วันครอบครัวอโศก ตอน ๒ หน้า ๑
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ธรรมก่อนฉัน วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๒
ณ พุทธสถานปฐมอโศก

ในช่วงนี้ อาตมาก็จะได้สาธยายธรรมต่อจากเมื่อเช้านี้ เมื่อเช้าอาตมาได้สาธยายเรื่อง สุปะฏิปันโน พระดี และอาตมาก็บอกว่า มันเป็นวันส่วนตัว วันนี้อาตมาขอคุยคนเดียว พวกคุณอย่ามาได้รู้ได้ฟัง กับอาตมานะ แล้วอาตมาก็ได้เทศน์ไปแล้วหมือนกับอาตมาเทศน์คนเดียว ส่วนตัวก็พูดถือว่าพระดี ก็ตรวจสอบตนเอง เราสุปะฏิปันโนหรือไม่ จริงแค่ไหน และเราก็เป็น อุชุปะฏิปันโนหรือไม่ แค่ไหน เป็นญายะปะฏิปันโน หรือไม่ แค่ไหน เราก็ได้พยายามแล้วนะ พยายามที่จะขยายความ แม้กระทั่งเป็น สามีจิปะฏิปันโน อย่างไร แค่ไหน ก็ได้สาธยายสู่ฟัง

เราได้อธิบายควบกับเป้าหมายที่เรา ในวันอโศกรำลึกของเรา ที่เราได้มุ่งมั่น แล้วก็ได้กำหนดกันเอาไว้ มาถึงข้อที่ ๖ ว่าเป็นวันอิสระ ผู้ใดจะมาก็มา ผู้ใดจะไม่มาก็ไม่ต้องมา ผู้ใดมาได้ก็มา ผู้ใดมาไม่ได้ ก็ไม่ได้มา อยากมาแต่ไม่ได้มาก็มี บางคนก็ไม่อยากมา แต่ถูกบังคับมาก็มี ก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องเกิดไป ทุกๆอย่างนะ

ต่อไปเราก็จะได้พูดถึงสภาพของธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสวากขาตธรรม เมื่อเช้าก็ได้ขยายเนื้อหาแล้วว่าดี พระดี ดีอย่างไร ตรงหรือถูกต้อง ไม่ออกนอกทาง ไม่เป็นธรรมวินัยที่วิปริต ไม่ได้ทำให้ธรรมวินัยวิปริต หรือว่าไม่ได้วิปริตไปจากธรรมวินัยอย่างไร ก็ได้พูดแล้ว เป็นผู้ที่จะเกิดญายะธรรม จนกระทั่งเป็นเจ้าของ หรือมีสัมมาปฏิบัติอันสมบูรณ์ ได้มรรค ได้ผลที่แท้จริงนั่นแหละ นั่นจะเป็นอริยสาวก

ทีนี้ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้วเป็นสวากขาตธรรม พระพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนเอาไว้ เราถือว่าท่านตรัสไว้ดีแล้วทั้งนั้น แต่ว่าเราเอามาเรียนรู้กันอย่างกร่อนๆ เพี้ยนๆ เข้าใจผิดๆไป แล้วก็นำมาปฏิบัติไม่ได้มรรค ไม่ได้ผล มันไม่ถูกตรง มันไม่เป็นอุชุปะฏิปันโน มันจะไม่เกิด ญายะธรรม และมันก็เป็นสุปะฏิปันโนยังไม่ได้สมบูรณ์ จะเป็นพระดีอยู่ในแง่ตื้นก็อาจจะได้ว่า เออ! อยู่ในศีล ในธรรมบ้างเหมือนกัน และไม่ละเมิดหยาบๆคายๆ เอาวินัย เอาศีลอะไร มาจับก็พอได้ แต่ก็ยังไม่เป็นพระที่ได้บรรลุอริยคุณ ไม่เป็นอริยสาวก หรือไม่เป็นสาวกที่แท้จริง ตามที่ท่านยืนยัน ไว้ในสุปะฏิปันโนนั่นแหละ ว่าอริยะจะต้องเข้าข่าย เป็นพระอริยะในระดับอริยมรรค โสดาปัตติมรรค เป็นเบื้องต้น ในเนื้อหา ยืนยันแล้วเมื่อเช้า อาตมาก็บอกแล้ว ถ้าเผื่อว่าจะชื่อว่าเป็นพระโสดาบันเต็ม ก็ควรจะต้องมี อย่างน้อย ครึ่งหนึ่งขึ้นไป ถ้ามีสักร้อยหน่วย แบ่งเป็นหน่วย ในคุณธรรม ต่างๆของ พระโสดาบัน แบ่งเป็นร้อยหน่วย ก็ควรจะได้สักห้าสิบหน่วยขึ้นไป ถือว่าสอบได้ แต่จริงๆแล้ว มันจะลำเอียงเข้าข้างตนเอง เพราะฉะนั้น เราจะจัดไว้แค่ห้าสิบหน่วย ไม่พอหรอก ที่เราจะเชื่อว่า ตนเองเป็นพระโสดาบัน เราควรจะต้องจัดไว้ถึงเจ็ดสิบ แปดสิบหน่วยขึ้นไป ที่เราควรจะให้มีจริงๆ เผื่อความลำเอียงเข้าข้างตนเอง มันจะมีได้เป็นได้ ถ้าเผื่อว่าเรามีถึงเจ็ดสิบ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ละก็ มันก็จะเผื่อพอได้นะ อย่างนี้เป็นต้น

ทีนี้ สวากขาตธรรมนี้ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ว่า เป็นสันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ นี่ คำความเหล่านี้ ลึกซึ้ง ตั้งแต่สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก ที่หมายถึงว่าเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง อันนี้เป็นเครื่องยืนยัน ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เราจะต้องรู้ เห็นได้ด้วยตนเอง สำคัญนะ รู้เห็นได้ด้วยตนเอง นี่ไม่ได้หมายความว่า เราไปฟังเขามา ไปท่องไปจำเขามา ไปรับความรู้จากผู้อื่นให้มา แล้วเราก็รับรู้ตาม เข้าใจตาม จะลึกซึ้งขนาดไหนก็ตาม เป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งเฉยๆนั้น ยังไม่ใช่ สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกนี้จะต้องบรรลุรู้แจ้ง มีญาณทัสสนะ เห็นของตนเองที่เกิด ที่เป็น ที่จริง มีความเกิด เกิดอะไร เกิดทางจิตวิญญาณ เรียกว่าโอปะปาติกะโยนิ เกิดทางโอปะปาติกะโยนิ เกิดทางโอปะปาติกะโยนิ แปลว่าความเกิด แปลว่าการเกิด การเกิดอย่างโอปะปาติกะ ก็คือการเกิด ทางจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเราเป็นเปรต เรียกว่าเป็นเปรต เปตานัง เป็นผู้ที่ตกล่วงไปสู่ที่ต่ำ เปรตก็คือจิตวิญญาณ เป็นคนมีจิตวิญญาณ คนมีจิตวิญญาณอยู่ในตัวทุกคน แล้วมันตกต่ำ มันชั่ว มันทุจริต หรือมันเป็นคนโลกๆ โลกียะนี้แหละ ยังไม่เป็นขีดเขตขึ้นมาเป็น อริยบุคคล หรือว่าหลุดพ้น พ้นทุกข์ พ้นสังสารวัฏของโลกียะ พ้นความหมุนวนอยู่ กับวัฏสงสาร หรือวงจรของโลกีย์ เอร็ดอร่อย ไปกับโลกียชน มันไม่พ้น ถ้าเรา ได้ปฏิบัติธรรม ที่ถูกต้องจริงๆแล้ว จิตวิญญาณของเราจะลดกิเลส ตัดกิเลสออกไป และวงจรที่มันจะยังจะหมุนวน ติดยึดอยากใคร่อะไรอยู่ในโลกียรส โลกียะ โลกียธรรมนั้น มันจะลดลง ลดลง เมื่อมันลดลง ลดลงแล้ว จนกระทั่งที่สุด มันก็จะหมดวัฏสงสาร ของโลกียะ หมดโลก จึงเรียกว่า เป็นผู้หมดโลกียะ หรือหมดโลก พ้นโลกเข้าไปสู่โลกใหม่ เรียกว่าโลกโลกุตตรธรรม โลกโลกุตระ ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ซึ่งเราได้อธิบายเรื่องโลกนี้ โลกหน้า โลกใหม่ โลกเก่า เราก็ได้อธิบาย

