ่งนับวัน ตามสถิติที่จดให้อาตมามาดู เพิ่มขึ้นๆๆๆ นับหัวด้วยนะ นับบุคคลด้วยนะ ไม่ใช่นับแต่ ตัวสถิติที่ตัวเลขลงทะเบียนเท่านั้น ลงทะเบียนก็ขึ้นตาม ลงทะเบียนก็ขึ้นตามอยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ลบออก ผู้ที่จะกลับโดยไม่บอกก็มี แต่เอาตัวจริงเลย มีผู้ที่นับหัวแต่ละคราวที่มาประชุมกัน รวมให้นับตอนฟังธรรม ตอนเช้า ตอนก่อนฉัน ตอนบ่าย เราก็นับเพื่อที่จะดูสถิติเฉลี่ยเหล่านั้นจริงๆ แต่ละวันๆมา ปีนี้เพิ่มขึ้นๆ ถึงวันนี้เพิ่มขึ้นเป็น ๑,๔๑๔ ที่นับได้ เช้า ตรงกันเลยกับบ่าย ตรงกัน ตัวเลข ๑,๒๐๐ ตอนเช้า ตอนบ่ายนี่ ๑,๔๑๔ เช้า ๑,๒๙๘ ทั้งสองภาค ภาคเช้าตั้งแต่ตอนทำวัตรเช้า กับภาคก่อนฉัน ส่วนภาคบ่ายนี่ เพิ่มเป็น ๑,๔๑๔ จำง่ายตัวนี้ เพราะ ๑๔-๑๔ สองเลข เอา ๒ หารเข้าก็ ๗๗ ๑๔-๑๔ ที่จริงมันก็ ๒ ๗ ๑๔ ไม่ใช่เนอะ ต้องหารพิเศษ มันถึงจะเป็น ๗๗ หารอย่างลวกๆ ที่จริงมันไม่ใช่ ๗๗ เป็น ๑๔-๑๔ อาตมาเห็นตัวเลขว่าแปลก มันเพิ่มขึ้นมา จริง มองในเผินๆ บางคนอาจจะบอกว่า โอ้! มันก็มากน่ะซิ เพราะว่ามันเป็นวันมาฆะฯ คราวนี้ มันไปตรงกับวันหยุด วันนี้วันศุกร์ วันมาฆะฯ แล้วเขาก็มากัน พรุ่งนี้ก็วันเสาร์ วันสุดท้ายของงานปลุกเสกฯเรา เป็นครั้งที่ ๑๔ ปีนี้ งานปลุกเสกฯปีนี้ก็ครั้งที่ ๑๔ คนจะตั้งข้อสังเกตว่า อาตมาทักอันนั้นแล้วนี่นะ ก็อาจจะบอกว่า เออ! ก็ไม่แปลกอะไร มันวันหยุดน่ะ มาฆะฯ มันวันหยุด แล้วพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ เขาก็มา วันนี้วันมาฆะฯ เขาก็หยุดอยู่ หยุดงาน เขาก็มาน่ะซิ มันก็มาเพิ่ม แล้วพรุ่งนี้วันเสาร์ วันอาทิตย์ ต่อไปเขาก็หยุดต่อ เขาก็ได้มาเที่ยว มางานนี้ซะ มองอย่างนั้นก็ใช่ เหตุผลอันนั้นก็ใช่ แต่มองง่ายๆ ดูซิ มองอีกแง่นึงดูซิว่า เอ๊อ! ก็มาก็วันนี้วันสุดท้ายวันเดียว พรุ่งนี้ก็วันเสาร์ เดี๋ยวก็กลับแล้ว มาทำไมเล่า ก็มันมานิดเดียว มาแค่วันสุดท้ายวันเดียว วิ่งมาทำไมตั้งไม่รู้กี่ร้อยกิโล เกือบพันกิโล วิ่งมาทำไม ถ้าจะพูดอีกแง่หนึ่งนะ มาทำไมเล่าก็นิดเดียว แม้จะปิด หรืออันนี้อยู่ตอนท้ายๆ ของรายการ มันก็เลย มีเพิ่มขึ้นๆ ก็ไม่ใช่ วันอื่นก็ควรลด มันไม่ลด มันเพิ่มขึ้นมาทุกวันๆเรื่อยๆนะ สถิติคราวนี้นี่ ตั้งแต่วันแรก วันสอง วันสาม ไล่ขึ้นมาจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย มันเพิ่มขึ้นมาทุกขณะ จนมาถึงวันนี้ก็เพิ่มมาก แล้วมาวันนี้ แล้วก็แน่นอนค้างคืนนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องอยู่อีก ใช่มั้ย วันสุดท้าย ตอนเช้าฟังธรรมกันไป จนกว่าจะฉันเสร็จ ก็ต้องอยู่กันนั่นแหละ คนที่มาวันนี้ แล้วก็จะไปกลับวันนี้กันทำไม ใช่ไหม นอกจากมีเรื่องด่วนจริงๆ แล้วก็มีเหตุการณ์อะไรจะต้องมาเท่านั้น แต่ถ้าเผื่อว่าไม่มาจากไกลๆ ยิ่งมาจากกรุงเทพฯ มาจากต่างจังหวัด ไกลๆ หลายร้อยกิโลอย่างนี้ ใครจะมา แล้วจะไปไหน ก็ยิ่งต้องมาใช่ไหม มาแล้วก็ต้องอยู่ถึงพรุ่งนี้ มันก็จะต้องมีอีกพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น สถิติปีนี้จะแปลกตรงที่ว่า วันสุดท้ายของงานนี้ แต่ก่อนแต่ไร มานี่ วันสุดท้ายของงาน จะเหลือน้อยเดียว น้อยกว่าวันแรกของงานด้วยซ้ำ ตามที่เคยมีมา ตอนหลังๆมี ตอนวันสุดท้าย จะมีจำนวนมากกว่าวันแรกอยู่บ้างบางครั้ง แต่คราวนี้นี่ มันต้องมากกว่าแน่ มากกว่าวันแรกๆ มากกว่าวันอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ วันสุดท้ายนี่จะมากกว่า

