เอาให้แน่...ทรัพย์แท้ของมนุษย์ ตอน ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อ วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๔
ณ พุทธสถานสันติอโศก

เจริญธรรม ญาติโยมผู้ใฝ่ในสัจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย

วันนี้อาตมาก็ยังตั้งใจที่จะเทศน์ เรื่อง ทรัพย์แท้ของมนุษย์อีกอยู่นั่นเอง แต่จะพยายามเจาะลึกลงไป ให้เห็นถึงนามธรรม ให้จริงๆจังๆ เท่าที่อาตมาจะมีความสามารถในการจะสื่อภาษา ให้หยั่งลึก เข้าไปถึงสภาวะธรรม ที่เป็นนามธรรมนั้นๆได้ ก็อยากจะเติมอีกหน่อย

สำหรับวันนี้ จะเติมสำคัญลงไปตรงที่คำว่า"สงบ" คำว่าสงบ หรือ ความสงบนี่ เรายังเข้าใจกันไม่ได้ อยู่ทุกวันนี้นี่ แล้วก็ไปเข้าใจเอาสภาพของภาวะตื้นๆ เป็นความสงบ ยังเข้าใจถึงปรมัตถสัจจะ ที่เรียกว่า ความสงบยังไม่มั่น วันนี้ ก็คิดว่าจะขยายเติม ซึ่งมันเป็นตัวสำคัญของสภาวะที่สุด แม้การจาคะ การสละ การปล่อยวาง การสละออกนั่นแหละ จาคะก็คือสละ หรือเสียสละออกหมด แม้กระทั่งตัวตนนี้ สละได้จริงแล้ว วางได้จริง ปล่อยได้จริง ตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีรูปนามขันธ์ ๕ สละแล้ว มันก็เป็นนามธรรม แต่เราก็ยังมีตัวมีตน ยังมีร่างกาย มีชีวิต ส่วนการสละนั้น เป็นเรื่อง ของอาการ อาการ กิริยาของจิตที่เราปล่อยวางจริงในจิตของเราแต่ละคน ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ด้วยใคร ใครไม่สามารถที่จะไปมองของใคร ไปรู้ของใครได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า อะหะเมตัง นะ ชานามิ อะหะเมตัง นะ ปัสสามีติ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นด้วย ผู้รู้ ผู้เห็น ก็คือตนเองเท่านั้น ไม่มีใครรู้ใครเห็น ได้ด้วยใคร ไม่มีผู้ใดรู้เห็นได้ ด้วยเธอ ต้องเห็นของตนๆ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ของตนรู้ตนเอง เห็นของตนเอง เราจะหลง หรือว่าเราจะรู้ด้วยปัญญาญาณที่ชัดแท้ มันก็เป็นเรื่อง ของเราเหมือนกัน

อาตมาได้เทศน์ ได้ย้ำเรื่องนี้มาอย่างสำคัญ แล้วก็คิดว่าจะต้องเรียบเรียง ทำเป็นหนังสือเหมือนกัน เรื่องของทรัพย์แท้ของมนุษย์นี่ อาตมาเห็นว่าสำคัญ เพราะว่าสังคมทุกวันนี้ มนุษยชาติทุกวันนี้ ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบาก ไม่เชื่อจริงๆ ไม่เชื่อบุญ ไม่เชื่อบาป ไม่เชื่อว่า บุญบาปมีจริง โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธเรา มีสังสารวัฏ มีการเกิด เวียนเกิด เวียนตาย ถ้าผู้ใดยังไม่ปรินิพพาน ยังไม่ถึงขั้น เป็นพระอรหันต์แท้ หรือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ ที่จะปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีสูญ มันยังจะวนเวียน มีการเกิดอีก จะหมุนเวียนหมุนเวียน เวียนเกิดเวียนตาย ตามวิบากกรรม ผู้ใดทำดี ทำชั่ว กรรมเป็นของๆตน วันนี้ก็ขอกล่าวถึงคำว่า"กรรม" กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ หรือ กัมมัง สัตเต วิภชติ นี่ เป็นภาษาบาลีทั้งนั้น กัมมัสสโกมหิ หรือ กัมมัสสกตา คือกรรมเป็นของๆตน ที่พูดกันอย่างสูงๆเลิศๆยอดๆ ว่า อะไรๆก็ไม่ใช่ของตัว ของตนนั่นแหละ มันเป็นที่สุดแห่งที่สุดของปรินิพพาน พระพุทธเจ้าท่านพิสูจน์แล้วว่า ปรินิพพานมีจริง คือสูญหมดเลย เมื่ออนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เมื่อตาย อย่างพระอรหันต์เจ้า ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้ว แล้วก็ท่านก็ปล่อยร่าง ปล่อยขันธ์ เมื่อท่านตายลง ตายแล้ว ทุกอย่างก็ไม่มีอะไร เป็นของตัวของตน ไม่มีอะไรเป็นของใคร