วันนี้ อาตมาขยายความโลกนี้ โลกหน้าไม่ไหวหรอกนะ ก็อธิบายในส่วนที่ว่า สันทิฏฐิโก เป็นผู้ที่ศึกษา ปฏิบัติแล้วก็เกิด คำว่าเกิดนี้ ไม่ใช่ความเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ จากตัวตนบุคคล หรือว่าตายแล้ว ก็เกิดมาหมุนเวียน เป็นบุคคลนี่ ตาย ตายชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง อะไรอย่างนี้ ไปเกิดอีกชาติหนึ่ง ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ความเกิดอันที่เราจะแจ้งให้ชัด สันทิฏฐิโก มันต้องเกิด หรือโอปะปาติกะโยนิ เกิดจริงๆนะ เกิดในตัวคน ผุดเกิดเอง ไม่ต้องเปลี่ยนร่าง โอปะปาติกะเกิดนี่ ท่านบอกว่า ตาย เกิดอยู่ในตัวจิตวิญญาณ จิตวิญญาณไม่ต้องเปลี่ยนร่างหรอก อยู่ในร่างกายเรานี่ แหละ เกิดได้จริงๆ แล้วจะมีจุตูปะปาตญาณ เห็นความเกิด เมื่อเราลดกิเลส จากความเป็นเปรต เปรตนี่ มีกิเลสนั่นเอง มีความอยาก กระหายใคร่ กระสัน มีความทุกข์ร้อนอะไรอยู่นี่ เมื่อเราลดได้จริง ฆ่ากิเลสได้จริง นั่นคือความเกิดจริง ตายจริง กิเลสมันตายจริงหรือไม่ ถ้ากิเลสตายจริง ก็มีความตาย ในโอปะปาติกะโยนิ และก็เกิดในโอปะปาติกะ โอปปาติกะโยนิ คือ ความตาย ความเกิดที่จริง กิเลสมันเหมือนกับจิตวิญญาณ วิญญาณไม่ใช่กิเลส แต่กิเลสมันปลอมตัวเหมือน จิตวิญญาณ และครอบงำสิงสู่เป็นเจ้าเข้าเจ้าของจิตวิญญาณ และมีบทบาทอยู่มานานแล้ว จริงๆนะ มันเป็นแขกจร มันเป็นอาคันตุเก เป็นแขกจรที่มาแฝงซ้อนอยู่กับจิตวิญญาณเรา มานานนับแล้ว จนเรานึกว่า มันเป็นตัวแท้ของเรา เป็นตัวกูของกู ที่แท้ไม่ใช่ ไม่ใช่ตัวกูของกู ไม่ใช่ตัวเราของเราเลย

นี่ เรามาเรียนรู้จริงๆ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง ปฏิบัติแล้วก็จะเห็นว่า อ้อ!กิเลสเป็นอย่างนี้ แล้วล้างกิเลส ลดกิเลส เห็นกิเลสตาย เห็นจิตวิญญาณนั้นเกิดสูงขึ้น เรียกว่าอุบัติ อุบัติเทพ เป็นเทวดา เกิดจากสัตว์เปรต ขึ้นมาเป็นเทวดา ขั้นสูงขึ้น เจริญขึ้น กิเลสลดลง ลดลงจนกระทั่งถึงวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาวิสุทธิ บริสุทธิ์จากกิเลส เราจะเห็นเทวดาได้ คนมีตาทิพย์ เรียนรู้ธรรมะแล้ว จะเกิดตาทิพย์ มีวิชชา มีเจโตปริยญาณ เห็นราคะนั้นเป็นกิเลส จิตวิญญาณที่ถูกกิเลสครอบงำ เป็นอย่างไร เราได้ปฏิบัติลดกิเลสลงได้จริงๆ กิเลสตายลง ตายลง

แม้กิเลสนั้นเกิดจากเหตุปัจจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง วัตถุ วัตถุกิเลส เรื่องใด เรื่องหนึ่ง ทำให้เราได้เกิดกิเลสก็ตาม เราเห็นจริงๆเลย ว่าเราปฏิบัติถูกต้อง กิเลสลดลง ลดลงๆ กิเลสตายไป ตายไป จิตวิญญาณสะอาดขึ้น นั่นแหละ เรียกว่าอุบัติเทพ คนที่เห็นความจริงในความจริงอย่างนี้ มีญาณทัสสนะอย่างนี้แหละ เป็นคนตาทิพย์ ตาทิพย์จะเรียกว่าทางในก็ใช่ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะนอนก็ได้เห็น ไม่ใช่เอาแต่นั่งสะกดจิต แล้วก็เป็นแบบสมาธิสะกดจิตแล้วก็นั่งทางในเห็น เห็นทางในอยู่เท่านั้น ไม่ใช่อย่างนั้นแค่นั้นหรอก ศาสนาของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ นี่ เห็น ตาทิพย์ ลืมตาโพลงๆนี่แหละเห็น มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา มีความแววไวของธาตุรู้ เป็นมุทุภูตธาตุ มุทุภูเต กัมมนิเย มีการงานปฏิบัติธรรม มีการงานที่กระทำอยู่ เป็นงานกิจวัตร จะคิดก็ตาม ก็เป็นการงาน จะพูดก็เป็นการงาน จะทำการงานประกอบร่วมด้วย ทั้งกายกรรมด้วยสมบูรณ์ หรือแม้ทำอาชีพอะไรอยู่ด้วยก็ตาม เป็นการงาน การงานนั้นก็จะดีเหมาะสมเป็นกรรมนิยะ กรรมนิเย เหมาะควรแก่การงาน การงานนั้น พาเจริญอย่างดี แล้วเราก็จะรู้จักกิเลส (มุทุธาตุ นี่มันเป็นกิเลส) มุทุธาตุนี่ เป็นตัวแววไว เป็นตัววิญญาณที่มันฉลาดขึ้น จับกิเลสได้แล้วกิเลสก็หัวอ่อน มุทุนี่แปลว่าอ่อน กิเลสก็หัวอ่อน

