กอบกู้พุทธด้วยชีวิต หน้า ๒
แสดงโดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๔
เมื่อวันมาฆบูชาที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก

ต่อจากหน้า ๑


ถ้าคุณมั่นใจว่าทางนี้ถูก ทางเราถูก มันก็จะยืนยันความถูกนี้ไปเรื่อยๆ เปิดเผยออกมากขึ้น ผู้แสวงหา ความถูก หรือสัจธรรม ผู้ที่มีดวงตา มีปัญญา เขาก็จะเห็น เขาก็จะรู้ เขาก็จะได้ เป็นประโยชน์ออกไปจริงๆ แต่ก่อน ไม่มีความใส่ใจสนใจเท่าไหร่ ตอนนี้มีความสนใจใส่ใจแพร่หลายไปกว้าง มันกระจายออกไปในรูปของ เหมือนกับ ไม่ใช่การสรรเสริญเยินยอยกย่องอะไรหรอก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่ได้สัจจะ แม้จะไม่ได้ไปในรูปของการยกย่องสรรเสริญเยินยอ ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้กระจาย หรือแพร่สัจจะ มันแพร่ จะไปในรูปที่ไม่ได้ยกย่องสรรเสริญ ดูถูก ตู่ว่าผิดเสียด้วยซ้ำก็ตาม มันก็แพร่สัจจะไปเหมือนกัน ทำเอาเอง ไม่ได้ง่ายๆอย่างนี้หรอก คนที่มาช่วยสนับสนุนในการเผยแพร่นี้ ถึงขนาดที่มันผ่านมา จนถึงวันนี้นี่ ทำเอาเองไม่ได้ มีเงิน มีทอง กี่ร้อยกี่พันล้าน ยังทำไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องดีอย่างนี้น่ะนะ

ทีนี้ตัวพวกเราล่ะ มาถึงวันนี้ ได้มีอะไรเกิดขึ้น ได้มีอะไรมากขึ้นบ้าง จัดสรรของมัน มันปรับปรุงตัวของมัน เกิดสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะเจริญขึ้น เราก็ต้องปฏิบัติทำตาม ไปตาม บทบาทลีลาของกิจกรรมที่มันเกิดขึ้น พิธีกรรมก็ด้วย เราก็ต้องปฏิบัติธรรมไปตามบทบาทลีลาของกรรม พิธีกรรม กิจกรรมเกิดเพิ่มขึ้นมากขึ้น เราก็ได้ปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพราะจะมีองค์ประกอบ จนมีการสัมผัส เกี่ยวข้อง ที่เราจะต้องมี สติสัมปชัญญะ มีธัมมวิจัย มีวิริยะอะไร ตรวจตรา พิจารณาความจริงที่มันเกิด การกระทบสัมผัสจริงๆ ได้มีแบบฝึกหัดที่ได้ทำเพิ่มขึ้น บางคนก็อาจจะยังไม่อยากเรียน เหมือนเด็กๆที่ ไม่อยากไปโรงเรียนบ้างก็ตาม แต่ยังไงๆ คุณอยู่โรงเรียนนี้ คุณก็ต้องไป ขาดโรงเรียนมาก สอบตกนะ ไม่ได้สอบด้วย ก็ต้องลากถูลู่ถูกังกันไปอยู่นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโรงเรียนนี้ เราก็ต้องไปโรงเรียน ต้องทำแบบฝึกหัด ต้องทำการบ้าน ต้องทำการงาน ทำการเรียน แต่ถ้าใครรู้เหตุการณ์ รู้ว่า โอ้! เหตุการณ์กาละนี้ เป็นอย่างนี้นะ มาถึงขั้นนี้ขีดนี้ อ้อ! มันต้องมีกรรม มีกิจกรรมมากขึ้นอย่างนี้แล้วนะ การเรียนต้องมีมากขึ้น ชั้นมันสูงขึ้นแล้วนะ ยุคสมัย กาละ บทบาท การเดินทาง ความพัฒนา ความโต อ้อ! มันโตขึ้นแล้วนะ มันมีอะไรมากขึ้นแล้วนะ เราต้องเรียนรู้ อบรม ฝึกฝน ขยันขึ้น เพิ่มขึ้น ผู้มีญาณปัญญารู้ ก็ต้องรู้ว่า อะไรมันเลื่อนขึ้น มันโต หรือมันทรุด เราจะมา ดูดาย ไม่รู้ไม่ชี้ โง่เง่าอยู่ได้ยังไง นี่กำลังชี้บอกให้คุณฟัง บางคนรู้ก็ดี บางคนไม่ดี ก็รู้สึกเสีย ตื่นซะ ว่าอะไร กำลังเกิดขึ้น เรากำลังโตวันโตคืนขึ้น กรรมต่างๆมันเป็นสัมมากัมมันตะ เพราะฉะนั้น เราก็ต้อง จัดแจง เรียนรู้สัมมากัมมันตะพวกนี้ ต่อไป มันเป็นสัมมาอาชีพ สัมมาอาชีวะ ที่เราจะต้องทำให้เป็นประจำ ชีวิตประจำวันขึ้นไป เพราะฉะนั้น ใครยังบกพร่อง ใครยังไม่รู้สึกตัวว่า เอ้า! นี่เลื่อนชั้นขึ้นไปอยู่ ป. ๒ ป. ๓ ขึ้นไปอยู่ ป. ๔ แล้วนี่ ต้องเรียนเพิ่มขึ้น ตำรามากขึ้น งานมากขึ้นนะ ต้องทำ มันโตขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นเด็ก แคระแกรน อยู่อย่างเดิม ไม่ใช่

เพราะฉะนั้น ต้องรู้ทั้งกาละ ความเติบโต องค์ประกอบของมันก็จะมารวมกันขึ้น การประชุมของชีวิต มันจะมีกรรม ชีวิตจะมีการกระทำ การงานจะมีเพิ่มขึ้น อาตมาไม่ได้ดิ้นรนมากมายหรอกนะ นี่มางานนี้ จะต้องมีชมรมเกษตรอโศกขึ้น ถ้าคิดตามมาตั้งแต่ต้นก็ อาตมาก็พยายามอยู่นะ พยายาม เอ้า! พยายามกระทำขึ้นซิ อย่างโน้น อย่างนี้ แต่ก็ไม่เคยไปบีบบังคับอะไรเกินการ สังเกตได้ พา แนะนำ ทำไร่ ทำนา ทำอะไรขึ้น ทำดีๆขึ้น มันก็ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ มาถึงวันนี้ มันเป็นรูปเป็นร่าง มันเป็นมวลเป็นหมู่ มันมีสิ่ง ที่เกิดขึ้น จริง ไม่ใช่พูดแต่ลอยลม ไม่ใช่มีแต่ทฤษฎี ไม่ได้เรียนรู้แต่เฉพาะตัวหนังสือตำรับตำรา เหตุผลลอยลม แต่ความรู้ ไม่ใช่ เราทำ เราลงมือ แล้วเราก็รวบรวมผู้ที่ทำอยู่ ยังกระจัดกระจาย เข้ามาให้เป็นหมวดหมู่ เข้ามาให้เป็นสภาพที่สมบูรณ์ ให้มันมีลักษณะที่แน่น ลงร่อง ลงรอย มีสาระสัจจะ มีสารัตถะ อันเป็น ความสมบูรณ์เพิ่มขึ้นๆ อาตมาไม่ได้พยายามที่จะเร่งรัดมันหรอก มีคนนั้นคิดหน่อย มีคนนั้นแนะขึ้น มีคนนั้น เกิดขึ้น มีอันนี้บ้าง มีอันโน้นบ้าง อาตมาที่จริงนะ ถ่วงๆเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็นไป มันก็ก้าวไป ถ้าเราได้ทำ เกษตรนี้ ให้เป็นหลัก ทำได้อย่างเกิดสภาพที่สมบูรณ์ขึ้น อุดมสมบูรณ์ ให้มันเพียงพอ ให้มันเป็นหลัก เป็นฐาน ที่แข็งแรงมั่นคง มีระบบดีๆแล้วไซร้ พวกเราจะเป็นอยู่สุขกันมาก แล้วจะมีบุญ จะได้ เกื้อกูลอุดหนุน สร้างบุญ ต่อสังคมมนุษยชาติในโลก ช่วยเหลือสังคมมนุษยชาติ เกิดจริงๆ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลกนี่ อาหารนี่สำคัญ ปัจจัย ๔ มันอาหาร เครื่องอาศัยบริโภค บริโภคใน ถ้าขยายขึ้นไปเป็น ๔ ปัจจัย ๔ ตามที่เราได้เรียนมา ท่านแบ่งเป็นบริโภคนอกบริโภคใน บริโภคนอก ก็ที่อยู่อาศัย กับเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม บริโภคในก็อาหารที่รับประทานเข้าไปในปากในท้อง เป็นกวฬิงกราหาร กับยารักษาโรค มันเป็นหนึ่งในโลก ก็คืออาหารที่กินในปากในท้องนี่แหละ เป็นหนึ่งยิ่งกว่าอะไร แต่ถ้านับ
เอาเป็นปัจจัย ๔ ก็ได้ บ้านเรือน เราไม่ต้องมีอยู่ ก็นอนโคนไม้ นอนดิน นอนหญ้าได้ เครื่องนุ่งห่มมีชุดเดียว ไม่มีอะไรจริงๆ มันก็ไม่ถึงตาย แต่อาหารไม่กินไม่ได้ อาหารต้องกิน เพราะฉะนั้น มันเป็นหนึ่งในโลกจริงๆ มันเป็นเรื่องสำคัญมาก เรื่องอาหารนี่เป็นหนึ่งในโลก นี่จะต้องศึกษาจริงๆดีๆ

