ตอบสารพัดปัญหาครั้งที่ ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๓
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก


มีคนถามมาว่า ทำอย่างไรถึงจะประมาณในการพูดได้ดี ผมพูดอะไร คอยจะผิดอยู่เสมอ

สติไม่ดีน่ะซี ถามว่าทำอย่างไรจะประมาณในการพูดได้ดี สติให้ดีๆ ตั้งสติ  แล้วก็ใช้วิจัยไว้เรื่อยๆ พอเราตั้งสติแล้ว เราก็ใช้การวิจัยในตัว สติ สัมปชัญญะมันก็จะมีตัวเลือก ตัววิจัยในตัวของมันเอง คนเรามีวิจัยในตัวธรรมดา เป็นสามัญ แล้วยิ่งฝึกๆแล้ว แล้วเรายิ่งเรียนรู้มานี่ เรารู้ว่า เราหัดวิจัย มีธัมมวิจัยในเรื่องอะไรต่างๆ เรื่อยๆอยู่ แล้วเขาจะฝึกจริงๆ พอฝึกเข้าๆ มันก็จะเก่งขึ้น

เพราะฉะนั้น การพูดหรือการที่จะไตร่ตรองแล้วจะพูดออกมา มันก็จะได้เลือกเป็น การฝึกอย่างนี้ ก็คือการพิจารณาองค์ ๗ ของสัมมาสังกัปปะ หรือ มิจฉา ถ้าใครไม่ได้ฝึกก็เป็นมิจฉาไปหมดเลย แต่ถ้าใครได้ฝึกแล้ว มันก็เท่ากับได้ฝึกองค์ ๗ ของสัมมาสังกัปปะ
องค์ธรรม ๗ อย่างของสัมมาสังกัปปะ มีอะไร

สัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฏฐินี่ คือมีองค์ธรรมอยู่ ๖ อย่าง คือมีปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผล ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฎฐิ และมัคคังคะ องค์ ๖ ของสัมมาทิฏฐิ ของสัมมาสังกัปปะมันมี อันแรก ตกฺโก วิตกฺโก สงฺกปฺโป อปฺปนา พฺยปฺปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสงฺขาโร
เวลาเราจะสังกัปปะ เวลาเราจะดำริอะไร มันจะต้องมีตัวตรึก ตัวตริ ตัวตรอง ตัวตักกะ วิตักกะ แล้วมันจะรวมกันมาเป็นสังกัปปะ ตักกะ วิตักกะ แล้วก็มา เป็นสังกัปปะ

ทีนี้ มันมีจิต ตัวจิตหลักคือ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา คือตัวที่มันมั่นคง ตัวที่มันจะแข็งแรง แน่วแน่ คิดแต่ไม่หวั่นไหว คิดแต่ว่าไม่แปรปรวน เพราะอำนาจของความรู้ อำนาจของสิ่งที่ได้มาทางจิตนี่ เวลาคนเราศึกษาทางฤาษีนี่ เขาไม่มีองค์ธรรมแบบนี้ เขาไม่มีตักกะวิตักกะอะไร เขาไม่มีหรอก เขามีแต่หยุดๆๆๆๆท่าเดียว จิตเขาไม่มี คิด หรือเขาไม่มีดำริอะไร มีแต่จะหยุดดำริ มีแต่จะดับๆๆๆ

เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เจริญ แต่ของพุทธมี แม้แต่คิดก็มีมีองค์ธรรม ฝึกไป แม้แต่จะทำความเห็น ให้แจ้ง เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นให้ถูกทาง มันก็มีองค์ธรรมของมัน มันจะเกิดทิฏฐิเป็นปัญญา อย่างที่ว่าเป็นปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผล แล้วเราก็จะต้องใช้การวิจัย มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงฌ์ แล้วมันก็จะเกิด สัมมาทิฏฐิ ที่เจริญขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งปฏิบัติตามองค์มรรค มรรคทั้ง ๗ มรรคทั้ง ๘ นี่แหละ องค์มัคคังคะ องค์มรรคทั้ง ๗ องค์มรรคทั้ง ๘ นี่ คุณจะเสริมให้เกิดปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผล ส่วนสังกัปปะ มันก็จะคือตัวที่เราตริตรอง เขาแปลเป็นไทยนะ  ตักกะแปลว่าตริ วิตักกะเขาแปลว่าตรอง มันตริ มันตรอง แล้วมันก็คิดนึกผกผัน แล้วมันก็ หาเหตุหาปัจจัยอะไร มาใช้คิด ที่นี้จิตของเราตัวจะเป็นสมาธิ ตัวที่จะเป็นหลักของจิตตั้งมั่นนี่ คือตัว อัปปนา พยัปปนา ตัวแนบแน่น แน่วแน่ หรือว่ามั่นคง ถ้าเผื่อว่าเรามีจิต ประเดี๋ยวคิดมันก็ปรุง เอากิเลสมาปรุง เอามาปน เอามาอะไร แล้วจิตก็หวั่นไหว จิตก็เอียงเอนเอียง จิตก็เฉไฉไปทางโลกีย์ ไปทางโลกได้ แต่ถ้าจิตเรา มั่นคงมากๆ หรือว่าเราปฏิบัติตักกะ วิตักกะ แล้วก็มีการปฏิบัติ ที่องค์ธรรมของ สัมมาทิฏฐิด้วย สัมมาสังกัปปะด้วย การระมัดระวังดี การสังวรดี แล้วก็พยายามฝึก ให้มีจิตเข้มแข็ง มีเจโตเข้มแข็งไปเรื่อยๆๆๆ มันก็จะเกิดความมั่นคง เกิดสมาธิ หรือ ตัวสมาธิสูงๆๆๆ ก็คือ อัปปนาสมาธิ นี่แหละ ตัวที่จะไปเกิดความแนบแน่นนั่นแหละ อัปปนานั่นแหละ แล้วก็จะลึกเข้าไปอีก เป็นพยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา

เพราะฉะนั้น ยิ่งมีตัวหลักนี่ก็แข็งแรง ตัวคิดอ่านก็แข็งแรง หรือว่ามีประสิทธิภาพสูงทั้ง ๒ อัน อันหนึ่ง หลักเจโต อัปปนานั่นหลักเจโต ตักกะ วิตักกะนี่ หลักปัญญา มันก็จะแข็งแรง แข็งแรงจนกระทั่ง เวลามันทำงานแล้ว มันก็จะปรุงกันได้อยู่ในใจของเรา เป็นตัวดำริอยู่ข้างใน เรียกว่า สังกัปปะ กว่าจะพูดออกมา มันก็มีผลของความดำริ แล้วมีผลของความคิดแล้ว เรียกว่า วจีสังขาร หรือ วจีสังขาราอยู่ข้างใน

เพราะฉะนั้น ญาณของเราเกิดข้างในนี่ สังกัปปะเก่งๆบ่อยๆเข้า มันก็จะเกิดผลอันนี้ แล้วมีความเร็ว ที่เราจะสามารถรู้ก่อน มันจะออกมาเป็นวจีสังขาร มันจะออกมาเป็นวจีกรรรม มันก็อยู่ข้างใน เป็นวจีสังขารก่อน เราจะปล่อยหรือไม่ปล่อย เรามีกรองอีกทีหนึ่ง ตัวกั้นตัวเลือกอีกทีหนึ่ง ถ้าปัญญา หรือปฏิภาณของเรายิ่งดีเลย เลือกเป็นอีกทีหนึ่ง ก็จะปล่อยสิ่งที่ควร ที่เหมาะออกมา สิ่งที่ไม่ควร ไม่เหมาะ มันก็ไม่ปล่อยออกมา แม้เราจะคิด แล้วก็มาเลือกอีกทีหนึ่ง นี่คือความผิดพลาด จะน้อยลง ความถูกต้องจะมากขึ้น การเกิดกาย วาจา ใจ ออกมาเป็นวจีสังขาร ไม่ได้หมายความว่า เป็นวจีกรรมเท่านั้นอย่างเดียว เป็นกายกรรมด้วย มันจะออกมาจากตัวจิตดำริ แล้วมันก็จะออกมา มันจะสั่งตบ วจีสังขารว่าตบเลย ไอ้ที่มันระงับไว้มันก็ไม่ตบ มือมันก็มันก็ยังงี้... มันก็กะยึกกะยัก มันก็ไม่ออกไปทำ อย่างนี้เป็นต้น ยกตัวอย่างหยาบๆนะ