ทีนี้ ถ้าคิดลึกๆขึ้นไปอีก เราจะเห็นได้ว่า ก็วิ่งมาวันเดียวตั้งหลายร้อยกิโล มีวันหยุดตอนท้ายนี่ก็ตาม ก็วิ่งมาวันเดียว วันพรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว เขาก็จะต้องผูกใจ เขาก็จะต้องมีศรัทธา มีความยินดีปรีดา ที่จะต้องวิ่งมา ใช่ไหมเล่า แม้วันเดียวก็ยังดี อะไรอย่างนี้ มองเหตุผลกับมันสิ ก็แสดงว่าสิ่งนี้น่ะ มีจิตวิญญาณ มีความพอใจยินดีที่จะมา จิตวิญญาณอย่างนี้ ก็เป็นจิตจริงของแต่ละคน เพราะว่าคนมางานนี้ ไม่ได้มาอะไรนี่ จะมา จะได้มาเสกมาเป่า ประเภทที่จะไปรวยลาภ รวยยศอะไร ก็ไม่ใช่ ไม่ได้เหมือนโลกๆเขา มาแล้วก็จะได้ลาภได้ยศ ได้ของพิเศษ ได้โน่นได้นี่กลับไป มาเสียสละ มาอด มาลด มาละ ตามประสาที่เราปลุกเสกฯ มาอด มาลด มาละ มาวาง มาจาง มาคลาย มีแต่มา เสียออก สละออก ไม่ใช่มาเอา มาได้ เราก็ยังยินดีที่จะมา แม้วันเดียว วันสุดท้าย หรือสองวันสุดท้าย เราก็เต็มใจจะมา วิ่งมา เสียเวลามา นั่งมาตั้งไกล เดินทางมา เราก็ยินดีมา สิ่งอย่างนี้เป็นข้อมูลจริง เป็นหลักฐานจริง ที่มีไปเรื่อยๆ ทำให้อาตมาได้เห็นเพิ่มขึ้นๆ เป็นความเจริญ ทั้งๆที่มันมีเหตุการณ์ ปีนี้ มาถึงปีนี้ วันนี้นี่ เหตุการณ์ปีที่แล้ว ๓๒ มันมีเหตุการณ์ที่น่าจะต้อง หมดศรัทธา หรือว่าไม่เชื่อถือ หรือว่าเห็นว่า พวกเราผิดตามที่ เขาพยายาม ที่จะชี้ว่าเราผิด เราเป็นพวกมิจฉาทิฐิ เป็นพวกมาทำลายศาสนา เป็นพวกที่จะมาอะไรก็แล้วแต่ เลวๆร้ายๆ หนักหนาสากรรจ์ ที่เขาจะพยายามโพนทะนาประกาศไป พยายามลงทุนลงแรงประกาศด้วย แต่พวกคุณก็ยังมั่นคง มีคนใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีกซะด้วย คนเก่าๆ อาตมาเชื่ออยู่นะ ว่าไม่ได้มีออก ไม่ได้มีผลกระทบ จนกระทั่งคนออก คนเก่าๆนี่ ต้องออกไป อาตมายิ่งเห็นสัจจะอยู่อันหนึ่งว่า ความจริงนี่ มันมีความมั่นคง มันมีความถาวร หรือมันมีความเที่ยงแท้ มันมีความยืนยันยืนหยัด ความจริงนี่ มันมีความมั่นคง หนักแน่นถาวร จริงๆ มันมีความเที่ยงแท้

เพราะฉะนั้น สัจจะของพระพุทธเจ้านี่ ถึงที่สุดเป็นนิพพานนี่ เที่ยงแท้นะ อาตมาค้นพบหลักฐานพระบาลี ค้นพบคำ แม้แต่แปลเป็นไทยแล้วด้วย ยืนยันจริงจัง อย่างที่ได้เอามายืนยันแล้วว่า มันเป็นความเที่ยงแท้ ที่ท่านใช้คำว่า นิจจัง ด้วยซ้ำ นิจจานินั่นน่ะ เป็นคำที่เอามายืนยัน มันเป็นสิ่งที่กำหนดรู้ชัดเจนว่า โอ้! มันนิจจานิ มันเที่ยงแท้นะ มันไม่ได้หมายความว่า มันจะต้องอนิจจังอย่างที่เราพูด จริง สิ่งที่วนเวียนอยู่ เป็นวัฏสงสาร มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นอยู่ อะไรที่ยังเกิดขึ้นอยู่ แล้วก็จะต้องตั้งอยู่ มันก็จะต้องเสื่อมไปในที่สุด ไปในสภาพของความมี แต่ของความมั่นคง