อาตมาเคยพยายามดึงเรื่องอาหารขึ้นมา ในแสงสูญได้ทำเอาไว้ มีเรื่องราว มีสูตร พระสูตรต่างๆ เอารวบรวม เอามา พูดถึงเรื่องอาหาร วิเคราะห์เกี่ยวข้องกับเรื่องวัตถุ รูปธรรม อะไรต่างๆนานา ก็เอามาพูด พยายาม อธิบาย ไปถึงเรื่องนามธรรมเกี่ยวกับอาหาร ได้ทำมาบ้าง ก็ค่อยๆติดตาม ค่อยๆค้นคว้า เอามาค้นคว้า ศึกษา เพิ่มเติมก็ได้ อันโน้นมันเป็นความรู้นำมาก่อน ตอนนี้มันก็มีสภาพแล้ว มีพฤติกรรม มีกิจกรรมอะไร ของพวกเรา ขึ้นมาแล้ว เอามาศึกษา ศึกษาแล้วเราก็จะได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้น

อาตมาไม่ได้ ทำงานศาสนา ที่สั้นๆ จู๋ๆ ที่เป็นเถรวาทสุดโต่ง ที่มองไปได้ว่า มองแต่ไกลๆ มองแต่กิจออกป่า เขาถ้ำ อยู่เฉยๆ โลกจะเป็นยังไง ก็หลุดโลกออกไป ออกไปสู่อวกาศ หลุดออกไปจากวงโคจรความดึงดูด ของโลก นั่นเลย อะไรอย่างนี้ อันนั้นไม่ใช่เหนือโลก อันนั้นมันหนีโลก อันนั้นมันหลุดโลก หลุดโลก มันไม่ใช่ การอยู่เหนือโลก หลุดพ้นโลกนี่ หลุดพ้นด้วยวิธีอยู่เหนือ อย่างไม่ได้พราก ไม่ได้ห่างกัน มีคุณค่าประโยชน์ แก่โลกเสียด้วยซ้ำ เกื้อกูล สร้างสรรอยู่เสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทิ้งห่าง ทิ้งขาด แตะไม่ติด ไม่เกี่ยวไม่เกาะอะไร กันเลย ไม่ใช่ อุดหนุน เนื่องหนุน เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ หรือ โลกนั่นเอง อนุเคราะห์โลกอยู่จริงๆ ขอยืนยัน ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนั้น แล้วเรา กำลังเป็นได้ๆ แม้มันจะนิดหน่อย แต่มันก็มีรูปร่าง เป็นรูปธรรม พอดูออก ในพวกเรานี่ดูให้ดี กำลังเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ กอปรก่อขึ้นมา เรื่อยๆ มีกิจกรรม มีพฤติกรรม มีองค์ประกอบในการสร้างสรร เสียสละ หรือให้ หรือทาน หรือเอื้อเฟื้อเจือจาน แจกจ่าย แม้มันยังไม่ลงตัว มันยังไม่สมบูรณ์ มันยังไม่เข้มข้น มันยังไม่จัดชัดในการได้อุ้มชู เสียสละ อนุเคราะห์โลก กันอย่างมากมวลมากมาย มีทั้งประสิทธิภาพ คุณภาพ ปริมาณอะไรมากพอ ก็ตาม แต่มันก็มีรูปรอยรูปร่าง ที่ให้เราพออ่านออก เห็นได้ มีรูปรอย จะจริงก็อยู่ที่พวกคุณ มากคนมากแรง มากผลผลิต มากกิจกรรมกิจการ มากกรรมนั่นเอง มากขึ้น มันก็จะเป็นจริงขึ้น คนจะจำนนต่อสัจจะพวกนี้ ทำขึ้นมาเถอะ เราไม่ได้ชนะ เพราะ ไปโต้เถียง เราไม่ได้ชนะเพราะไปอวดอ้างความรู้ แต่เราจะชนะเพราะ ความจริงที่เรากอปรก่อขึ้นมา ว่าเรา ปฏิบัติธรรม เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราทำงานศาสนาด้วย ปฏิบัติตนด้วย จะเป็นคนสร้างสรร ขยันเพียร จะเป็นคนมีประโยชน์คุณค่าต่อโลก หรือเราจะถ่วงโลก หรือจะมาทำลายโลก มาทำลายศาสนากันแน่ ความจริงพวกนี้ มันจะปรากฏ มันจะเป็นคำตอบ มันจะยืนหยัดยืนยัน ให้คนเขาจำนนเอง ไม่ใช่ไปเถียงเขาชนะ นั่นคือชนะ ไม่ใช่ไปคิดหาเหตุผลมาล้มล้างกัน แล้วก็ชนะคือชนะ ไม่ใช่ อาตมาไม่เห็นว่า มันเด่นอะไรนักหนาหรอก

แต่ทำบ้าง เพื่อยืนยัน แก้กล่าว กล่าวแก้ เพื่อไม่ให้เขาพวกที่หลงผิด เพื่อให้มีหลักฐาน เพื่อยืนยันบ้าง ทำบ้าง แต่อันนั้นไม่ใช่หลัก หลักคือเราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้มันเกิดจริงๆเลย เป็นนักสร้างสรร เป็นนักลดละกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นผู้เป็นคนในโลก ที่มีประโยชน์คุณค่า อุ้มชูโลกอยู่จริงๆ แล้วเราก็เลี้ยงตนได้ พึ่งตนได้ ไม่ได้เบียดเบียน ไม่ได้ถ่วงโลก ไม่ได้หนักโลก ไม่ได้เป็นภาระของโลก ของสังคม แต่เราเป็นผู้ที่มีประโยชน์ คุณค่าให้แก่สังคมจริงๆ เราต้องพิสูจน์ความจริงพวกนี้ เรายิ่งหมดโลภ โกรธ หลง ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่ขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร และแจกจ่าย เจือจาน อุ้มชู เป็นคนไม่โกรธ ไม่พยาบาท เขาจะด่า จะว่า เขาจะดูถูก ดูแคลน เขาจะใส่ร้ายใส่ความ ที่สุดแม้เขาจะมารุนแรงกับเรา จะทุบ จะตีเอาบ้าง

ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่ถึงขั้นเข้ามาไล่ทุบไล่ตีเลย อาตมาถึงบอกว่า เรายังไม่ได้เดือดร้อนอะไร มันอาจจะถึงขั้นนั้น ก็ได้ เตรียมใจไว้หน่อยก็แล้วกัน นี่ไม่ได้พยากรณ์นะ อาจจะเข้ามาไล่ทุบไล่ตีบ้างก็ได้ ไม่ได้พยากรณ์ แต่บอกไว้เท่านั้นแหละ อาตมาบอกตรงๆ ไม่ได้พยากรณ์ ไม่ได้นึกว่ามันจะถึงขั้นนั้น หรือก็ไม่ได้บอกว่า ไม่ได้นึกว่า มันจะไม่ถึงขั้นนั้น เป็นแต่เพียงพูดด้วยโวหาร โดยความรู้ ที่รู้ว่า มันอาจจะเป็นได้ เมื่อมัน จะเป็นอย่างนั้น คุณจะทำอย่างไร ก็บอกไว้เท่านั้นเอง ก็ต้องสู้ เขาจะตีเอาบ้าง เขาจะทำร้าย ทำลายเอาบ้าง แม้จะต้องเสียสละ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ จะสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ถึงขั้นนั้นก็จะต้องทำ มันจะมีวิบาก ถึงขั้นนั้นหรือไม่ อาตมาก็บอกอีก บอกไม่รู้ ไม่พยากรณ์ ไม่ได้มานั่งนึก นั่งตรวจตราอะไรไป บอก อาตมา ไม่เล่นอย่างนั้น ไม่เล่น เราอยู่ในความไม่ประมาท เท่านั้นแหละ แล้วเราก็ทำดีที่สุด ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ทำไป สร้างสรรไป ทำขึ้นจริงๆ ขยันหมั่นเพียร เราต้องขยันมาก เพราะเราเป็นหัวหอก หัวหอกนี่ หนักหนาสากรรจ์ แล้วหัวหอกนี่ ไม่ค่อยได้เสวยผลหรอก ปลูกฝังไว้ เพื่อผู้ที่สืบทอดในอนุชนรุ่นหลัง ผลสำเร็จ หัวหอกไม่ค่อยได้หรอก แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสั้นด้วย เรื่องยาว เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องสั้น ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องยาว เรื่องใหญ่ ต้องสืบทอด ต้องปลูกฝัง ต้องมั่นคงแน่นหนา ต้องจริงจัง สถิตสถาพรให้ได้ มันจึงจะท้าทายต่อ การพิสูจน์ มันจึงจะยืนยันความจริง แล้วมันไม่สั้น บอกแล้ว มันยาว มันนาน เราตายก่อนก็ตาย ข้อสำคัญ เรามั่นใจไหมล่ะ มั่นใจแล้ว ทำดีลูกเดียว ดีก็เป็นดี เป็นกุศล เป็นกรรมอันทำแล้ว คนรุ่นหลังๆ ได้รับอานิสงส์ ไม่แรง เท่าคนรุ่นแรกๆหรอก เพราะรุ่นหลังๆ มันเหมือนกับเป็นพวกได้รับอานิสงส์ ได้รับเหมือนชุบมือเปิบบ้าง แต่ที่จริง อาตมาไม่ได้ไปว่าคนรุ่นหลังหรอกนะ แต่ว่ามันเป็นธรรมดาของเขาน่ะ เหมือนลูกรับมรดกจาก พ่อแม่มา มันก็เป็นเรื่องจะเรียกว่าบุญก็ได้ จะเรียกว่าชุบมือเปิบก็ได้ แต่ที่จริงบุญของผู้สร้าง ไม่ใช่บุญของ ผู้ชุบมือเปิบ ไม่ใช่บุญของผู้รับมรดก ผู้รับมรดกก็เป็นผู้ที่สบายหน่อย แต่บุญก็น้อยกว่าผู้สร้างจริง ใช่ไหม ผู้สร้างจริง จะต้องได้บุญมากกว่า เป็นธรรมดา เป็นเรื่องสัจจะ คุณฟังเอา อาตมาไม่ได้พูดโมเม ไม่ได้มา หลอกล่ออะไร อาตมาพูดวนเวียน พูดซ้ำซากอยู่ในเรื่องนี้บ่อยๆ เพราะว่าอาตมาไม่มีเรื่องอื่น อาตมามีเรื่องนี้ เรื่องของชีวิต เรื่องของมนุษย์ เรื่องของคุณค่า เรื่องของความดีงาม เรื่องของความลดละกิเลส ตัณหา อุปาทาน เรื่องของความลดโลภ โกรธ หลง สรุปไปหาเรื่องของความพ้นทุกข์ เรื่องของความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความพ้นทุกข์จริงๆ

ทุกวันนี้พวกเรานี่อยู่สบายกัน งาน แม้แต่งานปลุกเสกฯนี่ ปีนี้ออกสบายๆ มันเข้าระบบ ทุกคนเอาใจใส่ ทุกคนขวนขวาย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ แล้วมีคนเพิ่มขึ้น ช่วยนั่นช่วยนี่กัน อาตมาว่าปีนี้นะ ไม่หนักไปที่ คนใดคนหนึ่งอยู่แอ้ หรือว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือกลุ่มเล็กจนแอ่นแอ้ ไม่ มีมวล มีปริมาณพอที่จะเข้าไป หนุนเนื่อง ช่วยหนุน ช่วยทำกัน งานส่วนนั้นส่วนนี้ อะไรต่างๆนานา นี่มันเข้าระบบ มันจัดแจงตัวมันเอง มันสังเคราะห์ ตัวมันเอง มันปรับตัวมันเอง มันพัฒนาตัวมันเอง มันเจริญขึ้น มันมีความก้าวหน้า มันมี ความเจริญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว เราไปมองไปในแง่ว่า เออ! มันสบายอย่างนี้ ดีแล้วล่ะ ก็ปล่อยเขาทำ เขามีคนทำมากแล้ว เราก็เฉยๆเถอะ บุญใคร ก็บุญคนทำ คุณไม่ทำ คุณคิดอย่างนั้น คุณก็ไม่ได้ทำ คุณก็ไม่ได้ก่อบุญ ไม่ได้สร้างบุญ ใครทำก็ได้บุญ สร้างบุญเสริมบุญขึ้น กรรมเป็นของของตน ก็ทำไป ต้องเจาะหาอรรถสาระให้มัน แม่นเป้า แล้วก็พัฒนา สุคโต สุคโต สุคโต สุคตินี่ไม่ได้หมายความว่า สุ-ข-ติ นะ สุคติ แม้ว่าเราจะอวยพร หรือว่าเราจะพูดกับคนที่ตายไปแล้ว เออ! ขอให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องขอ เขาก็ไป ตามเขานั่นแหละ เขามีทุคติ หรือสุคติ ก็เป็นของเขา แต่เอาเถอะ นิยมจะพูดกัน ก็ไม่ว่าอะไร ขอให้ไปสู่สุคติ สุคติ ไม่ใช่สุขติ เขียนอย่างนี้ซิ เขาถึงบอกว่า มันไม่รู้อะไรเสียเลยน่ะ ภาษาบาลีอันนี้ สุคติ ไม่ใช่สุขติ อยู่ที่กระดานอยู่ที่บอร์ด ทั้งเขียนตัวใหญ่ ตัวเล็ก เขียนกันสุขติกันแทบทั้งนั้นแหละ มีเขียนสุคติอยู่ ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเขียนสุขติกัน ทั้งนั้นเลย เขียนผิดน่ะ หมายความว่าไปดี มันดำเนินไปดี ดำเนินไปดี ได้เรื่อยๆ ตราบที่ จะถึงปรินิพพานโน่นแหละ ดำเนินไป ร่างกายตายแล้วก็ไปต่ออยู่ ดำเนินไปต่อ วิบากต่อไปอยู่ นี่ยังมีวิบาก ยังไม่ถึงปรินิพพานเมื่อไหร่ ก็มีวิบาก แต่อย่าไปเข้าใจเป็นอัตภาพเป็นตัวๆ แท่งๆ ก้อนๆ โด๊ๆเด๊ๆ อะไรอย่างนั้น อย่างที่เข้าใจกันเพี้ยนๆผิดๆอย่างนั้น ไม่ใช่ มันเป็นบทบาทของวิบาก ซึ่งอาตมา ก็ไม่มีภาษาที่จะอธิบาย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อธิบายไว้ ถ้ามันอธิบายได้ง่ายๆ พระพุทธเจ้าก็อธิบาย เอาไว้ก่อนแล้ว ไม่ต้องรออาตมาอธิบายหรอก มันอธิบายไม่ได้ มันอนิทัสสนัง เรื่องวิญญาณนี่ มันอยู่ยังไง มันไปยังไง ก็ได้แต่พูดอย่างนี้ เป็นภาษากว้างๆ ไม่รู้จะชี้ยังไง มีตัวอย่างประกอบเปรียบเทียบ ก็พูดได้บ้าง เล็กๆน้อยๆ จะให้ไปตรงจริงทั้งหมดสมบูรณ์ จนกระทั่งชัดเจน มันยาก มันไม่ได้ มันก็ไปตามที่มันควรจะเป็น ควรจะไปเท่านั้น ควรจะอธิบาย ควรจะพอรู้พอสื่ออะไรกัน ก็ทำได้แค่นั้น เมื่อรู้ว่า วิถีทางเดินของแต่ละคน ของมนุษย์ แต่ละคน ของใครๆก็แล้วแต่ เรามีมรรค เป็นสัมมาอริยมรรค มีทาง มีวิถีที่เดิน เดินไป ดำเนินไป อยู่เรื่อยๆ ดำเนินดี ดำเนินถูกทาง เป็นสัมมาอริยมรรค เป็นสุคติที่จริง เป็นสัมมัคคโต สัมมัคคตะ ็ดำเนินไป นั่นแหละ ดำเนินไปอย่างดี ดำเนินไปดีแล้ว ชอบแล้ว ควรแล้ว ถ้าเรายิ่งเพียร มันไม่เพียร เราก็ต้องสร้าง ให้เราเองเพียร เมื่อเราแน่ใจชัดๆแล้ว เพียร อย่าหยุดยั้ง เพียร เราทำต่อไป