อาตมาอธิบายอย่างนี้ เขาหาว่าอาตมาอธิบายไม่เหมือนหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียนกันมา แต่อาตมาอธิบาย ให้พวกคุณฟัง พวกคุณเอาไปปฏิบัติ เกิดรู้เกิดแจ้ง เป็นสันทิฏฐิโก พึงปฏิบัติเอง พึงศึกษาไป ศึกษาไปปฏิบัติเอง แล้วก็เกิดรู้แจ้งเห็นเองของตนเอง มันเข้าสวากขาตธรรม เขาอธิบายกัน ก็อธิบายตามนั้น อาตมาเข้าใจ ที่อธิบายกัน แล้วอาตมาอธิบายเกินไปอย่างที่ว่านี่ นะ ละเอียดลออเกินขึ้นไปอีกจากเดิม พวกเราฟังชัดไหม ฟังแล้วเอาไปพิสูจน์ ปฏิบัติ แล้วจับสภาวธรรม ที่เป็นจิต เจตสิก รูป เป็นปรมัตถธรรมได้ไหม จับกิเลสได้ไหม กิเลสลดลง ก็จับอาการของจิตได้ จับอารมณ์ของจิตได้อีก เป็นธรรมารมณ์ โอ่! ธรรมารมณ์นี้ เป็นธรรมรส เห็นรสของกิเลส ที่เบาบาง จากกิเลสลงไป เป็นความสงบระงับอย่างไร เป็นความเบิกบานร่าเริงอย่างไร เป็นความไม่หนัก เป็นความเบาความว่างอย่างไร คุณจะอ่านออกจริงๆ อ่านได้ อ่านของจริง ตามความเป็นจริง จึงเรียกว่า สันทิฏฐิโก นี่เป็นการศึกษาปฏิบัติ จึงเห็นเอง ของตนเอง ได้ของตนเอง อกาลิโก ไม่จำกัดเวลา อกาลิโก สามารถปฏิบัติได้

แม้กระทั่งวันนี้ ที่ยังมีศาสนาพุทธอยู่ ถ้ามีสุปะฏิปันโน พากันอธิบาย พากันปฏิบัติ บอกถูกทางเป็น อุชุปะฏิปันโน แล้วก็ปฏิบัติจริงๆ คุณจะเกิดญายะปะฏิปันโน จะเกิดญายะธรรม จะเกิดความรู้แจ้ง เกิดการเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์ เห็นจริงๆเลยว่า ทุกข์มันลดลง เหตุแห่งทุกข์ตาย เหตุแห่งทุกข์ มันลดลง หรือจนกระทั่งตายสนิท ถอนอนุสัยอาสวะ จะเข้าใจสภาวธรรมนั้น ได้จริงๆเลย จนกระทั่ง เป็นเจ้าของธรรมะ หรือเป็นผู้มีสัมมาปฏิบัติสมบูรณ์ จนเกิดสัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ เป็นของจริง อะกาลิโก แม้ยุคนี้ กาละนี้ วันนี้ วินาทีนี้ ก็ยังเอาธรรมะ ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติได้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ตามที่ท่านยืนยัน พระพุทธเจ้ายืนยันเอง ถ้าตราบใด มีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจริงๆ จะเกิดอย่างนั้น กาละนี้ ก็ยังเป็นกาละ ที่ยังไม่หมดศาสนาพุทธ ผู้ปฏิบัติได้อยู่จริง เป็นเอหิปัสสิโก

เอหิปัสสิโก หมายความว่า เป็นสิ่งที่ผู้แจ้งเอง มีแล้ว เป็นสันทิฏฐิโกนี่ จะมีแล้ว มันจะมีอยู่ในตัวเอง แม้จะไม่พูด จะไม่ท้าทาย มันก็เหมือนท้าทาย

ทีนี้ อาตมา เป็นคนช่างพูดเสียด้วย มันก็เลยยิ่งท้าทายมาก ท้าทายจนคนหมั่นไส้ จริงๆนะ จริงๆนะ อาตมาเอง อาตมาพยายามระมัดระวังอยู่ ว่าไม่ให้ไปยียวนมากนัก ระวังแล้วนะ ไม่ใช่อาตมาไม่ระวัง ระวังแล้ว แต่มันก็ยียวนเขาจริงๆ อาตมาทำนี่ ถ้าเผื่อว่าอาตมาทำอาการยียวน อาการน่าเกลียด น่าชัง ถ้าพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์เจ้า เห็นอาการของอาตมา คุณว่าพระอรหันต์เจ้า จะเกิดคันหัวใจไหม คันไหม ไม่คัน คุณก็ตอบได้

ที่นี้ คนไม่ใช่พระอริยเจ้าจึงคัน ไอ้นี่ความจริงนะ ที่จริง อาตมา มีลักษณะแคสเซียสเคลย์อยู่บ้าง มีลักษณะของโมฮัมเหม็ด อาลี นักมวยแชมป์ แชมเปี้ยนโลก ระดับเฮฟวี่เวท ที่ตอนนี้เป็น โรคประสาทไปแล้ว อาตมาจะเป็นโรคประสาทเหมือนโมฮัมเหม็ด อาลีหรือไม่ ก็คอยดูไปก็แล้วกัน นี่อาตมาเปรียบเทียบ ให้ฟัง คือมีลักษณะหนึ่ง คือ มีลักษณะใช้จิตวิทยา ยั่วยวนให้ข้าศึกโมโห ยั่วยวนให้ข้าศึก มีอาการโกรธขึ้นมา อาตมามีเจตนาอะไร เจตนาให้ เกิดอาการโกรธ แล้วก็บอก ให้คุณดูตัวเอง รู้สึกตัวเสีย โกรธแล้วใช่มั้ย เมื่อโกรธแล้ว มีความจริงอย่างนั้น วิเคราะห์ให้ออก ถ้ามันสงบนิ่ง ไม่มีอะไรไปกวนมัน ความโกรธมันก็อยู่เฉยๆ แล้วมันก็ฝังอยู่ในอนุสัย นอนนิ่งอยู่ นอนเนื่องอยู่ในจิตลึกๆ คุณไม่รู้ตัวง่ายๆหรอก ขนาดยั่วให้โกรธแล้ว ยังอ่านไม่ออกนี่ มันก็มืดแล้ว ละคน จริงนะ คุณเกิดริษยาแล้วหรือยัง อาตมาก็ยั่วดู เกิดแล้วไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวก็มืดอยู่อย่างนั้น รู้ตัวแล้วมีวิธีที่จะลด ลดกิเลสริษยา ลดกิเลสโกรธ ลดมั้ย ลดได้มั้ย มีวิธีการมั้ย เราก็สอนวิธีการกัน แล้วพวกเรานี่ เป็นโจทก์ให้แก่กันและกัน ยั่วๆกันดีเหมือนกัน ดีไม่ดี อาตมาก็ว่าความกันอยู่บ่อยๆ เดี๋ยวก็มา โจทก์มา จำเลยมา ว่าความกันไป ประนีประนอม ตัดสินความกันอยู่บ่อยๆ เป็นธรรมดา นี่เป็นวิธีการ เป็นวรยุทธ์ เป็นศิลปวิธีที่เราใช้และก็ทำได้ผล

