เอาให้แน่ ทรัพย์แท้ของมนุษย์ ตอน ๑
ธรรมก่อนฉัน โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๔ ณ พุทธสถานสันติอโศก
หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑

อย่างคุณจำลองนี่นะ เป็นนายทหารได้มีบำนาญ เสร็จแล้วก็มาสมัครผู้ว่าฯ ลาออกจากตำแหน่งยศ นายพลตรี มาทำงานผู้ว่าฯ พอไปสมัครผู้ว่าฯ ได้เป็นผู้ว่าฯ ได้ยศใช่ไหม ได้ตำแหน่ง แต่คุณจำลอง ไม่ได้เอายศนี้มาหาเงิน รายได้ของอัตราผู้ว่าฯ ไม่เอาเลย ไม่เอามาเป็นของตัว เอาไปใช้อื่น ที่จะเป็น ประโยชน์ สะพัดต่อไปในสังคมอะไรอื่น โดยไม่เอามาใช้เป็นของตัว ตามที่ผู้ว่าฯได้ ตั้งปณิธาณ ไว้แล้ว ก็ทำงานอย่างนั้นจริง ก็ใช้แต่เงินบำนาญของยศเดิม กินบุญเก่า ว่าอย่างนั้นเถอะ กิน พออาศัยชีวิต เลี้ยงชีวิตได้ เอาแต่ใช้แต่บำนาญ ค่ารายได้อันนี้ ไม่ใช้เอามาเป็นประโยชน์อื่น อย่างนี้น่ะ มีอำนาจจะได้ลาภมา แล้วก็ได้ยศมา ก็ได้ลาภต่ออีก ไม่เอา เห็นไหม ดีไม่ดีนี่ ยศ อำนาจที่สูงนี่ อย่าว่าแต่ได้ไอ้สิ่งที่มันได้ส่วนตรงนี่นะ ด้วยที่เขาตั้งให้ตามสุจริตธรรม ยังไม่พอ เอายศไปเบ่งอันนั้น เอายศไปหากินเพิ่มอันนี้ มีใช่ไหม มีใช่ไหม ยังมีกะเรี่ย กะราดใช่ไหม โอ้! ยังมีอีก ไม่ใช่กะเรี่ยกะราดหรอก เป็นหลักเป็นฐาน เบิกบานอีกตั้งหลายนัย อาตมาไม่เก่ง เพราะชาตินี้ ไม่เคยรับราชการ ไม่เคยไปมียศ ไม่เคยไปมีชั้น ไม่เคยไปเอาอำนาจเหล่านี้ ไปรับรายได้อะไร

แม้แต่อาตมา มาเป็นพระ มาเป็นภิกษุ จนกระทั่งเลื่อนชั้น มาเป็นสมณะแล้ว ถือว่าเลื่อนชั้นน่ะนี่ ก็ไม่เคย ไปเอายศชั้นที่ได้เป็นพระ หรือเป็นภิกษุ หรือเป็นสมณะนี่มาหากินเลย ไม่เคยเทศน์ เอาสตางค์ ไม่เคยไปสวด ไปทำบุญ บ้านนั้น ไปเทศน์บ้านนี้ ไปสวดงานบ้านโน้น งานนี้ งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ งานโน่น งานนี่ อาตมาไม่ไปแต่งาน แต่งงานเท่านั้น ในชีวิตนี้ เอ้า! งานโน่น งานนี่ ไปช่วยเขา ไปทำให้เขา ไม่เคยไปรับสินจ้างมาเลยซักบาท นี่เห็นไหม มีตำแหน่งนะยศนะ อาตมาไม่เคย เอาไปหากินเลย ซักบาทเดียว ไม่เคยไปเอาสินจ้างรางวัลอะไร จากค่าที่ไปทำงานอะไร ให้เขานี่มา ไม่เคยไปรับเอาอะไรแลกเปลี่ยน

อาตมาถือว่า อาชีพสูงสุดพ้นมิจฉาชีพ ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา คือ ไม่ทำงาน แล้วก็แลกลาภ แลกค่าแรง เอาลาภแลกลาภ เอาแรงงานไปแลกเอาลาภมา ไม่เอา เสียเหลี่ยมหมด ทำงานฟรี พ้นมิจฉาชีพ ระดับที่ ๕ ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานฟรี ไม่ทำงานเอาสตางค์ใคร นี่ลึกซึ้ง ในอโศก นี่ เราเท่านั้น สอนมิจฉาชีพถึง ๕ ระดับนี่ จนกระทั่งทำงานฟรีนี่ มีอโศก แล้วพิสูจน์ได้ แม้กระทั่งฆราวาส แม้เป็นภิกษุ เป็นสมณะ ไม่มีปัญหา เราพิสูจน์ได้ นี่ อยู่ในนี้ เรามีแม้แต่ฆราวาส เรามาทำงาน ไม่เอาเงินแลกเปลี่ยนอะไร ให้รู้จักการเสียสละ การจาคะ การบริจาค การทานนี่แหละ เป็นคุณค่าของมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่ไปเอามาแล้วเป็นคุณค่า ฉันประสบผลสำเร็จ เพราะว่า ฉันมีรายได้สูง ค่าตัวฉันแพง นั่นแหละบาป หรือหนี้ ยิ่งไปตั้งราคาตัวเอง หรือคนเขาสมยอม ให้ราคาแพงๆ โอ้ย! คนนี้มันเก่งนะ ต้องจ้างมันไปนี่ประเมินประมูลตัว เงินเดือน ล้านหนึ่ง มีนะ เงินเดือน ล้าน สองล้าน โอ้โฮ! นั่นแหละยิ่งเป็นหนี้

สมมุติว่าเรามีค่าตัวถึงล้าน สองล้าน มีคุณค่าถึงอย่างนั้นจริงๆเลยนะ ถ้ามาเป็นคนอโศกแล้ว เรายิ่งไม่เอาล้าน สองล้านเลย เรายิ่งจะมีค่ามากไหม เพราะเราไม่เอาเลย ยิ่งเขาให้เลยนะ สมมุติเป็นค่าจริงเลยนะ แหม! อัตรา ค่าตัวเรานี่ มันถึงเดือนละสองล้านจริงๆน่ะนะ แล้วเรา ก็ไม่เอาเลย ให้ไปเลย แก่สังคม แก่มนุษยชาติ ไม่เอาสองล้าน เราก็ยิ่งได้นะซี ดูตัวได้ ตัวได้คือ ตัวไม่เอานี่ แหม! มันไม่รู้จะใช้ภาษาไทยว่าอย่างไรนะ ตัวได้ คือตัวไม่เอา ฟังได้ก็ฟังนะ ฟังไม่ได้ ก็หูหักไปก่อนก็แล้วกัน ตัวได้คือตัวไม่เอา นี่แหละคือตัวได้ ที่แท้จริงนะ จาคะ ตัวนี้แหละ คือทรัพย์