ขณะนี้ ในด้านการค้า ในด้านพาณิชย์ ในด้านเกษตร มันกำลังก่อตัวขึ้น ในวรรณะ ๔ นี่นะ ผลิต ถ้าเราเป็น นักผลิตกันเพียงพอเมื่อไหร่ อาตมานี่อยากจะท้าให้พวกเราพิสูจน์ เราเป็นนักผลิตที่จะดำเนินทฤษฎี หรือ บุญนิยม ทฤษฎีระบบบุญนิยมนี่ดูซิว่า มันจะแก้ปัญหาที่เขาทุกข์เขาร้อนกันอยู่มากมายได้ไหม อย่างน้อย ที่สุด ในหมู่พวกเราเอง เราดำเนินไปอย่างตามทฤษฎีหลัก ในมรรคองค์ ๘ นี่ มีการงาน มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ พวกเราทำอยู่นี่ แล้วการเป็นชีวิตเป็นอยู่ ชีวิตของเรา ก็สร้างขึ้น ระบบของชีวิตก็สร้างขึ้น ความเป็นอยู่ของเรา มีที่อาศัย เครื่องอาศัย มีระบบ ความเป็นอยู่ หลายคนรู้สึก แปลกใจมั้ย เอ๊! เรานี่ แต่ก่อนก็เป็นข้าราชการดีๆนะ มีหลัก มีฐาน มีหน้า มีตา แต่งเนื้อแต่งตัว เป็นที่เชิดหน้า ชูตา บางคนก็ติด ๓ ขีด บางคนติด ๒ ขีด บางคนติด ๔ ขีด อะไรก็ตาม มียศ มีศักดิ์ มีรายได้ มีบ้านอยู่อาศัย เสื้อผ้าหน้าแพร เครื่องใช้ไม้สอย เป็นหลักเป็นฐานดี เดี๋ยวนี้มาดูตัวเอง โอ้! มันเหมือน กระจอกอะไร สักตัวหนึ่ง บ้านของตัวเองก็ไม่มี ดีไม่ดี บางทีไม่มีที่จะนอน ไปนอนดินนอนหญ้า เสื้อผ้า หน้าแพรก็อย่างนั้น ไปไหนมาไหน มันก็ดูโทรมๆ มองดูตื้นๆ ดูโทรมๆ เหมือนกับคน กระจอกๆอะไร เอ๊! มันเป็นมาได้ถึงปานฉะนี้ เชียวหนอ แล้วคุณก็ดำเนินไปอยู่เรื่อยๆ ชีวิตก็ดำเนินไปอยู่เรื่อยๆ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะอะไร คุณก็เดินไปอยู่เรื่อยๆ เอาใจใส่พากเพียรไป บางคนก็เข้าใจดี มีความมั่นใจดี รังสรรค์ไป อุตสาหะไป

อาตมามาที่นี่ก็มาดู เออ! ดูนะ ครูอัปสร ดูร่างกายชีวิตก็ดู ผมเผ้าก็ตัดกันอย่างนั้น แต่ก่อนมันเป็นอย่างนี้หรือ อยู่แต่ก่อนแต่เดิมนะ เป็นอย่างนี้หรือ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้เลยนะ โอ้! แม่ก็ยังอุตส่าห์เห็นลูก มันเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เห็นแปลกอะไรได้ แม่ก็มา ลงมือช่วยทำ ทำไมไม่คิดบ้าง มันเป็นยังไง มันมาตกต่ำเสื่อมโทรมอะไร ขนาดนี้นี่ ยังไม่รู้สึกตัวเชียวหรือ ซอกๆๆๆๆ มานั่งปั้นไอ้ลูกอะไร ขี้เลื่อย ทำ เดี๋ยวก็มาทำตรงโน้น มาจุดไฟ ทำโน่นทำนี่ เอ้าอบนั่น รมนี่ทำไป วุ่นอยู่ตรงนั้นน่ะ มาทำเห็ดอะไรอย่างนี้ แต่งเนื้อแต่งตัว บางทีก็นุ่งกางเกง ขาก๊วยตัวหนึ่ง นุ่งผ้าถุง เสื้อคลุมตัวไปอย่างนั้นน่ะ หน้าตามอมแมมๆ คนนั้นบ้าง คนนี้บ้างอะไรล่ะ ไม่ได้ยก ตัวอย่าง คนนั้นคนนี้อะไรก็แล้วแต่ คล้ายๆกันทั้งนั้นแหละ อยู่ศีรษะฯบ้าง อยู่ปฐมฯบ้าง อยู่สันติอโศกบ้าง ลาออกจากงานมา มีหลักฐานแบบโลกๆเขา แย่งชิงกันอย่างกับอะไรดี บางคนก็มีบริษัทตัวเอง บางคนก็มี กิจการตัวเอง เลิกๆราๆมา มาอย่างนี้ มันสุขดีอยู่หรือ อาตมาขอถามหน่อยเถอะ สุขอย่างไร อุตส่าห์วิเคราะห์ โลกียสุข วูปสโมสุข คุณสุขดีอยู่หรือ สุขอย่างไร วูปสโมสุข คุณเข้าใจไหม มันเป็นอย่างนั้นไหม โลกียสุข คุณเข้าใจไหม คุณละเลิกโลกียสุขมาได้จริงไหม อาตมาไม่กลัวนะ ว่าพวกคุณนี่ จะโง่จะฉลาดอะไร ไม่กลัว

อาตมาต้องการคนที่เห็นจริงเป็นจริงอย่างที่อาตมาว่านี่ จะเรียกว่าฉลาด จะเรียกโง่อะไรก็ อาตมาไม่สนใจ ทั้งนั้นแหละ ไม่งงๆล่ะ ให้มันรู้สภาวะจริง อารมณ์จริง ดำเนินไปจริง อย่างนี้เรียกว่าสุคโต สัมมัคคโตได้ไหม อย่างที่เราทำอยู่ แต่ก่อนนี้ สุคโตจริงหรือเปล่า เกิดบุญ เกิดกุศล เป็นทางสวรรค์จริงไหม ทางสวรรค์คือ ยังไง ใช้ญาณปัญญาตรวจสอบ อาตมากำลังเห็นว่า เออ! เรากำลังเดินไปนะ ครูสำรอง ครูเพ็ญศรี ลาออกมา จากงาน มาเอาหน้าดำ มันตากแดด เอ้า! บุก ลุย ทำกัน เสร็จแล้ว ก็ทำกันมาก็มีมรรค มีผลผลิต มีอะไร ขี้นมาก็ โอ้! ดี มีปีติ ทำกันไป เขาจะมาซื้อของบอกว่า แหม! ซื้อ เราก็ไม่ขาย ก็อยากได้ล่ะ จะซื้อไปกินน่ะ อ๋อ! จะซื้อไปกินเหรอ เอาไปเลย ตัดให้ไปกิน คุณทำทำไม อย่างนั้นน่ะ ถ้าเป็นแต่ก่อนเป็นยังไง อยากซื้อเหรอ เอาซิ ราคาตลาดเท่าไหร่ ดีไม่ดี บอกว่าของฉันดีนะ ฉันไม่ใส่ยา เป็นของที่ไม่มีธาตุพิษน่ะ ของเขาขายลูกละ ๕ บาท ๑๐ บาท ฉันต้องขายลูกละ ๒๐, ๓๐ นะ ซื้อไหม ถ้าเป็นเมื่อก่อน จะเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ ทำไมมันให้ได้ง่ายๆ เราเหนื่อยนะ เราทำนี่ เราเหนื่อยนะ ลงทุนลงแรงนะ คุณทำถูก หรือคุณทำผิด มันเป็น ทางสวรรค์ หรือ มันเป็นทางนรก ตรวจตรา อาตมาพามาทำอย่างนี้น่ะ แล้วคุณก็ทำ อย่างนี้ อาตมาก็ชื่นใจ เออ! ทำกันเถอะ เสียสละ สร้างสรรไป เกื้อกูล ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เมตตา ช่วยเหลือ เผื่อแผ่กันไป อย่างนี้น่ะ ไม่ใช่พูดแต่ปาก ไม่ใช่พูดแต่ปรัชญาสุภาษิตสวยๆ คำสอนหรูๆ แต่คนทำไม่ได้ ไม่มีคนทำเลย ไม่มีคน พากเพียรจะทำเลย ทำให้มันสูงขึ้นไปให้มันเป็นระบบ ให้มันเป็นคนกลุ่ม มันเป็นสังคม ที่ทำอย่างนี้ มีวัฒนธรรมอย่างนี้ ทำอย่างนี้กัน จนกระทั่ง ลูกหลาน รุ่นต่อๆมา เกิดมา ก็เกิดมาพบ จิตวิญญาณอย่างนี้ วัฒนธรรมอย่างนี้ แล้วก็สืบทอดวัฒนธรรมอย่างนี้กันไป ทำให้มันได้เป็นอย่างนั้น