อโศกเรานี่มีคนถาม วันนั้น ชาวต่างประเทศถาม คนไทยอาตมาไม่กล้าตอบ ตอบอย่างนั้นนะ ยังไม่กล้าตอบ กลัวเขาจะช็อก หรือกลัวเขาจะโกรธ หรือหมั่นไส้เกินไป อาตมาก็ตอบกับนักข่าว ต่างประเทศเท่านั้น เขาถามว่า ทำไมท่านสอนยังไง ท่านทำยังไง ถึงมีประชาชน มาศรัทธาเลื่อมใส กันมากมาย อาตมาก็ตอบว่า อาตมาสอนเก่ง ถ้าไปตอบกับคนไทยใช่มั้ย ช็อกแน่เลย ดีไม่ดีค้อนควับเลย หมั่นไส้นัก ตอบอะไรกันอย่างนี้นะ นี่

อาตมาตอบกับนักข่าวต่างประเทศเขาเข้าใจ อาตมาบอกอาตมาสอนเก่ง คนเข้าใจ เข้าใจได้ทันที ลึกซึ้งเหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนเอาของลึก ชักของลึกมาให้ตื้น เขาเข้าใจได้ชัดกระจ่างง่าย เขาเห็นจริงเห็นจัง เขาก็มาศรัทธาเลื่อมใส เขาก็มาปฏิบัติ ยิ่งมาปฏิบัติ อาตมาก็ยิ่งพาปฏิบัติ ได้ความจริง เกิดความจริง เกิดมรรค เกิดผลขึ้นมา เขาก็ยิ่งมั่นใจ เขาก็ยิ่งศรัทธาเลื่อมใส เหนียวแน่น และก็ยิ่งลึกซึ้ง ขึ้นไปเรื่อยๆ ปฏิบัติสูงขึ้น มันก็ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น เรื่องการปฏิบัติธรรม และจนกระทั่งมามีธรรมะในตัวเรา นี่ความว่า เอหิปัสสิโก อาตมาถึงว่า แหม ชมเชย ท่านผู้แปลเป็นภาษาไทย ท่านแปลว่า ท้าทายให้มาพิสูจน์ หรือเชื้อเชิญ เรียกร้องให้มาดูได้ มันมีในตัวเรานี่แหละ มันมีแล้วมันก็เป็นสิ่งหนึ่งจะยั่วยวนท้าทาย ให้คนอื่นมาดู มาพิสูจน์ คนที่หมั่นไส้ ไม่เข้ามาดู ไม่เข้ามาดู แล้วไม่ตรวจสอบที่แท้จริง ขี้ตู่ด้วย คนที่หมั่นไส้ คนที่ไม่หมั่นไส้ คนที่คิดว่าเราต้องไปพิสูจน์ให้จริง ก็เข้ามา แล้วก็มีมากที่เข้ามา เพื่อต้องการพิสูจน์ ด้วยหลัก ด้วยลักษณะของเอหิปัสสิโก แหม! มันท้าทายเหลือเกิน มันยั่วยวนเหลือเกิน มันต้องไปดู อันนี้มันจริงแค่ไหน เข้ามาเพื่อจับผิด เข้ามาเพื่อจะมารู้ความจริง เลยมาได้รู้ความจริง เสร็จแล้ว ก็เข้ามาแล้ว เข้ามาเลย เข้ามาแล้วก็ไม่ออกไปมีมาก ใครเป็นลักษณะนี้บ้าง ลองยกมือขึ้นซิ สลอนเลย สลอนเลย เข้ามาเพื่อจับผิด เข้ามาแล้วก็เข้ามาเลย ไม่ออกไปละ ความจริงมัน เป็นอย่างนั้น มันกล้าหาญ ที่จะท้าทายให้มาพิสูจน์ อาตมาพูดอยู่ว่า อาตมาอยากให้ คนมาล้วงตับ ล้วงไต ล้วงไส้ ล้วงพุง เพราะเราแน่ใจว่าตับเรา ไตเรา ไส้เราสะอาด สะอาด ไม่มีเชื้อโรค แต่ในลำไส้ มันก็คงมีสิ่งที่มันประกอบอยู่ในลำไส้ เหมือนกันละน๊า แต่ก็เป็นของสะอาดได้สัดส่วน ไม่มีพยาธิ ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีแนวที่ห้า เราแน่ใจนะว่า ถ้าใครได้มาพบสิ่งลึกๆ ของเราจริงๆแล้ว เขาจะมั่นใจ จริงไม่จริง เราแน่ใจว่าเราไม่กลัว ถ้าเราแน่ใจว่า เรามีของจริงแล้ว เราจะไม่กลัวง่ายๆเลย จะจริงหรือไม่จริง เราไม่หวั่นเลย เขาจะมาตรวจมาสอบมาค้นอย่างไร จะจริงหรือไม่จริง เราไม่กลัว เมื่อเราแน่ว่าจริงแล้ว เขาจะต้องพบว่า ความจริงนั้น คนปัญญาดี เห็นของจริง ก็ต้องเห็นของดี คนปัญญาไม่ดี เห็นของจริง เป็นของเบี้ยว เห็นของจริง เป็นของผิด ไอ้นั่น มันเรื่องของเขา ที่ปัญญาไม่ดี