แม้แต่กรรม แม้แต่วิบาก ก็สลายเกลี้ยง เลิก เลิกกันน่ะ ถึงขั้นสุดปรินิพพานจริงๆ แต่เมื่อยังไม่ถึง ปรินิพพาน เป็นพระอรหันต์เจ้า หรือแม้แต่ ในร่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยังมีรูปนามขันธ์ขันธ์ ๕ ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีของตัวของตน กรรมก็ยังมีผล วิบากยังมีผล อย่างพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้วน่ะนะ ในสมัยที่เป็น เจ้าชายสิทธัตถะ แล้วก็มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีพระชนม์ชีพ ท่านก็ยังได้รับ อกุศลวิบาก ตามมาทันเลย ยังถูกพระเทวทัต กลิ้งหินลงมา ทับพระบาทห้อเลือด ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสเล่า ให้พระสาวกฟังว่า เพราะกรรมวิบากอะไร ถึงจะต้องถูกพระเทวทัต กลิ้งหินลงมา ทับพระบาทห้อเลือด

ท่านก็เล่าให้ฟังว่า กรรมตั้งแต่ปางก่อนๆที่ท่านได้ฆ่าน้องชาย ตั้งแต่ ชาติปางก่อน ท่านได้ฆ่า น้องชายของท่าน น้องชายต่างมารดา แล้วก็ท่านได้ฆ่า อยู่ในถ้ำ เข้าไปในถ้ำแล้วท่านก็เอาหินทุ่ม ฆ่าน้องชายตาย เป็นกรรมอันหนัก แล้วอกุศลกรรมอันนั้น ยังเป็นวิบากติดต่อมา จนกระทั่ง แม้ตรัสรู้ เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังไม่พ้นวิบากกรรม ในขณะที่ยังมีร่างกาย ยังไม่ได้อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ยังไม่ได้ตาย ยังไม่ได้สลายธาตุทั้งหมด แต่ว่ามีสอุปาทิเสสนิพพานแล้ว คือได้บรรลุเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เป็นนิพพานในรอบของจิตวิญญาณนี่แล้ว แต่ว่าร่างกายยังไม่ตาย นี่ต้องศึกษากันดีๆ อันนี้พูดถึงตัวยอดๆเสียก่อน เดี๋ยวถ้าใครที่ฟังยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็ตั้งใจฟังดีๆ อย่าหรี่ อย่าหลับก็แล้วกัน มันยากๆเหมือนกันน่ะนะ ก็ยังมีกรรมมีวิบาก มาถึงเราอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังไม่สูญสลาย อย่างสนิทที่เรียกว่าปรินิพพาน ปรินิพพานคือหมายความว่า นิพพานรอบ รอบสุดเลย เลิกกันทุกสิ่งทุกอย่าง มีอยู่ ๒ คนเท่านั้น ที่ปรินิพพานคือ พระอรหันต์เจ้า ที่ไม่ต่อภพ ต่อภูมิอะไรอีกจริงๆ กับพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า มีอยู่ ๒ คนเท่านั้นน่ะ ที่ปรินิพพาน แล้วสูญเลย เลิก อันนี้ถือว่าอะไรๆก็ไม่เป็นตัวเป็นตน อะไรก็ไม่ใช่ของตัวของตนนั่นจริง แต่ถ้าเผื่อว่า ยังไม่ถึงขั้น ปรินิพพานอยู่ตราบใดแล้วไซร้ กรรมยังเป็นของๆตน วิบากยังเป็นของๆตน กัมมัสสกตา ยังเป็นของๆตน

เพราะฉะนั้น ตราบที่เรายังไม่ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันเลยว่า อะไรก็ไม่ใช่ ของตัวของตน ไอ้นั่นมันตรรกศาสตร์ ไอ้นั่นมัน ความรอบรู้ ใครก็เข้าใจ ฟังเหตุผลก็เข้าใจ ด้วยเหตุผล ของมันว่าอย่างนั้นน่ะ เป็นภาษา เป็นตรรกศาสตร์ เป็นเหตุเป็นผล ความหมายของ เหตุผล เป็นลอยิคอล ไม่มีปัญหาเลย เราเข้าใจอย่างนั้นน่ะ ความหมายของมัน แต่ เป็นความหมาย ผู้ที่ถึงจริง เป็นจริงเท่านั้น และเป็นผู้ที่ปรินิพพานจริงเท่านั้น จึงจะไม่มีอะไรเป็นของตัวของตน ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนทั้งหมด ใครยังไม่ถึงขั้นปรินิพพาน คือเป็นผู้ที่เป็นอรหันต์สุด แล้วก็ตัด ภพชาติ แล้วตายด้วย สิ้นชีพตักษัยลงไปด้วย สิ้นชีวิตลงไปด้วย จึงจะไม่มีอะไรเป็นตัว เป็นตน ไม่มีอะไรเป็น ของตัวของตนอย่างจริงจัง ฟังดีๆนะ เดี๋ยวนี้มันสับสน เอาหัวเป็นต้น เอาต้น เป็นกลาง เป็นปลาย ไม่มีลำดับกัน แล้วก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้มรรคได้ผล ไม่ได้ความจริง

