วันครอบครัวอโศก ตอน ๒ หน้า ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ธรรมก่อนฉัน วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๒
ณ พุทธสถานปฐมอโศก

ต่อจากหน้า ๑

อย่างเพลงคนหยามฟ้าไม่หยามของอาตมานี่ แหม!มันสำคัญนะ ฟังก็ยังลึกซึ้งอยู่นะ ถ้าคนไม่เข้าใจ ในเชิงกวี บางทีฟังไม่ออก อย่างตอนท่อนท้ายนี่ ที่จริง ว่าจะไม่เปิดเผยนะ กลัวเขาเอาไปรู้ไต๋เราก่อน แต่ไม่เป็นไรหรอก อาตมาไม่กลัวหรอก เก่งกว่านี้ ก็ทำมาก็แล้วกัน อาตมาว่า อาตมาใช้ภาษากวีนา อะไรที่มันแรง ก็พยายามเกลาอยู่ เช่น เนื้อตอนท้าย มันบอกว่า คนถูก คนไม่รู้ ฟ้าสิรู้ คนตู่คือใครแท้จริง หรือใครว่าปราชญ์พลาดพลั้งไม่เป็น น่าจะมองเห็น เล่ห์แฝงแอบอิง หลงตนจมดิ่ง บาปสาปใจสิงไม่คลาย อัตตาหมายไม่แพ้ อาตมาว่าแค่นี้แหละ หรืออัตตาเขาไม่แพ้ อาตมาว่าอาตมาเข้าใจถูกนะ เขาจะไม่ยอมแพ้เลย มันเป็นอัตตาชนิดหนึ่ง อัตตาหมายไม่แพ้ อัตตาของเขานี่ มั่นเลยนะ เขาจะไม่ยอมแพ้ เขามุ่งมั่น ที่จะแพ้ไม่ได้ๆๆ แหม ! มันรู้อยู่ลึกๆ นะว่า ชักจะไม่ค่อยถูกแล้วนะเรา ชักจะเอ ! จะสู้ด้วยสาระ จะสู้ด้วยธรรมวินัย จะสู้ด้วยของจริง ชักจะไม่ค่อยถูกแล้ว แต่ไม่ได้ แพ้ไม่ได้มันอย่างนี้นะ นี่ก็ภาษากวี อธิบายขยายความหน่อย ฯลฯ ...

เอาล่ะ เราก็พูดแหย่ๆ มั่งนะ ในฐานะ เราฐานะแคสเซียสเคลย์ ก็แหย่ๆบ้าง อ้า ! มันขึ้นไหมล่ะ อ่านจิต อ่านกิเลสตัวเองสิ แล้วรู้ พระพุทธเจ้าสอนเรา ให้ดูกาย ยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญา และใจของเรานี้ กิเลสมันเกิดเมื่อใด แล้วประหาร สัมมัปธาน 4 ท่านให้สังวรตน มีสติตรวจตน รู้ตน แล้วก็ตรวจ มีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มี วิริยะสัมโพชฌงค์ เพียรเพื่อองค์แห่งการตรัสรู้ให้ได้ สติต้องเป็นสติอย่างสัมโพชฌงค์ เป็นสติที่จะถูกต้องในแนวทาง ที่จะไปตรัสรู้นะ แล้วก็มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยให้ออกว่า กิเลสคืออะไร สิ่งที่จะต้องประหาร คืออะไร มันจะได้ทำสัมมัปธาน 4 ถูก

เพราะฉะนั้น สังวรปธาน ปหานปธาน ประหารกิเลส อย่าไปประหารคน อย่าไปประหารคน ท่านสอนเราไว้ พระพุทธเจ้าสอนว่า พยายามที่ พยายามตัดป่า แต่อย่าตัดต้นไม้ พยายามที่จะล้มป่า พยายามที่จะล้างป่า แต่อย่าตัดต้นไม้ ภาษานี้ลึกซึ้งนะ เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกันแหละ เราจะประหาร อย่าไปประหารคน อย่าไปประหารสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะ อย่าไปฆ่าจิต จงฆ่ากิเลส นี่มันซ้อนกันอยู่ จิตนี่ลึกซึ้ง กิเลสนี่ลึกซึ้ง มันซ้อนอยู่กับจิต แยกไม่ออก ฆ่าไม่ถูกตัวเสียหายนะ ถ้าฆ่าถูกตัว มันจึงจะเกิดคุณค่า เพราะฉะนั้น ให้ปหานปธาน ต้องทำ เมื่อปหานปธาน แล้วจะเกิดผลเป็นภาวนาปธาน

ภาวนาแปลว่า การเกิดผล จะได้มีการเกิดผลว่าเราทำถูก เราได้มรรคได้ผลจริงๆ แล้วก็ค่อยรักษาเป็น อนุรักขณาปธาน นี่สัมมัปธาน 4 ต้องปฏิบัติ โพธิปักขิยธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอน ไว้ ไม่ใช่เอาไปท่อง ไม่ใช่เอาไปสวดเล่น แต่จะต้องเอามาปฏิบัติ ไม่ใช่เรียน ได้ ก็เอาไปสาธยาย แลกอัฐ แลกเงิน แลกทองใส่กระเป๋าไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ อาตมาได้พาพวกคุณทำ พาพวกคุณพิสูจน์มา พาพิสูจน์จริงๆ จนกระทั่งทำได้ มันก็จะเกิดความสะอาด

วันนี้มาฟังแล้ว พวกคุณก็ตรวจตัวเองด้วยว่า พวกเราสะอาดไปมากหรือน้อย แต่ก่อนนี้ มันเลอะเลย จริงมั้ย แต่ก่อนที่จะมาปฏิบัติธรรม หรือมาศึกษาธรรมะ ที่อาตมาพาทำนี่ เลอะมาเลย บางคนผ่าน หลายอาจารย์มาด้วยนะ หลายอาจารย์พาเลอะมาด้วยนะ ไม่ใช่ว่าได้ออก โอ้โฮ ! ไอ้ที่ไม่เคยมี อาจารย์ ก็ยัดใส่มาด้วยเลอะเลย กิเลสต่างๆ ไอ้ที่มันไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก่อนนี้ไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้ มาเข้าใจแล้ว โอ้โฮ ! เราไปปฏิบัติอาจารย์โน้นอาจารย์นี้ ใส่กิเลสเข้ามาให้เรามาบานเลย หลงโลกียะ อยู่อย่างนั้นแหละเยอะ พอมาเรียนที่นี่ คุณก็จะเกิดความสะอาดขึ้น ได้มากน้อยก็แล้วแต่ สะอาดได้ เท่าที่คุณทำจริงเป็นจริง