ตอนนี้เราปลูกฝัง ปลูกให้มันแน่นหนา ให้มันมั่นคง ตรวจว่าเราทำผิด หรือว่าเราทำถูก ถ้าเราทำถูก ทำเข้าไป ทำเข้าไปให้มั่นคงถาวร พิสูจน์เข้าไป เสร็จแล้ว รุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นไหนเขาเข้ามา รุ่นน้อง รุ่นเหลน รุ่นอะไร เขาเข้ามาอีก มาเห็น มารู้ มารับสืบทอดกันไป เด็กรุ่นหลังๆเกิดมา ก็มาพบแต่แบบนี้ อยู่ในวงพวกเราขึ้นมา มีวัฒนธรรมอย่างนี้ สังคมพวกเราก็เป็นอย่างนี้ เกิดมาก็มารู้อย่างนี้จริงๆ มันเป็นวัฒนธรรม ที่ให้สืบทอดเลย มันถึงจะยืนยัน มั่นคงไปอีก ไม่แปรปรวนได้ง่ายๆ ถ้าแน่ต้องสร้างให้มั่นคง ทำให้มั่นคง ทำให้ยืนหยัด ยืนยันถาวรไป ให้เที่ยงแท้โน่นแหละ แต่มันไม่เที่ยงแท้หรอก มันจะเที่ยงแท้ก็เพราะว่า เรารังสรรค์มันไว้เรื่อย บูรณะมันไว้เรื่อย มันจะเสื่อม บูรณะมันเรื่อยๆๆ ถ้าเราเสริมบูรณะอยู่เรื่อยๆ มันก็เสื่อมช้า ไม่มีอะไรไม่เสื่อม เสื่อม แต่มันก็เสื่อมช้า มันจะมีขบถมาเมื่อไหร่ ก็พยายามขจัดขบถ อย่าให้มาเปลี่ยนแปลง อย่าให้มา แปรปรวน ทำไป มันจะมีตัวแปร มันจะมีตัวทำให้เสื่อมอยู่นั่นแหละ เราก็ทำไว้ พยายามอย่าให้มันเสื่อม ตอนนี้อย่าว่า จะให้มันเสื่อมเลย รังสรรค์ยังไม่แข็งแรง ยังไม่เป็นระบบที่มั่นคงด้วยซ้ำ แต่เราจะทำๆ เราจะปลูกฝัง ถ้าเราได้ทำการเกษตรนี่ให้มั่นคง ผลิตสิ่งที่เป็นปัจจัย ๔ ของเรา อาศัยเอง มีอัตตา หิ อัตตโน นาโถ เกื้อกูล เผื่อแผ่ เลี้ยงพวกเรา กันเองได้อย่างสบาย เห็นเงินเป็นของไม่มีค่าอะไร แจกจ่ายกัน อยู่ๆกินๆ ในครอบครัว อันใหญ่ เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นบริษัทใหญ่ เป็นบริษัทเดียว เผื่อแผ่กันได้ทั่วถึงกัน มาเน้น ดูซิ ศาสนาเป็นอย่างนี้ ใครไม่เชื่อ

เขาบอกว่าศาสนาต้องไปนั่งหลับตาโน้น ต้องไปเอาเรื่องของจิตโน่น ที่คุณกำลังทำนี่ ก็ไม่ใช่เรื่องของจิตเหรอ ที่กำลังพาทำนี่ ที่บอกว่าเผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อ เจือจานนี่ มันไม่ใช่เรื่องของจิตเหรอ ไม่ใช่เรื่องของการลดความโลภ ความเห็นแก่ตัวเหรอ ไม่ใช่การลดความขี้เหนียวขี้หวงเหรอ ไปนั่งแต่สะกดจิตอยู่นั่นแหละ แล้วมันลดอะไร แล้วมันสร้างอะไรมาพิสูจน์ ว่ามันหมดหวงแหนอะไรกันนักกันหนา แล้วมันได้เกื้อกูลอะไรเป็นหิตประโยชน์ ผู้อื่นนัก มันเป็นโลกานุกัมปายะแบบไหน นี่มันเป็นโลกานุกัมปายะเห็นๆนี่ พิสูจน์ให้ได้ ถ้ามนุษย์ทำไม่ได้ มันไม่มีใครทำได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มา ท่านก็เป็นมนุษย์ แล้วท่านให้ลูกศิษย์ทำมา ตั้งแต่เริ่มๆต้น จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ ๒๕๓๓ ปี หลังจากที่ พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้วนี่ ท่านก็ให้ทำอย่างนี้นี่ อย่างที่อาตมาว่า อาตมากล่าวนี่ อาตมายืนยันว่า อาตมาไม่ได้พูดผิด อาตมาแน่ใจว่า อาตมาพูดถูก

วันนี้ ท่ามกลางมาฆฤกษ์ มาฆบูชาปุณณมี อาตมาก็ขอยืนยันว่า อาตมากล่าวสิ่งที่พระพุทธเจ้า ท่านมี พระประสงค์ มีพุทธประสงค์จะให้มนุษย์เป็น ขอย้ำยืนยันกับพวกเราว่า อาตมามีความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรแฝง เชื่อแน่ว่า พระพุทธเจ้าท่านปรารถนา ประสงค์ให้เป็นอย่างนี้ ให้มนุษย์ประเสริฐ อย่างนี้ ให้มนุษย์เป็นอยู่ ด้วยความเป็นอยู่สุข เป็นประโยชน์ตน และเป็นประโยชน์ท่าน อย่างนี้ ซึ่งเราจะมีวิธีการ ที่พยายาม ที่จะพัฒนาพวกเรา ซึ่งมันมีกิเลส ก็จะลดล้างกิเลส ลดล้างพฤติกรรมที่มันไม่เป็นกุศล พฤติกรรมที่มันไม่เป็นสุจริต มันไม่ดีไม่งาม ลดล้างมัน ให้มันมีสุจริต ให้มันมีกุศลให้สมบูรณ์ แข็งแรง มั่นคง เป็นระบบ ระเบียบ เป็นความจริงให้มันเกิด ตราบที่อาตมายังไม่ตาย อาตมาก็จะพาทำไปอย่างนี้ แล้วมัน จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ บอกแล้วว่า อาตมาจะไม่เป็นคนที่จะมานั่งพูดโครงร่างโครงสร้าง มีแผน มีโครงการ อะไร เอาไว้ จะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ จะเป็นรูปเป็นร่าง วาดหวานไว้ไกลเกินไป ไม่ พูดนำคร่าวๆ นิดๆ หน่อยๆ พอถึงบทไหน ก็ เอ้า! บทนี้เดิม มีเหตุปัจจัยมาบทนี้ ทำต่อ พออันนี้ เกิดเผยอแง้มขึ้นมา รับได้ รับทำขึ้น แง้มออกมาก็เปิดเลย ทำต่อ ไปเป็นจังหวะๆ ไปเป็นขั้นๆๆๆ ตามเหตุปัจจัยที่มีจริงขึ้นมาให้เราทำ ไม่ไปหลงเพ้อ กับความนึกคิด โครงการ โครงสร้างล่วงหน้าล่วงตาอะไรไปไกล ไม่เอา อาตมาไม่เอาอย่างนั้น พาทำ อย่างที่ทำมา นี่แหละ นานมาแล้ว หลายปีมาแล้ว ก็ไปเรื่อยๆ แล้วเราเห็นความเจริญ มันเจริญขึ้นมาเรื่อยๆ อาตมาไม่ได้วิเคราะห์ ให้พวกเราฟัง เรื่องเกษตรทุกวันนี้ก็ตาม มันเป็นเกษตร ล้มเหลวอย่างไร การค้า การขายทุกวันนี้ก็ตาม มันเป็นการค้าการขายที่ล้มเหลวอย่างไร แม้ปัจจัย ๔ เสื้อผ้าหน้าแพร มันพาล้มเหลว อย่างไร ที่อยู่ ที่พัก ที่อาศัย บ้านช่อง เรือนชาน มันพาล้มเหลวกันอย่างไร มันลึกซึ้งนะ