ขอถามปัญหานะคะว่า อยากทราบว่า คนเรานี่ มันมีวิบากกรรมอะไรถึงเกิดมาเป็นพ่อ แม่ ลูก หรือว่าเป็นพี่น้องกันค่ะ

มีวิบากกรรม วิบากอะไรหรือ มีวิบากของความรักกับความโกรธ ไม่เช่นนั้นบางคนมาเกิดเป็นพ่อ เป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่กัน เพราะลักษณะอาฆาต เกิดมาเพื่อที่จะมาแก้แค้นกัน อันนี้เจ็บปวด ครอบครัวไหน เป็นอย่างนั้น ก็รู้เอาไว้เถอะเจ็บปวด เกิดมาเพื่อเป็นคู่อาฆาตกัน ลูกมันเกิดมา กับพ่อ กับแม่คนนี้ๆๆ ที่เกิดมาร่วมกันนั่น มันมีความรักกับความแค้น หรือความรักกับความโกรธ เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรจะนำเกิด นอกจากกิเลส สรุปง่าย กิเลส ทำไมจะมาเกิดเป็นลูกเป็นเต้า เป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้อง ทำไมต้องเกิดมาเป็นคู่รักกัน

แล้วอย่างพระพุทธเจ้าล่ะคะ

เหมือนกัน

พ่อท่านไม่มีความรักแล้วไม่ใช่หรือคะ

หา...ถ้าไม่มีความรักแล้ว ก็มีวิภวตัณหา ก็เกิดจากกิเลสตัณหาแหละ แต่มีวิภวตัณหา เป็นตัณหา อุดมการณ์ ที่จะเกิดมาร่วม เพื่อช่วยเหลือสร้างสรร เพื่อที่จะทำ แต่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างที่ว่านะ ไม่ใช่ราคะอย่างหยาบๆ ไม่ใช่โทสะอย่างหยาบๆ เป็นวิภวตัณหา เป็นความปรารถนาดี เพื่อที่จะมาร่วม ปรารถนาที่จะมาทำสิ่งนี้ร่วมกัน ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง

เกี่ยวกันหนี้เวรหนี้กรรมอะไรหรือเปล่าคะ ที่ที่พ่อท่านเคย

มีด้วยๆๆ มีด้วย วิบากมันมีมากอัน อันนั้นด้วย แล้วก็มาทรมาน ที่ พระนางพิมพาต้องร้องห่ม ร้องไห้ คิดถึง... พระพุทธเจ้าไปบวชเสียแล้ว ออกไปอย่างไม่คิดถึงตัวเองเลย ตัวเองก็นั่งอกหักอกพัง ร้องไห้ อะไรอยู่ นั่นล่ะ ก็เป็นวิบากอันเป็นทุกข์ อันเป็นอกุศลวิบาก แต่ที่จริงเป็นวิบากที่ดี ซ้อนเชิง อยู่ในนั้นด้วย ซ้อนเชิงอยู่ในนั้น ทีนี้เพราะความแนบแน่น เพราะความที่ผูกพัน กันมาก ก็เลยบูชา เคารพนับถือกันเป็นเชิงดี ก็เลยทำให้พระนางพิมพา แม้จะเศร้าใจ จะทุกข์ใจ เพราะความโง่ที่ว่า สิ่งที่รักพลัดพราก ก็เศร้าอกเศร้าใจ มันยังมีอยู่ มันยังไม่พรากไปจากกิเลส กิเลสมันยังมีอยู่ในใจ ของพระนางพิมพา พระนางพิมพาก็ทุกข์ เพราะกิเลสตัวนั้น แต่ถ้าดี หรือว่าวิบากดี ที่ได้สั่งสมว่า เป็นผู้ที่แม้จะทุกข์ก็ตาม ความสัมพันธ์บูชา ชื่นชมชูเชิดยกย่องพระพุทธเจ้า เป็ ความผูกพัน ที่ถึงยังไง ก็ไม่ยอมพราก ถึงยังไงก็ไม่ยอมที่จะคิดเลวกับพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่จะเจ็บปวด ของตัวเอง ที่มีทุกข์ของตัวเอง มีกิเลสของตัวเอง ตัวเองก็ทุกข์ แต่ก็ยังนับถือบูชาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำอะไรอย่างไร พอได้ข่าวก็ทำตามพระพุทธเจ้า แม้อดข้าวก็อดด้วยพระพุทธเจ้า จะได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าปฏิบัติอะไร ทำด้วย อย่างนี้เป็นต้น อย่างที่เราได้เคยศึกษาประวัติมา ก็ทำไปด้วย อะไรต่ออะไรไปด้วย จนกระทั่งสุดท้าย วิบากดีที่ได้สั่งสมมามากมายด้วยกัน ก็เลย พระพุทธเจ้า ก็นำพระนางพิมพาสอนให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จนได้เป็นพระอรหันต์จนตาย

ตระกูลของพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์หมด จนไม่มีใครครองกบิลพัสดุ์ พระมหานามะ มาครองกบิลพัสดุ์ พระญาติ พระมหานามะ ก็เป็นเครือญาติ พระมหานามะเป็นพี่ชายของ พระอนุรุทธะ พระมหานามะนี่ครองราชอยู่อีกแคว้น อยู่อีกเมืองหนึ่ง พระมหานามะ ก็เป็นรุ่นเดียว กันกับพระพุทธเจ้า รุ่นเดียวกัน เป็นเครือญาติกัน แต่ไปครองอีกแคว้นหนึ่ง พระพุทธเจ้าแคว้น เจ้าชายสุทโทธนะนี่เป็นพ่อ แต่พ่อของพระมหานามะ พระอนุรุทธะนี่ อาตมาจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ก็มีลูกชาย ๒ คน ก็ คือพระอนุรุทธะ กับพระมหานามะ เสร็จแล้วพระอนุรุทธะ กับพระมหานามะ ก็ในยุคนั้น คนที่มีลูกชาย ๒ คนก็ต้องมาบวช ออกมาบวชกับพระพุทธเจ้าคนหนึ่ง ในประวัติ ถ้าเผื่อว่า ไม่ออกมาบวชแล้วไม่ได้ เสียหน้ามาก ครอบครัวไหนมีลูกชาย ถ้ามีลูกชายคนเดียว ยกไว้ ก็ต้องรับภาระทางครอบครัว ทางโลกเขาไป แต่ถ้ามี ๒ คน หรือมากกว่านั้น ต้องเอามาบวช อย่างน้อยหนึ่งคน ทีนี้ครอบครัวนี้ มีมหานามะ กับอนุรุทธะ ท่านเลยออกบวช เป็นเจ้าชายองค์หนึ่ง ที่ออกบวช แล้ว พระมหานามะก็เลยครองเมืองตัวเองอยู่สุดท้าย ส่วนกบิลพัสดุ์นั่น พระพุทธเจ้าเอา ออกมาบวชหมดเกลี้ยง ไม่มีเหลือเลย แม้แต่เจ้าชายราหุล ก็ออกบวชหมด เจ้าชายนันทะ เจ้าชายราหุล พระนางพิมพา เจ้าหญิงรูปนันทา แม้พระแม่น้านาง หมด พระเจ้าสุทโทธนะ สิ้นพระชนม์ไป หมดตระกูล พระมหานามะเลยต้องมาครอง กบิลพัสดุ์อีกแคว้นหนึ่งอีกเมืองหนึ่ง

ทีนี้ในหนังสือของคุณสุนัย หนังสือ...บอกว่า พระพุทธเจ้าทิ้ง พระนางมัทรี เพราะว่า ความเห็นแก่ตัวนี่

ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่พระสัมมาสัมโพธิญาณ

ในนั้นเขาเขียนอย่างนั้นนี่คะ

เขาเขียนอย่างนั้นก็ไม่ค่อยถูก ที่จริงน่ะ พระเวสสันดร พระนางมัทรีนี่ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า นั่นปาง พระเวสสันดร พระเวสสันดรยกพระนางมัทรีให้แก่เทวดา ยกลูกสาวลูกชายให้ชูชก ชูชกนั่น เมียของเขานางอมิตตดา มันคนละคน เทวดามาขอพระนางมัทรี แล้วพระเวสสันดรก็ยกให้ไป การยกลูกก็ดี ให้ชูชก การยกเมียให้แก่เทวดาที่ปลอมตัวมาเป็นพราหมณ์อะไรก็ไม่รู้น่ะก็ดี แล้วคนโลก เขามองว่าเป็นคนใจร้าย ที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่สัมมาสัมโพธิญาณ ตัวเองอยากได้ สัมมาสัมโพธิญาณ จนกระทั่ง ไม่เห็นอกเห็นใจลูกเมีย ยกให้เขาไปเป็นทาส สมัยโน้น สมัยมีทาส ยกไปเป็นทาสเขา ยกไปอย่างนี้ ยกให้ไปอย่างนี้แสดงว่าเห็นแก่ตัวมาก เพราะว่า เขามองทาง นามธรรมไม่ออก อย่างหนังสือพระเวสสันดรนี่ ไม่น่าที่จะเอาไปเรียนในระดับมัธยมตื้นๆ ต้นๆอะไร มันควรจะเรียน ระดับปริญญาเอก คนระดับปริญญาเอกนี่ ก็ต้องเรียนพระเวสสันดรนี่ ถึงจะเข้าใจ ถึงจะได้ ที่จริงแล้ว การไม่มีธรรมะ ทุกวันนี้มันล้มเหลว เพราะการเรียนสูงๆ มีความสามารถมาก มีความรู้มาก แต่ไม่เรียนธรรมะ จิตใจขี้โลภจัดขึ้นไป แล้วเป็นโอกาส เพราะว่ามันได้เปรียบ มีความรู้มาก มีความสามารถมาก มันก็ได้เปรียบ ความขี้โลภไม่ลด มันก็โลภมากได้ เพราะว่ามันชนะนี่ มันชนะ

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ การศึกษาที่มันล้มเหลว เพราะไม่สอบคุณธรรม มันจะต้องสอบคุณธรรม ไปด้วย ถ้าเผื่อว่าไม่ผ่านเป็นพระอริยะโสดา สกิทา อนาคา ไม่ให้เรียนสูงกว่านั้น ไม่ให้เรียน ปริญญาตรี โท เอก ขึ้นมา ถ้าไม่มีคุณงามความดี หรือว่าไม่มีศีลธรรมมาก ให้เรียนต่ำๆ นั่นแหละ มันจะได้ทำงานระดับต่ำๆ ความสามารถไม่มาก จะได้ไม่ได้ไปเอาเปรียบใครเขามาก ให้เรียนต่ำๆ นั่นแหละดี ดีแล้ว อย่างนี้มันจะถูกสัจจะ อย่างทุกวันนี้ มันไม่เป็นหรอก มันกลายเป็นว่า ใครมีสตางค์มาก ใครมีเล่ห์โกงมากๆ มีเปรียบมากๆ ก็เลยได้เอาเปรียบมากๆ ได้ความไปได้ศึกษา มากๆ รู้มาก แล้วก็ไปพยายามฝึกฝน ไปได้เรียนทางฝีมือด้วย ก็มีความสามารถมากอีก แต่ความโลภ มันก็จัดอยู่ ทีนี้ได้เปรียบ ก็ยิ่งย่ามใจ ก็ยิ่งโลภมากขึ้น เอาชนะคะคานเขา อะไรก็ได้มากขึ้น นี่เป็นโลกๆ เขามอง เขาก็มองว่า มันควรจะเป็นอย่างนั้น แล้วก็ควรจะเกื้อกูล ประเภทที่เรียกว่า ไม่ต้องให้คนเขาไป...คนอื่น... จะต้องเกื้อกูลแบบ ง่ายๆ วิธีที่เขาแก้...เกื้อกูลก็คือ ถ้าเขาต้องการกาม ก็ให้กาม ถ้าเขาต้องการโลกธรรม ก็ให้โลกธรรม เขาต้องการโลกียสุข ที่จะยังไงก็แล้วแต่ หยาบจัดจ้านอะไรก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ ก็ให้บำเรอเขา หรือถือว่า เป็นคนใจดี เป็นคนใจสูง นี่มันซับซ้อน

ทีนี้ ความสูงในระดับพระพุทธเจ้า ในระดับพระเวสสันดร มันเป็นความสูงในขั้น โอ้โห ! ไม่ใช่มิติธรรมดา มันเป็นมิติความรัก มันเป็นมิติที่สลัดคืน เป็นความรักที่มิติที่จะต้องย้อน ตีทวน ทวนกลับ เป็นมิติที่สูงสูงแล้ว เพราะฉะนั้น คนเขาก็เข้าใจไม่ได้  เพราะถ้าเผื่อว่า   เราจะให้คนภูมิต่ำ เข้าใจจิตวิญญาณของ พระเวสสันดรภูมิสูงนี่มันเข้าใจไม่ได้ เมื่อเข้าใจไม่ได้ พระเวสสันดร ก็ต้องทำเอง แม้ว่าผู้ที่เขาเข้าใจผิด เหมือนอย่างที่เรานี่ก็มี อย่างอาตมาทำนี่ ทำทั้งๆที่รู้ว่า เขาเข้าใจผิด เขาเข้าใจไม่ได้ เราก็ต้องทำ เพราะว่ามันต้องทำ ยกตัวอย่าง ง่ายๆ เช่นว่า ลูกจะออกบวช แล้วพ่อแม่บอก ไปทำไม ตกต่ำอย่างนั้น อยู่อย่างนี้ เรามีทรัพย์ศฤงคาร เรามีฐานะ มาทำงานอย่างนี้ รวยลาภยศ สรรเสริญ อยู่อย่าง เก่านี่แหละเจริญ ออกไปบวชอย่างนั้น แย่นี่ ยิ่งทางจีน บอกว่าบ้อเท่าโล่ ออกไปอย่างนี้ เป็นคนหมดท่าแล้ว บ้อเท่าโล่นี่ไม่ได้เรื่องแล้ว ไม่ได้ออกไปก็ เสียใจน่ะ มันก็คล้ายกัน