ผู้ใดทำได้ถึงขั้นสะอาด จนกระทั่งกิเลสหมดสิ้น มันก็เป็นสูญ กิเลสแต่ละเหตุ แต่ละปัจจัย ของคุณสูญได้ คุณก็จะเห็นสูญของคุณ สุญญตานี่จะต้องเห็นได้นะ ด้วยญาณทัสสนะวิเศษ อนัตตาก็ต้องเห็นได้ ไม่ใช่อนัตตาด้วยตรรกศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีตัวไม่มีตน แต่แท้จริง ไม่รู้อะไรตัวตน ตัวตนของอะไร ตัวตนของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ตัวตนของความโลภ โกรธ หลง เมื่อเรารู้ตัวของมันจริงๆ แล้วก็ฆ่ามัน จนกระทั่ง มันตาย มันสูญ มันไม่มีตัวตน เรียกว่าอนัตตา คุณก็ต้องเห็นอนัตตานั้น ไม่มีตัวตน ก็ต้องเห็น ความไม่มีตัวตน ของกิเลสนั้นๆ ด้วยญาณ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เห็นนะ เห็นความสะอาด เห็นความสูญ ของกิเลส เสร็จแล้ว คุณจะต้องเห็นว่า คนที่หมดตัวตน จะเป็นคนให้ เป็นคนเสียสละ ถ้ายังมี ความเห็นแก่ตัวอยู่ มันก็จะเอาให้แก่ตัว เห็นแก่ตัวมาก มันก็เอา ให้แก่ตัวมาก เห็นแก่ตัวลดลงบ้าง มันก็จะเอาให้ตัวเอง เท่าที่เราเองยังเหลือ ความเป็นตัวตน ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัวตนแล้ว หมดความเห็นแก่ตัวตนแล้ว เราจะให้ได้ ยกไม้ยกมืออย่างนี้ คงจะไม่ถือว่า ไม่สุภาพหรอกนะ อาตมาสื่อด้วยศิลปะ

เพราะฉะนั้น ไม้มือที่มันสื่อเป็นรูป เป็นรอย เป็นเงา เป็นแสง เป็นลีลาที่จะสื่อ แล้วคุณก็สัมผัสได้ มันเป็นองค์เสริม องค์ประกอบที่ทำให้เป็น Compossion แหม! ขอใช้ภาษาต่างด้าวนิดหนึ่ง มันเป็น องค์ประกอบของศิลปะ ที่จะสื่อให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้น อาตมาก็ขอทำบ้าง จะทำหน้าทำตา จะทำลีลาลักษณะ อารมณ์บ้าง อาตมารู้ว่า อาตมาพยายามปรุง ให้มีอารมณ์บ้าง ในตอนที่ควร จะมีอารมณ์ เพราะฉะนั้น มันดูเหมือนไม่ใช่ศิลปินเอก มันเหมือนไม่จริง มันเหมือนแกล้งๆ ทำเป็นมายา ใครจะไปให้ตุ๊กตาทองน้อ มันต้องเป็นศิลปินที่มัน แหม ! เหมือนจริงเหมือนจังเลย นี่ศิลปินตุ๊กตาทอง เพราะฉะนั้น เวลาอาตมาแสดงอะไร ก็ต้องแสดงรู้ว่าเราแสดง ต้องแสดง ให้สมจริงสมจัง แล้วสื่อให้คุณเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเอง คุณหมดตัวตน คุณจะมีการให้ การสละ พิสูจน์ได้ คุณเองคุณติดบุหรี่ พอคุณลดกิเลสบุหรี่ได้ คุณมีบุหรี่ คุณจะหวงไว้ไหม ไม่หวงเลย ยิ่งเห็นเป็นของขยะ โยนทิ้งเสียก็ได้ เอาไปให้คนอื่นสูบ ประเดี๋ยวคนอื่น จะติดโรค ติดภัย ถ้าคุณเอง คุณสละกิเลส สมมติว่า เหตุปัจจัยในเรื่องของเพชรพลอย เพชรนิล จินดา คุณเห็นว่า โอ้! มันก็คือถ่าน มันก็คือคาร์บอน คาร์บอน เพชร พลอย มันก็คือหิน เสร็จแล้ว คุณก็ตัดกิเลสได้จริง คุณก็ให้คนอื่นได้ ใครเอาเงินแฝงได้ แต่ถ้าจริงๆแล้ว เงินคุณก็มีพอใช้ เอาไปเลยเพชร จริงไหม คุณจะไม่หวงแหน

เอ้า!เอาเสื้อผ้า เสื้อผ้าแต่ก่อนนี้ คุณหวงแหนมันเหลือเกิน รักมันเหลือเกิน เสื้อผ้าชุดนี้ ไม่อยากให้ใคร มันรัก เป็นของตัว โลภอยู่ พอคุณหมดความโลภแล้ว ไม่ได้รัก ไม่ได้หวงมันแล้ว หมดความเห็นแก่ตัวแล้ว มันมีมากชิ้น คุณก็ให้ใครได้สบายๆ ให้ได้เพราะจิตสะอาด จิตสูญ ก็เกิดความให้ เกิดการให้ได้ อาตมาท้าทายให้พิสูจน์ สังคมชาวอโศก ไม่เรี่ยไรเงิน อย่างเก่ง ก็แค่บอกบุญ บอกว่าอันนี้มีเรื่องราวนี้แล้ว มาช่วยมันก็มีมาได้อยู่เสมอ ถ้าไม่ถึงขั้นที่จะบอก พวกคุณก็รู้ตัวเอง และพวกคุณมีจาคะสัมปทา เข้าถึงการบริจาค เข้าถึงการให้ หัดเสียสละได้แล้ว คุณก็มาทำบุญเอง เงินของพวกคุณนี้แหละ เราเรียกว่าเลือดจากปู เลือดจากปูนะ พวกเรานี่ เป็นปูตัวที่แห้งๆ เลือดไม่ค่อยมาก

เพราะอาตมาสอนคุณ สอนไม่ให้สะสมเงินทอง ไม่ได้สอนให้ไปเอารัดเอาเปรียบคนอื่น แล้วคุณจะรวยได้อย่างไร ไม่ใช่มาถึงก็เอาเลย มาให้ร่ำให้รวยนะ รดน้ำมูกน้ำมนต์ให้ไปแล้ว ก็ไปรวยมา ไม่ ไม่เคยสอนพวกคุณอย่างนั้น ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราจะไม่มีลักษณะร่ำรวย มันเป็นเลือดปูแท้ๆเลย ไม่ใช่เลือดวัวเลือดควายมันเยอะ เลือดปูน้อย แต่ขนาดมีเลือดปูนี้แหละ เราจะยังสามารถ ที่จะยังครอบครัวใหญ่นี้ไปได้ ทำงานศาสนาไปได้ ต้องใช้ทุนรอนอยู่ไม่ใช่น้อย จนคนข้างนอกเขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อจริงๆนะ พวกข้างนอกนี่ยังไม่เชื่ออยู่