ของสัจธรรมที่เข้าไปหาโลกุตระ เข้าไปหาอนัตตา เข้าไปหาสุญญตา เข้าไปหาความว่าง ความสะอาดหมดจด ความดับสนิทของกิเลสที่แท้จริงแล้ว มันได้ มันเที่ยงแท้ อาตมาก็เคยยกตัวอย่างประกอบ หรือว่าหลักฐานยืนยันประกอบว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัส คำว่า เที่ยงแท้ ตั้งแต่เราเริ่มเป็นผู้ที่เป็นพระโสดาบัน มีผลของโสดาบัน เป็นผู้ที่มีคุณธรรมนั้นจริง มีสภาวะเกิด เกิดแท้ในจิตวิญญาณ มีการลด ละ หน่าย คลาย มีอริยคุณนั้นจริง ตั้งแต่โสดาบัน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่าเที่ยงแท้ ใช้คำตรัสว่าเที่ยงแท้ เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพานแล้ว

เพราะฉะนั้น มันเป็นลักษณะเที่ยงแท้นะ เป็นลักษณะมั่นคงถาวร ที่อาตมานำมาพูดมาบอกกันนี่ แม้จะมีเรื่องราวเรื่องร้าย ที่เขาพยายามที่จะป่าวประกาศโพนทะนา ชี้เหตุชี้ผล ชี้หลักฐานอ้างอิง มีเหตุตรรกศาสตร์ อย่างโน้นอย่างนี้ เท่าที่เขาเข้าใจ ถกเถียงโต้แย้ง ล้มล้างกันด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ เพื่อที่จะให้เห็นว่าเรานี่ผิด เรานี่ชั่วเรานี่ไม่ดี ควรจะเลิกละอย่าศรัทธาเลื่อมใส จงเลิกมาจงหยุด จงปล่อยทิ้งอาตมาเสีย ปล่อยทิ้งพวกเราทางนี้เสีย ลัทธินี้เป็นลัทธิเลวร้าย ไม่ดีไม่งามอะไรก็แล้วแต่ ต่างๆนานา เพราะฉะนั้นต้องรู้ตัวซะ มีผู้มาเตือนสติแล้ว มาบอกแล้ว มาหาเหตุผลหลักฐานต่างๆนานา มายืนยันยืนหยัดต่างๆ พยายาม พวกคุณก็รู้ ไม่ได้ปิดหูปิดตา

แม้ไม่รู้ พวกเราก็เอามาเปิดเผยให้พวกคุณฟัง เขาว่ายังไง มีเหตุผลยังไง มีหลักอะไร ยังไงๆ ก็เอามาให้ ไม่ได้ไปปิดหูปิดตา ไม่ได้อำพราง ไม่ได้ซุกซ่อน พยายามให้พวกเรารู้ เปิดหูเปิดตาทั้งหมด แต่พวกคุณ ก็ยังมั่นคงยืนหยัด ยังคงเชื่อถือศรัทธา เห็นจริงอยู่อย่างนี้ นี่เป็นความเที่ยงแท้ ลักษณะเที่ยงแท้ ลักษณะไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน ลักษณะมั่นคง ลักษณะจริงจัง เป็นหนึ่งเดียวขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะเป็นเอโกธัมโม มันจะเป็นหนึ่งเดียว มันจะเป็น เข้าไปหาจุดสุดท้ายเหมือนกัน อันเดียวกัน เป็นจุดเดียวกัน เป็นเป้าสุดท้าย อันเดียวกัน เป็นเอกภาพ เอกธรรม มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ขณะนี้ที่อาตมากล่าวนี่ ตั้งสติให้ดีนะ อาตมาไม่ได้ตู่พวกคุณนะ ไม่ได้กล่าวตู่ตีขลุมแล้วฮุบเอา ฮุบเอาพวกคุณเป็น อาตมาไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น ที่กำลังกล่าวอยู่นี่ ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น เจตนาที่จะกล่าว ฮุบ ตีขลุมเอาว่า พวกคุณเป็นพวกที่ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว มาเป็นหนึ่งเดียวกับทางนี้แล้ว เพื่อที่จะให้พวกคุณหลงคารม อาตมาไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่อาตมาเอาสภาวะจริงนี้มาอธิบาย มาชี้เปิดเผย ขยายความให้ฟัง เป็นองค์ประกอบของลักษณะของธรรมะที่เที่ยงแท้ ลักษณะของธรรมะที่เป็นเอกภาพ เอกธรรม