ทีนี้ ที่อาตมาต้องเน้นตรงนี้ที่ว่า เราจะต้องเห็นว่า เรื่องของกรรมนี่ เป็นเรื่องสำคัญ ขนาดพระพุทธเจ้า ที่อาตมายกตัวอย่างให้ฟังแล้วว่า ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีวิบาก พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์นะ ในปางสมัยพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชเก่งนะ ท่านก็บรรลุอรหันต์ บรรลุอรหันต์แล้ว เป็นสอุปาทิเสสนิพพานแล้ว แต่ยังไม่ตาย ในขณะที่ท่านยังไม่ตายนี่ ท่านก็ กรรมวิบาก ยังตามท่านมา ท่านจะต้องมาถูกเขาฆ่า ฆ่าแล้วฆ่าอีก ท่านก็เก่ง ทางอิทธิฤทธิ์ ท่านก็ฟื้นตัวขึ้นมา เขาก็ฆ่าอีก ฆ่าจนตายไปตั้งหลายที จนท่านระลึกถึงกรรม ระลึกถึงวิบาก ก็ถึงได้รู้ว่าตัวเอง เคยฆ่าพ่อ ฆ่าแม่มา ในชาติหนึ่ง เคยฆ่าพ่อ ฆ่าแม่มา ตอนนั้น ชาติปางนั้น ท่านก็เล่า มีคนเล่ากันนะว่า ท่านเองน่ะ พ่อแม่ท่านตาบอดในปางนั้น แล้วท่านก็พาพ่อแม่ ไปฆ่าในป่า พระโมคคัลลานะ แล้วกรรมวิบากอนันตริยกรรมอันนั้น มาตามถึงในปางที่ท่าน เป็นพระอรหันต์ ในระดับอัครสาวกเบื้องซ้ายด้วยซ้ำ ไม่ได้หมายความว่า อกุศลกรรมนี่จะหมด พระอรหันต์ ยังไม่หมดร่างขันธ์ ยังหมดวิบาก ยัง ยังมีอกุศลตามทัน และมีกุศลด้วย กุศลก็ได้อาศัย อกุศลก็ตามทัน มาให้เป็นทุกข์เป็นร้อนเหมือนกัน ถ้ายังไม่ปรินิพพานตายสิ้น หมดภพ หมดชาติ จริงๆแล้ว ยังมีกรรมเป็นของๆตน ยังมีวิบากตามมาถึงตนอยู่ตลอดเวลา อย่าไปเข้าใจอะไรด้วนๆ สั้นๆ ผิดๆ เพี้ยนๆ ไม่ได้ระดับฟังให้ดีๆ

เพราะฉะนั้นกรรมนี่แหละ เป็นเครื่องอาศัย กัมมปฏิสรโณ ที่อาตมาพูดไปแล้วเมื่อกี้นี้ กรรมเป็นของๆตน เป็นของๆเรา เราทำดี ดีเป็นเรา เป็นของเรา บันทึกไว้ ไม่มีใครโกง โกงไม่ได้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ไม่มีใครโกง ไม่มีใครหลอกลวงเอาของกันและกันไปได้ ไม่มี คุณจะคิดชั่วนิดหนึ่ง ก็บันทึกไว้นิดนึง จะหนัก จะเน้น หรือจะอ่อน จะเบา จะจาง มันก็เท่าความจริง ที่คุณเกิดกิริยาอันนั้น กิริยาของจิต กิริยาของวาจา กิริยาของกาย เป็นกรรม เป็นกรรมกิริยาทั้งนั้น เกิดจริง เป็นจริง อันนี้แหละ เป็นสมบัติ อันนี้แหละ เป็นทรัพย์ เป็นของที่จะได้ไป คุณคิดชั่ว ก็สั่งสมชั่ว คุณคิดดีก็สั่งสมดี คุณคิดสุจริตก็สั่งสมสุจริต คิดทุจริตก็สั่งสมทุจริต เราคิดทุจริต ไปโกงเขา โกงเขา คุณได้เงินนะ คุณได้เงิน นี่ก็ซ้ำ อาตมาก็พูดซ้ำซากนี่ได้เงิน อาจโกงเขามากๆ คิดทุจริตได้เงินมากๆ ฉลาดด้วยนะ ฉลาดโกงเขา ตำรวจก็จับไม่ ได้ ใครก็จับไม่ได้ด้วย รอดตัว มีเงินสะสมมากมาย แต่ทุจริตนั้น ไปเที่ยว ได้โกง ไปเที่ยวได้หลอก เอาความฉลาดน่ะ ไปทำอย่างนั้น รอดตัวจริง แต่กรรมนั้น เป็นทุจริต กรรมนั้นเป็นอกุศล กรรมนั้นเป็นบาป ขณะนี้คุณได้เงิน คุณมีเงิน แต่ตายแล้ว คุณเอาเงินไปด้วยไหม? ได้เงินไปด้วยไหม? ไม่ได้ แต่กรรมที่เป็นบาปนั้น ไปด้วยไหม? ฟังให้ชัดนะ นั่นแหละ เป็นของที่จะติดตามคุณไป จนกว่าจะปรินิพพาน นั่นแหละ ทรัพย์แท้ของมนุษย์ ทรัพย์ชั่วด้วย ทรัพย์ที่เป็นอกุศล เป็นบาป เป็นทุจริตด้วย ชั่วด้วย นั่นแหละแท้