แต่พวกคุณ อาตมาไม่ต้องถามหรอก คุณเองคุณยังสงสัยอะไร ยังสงสัยต่อ คุณค้นคว้าหาความจริง ว่าเรามีการซุกซ่อน หรือเอาเงินทุนรอนมาจากใคร ใครมาใช้เงินทุนรอน เบื้องหลัง อุดเบื้องหลังอยู่นี่ ค้นคว้าสอบสวน สืบ สืบให้ชัด ใช้วิธีการสืบอย่างไรให้รู้เบื้องหลัง เราแน่ใจว่าเราไม่มี คุณคิดดูซิ ขนาดพวกเรามีพวกน้อย และก็เป็นคนจนๆ ไม่ได้สอนให้ไปโลภโมโทสันมามากด้วย ขนาดน้อยๆนี่ คุณยังสละออกได้ ขนาดคุณได้มา ประเภทไม่เอาเปรียบใคร มันก็ได้น้อย แล้วคุณได้น้อย แล้วคุณยังสละออกมา ในส่วนน้อย ขนาดส่วนน้อยๆ มารวมกันแล้ว มันยังมากพอ พอที่จะทำงาน ให้กับสังคมประเทศชาติได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปเอาเงินของรัฐบาล ไม่ต้องไปอาศัยเงินของใคร ก็ได้ รับเละ แหม ! เละ เพราะเราก็รู้ซ้อนอยู่ว่า อิทธิพลของคนที่จะจ่ายเงินนี่ เขาต้องการ ผลประโยชน์ ตอบแทนนั้นมีอยู่ เพราะฉะนั้น เราระวัง ใครจะมาให้เงินให้ทองขึ้นมา เขาจะมาเอา ผลตอบแทนขึ้นมาทีหลัง จะมานี่ มาช่วยผมบ้างซิ ช่วยฉันบ้างซิ ตอนนั้นฉันเคยช่วยคุณแล้วนะ ฉันเคยช่วยคุณ มาเรียกร้องเอาทีหลังนี่แหละคาคอ

เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้กันว่า คุณมาทำบุญนี้สูญนะ คุณจะไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทน ในเรื่องนี้ทีหลัง จะมาเรียกร้องเอาบุญ เอาคุณตอบแทนไม่ได้นะ คุณมาเสียสละนี้ก็ดีว่า คุณจะสนับสนุน ส่งเสริมทำงานสัจธรรม นี่เราก็ใช้กัน ใช้เงินนี้ทำงานสัจธรรมอยู่ ไม่ได้เอาเงินนี้มา เพื่อที่จะมาแบ่งซื้อบุหรี่ถุนอร่อยๆ ซื้อขนมปังกิน ซื้อจีวรสวยๆมาใส่ อยากจะได้กระเป๋าเจมส์บอนด์ ซื้ออะไรนี่เราไม่ ใช่ไหม พระเหล่านี้ พระอโศกไม่มีสิทธิ์ ที่จะไปเบิก หรือไม่มีสิทธิ์หรอก เรามีหิริโอตตัปปะเพียงพอ ที่จะไม่ไปเบิกเงิน มาใช้ส่วนตัว มาใช้บำเรอตนจริงๆ แต่งานของเรา ก็เป็นไปได้ นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเครื่องแสดง เพราะเรามีการให้ มีการเสียสละ เข้าถึงอริยทรัพย์ ข้อจาคะสัมปทา อริยทรัพย์ 4 ข้อ จาคะสัมปทา อริยทรัพย์ 4 ศรัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคะสัมปทา ปัญญาสัมปทา ซึ่งเป็นอริยทรัพย์ ของคนโลกใหม่ ของคนสัมปรายิกภูมิ ของคนเกิดใหม่ ในโลกใหม่ การเกิดโอปะปาติกะโยนิ อยู่ที่จิตวิญญาณ เกิดอยู่ในตัวเรา เกิดเป็นคนโลกใหม่ เกิดมีสัมปรายิกะภูมิ มีภูมิใหม่ขึ้นในตัวเราแล้ว

ฟังดีๆนะ เกิดภูมิใหม่ในตัวเราแล้ว เป็นโลกหน้า สัมปรายิกะภูมิ ภูมินั้น เป็นภูมิที่เกิด เพราะมีประโยชน์ 4 มีประโยชน์ศรัทธาสัมปทา เข้าถึงศรัทธานั้น ศรัทธาจะเป็นเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่นโน้นแหละ มากน้อยแล้วแต่ มีศีลเป็นอริยศีล เป็นศีลอันสูง เป็นศีลปาริสุทธิศีล หรือเป็นศีล อริยะกันตศีล ยิ่งมีอเสขศีลด้วยยิ่งดี เข้าถึงศีลให้จริง จาคะ การบริจาค การให้ต้องถึงจริง อาตมาไม่ต้องไปบังคับคุณ เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นจะต้องขอให้เสียปาก น่าอาย ไม่ต้องไปขอ ไม่ต้องไปอ้อนวอนขอ ไม่ต้องไปและเล็ม ไม่ต้องไปเลียบเคียง ไม่ต้องไปใช้โวหารคารม ใช้เล่ห์ เลศเล่ห์ที่จะให้เขามาทำบุญทำทาน ไม่ต้องละ พูดตรงๆ บอกบุญก็คือพูด ตรงๆ เรื่องนี้ เป็นอย่างนี้ พิสูจน์เอา ถ้าไม่ศรัทธาเลื่อมใส ไม่ต้องช่วย ศรัทธา เลื่อมใสช่วยกัน จริงๆ อย่างนี้เป็นต้น ถึงปัญญาสัมปทา นี่เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์เป็นสมบัติ ของอริยชน อริยชนจะมีทรัพย์สี่อย่างนี้ หรือทรัพย็์ 7 มีหิริ โอตตัปปะ มีพหุสูต หรือพหุสัจจะ ซ้อนไปอีกก็ได้ เป็น 7 นี่ก็เรียนในนวโกวาทก็มี แต่เขาอธิบายสัมปรายิกภูมิ ตายไปแล้วค่อยได้ศีล โอ๊ย! ทำไมมันช้าจัง เข้าถึงศีลต้องให้ตายไปแล้วโน้น แล้วไม่รู้จะไปปฏิบัติที่ตรงไหน จะศรัทธา ที่ตายไปแล้วค่อยศรัทธา ตอนนี้ไม่ศรัทธา โอ! ตายแล้ว นี่มันอธิบายแล้วมันปฏิบัติไม่ได้ อธิบายแล้ว มันไม่เป็นเอหิปัสสิโก ท้าทาย ให้พิสูจน์ไม่ได้

แต่นี่ท้าให้พิสูจน์ได้เลย ในสัมปรายิกภูมิ คุณถึงแล้วหรือ ใช่ เพราะเราตายแล้ว แล้วก็เกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วจริงๆ เกิดในที่นี้ เกิดอย่างโอปะปาติกะโยนิ เกิดสู่สัมปรายิกภูมิ แล้วมีประโยชน์ 4 ยืนยันได้รู้ ศรัทธาคืออะไร เรารู้ ว่าเรามีศรัทธาเท่าไร ศีลคืออย่างไร เรารู้ ว่าเรามีศีลคืออย่างไร เป็นภูมิใหม่ ไม่ใช่ภูมิคนเก่า สัมปรายิกภูมิ เป็นภูมิโลกหน้า เป็นภูมิโลกใหม่ โลกที่พระพุทธเจ้าท่านพาให้เกิด เพราะฉะนั้น ภาษาคนว่าเกิดว่าตาย ที่ท่านว่าอาตมาโครมคราม ตู่อาตมาอยู่ตลอดเวลา คณะการกสงฆ์ก็ตาม คณะอะไรก็ต้องทำอยู่นี่ ศึกษาอริยธรรม อริยวินัยดีๆ หน่อยนะ