และเป็นลักษณะของสภาพมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน ไม่แปรปรวนนี่ มายืนยันให้ฟังว่า มันมีสภาวะรองรับไหม มีความจริงไหม คุณแต่ละคนๆนั่น มันอดทน มันต้องฝืนข่มว่า โอ้! ที่จริงแล้ว เรามันจะไม่อยู่แล้ว ล่ะ แต่เราพยายามอดทนอยู่เท่านั้นเอง แต่ละคนนี่ก็เปราะบางเต็มที ก็พยายามหาทาง จะออกไปอยู่ แต่ยังออกไม่ได้ล่ะ มันอายเขานะ มันได้ถลำมาแล้ว มันตกกระไดพลอยโจน เสียแล้ว มันก็เลยจำทนอยู่เท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ พวกคุณก็อ่านใจตนเอง อ่านสภาพจริงของใจตนเองให้จริงๆ หรือว่า เออ! เรามั่นใจ เราแน่ใจ เราเห็นจริงเลยว่า ไอ้ที่มันไม่ได้สงสัยเลย ชัดจริงชัดใจ มันมีอยู่หรือไม่ มากหรือน้อยขนาดไหน ตรวจสอบเอา พยายามตรวจสอบเอา

สิบกว่าปี อาตมาเอง อาตมาบวชมานี่ ก็จะย่างเข้าปีที่ยี่สิบ ก็เป็นรอบน่ะนะ ทำงานศาสนามาสองทศวรรษ ยี่สิบปีขึ้นมา มันก็มีผลมีมวล ในเรื่องของความเที่ยงแท้ ในเรื่องของความเป็นปกติ อาตมาอธิบายลักษณะ ปกติให้ฟังแล้ว ว่าเป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องเกิดเหตุการณ์ ต้องต่อสู้กัน ต้องพยายามที่จะชี้กันและกันว่า ท่านผิด เราถูก ท่านถูก เราผิด ถ้ามันเป็นสองฝ่ายดังกล่าวแล้ว มันจะต้องเป็นธรรมดา ห้ามไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น ใครเข้าใจแล้วจะรู้ว่า มันเป็นเรื่องปกติ ใครเข้าใจจริงๆ จะว่ามันเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ซิ มันจะไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นเรื่องผิดเพี้ยนแล้ว กลับไปกลับมา เหลาะแหละ วกไปวนมาไม่เข้าเรื่อง เอ๊! ทำไมเป็นอย่างนั้นน่ะ แต่นี่มันเป็นจริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ มันก็ยังเป็นจริงอยู่ อย่างนั้นน่ะ ว่าสิ่งหนึ่งถูก สิ่งหนึ่งผิด ตรงกันข้ามกัน อันหนึ่งเป็นขาว อันหนึ่งเป็นดำ ก็ต้องขับกันขัดกัน มันก็ต้องแย้งกัน ใช้ภาษาหนักๆ มันก็ต้องรบกัน มันก็ต้องต่อสู้กันเป็นธรรมดา และการสู้การรบ อาตมาก็ยังไม่เห็นว่า มันหนักหนาอะไร ไม่ได้หนักหนาอะไร ใครเห็นอาตมาว่าอาตมาหนักหนา โอ้! นอนไม่หลับแล้ว วุ่นวาย พล่านแล้ว ดิ้นรนแล้ว จะต้องหาไอ้โน่นมาค้ำ หาไอ้นี่มาช่วย หาไอ้โน่นไอ้นี่มา เพื่อที่จะต้องเรียกหมู่เรียกมวล ทำอันโน้นอันนี้มาต่อสู้ หรือลักษณะอะไร ที่คุณจะพอมีปฏิภาณ หรือว่า โอ้! กลัวลานแล้ว เดือดร้อนแล้ว พล่านเลยล่ะ ลำบากลำบนแล้ว อยู่ในฐานะที่สรุปง่ายๆก็คือ เห็นชัดๆว่านี่เดือดร้อนแล้ว อาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไร

พวกเราบางคน ก็อาจจะตกอกตกใจเล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้วก็พอตั้งหลักได้จริงๆ มีองค์ประกอบอะไร มีมวลมีหมู่ มีโน่นมีนี่ มีความมั่นใจในสัจธรรม ความเที่ยงแท้มั่นคง วูบวาบประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวมันก็หาย บางคนอาจจะไม่ตกใจเหมือนอาตมา ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้กระเทือน ไม่ได้สะเทือนสะท้านอะไร มั่นคง ยืนยันอยู่ อาตมาว่าคงมีหลายคนน่ะ แม้ฆราวาส มันไม่เห็นมีอะไรนี่ ก็ปกติ ก็ทำไป มันมีเหตุการณ์อะไรเกิดมา เราก็จัดการกับมันไป เราแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำชั่ว เราแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำผิด เราแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำสิ่งที่เขาตู่นั้นน่ะ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาตู่นั้น มาทำลายศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ มาล้มล้าง ไม่มีความจริงใจ แหม! อาตมาเอง อาตมาอยากจะถามพวกคุณเรียงตัวเหลือเกิน ใครนะมาปฏิบัติธรรมะ อยู่กับพวกเรา ที่ปฏิบัติกันอยู่นี่ ไม่จริงใจน่ะ ใครน่ะไม่จริงใจ น่ะ มาแฝงนี่ เพื่อที่จะร่วมมือกับอาตมา เพื่อทำลายศาสนา ที่เข้ามานี่ เข้ามาเพื่อรู้ว่า จะเข้ามาทำลายศาสนาพุทธ ไม่จริงใจ แฝงมา ใครฮะ อยู่ไหนบ้าง แล้วพวกที่อยู่กับ อาตมา มาตั้ง ๑๐ กว่าปี อาตมาจะมาทำลายศาสนาพุทธเหรอ อาตมาไม่มีความจริงใจ ไม่ซื่อสัตย์ต่อศาสนาพุทธอย่างไร ทำไมนะ เขาพูดได้ว่า อาตมาไม่ซื่อสัตย์ต่อศาสนาพุทธ ไม่จริงใจต่อศาสนาพุทธ เขาพูดได้อย่างไรน่ะ ในระดับคนที่เขายอมรับกันว่า เป็นผู้ที่มีความรู้นะ ใส่ความอาตมาไหม ทำไมไม่ฉลาด ขนาดนั้นเชียวหรือ อาตมาไม่ได้บอกว่า เขาโง่นะ อาตมาว่าเขาไม่ฉลาด ขนาดที่ไม่รู้จริงๆเหรอว่า อาตมาจริงใจต่อศาสนาขนาดไหน ทำเพื่อศาสนาขนาดไหน เขามีหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่า อาตมามาทำลายศาสนา เพื่ออะไร มาล้มล้างอะไร ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่จะล้มล้างพระศาสนา ที่จริงลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาก็ไม่ได้ล้มล้างศาสนาอะไรสมบูรณ์นักหรอก มันก็ยังมีอยู่บ้างด้วยซ้ำไป อะไรล่ะ ลัทธิอะไรมาล้มล้างพระศาสนา มีศาสนาอะไร อาตมาตั้งศาสนาใหม่จริงๆน่ะเหรอ โก้น่ะ จริงๆนะ ถ้าตั้งศาสนาใหม่ได้ โก้นะ เป็นศาสดานะ ถ้าตั้งศาสนาใหม่ได้นี่ โก้ เป็นศาสดา แล้วเนื้อหาของศาสนาน่ะ เป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ พ้นทุกข์ จริงๆ ด้วยนะ เป็นการเสียสละ ลดความโลภความโกรธความหลง จริงๆด้วย ถ้าเป็นศาสดาทำอย่างนั้นได้ ตั้งศาสนาได้ แล้วก็มีความจริงที่ลดกิเลสโลภโกรธหลง มักน้อยสันโดษ เสียสละ เกื้อกูล สร้างสรร ขยันเพียร มีเมตตา มีกตัญญูกตเวที มีภราดรภาพ มีความสัมพันธ์ มนุษยสัมพันธ์อันดีได้ เหมือนอย่างพี่อย่างน้อง นี่อย่างที่เป็นนี่ แหม! เป็นศาสดาที่มีเนื้อหาของศาสนาอย่างนี้นี่ มันโก้จริงๆน่ะ ถ้าเป็นได้มันก็ดี น่ะซี อาตมาเป็นได้ มันก็ดีน่ะซี อาตมาก็บอกอยู่ว่า อาตมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ศาสนานี้ ลัทธินี้ ทฤษฎีนี้ของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ใช่คนอกตัญญู อาตมาไม่ใช่คน ขี้โกงน่ะ