ทีนี้ ถ้าเผื่อว่าลูกรู้ดีอยู่แล้วว่า ถึงยังไงๆ พ่อแม่ก็ต้องเสียใจ ก็ยอม ให้ร้องห่มร้องไห้ไป จะเจ็บปวด ยังไง ก็เจ็บปวดไป แต่ว่าลูกก็ต้องไปปฏิบัติทางนี้ล่ะ ต้องออกบวช ต้องไปปฏิบัติธรรมะสูงขึ้นๆ พ่อแม่ไม่รู้ยังไง ก็ต้องให้เจ็บปวด เพราะฉะนั้น โลกจะมองว่า ทำให้พ่อแม่ร้องไห้ ทำให้พ่อแม่เสียใจ เป็นบาป เพราะโดยสัจจะนั้น พ่อแม่ต้องการให้ลูกสูง ลูกยิ่งสูงขึ้น เดินทางสูงขึ้น แต่พ่อแม่ดูไม่ออก นึกว่าลงทางต่ำเอง เข้าใจผิดเอง เพราะไม่มีภูมิรู้ มันตีกลับ ขึ้นสูงนึกว่าลูกลงต่ำ ฉันเดียวกัน พระเวสสันดร ทำสิ่งที่สูง จนคนไม่รู้ว่าสิ่งนี้ ต้องเสียสละซ้อนกัน พระนางพิมพา ก็ต้องเสียสละ ลูกก็ต้องเสียสละ แต่เสร็จแล้ว มันก็ไม่ได้ซวยอะไร ตามเรื่องก็ไม่ได้ซวยอะไรนี่ ลูก เทวดาก็พาไปหา ปู่ย่าตายาย เมีย เทวดาก็คืนให้แล้ว ไม่ได้เลวร้ายอะไร มันสอดคล้องกันมา แต่ว่าสิ่งที่ไม่รู้กัน นั่นแหละ สิ่งที่ไม่รู้ว่า แม้ว่าบริจาคลูกให้ชูชก ชูชกจะเอาไป เทวดาก็พาเอาไปคืน ไปคืนปู่คืนย่านั่นแหละ แต่คนไม่รู้ ถ้าไม่รู้ มันก็เป็นดีอยู่นั่นแหละ มันก็เป็นบุญนั่นแหละ ดูก็โอ๊ย! ถูกชูชกทารุณ เสียสละคนเดียวไม่พอ ลูกต้องมาเสียสละซ้อนอีก ต่างหาก เสียสละคนเดียวไม่พอ เรื่องจิตวิญญาณที่เสียสละนี่ ถ้าว่าจริงๆนะ ความจริงแล้ว คนเรารักลูกยิ่งกว่าดวงใจ รักเมียยิ่งกว่า ดวงใจใช่ไหม เสร็จแล้ว ต้องเสียสละสิ่งนี้ออกไป มันยิ่งใหญ่แล้วยังไม่พอ ต้องให้ทั้งลูกทั้งเมีย เสียสละ ต้องมีวิบากซ้อนลงไปให้คนเห็น คนอะไรอีกเยอะแยะ มันจึงซ้อนเชิงสูงขึ้นไปอีก ถ้าเข้าใจมัน ก็จะสูงอย่างนั้น แต่ทีนี้ คนไม่รู้ก็เลยมาวิจารณ์ว่า เรื่องเวสสันดร เป็นเรื่องน้ำเน่า เป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง... เป็นเรื่องค้านแย้งกับกุศล ไม่ควรไม่เหมาะอะไรนี่ ที่จริงก็จริงในพื้นต้น ไม่ควรจะเอาไปให้คน อนุสัมบันเรียนหรอก อนุสัมบันก็คือคนที่ไม่มีภูมิถึง มันไม่ควรเรียนควรรู้

เจ้าชายสิทธัตถะ ภูมิธรรม...ขนาดนั้น ยังทำให้เจ้าชายราหุลประสูติ แล้วพระองค์อุทานบอกว่า ห่วงเกิดขึ้นแล้ว ทั้งๆที่พระองค์ก็รู้อย่างนั้น ทำไมไม่ป้องกันก่อนล่ะครับ

ที่จริงน่าจะให้ไปถามพระพุทธเจ้า มาถามอาตมา แหม ! จะให้อาตมาอธิบาย ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตย เหลือเกิน เอ้า! อธิบายให้ฟังพอสมควรนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก อาตมาเคยยกตัวอย่างตัวเองว่า อาตมาเองนี่ มันเหมือน ลิงอมข้าวพองอะไรนี่ เราเกิดมา มันมีทั้งสัจจะ ๒ อย่าง มีสัจจะที่เป็น สมมุติสัจจะ แล้วก็มีทั้งปรมัตถสัจจะ มันเป็นสัจจะแล้ว มันเรื่องจริงนะ มันมีวิบาก มันมีอะไร ต่ออะไร ของมันอยู่ในตัวด้วย แล้วมันก็มีอำนาจด้วย เดี๋ยวนึกว่าโลกไม่มีอำนาจ สัจจะที่เป็น สมมุติสัจจะ อย่าว่าไม่มีอำนาจ มีอำนาจ เพราะเราเกิดมา ตามวิบากบุญ วิบากบาปของเรา พอสมควร เราก็จะมีอินทรีย์พละ จะมีบุญญาบารมี หรือว่าจะอ่อนแอแข็งแรง ก็เท่าของเรามี แล้วมันก็จะต้องไปผ่านวิบาก หรือไปรับวิบากนั้นๆๆๆ อย่างนั้นๆ เท่าที่เราได้บำเพ็ญมา อาตมาเคย บอกว่า พระพุทธเจ้าบางองค์ท่านไม่ต้องแต่งงานหรอกท่านไม่มีเรื่องนี้ วิบากของท่าน ท่านปฏิบัติมา เก็บมาเยอะ ว่าอย่างนั้นเถอะ ท่านเก็บมาจนกระทั่งสิ้น จนกระทั่งเกลี้ยง ไม่มีเหลือเศษวิบาก อาตมานี่ยังไม่แน่เลยนะ เพราะอาตมา มันมีวิบากเรื่องนี้เยอะ เจ้าชู้ไก่แจ้ยังไม่หาย แล้วก็เรื่องพวกนี้ มีคู่วิบาก คู่กรณี คู่บารมี เรียกคู่บารมีก็ได้ คู่กรณีก็ได้ ถ้าเผื่อว่าไปทางโลก เขาไม่เรียกคู่บารมีหรอก เรียกว่า คู่เวรคู่กรรมนั่นแหละ ไอ้อย่างที่เราดูโกโบริ อังศุมาลินนั่นแหละ มันเป็น คู่เวรคู่กรรม ถ้าเรียกทางโลก มันเรียกคู่เวรคู่กรรม แต่ทางธรรม ถ้าเผื่อว่าเราเอง เราสูงแล้วนี่ แม้สิ่งนี้จะมากับเรา อย่างพระนางพิมพา ที่มากับพระพุทธเจ้านี่นะ ทำอะไรพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก  ถึงเรียกว่า ยิ่งมาเสริม ให้พระพุทธเจ้าแข็งแรงยิ่งขึ้น ยิ่งมาเสริมให้พระพุทธเจ้าแกร่งยิ่งขึ้น เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น จึงเรียกว่าคู่บารมี เรียกว่าคู่ก่อบุญ ไม่ใช่คู่ก่อบาป

แต่ที่มีเจ้าชายราหุลมีอะไรออกมา แล้วจะต้องไปแต่งงานอะไรนี่ มันเป็นวิบากด้วย แล้วมัน ก็เป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องวิบากของบุญบารมีของพระพุทธเจ้าองค์นี้ยังไม่สิ้น แม้อาตมา ก็พยายามอยู่ จะให้มันสิ้น อยากจะให้มันถึงขั้น ที่เรียกว่าสูงไปสุด แล้วไม่ต้องมาวุ่นวายเรื่องนี้ เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องผ่าน เรื่องนี้เลยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ต้องมาแผ้วพาน ไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องมามี อะไรด่างพร้อย ไม่ต้องไปมีคู่อะไร มันก็อยู่ที่เราต้องพากเพียรกับวิบากของเรา ได้สั่งสมมาแล้ว ที่เราจะปฏิเสธไม่ได้ แล้วเราก็จะต้องพยายามที่จะอย่าให้ มันมีฤทธิ์ อย่าให้มันมีผล พูดปากเอามันให้พอ เราต้องทำ ทำอย่างไม่หยุดยั้ง