นี่ฝากฟ้าฝากลมไปให้ท่านปราชญ์ได้ฟัง ท่านปราชญ์ก็ฟังแล้วก็พยายามศึกษาบ้าง แล้วไปตัดต่อ เอาภาษา ที่อาตมาเทศน์เอาไว้ กำลังปรุงอร่อยๆ พวกเราญาติธรรมเยอะๆ นี่เอาไปตัดต่อไว้สั้นๆ แล้วเอาให้คนเขาฟัง ให้เห็นว่าลีลาของอาตมา โอ้ ! มันเหมือนไฮปาร์ค มันเหมือนอะไร พูดเละๆ เอาไปตัดต่อเละๆ มันก็เละนะซิ เพื่อให้เขาเห็นว่า อาตมาเหมือนคนบ้า เอาละ ก็ไม่เป็นไร ในวิธีการ ที่เขาจะทำอย่างนั้น มันก็เป็นจริงนะ เพราะเขามีจิตใจต้องการจะให้คนเข้าใจอาตมา เป็นคนชั่ว เป็นคนต่ำ เป็นคนบ้า เป็นคนผิด แล้วก็จะได้ช่วยกันลงโทษ มันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งของเขา ซึ่งอาตมาเห็นว่าไม่ยุติธรรม และไม่บริสุทธิ์ใจ แต่อาตมากลับได้ถูกตู่ว่า อาตมาเป็นคนไม่บริสุทธิ์ใจ เป็นคนไม่ซื่อตรง เข้ามาในพระศาสนา เพราะฉะนั้น จงเปลี่ยนชุดนี้ออก จงเปลี่ยนชุดนี้ออก เพราะไม่ซื่อตรง ไม่จริงใจในศาสนา

อาตมาขอกล่าวอีกว่า เลือดทุกหยด เนื้อทุกชิ้น กระดูก เอ็นทุกอย่าง วิญญาณทุกวิญญาณ ของอาตมา ที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างพระโพธิรักษ์นี้ ใส่พานถวายพระพุทธเจ้าหมดแล้ว ดูกันไปตั้งแต่ วินาทีไหนก็ได้ เริ่มต้นไปจน วินาทีสุดท้ายที่อาตมาจะตาย อาตมากล้ายืนยันอย่างนี้ จริงๆ อาตมามีงานเดียว มีงานที่จะนำพาคน เดินเข้าทางของพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติธรรมของ พระพุทธเจ้า อันนี้เป็นคุณค่าวิเศษที่สุดของมนุษย์ ไม่ไปเก่งในทางหาเงินหาทอง เก่ง เก่งในทาง ที่จะแย่งยศศักดิ์ เก่งในทางที่จะหาดัง สรรเสริญ เยินยอมากมาย กลายเป็นคนดัง มีชื่อ มีเสียง อย่างไร เก่งไปเถอะ อาตมาไม่ได้ริษยาสักกะขี้เล็บ ไม่ริษยาจริงๆ ไม่ริษยา

เพราะฉะนั้น ใครจะแข่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอย่างไร ก็แข่งไปเถอะ อาตมาไม่มีปัญหา แต่ใครจะเชื่ออาตมาหรือไม่เชื่อ อาตมาไม่มีสิทธิ์นะ อาตมามีสิทธิ์พูดความจริง อาตมาไม่มีสิทธิ์ ไปบังคับให้ใครเชื่อ มาปฏิบัติดู มาพิสูจน์ดูจริงๆ แล้วคุณจะมีสภาพเหมือน อย่างที่อาตมาว่า เมื่อคุณเอง มีความสะอาดในใจ มีความสูญ มีความให้ หรือมีอริยทรัพย์ อย่างที่กล่าวแล้วจริง คุณก็จะง่าย มันเป็นวันง่าย วันนี้มาพิสูจน์ความจริงว่า มันง่าย แต่ก่อนนี้ยาก อยู่ยาก ไอ้นั่นก็ติด ไอ้นี่ก็ติด แค่ติดเครื่องแต่งตัว บางทีเปลี่ยนสามชุด กว่าจะออกจากบ้าน เคยกันมาบ้างไหมละ โธ่! อาตมาเป็นผู้ชายแท้ๆยังเคย เคยบ้านะ เสื้อตัวนี้ มันไม่เหมาะมั้ง ขึ้นไปเปลี่ยน เน็คไทอันนี้ มันไม่เหมาะมั่งเอาไปเปลี่ยน ลงมาข้างล่าง ถุงเท้าไม่เข้ากับเน็คไท ขึ้นไปเปลี่ยนเน็คไท ให้เข้ากับถุงเท้า เขาเอาไปซัก อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันบ้าถึงอย่างนั้นนะ แต่ก่อนนี้ นี่แหละคือ ความไม่ง่าย ความลำบาก เป็นภาระยุ่งยาก แต่เราหลุดพ้นออกมาได้แล้ว ง่าย คนติดบุหรี่ ไม่มีบุหรี่ ก็ง่าย สะดวกเบา ทิ้งแล้วโยนไปไม่ต้องมี ไม่มีแล้วสูญแล้วสบาย กิเลสมันไม่มี มันไม่ต้องร่ำร้องอะไร หมดความเป็นทาส เป็นไทแล้ว นี่สิ่งเหล่านี้ มาพิสูจน์ได้

เขาบอก อะไรมาสอนนิพพาน นิพพานแค่นี้เหรอ แค่นี้ให้มันได้ก่อนเถอะนะ อย่าไปคิดให้มากไกล ไปนักเลย พิสูจน์ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานต้นๆหยาบๆ ตั้งแต่ อบายมุขนี่ไปก่อน หัวหน้านรก อบายมุข นี่หัวหน้านรก เอาก่อนซิ แล้วเราจะเห็นความจริงได้เลย เมื่อคุณปฏิบัติ แม้แต่เหตุปัจจัยแค่ อบายมุข คุณก็จะเข้าใจ โสดาคุณ สกิทาคามีคุณ อนาคามีคุณ อรหัตตคุณ หรือที่อาตมาเรียก ว่าอรหันต์ก็ตาม อรหัตตผล อรหัตตคุณนี่ คุณจะเข้าใจได้ โอ้! อันนี้มันถอนราก อนุสัยอาสวะแล้วเรา โอ้เรื่องนี้มันถอน มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันสูญ มันเป็นอย่างนี้นา เห็นสูญเลยนี่ อาสวะมันหมด ด้วยเหตุปัจจัยอย่างนี้ และมันง่ายๆอย่างนี้นา มันสดชื่น ง่ายแล้ว แต่ก่อนนี้ มันประเดี๋ยวก็เหี่ยวเฉา พออยากขึ้นมา ก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เหี่ยวเฉา หม่นหมอง ถ้าไม่ได้เสพย์ ตามอารมณ์อยาก

