วันครอบครัวอโศก ๑ (ทำวัตรเช้า หน้า ๑)
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ชุดทำวัตรเช้า วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๒ ณ พุทธสถานปฐมอโศก

สำนึกดี เหล่าชาวพุทธบุตรทั้งหลาย
วันนี้ก็เป็นวันอโศกรำลึก คำว่าวันอโศกรำลึก อาตมาก็พยายามที่จะให้พวกเราได้เข้าใจว่า มันเป็นวันอะไร เราจะทำอะไรในวันนี้ จะเป็นไปอย่างไร อาตมาก็นำพามา เพื่อให้มันเกิด มันเป็นของมัน พยายามที่จะกำหนดคำกำหนดความ สื่อให้เข้าใจว่า มันเป็นวันอย่างนั้น วันอย่างนี้อะไร มาถึงปีนี้แล้วมีถึง ๑๖ ลักษณะ ใน ๑๖ ลักษณะนี้ ถ้ามันครบสมบูรณ์ และเราเป็นไปได้ มันก็จะครบคุณธรรม หรือว่าคุณค่า ที่จริงเรามาปฏิบัติธรรม เราไม่ใช่ว่า เรามาเอิกเกริกเฮฮาอะไรกัน

อาตมาสรุปอยู่อย่างหนึ่งว่า อโศกรำลึก เป็นวันที่มีลักษณะ คล้ายๆกับวันเช็งเม้ง วันเช็งเม้ง วันรวมญาติ เป็นวันที่รำลึกถึงคุณของบรรพชนในโลก เขาวันเช็งเม้ง เขาก็จะมารวมญาติกัน ไปเคารพกราบไหว้บรรพชน ก็ทำเป็นรูปแบบ คือไปกราบศพ ไปกราบที่ระลึก ถึงบรรพชนผู้ตายไป เป็นรูปแบบเท่านั้น ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง สูงไปกว่านั้น ถ้าเราจะไปกราบเคารพ แต่เพียงศพ เราระลึกถึง คุณของบรรพชน ระลึกถึงคุณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นคุณคือความดี เป็นคุณค่า ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แล้วเราก็เอามาพยายามตรวจสอบกับตัวเราว่า เราเองเราได้ทำ คุณหรือทำความดี อย่างที่บรรพชนท่านได้ทำมานั้นๆหรือไม่ มาตรวจสอบจริงๆ คุณหรือความดีใดๆ ที่บรรพชน ได้ทำไว้แล้ว แล้วเราเอง ก็ยังไม่ได้ทำ เราจะต้องทำ เราจะต้องสืบทอด ถ้าเอาอย่างแคบๆ ก็เอาแค่บรรพชนในสกุล บรรพชนที่สืบทอด มาตามสายเลือด เราระลึกได้เท่าใด ผู้ที่มีปู่ย่าตาทวด กี่ชั้นก็ตาม สืบสายโลหิต มายาวนานของสกุลเรามีอะไรดี มีอะไรที่เป็นประโยชน์คุณค่าต่อมนุษย์ ทั้งเรา และเพื่อนร่วมโลก ยิ่งมีประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลกมาก เป็นเรื่องสากล เป็นเรื่องสาธารณะ เป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยกัน เป็นส่วนมากด้วยก็ยิ่งสำคัญ ยิ่งจำเป็นที่เราจะต้องฝึกฝน อบรมตน ประพฤติ กระทำให้มันได้ แล้วจะได้อาศัย สิ่งที่คนเราประพฤติกระทำนั้น

พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากรรม เป็นการกระทำ กระทำทางกาย วาจา ใจ ซึ่งอาตมาก็ได้ขยาย เรื่องกรรม ให้ฟังจนมากมาย ก็ยังไม่ได้รวบรวม ยังไม่ได้เอามาเรียบเรียงกันเป็นตำราหนังสือ ที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เป็นเรื่องๆหลายเรื่อง อาตมาเห็นว่าสำคัญนะ แต่ว่าเราก็ยัง มีบุคลากร ที่จะช่วย เรียบเรียงรวบรวม หรือว่าทำอะไรต่ออะไร ก็ยังไม่พร้อมพรักนัก โดยเฉพาะอาตมาต้องดูแล ต้องตรวจสอบ ต้องอะไรอยู่ก็เลยดูช้า แต่ถึงช้าอาตมาก็ คิดว่าดี ดีกว่าจะรีบๆ ทำลวกๆ ปล่อยปละละเลย แล้วก็ทำออกไป ซึ่งเราก็จะตามเก็บได้ยาก

ในขณะที่อาตมายังมีชีวิตอยู่ อาตมาก็จะต้องพยายามที่จะดูแล เรื่องคำสอน คำอธิบาย การขยายความ การชี้สื่อให้เข้าใจถึงสภาวธรรม ถึงคุณธรรม หรือแม้แต่วิธีการ เป็นทฤษฏี เป็นวิธีการ เป็นหลักการ ที่จะมาปฏิบัติอะไรต่างๆนานา ก็พยายามที่จะดูแล ไม่ปล่อยปละละเลย ให้ทำกันออกไป อย่างมักง่าย หรือว่า อย่างลวกๆ ทำกันอย่างไม่เอาใจใส่ อาตมาพยายามเอาใจใส่ เพราะเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก เรื่องสำคัญจริงๆ แล้วทุกวันนี้นี่ ทฤษฎีก็ตาม การขยายความ บรรยายเนื้อหาสาระอะไร ของพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นสาระสัจจะนั้น ก็เพี้ยนๆ กันออกไปเยอะ มันแปรปรวนออกไปมาก