ที่อาตมาพยายามวิเคราะห์วิจัยเหตุผลต่างๆ ให้พวกคุณฟังนี่ เพื่อจะให้รู้ว่า ทำไมมันช่างย้อนแย้งเหลือเกิน คนที่เขานับถือว่ามีปัญญาล้ำเลิศ แต่ทำไมถึงไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ขนาดนี้ ออกขนาดนี้ ถ้าจะว่าเป็นนักค้นคว้า มีหลักฐานยืนหยัดยืนยัน ก็ทำไมไม่ค้นคว้าหลักฐานยืนหยัดยืนยันให้ลึกซึ้ง ว่าคนอย่างอาตมาที่มาทำงาน มีพฤติกรรม มีบทบาท กิจกรรม มีอะไรๆ ที่กระทำอยู่มาจนกระทั่ง สิบกว่าปีนี่ มีหลักฐานยืนยันยืนหยัด สอบทานอะไรตั้งมากตั้งมาย ทำไมไม่หาหลักฐานสอบทานอันเหล่านั้นล่ะ เข้าไปพิจารณา ตรวจสอบ ตามทฤษฎีหลักการของศาสนาบ้างว่า ที่อาตมาทำไปทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันเป็นศาสนาพระพุทธเจ้าหรือไม่ อาตมาจริงใจต่อศาสนาพุทธจริงหรือไม่ ถ้าจะบอกว่า อาตมามีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ มีข้อผิดพลาดอันโน้นอันนี้บ้าง อาตมาไม่เกี่ยงนะ แล้วอาตมาว่า อาตมายอมรับได้จริงๆเลยว่า มันคงจะมี ที่ผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ความบกพร่องอะไรนั้นบ้าง ได้ ได้ แต่อาตมามั่นใจว่า ในหลักใหญ่ๆที่อาตมา ได้ทำงานศาสนาของพระพุทธเจ้านี่มา อาตมาว่าได้ทำจริงๆ แหม! ไม่อยากกล่าวว่า อาตมาได้ช่วยกอบกู้ อาตมาไม่อยากจะพูดน่ะ อาตมาได้ช่วยกอบกู้ศาสนาพระพุทธเจ้า เอาเนื้อหาแท้ๆของพระพุทธเจ้านี่ ทำออกมาให้พวกเรา ได้บรรจุเข้าไปในชีวิต ชีวิตพวกคุณได้เนื้อหาสารัตถะ สาระสัจจะของพุทธคุณ พุทธศาสนาได้เข้ามานี่ ในมนุษย์ขณะนี้ ในประเทศไทยที่มีหลายจังหวัด แม้แต่จะนับว่าเป็นจำนวนน้อย ก็ตาม แต่มันก็มากไม่ใช่เล่นล่ะ สำหรับอาตมาตัวน้อยๆขนาดนี้ อาตมาว่าอาตมาได้ทำ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้หลงเลอะน่ะ อาตมาว่า อาตมามีสติสัมปชัญญะปัญญา ตรวจสอบตรวจทานความจริงนี่อยู่ ว่ามีจริงเป็นจริง แต่ทำไมผู้รู้ ไม่เอาสัจจะพวกนี้ ไม่ตรวจสอบหลักฐาน ที่มีจริงเป็นจริงเหล่านี้ เอาไปยืนยัน เอาไปเปรียบวัด จะได้รู้ว่า อาตมาซื่อสัตย์ต่อศาสนาพระพุทธเจ้าหรือไม่ ทำไมท่านไม่ฉลาด ทั้งๆที่เขานับถือว่าท่านฉลาดกัน อย่างนี้เป็นต้น อาตมาพูดให้ฟังนี่ด้วยเหตุผลเท่านั้น ด้วยใจจริง อาตมาไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียด ไม่ได้อาฆาต อาตมาจะบอกเหตุผลให้ก็ได้ ทำไมอาตมาไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อาฆาต เหตุผลก็คือ สัจจะมันต้องเป็นจริง คงเคยได้ยินนะ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า มารมาดลใจ มารดลใจ จะเป็นเทวดา จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถูกมารดลใจ เมื่อสภาพธรรมสู่สภาวะที่จริงนั้น ต้องเป็นมารดลใจ ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีมารดลใจ ขนาดพระอานนท์ก็ยังมีมารดลใจ ให้ฉลาดเท่าฉลาดเถอะ ก็ต้องมีมารดลใจ ภาษาธรรมะ อาตมาไม่รู้จะใช้ภาษารูปธรรมอย่างไร มีมารดลใจให้มองไม่เห็น ให้เหตุการณ์นี้ต้องเกิด ให้สิ่งนี้ต้องเป็นเช่นนี้นั่นแหละ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ มันจะไม่จัด ชัด มันจะไม่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ฉีกชี้ ทำให้แรงขึ้น ไม่ใช่แรงอย่าง รุนแรงนะ มันจัดชัดขึ้นนั่นเอง