ทรัพย์คือจาคะ เข้าใจชัดขึ้นไหม ทรัพย์คือทาน ทรัพย์คือให้ ทรัพย์คือไม่เอา ทรัพย์คือไม่ได้ นี่แหละคือได้ แหม! ไม่รู้จะพูดอย่างไร วนหรือเปล่า ฟังแล้วเมาไหม นี่แหละคือ คนเราเกิดมาให้ มันมีทรัพย์อันนี้ สั่งสมทรัพย์อันนี้ซี พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า นี่คือทรัพย์นะ ทรัพย์ของมนุษย์ ไม่ใช่อาตมาพูดเอาเองนะ มีหลักฐานพระไตรปิฎกยืนยันชัดเจน แต่คนทุกวันนี้ มีแต่จะเอา มอมเมา โฆษณา propaganda กัน โอ้! หาวิธีการกัน ทำอย่างใด อั๊วจะได้มากๆ อั๊วจะได้เล่ห์เหลี่ยม จนเขาจำนน จะจ้างไปที่นี่ ให้เท่าไหร่ล่ะ งานนี้ให้เท่าไหร่ ยิ่งเดี๋ยวนี้ ธุรกิจบันเทิงมันแพง ออกงานนี่ ๕ แสน ไม่เอา ๕ แสน ฉันต้องล้านกว่า ไมเคิ้ลแจ๊คสัน ไปออกทีหนึ่งต้องสองร้อยล้าน ไปจ้างไปคอนเสริทมาที ต้องสองร้อยล้าน ครั้งหนึ่งก็เขาจ้างกันจริงๆที่โน่น เขาจ้างกันจริงๆ อัตราพวกนี้เขาหาเงินทอง รายได้ มาได้จริงๆ นายจอสโฮแมนชกทีหนึ่ง จะต้องได้ห้าร้อยล้าน ค่าตัวใช่ไหม เดี๋ยวนี้ พวกธุรกิจ ทั้งหลายแหล่ แล้วเขาว่าเขาได้ เขาได้เงินมามากๆ มันหมดแล้ว ค่าอะไรๆ ของตัวเอง จนกระทั่ง เกินเหลือ เฟ้อ เป็นหนี้ ได้มามากๆน่ะ เป็นหนี้หมดแล้ว แต่ทางโลกเขานึกว่า นั่นเป็นผลสำเร็จ อันยิ่งใหญ่ จะเอาแบบตาม จะเอาอย่างตามกัน เดี๋ยวนี้ด้านธุรกิจบันเทิงนี่ เป็นตัวที่โอ้โฮ! มันค่าตัว มันสูงเหมือนกัน ไปกระโดดโลดเต้นเยอะแยะ ไปเป็นดาราหนัง เล่นหนังเรื่องหนึ่งเอาแพงๆ พวกทำงานอะไรๆ พวกนี้นี่ จะก่อจะสร้างอะไรบ้างนี่ ยังน้อยกว่าเลย จะเห็นได้เลยว่า กิเลสทุกวันนี้ มันกลับตาลปัตรกันไปหมดแล้ว ไปเห็นสิ่งที่ไร้ค่า เป็นสิ่งที่ให้ราคาสูงเข้าไปอีก ใหญ่เลย ส่วนคนที่ ทำสิ่งที่จริง ที่เป็นเนื้อหาสาระแก่นสาร สร้างข้าว หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน เหงื่อไหล ไคลย้อย ถูก ขายให้ถูกๆ ต้องได้น้อยๆ เขาก็ยิ่งได้บุญ ชาวไร่ชาวนาก็ยิ่งได้บุญ เพราะให้เขาถูก ให้ถูกเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้บุญเท่านั้น พวกนี้ยิ่งได้บาปเท่านั้น

พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า พวกเต้นกิน รำกิน พวกนักร้องนักรำ นี่ ที่อาตมาเคยเอามาลง เอาจากพระสูตรมาลง พวกนี้ตกนรก พวกร้องรำ ทำเพลง พวกร้องกิน รำกินนี่ตกนรก ประเดี๋ยว ไอ้ศิลปิน มันไม่ร้องเพลงให้เรา เอาเถอะ ไม่ร้องก็ไม่ร้อง ไม่ว่าอะไร ไปว่ามันนรก ก็มันนรก พระพุทธเจ้า ตรัสนี่ เป็นนรกขุมปหาสะ ชื่อว่าปหาสะ แปลว่ารื่นเริง ขุมรื่นเริง หลงรื่น เริง หลงในความรื่นเริง ปหาสะ นรกขุมปหาสะ ใช้ภาษา แต่ที่จริงก็คือมา หลงใหลเรื่องเหล่านี้งมงาย มันไม่รู้เรื่องเหล่านี้ มันเป็นความระเริงชนิดหนึ่ง ซึ่งตัวเอง เราความระเริงนี้ แหม! ฉันให้ความบันเทิง เริงรมย์แก่ประชาชนนี่คิด ค่าแพงๆ ประชาชนให้ความบันเทิงเริงรมย์ แล้วไปบำเรอด้วยนะ มอมเมาด้วย ทุกวันนี้ ยิ่งความบันเทิงเริงรมย์นี่ ยิ่งฉาบฉวย ยิ่งไร้ศิลป ไร้เนื้อหาลงทุกที แล้วก็จัดจ้าน ไปในการปลุกเร้า ให้มันคึกคนอง ให้มันจัดจ้าน อะไรบ้าๆ บอๆ อะไรไป เดี๋ยวนี้น่ะ จนเดี๋ยวนี้ ดารานักร้อง กำลังนำเอก