ทีนี้อาตมาก็เห็นว่า อาตมาแน่ใจว่าอาตมารู้ อาตมาจะมากระทำ ให้สิ่งเหล่านี้เข้าร่องเข้ารอย พยายามทำอยู่ อย่างที่พวกเราได้ดูได้ฟังได้เห็น แล้วก็ได้นำไปพิสูจน์ เมื่อนำไปพิสูจน์แล้ว มันเกิดประโยชน์คุณค่าหรือไม่ พวกคุณย่อมรู้ดี ว่ามันเป็นไป เพื่อความละหน่ายคลาย เป็นไปเพื่อ ความหลุดพ้น เป็นไปเพื่อความไม่เป็นทาส เป็นไปเพื่อความสงบระงับ กิเลสตัณหา ความติดยึด ความหลงเป็นโลกียรส หลงเป็นสิ่งที่เราเคยเสพเคยติด เคยคิดว่า มันน่าได้น่ามีน่าเป็น แต่เมื่อเรามา ประพฤติปฏิบัติแล้ว พิสูจน์แล้ว มันก็จางคลาย ลดละมาได้ หลุดพ้นออกมาได้ อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าได้ประพฤติปฏิบัติ ตามทางที่อาตมาพาทำแล้ว ก็คิดว่าคงจะเห็นจริงว่า มันไม่มากก็น้อย ที่เราปฏิบัติประพฤติ แล้วก็ลดละ จางคลาย ลดกิเลส โลภ โกรธ หลง รู้ว่าเราอยู่เหนือโลกธรรม หรือโลกียธรรม ที่ก็เรียกกัน หรือว่า ก็รู้ ไม่ใช่เรียกเฉยๆ ว่ามันเป็นไปเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรต่างๆ ถ้าเผื่อว่ามันเสื่อมลาภ เราก็โหยหาอาวรณ์เสียดายอยากได้คืน เสื่อมยศเราก็รู้สึกว่า ห่อเหี่ยว ไม่สบายใจน้อยใจ หรือว่าได้รับการนินทาติเตียน ไม่ใช่คำยกย่องเยินยอ สรรเสริญ เราก็รู้สึกว่า เราไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน ไม่พอใจ ไม่ยินดี โดยเฉพาะคำว่าโลกียสุข เขาพูดกันแต่ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อาตมาเติมคำว่าโลกียะ ลงไปให้ชัดขึ้น ไม่ใช่สุข ตามที่เขาพูดกันมาแต่เดิมเฉยๆ คำว่าโลกียสุข หรือโลกธรรมนั้นเอง มันเป็นสภาพอย่างไร โลกียสุขมันเป็นสภาพอย่างไร

อาตมามาเทียบเคียงกับวูปสโมสุข สุขอย่างสงบระงับ สุขอย่างไม่มีกิเลส ต้องการและก็บำเรอ บำบัดกิเลสนั้น มันเป็นอย่างไร อาตมาก็พยายามอธิบายขยายความ แล้วให้พวกเรา เอาไปพิสูจน์ ปฏิบัติอยู่ในตัวเรานี้แหละ เราติดเป็นโลกียสุข เมื่อความสุขที่ได้มีตัวตัณหาเป็นสมุทัย มีตัวกิเลส มีตัวอุปาทาน ตั้งแต่กามตัณหา ภวตัณหา หรือวิภวตัณหาก็ตาม มันเป็นอาการอย่างไร มีนิมิตที่ให้ เราจับสภาพมัน เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า นี่เป็นอาการของกิเลส อาการของตัณหา หรือ อาการของอุปาทาน สิ่งที่เรายังยึดยังฉวยเอาไว้ อุปาทานนี้ มันมีอีกตัวหนึ่ง คำว่าสมาทาน สมาทานก็ยึด ก็ฉวยไว้เหมือนกัน แต่เราจะยึด จะฉวยไว้อย่างรู้ตัว อย่างเข้าใจว่า เราจะต้องใช้อาศัย สมาทาน เราจะมีอยู่เสมอ มีอย่างไม่ได้เป็นตัวแรง มันไม่ได้เป็นตัวที่เป็นตัวอำนาจ สมาทาน มันไม่ได้เป็นตัวอำนาจ แต่เราเองเป็นเจ้าของอำนาจ เราจะยึดเครื่องนุ่งห่มมาไว้เป็นชุด จีวรเครื่องแต่งกายของพระ เราสมาทาน เรายึดเอาไว้ด้วยรู้ว่า ทำไมจะต้องมายึดมั่นถือมั่น มายึดถือ ยึดติดอยู่ว่า จะต้องมีชุดเครื่องแบบอย่างนี้ๆ คนเขาบอกว่า สละไปเสียง่ายๆ จะยากอะไร ไปเอาเครื่องแบบ อะไรอย่างนี้ อาตมาก็ยืนยันว่า เราจะยึดอาทาน นี้แปลว่ายึด สมาทานก็คือ สม ผสมกับคำว่า อาทาน หรืออุปาทานก็ อุป ผสมกับ คำ อาทาน

อุปาทาน หมายความว่า ยึดเอาไว้โดยที่เราเองยังไม่มีปัญญา ยังไม่มีญาณปัญญา ยังมีความติด ยังมีความหลง ยังมีกิเลส อุปาทาน ยังมีความไม่รู้แจ้ง ยังมีความไม่ปลดปล่อย ยังไม่ได้ละล้างกิเลส ออกไปอย่างแท้จริง แต่ถ้าสมาทานแล้วละก็รู้ตัว ว่าเรายึดเอาไว้เพื่ออาศัย ยึดเอาไว้เพราะ เราตั้งใจยึด ตั้งใจฉวยไว้ แล้วก็ทำให้สงบ สม นี้แปลว่าสงบก็ได้ ถ้าทำให้กิเลสมันสงบ ถ้าในขณะที่สมาทาน ที่เรายังเป็นผู้ปฏิบัติ เป็นพระโยคาวจร หรือเป็น เสขะบุคคล เป็นบุคคลที่ยังศึกษา ปฏิบัติประพฤติอยู่ ยังไม่บรรลุ ยังไม่จบกิจในกิเลสนั้นๆ มีเงื่อนไข ลงไปด้วยนะว่า ในกิเลสนั้นๆ ในขณะที่เรายังเป็นนักศึกษา ยังประพฤติอบรมฝึกฝน ยังไม่บรรลุ ถึงจบกิจนั้น เราก็สมาทานหรือว่าพยายามยึดถือไว้ อย่างมีหลักมีกฎมีระเบียบ หรือว่ามีทฤษฎี เอามาประพฤติอย่างไรก็ทำ ทำจนกระทั่งกิเลสมันหมด กิเลสหมดแล้ว เราก็ยังสมาทานสภาพนั้นอยู่ หรือหลักเกณฑ์ที่เรียกว่าศีล เราก็ยังมีสภาพศีลนั้น ยังบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ โดยความเป็นได้แล้ว ไม่ต้องสังวร ไม่ต้องระวังอะไรมากมาย ก็เป็นอัตโนมัติ เป็นได้อย่างสบายง่ายดาย ได้อย่างสะดวกจริงๆ