เพราะฉะนั้น มันสอดคล้องกันอยู่ว่า คนที่มาดู มาเห็น มารู้สิ่งนี้ เขาจะจริงแค่ไหน เขาจะมีปัญญา สูงแค่ไหน เป็นการคัดเลือกบุคคลด้วย ถ้าเขามีปัญญาสูง เขาก็จะเชื่อเรา แล้วเขาก็จะพยายาม ปฏิบัติตามเรา เขาจะมาพิสูจน์นี้ได้เอง เมื่อได้เอง แล้วเป็นสันทิฏฐิโก มันก็จะมีลักษณะ เอหิปัสสิโก ขึ้นมาอีก ไปท้าทายผู้อื่นให้มา ให้มาดูได้ ให้มาพิสูจน์ได้ มันจะเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เกิดต่อ ต่อ ต่อ มันก็จะชวนให้คนอื่นมาพิสูจน์อยู่ต่อไป บางคนมันไปยียวน เขามากเกินไป เขาไม่มา มันไม่ท้าทาย ให้มาพิสูจน์ เพราะมันยียวน แล้วมันก็ไม่เชื่อถือหรอก ไอ้ ! อย่างนี้ ไม่เข้าท่า เขาไม่มาเลย เพราะฉะนั้น ลักษณะของเอหิปัสสิโก มันยังมีขนาดของมันนะ ลักษณะของมันที่ท้าทาย ให้มาพิสูจน์นี่ จะต้องท้าทายอย่างพอเหมาะ แล้วก็จะต้องรู้กาละเทศะ ว่าเราจะท้าทายเมื่อไหร่ ท้าทายแล้วมีประมาณด้วยว่า ท้าทายแรง ท้าทายเบาขนาดไหน ขนาดไหน ต้องรู้นะ เมื่อเราท้าทาย ให้มาพิสูจน์ได้แล้ว เขามาพิสูจน์แล้ว ถ้าเรามีของจริงความจริงก็สบาย ผู้ที่เข้ามา ก็จะมาเกิดสภาพ สันทิฏฐิโก หรือสภาพปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือจะมาเกิด สภาพของการเกิดเอง รู้เอง เห็นเอง เป็นของตนเอง เป็นสิ่งที่วิญญูชนแจ่มแจ้งอยู่ในตน แจ่มแจ้งของตนเอง อยู่ในตนเองนี่แหละ

เพราะฉะนั้น พระอริยเจ้าต้องรู้ตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นไปสอบญาณ นั่นเป็นความเพี้ยนของธรรมวินัย แล้ว ให้คนอื่นสอบญาณอยู่นั้น ไม่ตรงกับสวากขาตธรรม ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้วนี่ เห็นไหมว่า มันค้านแย้งกับที่ท่านตรัสไว้แล้ว เพราะฉะนั้น บางที่ บางแห่ง อาจารย์นี่ ใหญ่นะ สอบญาณคนอื่น แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ญาณใครญาณมัน รู้ได้ด้วยตน และต้องรู้ของตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาโมเมบอก ไม่ใช้ให้คนอื่นมาโมเมบอก ว่าญาณนั้น ญาณนี้ อย่างนั้นอย่างนี้แค่นั้น แล้วก็ผู้ที่บอกนั้น เป็นคนอื่น แล้วก็บอกว่านี่ ญาณสองแล้วนะ ญาณแปดแล้ว ญาณสิบห้าครึ่งแล้ว เดี๋ยวจวนจะญาณสิบหกแล้ว ไม่ใช่ มันค้านแย้งแล้ว ลักษณะค้านแย้งกับธรรมวินัย อย่างนี้แหละ เป็นผู้ที่อธิบายออกนอกธรรม นอกวินัย ธรรมวินัยวิปริต และลักษณะแสดงอย่างนี้ เขาไม่ตรวจตรากัน ในสังคมศาสนา ในสังคมพุทธ ไม่ตรวจตรากัน แล้วก็ไม่รู้ว่ามันผิด อาตมาพูดนี่ อาตมาพูดอย่างเจตนาดี ติงเตือนกัน ให้ตรวจสอบ เดี๋ยวนี้ ยังมีหมู่กลุ่ม ที่เรียนวิธีการเรียนสอนกัน เรียนวิธี สอบญาณอยู่เดี๋ยวนี้ มี มีสำนัก มีคณะที่สอบญาณ กันนี้ นี่เห็นได้ว่ามันค้านแย้ง พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

เพราะฉะนั้น คุณมาเรียนรู้ คุณจะรู้ได้ด้วยตน เมื่อรู้ได้ด้วยตนแล้ว มันมั่นใจ ตอนแรก คุณมาฟัง ก็เป็นศรัทธาในระดับแรก คือศรัทธาเป็นศรัทธาธรรมดา เรียกว่า เชื่อถือ โอ้! มีเหตุมีผลดี มีหลักการ มีโน้นมีนี่ คุณก็จะเข้าใจลึกซึ้งไปขนาดหนึ่ง มันเชื่อ แต่ว่ายังไม่ปฏิบัติตาม ยังเชื่อไม่มีอิทธิพล ยังเชื่อไม่ถึงขั้นลึกซึ้ง มีอิทธิพลถึงขีดเขตที่ว่า ฉันจะต้องปฏิบัติตามแล้วละ มันดีนี่ต้องเอา เหมือนกับคนที่ จะไปค้าไปขาย จะไปทำอะไรก็แล้วแต่ หรือจะไปหาเห็ด ไปหาเพชรหาพลอย ไปเจอบ่อเพชร บ่อพลอยแล้ว มันจะต้องรีบลงมือเก็บ ลงมือทำ มันต้องถึงขีดหนึ่ง ถ้ามันยังไม่เจอ บ่อพลอย เพียงแต่เขาบอกว่าบ่อพลอย บ่อเพชรอยู่ที่นั่น ที่นี่ มีเหตุมีผล มีสิ่งที่อ้างอิง แวดล้อม เชื่อถือ เราเชื่อ แต่เรายังไม่เชื่อถึงขนาดที่ต้องรีบไปเอา จะต้องลงมือไปเก็บเพชร เก็บพลอยแล้ว เพราะว่ารู้แน่ว่ามันมี แล้วมันเป็นของจริงด้วย เขาก็จะยังไม่