ขณะนี้ อาตมาเห็นแล้ว โอ้โฮ! ไปกันใหญ่เลย เด็กๆเล็กๆหนุ่มๆ สาวๆ ไปกันใหญ่เลย นี่สังคมไทย ก็กำลังจะบ้าบอ ไปเหมือนกับอย่างเมืองนอกเขา เหมือนไมเคิ้ลแจ๊คสัน เหมือนอะไรต่ออะไร ไปนี่นะ ของไทยก็กำลังตามอย่าง ในวงการธุรกิจพวกนี้ ก็กำลังบีบคั้น กำลังที่จะแข่งขันกัน เพื่อที่จะมอม เอากิเลส นี่ยุยั่วยุคนให้มันติด ไอ้คนที่อ่อนเยาว์ อ่อนหัด คนที่ไม่มีภูมิปัญญาสูง ไม่มีสัจธรรมก็ ติดไปหมดน่ะ นี่ติดงอแง งอแง กระจอ งอแง ไม่มีอะไรนะเวิบวาบ เปี้ยวป้าวอะไร โอ้โฮ! กระรุ่ง กระริ่ง ทั้งแต่งเนื้อแต่งตัว ทั้งสีสัน สีแสงอะไร บ้าๆบวมๆ อะไรไปกันใหญ่เลย เดี๋ยวนี้น่ะ อีกหน่อย ก็คนบ้าเดินเต็มถนน คนดีต้องหลบ ต้องเดินหลบ เพราะชนคนบ้าไม่ไหว มันก็ไปกันนั่นแหละ เขาก็มองว่า เราบ้านะ เขานะคือพวกคนดี เราเป็นคนบ้าไปอีกอย่างหนึ่งเลย เขาก็มองไป กันคน ละอัน กันไปนี่ เดี๋ยวนี้ มันกำลังไปกันใหญ่ เรื่องธุรกิจ เรื่องนี่ เขาไม่รู้จัก เขาได้แต่โลภโมโทสันเอา แล้วก็ไปบำเรอ บำรุง บำเรอระเริงอยู่ในเรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามารมณ์ทั้งนั้นแหละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี่เป็นกามารมณ์ ในสี แสง เสียง กลิ่น รส สัมผัส ต่างๆนานา ลีลาอะไร ต่างๆนานา อยู่อย่างนี้ ร้อนเร่าวุ่นวาย ไม่เกิดสภาพที่จะได้สำนึก หรือว่า มีแต่เสพรส ไม่ได้เกิดสำนึก ไม่ได้เกิดการฉุกคิด หรือว่าเกิดการให้ความคิดที่ดี ความประทับใจที่ดี ความสำนึกที่ดีอะไร ไม่ได้เกิด สิ่งเหล่านี้เลย มี ไม่ใช่เป็นเรื่องของจาคะ เป็นเรื่องของการกอบโกย เป็นธุรกิจ เป็นบาป เป็นการแย่งชิง เอาเปรียบเอารัด

เพราะฉะนั้น ลักษณะอันนี้ อาตมาสรุปลงในคำว่าธุรกิจ คำว่าธุรกิจ คนใดที่ทำอะไรเป็นธุรกิจแล้ว เสร็จ ซวยเมื่อนั้น คำว่าธุรกิจนี่เป็นภาษาโลกนะ เป็นภาษาสังคม ธุรกิจนี่คือ การจะต้องทำกิจการนี้ ให้ได้เงิน ได้ทองมากๆ จะต้องให้เจริญ นำหน้าเขา จะต้องได้ ปีนี้ได้ ๕ ร้อยล้าน ปีหน้าจะต้อง ๗ ร้อย หรือ พันล้าน ปีหน้าต้องกว่าพันล้าน ธุรกิจเขาจะต้องเป็นอย่างนี้ ต้องหาวิธี คนอื่นๆ จะต้อง อยู่ใต้อาณัติ หรือคนอื่นจะต้องวิ่งไม่ทันฉันตลอดเวลา เป็นการแข่งขันลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หาประดา อะไรต่ออะไร ที่จะมาซับซ้อน องค์ประกอบที่จะต้องได้เปรียบเขาทั้งนั้น

แต่เดิมนั้น การทำงานก็คือการสร้างสรร มนุษย์รู้ดีร่วมกันทำงาน ช่วยเหลือเฟือฟายกัน ทำงาน ลงแขก ลงอะไรนี่ เป็นวัฒนธรรมเดิม ดี รื่นเริง บันเทิง มีกำลัง มีพลังรวม สร้างสรรกันดี มีสามัคคีดี เบิกบานร่าเริง เป็นมิตร สหาย เป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ สังคมก็อยู่สงบ การงาน ธุรกิจนี่แหละ ทำไร่ ทำนา ทำสวน ทำอุตสาหกรรมอะไรก็แล้วแต่ ขอแรงกันหน่อย ช่วยเหลือกัน เฟือฟายกัน มีน้ำจิต น้ำใจ พัฒนากัน สร้างสรรกัน บันเทิง เริงรมย์ มันเหนื่อยหน่อยก็เอา หาเวลา รีแลค (relax) พักผ่อน มันทำอันนี้จำเจ ซ้ำซากนั้น ก็เบื่อ ก็เอามาเต้นแร้ง เต้นกา ร้องรำทำเพลง ก็ไม่มีการซื้อหา ร้องรำทำเพลงกัน จะมีอะไรก็ร้องไปรำไป พอคลี่คลาย รีแลค (relax) พักผ่อน เปลี่ยนพฤติกรรมบ้าง นิดหน่อยสบายกันไป สังคมเป็นอย่างนี้มาแต่เดิม เราพอตาม พอคิดถึงตาม ได้นะ พอย้อนตามได้ พอต่อมา ต่อมาคำว่า ธุรกิจเข้าไป การทำงานก็นี่ของกูนะ นี่ของกูนะ ชักจะเป็นของกู ชักจะเป็น บริษัทของกู ชักจะเป็นกิจของกู ชักจะต้องหาทางเอาเปรียบเอารัด คนงาน ก็จะต้องมา ทำงานให้กู ถ้าขืนแบ่งแยกให้ช่วยคนนั้น คนนั้นก็มีผลผลิตสูง ไอ้คนนั้นมันก็ได้ ไม่ได้ เอาไป ต้องจ้างเอาไป ต้องซื้อ ต้องอะไรต่ออะไร ต้องมีค่าแรง ค่าตัว หนักเข้าก็เลยเป็น วงวาน เครือบริษัทธุรกิจ เป็นกลุ่ม เป็นหมู่ แย่งชิงกันด้วย แข่งขันกัน เอาชนะคะคานก็เครียดนะซี คนก็เครียด ก็ทุกข์น่ะซี ก็แย่งชิงกันด้วยอำนาจของรากเง่าของ โลภ โกรธ หลงนี่เอง โลภะ โทสะ โมหะนี่เอง พยาบาท อาฆาต แข่งขัน เอาชนะคะคานอิจฉากัน หนักเข้าธุรกิจ การงานหลายๆแหล่ พอเอาคำว่าธุรกิจ พยายามนะ อาตมาไม่ได้นิยามคำว่า ธุรกิจกระจายความมาก คุณฟังให้ดีๆ พอระบบธุรกิจ เข้าไปแข่งขัน แก่งแย่ง เอาชนะคะคาน จะต้องเอาเปรียบ เอารัด เป็นใหญ่ ในกิจการ ก็แล้วกัน กิจการข้าต้องเป็นใหญ่ ต้องได้เปรียบ ต้องชนะ ต้องเบิ้มนี่ วงการธุรกิจทุกวันนี้เห็นไหม เกิดการแย่งชิงอย่างนี้ ขึ้นมา เจ๊งก็เลยไม่มี สุขเลยไม่มี ทุกข์ก็หาทางระบาย ไปไหนล่ะ ไปกินข้าว เคล้าเสียงเพลง ไปดูกีฬา แต่ก่อนก็ไปดูกีฬาไม่เสียสตางค์ ไปรีแลค (relax) ไปพักผ่อน อย่างนั้น