อย่างอาตมากำลังยกตัวอย่างอยู่ว่า นี่เราจะสมาทาน ว่าเราจะมีชุดจีวร ไตรจีวร ไว้อาศัย เป็นเครื่องแบบ เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งได้เลื่อน ฐานะขึ้นมา เป็นสาวก พุทธสาวกในระดับสมณะ เลื่อนเลยเหล่ากอของพระพุทธเจ้า เหล่ากอสมณะ มาเสียด้วยซ้ำ จากสามเณรมาจนกระทั่ง มาเป็นพระภิกษุ เราก็ทำตามธรรมวินัย ประเพณี จะเป็นนิติประเพณี หรือพฤติประเพณี ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรามา เราก็ทำตาม ศาสนาพระพุทธเจ้า ต้องมีพระไตรรัตน์ ต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อาตมาก็ต้องรู้ว่า พระสงฆ์นั้น มีทั้งรูปแบบ เป็นศาสนาพุทธ อาตมายืนยันว่า อาตมาเป็นศาสนาพุทธ พราะฉะนั้น ใครมาพูดง่ายๆ พูดอย่างมักง่าย พูดอย่างเห็นแก่ตัว พูดอย่างไม่เข้าใจลึกซึ้งในธรรมะ อาจจะมีใจคิดว่า เออ ! ก็เลิกๆไปเถอะ ธรรมะมันอยู่ที่เรา ไปแต่งตัวอะไรก็ได้ จะสอนอะไรใครๆก็ได้ ใครๆก็ทำได้ไปเยอะแยะ ก็ทำไปก็แล้วกัน ให้มันมีเรื่องอยู่ทำไม เพียงแต่พูดง่ายๆ อย่างมักง่าย เพียงแต่ให้ไม่มีเรื่อง ว่ามันเป็นเรื่องขัดแย้งกัน ต้องรู้ว่ามันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งกัน ใครควรจะเป็น ฝ่ายถูกต้องจริงๆ เป็นฝ่ายที่ดีจริงๆ ใครไม่ถูกต้องใครไม่ดี ทำไมจะต้องให้สิ่งที่ไม่ดี มาขจัดสิ่งที่ดีล่ะ ทำไมจะให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง มาขจัดสิ่งที่ถูกต้อง จะเรียกว่าแพ้หรือชนะก็ตาม ทำไมจะต้องให้ฝ่ายดี แพ้ฝ่ายชั่ว ฝ่ายไม่ถูกอย่างนี้เป็นต้นนะ

อาตมาไม่ได้พูดด้วยมานะทิฐิอะไร พูดถึงความจริงให้ฟัง การยืนหยัดสัจจะธรรม กับการดื้อด้าน ไม่เหมือนกัน ถ้าเข้าใจความนี้ไม่ได้ และก็ไม่เห็นความจริงอย่างลึกซึ้งว่า การยืนหยัดสัจธรรมนั้น เป็นความตั้งใจ เป็นความหนักแน่น เป็นความแข็งแรงมั่นคง เป็นความจริงที่จริงๆจังๆ เป็นความเอาจริงเอาจัง เป็นความเด็ดเดี่ยว สิ่งเหล่านี้ เป็นคุณลักษณะในส่วนดี แต่จะเอาไปปลอม เป็นส่วนเสียก็ได้ แฝงเป็นส่วนเสียก็ได้ แต่มันเป็นคุณลักษณะในส่วนดี ที่บริสุทธิ์ อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาจะไม่ยอมสึก นี้ไม่ได้หมายความว่า ดื้อด้าน แต่ขอยืนยันว่า เป็นการยืนหยัดสัจธรรม สัจธรรมพระพุทธเจ้า ท่านสอนเราว่า ศาสนาพุทธมีพระไตรรัตน์ เราก็จะต้องทรงสภาพเป็นพระสงฆ์ จะต้องมีพระสงฆ์ ศาสนาพุทธไม่มีพระสงฆ์ไม่ได้

อาตมามาทำงานศาสนาจริงๆ อาตมาประกาศว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้มาพูดเล่น พระโพธิสัตว์ที่ทำงานอย่างถูกต้อง ไม่ใช่เป็นพระโพธิสัตว์ ที่แตกนิกายด้วย อาตมาไม่ได้เป็น มหายานที่ได้หลงผิด เข้าใจเพี้ยนออกไป จากสัจธรรมที่สมบูรณ์ อาตมาไม่ได้เป็นเถรวาท ไม่ได้เป็นหินยาน ตามที่เขาเข้าใจ อาตมามาขยายความอยู่ว่า หินยาน หรือเถรวาทนั้นก็ตาม มหายานก็ตาม เป็นนิกาย เป็นสังฆเภท เป็นความแตกแยก เป็นบาป มันเกิดแล้ว อาตมาพยายาม ที่จะไม่ให้มันเป็นลักษณะอย่างนั้น ที่มันเป็นโดยสัจจะ มันเป็นโดยความเป็นจริง มันเป็นโดยธรรมด้วย มันเกิดมาเป็นธรรมชาติอย่างนั้น มันก็เกิดเป็นนิกาย แยกออกไป เพราะความผิดพลาด ความไม่ถูกต้อง มันเป็นจริงขึ้นมา มันก็แยกตัวของมัน ออกจากกันเอง โดยธรรมชาติ โดยสังฆเภทจริงๆ เป็นสัจจะอย่างหนึ่ง

เพราะฉะนั้น เมื่อมันสังฆเภท มันแยกนิกายแล้ว อะไรล่ะมันผิด สิ่งที่ผิดก็คือนี่แหละ ตัวสำคัญๆ ก็คือ เถรวาทก็ยึดอรหันต์ มหายานก็ยึดโพธิสัตว์ ที่จริงอรหันต์กับโพธิสัตว์เป็นเรื่องเดียวกัน อย่างที่อาตมายกตัวอย่าง มันเป็นหน้ามือกับหลังมือเท่านั้นเอง มันจะแยกออกจากกันไม่ได้ จะผ่าหน้ามือ ออกจากหลังมือไม่ได้ มันเป็นเหรียญสองด้าน มันเป็นหน้ากระดาษที่มีสองหน้า แผ่นเดียวกัน ชิ้นเดียวกัน อันเดียวกัน แยกออกจากกันไม่ได้ แต่มีลักษณะอธิบาย คนละอย่างบ้าง คนละหน้าที่บ้าง เท่านั้นเอง อันหนึ่งเราเรียกว่าหลังมือ อันหนึ่งเราเรียกว่าหน้ามือ ถ้าหน้ากระดาษ อันหนึ่ง ก็เรียกว่าหน้า หน้านี้ อันนี้เรียกว่าหน้านี้ จะเรียกว่าหน้าก. หน้าข. หน้าหนึ่ง หน้าสอง อะไรก็ตามใจ แต่มันแยกออกจากกันไม่ได้ มันเป็นอันเดียวกันพร้อมกัน

ผู้ที่มีคุณ อันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่น พระโพธิสัตว์นี่ เป็นผู้ที่มีโพธิ, สัตว์ที่มีโพธิ ท่านไปแปลกันว่า ผู้ที่แสวงหาโพธิญาณ ซึ่งเป็นสัมมาสัมโพธิญาณก็ถูก อาตมาเข้าใจและรู้ด้วย แต่โพธิสัตว์นั้น เป็นผู้ที่มีโพธิ, สัตว์ที่มีโพธิ แค่พยัญชนะก็บอกอยู่แล้วว่า สัตว์ที่มีโพธิ แต่ท่านบอกว่า สัตว์ที่แสวงหา โพธิยาน หรือสัมมาสัมโพธิญาณ โพธิญาณก็ใช่ คือเพิ่มโพธิญาณมากขึ้น จนถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ที่เราเรียกว่าเป็น สัมมาสัมโพธิญาณอันสูงสุดบริบูรณ์ ในระดับสมบูรณ์นั้น ก็เรียกว่าจบสภาพ สัมมาสัมโพธิญาณเรียกว่า เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้มีโพธิญาณที่มาก เป็นผู้มีความรู้ ในโพธิ มีโลกวิทู รู้ในสัตวโลก รู้ในอะไรต่ออะไร มากมายมหาศาล ที่จะทำประโยชน์ต่อสัตวโลกในโลก