เพราะฉะนั้น อาตมาก็ไม่ต้องไปอธิบายอะไรมาก่อนก็ได้ พวกคุณก็พอรู้ๆเลาๆ อยู่แล้ว ก็พากันมานี่แหละ ที่อาศัย บ้านช่อง เรือนชาน ที่อยู่อาศัย ก็อยู่กันอย่างนี้แหละ หนักเข้ารุกขมูล โคนไม้ นอนดิน นอนหญ้าให้ได้ อย่างนี้นะ เสื้อผ้าหน้าแพรก็มักน้อยสันโดษ มานุ่งผ้า ใส่ผ้าบังสุกุล ผ้าเก่าๆ มอซอ คลุกขี้ฝุ่น บังสกุละนี่ แปลว่า คลุกขี้ฝุ่น เรียกว่า ขยะ ของที่เขาทิ้ง ของที่คลุกขี้ฝุ่นแล้ว เสื้อผ้าก็เหมือนกับของคลุกขี้ฝุ่น ของขยะ อย่างนี้ แล้วนี่แหละ นี่มีหลักฐานยืนยันว่า อาตมาไม่ได้พูดเอาเอง ก็รู้อยู่ พระพุทธเจ้าท่านตรัส เราก็มี แนวโน้มมาอย่างนี้ เราทำ เราพิสูจน์ เราไม่ได้ทำนอกรีตอะไร แต่ถ้าเราจะมีเสื้อผ้าหน้าแพรดีขึ้นในอนาคต อนุโลมขึ้นมาบ้าง ถ้าเราอุดมสมบูรณ์เพียงพอ มีวงการผลิต ที่ดีจริงๆ ไม่เดือดร้อน ในวงเศรษฐกิจของเราดี อาจจะดีขึ้นมาบ้าง แต่ใครยังจะปฏิบัติตน ที่จะมีบทบาทเป็นผู้นุ่งผ้าคลุกขี้ฝุ่น ผ้าบังสุกุลอยู่อีก โดยเฉพาะ เป็นสมณะ เป็นตัวหลัก ยืนหยัดยืนยันปฏิบัติตน นุ่งผ้าปะผ้าชุน นุ่งผ้าคลุกขี้ฝุ่น เย็บเอง ทำเองอะไร มันมักน้อย ให้มันมักน้อยจริงๆ เป็นผู้ที่สังวรระวัง ประหยัด ให้เห็นชัดๆอยู่ จะยืนหยัดยืนยัน ตัวอย่าง อย่างนั้นอยู่ เชิญ นิมนต์ ทำอยู่เลย แต่จะอนุโลมไปบ้าง สำหรับพวกที่เขาอยู่ในฐานที่ว่า เออ! เอาล่ะ เขาจะใส่เสื้อผ้า หน้าแพรมากชิ้น ไม่ถึงขั้นคลุกขี้ฝุ่นอะไร จะอนุโลมขึ้นมาบ้าง เราก็ไม่มีปัญหา ถ้าเรา อุดมสมบูรณ์ ไม่มีช่องว่าง ไม่มีอะไรที่จะต้องเดือดร้อน กระเบียดกระเสียน เป็นทุกข์เป็นภัย วุ่นวายอะไร มากมายนัก เราก็ทำ บ้านเรือนจะใหญ่ขึ้นกว่าที่มันเป็นกระต๊อบ อยู่อย่างทุกวันนี้ พอสมควร แต่ไม่ถึงกับ เป็นภาระ เราก็ไม่มีปัญหา เราจะมีสิ่งสร้างส่วนกลาง จะสร้างสถาปัตยกรรมบางสิ่งบางอย่าง ให้เห็นว่า หรูหรา ฟู่ฟ่า ใช้ความสามารถ ใช้ทุนรอน ใช้วัตถุ ที่เราก็ไม่ใช่เป็นคนกระจอกยากจนอะไร ไม่เป็นของส่วนตัว เป็นของของกลาง เราจะพึงทำได้เหมือนกัน เราจะพิสูจน์ได้เหมือนกัน ระบบการขนย้ายถ่ายเท การเอา ออกไปเผื่อแผ่กัน ที่เรียกว่า การค้าการขาย ที่จริงก็คือการแจกจ่าย การจำหน่ายแจกจ่าย แก่กันและกัน นั่นเอง มันก็จะเป็นระบบอย่างพวกเราที่พาทำ มันจะเป็นเนื้อหาของเศรษฐกิจอย่างไรๆ มันจะมีๆ มันจะเกิด ทุกวันนี้ก็พยายาม อาตมาก็พยายาม ดูแล ปรับทิศทางให้มันเกิด เรียกว่าจะเป็นการจำหน่ายจ่ายแจก ที่เรียกว่าการค้า เอ้า! ตอนนี้ก็การผลิต ก็พยายามดู ควบคุมดูแลว่า เอ้า! ให้มันเข้าร่องเข้ารอย การผลิต ให้มันดีๆ สร้างนักบริหาร พยายามฝึก ฝึกๆ หัดๆ การบริหาร เสียสละจริงๆ

ที่จริงนักบริหารนี่เป็นอนาคาริก แล้วก็สมบูรณ์ ไม่ใช่อยู่อย่างฆราวาส บริหารได้ ลองดู ลองสังเกตคุณจำลอง ทุกวันนี้ คล้ายๆกับอนาคาริก บ้านตัวเองจะอยู่สักหลังหนึ่งก็ไม่มีนะๆ แต่มีคนให้ เห็นไหม ตามที่ว่า มีคนมา เสนอให้ตั้งไม่รู้กี่หลัง ให้มันจริงเถอะน่ะ มนุษย์ ไม่ต้องไป สะสมหรอก แต่ระวังนะ คุณยังไม่มีบุญพอ บารมีพอ ทำไปแอ๊คอย่างนี้ไม่ได้นะ ไฟแรงแล้วก็ทิ้งพรวดทิ้งพราด ทำอะไรข้ามขั้น ไม่ได้ แต่เมื่อมันมีเหตุปัจจัยที่ครบ มีบุญบารมีที่ครบ มันไม่อดไม่อยากหรอก มันจะเป็นไปเอง มันจะเป็นไปจริง

อาตมาว่าในอนาคต พวกเรานี่จะมีตัวจริง นี่ไม่ได้พยากรณ์อีกนะ ถ้ามันเป็นไปโดยจริงแล้ว มันจะมีตัวจริง ยิ่งกว่าคุณจำลองอีก เป็นอนาคาริกยิ่งกว่าคุณจำลอง เป็นนักบริหาร อย่างลักษณะของคุณจำลองนี่ ถือว่า เป็นนักบริหาร ในวรรณะกษัตริย์นี่ อาตมาเรียก ว่านักบริหาร บอกแล้วว่ากษัตริย์นี่ไม่ใช่เป็นนักรบ ที่จริง เป็นนักเกษตรด้วยซ้ำไป บอกแล้ว กษัตริย์มาจากคำว่า เกษตร กษัตริย์นี่ หรือขัตติยะนี่ มันมาจากเขต หรือ เกษตร

เอาล่ะ อาตมาก็ว่าไป ทางเปรียญธรรมท่านจะว่าอาตมาก็ว่า อาตมาไม่มีปัญหาอะไร จริงๆ มันไม่ได้ หมายความ แคบๆตื้นๆ แต่ว่าเป็นนักรบ ไอ้นั่นมันแปลเอาความ มันแปลเอาสภาพเฉยๆ ในกาละยุคหนึ่ง มันก็เป็นอย่างนั้น หมายถึงอันนั้น แต่ในความลึกซึ้ง ในความสมบูรณ์ครบพร้อมแล้ว มันไม่ได้หมายตื้นๆ แค่นั้น มันมีมากกว่านั้น มันเป็นคุณลักษณะ ของนักบริหาร มีความรู้ทางด้านสร้างสรร ในด้านเกษตร ในด้านควบคุมป้องกัน ปกป้อง ดูแล ตัดสิน ครบทั้งนั้นแหละ นักบริหารนี่ ครบหมด เป็นทั้งนักรบ เป็นทั้ง ตุลาการ เป็นทั้งนักนิติการ เป็นนักอะไรทั้งหมด จะว่ากันแล้ว ก็มีความรู้ด้วยทางด้านเศรษฐกิจ มีความรู้ทาง ด้านรัฐกิจ มีความรู้ทางด้านสังคม มีความรู้ทางด้านทั้งพาณิชย์ ทั้งการอะไรแล้วแต่ แม้แต่ ต่างประเทศ แม้แต่อะไรต่ออะไรน่ะ เหมือนกัน บริหารประเทศชาติอยู่นี่แหละทั้งหมด อยู่ในสภาพอนาคาริก ได้จริงๆเลย ถ้าเผื่อว่า ระบบมันสมบูรณ์น่ะ มันเป็นไป มันจะเป็นอย่างนั้น นี่ก็พูดนำหน้าเอาไว้ให้ฟังคร่าวๆ แต่ก็ไม่ได้ ระบุรายละเอียด แล้วก็หวังไว้ว่า จะต้องเราเป็น แต่ก็เรานี่แหละจะไปเป็น แต่ว่าไปนี่ มันอาจจะนานก็ได้ ตายไปแล้ว อีกกี่ชั่วอายุคนก็ตาม ปลูกฝังสิ่งนี้ตามทฤษฎี ตามหลักเกณฑ์หลักการ เหตุปัจจัยนี้ มีเป็นทุนรอน เชื้อนี้ เผ่านี้ พันธุ์นี้ มันจะไปของมันเอง ทฤษฎีหลักๆ ที่มีคุณภาพ มีฤทธิ์ มีแรง มันจะนำพา ทฤษฎี หลักมีแรง มันจะนำพา ไปสู่สภาพที่ขยายอัตราการก้าวหน้า ไปสู่ความสมบูรณ์ได้เอง ขอให้มีฤทธิ์แรง ให้มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพที่เพียงพอก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น เราต้องปลูกฝัง เราต้องลงมือทำ ต้องสร้างสรร