ทีนี้ ต่อมา ธุรกิจเข้าไปในการกีฬา ธุรกิจเข้าไปในการร้องรำทำเพลง ธุรกิจก็เป็นธุรกิจขึ้นมา ซ้อนอยู่ในตัว ตัวนั้นจะเป็นตัวคลี่คลายการงาน การงานทุกวันนี้ อย่างไร มันก็ไม่คลี่คลายละ มันเครียด มันแก่งแย่ง แก่งแย่งกันแน่นอนแล้ว แม้แต่วงการที่จะคลี่คลายอารมณ์ กีฬาบ้าง ร้องรำทำเพลงบ้าง ธุรกิจก็เขาไปอยู่ในไอ้นั่นอีกแล้ว ที่นั่นก็เครียดอีก แข่งขันกันอีก แข่งกันอีก ไอ้นี่เข้าไป ก็ต้องซื้อหาแพงซิตานี้ หนอย การงาน ข้าหาเงินก็แทบแย่ จะไป รีแลค จะไปกีฬาบ้าง ดูไหมล่ะ ชิงแชมป์เปี้ยนโลกนี่บัตรพันบาท โอ้โฮ! จะไปรีแลค (relax) ทีก็ต้องเป็นพันโว้ย ไปไนท์คลับที ไปคลับ จ่ายสบั้นเลย หมด ไปฟังเพลงคอนเสริททีหมด แล้วยิ่งเจ้ายิ่งรวยๆ ต้องขายบัตร โต๊ะสำคัญ ให้ด้วย ถูกรีดซ้อนรีด คุณรีดมา ฉันรีดต่อ แล้วมันก็รีดอย่างหนักด้วย ธุรกิจเดี๋ยวนี้ กำลังเห็นไหม แต่ก่อนนี้ ราคาก็ถูก ร้องรำทำเพลงกิน ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก นักมวย ชกก็ได้ทีละ ๕๐ บาท ๖๐ บาท เดี๋ยวนี้ชกทีหนึ่ง เป็นล้าน หลายล้าน ยิ่งมีคนนักจัดธุรกิจ มีโปรโมเตอร์เข้ามาจัดทีหนึ่ง อย่างดอนคิง จัดทีหนึ่ง โอ้โฮ! ไม่รู้กี่พันล้าน หมื่นล้าน จัดทีหนึ่ง จ่ายแต่ค่านักมวยทีหนึ่ง ก็เองเอาไปห้าร้อยล้าน นอกนั้นข้า เรื่องเงินแกไม่เกี่ยว ค่าตัวเอ็ง เป็นชกก็แล้วกัน เอ็งชกให้ชนะก็ แล้วกัน ห้าร้อยล้าน จ่ายเอง นอกนั้นข้าจัดการเอง เป็นธุรกิจ โปรโมเตอร์เหมา ร่ำรวย จนผมชี้ หมดแล้ว นี้ดอนคิงน่ะ เคยเห็นผมของดอนคิงไหมล่ะ ผมมันชี้อย่างนี้ ร่ำรวยไปใหญ่โต อย่างนี้เป็นต้น ก็ทำกันไป เป็นธุรกิจหมด การเพลง การดนตรีอะไร เดี๋ยวนี้เพลงก็เป็นธุรกิจ แข่งกันไม่รู้กี่ค่าย ตอนนี้ จะฆ่ากันตาย ฟ้องกันยับเลย

คำว่าธุรกิจ เข้าไปแล้วไม่มีทางรีแลคแล้วเดี๋ยวนี้ อีกต่อไปพวกนี้จะต้อง มารีแลคที่อโศก เพราะไปเที่ยว หาดอโศกก็ฟรี วันกินข้าวหาดก็กินฟรี ไปฟังเพลง ก็ฟังเพลงฟรี เพราะมีคอนเสริตฟรี เราร้องให้ฟังฟรี กีฬาของเราก็มี กีฬาดีๆ ฟรี ช่วยกันขนดิน ขนหินอะไร กีฬาของเรา มีบายโปรดัก มีผลพลอยได้นะ ไม่ใช่กีฬาเสียแรงงานเปล่าๆ ฟรี บันเทิงเริงรมย์ได้ เราจะบันเทิงเริงรมย์ กับการทำงาน ก็ทำได้ แบกหินไป ก็เฮละโล ร้องเพลงก็ยังได้เลย มันอยู่ที่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มันบันเทิง มันยินดี อันนี้เรารู้ว่า มันมีคุณค่า เราก็ทำด้วยความเบิกบานใจ มันก็เป็นสุขแล้ว มันก็ได้รีแลค ในตัวแล้ว ไม่จำเป็น จะต้องไปเสียเวลาไปหาเอาตาม ต้องไปตีกอล์ฟให้มันแพง เดี๋ยวนี้ ต้องไปตีกอล์ฟ มันเป็นกีฬา รีแลคที่ไหนได้ ถูกชาร์ท ไปตั้งจมหูเลย อะไรก็แล้วแต่เหอะ มันเข้าไปในอย่างนั้นน่ะ คุณฟังแล้วมีปฏิภาณ ก็ฟังไปให้ดีๆ เสร็จแล้วเสียหายหมด การจ่ายไป จ่ายมา อย่างนี้ เขาถือว่าเป็นระบบของเศรษฐกิจ มันไม่ใช่จาคะนะ มันเป็นระบบวิธี มันเป็นกลไก มันเป็นวิธีการ มันเป็นตัวเชิงกลของโลกที่เขาจัดแจง เพื่อเอาเปรียบ เสียเปรียบกันอยู่ในวงการ ผู้ใดคิดเชิงกล ที่เอาเปรียบได้มาก ก็ดูดเอาไป รีดเอาไป คนจำนน ก็ยอมจ่าย ต้องไปเสีย ค่าเป็นสมาชิก สนามกอล์ฟนี้ ต้องจ่ายไปห้าแสน เวลาไปตีก็ต้องเสียค่าจ่ายอีกเป็นรายเดือน เป็นรายวัน ฉันมีจ่ายก็แล้วกัน แล้วก็โปรปะกันดาด้วยจิตวิทยา นี่เห็นไหม คนชั้นสูง คนร่ำรวย คนธรรมดา ไม่ได้ไปตีหรอกสนามกอล์ฟนี้ ต้องคนในฐานะนี้ จึงจะเข้าไปเป็นสมาชิก กับสนามกอล์ฟนี้ได้ จิตวิทยาหลอกถ่ายเท เป็นระบบเชิงกลที่ล้วงกระเป๋าออกไป มันไม่ใช่จาคะ แล้วก็ไม่ถึงมือคนจน ก็บอกนั่นอย่างไร คนจนไปเป็นคนแบกกระเป๋า ให้ได้นิดๆ หน่อยๆ ไอ้นั่น มันเศษกากเล็กๆน้อยๆ เขาแบ่งมา ไอ้จริงๆ ไอ้ตัวหลักน่ะ มันเอาไปใส่ถุง ใส่ย่ามมากมาย มันเป็นการใช้ วิธีการเชิงกล ที่จะถ่ายเทกระเป๋ากันเท่านั้น พวกนี้มันเป็นองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ มันไม่ได้ไปถึงมือ คนจนด้วยกันจริงๆ มันไม่ได้สะพัด มันไม่ได้กระจาย แล้วเขาก็หลงว่า นี่เป็นการ สร้างงาน เป็นการกระจายงานให้มีเงิน