ก็ต้องศึกษา ก็ต้องอบรมฝึกฝน และได้เป็นของจริง เพียงแค่ที่เข้าใจว่า โพธิคือสภาพตรัสรู้ พระโสดาบัน ตรัสรู้อริยคุณของพระโสดาบัน พ้นสังโยชน์สาม มีญาณทัศนะที่แท้จริง ต้องมีวิชชา พ้นสังโยชน์ หมายความว่า หลุดพ้นสิ่งที่ร้อยรัดนั้นแท้จริง สักกายะทิฐิตัวต้นนี่ ตัวสำคัญนี้

ขณะนี้ อาตมายิ่งเห็นชัดเจนเลย คือการถือตัวถือตน ไม่พ้น เขาแปลกันเหมือนกันนะ เขาแปลกัน ในส่วนผู้ที่รู้หรือ ผู้รู้ ปราชญ์ก็ตาม เขาแปลกันว่า สักกายะทิฐิเป็นการพ้นตัวตน พ้นการยึดติดตัวตน ก็จริง แต่มันลึกซึ้งนะ ตัวตนที่ว่า มันลึกถึงขนาด เป็นนามธรรม เป็นความหมาย ถึงขนาด มานะสังโยชน์ มานะสังโยชน์นี่เป็นสังโยชน์ข้อที่แปดเชียวนะ เป็นสังโยชน์เบื้องสูง เป็นอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ไม่ใช่สังโยชน์ต้นหรอก เป็นการถือตัวถือตน ถือดี มีดีในตัว อย่างน้อย มีความรู้ การเรียนประเภทโลกๆ เป็นความรู้ และก็ได้ความรู้จำได้ ท่องได้ เข้าใจได้ มีปฏิภาณลึกซึ้ง ในคำความภาษาตรรกศาสตร์เยอะ เป็นภัยต่อผู้ศึกษา ถือดีถือตัวถือตน ว่าข้ารู้ ข้าถูกต้อง ข้ารู้มาก ข้ารู้เยอะ เป็นกิเลสซ้อน ทุกวันนี้มันฆ่าคนมากๆ การเรียนรู้มากๆ และก็หลงตนว่า ตัวเองถูก ตัวเองรู้ มันฆ่าคนทั้งในแบบโลกๆ ทั้งในทางธรรมะ และในทางโลกๆ ก็เหมือนกัน

นักวิชาการ ผู้รู้อะไรต่ออะไรนี่ เรียนมาด้วยทฤษฎี ตัวอักษรตรรกศาสตร์ รู้เฉยๆนะ ปฏิบัติไม่ได้ด้วย ลงมือทำก็ไม่เป็นด้วยเยอะ คิดอ่านตำรับตำรา ทำอะไรต่ออะไรขึ้นมา เอาไปขายกิน เอาไปแลก เอาเงิน เอาทอง ลาภยศ สรรเสริญโลกียสุขมาใช้ เป็นแบบโลกียธรรมเยอะแยะ และก็ยอมรับ นับถือกัน ยกย่องกัน สรรเสริญเยินยอกัน จนหลงไปหมด มีมานะถือดีถือตัว เดี๋ยวนี้เป็นภัย ต่อมนุษย์มากๆ โดยเฉพาะในเรื่องของธรรมะ พุทธธรรมก็เรียน เรียนคำสอน ของพระพุทธเจ้า เรียนไปเป็นผู้ที่ ท่องจำพระพุทธพจน์ก็ได้มาก สาธยายอยู่ก็ได้มาก ทรงจำไว้ก็มาก เป็นผู้รู้มาก รู้อะไร ท่านบอกไว้ในปทปรมะ เป็นผู้เรียนรู้ รู้พุทธพจน์มาก ทรงจำไว้มาก สอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ไม่บรรลุธรรม

สรุปง่ายๆ แต่ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้ นี้คือคนที่เป็นปทปรมะ คือบัวเหล่าที่สี่ใต้ตม เป็นผู้ที่ ปทปรมะ ก็คงรู้แล้วนะ คนระดับบัวใต้ตม บัวเหล่าที่สี่ มีมากนะรู้มาก รู้พระพุทธพจน์มาก ทรงจำไว้มาก สาธยายอยู่เก่ง จ้อยๆสอนคน แต่เป็นคนที่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า บัวระดับที่สี่ มันน่างงไหม เราฟังว่า บัวระดับที่สี่ คือคนที่โง่เง่า คนที่ไม่รู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้า คนที่ไม่รู้จัก ธรรมะของพระพุทธเจ้า จริงๆ ไม่รู้จักธรรมะพระพุทธเจ้า แต่มีแต่ตัวหนังสือ ที่ทำให้เพี้ยนด้วยซ้ำ รู้มาก สาธยายออกไปตามทิฐิความเห็นของตนเอง อะไรต่ออะไร แล้วก็หลงวนๆ ปนๆ เปๆ เลอะเทอะ แล้วไม่บรรลุไปทั้งชาติ เงื่อนไขหลักก็คือ ผู้เรียนมากรู้มาก แล้วก็ยังไม่บรรลุ นั่นแหละ คนที่เขาไม่ได้เรียนมากนะ ก็น่าสงสารเขา ไม่ได้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อ่าน ไม่ได้เห็น เขาก็เลยไม่ได้บรรลุ ถ้าเขาได้อ่านได้เห็นได้รู้บ้าง เขาคงจะมีปัญญามีไหวพริบ ที่จะบรรลุธรรมได้ แต่นี้ไม่เลย ยิ่งกว่าคนที่เขาไม่ได้รู้ มันยิ่งกว่านะ ยิ่งกว่าคนที่เขาไม่ได้เคยพบ ธรรมะพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ได้พบธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วไม่บรรลุธรรม นี่มันซ้อนเชิงนะ ได้ศึกษามาก สอนมาก ยังกับผู้รู้มากมายเลยนะ แต่ไม่ได้บรรลุ มันโง่กว่า คนที่ไม่ได้พบธรรมะ ที่เขาเห็นว่า เหมือนกับคนเชยๆ ไม่ได้ร่ำไม่ได้เรียน เป็นคนเหมือนคนเถื่อนๆป่าๆ ถึงไม่ได้พบธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ไม่มีโอกาสเหมือนกับคนโง่ๆ แต่เขาไม่โง่หรอก เขาพบธรรมะของพระพุทธเจ้า เขาอาจจะบรรลุธรรม เขาอาจจะบรรลุ ดีไม่ดีอาจจะเป็น อุคติตัญญู พอได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า ได้พบธรรมะนิดๆหน่อยๆ ไม่กี่ประโยค ไม่กี่สูตร อาจจะบรรลุธรรม เลยก็ได้เร็วๆ แต่เขาไม่มีโอกาส แท้ๆ รู้มากรู้มายแต่ไม่บรรลุนี่ซิ พระพุทธเจ้าท่านถือว่า เป็นบัวเหล่าที่สี่ ที่โง่ยิ่งกว่าคนไม่ได้พบ ไม่ได้ร่ำ ไม่ได้เรียน