แต่ในขณะที่มันเกิดในโลกนี่ มันเหมือนลิงลมอมข้าวพอง คือว่ามันเหมือนกับเราอยู่ในโลก เรายังไม่ได้ตั้งหลัก อินทรีย์พละเรายังไม่แข็งแรง มันเหมือนกับคนไม่รู้เรื่อง อินโนเซนส์ ไม่เดียงสากับ โลกุตระ หรือไม่เดียงสาต่อโลกเลย เราก็ต้องไปกับโลก โลกมีอำนาจ มันก็ทำให้เราไปนึกว่า เออ! ล่าลาภ ล่ายศ ล่าอะไรดี รสชาติเอร็ดอร่อย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีคู่มีอะไรต่ออะไรไป มันก็มีอย่างนั้นนะ และโดยตรงสรีระ ยีนส์ สังขารมนุษย์ มันก็มีต่อม มีเซลล์ มีประสาท มีอะไรต่ออะไร เหมือนกันด้วย จิตวิญญาณเราก็ยังไม่หมด มันก็ใช้ ใช้แล้วก็ถูกโลกครอบงำด้วย มันก็เลยเป็นไปอย่างที่มันเป็น เป็นไปจนกว่าเราจะมีบารมี  ถึงเวลาวาระเพียงพอ ไม่มีใครมาบอก อาตมาหรอกนะ มันถ้วน มันรอบ มันโต เหมือนกับผู้หญิงนี่ เด็กๆก็ไม่ประสาอะไรหรอก ฮอร์โมน ยังไม่ถึงเวลา มีฮอร์โมนต่อมปม ต่อมอะไร ประสาทอะไร ต่อมฮอร์โมนหรืออะไรๆ ยังไม่โต มันก็เด็ก อินโนเซนส์อยู่อย่างนั้น... พอโต มาสักเดี๋ยว เอาแล้ว มันก็มีต่อม มีอะไร มันก็ไม่เหมือนแล้วตอนนี้ มันก็ชักจะเป็นสาว เป็นอะไรๆ ขึ้นมาแล้ว จริตจะก้านสาวออกแล้ว อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา อารมณ์บ้าง อะไรบ้าง ก็คล้ายกันน่ะ ในทางโลก มันก็ไปโลกีย์ ไอ้ตอนที่เกิดมาใหม่ๆ ยังไม่สมพร้อม ก็เหมือนกับ ถูกองค์ประกอบอันนั้น มันใช้อยู่อย่างนั้น มันก็ดู เออ! บริสุทธิ์ดี ดูเหมือนไม่มี มันกลับกันนะ เหมือนเด็กๆ อย่างผู้หญิงเด็กๆ นี่ยังไม่มีฮอร์โมน ก็ดูเหมือนเด็กๆ ไม่ประสีประสา เหมือนไม่มี แต่ทางธรรมะนี่ พอเกิดมาถูกโลกครอบงำนี่ มันดีเลย จนกว่าเราจะโต ยีนส์ภูมิธรรมของ เราจะโต แล้วตัวความรู้สึกสติสัมปชัญญะปัญญาของเราจะถ้วนรอบโต เราถึงจะ รู้สึกตัว เราถึงจะไปหาไม่มี

แต่โลกียะนี่ เด็กๆดูเหมือนไม่มี พอต่อมฮอร์โมน พออะไรขึ้นมามี มันก็ไปหามี มันกลับกันหน่อย เท่านั้นเองใช่ไหม โลกนี่มันก็ไปหามี เกิดไม่มีแล้วค่อยๆโตไปหามี ส่วนธรรมะนี่มันมีโลกีย์ เพราะเราเกิดมา ถูกโลกีย์ย้อมเลยมืด มาโลกีย์ย้อม เราก็นึกว่าเรามากับโลกีย์ ก็มันโลกีย์ พ่อแม่ก็โลกีย์ ทั้งนั้น เราเกิดมาจากโลกีย์ใช่ไหม ก็เกิดมาจากการสมสู่ เกิดมาจากโลกีย์ เราก็เป็นโลกีย์ ไอ้นี่อร่อยนะลูก นี่สวยนะลูก เลยมากับโลกีย์ เหมาะเลย ย้อมมาหมดเลย ไม่มีใครมาสอนลูก บอกว่า นี่ อย่าหลงสวยหลงงามนะลูก อย่าติดเอร็ดอร่อยนะลูก ไม่มีละ ใช่ไหม ก็สอนมา อย่าว่าแต่พ่อแม่พี่น้อง รอบสิ่งแวดล้อมทั้งนั้น มันก็ไปกับโลกีย์หมด ก็ถูกย้อมไปจนกว่า สติสัมปชัญญะปัญญา ของภูมิธรรมมันโตได้เวลา แล้วมันก็ถึงจะเป็นตัวของตัวเอง แล้วมันก็มองโลกออกว่า เออ! ไอ้นี่ไม่ใช่โลกของเรา ไอ้นี่ไม่ใช่ภูมิฐานของเรา มันก็ถึงจะตื่นตัว คนไม่มีเอง ก็ต้องเรียน คนที่มีเองแล้ว ก็เป็นปัจเจกของแต่ละคน

ทีนี้ พวกเราไม่ใช่ปัจเจก ก็ต้องเรียน ต้องฝึกฝน มันก็มีส่วนเป็นเชื้อได้ มาสะสมมาเรื่อยๆๆๆ เท่าที่มันมี เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องอธิบายยากนะ ในเวลาสังสรรค์กันอย่างนี้  ขี้มักชอบถามเรื่อง อจินไตย อย่างนี้เรื่อยเลย อาตมาก็พยายามอธิบาย เพราะว่ามันก็ไขความกันไปได้ พอเป็นไปได้น่ะ เราตั้งใจฟัง มีศรัทธา มีปัญญา ก็พยายามฟังไปบ้าง เท่าที่อาตมาจะมีภาษา มีบัญญัติอะไรจะสื่อ มันอธิบายยาก เป็นอจินไตย มันเป็นเรื่องยาก มันเป็นเรื่องที่พยายามสื่อภาษา หรือว่าเอาของโลกๆ มาเปรียบเทียบ มาแทน เพราะว่าตัวเองจริง มันเป็นนามธรรมไปหมด เพราะฉะนั้น มันจะเอาอะไร มาเรียกชื่อไม่ได้หรอก ต้องเอาโลกมาเทียบ แล้วเราก็ประมาณตาม ก็พอเข้าใจได้  พอถึงขั้น ที่มีภูมิของเราเอง เราเข้าใจได้จากของจริงที่เรามี เรียกว่าญาณ ญาณมันมีของจริง ตามความเป็นจริง เราก็เห็นเอง เมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจชัดว่า อ๋อ! มันก็อย่างที่อาตมาอธิบายนี่แหละ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว มันก็มีอะไรที่ต่างกัน จากนั้นอยู่อย่างลึกซึ้ง เราก็จะรู้เองว่า อ้อ! มันมีส่วนคล้าย แต่มันมีส่วนลึก มันมีส่วนที่รอบกว่านั้น หรือว่าจริงกว่านั้น มันคืออะไร ไอ้ที่มันไม่มีในโลกนี้คืออะไร ก็ยังจะได้รู้ไปเอง เอ้า! ถามสดก็ได้นี่ ส่งไมโครโฟน

อย่างตะกี้ คำถามเมื่อกี้ที่ว่า คำสงสัยที่ว่า ทานไอติมนี่ เอาไอติมให้เขา เสร็จแล้วเขาจะรู้สึกว่า เป็นบาปกับเขาไหม หรือว่าจะทำให้เขาเพิ่มพูนกิเลสขึ้นไปหรือเปล่า อะไรพวกนี้

เอาล่ะ เพิ่มพูนกิเลสนี่ คุณสงสัยไหม

อันนี้ผมเข้าใจ

เอ้า เอาล่ะ ไม่สงสัยให้เขาเพิ่มเติมกิเลส

แต่เป็นกิเลส ไอ้ขั้นที่ละเอียดกว่า เราควรจะสอนเขาในขั้นที่ว่า ที่ เขากินแล้วหยาบกว่านี่ ไอ้หยาบกว่านี่กับกินไอติมน่ะ อันไหนมันทุกข์มากกว่ากัน

เอ้า! ก็แน่นอนซี ไอ้หยาบกว่านี้ คุณจะไปห้ามทำไมล่ะ

ทีนี้ ทางเรานี้ชาวอโศกนะฮะ ผมรู้สึกว่า มันจะปิดกั้นไปหมดทุกอย่าง

ไม่ ทุกอย่างอะไร ดนตรีก็ให้เล่น อะไรที่พอนั่นได้ก็...เอา

อย่างดนตรีกับของอร่อยนี่นะฮะ แค่พอประมาณนี่ ผมว่ามันไม่เป็นบาป นะ เหมือนกับพ่อท่าน ให้เล่นดนตรีนี่ มันเป็นบาป ขั้นเป็นสุขอยู่ขั้นหนึ่ง ต้องเรียนรู้ ว่า