ถ้าได้เสพย์ตามอารมณ์อยาก ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ค่อยบานๆหน่อย สดชื่นบ้าง แต่ถ้าไม่ได้สมใจอยู่ เดี๋ยวนั้น หรือว่าจะต้องหาไม่ได้จริงๆเลยนะ โอย ! หม่นหมอง แต่นี่ไม่ต้องบำบัดบำเรอ สดชื่น ไม่ใช่โรยไม่รู้บาน คือบานไม่รู้โรย โรยไม่รู้บาน นี่ของเดอะโฮปเขา ของวงโฮปเขาร้องโรยไม่รู้บาน ก็ดี ใช้ภาษากวีมาเตือนสติคนก็ดี อาตมาก็ชอบ เพลงนี้ก็ฟังกันอยู่ แต่ของเรานี่สดชื่น เป็นวันสดชื่น เป็นวันบานไม่รู้โรย บานไม่รู้โรย

อาตมาสมัยฆราวาส มีรถแก่ๆอยู่คันหนึ่ง รถเก่าๆ แก่ๆ เพื่อนๆมันเรียกเสือทะยานชน เพราะ อาตมา ขับไปชนอะไร อาตมาไม่เคยซ่อม ตรงไหนมันผุก็ผุ ตรงไหนบู้ให้มันบู้ ตรงไหนมันหัก ก็ให้มันหัก ตรงไหนมันเกะกะอะไรก็ปล่อย เขาเรียกเสือทะยานชน มันก็เลยดูโกโรโกโรค แต่อาตมาตั้งชื่อ ให้มันว่าแม่ชบาบาน อันนี้เรื่องจริง เดี๋ยวนี้ ก็ยังรู้ๆกันอยู่ ตั้งชื่อให้มันว่าแม่ชบาบาน บานไม่รู้โรย มันก็บานของมันอยู่อย่างนั้นนะ นี่เป็นวันสดชื่น เมื่อเราไม่มีสิ่งที่เป็นความขุ่นหมอง ที่เป็นกิเลส เป็นต้นเหตุแล้ว เราจะสดชื่น เหตุปัจจัยนั้น คุณสังเกตชัดๆซิ เราไม่มีปัจจัยที่เป็นกิเลส ตัณหา อย่างนั้น แล้วเราไม่สูญแล้ว ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเกี่ยวข้อง ไม่ต้องเป็นภาระอะไรแล้วนี่ แหม ! มันสดชื่นจริงๆ เป็นวันง่าย เป็นวันสดชื่น เป็นสภาพง่าย สภาพสดชื่น ที่เป็นจริงในบุคคลนั้น บุคคลนั้น ท้าทายให้พิสูจน์นะ นอกจากสดชื่นแล้ว มันจะเป็นของรวม รวมแก่น มันจะรวม รวมเนื้อรวมแก่น แก่นของสุญญตา แก่นของอริยคุณ แก่นของอริยสมบัติ แก่นของคุณวิเศษ มันจะรวมขึ้นเรื่อย เมื่อได้แล้ว มันจะรวมขึ้นเรื่อย รวมขึ้นเรื่อย ต่อเนื่องไปจนกว่าจะสมบูรณ์ที่สุด มันจะรวม อาตมาอาจจะไม่ขยายคำว่ารวมนี้ มากกว่านี้นะ ก็จะมีสักสามสี่เรื่องที่จะอธิบาย เสร็จแล้วมันจะถึง ซึ่งความจริงใจ หรือมันจะเป็นตัวใจที่จริง มันจะเป็นตัวจริงใจ หรือใจที่จริง มันจริงๆ จริงๆเลย โอ ! ตัวคนเรานี้มีตัวจริงใจ หรือใจจริง

อาตมาเคยบอกว่า สังคมทุกวันนี้ ในโลกทุกวันนี้ มันไม่มีความจริงใจที่ใคร คนเรามันไม่มี ความจริงใจ ก็ช่างมันเถอะ ขอให้เรามีความจริงใจที่เราให้ได้ โลกยังได้ชื่อว่า มีความจริงอยู่บ้าง อย่างน้อย ก็มีที่เราอีกคนหนึ่ง คุณมั่นใจไหมว่า คุณจริงใจ อาตมาก็ไม่รู้จะว่ายังไง ท่านมาตู่อาตมา ว่าเป็นคนไม่จริงใจ อาตมาอยากจะทำยังไง ใช้เอ็กซเรย์ผ่าออกมาดู ใช้แสงเลย์เซอร์ ส่องเข้าไปดู หรือมีแสงอะไรที่วิเศษกว่าแสงที่มันมีอยู่ทุกวันนี้ เข้าไปดูในหัวใจอาตมานี้ให้ได้ อาตมาอยากให้ไปดูความจริงใจ ของอาตมาเหลือเกิน ว่าอาตมาไม่แฝงไม่ปน ไม่เล่ห์ไม่เลศ อาตมามาศึกษาธรรมะ สิ่งใดที่มันแฝง มันปน มันเล่ห์เลศ มันไม่ซื่อตรงนี่นะ อาตมาว่า สิ่งนั้นไม่สมบูรณ์ สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ไม่ซื่อตรงนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ดีที่สุด ใช่ไหม ใครที่โง่ที่สุด ช่วยตอบให้อาตมาด้วย คนฉลาดไม่ต้องตอบ เอาคนที่โง่ที่สุดตอบ ตอบให้ด้วย ใช่ไหม สิ่งที่แฝงปน ไม่ซื่อไม่ตรง มันยังเป็นสิ่งที่ไม่ดี

อาตมา มาแสวงหาความดีนะ เพราะฉะนั้น อาตมารู้ตน ที่ว่าสิ่งนี้ มันไม่ตรง ไม่ซื่อแล้ว อาตมาจะต้องเลิก ต้องหยุดให้ได้ ต้องไม่ให้เป็น นี่ไม่ใช่ปากพูดนะ อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ไม่โกหก มาปฏิบัติให้จริง ความจริงเท่านั้น จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราจะต้องพยายาม ที่สุดเลยที่จะอ่าน จะค้น พิจารณาให้ลึกให้แหลม ในความผิดพลาดของเรา ในสิ่งที่บกพร่องของเรา อาตมาขอเตือนท่านปราชญ์ ทั้งหลาย ทุกวันนี้ ปราชญ์วิปริตไปมากแล้ว หลงตนหลงตัว แล้วก็มอง คนอื่นไม่เป็น หลงโลกียะหลายๆอย่าง อาตมาขอเตือน จะได้ยินถึงหูหรือไม่ ก็ฝากฟ้าฝากดินไป ก็แล้วกัน นี่อาตมาปรารถนาดีนะ เพราะจะรู้สึกว่า ความจริงใจนั้น มันเป็นอย่างไร อาตมารู้จัก ความจริงใจของตนเอง และพยายาม ให้มันแหลมลึก ความจริงใจตื้นๆ เขินๆ มันก็มีแต่ความจริงใจ ที่แหลมลึกนี่ มันหนักแน่น มันหนักแน่น แล้ว มันเมตตา เพราะฉะนั้น ความจริงใจมีเมตตา