ถ้ามันมีความศรัทธา หรือมีความเชื่อ อย่างมีระดับสูงขึ้นไป ถึงขีดเชื่อฟัง ตอนแรกเชื่อถือ ต่อมาเชื่อฟัง ถึงขีดระดับเชื่อฟัง ภาษาไทยนี่ มันถึงขั้นปฏิบัติตามแล้ว คนเชื่อฟัง คือคนปฏิบัติตาม หรือคนลงมือกระทำพิสูจน์ เมื่อได้มาลงมือ กระทำพิสูจน์ เสร็จแล้ว เราจะเกิดผลจริง มีมรรคมีผล มีของจริงเกิดขึ้นในตัวเรา เราก็จะเห็นของเรา เราก็จะรู้ของเรา เราจะเกิดญาณรู้เห็น ตัวรู้เห็นญาณรู้เห็น เกิดรู้เห็นว่า โอ้!มันเกิดจริง เป็นจริงอย่างนี้ มีปรมัตถธรรมอย่างนี้ มีความสุขสบาย หรือมีความพ้นทุกข์ มีความปลดแอก มีการหลุดพ้นอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างไหน ก็ตถตา มันเป็นอย่างนั้นแหละ อย่างนั้นเองแหละ อย่างนั้น ตถตา ตถ แปลว่า ความจริง มันมีของจริงอย่างนั้นแหละ มันมีความจริง ของใครก็ของใคร ของใครเห็นของตนเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เห็นของตนเอง พอเห็นแล้ว ทีนี้คุณก็จะเชื่อ คราวนี้ไม่ใช่แค่เชื่อถือ ไม่ใช่แค่เชื่อฟัง เชื่อมั่น มันถึงขีดขั้นเชื่อมั่น ทีเดียว เชื่อมั่นอันนี้แล้วนี่ มันไม่คลอนแคลน อาตมาถึง บอกว่า อาตมาไม่กลัวเลยว่า ใครจะมา ดึงพวกคุณไปจากอาตมา หรือจริงๆไม่ใช่อาตมา ใครจะมา ดึงพวกคุณ ไปจากสัจธรรม คุณได้สัจธรรม ได้สัทธรรมใด คุณได้เป็นของตน ที่มีในตัวในตน ได้แล้วจริง เป็นของจริงแล้ว อาตมาไม่กลัวคุณจะออกจากสิ่งเหล่านี้ อาตมาไม่ออกจากอันนี้ อาตมาจะเหนียวแน่นอยู่กับอันนี้ เชื้อมั่นอยู่กับอันนี้ อาตมามีลักษณะนี้อยู่ในตน อาตมาเชื่อมั่น ในสัจจธรรม สัจธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าใครได้ทรงไว้ อย่างถึงขีดขั้น ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล คือเชื่อมั่น มีปัญญาพละ หรือ ปัญญาผล ถึงขั้นนั้นจริง คุณจะไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่วิปริต อวิปริตตัง จะไม่วิปริต จะไม่ออกนอกธรรมนี้ ธรรม แปลว่า สิ่งที่ทรงไว้ สิ่งที่ทรงไว้ในตน ธรรมจะไม่ออกนอกอันนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเอง คุณมีสัจธรรมอย่างนี้ มันจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีที่สุด มีหนึ่งเดียวเท่านั้น เหมือนกันตรงกัน ความหลุดพ้นเป็นอย่างไร ที่มันตรงกัน มันจะตรงกัน ความละหน่ายคลาย เป็นอย่างไร มันจะเหมือนกัน มันจะอธิบายตัวมันเองถูกต้องเลย มันจะอธิบายตัวมันเอง เมื่อมันเป็นเช่นนั้น อาตมาเป็นเช่นใด อาตมาก็มั่นใจในพวกคุณ ที่จะได้เช่นนั้น คุณจะบอกว่า เป็นลูกศิษย์อาตมา คุณจะมาเป็นพรรคพวกอาตมาหรือไม่ I don't care อาตมาไม่แคร์ ไม่แคร์ทับศัพท์เสียเลย อาตมาไม่กังวล ไม่แล้ว ไม่เกรงคุณจะเป็นหรือไม่เป็น เรื่องอิสรเสรีภาพของคุณเอง อาตมาไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปขอร้อง และนอกจากไม่บังคับ ไม่ขอร้องแล้ว แม้ผลักไส แม้จะดันออก มันก็เป็นหนึ่งเดียวกัน กลมกลืนกัน เป็นเอกภาพเดียวกัน เพราะฉะนั้น อาตมาเข้าใจธรรมอยู่อย่างนี้ อาตมาจึงไม่เกรงเลย ใครจะมาดึงเอาเดี๋ยวนี้ เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดอย่างนี้ กลัวมั้ย พระจะสึกไปจากอาตมาหมด ไม่กลัวเลย ไม่กลัวจริงๆ กลัวมั้ย นี่ญาติโยมจะหนีไปหมดแล้วนี่ เค้าตกใจตื่นเต้น หนีไปหมดแล้ว เพราะเหตุการณ์นี้ โอ้โฮ ! นี่เขามีหมู่มากเลยนะ เนี่ย เข้าข้างกันนี่ ขานรับกันว่าถูก ทางโน้นถูก ทางนี้ผิด พระโพธิรักษ์นี่ ผิด ผิด ผิด ผิด จะแพ้แล้วนะเกมส์นี้ งานนี้แพ้แล้วนะ อาตมายังเฉยๆ สบายๆ ไม่ได้กลัวแพ้ ไม่ได้กลัวชนะ จริงๆ ไม่ได้กลัวแพ้ กลัวชนะอะไรเลย คุณจะไปก็ไป ไปได้เลย

อาตมาทันสมัยนะ แม้จะอายุ ๕๕ เต็ม วันนี้ขึ้น ๕๖ แล้ว วันนี้เป็นวันที่ ๕ ๕๖ อาตมาต้องเต็มวันที่ ๕ สิ ใช่มั้ย อาตมาต้องเต็ม ๕๕ วันที่ ๔ ก็วันเกิดวันนี้ นี่กำลังเกิดใหม่ เป็นวันแรกไง วันที่ ๕ ๕๖ เริ่ม เป็นวันแรก เกิดใหม่ ปีที่ ๕๖ ปีนี้ ใช่ไหม พอครบ ๕๔ อาตมาก็ชนเต็ม ๕๕ เปี้ยบเลย อาตมาเกิด ตอนเช้า พระออกบิณฑบาต นี่เลยเวลาบิณฑบาตมาแล้วนี่ อ้า! เลยเวลาบิณฑบาตมาแล้วนี่ กำลั้งมีอายุย่างเข้า ๕๖ มาหลายชั่วโมงแล้ว แม้จะอายุ ๕๖ ก็รับรองว่า ยังทันสมัย ๕๕ ยังแจ๋วๆ ยังไม่ทัน ๕๖ นับ ๕๖ เต็มยังไม่ได้ อาตมาจะนับอายุ ๕๖ ต่อเมื่ออาตมามีอายุ ๕๖ นี่ไปถึง ๖ เดือน ถ้าใครมาถามอาตมา เมื่ออาตมามีอายุ ๕๖ ปี ๖ เดือนแล้ว อาตมาจะตอบเขาว่า อาตมาอายุ ๕๖ ถ้าเลย ๖ เดือนไป ก็ ยิ่งเป็น ๕๖ แท้ แต่ถ้ายังไม่ถึง ๖ เดือน ก็ถือว่า เรายัง ๕๕ แล้วก็ย่างเข้า ๕๖ ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จะเรียกว่า เรามีอีกปีหนึ่งยังไม่พอ มันจะต้องอย่างน้อย สอบได้ ครึ่งปีเสียก่อน ถึงจะเรียกว่า เรามีอายุย่างเข้ามา ล่วงเกินปีล่วงครึ่งปีขึ้นมาแล้ว ก็เป็นปีอีกปีหนึ่ง ในลักษณะที่ อาตมาหยิบมาพูด มาอธิบายให้พวกเราฟัง ขยายความ พวกคุณจะเข้าใจอะไร ต่ออะไรได้ดียิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นจริง มีจริงนี้ มันเป็นของยืนหยัดยืนยัน อาตมาไม่เกรงกลัวในสัจธรรม ว่ามันจะต้องเป็นไป เพราะพวกมาก หมู่มาก เป็นไปเพราะสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ทำให้วิปริต แปรปรวนไปได้ ไม่ ความไม่วิปริต แปรปรวนนี้ เป็นสิ่งที่เที่ยง พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า นิจจังด้วย หรือที่ท่าน เรียกมากก็คือ ใช้เรียกว่า นิยะตะ มันเที่ยง สัจธรรมพระพุทธเจ้านี่เที่ยงแท้มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ อาตมาค้นพบในพระบาลี ค้นพบในสาระที่ พระพุทธเจ้า ท่านยืนยัน ลึกๆซึ้งๆ แล้วถึงขั้นสัญญาย นิจจานิ หมายความว่า ได้กำหนดรู้ อย่างชัดเจนเลยว่า สิ่งนี้ ถึงขั้นนิจจังแล้ว เที่ยงแล้ว ไม่แปรปรวนแล้ว จะเรียกนิยะตะ หรือนิจจังก็ได้