แต่ผลที่มอมเมา วิธีการ เชิงกลอะไรต่างๆ นานา เกิดขึ้นในสังคม ที่เรียกว่า สังขารธรรมร้ายแรงนี้น่ะ มีมากกว่า ที่ได้กระจายเงิน เราก็ทำงาน เราก็กระจายเงิน เราก็พยายามที่จะให้คนมาทำงาน ที่ไม่ไป รีดนาทาเร้น เอาเงินใคร ทุกคนหัดจน แล้วเห็นความจน เป็นความประเสริฐ อย่าไปเห็นความร่ำรวย เป็น ความประเสริฐ ความจนเป็นความประเสริฐ ผู้ที่ยิ่งจาคะยิ่งให้ มันก็ยิ่งไม่มีใครจะมาเถียง แต่คุณไม่มีนี่แหละ คุณอยู่อย่างภาคภูมิ คุณอยู่อย่างไม่ไร้มิตร คุณอยู่อย่าง มีความเคารพด้วย ไม่มีเงินสักบาท ถ้าอาตมามีเงิน คุณจะกราบไหม ตอนนี้ อาตมามี ๑๐ ล้าน จะกราบไหม เลิกกราบได้แล้ว อาตมาก็คิดว่า พวกคุณต้องเลิกกราบกันเป็นแถบๆเลย เดี๋ยวนี้พระโพธิรักษ์มี ๑๐ ล้านแล้ว เหนาๆะ ฝากไว้ แยกบัญชีไว้ ไม่ให้คนรู้ บัญชีละห้าร้อย แต่เสร็จรวมแล้วมีตั้ง ๑๐ หรือ ๑๐๐ ล้าน ยิ่งหลายล้านเท่าไหร่ๆ คุณยิ่งหมดศรัทธาเท่านั้นเชียวนะ

ถ้าอาตมาไม่มี ไม่มีๆๆๆๆ จน ไม่มีแม้แต่เป็นส่วนตัวสักบาทเดียว ให้มันแน่จริงๆ อย่างที่คุณกราบ คนไม่มีเงินนี่ มันประหลาดนะ แต่คุณไปกราบคนที่มีเงิน พันล้าน ร้อยล้าน จะประหลาดอะไร เต็มบ้านเต็มเมือง มันไปกราบกันประหลกๆ ไปกราบคนมีเงินใช่ไหม บูชาเงิน มันจะไปประหลาด อะไร แต่คนมากราบคนไม่มีเงินนี่ซี มันประหลาดนะ ไปกราบอะไรวะ เงินมันก็ไม่มีซักบาท นอกจาก ไม่ให้เงินซักบาทแล้ว พาคุณมาจนอีกด้วย เฮ้ย มันอะไรกันว๊ะ ไปกราบคนที่จะพามาจนด้วย มาพาให้ ไม่โลภโมโทสัน จะให้มาเอาออกๆๆๆๆๆ เราก็จนลงน่ะซี จนไม่มีปิดบัง สอนให้คุณ มาหัดจน ไม่ได้มาสอนให้โลภโมโทสันร่ำรวย แต่คุณยิ่งจน นั่นแหละ คุณยิ่งไม่จนใจ คุณยิ่ง ไม่จนเพื่อนจนมิตร คุณยิ่งจะมาก มีญาติธรรม มีมิตรสหายที่ไว้ใจกัน ที่อบอุ่นด้วยกัน เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน เป็นวัฒนธรรมที่ดี เป็นจารีตประเพณีที่ ดีอยู่ด้วยกันอย่างนี้แหละ เราพิสูจน์สิ่งนี้กัน นี่เป็นทฤษฏีของพระพุทธเจ้านะ เราพิสูจน์ความจริงอันนี้กันให้ได้

เพราะฉะนั้น จาคะนี่เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่เป็นทรัพย์ มนุษย์จะต้องจาคะให้ได้ หมดเนื้อ หมดตัว หมดตัวหมดตนโน่นแหละ แต่ก่อนจะหมดเนื้อหมดตัวน่ะ อย่าเพิ่งไป นี่ก็ไม่ใช่เรา หนังก็ไม่ใช่เรา เนื้อก็ไม่ใช่เรา ต้องมาพิจารณา ไม่ติดตัวติดตนอันนี้ อย่าเพิ่งเลย ไอ้เงินไอ้ทอง ไอ้เบี้ย ไอ้บาทน่ะ เอาออกจากตัวก่อน ไอ้เบี้ย ไอ้บาท เอาออกจากตัว มันยังไม่ตายหรอก จะไปขอแขน ข้างหนึ่งนี่ จะได้ไหมเล่าว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนน่ะ ตัด ขอแขนข้างหนึ่งเฮอะ ไอ้นี่อย่าไปเพิ่งพูด ขันธ์ ๕ นี่ มันระดับพระอนาคามี ไม่ติดทรัพย์ศฤงคาร ไม่ติดวัตถุสมบัติ ไม่ติดบ้านช่องเรือนชานแล้ว ฐานมันอนาคามีโน่น ค่อยมาพิจารณาว่านี่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เออ ทิ้งไอ้นั่นได้แล้ว ก็มีอยู่ มีคนเกื้อกูล มีหมุนเวียน เป็นปฏิคาหก ให้คนอื่นเขาเป็นทายกเลี้ยงดูได้แล้ว ค่อยมาวางใจตัวนี้ ถึงวางกายขันธ์ วางขันธ์ ๕ เอ้า คุณมาตัดเอาแขนไปข้างหนึ่ง อาตมาปล่อยตัวตนแล้ว หนักเข้า ก็มาตัดเอาคอไปเลย มันไม่ต้องไปตัดหรอก มันไม่ต้องให้ใครหรอก ไอ้นี่ใจในใจนี่ เป็นตัวนามธรรม ลึกซึ้งชั้นสูง การวางขันธ์ ๕ นี่ ไม่ใช่วางชั้นสูงอะไรหรอกนี่ ยังเป็นแท่ง เป็นก้อนอยู่เลยนี่ ดูนี่ ทองเท่าหนวดกุ้ง ยังนอนสะดุ้งจนเรือนไหว แล้วมีทองเท่าหัว แล้วจะทำอย่างไรเล่า บ้านพังพอดี กลัวทองหาย เพราะทองมันก้อนเท่าหัว มีแค่เท่าหนวดกุ้ง มันยังนอนสะดุ้งจนเรือนไหว กลัวคน จะมาปล้น มาจี้ แล้วถ้าเป็นทองเท่าหัว เป็นอย่างไรล่ะ ไม่ต้องนอนกันพอดี ไม่ใช่เรือนไหวหรอก กระโดดอยู่ในเรือนนั่นแหละ กลัวคนจะมาปล้น ร้องว๊ากๆๆๆ อยู่ในบ้านนั่นแหละ ใช่ไหม