ถ้าคุณศึกษาศาสนาพุทธไม่เข้าใจ ไม่ซึ้งในกรรมนะ คุณจะไม่มีกำลังใจทำดี ทำจริงเลย คุณจะทำแต่ชั่ว ทำดีหรือทำชั่ว ลับหลัง ต่อหน้า มันก็เป็นกรรมของเรา กัมมัสสโกมหิ กัมมัสสกตา เป็นของๆตน ไม่มีใครโกง ไม่มีใครจะเอาไปเที่ยวได้หลอกใครได้ โดยสัจจะ ที่พูดว่ามีนายสุวาน มีนายสุวรรณ นายสุวานนี่แปลว่าหมา สุวรรณแปลว่าทอง นายสุวานจดลงไปในหนังหมา นายสุวรรณ จดลงไปในแผ่นทองคำ ไอ้นั่นก็พูดเป็นรูปธรรม ที่จริงมันไม่ต้องจดหรอก กรรมใดเกิดปุ๊บ ก็เห็นปั๊บทันทีทันใด ทันทีของตัวมันเองเลย ไม่ต้องรอเวลาด้วย มันเป็นของๆตน โดยปัจจุบันนั้น ทันทีทันใด ไม่ต้องรอเวลาว่า เขาลืมจด หรือว่า รอเวลาอีก ๓ นาทีค่อยจด อีก ๕ นาทีค่อยจด ถึงจะเป็นเรา หรือต้องรอตรวจน้ำเสียก่อน ถึงจะเป็นของเรา ทำบุญนะทำกุศล พอทำเสร็จแล้ว อ้าว! โยมตรวจน้ำนะ ถ้าไม่ตรวจน้ำแล้วจะไม่ได้บุญไม่ได้กุศล ไม่จริงหรอก ไม่ต้องรอตรวจน้ำ ไม่ต้องรอ พระให้พร ถ้าทำสิ่งที่เป็นพรเป็นของประเสริฐ เป็นของเรา ถ้าเราทำความชั่ว ไม่ใช่ความประเสริฐ ไม่ต้องรอตรวจน้ำ ไม่ต้องรอสวดพร มันก็เป็นของเรา ทำชั่วก็เป็นของเรา ทำดีก็เป็นของเรา ไม่ต้องรอใครสวด ใครมาให้พร ไม่ให้พรอะไรหรอก ไม่ต้องรอ เป็นของมันทันทีทันใด ในที่ลับ ในที่แจ้ง ในที่เปิดเผย หรือในที่สว่าง ในที่ปกปิดที่ไหนก็แล้วแต่ ขอให้เป็นกรรมเถอะ แม้เราคิด มันอยู่ในตัวเรานี่ ใครจะมาล่วงรู้ได้ง่ายๆ มันเป็นกรรมของเรา นี่คิดชั่วเดี๋ยวนี้ มันก็อยู่ในใจของเรา มันก็เป็นกรรมแล้ว สั่งสมลงในวิบากแล้ว เป็นกรรม เป็นวิบากแล้ว จะเบา จะแรง จะแน่น จะหนัก หรือว่าจะผิวเผินขนาดไหนก็ตามใจ มันก็ตามกิริยาของกรรมนั้นๆ ทั้งนั้น

อาตมาจะเน้นเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เพราะว่าคนทุกวันนี้ เมื่อไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบากแล้ว ก็ทำชั่วกัน โดยประมาท แล้วก็คิดว่าชีวิตนี่ ชาติเดียวก็หมดสิ้น พอตาย ชาตินี้ตาย หมด ไม่มีอะไรเหลือ เป็นอุจเฉททิฐิ เป็นการเข้าใจอย่างอุจเฉทิฐิ ท่านเรียกอุจเฉทิฐิ คือตายแล้วสูญ เชื่อว่า เอ้อตายแล้วก็ เลิกกัน ตายแล้วก็จะไปมีอะไร ไม่มีอะไรหรอก สูญ เลิก อุจเฉทิฐิแบบนี้ คนทำบาปได้เก่ง เดี๋ยวนี้ มากขึ้น แล้วคนไม่เชื่อ ก็มันไม่รู้นี่ ชาติหน้า ใครจะไปรู้ เป็นอะไรอย่างไงๆ ก็คิดว่า มันไม่มีอะไร ศาสนาพุทธ มาสอนๆๆๆๆว่า ชาติหน้า ระลึกชาติได้ มีโน่น มีนี่ มีกรรม มีวิบากอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ไม่เชื่อ ไม่เชื่อจริงๆเลย อาตมาก็เห็นใจ๊ เห็นใจนะ ก็เข้าใจอยู่เหมือนกันว่า เขาไม่รู้จริงๆ เขาเข้าใจอย่างนั้น จริงๆเลยนะ เขาไม่เชื่อจริงๆ เขาเห็นว่า มันเป็นเรื่องไร้สาระด้วยซ้ำ สมัยนี้ วิทยาศาสตร์ ต้องจับต้องได้ เป็นตัว เป็นตน เป็นชิ้น เป็นอันนะ เป็นวัตถุรูป เขาถึงจะเชื่อ นามธรรมนี่ มันไม่มีวัตถุรูปนี่ มันสัมผัสได้ยากด้วย แล้วก็ไม่อุตสาหะวิริยะ ที่จะมาพากเพียร เพราะศรัทธา