สัจธรรมที่สมบูรณ์สูงสุด ถึงขั้นบรรลุสุดยอดแล้ว ไม่แปรปรวน ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่เป็นอื่นอีก ไม่เป็นอื่นอีก เพราะฉะนั้น คุณจะได้หรือไม่ได้ อาตมาก็จะต้องพาคุณไปให้ได้ อย่างที่ อาตมาได้ อาตมาเข้าใจที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เพราะอาตมามีสภาวะนั้น มั่น ใจ เพราะอาตมา มีของจริง อาตมาไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่นักเรียน ไม่ใช่นักรู้ อาตมาเป็นนักจริง เอาของจริง มาขยายความ เอาของจริงมาพูด โดยส่วนตัวนั้น ตัวเองไม่ใช่นักเรียน ใครๆก็รู้ รู้จักกันอยู่ว่า อาตมาเป็นคนด้อยการศึกษา แต่อาตมาไม่ใช่เป็นคนไม่มีอะไร อาตมาเป็นคนมีอะไร กรุณาอย่า หมั่นไส้เลย ถ้าจะอวดอยู่สม่ำเสมอ อาตมามีของจริงที่เป็นนามธรรม ที่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างไร อาตมาเอาออกมาพูด คนที่จะรู้สิ่งที่ลึกซึ้งนั้นมีน้อยคน คนฟังอาตมารู้เรื่อง ก็มีจำนวนไม่มาก ไม่มากนะ ขอยืนยันว่า อโศกจะไม่ได้ใหญ่กว้างกว่ามวลธรรมดาๆ มวลพื้นฐาน มวลปุถุชน ปุถุชนจะมีเยอะกว่าอริยชน อย่างฉันใด อย่างไร นั่นคือความจริง พวกของปุถุชน จะมีมากกว่า พวกของอริยะ ทุกวันนี้เขาพยายามที่จะหาเสียง ด้วยการหามวลหมู่ ก็เอามวล ปริมาณมาก มาอ้างอิงยืนยันว่า อาตมาผิด อาตมาขอยืนยันว่านั่นตื้นไป สิ่งที่เป็นสิ่งสูง เป็นอัจฉริยบุคคล หรือเป็นอัจฉริยธรรม เป็นอริยวินัย เป็นอริยธรรมนั้น เป็นเรื่องสูง ผู้รู้ รู้ได้น้อยคน มีคนน้อยคนเท่านั้น ที่รู้ได้ ไอ้คนที่น้อยคนที่รู้ได้นี้ จะต้องพยายามค้นคว้าหาจำนวนกลุ่ม ที่มีอัจฉริยะจริงนี้ให้ได้ อย่าไปเอาลักษณะคนมาก เป็นประมาณมากๆนั้น เป็นการตัดสิน เป็นค่าตัดสิน ความถูกต้อง กันง่ายนัก เมื่อจะตัดสินสิ่งที่เป็นอริยธรรม อริยวินัย หรือตัดสิน สิ่งที่ในระดับอริยะ หรืออัจฉริยะ ขึ้นไป ควรจะต้องสังวร ระวังให้มากเรื่องนี้ อาตมาเตือนอยู่

เพราะฉะนั้น งานนี้เป็นงานที่ท้าทายความจริง ท้าทายความเฉลียวฉลาดที่แท้จริง งานนี้หรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะนี้นั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างท้าทาย อาตมาออกเห็นใจ ออกสงสาร ปราชญ์ที่ได้พลาดพลั้ง ปราชญ์ที่ได้พลาดพลั้ง และก็ได้แสดงออกไปสู่สาธารณชน เป็นการแสดงภูมิ เอียงข้างไปด้านผิด หรือ ด้านถูกที่แท้ อาตมาว่าปราชญ์เหล่านั้น พลาดพลั้งไปนั้น น่าสงสาร จะถูกฉีกหน้า หรือว่าจะปล่อยไก่ออกมาพอสมควร งานนี้จะมีปราชญ์ปล่อยไก่ๆ อยู่พอสมควร อาตมาพูดนี้ ขอให้สังเกต และขอให้อ่านดู อาจจะไม่แจ้งกันในชาตินี้ก็ได้ อาจจะไม่ แจ้งกัน ภายในห้าปีนี้ ภายในสิบปีนี้ ภายในยี่สิบปีนี้ก็ได้ แต่จะแจ้งกันในอนาคต เมื่อใดก็ตาม อาตมาไม่ได้พูดอย่างหลงตน ไม่ได้พูดอย่างหยิ่งผยอง แต่อาตมาพูดอย่างมั่นใจ ในสัจธรรมว่า อาตมามีสันทิฏฐิโก มีเอหิปัสสิโก โอปนยิโก มีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มีจริงๆ อาตมายืนยัน อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดได้มาพิสูจน์ เกิดศรัทธา สัทธินทรีย์ หรือ เกิดศรัทธาผล อย่างที่กล่าวแล้วว่า เชื่อถือ ศรัทธา เชื่อฟังก็สัทธินทรีย์ขึ้นมาแล้ว มีกำลัง เชื่อมั่น ถึงขั้นศรัทธาผลหรือ ศรัทธาพละ เป็นกำลังที่เป็นวิมุติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสยืนยันว่าพละกำลังของสมณะนั้น คืออะไร เป็นเครื่องแสดง อะไรเป็นเครื่องแสดงพละกำลังของสมณะ สมณะผู้มีกำลัง มีอะไรเป็นเครื่องชี้ มีอะไรเป็นเครื่องแสดง วิมุติ นี่เราก็เรียนกันมา วิมุติเป็นเครื่องแสดงพละกำลังของสมณะ เพราะฉะนั้น พวกเราจะต้องแสดงวิมุติให้ดี มางานอโศกรำลึกนี้ แสดงวิมุติเป็นกำลัง วิมุติไม่ใช่ เรื่องอกุศล วิมุติไม่ใช่แสดงความโลภ ความโกรธ ใช่มั้ย ใครไม่แสดงวิมุติ หรือใครแสดงวิมุติ ผิดพลาด มีลักษณะโกรธ มีลักษณะโลภ ลักษณะราคะอะไรออกมาบ้าง พวกนั้น ไม่ได้แสดง พละกำลังที่แท้จริง