ในวันนี้ อาตมาก็ย้ำยืนยัน ในวันมาฆฤกษ์ ในวันสำคัญ พวกคุณมาฟัง ตั้งใจรวมกันมาฟัง บอกแล้วว่า มันจะเป็นนิมิตอันหนึ่ง ที่มีความเพิ่มขึ้นได้ มันน่าจะลด แต่มันก็เพิ่ม อาตมาแน่ใจว่า คุณมาฟังวันนี้ มาฆบูชา งานปลุกเสกฯวันนี้ และถ้าแม้ว่ามันเป็นวันหลังๆ อย่างนี้แล้ว วันอื่นๆ มาฆบูชา จะไม่ได้อย่างวันนี้ วันนี้ได้ มีมากได้ มันเป็นอย่างนี้ได้ มันก็เป็นเหตุปัจจัยของมัน ตามสัจจะ อะไรมันเกิดได้ขนาดไหน ก็ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ เรื่องฟลุกๆ ไม่ใช่เรื่องไปทำเล่นๆหัวๆ แล้วก็เกิดเอง เป็นได้เอง อย่างฟลุกๆเล่นๆ ไม่ใช่ มันเกิดได้ เป็นจริง ตามจริงของมัน เพราะเหตุปัจจัยมันมี ซึ่งเป็นอจินไตย กล่าวยาก หยิบมาอธิบาย หยิบมายืนยันได้ยาก หลายอย่าง อาตมาเป็นนามธรรม เอามาพูดไม่ได้ หลายอย่างอาตมาไม่รู้ด้วยซ้ำ ยังไม่มีภูมิปัญญา ที่ไปเก็บข้อมูล ไปเก็บเหตุปัจจัย เหล่านั้นมายืนยันกับพวกคุณได้ เพราะยังไม่มีญาณสูงส่งปานนั้น มีอยู่ แต่เท่าที่พอมี พอหยิบมาพูดได้ ตามกาละ ตามโอกาส ก็เอามาบอก เอามายืนยันกับพวกเรา การก้าวหน้า ของความเป็นไป ของความเป็นอยู่ ของชีวิต ในชาวอโศกเรา มีหลักฐาน มีความเป็นไป มีความเป็นอยู่ ที่ยืนยันแล้ว เกิดแล้ว มีสภาพ มีตัว มีตน เพราะฉะนั้น

ถ้าเผื่อว่าวันนี้ก็ดี ได้ฟังธรรมแล้วก็ตรวจสอบตามสภาพจริงที่เรา เกิดเป็นมาแล้ว แล้วก็ลองดูซิ วินิจฉัยดู วินิจฉัยดูซิว่า มันดีไหม มันดีจริงไหม ถ้าดีจริง จงอุตสาหะเพิ่มขึ้น เพื่ออะไร จะบอกว่า เพื่อความชนะ ก็ใช่ เราจะชนะ ด้วยการสร้างคุณธรรมความจริง ให้ออกมาเป็นความจริง เราไม่ได้ไปชนะด้วยคารม โวหาร การโต้ การเถียง การต่อสู้อะไรด้วยวิธีกล เชิงกล อย่างโน้น อย่างนี้ ไม่ ไม่ไปนั่งทำให้มันเมื่อย สร้างเชิงกล อย่างนั้นอย่างนี้ วิธีการเหมือนเขาเล่นการเมือง เหมือนเขาเล่นอะไรกัน ไม่ ไม่มีแผน ไม่มีการวางแผนอะไร เล่นลูกซื่อนี่แหละ สร้างความจริง สร้างความดีขึ้นมาให้เต็มที่ ชนะหรือแพ้ก็ช่าง อยู่ตรงนี้ จบ จบอยู่ตรงนี้ล่ะ ถ้าจะชนะ ก็ชนะไอ้นี่ล่ะ ความจริง จนเขาจำนนนี่แหละ ถ้าความจริงนี้มันไม่มากพอ มันไม่ดีพอจนเขาเห็นได้ จนเขายอมจำนนได้ ก็แพ้ไปก่อน ผู้ที่ยังเห็นจริงว่า ควรจะบากบั่นต่อไปอีก สร้างต่อไปอีก อาตมาตายแล้ว รุ่นพวกเรา ต้นๆ นำหน้าไปก่อน ตายแล้ว พวกคุณรุ่นหลังทำต่อไปอีก ถ้าแน่ใจว่าควรจะสุคโต ควรจะ สัมมัคคโต ควรจะดำเนินไปอย่างนี้ให้ดีต่อไปอีก ยิ่งๆๆขึ้น ก็ทำต่อไปเท่านั้นเอง ไม่มีทางเลือก ไม่มีทางอื่น ดีกว่านี้

เพราะฉะนั้น ชนะกันด้วยโวหาร ชนะกันด้วยความเฉลียวฉลาด ชนะกันด้วยคารม ยิ่งเอาเล่ห์เอาเหลี่ยม เอาเชิงชั้น อะไรต่ออะไรมาชนะ ไม่ได้น่าปลื้มใจอะไร ไม่ได้เป็นสารัตถะสมบูรณ์อะไร ถ้าจะชนะ ก็ชนะด้วย ความจริง ชนะด้วยเนื้อหาของชีวิต ชีวิตแท้ๆ ชีวิตความประเสริฐของมนุษย์นี่ ยืนยันพิสูจน์ ว่าเรามาทำ อย่างนี้ ทฤษฎีอย่างนี้ เรามาอบรมฝึกฝนตน ปฏิบัติประพฤติตนไป เพราะทฤษฎีอย่างนี้ เราก็ได้อย่างนี้ ดำเนินไปอย่างนี้ ดีอย่างนี้ ถ้ามันดีก็ดีอย่างนี้ เราว่าดีนะ คุณจะว่าดีตามไหม เรามามักน้อย มาสันโดษ มาเลี้ยงง่าย กินง่าย มีศีล มีธรรม มีธูตะ มีศีลเคร่งได้ มีอาการที่น่าเลื่อมใส คืออาการที่ไม่มีโลภ มีโกรธ มีหลง หรือมีการขัดเกลาโลภ โกรธ หลง ลงไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ ไม่สะสมล่ะ แต่ขยัน วิริยารัมภะ เป็นคนขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร เสร็จแล้ว ก็แจกจ่ายเจือจาน มีทาน มีบริจาค มีการเกื้อกูล เสียสละ ช่วยเหลืออยู่อย่างนี้ ให้ยิ่งๆขึ้น ให้จริงจังขึ้น จริงใจขึ้น เพราะจิตใจไม่มีกิเลส มันก็ยิ่งจริงขึ้น ให้จริงๆ สละจริงๆ ไม่ต้องการอะไร ตอบแทนล่ะ แต่คุณจะมีการตอบแทน หมุนเวียน มีกตัญญูกตเวทีตามโอกาส มันเรื่องของคุณ มีมาเราก็รับไป รับไปเราก็สร้างสรรต่อ เพราะเราไม่ได้ไปสะสมกักตุนอะไร มีอะไรจะระบายออก ก็ระบายไป พัฒนากันไป สร้างสรรออกไป ให้มันกระจาย เผื่อแผ่ให้ทั่วถึงกัน แล้วก็มีวิธี มีปัญญาที่จะให้คนอื่นมาเห็นตาม แล้วก็มา เป็นอย่างนี้ ตามไปเรื่อยๆ จะให้ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ ให้เขาเลวลง จะทานก็ไม่ใช่ว่าทานแล้ว ให้คนได้รับ ส่วนทานนั้นเลวลง จะต้องพยายามมีปัญญา ทำทานก็ทำด้วยปัญญา ให้มันได้ประโยชน์ แล้วก็ให้มันได้ การพัฒนา ประโยชน์ก็เกิด เขาก็พัฒนาด้วย ไอ้ที่มันไม่พัฒนาได้ มันจำนนไปก่อน ก็จำนนไปก่อน แต่ก็พยายามอยู่ ที่จะไม่ให้มันจำนน ก็พยายามให้เขาพัฒนาด้วย เจริญขึ้นด้วย มาเป็นคนอย่างที่เราว่า มันดีนี่ เราดีแล้วก็ให้คนอื่นเขามาดีอย่างที่เราเป็นนี่อีก ตามไปเรื่อยๆ เพิ่มพูนทวีขึ้นเรื่อยๆ สังคมพวกเรา ทุกวันนี้ ไม่เล็กนัก มีรูปร่าง มีสภาพ มีกิจกรรม มีพฤติกรรม มีพิธีกรรม มีกรรมอันเห็นได้เป็นรูปธรรม พอสมควร