นั่นแหละ สละให้ได้ก่อนเถอะ วัตถุสมบัติข้าวของทรัพย์ศฤงคาร แล้วมีปัญญาญาณ มีชีวิตอยู่ ให้ได้เลยว่า เราอยู่ด้วยไม่หอบ ไม่หวง ไม่กอบ ไม่โกย มีแต่ให้ จาคะนี่ มันอยู่ได้ไหม วิธีนี้น่ะ ระบบวิธีนี้น่ะ มันมีมั้ยในโลก พระพุทธเจ้า สอนจริงนะ มีนะ มาพิสูจน์ซิ อยู่ได้โดยไม่ต้อง ไปกอบไปโกย ไปหอบ ไปหวง ไปมีเงิน ไปมีทอง ไม่มีทรัพย์ศฤงคารนี่ อยู่ได้มั้ย สังคมไหนมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมไหนมีดี แล้วอยู่ด้วยกันได้มั้ย พึ่งพาอาศัยกันได้มั้ย เดี๋ยวนี้ อโศกชักพูด เสียงแข็ง ชักพูดแรงๆ แล้ว พวกคุณจะทำให้อาตมาหน้าแตกล่ะ เฮอะๆๆๆ เขามาพิสูจน์ แล้วก็เลย ไม่เลี้ยง ไม่ดูกัน อยู่ไม่ได้ อาตมาหน้าแตกแหลกลาญเลยนะ นี่ เราพิสูจน์ได้นะ แล้วมันเกิดจากใจ จริงๆนะ มาเห็น เออ จาคะ เลี้ยงดูเกื้อกูลนี่แหละเป็นกุศล เมตตา เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กันนี่แหละกุศล ไม่ใช่มาแย่งชิง มา แหม เอารัดเอาเปรียบ มีเล่ห์ มีเหลี่ยม มีโน่น มีนี่ มันจะไปเป็นสุขอะไร มีวิธีการ ไปอยู่อย่างไม่เป็นสุขนะ ใครไม่เชื่ออย่าเชื่อ มีวิธีการ

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า นี่มีวิธีการเป็นสุข สังคมคนอย่างนี้เป็นสุข ไม่เชื่อ ก็ไปเชื่อว่าเขาบอกว่า จงแย่งกันน่ะ ต้องมีเงินมากๆ นั่นแหละเป็นสุข ไปเอา ไปหาเงินมากๆ โลภมากๆ แล้วคุณอยู่เป็นสุข ไปหาซิ ไปหาเยอะๆ ไปหาวิธีหาเงินมามากๆ กอบโกยมามากๆเป็นสุข แล้วคุณก็เป็นสุขอย่างนั้น คุณก็ไปเอา อาตมาก็ไม่ไปเถียงคุณล่ะ คุณว่าเป็นสุขอย่างโน้นก็มี แล้วเขาก็เอาอยู่เดี๋ยวนี้ ก็มีเยอะ ในโลก ไม่ใช่แต่ในประเทศไทย หาเงินกอบโกยมาไว้เป็นของข้าเยอะๆๆๆๆๆ เขาว่าเป็นสุข เขาเป็นสุข เหมือนกันน่ะ แต่อาตมาก็ว่าสุข อาตมาว่าสุขหลอก สุขหลง ก็คุณไปเอาเงินมามากๆ ด้วยวิธีสุจริต โดยราคาที่ยุติธรรม เทียบเทียมเสมอเท่ากับคนอื่น คุณจะไปได้มากอะไร คุณต้อง ไปได้เปรียบ เขามากๆ ได้เปรียบเขามาก มีเชิงชั้น เชิงกลได้มากๆ คุณจึงจะได้มากๆ คุณก็ไปเอาเปรียบ เขามามากๆ แล้วได้เปรียบเขามามากๆ เอาเปรียบเขามามากๆ แบบนั้น มันฉ้อฉล มันโกง ใช่มั้ย มันขี้โลภมากใช่มั้ย จริง คุณอาจจะฉลาดมาก คุณอาจจะมีฝีมือสร้างได้มากๆ มีระบบวิธี สร้างได้มากๆ แต่คุณไม่ได้สร้างเองหรอกนะ ที่จริงไปอาศัยคนอื่นสร้างต่อๆไป เป็นระบบ ทุนนิยมน่ะ ให้คนอื่น เป็นคนทำ เป็นคนสร้าง คุณเองก็เป็นนายคิด หัวคิด ต่อไปจากวิธีกล เชิงกลอยู่ ในสังคม คุณก็ได้ดูดมา เป็นผู้ได้เปรียบมามากๆๆ แล้วมันเป็นหนี้ เป็นบาปน่ะ พูดอย่างนี้ ไม่ค่อยเข้าใจ คุณไปปล้นมาจี้มา คุณมีฝีมือเป็นเจ้าพ่อ ไปเก็บค่าต๋ง ไปเอามานี่ ค่าคุ้มครอง ค่าโน่นค่านี่ ไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรคุณก็ได้มาเยอะๆๆๆ นี่ ไอ้อย่างนี้จะชัด อธิบายอย่างนี้น่ะชัด อธิบายอย่างนี้จะชัด คุณก็ได้ แต่คุณได้มามากๆนั้นน่ะ คุณได้ด้วยทุจริต ไม่ยุติธรรม เอาเปรียบ เอารัด กินแรงผู้อื่น เอาของผู้อื่นมา คุณได้เงินมาจริง แต่กรรมกิริยาของคุณ มันเป็นอกุศล เป็นทุจริต เป็นบาป ตายไป คุณไม่ได้เงิน ตายไปคุณได้ทุจริตนั้น คุณได้อกุศลนั้น คุณได้บาปอันนั้น นั่นเป็นทรัพย์ เป็นอกุศลใช่ไหม มันไม่ใช่จาคะ มันไม่ใช่เสียสละ มันเอาเปรียบ มันขี้โลภ คุณได้อันนั้นต่างหาก เป็นวิบาก นั่นคือทรัพย์ ไม่ใช่จาคะ เห็นให้ชัดน่ะ