เขาบอกว่า พวกเราจะมาชุมนุมกันในวันอโศกนี่ และก็เข้าใจ ไปต่างๆ นานา จะอธิบายให้มันลงตัว ให้มันถูกต้องตามที่เขาเข้าใจบ้างก็ได้ อธิบายว่า จะมาแสดงมวล จะมาแสดงพละกำลัง ใช่ แต่เรากำลังแสดงพละกำลังที่ออกไปในทางสมณะ แสดงพละ กำลังวิมุติใช่มั้ย แสดงพละ กำลังวิมุติ คือความไม่มีลักษณะของความโลภ ความโกรธ ระมัดระวัง สังวรกันจริงๆ ใครระมัดระวัง สังวรได้เท่าใดๆๆ ผู้นั้นได้ปฏิบัติธรรม ในวันอโศกรำลึก ถูกต้องตรงทั้งนั้น กำลังมาช่วยอาตม าแสดงพละกำลัง พละกำลังวิมุตินี้ ไปรบรากับคนอื่น ได้เหมือนกันนะ คือพละกำลังวิมุติ สงบ สุภาพ เป็นความสงบ เป็นความสุภาพ เราจะสู้ผู้อื่นได้ ด้วยความสงบ ความสุภาพ อย่าไปสู้กับใครเขา ด้วยความหยาบคาย โดยเฉพาะหยาบคาย ด้วยลีลา ของความโกรธ อย่าไปสู้กับใครด้วยลีลาอาฆาตมาดร้าย อย่าไปสู้กับใครด้วยลีลาลักษณะ ที่มีความโลภ ลักษณะของ ความมีราคะ สู้เขาด้วยลักษณะที่ปราศจากความโลภ ปราศจากราคะ ปราศจากความโกรธ อาฆาตเคียดแค้น ไม่มีความผูกโกรธ ไม่มีอุปนาหะ ไม่มีความลบหลู่คุณท่าน ไม่มีมักขะ ไม่มีสิ่งที่จะยกตน ขึ้นเสมอท่าน ไม่มีปลาสะ ไม่มีความริษยา ไม่มีอิสสา ไม่มีความตระหนี่ถี่เหนียว มีแต่จะให้

เขาอยากได้เราสักแผล เอาล่ะ จะเอาอย่างคุณชัยวัฒน์แนะนำ ก็เราได้ วิ่งหนีก่อน เพราะขา มีให้วิ่งหนี ถ้ามันจนทางแล้ว หนีไม่ได้ค่อยนั่งให้เขาตี เขาอยากได้สักแผล เอ้า!ตีเถอะ สุดทางแล้ว วิ่งหนีไม่พ้น แต่มันเจ็บนะ ตีเบาๆหน่อย บอกเขาบ้างก็ได้ แต่เขายังโกรธแค้นมาก เขาจะตีแรงๆ หน่อย ก็ทนเอา วิบากของเราหนอ อ้อ. สงสัยแต่ปางก่อนนี้ พระพุทธเจ้าท่านยังว่าเลย แม้จะถูก พระเทวฑัต กลิ้งหินลงมาทับพระบาท จนห้อเลือด ท่านยังบอกเลยเป็นวิบากของท่าน ที่ท่านเคย ฆ่าน้องชายต่างมารดาตาย วิบากอันนั้น ตามจนถึงคราวนี้ เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน โถ.! ขนาดพระพุทธเจ้าแท้ๆ มีวิบากขนาดนั้น ก็ยังมีได้รับผลตอบแทน มีวิบากตามทัน ก็เรามันแค่ไหนเล่า เขาจะมาตามตีหู ตีหัวแตก เย็บสามแผล ห้าแผล หรือ บางทีมันถึงตาย เราก็ต้องรู้ เออ. ละ เราไม่ได้ไปทำร้ายทำลายอะไรกับเขานะ ฝึกหัดอบรมนั่นเป็นแบบฝึกหัด เป็นแบบฝึกหัด

อาตมาบอกคุณตรงๆเลยนะ ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ เขาพยายามบีบคั้น เขาพยายามใส่อะไร ต่ออะไรออกมานี่ หลายคนรู้สึกว่า รุนแรงเหลือเกินเจ้านะ ใช่มั้ย หลายคนจะรู้สึกว่า โอ้โฮ! รุนแรง เหลือเกินเจ้านะ อาตมาก็ยังรู้สึกว่า พอทนได้ ยังไม่วิ่งหนีเหมือนคุณชัยวัฒน์ ขณะนี้ยังไม่วิ่งหนี ยังไม่วิ่งหนีอย่างเหมือนคุณชัยวัฒน์ ยังอยู่ ยังอยู่ ยังทนได้ แต่ที่จริง โดยลักษณะสมมุติสัจจะ เล่นกันแรง นอกจากเล่นกันแรงแล้ว ยังเอาเปรียบกันเยอะด้วย เอาเปรียบนะ จริงไหม ทั้งเอาเปรียบ ทั้งเล่นกันแรง เขาก็ไม่รู้ จะแก้ความแรงนี้ได้อย่างไร ก็หาวิธีทางออกด้วยศิลปวิทยา

อาตมาก็ใช้ศิลปะที่อาตมามี แรงมาก็ร้องเพลงให้ฟังเสียเลย เอาอย่างไรก็เอากัน ปรากฏว่า เขาก็ทวน ตอบมาเหมือนกันว่า เก่งคนเดียวเหรอ ร้องเพลงเป็น แต่งเพลงเป็นคนเดียวเหรอ ฉันก็ร้องเป็นบ้าง แต่งบ้างเหมือนกันนี่ ก็แน่นี่ แสดงตอบออกมาแล้ว สวย อย่างน้อย ก็ร้องเพลงมาก็ดี แต่เพลงนั้น ก็ดูอีกแหละ ดูเนื้อหา ดูลีลา ดูองค์ประกอบอีกแหละ มันยังเป็นเพลงหยาบๆ เป็นเพลงแรงๆ อยู่ หรือเปล่านา นี่เขาเขียน (หนังสือพิมพ์) เมื่อเช้าเขียนดีนะ ประเภทที่สู้กันด้วยเพลง ถากถางกันบ้าง เสียดสีกันบ้าง พ้อกันบ้าง อะไรกันบ้าง เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา เป็นของโบราณ ของไทยเรา เราใช้กันมานานแล้ว สมัยนี้ใช้น้อย อย่างที่ว่า ตกลงมาใช้กันแต่เพียง แหม ! อะไรนะ ชาย เมืองสิงห์ เขาใช้กับใครน่ะ ที่เขาโกรธกันนะ พร ภิรมย์ใช่มั้ย พร ภิรมย์ กับ ชาย เมืองสิงห์ ทะเลาะกัน ก็เลยด่ากันด้วยเพลง อะไรอย่างนี่นะ เขาก็สู้กันด้วยเพลง ด่ากันด้วยเพลง อาตมาว่ายังไงๆ มันก็ยังสุนทรีย์กว่า แหม! ด่ากัน ด้วยคำหยาบๆ โสกโดกล่ะน้อ ยังไงก็ด่าเป็นกวีการ ยังไพเราะล่ะน้อ ใครจะมีกวีการมากกว่ากัน

อย่างเพลงคนหยามฟ้าไม่หยามของอาตมานี่ แหม!มันสำคัญนะ ฟังก็ยังลึกซึ้งอยู่นะ ถ้าคนไม่เข้าใจ

อ่านต่อหน้าถัดไป