สุข โลกียสุข สุขโลกียสุข เราพยายามที่จะละโลกีย์

อันนี้ ถ้าลักษณะเรารวบยอดนะฮะ รวบหัวรวบหางนี่ ผมว่ามันจะเกิด อาการข้ามขั้นตอน หรือว่าช็อต อันนี้ผมมีความรู้สึกนะฮะกับพ่อทาน ที่ว่าให้หมู่กลุ่ม ปฏิบัติธรรมนี่ ผมรู้สึกว่ามันออกจะช็อตๆอยู่บางอย่าง ไม่รู้ว่าพ่อท่านจะมีความเห็น ยังไง

อาตมามีความเห็น มีความเข้าใจ ใจคุณด้วย

คือว่า การปฏิบัติธรรมที่ว่า ในลักษณะเข้ามาถึงศีล ๘ เปี๊ยบขึ้นมาเลยนี่ ผมมีระยะนี้แล้ว รู้สึกจะมีความเห็นว่า เอ๊! ของพวกเราลักษณะมันจะช็อตนะ แล้วนโยบายของพ่อท่านนี่ มีนโยบายอย่างไร คือว่า ถึงจะจับจุดสูงขึ้นมาเลย แล้วค่อยๆ หย่อนลงมา หย่อนลงมา ทั้งที่พวกเรานี่ พอไปสูงปั๊บ ก็จะไปเเลิศเลย ไปเอานิพพาน ทั้งๆที่พ่อท่านบอก พวกเรานี้ยุคนี้ มันอนุปสัมบันนะ ไม่ใช่อุปสันบัน พื้นฐานหรือว่าปัจเจกแก่ตัวเอง มันมีมาแค่ไหน ทำไมมันไป พรวดสูง ไปเลยอย่างนั้น แล้ว ก็ช็อต แล้วก็ร่วงๆๆๆลงมาเป็นทิวเป็นแถว เป็นทิวเป็นแถวนี่ ไม่ทราบว่า นโยบาย ของพ่อท่านเป็นยังไงครับ

เออ ! ตอบได้นะ นโยบายของอาตมาก็คือว่า อาตมาทำงานคนเดียวไม่ได้หรอก อาตมาต้องมี คนทำงานด้วย คนทำงานด้วยก็คือคนสูง เพราะฉะนั้น คนที่จะมา อาตมาก็มีวิธีการ ไม่ได้มาหลอกลวง วิธีการใครจะไฟแรง ทำเป็นใจใหญ่ ก็เตือน ก็เตือนนะ ไม่ใช่ไม่เตือน แต่คุณเอง คุณอยากใจแรงไฟแรง อยากจะพุ่งเข้ามา แล้วก็ช็อต แล้วก็ตกร่วงลงไปบ้าง ก็มีแน่ ทีนี้คนเขาดี เขาได้ ก็มีอยู่ แล้วเราก็ได้คนดี หรือคนสูงขึ้นไป มาเป็นผู้ช่วย มาเป็นคนสูงที่จะค่อยๆ ช่วยคนที่ต่ำลงๆไปได้เรื่อยๆ ทุกวันนี้จึงมีหมู่มีกลุ่มที่มีคนสูง

ส่วนคนที่มีไฟแรงเป็นลักษณะส่วนตัวของเขา ส่วนที่เขาขึ้นมาไม่ได้ตก หมด คนที่ตกมันต้องมี แน่นอนน่ะ นี่เป็นสัจจะ

เพราะฉะนั้น คุณจะไปมองคนตก คุณจะให้ได้หมด ๑๐๐% ขึ้น อุ้มขึ้น มา ๑๐๐ คนได้ ๑๐๐ คนไม่มีในโลก พระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้

ครับ ทีนี้ลักษณะที่ท่านบอก สูงแล้วนะฮะ ขึ้นมาสูง ระดับสูงนี่ ที่ผมมอง ตามที่อยู่กับอโศกมาเป็น ๑๐ ปีนี่ ที่เห็นว่าสูง ว่าเรียนนี่ บางครั้งมันอยู่ในลักษณะที่กดข่ม แล้วก็เรียนบางครั้ง พวกเรายังยอม รับนะว่า บุคคลผู้นี้ถึง อนาคาบ้าง ถึงสกิทาบ้าง แต่พอผมจับดูภพภูมิแล้ว เขาไม่ได้เดินตาม ภพภูมิเลยไม่ได้สูง

คุณเอง คุณอย่า อย่าอวดดีเลยนะ

ครับ ไม่อวดครับ

คือคุณเองนี่ อยู่ในภูมิขนาดของคุณ แล้วคุณบอกว่าคุณมีภูมิที่จะไปจับคนสูง จะไปจับคนสูง คุณเดาทั้งนั้นแหละ คุณไปเก็งเขาไม่ออกหรอก คุณรู้สึกว่าเขากด แต่เขาไม่ได้กด คุณก็ไม่รู้ จริงบางคน อาจจะกด แต่เขากดพอได้น่ะ เขากดได้ แล้วเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เขาก็ไปได้ เขาก็ไปเหมือนๆกับมีกด เพราะลักษณะของสมถะภาวนา ลักษณะของวิปัสสนาภาวนา มันมีทั้ง ๒ อย่าง อยู่ในคนทุกคนที่ปฏิบัติธรรม เขาก็กดอยู่บ้างก็มี คนที่กดข่ม กดข่มไป มันทนไม่ได้ มันก็ จะต้องลดลงมา ลดลงมา พรวดๆก็มี ลดลงมาไม่พรวดหรอก ลดลงมาบ้างนิดหน่อย นิดหน่อย นิดหน่อย แล้วเขาก็พยายามเสริมขึ้นไป มันก็จะมีสภาพที่ขึ้น หรือ ขึ้นๆลงๆ ขึ้นๆลงๆ ขึ้นๆลงๆ แต่ว่ามันก็ยังมีสภาพที่เรียกว่า มันก็เจริญขึ้น เจริญขึ้นได้น่ะ มันก็มี มันไม่ได้ตายตัว มันมีเยอะ มันมีมาก

เพราะฉะนั้น เรามองเพ่งในจุดที่เสีย ก็พยายามให้รู้ในจุดที่ดีก็ให้รู้ถ้วน ให้มีรู้จุดที่ดี มันมีหลากหลาย ทั้งจุดที่เสีย จุดที่ดีอยู่ แต่อาตมาดูแล้ว อาตมาทำงานมาช่วง ๒๐ ปี นี่แน่นอน อาตมา...ไม่โง่ ที่จะทำงาน เพื่อที่จะให้มันยิ่งทำ ยิ่งเสื่อม ยิ่งทำก็ยิ่งทรุดแน่นอน

เพราะฉะนั้น ค่ารวม หรือว่าเท่าที่อาตมาทำงานมา แน่นอน คนร่วงมี คนร่วงมากร่วงน้อย คนได้มากไ ด้น้อยมี แต่ค่ารวมแล้วเจริญ เจริญไม่ใช่เจริญธรรมดาด้วย เจริญเร็วไม่ใช่น้อย ในระยะ ๑๐ ปี ๒๐ ปี นี่เป็นกลุ่ม แล้วก็เป็นบทบาท เป็นลีลา ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งวัตถุธรรม ได้ขนาดนี้นี่ ไม่น้อยเลย

พ่อท่านมองค่าตั้งแต่ต้น...

ตั้งแต่ต้นมา...

ตั้งแต่พ่อท่าน คือพ่อท่านจับสูงแล้ว ก็ไล่ลงมา...