เพราะฉะนั้น คนที่เขามีปัญญาพอสมควร เขามาเห็นมาสัมผัส ทุกวันนี้เขาถึงจำนนอยู่ เพราะเราทำอยู่ นี่แหละ ใครจะมาแอบดู หรือไม่แอบดู ก็ไม่เป็นไร ยิ่งแอบดูยิ่งดี ที่จริงเราไม่มีปัญหาหรอก ไม่ต้องมาแอบดู มาดูตรงๆเลยก็ได้ แต่จะแอบก็แอบไป เราก็ไม่ถือสาอะไร ไม่ว่าอะไร เพราะว่ามันไม่มีอะไรน่าอาย จะมา แอบดูยังไง ก็แอบดูได้ ยินดี จะโป๊ให้ดู เรามีความจริงยังไงล่ะ เราก็ให้ดูทุกขุมขนน่ะ นี่ไม่ใช่ภาษาลามกนะ ฟังธรรมะให้เป็น เรามีอะไร เราก็แสดงโดยความซื่อสัตย์ จริงใจ มีบทบาท มีความเป็นอยู่ จะรังสรรค์ยังไง ให้มาดู พวกนี้อยู่กันเป็นหมู่ๆมวลๆ เขาอบรมอะไรกัน พูดอะไรกัน แนะนำอะไรกัน มีความฉลาดพอ จะฟัง รู้เรื่องไหม แล้วเอาไปแปลความ ผิดละ เราทำอะไรกัน สร้างวัฒนธรรมอย่างไร กอปรก่ออะไรอย่างไร แยกย้ายกันไปแล้ว ก็จะไปทำอย่างไร แนะนำกันไว้ สั่งเสียกันไว้ แยกย้ายกันไปแล้ว ไปทำอย่างนั้นๆน่ะ ทำยังไง ติดตามได้ เป็นเรื่องสืบไม่ยากเลย อย่างพวกเรานะ เป็นเรื่องที่สืบไม่ยาก จะมาสอดแนม จะมาสืบ เอาความจริงอะไร ไม่ยากเลย ไม่ยากจริงๆ และไม่ได้ปกปิดด้วย เพราะฉะนั้น คุณจะไปหวั่นอะไร เราไม่ปกปิด สิ่งที่เราเป็นเรามี ใครจะมาสืบ เขาก็ต้องได้ความจริงไป เพราะมันง่ายที่จะรู้ แล้วความจริง พวกนี้ อย่าว่าแต่ปกปิดเลย เราอยากให้รู้ อยากให้เห็น ด้วยซ้ำไป ทำไมเขาจะไม่ได้

ทุกวันนี้มันไม่ค่อยมาเอาด้วยซ้ำ แต่กลเชิงที่มันเป็นอยู่นั่น มันจะต้องเป็นศัตรู เขาจะต้องอยากรู้แอบรู้อะไร อย่างที่ว่านี่ มันน่าชื่นใจ ที่เขาแอบมาดู เพราะจริงๆเราอยากให้เขาเห็น อยากให้เขามาดู อยากให้เขามารู้ เพราะเรามั่นใจว่า เรามีของดีให้เขาดู ให้เขาเห็น

เพราะฉะนั้น เราถึงพร้อมเต็มที่ ที่จะโป๊ให้ดูเลย โป๊ให้ดูเลย จะไปปกปิดอะไร เรามีความจริงใจพอ เราแน่ใจพอว่า เราทำสิ่งที่จริงใจ ว่าเราดี ต้องการให้ดู ดีๆ ลึกๆ มีดีลึกๆ มีดีแท้ๆ มีดีมากขนาดไหน จะว่าอวด ว่าโอ่ ก็อยากอวดอยากโอ่ด้วยซ้ำ ทำไมคนไม่รู้จักของดีนะ แล้วมาใส่ความ มาว่า ใช่ไหม เราอยากบอก ถ้าจะว่าอยาก ที่อาตมาพูดนี่ ฟังๆดูเป็นเรื่องสัจจะที่คิดว่า ได้พยายามที่จะบอก ที่จะเปิดเผยให้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็สรุปแล้วก็มีแต่ความจริง มีแต่ของจริงเท่านั้นแหละที่เราจะต้องเสริมสาน แล้วก็อุตสาหะ วิริยะ บากบั่น เพื่อที่จะเกิดทั้งตัวเรา และก็จะนำพาไปสู่ชัยชนะ ไม่ใช่อยากชนะน่ะ แต่มันควร เท่านั้นเอง แม้มันจะไม่ชนะ อาตมาก็บอกแล้วว่า ไม่ได้เสียใจ จริงๆ แม้จะไม่ชนะก็ไม่เสียใจ ความดีควรจะชนะความชั่ว ด้วยสัจจะ ถ้าเราแน่ใจว่าเราดี มันก็พูดในสิ่งที่ควรเท่านั้นเอง

สำหรับวันนี้นี่ ฟังแล้วก็ขอให้พวกเราได้สังวรเพิ่มขึ้น ทำเพิ่มขึ้น อะไรๆนี่ มันมาให้เรานี่ ก็มีความรู้สึกอยู่ว่า เอ๊! ทำไมนะ เราประพฤติกันไป เราทำกันไป ไปอยู่กับพวกอโศกนี่ ยิ่งมีงานมากขึ้น อย่าสงสัยเลย เป็นความจริง งานจะมากขึ้น เพราะนั่นคือบุญ นั่นคือกุศล งานจะมากขึ้น เพราะเราจะเกื้อกูลคนในโลก ที่เขาเอง เขาไม่พยายามเกื้อกูลออกมา มีแต่พยายามที่จะทำให้มันพร่อง ให้มันสูญเสีย ให้มันขาดแคลน แล้วทำไม จะไม่ใช่หน้าที่ของเรา ที่จะต้องไปอุดหนุนอุปัฏฐากอุปถัมภ์ อนุเคราะห์ช่วยเหลือเขาอยู่เล่า แล้วมันไม่เป็นบุญเหรอ ทำไมไม่อยากทำล่ะ มันก็เป็นบุญ ใช่ไหม มันก็ต้องอยากทำ บากบั่นเข้า ถ้ามันเร็ว มันก็ยิ่งจะทันกาล ความชนะก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถ้ามันช้า เหตุการณ์มันก็ไปอยู่เรื่อยๆ เขาก็ไม่เห็นความจริง แต่ถ้าความจริงมันโต มันชัด ผู้ที่กำลังมอง ผู้ที่กำลังหาหลักฐานข้อมูล จะตัดสินให้เราชนะหรือแพ้ ถ้าเรามี สิ่งเหล่านั้นออกไปจริง มันก็ช่วยให้เราชนะได้ บอกแล้วว่า ไม่ได้อยากชนะหรอก แต่ว่ามันต้องควรชนะ ถ้าเรา แน่ใจว่าสิ่งดี สิ่งดีควรชนะสิ่งชั่ว ก็เท่านั้นเอง

ก็ได้สาธยายมาพอสมควรแก่เวลานะ ก็คิดว่าพวกเราได้เข้าใจว่า ที่เราได้ดำเนินกันอะไรต่ออะไรกันมานี่ ว่ามันเป็นอย่างไร แค่ไหน ก็ขอจบด้วยประโยคว่า

ผู้เชี่ยวชาญ คือผู้ที่ทำสิ่งที่ตนทำยังไม่ได้จนได้

เอวัง


ถอดโดย นายทองอ่อน จันทร์อินทร์ ๒๖ พ.ค. ๓๓
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาต ปราณี ๔ มิ.ย. ๓๓
พิมพ์และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๑๔ ก.ค. ๓๓
File 0723B.TAP