น่าศึกษานะ น่าจะคิดให้ดีๆ เรื่องนี้ คนไม่คิด ไม่เข้าใจ เข้าใจแต่ง่ายๆว่า เออ.บัวเหล่าที่สี่นี่ เป็นคนโง่ ที่จริงๆ ไม่ใช่เพราะโง่หรอก ฉลาดนะ เอามาหากินด้วย ยิ่งเป็นคนโลกๆ ใช้ธรรมะพระพุทธเจ้า มาแลกลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพื่อสร้างศักดิ์ ฐานะทางโลกีย์ เสวยฐานะเหมือนคนโลกๆ มีตำแหน่ง ยศศักดิ์สูงๆ มีเงินมีทองทรัพย์ศฤงคาร ร่ำรวย อยู่กันอย่างมีโลกียสุข พรั่งพร้อม ก็เป็นการเอาธรรมะ หรือว่าเอาของดีๆ นี่มาแลกกับสิ่งที่ไร้ค่า โลกียะควรจะไร้ค่ากว่าโลกุตระ ใช่ไหม แล้วเอาของที่เป็นโลกุตระ มาแลกกับโลกียะกิน จะร่ำจะรวยอย่างไร ก็น่าสังเวชนะ อาตมาพยายาม ที่จะชี้แจง พยายามที่จะพิสูจน์ พาพิสูจน์ธรรมะ

วันนี้ในข้อที่หนึ่ง เป็นวันส่วนตัว อาตมาก็ขอพูด เรื่องส่วนตัวบ้าง อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ วันนี้ไม่ได้ขยายอะไรนะว่า อรหันต์โพธิสัตว์ อะไรต่ออะไร มันซ้อนกันอย่างไรมากๆ อย่างที่พูดไปแล้ว มันยังไม่จบทีเดียว ก็จะไม่ขอขยายมาก เราเรียนกันมาแล้ว พูดกันมามากแล้ว ผู้ที่ยังไม่ได้เรียน ก็แน่ละ เขาไม่ค่อยเข้าใจหรอก เราเรียนกันอยู่ยังไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆเลย เพราะธรรมะ พระพุทธเจ้า มันคัมภีรา ลึกซึ้ง ทุทฺทสา เห็นกันไม่ได้ง่ายๆ เห็นตามได้ยาก ทุรนุโพธา รู้ตามได้ยาก ไม่ใช่เรื่องที่จะด้นเดาเอาได้ง่ายๆ มันจะต้องศึกษา ตามพิสูจน์อย่างแท้จริง ถึงจะรู้ได้ พระพุทธเจ้า สอนเรา เรารู้อยู่ รัตนตรัย พระสงฆ์ จะต้องเป็นอย่างไร จะต้องเป็น สุปะฏิปันโน เป็นสาวกของ พระพุทธเจ้า ที่จะต้องปฏิบัติดี สุนี่ดีเป็นคำกลางๆ ปฏิบัติดี ดีหมายความว่าอะไร

อาตมาวันนี้เป็นวันส่วนตัว เหมือนกับพูดอยู่คนเดียวนะ ใครจะมาฟัง มาได้ยิน ก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของอาตมา จงรู้ว่าอาตมาไม่ได้คุยตัว อาตมาพูดของอาตมา อาตมาบอกอาตมาเองว่า อาตมาเป็นสุปะฏิปันโน อาตมาเป็นพระดี และอาตมาก็ได้ เสียงคนยอมรับ ขานรับอยู่เหมือนกันว่า อาตมาเป็นพระดี เป็นพระที่มีประโยชน์ เป็นพระที่ทำความดี มาพาคน ทำความดี อาตมาได้ยินนะ พวกคุณได้ยินบ้างไหม ได้ยินคนที่ฝั่งที่ เขากำลังจะจัดการ ไม่ให้อาตมา เป็นพระอยู่นี่ เขาก็ยอมรับ ขานรับว่า อาตมาเป็นพระที่ดี มันยากนะ ที่จะให้ฝั่งที่จะปราบปรามเราลงไป ที่เรียกภาษาตรงๆ ว่าศัตรู ผู้ที่จะปราบปรามเราลงไป ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรานี่ ไม่เห็นด้วยถึงขนาดที่จะเข่นฆ่า สกัดขจัดเราออกไปจริงๆ มีใจถึงขนาดนั้นเลยนะ

อาตมาเห็นที่ใจเขาจริงๆเลย เห็นที่ใจเขาจะขจัด จะสกัดอาตมา ออกไปจากแวดวงของพระสงฆ์ อาตมาเห็นจริงๆเลยว่ามีน้ำหนัก คุณรู้สึกบ้างไหม มีน้ำหนักตั้งใจจะขจัดจริงๆ ยิ่งเห็นชัดเลยว่า โอ้โฮ! สื่อภาษาความหมาย วิธีการคำพูด เห็นภาพของ ความเป็นพระสงฆ์ ของพระพุทธเจ้า จากรัตนตรัยองค์หนึ่ง องค์คำว่าสงฆ์ จะขจัดแม้รูปแบบ ที่อาตมามีไตรจีวร ตั้งใจจริงๆ อาตมาเห็น การเข่นเขี้ยว เพื่ออยากจะให้อาตมาเปลี่ยนออกไป ภาษาโวหารมันสื่อ สื่อให้เห็นว่า เขามีความมุ่งมั่น จริงๆเลย อยากจะให้เราหลุดพ้นจาก พระรัตนตรัย หนึ่งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะขจัดเราออกจากพระสงฆ์ นั่นเรียกว่า ผู้อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม มีเจตนารมณ์ ความมุ่งมั่น ร้ายแรง แรงกล้ามาก อาตมาเห็นว่า มีความแรงกล้ามาก แล้วก็มีเพื่อนฝูง ที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน ขานรับมากด้วย หาวิธีทั้งเชิง พูดเบาๆ พูดแรงๆ ฮื้อ ! อย่าไปดึงดันอยู่เลย พยายามใช้โวหาร ปฏิภาณ ความเฉลียวฉลาดเฉโก ฮื้อ! เราเป็นพระ เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อยู่ในรูปแบบไหนก็ได้ ยึดเอาไว้ทำไม ยึดมั่นถือมั่นไป เราไม่ยึดมั่นถือมั่นเสีย เราจะได้เป็นคนสูง ไปยึดมั่นถือมั่นอยู่ มันไม่สูงนะ เออ. อะไรสำคัญนักหนากันเชียว แค่ชุดแค่นี้ แล้วทำไม ไม่ถอดออกมาทุกคนละ ผู้ที่เถียงดึงเอาไว้ ทำไมไม่ถอดออกมา จะให้เราถอดทำไมคนเดียว คือพูดเอาแต่ตัว เอาแต่เห็นแก่ได้นะ