ไล่ลงมาจนกระทั่งถึงระดับล่าง

คือ นโยบายของพ่อท่านที่ประกาศธรรมะนี่คือให้จับ... ผมเข้าใจนะครับ ไม่รู้จะใช่หรือเปล่า คือจับเคร่งก่อน แล้วพ่อท่านค่อยๆปล่อยลง ในลักษณะ มันจะย้อนแย้งหรือเปล่าครับว่า มันจะไม่เดินจากขั้นที่ ๑ ขึ้นไปขั้นที่ ๒

ใช่

มันจะขั้นที่กลับขั้นที่ ๙ แล้วค่อยๆลงมาขั้นที่ ๑

ใช่

ผมว่ามันจะเกิดอัตตาหรือเปล่า ในการปฏิบัติครับ

เกิดในคนที่...

เกิดอัตตาของคนที่ เพราะว่าคนยุคนี้รู้สึกว่า ถ้าจับในลักษณะที่ว่าไป สูงปั๊บนี่

ถ้าคุณขึ้นมาอัตตาใหญ่แน่ แต่ถ้าคุณอยู่ขนาดของคุณนี่

ใช่...  ถ้าคนเขามีภูมิแล้ว  เขาจะไม่มีอัตตาอย่างที่คุณว่า  อย่าไปเดาเขา ถ้าขืนเดาเขา เขาจะเป็นอยู่ อย่างทุกวันนี้ไม่ได้

คือ ที่ ที่ผมลักษณะออกเดาๆ คือว่าเห็น เห็นมีลีลาบางอย่างในการ

มีบางคน

ในการที่ออกมานะฮะ ที่ว่าออกมา เอ๊ะ! ขนาดนี้ ไม่น่า ลีลาต่ำๆ ออกมาได้นี่

คุณจะบอกว่า ไอ้ลีลาต่ำๆนี่ คุณต้องมองดูด้วยว่า ลีลาต่ำๆ นี่ออกมาเสมอ หรือว่านานๆ มันก็แพลมที่นี่ ถ้ามันแพลมที เราจะไปถือว่าเป็นค่าจริงของเขาไม่ได้ มันเป็น error เท่านั้น เป็นค่าที่... ส่วนผลักหกตกหล่น ส่วนบกพร่อง นิดหน่อย

คือลีลาต่ำๆ ที่ผมเห็นนี่ คือว่ามันเป็นลีลา ที่อาการลักษณะอาการออกมานี่ ลักษณะของคน ที่ยังไม่พ้นนรกนะฮะ มีอาการลักษณะอาการของจิตวิญญาณอย่างนั้นออกมาเรื่อยๆๆ ให้เห็น ทั้งๆที่ตัวเอง ก็อยู่ในศีลพรหมจรรย์ชั้นสูง ไอ้อย่างนี้ มันเป็นการข้ามขั้นหรือเปล่าครับ พ่อท่าน คือไม่ได้ล้างขั้นต่ำขึ้นไป แล้วจะไปสูงนี้ ผมมันสงสัยตรงนี้นะฮะ ว่า เอ๊ะ! มันจะไปได้ยังไง ในเมื่อต้องพ้นจากการ เป็นสัตว์ มาเป็นคน มาเป็นมนุษย์ มาเป็นเทวดา

คุณเอง คุณว่าไม่ได้ล้างขั้นต่ำยังไง ก็มาเป็นภูมิสูง สมมุติว่ามาเป็นนักบวชแล้วนี่ เขาก็มาปฏิบัติ... ศีลก็มีอยู่ วินัยก็มีอยู่ชัดๆ อยู่แล้ว คุณจะบอกว่าไม่ได้ ยังไง

ใช่ครับ คือขอบข่ายประเพณี ลักษณะการปฏิบัตินี่นะฮะ การปฏิบัติรูปภายนอกนี่ เห็นว่ามี มีครบหมด ทำได้แนบเนียนหมด แต่ภายในใจนี่ มันไม่ได้ลักษณะนี้ คือ ..เว้นแต่ว่า ทำอยู่ในหมู่กลุ่มนี่ฮะ เข้าตามหมู่กลุ่ม ปฏิบัติอะไรได้เปี๊ยบ หมดทุกอย่าง ผมเห็น ถ้าอย่างให้เคร่งกว่านั้นอีก บางคนชาวอโศกไม่ทานข้าว ๑๐ วัน ไม่ทานข้าว ๓ วัน

เออ! ในด้านที่คุณเข้าใจไม่ถูกแล้ว ไม่ได้ทานข้าว ๑๐ วันนี่ ไม่ได้หมายความถึงผล

ฮะ...ผมเข้าใจครับ ไม่ใช่ ไม่ใช่หมายความถึงผล

ไอ้นั่นมันเป็นการสร้างเจโตชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงผลนะ

แล้วไม่ทานข้าว ๑๐ วัน สร้างเจโตนี่มัน...

โอ้โห! ฤาษีที่ไม่ได้เป็นโสดาเลย ก็อด อย่าว่าแต่ ๑๐ วันเลย เขาอดกันเป็นเดือนๆเลย หลายเดือนด้วย เขาก็อดได้ แต่ไม่ได้เป็นแม้แค่โสดาบัน

ครับ ผมเห็นว่าผิดทาง

ผิด

ผิดแต่เริ่มสตาร์ทแล้วนะครับ

หมายความว่ายังไง...

คือ ครับ ผิดแต่เริ่มสตาร์ทที่ว่าไปสร้างเจโตอะไรนี่ ถ้าคนเข้า...

เปล่า คุณไม่เข้าใจ การอดข้าวเพื่อสร้างเจโตนี่ เป็นเรื่องของผู้นั้น ที่ศึกษา แล้วก็มีภูมิว่า เราอดข้าวนี่ เราจะเอาความหมายอะไร เราจะปฏิบัติเพื่อความอดทน เพื่ออ่านจิตยังไง เพื่อเอาอันนี้เป็นเครื่อง... แต่เวลาปฏิบัติ เขาก็อ่านกิเลส แล้วเขาก็ทำกิเลส มีวิธีทางพุทธศาสนา หรือวิปัสสนา หรือ ว่าเรื่องที่ จะเรียนรู้แบบพุทธ มันมีอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะหาวิธีอะไรก็ตามใจ สามารถที่จะอดข้าว ให้ได้นานๆ มากๆ ดื้อๆ วิธีการอะไรของเขาต่างๆนานา ตรงๆ แล้ว เขาไม่มีวิปัสสนาภูมิเลย ไม่มีเรียนรู้เลย ไม่มีพุทธศาสนาอะไรเลย มันไม่เหมือนกัน ทำเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน เหมือนกับทุกวันนี้ เราพาทำ นี่ เอาง่ายๆ อาตมาพาดูวิดีโอ เขาหาว่าเป็นอบายมุข เป็นมหรสพ แต่อาตมา เอาเป็นสิ่งที่ประกอบในการศึกษา ที่จะสร้างภูมิสูงขึ้น มันเหมือนกันที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น เห็นไหม ฉะนั้น คนมาดูโลกๆ เขามาดูว่า ไอ้พวกนี้ มันไม่ได้สูงอะไรหรอก ตกต่ำ ตกเย็นมันก็ดูวิดีโอ กันทั้งนั้น ทั้งคืนทั้งวัดเลย อย่างนี้เป็นต้น เขาว่าได้นะ อาตมาเข้าใจเขานะ แต่ว่าเราจะอธิบายให้เขาฟัง เขาไม่รู้เรื่องแน่

แล้วก็...ลักษณะที่คนเข้าถึงสัมมานี่นะฮะ คือเข้าเริ่มต้นนี่ ขั้นพื้นฐาน แล้วนี่ แล้วเดินขึ้นไปนี่ จะมีไหม ลักษณะที่ว่าเป็นพุทธแท้ พุทธตรงนี่ จะไปอดข้าว ๑๐ วัน หรืออดข้าว ๓ วันนี่ อดเพื่ออะไรครับ

มี มี เพื่อการศึกษาของเขา เป็นบางคน บางคนก็ไม่อด อาตมาไม่เคยอดข้าวถึง ๑๐ วัน ไม่เคยอดข้าวถึง ๑๐ วัน