เอ้า ทีนี้ก็เข้าสู่ทรัพย์ ทรัพย์ของมนุษย์นี่ จำง่ายๆก่อน ๔ ตัว ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา นี่เป็นทรัพย์ ตัวหลักๆเลย ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ที่จริงมี ๗ ตัว อีก ๓ ตัว คือ หิริ โอตตัปปะ และสุตะ หรือ พหูสูตร เต็มๆก็ได้ เรียก พหูสูตร ความรอบรู้ อีก ๓ ตัวนั้น น่ะ เอาแทรกเข้าตรงกลาง ระหว่างศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา นี่ เอา ๓ ตัว มาแทรกตรงกลางเข้า ก็จะเป็น ๗ แล้วจำง่ายด้วย จำหัว ๒ หาง ๒ กลาง ๓ จำง่าย วิธีจำ ถ้าไปไล่เรียง บางทีมันสับสน โอ้โฮ. ยากกว่าจะจำ แล้วมันไล่เรียงยังไง มันจำยาก แต่จำอย่างนี้มันง่าย จำ ๒ จำ ๓ แค่นี้สบาย ๒ สบาย ๒ มีศรัทธา กับศีล หางก็มี ๒ จาคะกับปัญญา กลาง สอดไส้ กลางนี่ หิริ โอตตัปปะ สุตะ หรือพหูสูตร ๓ ตัว หิริ โอตตัปปะ สุตะ นี่เป็นตัวเสริม เป็นคุณธรรม เป็นภูมิธรรมของมนุษย์ที่จะเสริมขึ้นมา ท่านเรียกว่าเทวธรรม เทวดา เทวดานี่ ไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณลอยตุ๊บป่องๆ โน่นแน่ะ ถ้าเป็นเทวดาผู้หญิงก็ใส่ชฎาด้วย มีสังวาลด้วย แต่ไม่ใส่เสื้อ ที่เขาวาดไว้ตามผนังวัดวาอาราม แหม เทวดาโป๊น่ะ ส่วนมากไม่ใส่เสื้อด้วยนะ แต่มีสังวาลด้วย มีเครื่องประดับตกแต่ง แต่ไม่ใส่เสื้อ แหม.เทวดานี่โป๊ทั้งนั้นเลย ศิลปินนี่ก็ช่างวาด มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เทวดา จิตวิญญาณ จะเป็นผีนรก หรือเป็นเทวดา ก็คือตัวจิตวิญญาณ ในร่างกาย ในตัวเรานี่ มีจิตวิญญาณ ของเรา ประเสริฐ เกิดดี เกิดเจริญ เรียกว่า จิตวิญญาณเทวดา ถ้าจิตมันตกต่ำ จิตมันเลว จิตมันชั่ว มีกิเลสเข้า โลภ โกรธ หลง มันเข้าไปเรื่อยๆ นั่นแหละ ก็ตกต่ำ เกิดต่ำ เกิดชั่ว เรียกว่านรก ต่ำ ไม่ใช่ชี้ลงไปแผ่นดิน แล้วก็ว่านรกอยู่ใต้ดิน สูง ก็ชี้ขึ้นไปบนฟ้านั่น แล้วก็บอกว่า นั่นแหละสวรรค์อยู่บนฟ้า ไม่ใช่ นั่นเป็นการเปรียบเทียบ เป็นการชี้ให้เห็นค่าของมัน ต่ำ สูง หรือว่าชั่ว ดี อะไรเท่านั้นเอง

ความจริงก็คือค่าของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณตกต่ำก็เป็นนรก เป็นอบาย เป็นความไม่เจริญ ถ้าจิตวิญญาณสูง เกิดจริง เป็นจริงแล้ว มันเกิด เรียกว่า โอปปาติกะ จิตนี่ มันเกิดได้ เกิดเป็นผีก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ แล้วต้องเกิด จริง มันมีเกิดจริงกับเกิดปลอม เกิดปลอมนี่ก็คือสมมุติเทพ เป็นเทวดา เทพ ก็เทวดา เทวดาสมมุติ นี่เกิดปลอม ทุกวันนี้ปุถุชนนี่เป็นสมมุติเทพ เป็นเทวดา ปลอมทั้งนั้น ขึ้นสวรรค์ ก็สวรรค์ปลอม ได้เสพอร่อย สุข อร่อย หอฮ้อ อยากได้เงิน ได้เงินมาสมใจ ห้อฮ้อ อยากได้ยศ พอได้ยศสมใจ หอฮ้อ สุขขึ้นสวรรค์ หอฮ้อ แต่เดี๋ยวลงนรกใหม่ อยากได้อีก แย่งชิงกันอีก นั่นแหละขึ้นนรก ลงสวรรค์ ขึ้นนรก ลงสวรรค์ไม่รู้แล้ว แต่อุบัติเทพ หรือเทวดา เกิดจริงๆ ในจิตวิญญาณนี่ มาละกิเลสออก มันอยากได้ลาภ ลดกิเลสอยาก มันอยากได้ยศ ลดกิเลสอยากได้ยศ มันอยากได้อะไร มันเป็นตัวกิเลส ต้องอ่านกิเลส แล้วก็มีวิธีลดกิเลสได้จริง ลดกิเลสได้จริงนั่นแหละ ลดได้ชั่วคราว ก็เกิดชั่วคราว ลดได้ถาวร เป็นสมาธิตั้งมั่น จนเป็นฐิติ จนเป็นของแข็งแรง จนเป็นของถาวร เป็นนิยตะ เรียกว่าเที่ยงแท้ จนกระทั่งจิต ไม่มีกิเลสเลย กิเลสตายสนิทเลย ดับสนิท นี่แหละคือนิโรธ นิพพาน กิเลสดับสนิท กิเลสตาย ไม่เกิดอีก