เอาละ คนที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม ก็มารับรอง เขาว่าเราเป็นพระดี อาตมาก็ได้คำตอบแล้ว อาตมาเป็น สุปะฏิปันโนแล้ว คนที่ศรัทธาเลื่อมใสอาตมารับเอาว่า อาตมาเป็นพระดีนั้น จึงไม่ใช่คำตอบสมบูรณ์ ใช่ไหม ฝ่ายตรงกันข้าม ก็ยอมรับด้วยว่า อาตมาดี ตกลงถูกแล้ว อาตมาเป็นพระสุปะฏิปันโน ถูกแล้ว นี้หนึ่ง

สอง เป็นพระอุชุปะฏิปันโน อุชุปะฏิปันโน แปลว่าอะไร แปลว่าตรง หรือแปลว่าถูก มันไม่เบี้ยว และมันไม่เพี้ยน และมันไม่วิปริต แล้วอันนี้ซิ อันนี้ซิต้องวิเคราะห์ ซ้อนกันลงไป ขณะนี้ คำว่าเป็น พระดี เป็นสุปะฏิปันโน นะอาตมา ได้รับ ยอมรับแล้วทั้งสองฝ่าย ว่าอาตมาเป็น สุปะฏิปันโน

ต่อมาอุชุปฏิปัณโณ เป็นพระที่ปฏิบัติตรง ถูก นั่นเอง ถูกตรง ไม่เพี้ยน ไม่ได้เป็นผู้ที่วิปริตไปจาก ธรรมวินัย หรือเป็นผู้มาทำให้ธรรมวินัยวิปริต ตามที่อีกฝ่ายหนึ่งตู่อยู่ อาตมาเป็นหรือไม่ ต้องมาพิสูจน์กัน ต้องมาพูดกัน เอาหลักฐานที่เป็นจริงมาด้วย อาตมาบอกพวกเรานะว่า เคยบอกมา มากแล้วว่า คำสอนที่สอนมานี่ มันเหมือนกลองอานากะเก่าๆ มันก็เป็นเนื้อกลอง เป็นไม้เป็นอะไร ตานี้ประกอบไปด้วย กลองอานากะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก มันก็เป็นของเดิมที่ถูกต้อง นานๆมา ไอ้โน้น ท่านบอกว่าไม้มันแตก มันริ มันเสื่อม มันก็เปลี่ยน ออกมาบ้าง เขาก็เลยเอาไม้ มันไม่ใช่ไม้จริงแล้ว ไปแซม มันเป็นของใหม่ ของที่ไม่ใช่เนื้อแท้ จะพยายามหาเนื้อแท้มา มันก็หา แต่ว่าหาแล้ว มันก็ไม่ค่อยได้หรอก มันจะเปลี่ยนแปลงมาโดยธรรมชาติอย่างนั้นแหละ พอมาถึง วันนี้แล้ว กลองอานากะ แทบจะไม่มีไม้เก่าเลย หรือมีส่วนของความเป็นกลองอานากะเก่า แต่มันก็อยู่ ในรูปทรงเก่า ชื่อก็ชื่อเรียกว่าอานากะเหมือนเดิม เหมือนกับเรียกว่าพุทธเหมือนเดิม รูปร่างลักษณะ ลวงๆ แต่ดูเนื้อที่แน่ๆเข้าไปในเนื้อแท้ ของสิ่งที่ประกอบกลองอานากะนั้น ผู้รู้จะรู้ว่า มันไม่ใช่เนื้อที่แท้อยู่ แต่ก็พยายาม ที่จะหาของแท้ๆเข้าไปแทน มันเป็นของยากไม่ใช่เล่น

เหตุการณ์ที่เกิดนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดได้ง่ายๆ อาตมาบอกแล้วว่า พวกเราโชคดี ที่เกิดมาชาตินี้ ได้มาเห็น ได้มาพบเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ใช่ธรรมดาหรอก ไม่ใช่ชั่วระยะร้อยปี หรือสองร้อยปีจะเกิดได้ หลายร้อยเป็นพันปี จะเกิดเหตุการณอย่างนี้ขึ้น หลายร้อยหลายพันปี ไม่ใช่เกิดง่ายๆ เพราะฉะนั้น ได้เกิดมาในยุค ที่ได้เห็นอย่างนี้ เป็นโชคดีจริงๆ คำว่าถูกตรง เอาง่ายๆ หลักพิสูจน์ พระพุทธเจ้า ท่านให้หลักธรรม ที่ตรวจสอบธรรมวินัยเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะวิปริตจากธรรมวินัย หรือ จะทำให้ธรรมวินัยวิปริตก็ตาม บรรยายขยายความก็ตาม บรรยายขยายความ ก็หมายความว่า คำสอนนั้นๆ เป็นไปเพื่อความละหน่าย คลาย เป็นเรื่องสั้นๆ เป็นไปเพื่อความลดโลภ โกรธ หลง อันนี้พูดกันอีกเมื่อไหร่ก็ชัด เป็นไปเพื่อโลกุตระ ก็คือเหนือโลกียะ เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะเสื่อมลาภ เราก็ไม่ทุกข์ เงินทองจะพร่องลงไป น้อยลง ทรัพย์ศฤงคารจะหมดไป ไม่ทุกข์ อย่าว่าแต่หมดไปเลย เราเอาออกเองด้วย เงินทองทรัพย์สิน เราก็เสียสละออกมา ออกเอง ความหวงแหนในใจของเราน้อยลง จริงๆ เห็นในคุณค่า ที่จะไปทำประโยชน์อื่น โดยตัวเอง ไม่ต้องสะสม หลักธรรมวินัยข้อหนึ่ง คือไม่สะสม ไม่สะสมกองกิเลสด้วย ไม่สะสมแม้ วัตถุทรัพย์ศฤงคาร สิ่งที่รักที่ชอบ ก็ไม่ติด ไม่หลงใหล สิ่งที่รักที่ชอบสละได้ เอาออกจากตัวได้ โดยไม่ทุกข์ไม่ร้อน เรามาปฏิบัติตาม