แม้ใครจะว่าอาตมาไม่จริงใจ อาตมาก็ยังเมตตา รัก เพราะฉะนั้น ในที่นี้เราใช้ภาษาคำว่าวันรัก ก็คือ วันเมตตา รักในมิติที่สูง รักในมิติ อาตมาอธิบายความรักตั้งสิบมิติ อย่างน้อยต้องมิติของ มิติที่เจ็ด ขึ้นไป มิติเทวนิยมขึ้นไป ยิ่งสัจจนิยม หรือวิมุตินิยม ยิ่งพุทธภูมินิยม ก็ยิ่งดีใหญ่ เป็นความรัก ความจริงใจนี้ จะเป็นความรัก ที่เป็น เมตตาที่จริงใจ เป็นความรักที่จะเป็นมิติที่สูง ไม่ใช่ความรัก เป็นแค่ราคะ ไม่ใช่ความรักแต่แค่ กามนิยม หรือแค่แคบๆ แต่แค่ญาตินิยม หรือพันธนิยม หรือปุตตะ ปิตะ ปุตตานิยม แค่ลูกๆ ของตัวเอง แค่พ่อแค่ลูก ไม่ใช่ ไม่ใช่ความรักแคบๆ อย่างนั้น เป็นความรัก ที่เห็นแก่จิตวิญญาณ เป็นนามธรรม เป็นความรักที่มันออกไปทางนามธรรม เป็นความเมตตา ไม่ใช่ราคะ เป็นความเกื้อกูล เป็นความเห็นใจ เป็นความมีน้ำใจ ความรักอย่างนั้น เป็นความปรารถนาดีต่อกัน เมื่อมีความจริงใจ แล้วเราจะปรารถนาดีต่อผู้อื่น อย่างจริงใจจริงๆ ความว่าปรารถนาดีนี้ นี่พูดกันโดยภาษาก็ได้

แต่คนไม่รู้ตัวเองนี้ ยัง บอกตรงๆนะ อาตมาบอกตรงๆ ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนหรอก ท่านเจ้าคุณบางรูป ที่ท่านกล่าวขณะนี้ ท่านว่าท่านเมตตาอาตมา ท่านจะให้อาตมาสึกด้วยเมตตา ให้อาตมาพยายาม เปลี่ยนแปลงไป ตามที่ท่านต้องการด้วยเมตตานี่ อาตมาไม่เชื่อ และ อาตมาก็เห็นอยู่ว่าไม่จริง ไม่จริง ท่านไปตรวจใจท่านได้เลย ท่านไม่จริงใจ ในความต้องการลึกๆของท่าน ต้องการที่จะเข่นฆ่า อาตมาลง ให้อาตมาเปลี่ยนแปลงไป โดยที่ท่านไม่รู้ลึกซึ้งว่า อาตมามีเจตนาดีต่อศาสนา และท่าน หาว่า อาตมาแฝงด้วย หาว่าอาตมาไม่ซื่อตรงด้วย หาว่าอาตมาจะมาล้มล้างศาสนาด้วย

อาตมาอยากให้ท่าน ที่ว่าอาตมานั้น อายุยืนเท่าๆกับอาตมา หรือยืนกว่าอาตมา ให้ดูอาตมาให้จบ ให้ดูอาตมา ให้ถึงขั้นสิ้นสุดชีวิตเลยให้ได้ ว่าอาตมาจริงใจต่อพระศาสนาจริงหรือไม่ ใครจะจริงใจ กว่ากัน ใครจะเอาจริงเอาจังกว่ากัน อย่างน้อยเอาเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนี้ มาเทียบก็ได้ ใครทำงานแล้วรับ ลาภ ยศ สรรเสริญ มากกว่ากัน โดยเฉพาะโลกียสุข ใคร ใครทำงานเพื่ออามิส อย่างนั้นมากกว่ากัน เอาตรงนี้ก็ได้ เทียบกันไปเลย กี่วันกี่เดือนกี่ปีก็ได้ นี่ไม่ใช่ ท้าทายนะ แต่พูดเพื่อ ให้พิสูจน์วิจัยให้ดี ตรวจสอบให้ดี อย่าหลงงมงาย โดยไม่มีสิ่งรองรับ เอาแต่เหตุผลลอยๆ เป็นตรรกศาสตร์ แล้วก็ดูถูกข่มขี่ ว่ากล่าวกันไม่ดี เพราะฉะนั้น นอกจากวันนี้ เป็นวันจริงใจ ที่อาตมาแสดง พยายามชี้ ถึงความจริงใจคืออะไร แสดงถึงความรัก ความเมตตา เป็นวันรัก วันเมตตา คืออะไร ก็บอกไปแล้ว แล้วก็เป็นวันลึก ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้สภาพดีพวกนี้ มันจะลึกขึ้นไปอีก ลึกซึ้งจริงๆ จะลึกซึ้ง ไม่ใช่ลึกลับ

เมื่อวานนี้ ก็สาธยาย ให้ฟังแล้วว่า ลึกซึ้งนั้น คือการเปิดเผยความลึกลับขึ้นมาให้แจ้ง ลึกซึ้งนั้นคือดึง ของที่ลึกๆ ขึ้นมาให้ตื้นด้วยซ้ำ ลึกซึ้งนี่ ไม่ใช่ลึกลับ ลึกซึ้งนี่คือลึกแจ้ง ลึกสว่าง ไปสว่างในที่ลึกๆ หรือเอาของลึกๆ ขึ้นมาตื้นๆ ให้คนอื่นเห็นร่วมด้วยได้มากๆ เรียกว่าลึกซึ้ง ใครสามารถทำได้ ผู้นั้นแหละ ถึงความลึกซึ้ง ตนเองเข้าถึงตนเอง เอาความลึกซึ้งให้ผู้อื่นเข้าถึงด้วย เป็นบุญคุณ เป็นประโยชน์คุณค่าแก่มนุษย์ นี่ลึกซึ้งอย่างนี้