เพราะฉะนั้น คนในโลก ไม่ได้ฟังธรรมแบบนี้ ไม่มีใครมาชี้อย่างที่อาตมาชี้นี่หรอก เขาก็ได้มามากๆ เขาก็มองเผินๆ เขาก็เป็นสุขนี่ ได้เงินมาโดยสุจริต สุจริตอะไรก็ไม่รู้ เกมส์ฉ้อฉลนี่ อาตมาไม่รู้ จะอธิบายอย่างไร ในสังคมนี่ คุณฟังเอาไว้ก็แล้วกัน เกมส์ฉ้อฉล ได้มาด้วยเกมส์ฉ้อฉล คุณก็ได้มา คุณได้เงิน จริง อาตมาไม่เถียงน่ะ ไม่ได้โง่เง่าที่จะไม่รู้ แต่จริงๆพระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่า ไอ้นี่หรือ คือทรัพย์ ท่านบอกหรือว่า คือทรัพย์ เงินทองทรัพย์ศฤงคารนี่คือทรัพย์ ทรัพย์ของมนุษย์น่ะ ท่านบอกว่า ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา นี่ต่างหาก คือทรัพย์ ทรัพย์มนุษย์น่ะ เป็นวิบาก เป็นกรรม คุณต้องเกิดศรัทธา กัมมสัทธา วิปากสัทธา หรือวิบาก เชื่อในกรรม เชื่อในวิบาก เชื่อในของๆตน ไอ้นี่น่ะ เป็นของๆคุณ กัมมัสสกตา อันนี้กรรม ที่กระนี่เป็นของๆคุณ ไอ้นั่นมันผลพลอยได้ ส่วนหนึ่งนั่นน่ะ กรรมนั่นน่ะ กรรมมันเป็นกุศล มันเป็นของคุณ อกุศลก็เป็นของคุณ ได้จาคะ นี่เป็นกุศลน่ะ ได้จาคะอย่างสะอาดบริสุทธิ์เท่าไหร่ ยิ่งเป็นกุศลมากเท่านั้น อันนี้ต่างหากล่ะ จะเป็นทรัพย์ของคุณ

อธิบายไปนี่ คุณก็ฟังด้วยเหตุผล มันก็เป็นปัญญาเหมือนกัน มันเป็นความเข้าใจ เป็นจินตา เป็นสุตะ เป็นสุตมยปัญญา เป็นจินตามยปัญญา คุณก็เอาไปคิดดู คุณฟังไปแล้ว คุณก็เอาไป ทบทวนไล่เรียง พิจารณาดู เอาไปปฏิบัติพิสูจน์ เป็นภาวนามยปัญญา พิสูจน์ว่า เออ อย่างนี้ เป็นทรัพย์จริงๆ คุณจะเชื่อโดยตนเอง เข้าใจโดยตนเองแล้ว เมื่อมั่นใจแล้ว เราก็จะเป็นอยู่อย่างนี้น่ะ เกิดมามีชีวิตนี่ ก็เป็นผู้ที่สร้างทรัพย์ เชื่อเพราะ เราเชื่อโดยตัวศรัทธาของเรา ไม่ใช่เชื่อ เพราะคนมาครอบงำ คนมาอธิบายเหตุผล ให้คุณไล่ไม่ทัน แล้วก็จำนน แล้วก็เชื่อตามเฉยๆ ไม่พอ คุณต้องเอามาปฏิบัติ พิสูจน์ ปฏิบัติพิสูจน์จนเห็นรูป เห็นนาม จนเห็นผลที่แท้จริงว่า โอ้ ดีอย่างนี้เอง จริงอย่างนี้เอง ศรัทธา เพราะเราเห็นผลของเรา รูปธรรม นามธรรมของเรา เข้าใจลึกซึ้งในกรรม ในวิบาก ในคำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็สอดคล้องตรง กรรมเป็นของๆตน อันเป็นกุศลกรรมต่างๆ นานา ก็ชัดเจนจริงๆ แล้วเชื่ออันนี้ แล้วอย่างแทงทะลุรอบแล้วนี่น่ะ อาตมาไม่รู้จะบอกกับคุณอย่างไร มันมั่น มันคง มันเที่ยง มันแท้ มันไม่แปรปรวน มันชัดเหลือเกิน แล้วเราก็ทำอันนี้ไปตลอด ตายอีกกี่ตาย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอีก ถ้ามันยังจำได้อยู่ อันนี้มันจำได้ คนที่ทำไว้อย่างแม่นมั่น ลึกซึ้งแล้ว มันจะจำได้ง่าย มันจะอยู่ในชีวิตของเรา แม้แต่เราไม่ได้คิดจะจำ มันก็เป็นสัญญาเจตสิกของเรา เกิดมามีขันธ์ ๕ มันก็จะมี เวทนา สัญญา สัญญาคือตัวธาตุต่อเนื่องไปเป็น สันตติ เป็นตัวจำ มันก็จำได้ แม้ว่าจะไม่ได้ยินได้ฟัง ในชาตินี้ เออ เราก็จำได้โว้ย อันนี้มันเป็นอย่างนี้น่ะ สัจจะมันเป็นอย่างนี้

อาตมาเอาสัจจะมาเปิดเผยนี่ ไม่ได้ไปได้ยินสัจจะมาจากใคร ไม่ได้ไปเรียน ไปรู้มาจากไหน เอามาพูด ให้คุณฟังนี่ อาตมาเอามาของตัวเอง ของเก่า สัญญาเก่า บารมีเก่า กัมมัสสกตา ของอาตมา กัมมทายาท มรดกของอาตมา อาตมาเอามาพูดสู่ฟัง ซึ่งใครก็คงจะเชื่อ ซึ่งเคยคบ กับอาตมาแล้ว อาตมาไม่เคยไปเรียนธรรมะ ไม่เคยไปเรียนสัจจธรรมมาจากใคร เอาของตัวเอง ออกมาจ่าย ให้พวกคุณฟัง นั่นน่ะ เป็นของที่ติดมา เป็นทรัพย์ที่อาตมามีมาเก่า อาตมาเอาตัวเอง มายืนยันว่า เป็นทรัพย์นี่ เป็นองค์ประกอบหนึ่ง เป็นรีเฟอร์เร้นซ์ เป็นหลักฐานอ้างอิง อันหนึ่งว่า เป็นของอาตมาเอง เพราะอาตมาไม่รู้จะไปเอาของใครมา ไม่ได้เป็น นักเรียนวิทยานิพนธ์ จะได้ไปเอาของคนนั้น มาอ้างหน่อย นี่ เป็นอ้างอิงของคนนี้ คนนี้ก็ของคนนี้ ก็ของคนนี้ๆ นี่ของอาตมาเอง คุณจะเชื่อแค่ไหนก็ตาม คุณก็ต้องไปทำของตนเอง ขึ้นมาเป็นหลักฐานของตนเอง ได้เอง เป็นเอง มีเอง คุณก็จะเชื่อ ของตนๆนั่นแหละ เพราะนี่เป็นทรัพย์ที่อาตมามาย้ำ อยากจะให้ พวกเรา ได้เข้าใจกรรม เข้าใจวิบาก เข้าใจกัมมัสสกตา เข้าใจของๆตน ตราบใดที่เรายังไม่ปรินิพพาน นั้น เราจะมีกรรม เป็นของๆตน อย่าไปเข้าใจเผินๆว่า อะไรๆก็ไม่ใช่ ของๆตน เมื่อคุณถึงนิพพาน ปรินิพพานสมบูรณ์สุด อย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระอรหันต์เจ้า ที่ตายแล้ว มีอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นั่นแหละหมด ไม่มีอะไรเป็นของตัวของตน ใช่