ภูมิ ถึงขั้นไหน ถึงกับไปนั่งอดข้าว

บอกตายตัวไม่ได้ เพราะว่าลักษณะของคนทั้ง...แกนเป็นเจโต หรือ แกนเป็นปัญญาก็ไม่รู้ แล้วเขาก็จะเอา ถนัดอะไรๆ แค่ไหน ก็ยังไม่รู้ มันบอกตายตัวไม่ได้ไอ้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ในเรื่องรายละเอียดพวกนี้ คุณอย่าพึ่งเอาความเข้าใจของคุณ ไปวัดค่าเขาเลย คุณวัดตัวเองนั่นให้ดี แล้วเรียนรู้ของตัวเอง มันจะเป็นมิเตอร์ในตัวของเรา แล้วก็...เราจะเออ! ค่อยไปอ่านคนอื่น ค่อยเข้าใจ เพราะฉะนั้น เราจะเอาไอ้สิ่งที่เป็นบัญญัติ หรือว่าเป็นความรู้ ความเข้าใจของเรา เฉยๆ ในทางภูมิธรรม ในทางความรู้ทางธรรมนี่ เอาความรู้ของตรรกะ หรือ เหตุผลนี่นะ ไปวัดๆๆๆ ได้อย่างนี้นี่ จะทำให้เราวุ่นวาย แล้วทำให้เราเสียเวลา ทำให้เราเป็นภัยแก่ตัวเองด้วย มันเป็นภัยแก่ตัวเองด้วย เพราะตัวเอง จะเข้าใจ ผิด แล้วเมื่อตัวเองเข้าใจผิด แล้วก็เลยพาเสีย

ครับ อันนี้คือ ผมรู้สึก ผมมีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วมั่นใจอย่างนี้ อย่างนี้ก็รู้สึกว่า กับหมู่กลุ่มนี่ กับหมู่กลุ่ม ผมพูดอย่างเปิดใจเลยว่า การเดินของผมนี่ การปฏิบัติธรรมของผมนี่ เดินมาในลักษณะ อย่างที่อย่างที่ผมเล่านะฮะ ค่อยๆล้างออกมาจากจากจิตที่เลวทรามต่ำช้า เป็นสัตว็นรก มีจิตที่อึดอัดขัดข้อง มีจิตที่ทำร้ายทำลายด้วยแรง ค่อยๆล้าง ไล่ๆไล่ขึ้นมา ทีนี้ การไล่ขึ้นมาของ ผมนี่ เป็นทีละจุดๆ ผมเห็นแล้วผมเข้าใจ แล้วผมมั่นใจอย่างนี้ ทีนี้ พอเห็นหมู่กลุ่ม ทั้งๆที่ผมก็รัก หมู่กลุ่มชาวอโศกนะฮะ มาทำบุญ ทำทาน เห็นผู้ใหญ่ เห็นผู้รองๆ ลงมา จนถึงเห็นฆราวาส ว่า เออ ! ปฏิบัติกันมาเป็นรูปแบบอย่างนี้ มันค้านแย้งกับจิตผมว่า เอ๊ะ! เข้ามาในวัดนี่ ทำไมถึงต้องศีล ๘ ด้วย แล้วเข้ามานี่ ทำไมต้องอดนั่น อดนี่ อดทั้งนั้น เมื่อกี้นี้พูดว่าไอติมนี่ ผมก็เลยอดไม่ได้ว่า ไอติมนี่ มันก็เป็น มันเป็นคน ซึ่งคนดีมากเลยนะ ที่ติดไอติม ให้เขาเลิกติดไอติมนี่ เป็นพระขั้นไหนแล้ว เป็นบุคคลสูงส่งขั้นไหน ทำไมเราถึงมาคิด ไอ้บาปเล็กบาปน้อยขนาดนี้ ให้เขาเจริญขึ้นมาให้ ให้ถึงบาปใหญ่ก่อน หรือบาปเล็กก็ช่างเขา สอนให้เขารู้จักบาปใหญ่ก่อน มันจะดีกว่าที่พวกเรา คลุมกันหมด ทุกอย่างเลยนี่ มันเลย ไม่รู้สูง รู้ต่ำ รู้กลาง รู้ต้น...

คุณพูดนี่ผิดหมด คุณพูดนี่ผิดหมด อาตมาไม่ได้สอนอย่างคุณพูดเลย แล้วอาตมาก็ไม่ได้ทำ อย่างที่คุณพูดเลย

ครับ ครับ ใช่สิฮะ ไม่ได้ทำอย่างผมพูดเลย ย้อนแย้งกับผมที่ผมพูดนี่ พูดเองแหละ

นั่นแหละ คุณเข้าใจไม่ถูกเอง

แล้วไอ้ความไม่เข้าใจไม่ถูก ผมนี่ ผมเข้าใจว่า ผมนี่เข้าใจถูก ผมก็เลยต้องถาม

นั่นแหละ เอ้า ! ตกลง อาตมาจะอธิบายให้คุณฟัง ที่อาตมาห้ามไม่ให้ ไอติมนี่นะ คนในนี้งานในนี้ เป็นงานในๆ ถือว่างานในวัดน่ะ ทีนี้คนที่มานี่ มันกินไอติม หรือไม่กินไอติมนี่ มันเป็นพวกเรา เอามานะ มันเป็นพวกเราเอามา เมื่อพวกเราเอามา เราก็พยายามเอามาอย่างอนุโลมแล้ว พอสมควร อาตมาว่าไอติม มันไม่มีอะไรมากมายเลย  มันเรื่องของน้ำแข็ง แล้วมันก็เรื่องของนมของเนย ของ... ไอ้กะทิอะไรๆต่างๆนานา ซึ่งมันไม่ใช่สารัตถะอะไรของร่างกายชีวิต เท่าไหร่เลย เดี๋ยวจะพาล อ้วนเอา อ้วนเอา แล้วไม่เข้าเรื่องเข้าราวเปล่าๆ เพราะว่าน้ำตาลกับไข่ หรือนม หรือว่าอะไร ไอ้พวก คาร์โบไฮเดรท อะไรพวกนี้มากมายเปล่าๆ แล้วมันก็มีรสชาติสูง ปรุงแต่งสูง ซึ่งอาตมาเห็นว่า มันเป็นเรื่องปรุงแต่งสูง

พวกเรามาถึงขั้นวันนี้นี่นะ มันวันงานกินข้าวหาดกันนี่ ไม่ใช่เราไม่มีระดับปรุงแต่ง เรามีระดับปรุงแต่ง อยู่ไม่ใช่น้อย อาตมาก็จี้ในบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเราเอง เราจะทำอาหาร หรือทำของกินของใช้ ของอะไร ของอาหารขนมอะไร ต่างๆก็ตาม เราทำได้หลายอย่างสาระพัด ไอ้ติมนี่ เราไม่ได้ทำเองเลย ไปสั่ง ไปซื้อมา ไปให้เขาขูดมาดื้อๆ นี่ เสร็จแล้วก็มาเอาเงิน มาเอาเงินเปล่าๆน่ะ แล้วมันก็จัดจ้าน อย่างที่อาตมาว่า อาตมาจะมองอะไรก็ตามแต่เถอะ ในจุดที่ว่า มีงาน หรือมีอะไรของเรานี่ จับจุดไหน ที่เด่นๆ สักเรื่องสักตัวอะไรนี่ เพื่อให้เป็นโจทก์ เป็นตัวอย่างของวาระนั้น ช่วงนั้น กิจนั้น อาตมาก็จับ แล้วก็เอามาใช้

ทีนี้ ใครเห็นตาม ไม่คิดมาก ก็ปฏิบัติประพฤติน่ะ อาตมาไม่ได้ห้ามนะ ไอติมนี่ อาตมาไม่ได้ห้าม

อ่านต่อ หน้าถัดไป

ตอบสารพันปัญหาครั้งที่ ๒ เนื่องในการกินข้าวหาด / FILE:1439A