เราต้องรู้ว่ากิเลส ลักษณะอาการอย่างไร แล้วตัวที่มันตาย กิเลสตาย ของเรานี่ กิเลสของเราตาย ตายอย่างไร ตายแล้วไม่เกิดอีก รู้อาการ ลิงคะ นิมิต เรียกว่า รู้รูปนามของมัน รู้เลยว่า อาการของมัน เครื่องหมายให้รู้ต้องอ่าน เราใช้ญาณอ่านของเราเองนะ อาตมาจี้ไปตรงนี้ กิเลสมันก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ จิตมันก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันไม่ได้อยู่ที่ปลายผม มันไม่ได้อยู่ที่ฝ่าเท้า มันไม่ได้อยู่ที่ตรงปอด ตับ หัวใจ ไอ้เครื่องเป็นสรีระ องคาพยพของสรีระนี่ มันไม่ใช่ มันอยู่ในร่างกายเรานี่แหละ เป็นความรู้สึก แล้วก็เป็นสภาพที่เกิดจริง เป็นจริงด้วย คือ เราก็ต้องยอมรับ ถ้ามันเป็นกิเลสแล้ว บางทีเราสู้มันไม่ได้ กิเลส มันจะเอานี่บางที มันแรง เราสู้มันไม่ได้ เราเป็นทาสมันหนะ เราไม่อยู่เหนือมัน โลกุตระคือ เหนือ มันเหนือกิเลสนั้นจริงๆ จิตที่เป็นโลกุตรจิตนี่เหนือมัน เหนือมันจนกระทั่ง สามารถฆ่า มันตายเลย ตายแล้วล่ะ นิโรธเลยดับสนิท นี่แหละเรียกว่านิพพาน จิตตาย นี่ไม่เกี่ยวหรอก ไอ้ร่างกายตาย ไม่ตาย จะเกี่ยวก็ต่อเมื่อปรินิพพาน ปรินิพพาน ร่างกายตาย แล้วไม่หยั่งลงสู่ครรภ์อีก หมด ตัด สันตติ สังสารวัฏหมด ไอ้อย่างนั้นน่ะ ปรินิพพาน ถ้ายังไม่ปรินิพพาน ก็ยังตายแล้ว ก็ยังมีวิบากกรรมต่อ เกิด หมุนเวียนนี่ เรื่องของศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราอ่านพวกนี้ไม่ชัด รู้พวกนี้ไม่จริงแล้ว เราก็ประมาท ทุกวันนี้คนไม่รู้สวรรค์ สวรรค์จริงก็ไม่รู้ สวรรค์ลวงก็ไม่รู้ สมมุติเทพ นี่ เป็นเทวดาลวง อุบัติเทพนี่เป็นเทวดาจริง จริงคือลดกิเลสได้ถูกตัว เกิดค่อยๆเกิด ลดกิเลสได้เรื่อยๆ เป็นโสดาคุณ สกิทาคามีคุณ อนาคามีคุณ อรหัตตคุณ อรหัตตหมายความว่าจบ กิเลสดับสนิท กิเลสขนาดไหนก็ตาม กิเลสเรื่องไหนก็ตาม อาตมาเคยแบ่งให้พวกเราทำ แม้แต่แค่ไปดูดยาติดยากินเหล้า ดื่มเหล้า ติดการพนัน อบายมุขต่างๆ เรื่องผู้หญิง ก็ไปติด ไอ้ของที่เขาหลอกแต่งเนื้อแต่งตัวอะไร ต่างๆนานา สารพัด สาระเพ เดี๋ยวนี้จัดจ้าน ยังกับอะไรดี เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็จัดจ้าน โอ้โฮ ขนาดหนัก นี่ ดูนายเบริ์ดตอนนี้สิ นายเบิร์ด โอ้โฮ เอาอะไรต่ออะไรแต่งเข้าไป บ้ากันใหญ่แล้ว นั่นแหละเดี๋ยวนี้ สังคมเขาไปอย่างนั้น มันก็หลอกขายกัน เป็นธุรกิจ เป็นเรื่องของความวุ่นวายเดือดร้อน ยุ่งกันไปหมด ยิ่งปล่อยไปยิ่งเปิด ยิ่งยุ่งกันใหญ่เลย เป็นบริโภคนิยม เป็นเรื่องที่ทารุณ โหดร้ายต่อสังคมมาก แล้วเขาก็ไม่รู้ เป็นสวรรค์หลอก แล้วมันก็ไม่ใช่ของจริงๆเลยนะ ต่อให้คุณทำความดี ยังไม่ใช่จริงเลย ไอ้ฉาบฉวย ผิวเผิน แค่กามกามารมณ์ กามคุณแค่นี้น่ะ มันเรื่องจ้อย ไม่ใช่เรื่องจริงเลย แล้วก็หลงใหลได้ปลื้มกัน มอมเมากัน หมุนเวียน ขึ้นสวรรค์ ลงนรก เดี๋ยวไอ้นี่ก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวไอ้โน่นก็เปลี่ยนไป อย่างผู้หญิงนี่ ประเดี๋ยวก็สั้นๆ ประเดี๋ยวก็ยาวๆ เดี๋ยวๆยาวๆ เดี๋ยวหุบๆ เดี๋ยวบานๆ อะไรอยู่ อย่างนั้นแหละ รองเท้าก็ประเดี๋ยวก็ส้นตัน ส้นแหลม เดี๋ยวก็ส้นสูง ส้นเตี้ย เอ้า วุ่นอยู่อย่างนั้นแหละ ผมนี่ ประเดี๋ยวก็สั้น ประเดี๋ยวก็ยาว ประเดี๋ยวก็ฟู ประเดี๋ยวก็แฟบอยู่อย่างนี้ ถูกเขาหลอก หมุนเวียน เขาปั่นหัว ยังกะจิ้งหรีด แล้วก็นึกว่า อย่างนี้มันสวย อย่างนี้มันสุข พอถึงแฟชั่น ตอนนี้นิยม ก็ไอ้อย่างเก่าน่ะนะ เออดี สุข พอเขาไม่นิยม โอ้ย อาย แหม เด๋อ เชย เปลี่ยนไปแล้ว พอเปลี่ยนไปแล้ว ประเดี๋ยว ก็วนมาที่เก่าอีก แล้วอยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องจริงอะไรหรอก