ใช้คำว่าจัดชัด จะดีกว่าคำว่ารุนแรง คำว่า แรง ไม่ใช่รุนแรงแบบร้ายเลว มันไม่ใช่รุนแรงอย่างนั้น มันจัดชัด ถ้าไม่อย่างนั้น มันจะไม่จัดชัดขึ้น มันจะแยกขาวแยกดำให้จัดชัด อย่างนี้เป็นต้น มันจะชี้ฉลาด ชี้โง่จัดชัดขึ้น มันจะชี้ถูกชี้ผิดจัดชัดขึ้น อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น อันนี้มันสร้างเองไม่ได้ ไปบังคับให้ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นก็ไม่ได้ ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่โกรธแค้นพระเทวทัตเลยฉันใด เพราะในมุมที่มอง ในมุมที่รู้สึกนั้น ใจของอาตมา อาตมาไม่เอาใจพระพุทธเจ้า ใจของอาตมามองในมุมนี้ รู้สึกว่า มองไปว่า พวกนี้ทำอย่างนี้นี่ เป็นผู้ช่วยเรา ถ้าคุณเข้าใจว่าพระเทวทัต ช่วยขับเด่นให้แก่พระพุทธเจ้า ถ้าคุณเข้าใจ พระเทวทัตช่วยขับเด่นให้พระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจะไปลงโทษพระเทวทัตทำไม จะไปโกรธไปเกลียดพระเทวทัตทำไม ในเมื่อพระเทวทัต เป็นผู้ที่เสียสละนะ ถ้ามองในมุมกลับ เสียสละขับเด่นให้พระพุทธเจ้า เป็นพื้นฐานที่จะเสริมหนุน ให้พระพุทธเจ้าสูงส่ง พระเทวทัตยิ่งแสดงต่ำเท่าไหร่ แรงเท่าไหร่ พระพุทธเจ้ายิ่งสูงมากเท่านั้น ยิ่งเด่นชัดมากเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น อาตมารู้สึก และอาตมามีมุมมองอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาจะไปโกรธไปเกลียด คนเหล่านั้นทำไม เขาให้ประโยชน์แก่อาตมา ไม่ได้ให้โทษเลย

เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่านี้เป็นเรื่องดี แต่อาตมาบอกแล้ว อาตมาจะไม่พูดว่า มันเป็นเรื่องดีให้มาก เพราะว่า ถ้าพูดแล้ว มันเหมือนไปยั่วยุ ไปยวน เหมือนกับไปตีคารมสีปากอะไรกับเขา หรืออะไรต่างๆนานา มันฟังแล้วมันกระเทือนใจกัน เขากระเทือนใจแน่ แล้วเขาก็หมั่นใส้ได้ด้วย เพราะว่าโดยโลกที่มองแล้ว สภาพกว้างๆ สามัญๆ ที่มอง เขาก็มองว่า เออ! ดูซิ ไอ้คนนี้นี่ มันไม่น่าทำตัวให้สงสารเลย มันทำเป็นแอ๊คอาร์ต ทำเป็นตีคารมสีปาก มันน่าหมั่นไส้จริงๆ ไม่ต้องคู่ต่อสู้ที่จะรู้สึกหรอก คนอื่นๆ ธรรมดาสามัญ เขามอง เขาก็จะมองอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่า มันเป็นเรื่องดีนะ อาตมาไม่ค่อยพูดกับสาธารณะที่กว้างมากนัก แต่พูดกับพวกเราเท่านั้น แต่ถ้าจะพูดกับพวกข้างนอก อาตมาก็จะพูดว่า มันเป็นเรื่องปกติ อันนั้นพูดกับข้างนอกมาก เป็นเรื่องปกติเท่านั้น ที่อาตมาพยายามขยายคำว่าปกติ ขยายคำว่า มันเป็นเรื่องดี พยายามอธิบายมา จนกระทั่งมาถึงจุดที่อาตมาสรุปให้ฟังแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องดี ที่อาตมาถือว่าก็มันเป็นสิ่งดีให้แก่อาตมา และอาตมาก็ขอยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งดีให้แก่อาตมาเท่านั้น เป็นสิ่งดีให้แก่พวกเราด้วย พวกเรา อย่างน้อยที่สุด ก็ได้รับการกระทบสิ่งเหล่านี้ ได้พิสูจน์ตัวเอง คุณหวั่นไหวมั้ย คุณมีความมั่นคงมั้ย คุณมีความแน่ชัดยืนหยัดยืนยันมั้ย คุณมีอะไรที่จะเกิดพลัง ที่จะรวมกันขึ้น เอาจริงเอาจังขึ้น คุณจะพัฒนาขึ้นมั้ย มันจะเป็นเครื่องจุดไฟให้แก่เรา ได้มีพลัง