แต่ตราบใด ที่ยังไม่หมดรูปนามขันธ์ ๕ ยังไม่ปล่อยวาง สุดท้าย เป็นปรินิพพาน ยังมีกรรม วิบาก เป็นของๆตน อย่าไปเพิ่งรัดตัดความไปจนกระทั่ง ถึงอะไรๆ ก็ไม่ใช่ของๆตน ไม่ต้องเอาอาะไร มากหรอก ไอ้ที่พูดมากๆน่ะ อย่างอาตมาเจอคุณหญิง บางคน บอก โอ๊ ! คุณอย่าไปยึด ไปถืออะไร มากๆ อะไรก็ไม่ใช่ ของๆตนหรอก แต่ดอกเบี้ยไม่ลด โอ้โฮ ลดดอกเบี้ยบ้างซิ คุณหญิง ไม่ได้ คนอื่นเขาก็เหมือนกัน ลดไม่ได้ซิ ถ้าลดให้คุณ ก็ต้องไปลดให้คนอื่นอีก ฉันยุ่งนะ เห็นใจฉันบ้างซิ อะไรก็ไม่ใช่ของๆตนหรอกเธอ ประเดี๋ยวก็เจ้านั้น ก็เอาเพชรมาให้ดู เจ้านี้ก็เอาเพชรมาให้ดู เสร็จแล้ว ก็ซื้อเข้าเก๊ะ ขอบ้างซีน่ะ ไม่ใช่ของๆคุณหญิง นะ ขอได้อย่างไรโลภ แน่ะ พูดเก่งด้วย ทำไมมาโลภ เอาของคนอื่นล่ะ ผิดศีลนะ แน่ะ ไม่ใช่ของๆตัวของตน พวกนี้มีปัญญานะ มีปัญญาฉลาด เข้าใจ แต่ไอ้ สมบัติพัสฐาน ไอ้ของพวกนอกตัว นอกตนนี่ ยังไม่ได้ออกได้เลย ยังไม่ได้วางได้ปล่อยได้เลย อะไรก็ไม่ใช่ของตัวของตน รวบรัด ตัดความไปหมด กรรม เป็นของของตน ยังไม่ต้องพูดถึงเลย วัตถุสมบัตินี่ ยังเป็นของๆตัวของตนนี่ ยังจะตายอยู่แล้ว ยังไม่ทิ้งมาให้ดูได้เลย ในชาตินี้ แล้วยัง จะบอกว่า ไม่ใช่ของตัวของตน หยุด สต๊อปเป็ด ไม่ต้องพูดเลย ไม่ต้องพูดเลย พวกนี้ใช้แต่ ตรรกศาสตร์ ใช้แต่ความเฉลียวฉลาด เชิงกลซับซ้อน แล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง

เพราะฉะนั้น เราต้องมาปฏิบัติธรรม ตามคำของพระพุทธเจ้า นี่ให้มีลำดับขั้นตอน ตามฐานะไป แล้วเราจะค่อยๆ ได้ๆๆ เราก็จะเห็นจริง แล้วเราจะได้ เป็นคนที่เกิดมาทั้งที ก็สะสมทรัพย์ มีทรัพย์ พูดเต็ม ก็มี ๗ ศรัทธ ศีล, หิริ โอตตัปปะ สุตะ, ๓ ตัวนี้เป็นตัวแซม ๔ ตัวหลัก ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา มีหิริ โอตตัปปะ กับสุตะ ซ้อนต่อตัวกลาง แยกเป็น ๒ ศรัทธากับศีล จาคะกับปัญญา เอา ๓ อันนี้ สวมกลางปุ๊บเข้าไป ก็เป็น ๗ จำง่ายๆ ถ้าจำ หิริ โอตตัปปะ สุตะ ได้ แล้วก็จำ ๔ ตัวนี่ ได้ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา จำอีก ๒ ก็ได้ หัว หาง อย่างละ ๒ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา นี่ คือ ทรัพย์ทั้ง ๗ ถ้าอยากรู้ หิริกับโอตตัปปะ กับสุตะ ว่ามาเป็นตัวเสริมหนุน ให้เราเกิดอย่างไร เป็นตัว ภาคปฏิบัติ กิริยาของหิริโอตตัปปะ เกิดมาจาก การปฏิบัติศีล จึงเกิดหิริ เกิดโอตตัปปะ แล้วก็ต้อง สร้างเสริม ให้มีสุตะ หรือ พหุสุตะให้มีความรู้ที่มากลึกซึ้งขึ้น ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มากขึ้นๆๆ ๆๆๆๆๆ ก็จะก่อให้เกิด ยิ่งหิริมากขึ้น แต่ก่อนนี้ อายระดับนี้ แหม อายต่อบาป ต่อสิ่งไม่ดี ไม่งาม ปฏิบัติสูงขึ้น ภูมิสูงขึ้น ก็จะอายสูงขึ้น สิ่งที่ละเอียดๆ สูงขึ้นก็อาย เป็นนามธรรม และลึกซึ้ง สูงขึ้น ไปเรื่อยๆ อย่างแท้จริง จิตเราจะละอายต่อสิ่งเหล่านี้ว่า เออ อันนี้เราควรละ ควรลด ควรเลิก มันจะเกิดจริง ซับซ้อน สูงขึ้นเรื่อยๆ จึงจะเกิดจาคะได้หมดตัว หมดตน หมดแม้กระทั่งนามธรรม ไม่มีอะไรเหลือ อย่าว่า แต่รูปธรรม อย่าว่าแต่ภพแต่ชาติเลย ถึงจะซับซ้อนได้อย่างนั้น

เอ้า เอาล่ะ อาตมาได้เทศน์มา จนหมดเวลา เลยเวลาไป สองสามนาทีแล้ว ก็ขอเอวัง

สาธุ


ถอดโดย ดงเย็น จันทร์อินทร์ เม.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๔ พ.ค.๒๕๓๔
พิมพ์โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์ ๑๑ พ.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย สุพรรณี เนตรสว่าง ๑๒ พ.ค.๓๔