และสุดท้ายก็กตัญญูกตเวที กตัญญูกตเวทีนั้น เป็นคุณอันสุดท้าย อาตมา กตัญญูกตเวทีต่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ในเรี่ยวแรง เลือดเนื้อทุกอย่าง เท่าที่อาตมามี ในชีวิตทั้งชีวิต อาตมาจะขอทำงาน ให้แก่พระพุทธเจ้า กตัญญูจริงๆ พระคุณนี้ล้นเหลือที่สุด พระคุณของ พระพุทธเจ้า ล้นเหลือที่สุด อาตมาได้ดิบ ได้ดีมาก็เพราะคุณธรรม ทฤษฎี หลักการ การศึกษาของ พระพุทธเจ้า อาตมาเคยเรียน จะเรียนวิชาการโลกๆ อย่างโน้นอย่างนี้ ก็เคยเรียน แม้ชาตินี้ก็เคยเรียน ชาติก่อนก็เคยเรียน พูดชาติก่อน ประเดี๋ยวจะมาเพ่งตู่อาตมาอีก อาตมาพูดความจริงให้คุณฟัง ว่ามันมีชาติก่อน คุณเชื่อไหมเล่าว่า ศาสนาพุทธเรามีชาติก่อน มีอดีตชาติ และก็จะมีอนาคต ถ้าเผื่อว่า เรายังไม่เป็นพระอรหันต์เจ้า ยังไม่สูญ มันมีจริงๆ

อาตมาได้สิ่งนี้มาจากพระพุทธเจ้ามาตั้งหลายชาติ อาตมาประกาศว่า อาตมาเป็น พระโพธิสัตว์ อาตมาบำเพ็ญมาหลายชาติ อาตมาจึงเทิดทูนพระพุทธเจ้าสุดเกล้า สุดเศียรยิ่งกว่าอะไร อย่าว่า แต่สุดเลย มีเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ ให้หมด เทิดทูนสุดยอด พระพุทธเจ้า เพราะท่านเป็นปราชญ์ เป็นพ่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาตมาได้รับอะไรๆ จากท่าน และอาตมาอยู่สุขสบายอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่าน แม้อาตมาจะไม่มีเงินสักบาท อาตมาก็ยิ่งเห็นจริงว่า นี้เป็นสิ่งประเสริฐ เป้าหมายใหญ่ ที่คนจะต้อง ปฏิบัติให้ได้ คนที่ไม่มีเงินสักบาทเลย แล้วก็อยู่อย่างผงาด คนไปกราบคนมีเงินล้าน มีเงินหลายล้าน อาตมาไม่แปลกหรอก คนมากราบคนที่ไม่มีเงินสักบาท นี่ซิแปลก คนมานับถือคนไม่มีเงินสักบาท นี่ซิแปลก ใช่ไหม คนไปกราบคนที่มียศ มีศักดิ์สูงๆไม่แปลกหรอก คนจะไปกราบเจ้าคุณ จะไปกราบพระครู ไปกราบใหญ่กว่านั้นก็ตาม อาตมาไม่แปลกหรอก

แต่คนที่มากราบเดรัจฉานโพธิรักษ์นี่ซิแปลก อาตมาเรียกตามเขาเรียกอาตมานะ ใช่ไหม เขาให้ โอ้โฮ! แทนที่จะตั้งอาตมาเป็น เจ้าคุณ เดี๋ยวนี้ คำว่าพระเขายังไม่ใส่ให้อาตมาเลย เห็นไหมว่า อาตมาถูกลดยศด้วย ไม่ใช่เพิ่มยศเห็นไหมล่ะ คำว่าพระเขายังตัดออกเลย แต่คนยังมากราบ "โพธิรักษ์" หรือจะใส่ Article นำหน้าก็ได้ว่า เดรัจฉานโพธิรักษ์ คนมากราบ อย่างนี้ซิแปลก แต่คนไปกราบปลาไหลทอง ไม่แปลกหรอก มันหลายซ้อนเหมือนกัน นะ นี่มันหลายซ้อน คนไปกราบ ปลาไหลทองไม่แปลกหรอก อาตมาไม่แปลกหรอก อาตมารู้ว่าคนไปกราบปลาไหลทอง เป็นคนชนิดไหน ไม่แปลก อาตมารู้อยู่ เขาจะลดยศอาตมา คนก็มากราบ

อาตมาสละออก ยิ่งสละออก ถ้าอาตมายิ่งสละออก ยิ่งสละออก คุณยิ่งจะไม่เคารพอาตมาหรือ หา ยิ่งจะเคารพ คุณก็ต้องทำตัวเช่นนั้นด้วย ยิ่งสละออก คุณจะได้เอง ไม่ต้องอยาก คุณจะได้รับ ความนับถือ จากสัตบุรุษ จากผู้ที่เป็นผู้มีปัญญาดี คนไม่มีปัญญาดีเขาไม่หรอก เขาจะหาว่าบ้าบ้าง เขาจะหาว่าโง่บ้าง เรื่องของเขา แต่นี่พูดไม่ใช่ยุให้คุณรีบสละออกทั้งหมด โดยไม่รู้ฐานะ ก็ต้องมี วงเล็บไว้

คนที่ไม่มีสรรเสริญเยินยอ ถูกด่าทั้งบ้านทั้งเมือง เขาก็มากราบ
คนที่ไปกราบคนที่โด่งดัง สรรเสริญเยินยอ อาตมาก็ไม่แปลก
แต่คนที่มากราบคนถูกด่า ทั้งบ้านทั้งเมืองนี่ แหม พวกคุณมากราบนี่ คนโง่มั้ง ไม่โง่ก็เมา ไม่เมาก็บ้า บ้าความดี อ้อ! ฉลาดเหมือนอาตมาหรือ? เหรอ! ฉลาดเหมือนอาตมาหรือ พันธุ์เผ่าเดียวกัน

นี่อาตมาพยายามวิเคราะห์วิจัยให้ฟัง ใช้สื่อภาษาจะให้เข้าใจ แล้วคุณมาพิสูจน์ ไม่ใช่คุณมาฟัง ภาษาเข้าใจแล้วก็ได้เลย ยังไม่ได้หรอก มาพิสูจน์ความจริงเหล่านี้

เพราะฉะนั้น อาตมากตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่า อาตมาจะมาบังคับ พวกคุณ มากตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าด้วย คุณควรกตัญญูหรือไม่ คุณย่อมรู้เอง หรือแม้แต่ คุณจะกตัญญูกตเวทีต่ออาตมา เป็นความเลวไหม มันไม่ใช่ความเลวหรอก คนที่มีความกตัญญูกตเวที

สุดท้าย เราจะกตัญญูกตเวที พระได้รับข้าว จากที่เขาใส่บาตรให้ แม้หนึ่งทัพพี เราก็ต้องไปทำงาน แม้เราจะไม่ทำงานตรงต่อคนที่เขาให้ข้าวเรากิน เราก็ต้องช่วย โดยทางอ้อม หรือทางใดทางหนึ่ง