นี่ก็วิเคราะห์วิจัยให้ฟังชัดๆขึ้นมาบ้าง เพราะฉะนั้น เราเข้าใจอย่างไร เรียกว่าปัญญา ที่จริงไม่ถึงกับ ปัญญาแท้หรอก ทิฐิความเห็นเท่านั้นแหละ เข้าใจอย่างไร เราเชื่ออย่างไร อธิบายไว้แล้วว่า เชื่อมันมีถึง ๓ เชื่อ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น ศรัทธานี่ ศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น ตอนแรกก็แค่เชื่อถือ แต่ยังไม่ถึงขั้นทำตาม มาวัดดีไหม ดี เสียสละดีไหม ดี แต่ยังไม่สละ ยังไม่ทำตามล่ะ ดี พูดอย่างไรก็ดี เสียสละดีไหม ดี เอาเปรียบดีไหม ไม่ดี แต่ฉันจะเอาเปรียบอยู่ล่ะ ได้เปรียบมา ก็ไปฉลองกันอยู่ทุกที แต่ไม่ทำตาม นั่นเรียกว่า เชื่อเท่านั้นเอง เชื่อนะ ด้วยเหตุผล ตั้งสติดีๆ เข้าใจ คนไม่โง่ดักดานอะไรนี่ เข้าใจทั้งนั้นน่ะ เด็กก็ยังเข้าใจได้เลย เชื่อ ศรัทธา เชื่อ

ทีนี้ ความเชื่อ มันมีกำลัง มันมีน้ำหนัก ถ้าเชื่อมาก จนกระทั่งถึงขนาดหนึ่ง มันก็จะเชื่อ เรียกว่า มีศรัทธินทรีย์ มีกำลังของความเชื่อสูงขึ้นได้ขนาดหนึ่ง มันจะทำตาม มันจะฝึกฝนอบรม แม้จะต้องยาก ลำบาก ก็ต้องทน ฝึกอบรมเอา ขัดเกลาเอาให้ได้ อย่างที่เราเชื่อว่า อย่างนี้เป็น ความจริง อย่างนี้เป็นความดีจริงของมนุษย์ อย่างนี้เป็นความประเสริฐของมนุษย์ เราก็จะทำตาม ในภาษาไทย เราเรียกว่า เชื่อฟัง เชื่อถือนี่ก็เชื่อ เชื่อฟังนี่ทำตาม ศัพท์ไทย ภาษาไทย ถึงขั้นเชื่อฟังนี่ คือศรัทธินทรีย์ เราก็ทำตาม ทำตาม แม้จะอดทน ฝึกฝนอบรมก็เอา ยาก ก็ต้องพยายามพากเพียร ตามอินทรีย์พละของใครก็ของใคร ทำได้ มันก็เบา ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทำไม่ได้ ก็ฝืนไป ทนไป ถ้าไปทำเกินฐานะ บางทีมันก็ทำยาก จนกระทั่ง บางทีเข็ดเขี้ยวก็มี ตะกละ ไฟแรง จะเอาเกินฐานะ จะเอาให้มันเก่งๆทันที พรวดพราดๆ เข็ดขยาดไปก็มี นี่แหละ มัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้า อันหนึ่ง ประเด็นหนึ่ง เราจะต้องคำนวณประมาณให้เหมาะกับเราด้วยว่า รู้จักสักกายทิฏฐิ รู้จักตัวเอง สักกายะก็แปลว่า ตัวเอง ตัวตน อัตตาก็แปลว่าตัวเอง แปลว่าตัวตน อาสวะก็แปลว่า ตัวเอง ตัวตน