ดีขึ้นได้บ้างมั้ย อาตมาว่ามันมีนะ ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่เกิด ท่านบอกว่าไปหน่อยเถอะ ลักษณะ ถ้าสมมุติว่าไม่ใช่ไปศาลนี่นะ ไม่ใช่ไปศาล ที่จะต้องไปขึ้นศาลนี่ ไปนี่ เดินทางกันอยู่นี่ ๖ ครั้ง ๗ ครั้งแล้วนี่ ถ้าไม่ใช่ไปศาลนะ ไปอะไร อันใดอันหนึ่ง ให้คุณเทียวไปๆ อย่างนั้นน่ะ คุณจะไปไหม อาตมาว่าไม่ไปล่ะ แต่ที่คุณไปนี่ คุณก็ได้ฝึกตน คุณก็จะได้แสดงสิ่งหนึ่งที่คุณว่า แหม! มันก็เห็นอยู่ว่าอย่างนั้นมันก็ดี ว่าควร แม้บางคนอาจจะ โอ้! เสียดายสตางค์ เสียดายเวลา เมื่อย อะไรต่างๆนานาบ้างก็ตาม แต่คุณก็เห็นว่า เอาน่ะ ไปน่ะๆ ไปเพื่อสิ่งหนึ่ง คุณว่าไปเพื่อสิ่งหนึ่ง เพื่ออะไรล่ะ เพื่อสิ่งหนึ่งน่ะ ไปน่ะ ไปเพื่อสิ่งหนึ่ง ไปเพื่อสิ่งนั้น คุณก็ไปเพื่อเหตุการณ์นี้แหละ ไปเพื่อเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์ที่บอกอันนี้น่ะ ที่ชื่อว่า เราจะต้องไปศาล ที่ถูกฟ้องนี่ จะต้องไปแสดงตัว จะต้องไป ยังไงๆก็จะต้องไปยืนหยัด ยืนยันว่า อย่ามาล้มล้างหน่อยเถอะน่า อยากให้ชนะ สรุปง่ายๆ อยากให้ชนะ สรุปง่ายๆนะ อยากให้ชนะ เพื่ออันนี้น่ะ

เพราะฉะนั้น เราลงทุนเราลงแรง เสียเวลา เหน็ดเหนื่อยอะไรก็ต้องเอา ถ้าไม่ใช่ไปศาล ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ คุณจะขยัน หรือคุณจะพากเพียรถึงขนาดนี้ไหม โอ้! บางที เดือนหนึ่ง ๒ ครั้ง ก็ต้องเดินทาง อยู่ต่างจังหวัดก็ตั้งไกลๆ แล้วก็ไม่ได้มี ๒ ครั้งเท่านั้น ติดต่อกันมาตั้ง ๖ ครั้ง ๗ ครั้งแล้ว แล้วยังจะไปอีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ มันจะพิสูจน์กันจริงๆเลยน่ะ มันพิสูจนกันไม่ใช่เบาหรอก มันหนักขึ้น เรียกว่าต้องสู้ทน ต้องอดทนมากขึ้น มันเป็นผลดีกับกระแสวงกว้างอีกด้วย เห็นไหม มันเป็นการโปรปะกันด้าไป มันเป็นการบอกให้คนอื่นสนใจ ศึกษา มองในแง่ตื้นๆ เหมือนกับเราว่าเสีย เพราะเขาประกาศ ทางโน้นเขาโพนทะนาว่าเราผิด ในแง่เชิง เหมือนกับเรานี่เป็นผู้ผิดๆๆๆๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาประสบผลสำเร็จ ว่าเรานี่ผิดแท้ๆ คนเชื่อถือ เห็นจริงเห็นจังเป็นที่สุด ไม่หรอก ยัง ลึกๆ มีอะไรลึกๆละเอียดๆ คนเห็นความจริงได้ เห็นใจ เข้าใจ ยิ่งนานวัน ยิ่งมีอะไรออก ทั้งสองค่ายทั้งสองด้าน มีปฏิกิริยา มีบทบาทมีลีลา มีความจริงความไม่จริง อะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นเนื้อหาของแต่ละฝ่ายแต่ละด้าน แต่ละคนนั่นแหละ ยิ่งนานวัน ยิ่งมีมากขึ้น มันก็ยิ่งแสดงสิ่งจริง ที่จะขัดขาวขัดดำ อย่างที่อาตมาสมมุติแต่ต้นแล้วว่า ถ้าอันหนึ่งขาว อันหนึ่งดำ มันก็เป็นการต่อสู้ที่จะมีสภาวะ ปรากฏขึ้นมายืนยันความจริงนั้นออกไป

ถ้าคุณมั่นใจว่าทางนี้ถูก ทางเราถูก มันก็จะยืนยันความถูกนี้ไปเรื่อยๆ เปิดเผยออกมากขึ้น ผู้แสวงหา ความถูก หรือสัจธรรม ผู้ที่มีดวงตามีปัญญา เขาก็จะเห็น เขาก็จะรู้ เขาก็จะได้ เป็นประโยชน์

อ่านต่อหน้า ๒
File 0723A.TAP