อาตมาเคยสมมุติ เคยยกตัวอย่าง มีลูกศิษย์กับอาจารย์ มีพระกับลูกศิษย์ให้อาหารกินกัน ลูกศิษย์ เอาอาหารมาให้พระกิน เสร็จแล้ว พระไปสอนโจร ไม่สอนลูกศิษย์ ถาม พระได้ช่วยลูกศิษย์ แล้วหรือยัง ลูกศิษย์เป็นคนมีข้าว เอาข้าวมาให้พระกิน เสร็จแล้วพระไม่ได้ไปสอนลูกศิษย์หรอก พระไปสอนโจร ถามว่า พระได้ช่วยลูกศิษย์แล้วหรือยัง ได้ช่วยคนมีข้าวแล้วหรือยัง ช่วยแล้ว เพราะว่า พระไปสอนโจร อย่าให้ไปปล้น ไปจี้ข้าวของผู้ที่มีข้าว อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีหยั่งรู้นะ อาตมาเองจะขบถต่อกตัญญูกตเวทีไม่ได้ อาตมาจะต้องทำงานนี้

ทุกวันนี้อาตมาบวชมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว อาตมากินข้าวประชาชน กินข้าวมนุษย์เขามาตั้งเยอะอาตมา จะต้องอยู่ทำงานนี้ให้แก่มนุษย์เขา อย่ามาไล่อาตมาสึกเลย ถ้าอาตมาสึกประโยชน์ประชาชนได้ น้อยลง อย่างที่เคยสาธยายแล้ว เพราะฉะนั้น อาตมาจะไม่สึก ยิ่งจะมาหลอกอาตมาเหมือนหลอก เด็ก ก็ เฮ้ย ! ธรรมะน่ะ มันอยู่ในคราบไหนก็ได้ อย่าไปติดสมมุตินักเลย สึกออกไปเถอะ ไปเป็นลัทธิ โพธิรักษ์ยาน ไปนุ่งกางเกง ไปใส่สีเทาก็ได้ นั่น พูดอย่างมักง่าย พูดอย่างผู้ที่ไม่มีความลึกซึ้ง ต้องเข้าใจว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีพระรัตนตรัย และสงฆ์ของพระพุทธเจ้า ก็มีจารีตประเพณี มีนิติ ประเพณี มีจารีตประเพณี มีธรรมวินัย จะต้องนุ่งห่ม พระพุทธเจ้ายังนุ่งห่มชุดจีวร สามผืน ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระเป็นสงฆ์ เป็นรัตนตรัยองค์หนึ่ง ของพระรัตนตรัย ก็ยังต้อง นุ่งห่มตามเครื่องแบบ อาตมาก็จะต้องทรงไว้ ซื่อตรงต่อธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า คุณเองคุณไม่ ยึดมั่นถือมั่น คุณพาทางโน้นสึกให้หมดซิ เปลี่ยนชุดให้หมดซิ เพราะว่า ธรรมะปฏิบัติที่ไหนก็ได้ สอนที่ไหนก็ได้ แล้วมาให้อาตมาสึกทำไม อาตมาว่า อาตมาซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตาม ธรรมวินัย อย่าเบี้ยวธรรมวินัยนะ ปฏิบัติตาม ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า คุณจะเบี้ยวธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า คุณไปให้คนอื่นเขาเบี้ยว แล้วตู่ว่า อาตมาเบี้ยวธรรมวินัย คุณรู้ธรรมวินัยแค่ไหน อย่างนี้เป็นต้น

นี้แหละ อาตมาว่า ปราชญ์นี่จะหน้าแหกกันพอดู งวดนี้ แต่ที่อาตมาพูดไปนี้ เสียงนี้จะถึงหู .... เหมือนกัน อาตมาก็จะลองดู อาตมาบอกว่า อาตมาเป็นโมฮัมเหม็ด อาลีเหมือนกัน อาตมาเป็นแคสเซียสเคลย์ ที่จะต้องยั่วดูบ้าง ..... เายั่วให้แย้งเท่านั้น อาตมานี่ ยั่วลึกกว่าแย้งอีก ยั่วให้อยากตี อยากทุบ อาตมา ยั่วให้ด่า อยากตี อยากทุบอาตมาด้วยซ้ำ หรือ อยากจะแย้ง อยากจะเถียง อยากจะเอาชนะคะคานด้วยซ้ำ เชิญ อาตมาไม่มีปัญหา อาตมาเอง อาตมาว่า อาตมาไม่ได้มีใจร้าย ไม่ได้มีใจที่จะไปตั้งหน้าตั้งตาระรานอะไร ธรรมดาอาตมา ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว ได้พูดถึงคนนั้น คนนี้อะไรมากนักหรอก แต่อาตมาก็นี่พูดด้วยความ ปรารถนาดีว่า อาตมาเห็น ..... พลาดพลั้งไปบ้าง แล้วก็ไปแสดงต่อประชาคม มันขายขี้หน้าต่อผู้รู้ ผู้รู้เขารู้ ว่าขายขี้หน้าเขา มีแต่อัตตาตัวตนอยู่มากนัก หาว่าอาตมานี้ดื้อด้าน อาตมามีมานะอัตตา

แต่อาตมาต้องเตือน ผู้ที่ว่าอาตมานั้น ควรจะตรวจอัตตามานะของตัวให้ดี ตรวจความดื้อด้าน ที่หลงตัวหลงตน ว่าตัวมีความรู้นะให้ดี จริง อาตมาไม่ได้จบปริญญาตรี ไม่ได้ปริญญาโทเหมือน อย่างท่านผู้รู้ทั้งหลาย แต่อย่านึกว่าอาตมานี้โง่งั่ง อย่านึกว่าอาตมาไม่มีภูมิ วันนี้ เป็นวันอโศกรำลึก ขอพูดไว้ลายพอสมควร พูดคำนี้ อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาพูดอย่างปรารถนาดี มีเมตตา พูดอย่าง อาสภิวาจา พูดอย่างกล้า อย่างองอาจ อย่างคนอาสภิวาจา อย่างอาสภิวาจา เป็นวาจาที่กล่าว อย่างนี้ จะหาว่าอาตมาพูดเล่นลิ้นอะไรก็ตาม แต่อาตมาพูดอย่างนี้จริงๆ ครั้งคราวก็พูดอย่างนี้ ธรรมดาอาตมา ไม่ได้พูดมากนักหรอกอย่างนี้ นานๆพูด เมื่อถึงกาละ เวลาสมควร

เอาละ สำหรับขณะนี้ ก็ถึงเวลาที่อาตมาจะต้องยุติการแสดงธรรมเทศนาแล้ว ก็ขอฝากคำสุดท้าย แก่พวกเรา คำสุดท้ายอันนี้ ไม่ใช่ของอาตมา แต่เป็นคำของพวกพระพวกเรา แต่อาตมาเห็น เป็นคำดีมาก เป็นโศลกที่ดีมาก เหมาะสมที่จะใช้กาละนี้ ดีจริงๆ ทำให้ทน ทนให้ธรรม ทุกคนนะ ทำให้ทน ทำตัวนี้ ก็คือ ท สระ อำ ทำ ทำ ทำให้ทน ทนให้ธรรม ธรรมตัวนี้คือ ธรรม

ขอทุกคนจง ทำให้ทน และทนให้ธรรม เอวัง


ถอดโดย พรพรรณ ศิริอัธการ
พิมพ์โดย สม. นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล
1192B.TAP