ที่อาตมาพยายามอธิบายธรรมะ ขยายความ หลักเกณฑ์ ทฤษฎีต่างๆ ให้พวกคุณได้เอาไปปฏิบัติ ประพฤติ พิสูจน์อบรม เมื่อคุณพิสูจน์อบรมแล้ว คุณลดละได้จริงไหม เป็นการไม่สะสมจริงไหม เห็นได้ มีหลักฐานยืนยัน ว่าอธิบายอย่างนี้ วิธีการอธิบาย หลักมรรคองค์แปด หรือทฤษฎีหลัก ที่เอาไปปฏิบัติ จะอธิบายอย่างไรก็แล้วแต่ แม้อธิบาย ที่เขากำลังว่า อวดอุตริมนุสธรรมไม่ได้ นี่ทำให้ธรรมวินัยวิปริต ถ้ามาอวดก็มาอวดได้นี่ อธิบายอวดได้นี่ ธรรมวินัยวิปริตแล้ว ที่อาตมามาแสดง มาทำอยู่นี่ ที่จริงลึกซึ้งนะ ผู้แสดงธรรมคุณวิเศษ เรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม อวดก็คือแสดง โดยเฉพาะผู้แสดงธรรม จะแสดง ด้วยภาษาโวหาร หรือแสดงออกที่ตัวเองมันเป็นอยู่ มันคือการแสดงเท่านั้น แสดงทางพฤติกรรม กับแสดงทางภาษา แสดงธรรมในระดับขั้นฌาน ขั้นญาณ ขั้นวิมุติ ขั้นมรรค ขั้นผล ขั้นสมาธิ แสดงโดยภาษาโวหาร บรรยายอธิบายเหล่าใดก็แล้วแต่ มันเป็นการแสดงธรรม ระดับคุณวิเศษ ทั้งนั้น คนที่แสดง คนที่พูดนั่นแหละ แสดงโดยภาษา โดยตนเองก็ไม่มีโดยกิริยา โดยพฤติกรรม ตัวเองก็ไม่ได้เป็นสมาธิ โดยพฤติกรรมตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นฌาน โดยพฤติกรรมตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นวิโมกข์ วิมุติ ไม่ได้เป็น แต่ภาษาที่ขยายนั้น พยายามพูด ตนเองก็ไม่รับรองว่าตนเองมีฌาน ตนเองก็ไม่รับรองว่าตนเองมีสมาธิ หรือโดยเฉพาะ เมื่อมีวิมุติ ก็ไม่รับรองว่าตัวเองมีวิมุติ เข้าใจวิมุติโดยภาษา โดยความหมาย แต่เข้าใจวิมุติโดยสภาวะ โดยเฉพาะในตัวเราเอง มีวิมุติบ้างหรือไม่ อย่างไร รับรองตัวเองไม่ได้

พระพุทธเจ้าจะต้องรับรองตัวเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ จะต้องเป็นตนเอง รับรองตนเอง รู้ตนเอง เกิดเป็นวิญญูหิ หรือเกิดเป็น เวทิตัพโพ เกิดเป็นคนรู้ คนรู้ที่มีความรู้รู้ของตน ปัจจัตตัง รู้ของตนเอง อ้อ! มันวิมุติเป็นอย่างนี้ อารมณ์ของวิมุติเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ ธรรมารมณ์ หรือธรรมรส รสธรรมะที่เป็นการลดละ จางคลาย เข้าไปในทิศทางหน่ายคลาย เข้าไปในทิศทาง ที่จะสุญตา ที่กิเลสมันจะสูญ มันจะหมด หรือที่สุด กิเลสมันสูญ กิเลสมันหมด มันไม่มีตัวตน ของกิเลสอย่างนั้นๆ เห็นของตน ด้วยญาณทัสสนะวิเศษของตน ด้วยอธิปัญญาของตน เห็นอย่างแท้จริง ด้วยเป็นญาณที่เห็น อาตมาหมายถึงญาณอย่างนี้ เขาก็เข้าใจอาตมา เรื่องญาณ ผิดแผกไป ฟังอาตมาว่าอาตมารู้อะไรพวกนี้ด้วยญาณ เขาก็ว่าอาตมาไปเข้าใจว่า ญาณที่อาตมา ไปหมาย แบบโลกๆ เขาหมาย ญาณคือไปนั่งเล็งทางในญาณๆ ไปใช้อ่านโน่น อ่านนี่อะไร อ่านหวย อ่าน แปลบัญญัติภาษาอะไรอยู่ แต่อาตมาว่า อาตมารู้บาลีด้วยญาณ เขาก็เข้าใจว่า อาตมาเอาญาณนี่ ไปเล็งเป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ อาตมาไม่ได้ไปมีญาณ ไปเพ่งเล็งภาษาบาลี แต่อาตมามีญานทัสสนะ ที่รู้ของจริง ตามบาลีที่หมายอันนั้น เป็นของจริง แม้อาตมาจะมาวิเคราะห์พยัญชนะ อาตมาก็วิเคราะห์เพื่อที่จะให้มันสอดคล้อง เป็นไปกับสภาวธรรม ที่ญาณอาตมารู้ ว่าเออ ! บาลีคำนี้หมายถึง สภาวธรรมอย่างไร

แม้แต่คำว่า อุปสัมบัน อนุปสัมปัน เป็นต้น ที่อาตมาขยายความของอาตมา สู่พวกเราฟัง คุณก็เข้าใจ อุปสัมปัน อนุปสัมปันอย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้น อาตมาขยายความ แล้วพวกคุณ ก็เอาไปทำ ขยายวิมุติ ขยายนิพพาน หรือขยายฌาณ ขยายสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิ วิธีปฏิบัติอย่างไรๆ อาตมาก็ขยาย ถ้าสิ่งเหล่านี้มันผิด มันไม่ตรง มันไม่เป็นอุชุ มันไม่ถูกตรง พวกคุณเอาไปปฏิบัติก็ไม่หลุดพ้น มันก็ไม่เป็นไปเพื่อมรรค เพื่อผลที่แน่นอน อาตมามาทำงาน ศาสนานี้ พาพวกเราประพฤติปฏิบัติ ยังไม่นานหรอกนะ อาตมามีเวลาทำงานของศาสนานี้ ไม่กี่ปี สิบกว่าปีมานี้เอง พวกคุณก็เอาไปปฏิบัติ แล้วตามที่อาตมาพาทำ ได้มากมายถึงขนาดนี้ นี่เป็นเครื่อง รองรับความจริง คุณทั้งหลายเป็นพยานให้อาตมาทุกคน มากหรือน้อยก็ตาม ว่าคุณได้ละลด จริงไหม ถ้าจริง มันควรถูกหรือมันควรผิด มันควรถูกหรือผิด มันควรจะถูก มันควรจะตรง มันไม่เพี้ยน นั่นเอง มันไม่วิปริต คุณก็ไม่วิปริตไปจากธรรมวินัย

อาตมาก็ไม่ได้อธิบายธรรมวินัยให้วิปริต อาตมาว่าอาตมาอธิบายถูก ตรง เอาไปพิสูจน์ปฏิบัติแล้ว ได้มรรคได้ผล เมื่อพูดมรรคพูดผล เขาก็คันหัวใจกันเหลือเกิน เพราะว่าเขาเอง เขาไม่กล้า แล้วได้รับ การสอนกันมาว่าอย่าอวด อาตมาเห็นสำคัญนะ เห็นสำคัญที่ว่า การมาอวดมรรคผล การมาอวด คุณวิเศษเล่น ง่ายๆนี่ มันทำให้ศาสนาเสื่อม และมันมาเป็นสิ่งหลอก หลอกล่อทำให้ศาสนาพังไว นั้นจริง เขาเข้มงวดกวดขันกันอยู่ ว่าเราอย่ามาพูดพล่อยๆ มาอวดมรรคอวดผล อวดกันเล่น แต่ถึงครั้งถึงคราววิชาการ ถึงครั้งถึงคราวที่จะเป็นกิจลักษณะ เรารับรองกันได้ รับรองกันได้ พูดกันได้ อวดอ้างได้ อวดอ้างได้ การอวดอ้างมีถึงห้าลักษณะ ดังที่ได้พูดไปแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับ พระอุบาลี การอวดอ้างคุณวิเศษนี่ มีได้คือคนห้าลักษณะ คนที่อวดอ้าง เพราะโง่เง่า เพราะได้ศึกษาน้อย งมงาย จะจัดอาตมาอยู่ฝ่ายนี้ก็ได้ สำหรับคนที่เขาเข้าใจนะ ไม่รู้ประสีประสาอะไร อวดมาอย่างกับคนโง่เง่า คนได้ศึกษาน้อยก็จริง ไอ้อาตมาได้ศึกษามาน้อย ก็ถูกต้องด้วย เพราะอาตมาไม่ได้ไปเรียนมา นักธรรมตรี นักธรรมจัตวา ยังไม่ได้ศึกษาเลย อย่าว่าแต่ตรีเลย ยิ่งโทยิ่งเอก ยิ่งไม่ได้ศึกษาใหญ่ ก็แน่เปรียญ เปรียญ เปริญอะไรยิ่งห่างไกล ไม่ได้ไปกับเขา นั้นก็จริงอยู่ เป็นผู้ศึกษามาน้อย เพราะฉะนั้น จะจัดอาตมาอยู่ฝ่าย อยู่ในหมวดนี้ อยู่ในหมวด พวกอวดอ้าง เพราะว่าศึกษามาน้อยงมงายก็ได้ จะมาพิสูจน์กันซิ ว่า อาตมาอวดตัว อาตมาแสดง พวกนี่มันมีฤทธิ์มีเดช หรือว่ามีประสิทธิภาพประสิทธิผล อะไรไหม

ข้อที่ ๒ อวดเพราะมีกิเลส อวดเพราะจิตลามก มีกิเลส กำเริบ กิเลสอยู่ในใจ อวดอ้างอยากดัง อยากใหญ่ อวดเพราะเขาเอาให้คน เขา คือรู้ว่าไม่ซื่อตรง ไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงไปหลอกคนอื่นเขา เพื่อต้องการแลก ลาภ แลกมาให้คนมาศรัทธาเลื่อมใส จะได้ลาภได้ยศ สรรเสริญอะไรก็แล้วแต่ ข้อนี้นี่ร้ายกาจที่สุด ข้อที่ ๒ อวดเพราะกิเลส เพราะจิตลามก

ข้อที่ ๓ อวดเพราะความเป็นบ้า เสียสติ เป็นคนฟุ้งซ่านมาก พวกคุมไม่อยู่ เสียสติ

๔ อวดเพราะหลงตน หลงตนว่าได้บรรลุ

๕ อวดเพราะความมีจริง อวดได้

พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ก็หมายความว่าอวดได้ แต่มีเงื่อนไขลึกซึ้ง ธรรมวินัยนี่มันลึกซึ้ง มันมีเงื่อนไข อะไรอีกมากมาย สมควรจะอวดไหม ในกาลที่ควรอวด ถ้าจะพาซื่อแต่ว่า จะต้องเอารูป แบบเป๊ะ มันจึงพาซื่อเกินไป ถ้าอาตมาจะบรรยายแต่เพียงว่า กับพระเท่านั้นถึงคุณธรรมพิเศษ คุณวิเศษ ส่วนฆราวาสไม่ต้องบรรยาย ไม่ต้องไปพูดนะ เรื่องโสดา สกิทา อนาคา อะไรนี่ พระอริยคุณนี่ ฌานวิมุติอะไรนี่ ไม่หรอก พาให้แต่ไปหาทาน ศีล ภาวนา อะไรอยู่นะ แล้วก็ไม่ให้เล่าเรียน ไม่ให้รู้ด้วยเลย ช้าตายเลย นี่พวก ซื่อบื้อหรือพาซื่อ ว่าพระพุทธเจ้าหมายถึงว่า อุปสัมบันมีแค่ภิกษุ ภิกษุณี ภิกษุณีก็ยิ่งไม่มีด้วย จะได้พูดก็ได้พูดแค่ภิกษุ แม้แต่เณรก็ถือว่า เป็นอนุสัมปัน พูดได้ก็แค่ ในพระนี่เท่านั้นแหละ พระเราก็พูด จะเอาความหมายนี้ เราก็เอาด้วย โดยจริงแล้ว อาตมาเข้าใจลึกไปกว่านั้นว่า พระที่นุ่งห่มจีวร บวชถูกต้องมานี่ มหาเถรสมาคม นั่นนะ บางที บวชมาอย่างภิกษุเลยนะ มีรูปแบบของภิกษุแล้วด้วย อาตมาเห็นว่า ไม่ใช่เป็นอุปสัมบันหรอก อุปสัมบันนั้นแปลว่าผู้เข้าถึง เป็นอนุสัมบันนะ จะไปพูดถึงเรื่องธรรมะ ในระดับโลกุตระ ในระดับ อริยคุณสูงๆ อะไรต่ออะไรด้วย ป่วยการเปล่าประโยชน์

อาตมาพูดกับฆราวาส ที่ได้ศึกษา ไม่ได้บวชเป็นพระ ไม่ได้นุ่งห่มจีวร ไม่มีรูปแบบ แต่อาตมาเห็นว่า

อ่านต่อหน้าถัดไป