เพราะฉะนั้น สักกายะนี่ ตัวเองตัวตนในระดับแรก เราต้องรู้ตัวเรา ว่า เออ นี่ ขนาดนี้ เรานี่แหละ เป็นตัวตนอันใหญ่ๆ ที่เราจะจัดการกับมันก่อน ไอ้ ที่มันยังสูงขึ้นไป ไอ้ที่เรายังทำไม่ไหว เอาไว้ก่อน มันก็เป็นอัตตา มันก็เป็นอาสวะ นั่นมันระดับกลาง นั่นมันระดับปลาย อย่าเพิ่งไปละลาบละล้วง ต้องทำไปทีละขั้น ทีละขั้น ต้องมีลำดับ มีลำดับ แล้วเรายังทำได้มีสัดส่วน แล้วก็ฆ่าได้ ทำได้

เพราะฉะนั้น ผู้ใดเชื่อฟัง ได้ทำจริงๆ แล้วจนกระทั่งเกิดผล ฆ่ากิเลสตายจริงๆ เห็นการเจริญ เห็นความประเสริฐจริง คุณจะเชื่อตัวเอง เชื่อมั่น เห็นจริงด้วยญาณปัญญา เกิดนามธรรม นี่เป็นญาณทัศนะวิเศษ เห็นแม้กระทั่งกิเลสมันตาย เป็นวิมุติ วิมุติญาณทัสสนะเกิด ญาณทัสนะ ก็คือความเห็นแจ้ง เห็นว่ามันวิมุติ วิมุติเป็นอย่างนี้ กิเลสมันตายสนิทเป็นอย่างนี้ แล้วอารมณ์ของ กิเลสตาย เป็นอารมณ์อย่างไร เอ้า อาตมาจะแถมตรงนี้น่ะนะ เมื่อกี้ว่าจะบรรยายถึงเรื่อง ความสงบ ให้ฟังด้วย อารมณ์ของกิเลสตายนั่นแหละ กิเลสหมดแรงแล้ว กิเลสหมดฤทธิ์แล้ว กิเลสสงบแล้ว กิเลสไม่เกิดอีกแล้ว ตายสนิทแล้ว นี่คือความสงบ สนิท ความสงบสมบูรณ์ กิเลสตายนี่ ร่างกายไม่ได้อยู่เฉยๆ ร่างกายยิ่งแคล่วคล่อง ร่างกายยิ่งสว่าง ยิ่งแข็งแรง ยิ่งมีประสิทธิภาพ ยิ่งสามารถ รู้โลกอยู่เหนือมัน ลุย ได้เลย

สมมุติง่ายๆ เราติดเหล้า หรือเราติดบุหรี่ เราไปลดไปเลิก ฆ่ากิเลส ตัวติดบุหรี่ หรือติดเหล้านี่ ได้อย่างสนิท ตายแล้ว โอ้ เรายิ่งสบายเลย เห็นเหล้า เห็นอะไร อยู่เหนือมัน จิตหมดมานะด้วย ถ้าเป็นอรหัตต หรือเป็นอรหันต์นี่ ในระดับที่เรียกว่า ไม่ผลัก ไม่ดูด จิตสงบนี่ ไม่ผลักไม่ดูด ทั้งสองด้าน ไม่โลภ ไม่โกรธ ทั้งสองด้าน จิตสงบอุเบกขา จะรู้เท่าทัน เรียกว่า โลกวิทู หรือ พหูสูตร รู้เท่าทัน ไอ้เหล้ายา มันเป็นอย่างไร เราเคยมีอุปาทาน ไปติดมัน ไปอร่อยกับมัน เป็นอัสสาทะ เป็นรสอร่อยของโลก ไปติดมัน ไปอร่อยกับมัน ตอนนี้เราฆ่ารสอร่อยหมดแล้ว รสอร่อย ไม่เป็นความจริงหรอก รสอร่อยเป็นความหลอก มันไม่ใช่ความจริง มันไม่เป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริง คนก็เลิกไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เลิกไม่ได้ มันไม่จริงหรอก มันหลอก เป็นอัสสาทะ เป็นรสนิยมของโลกๆ นิยมกันสมมุติกันเป็นอุปาทาน แล้วก็นึกว่ามันใช่ นึกว่ามันเป็นสุข มันไม่มีสุข พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสรู้ ท่านตรัสรู้ความทุกข์ ไปได้สมใจ แล้วก็เรียกว่าสุข เราไม่เสพมันแล้ว เหล้าก็ดี บุหรี่ก็ดี ตามที่ว่า เมื่อกี้นี้ ฆ่ากิเลสตัวที่เคยไปหลงเป็นอุปาทาน ไปเป็นกิเลสตัณหา ตาย กิเลสตายแล้วทีนี้ ไม่ดิ้นแล้ว กิเลส ไม่มีมาเกิดอีก เห็นเหล้าก็อยู่เหนือเหล้า มันจะอยู่อย่างไร มันจะ มีมาก มีฤทธิ์มีแรงอย่างไร เราก็เหนือมัน มันยั่วยวน มันจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีการเกิดอีกเลยกิเลส นี่เรียกว่า ลักษณะสงบ แล้วเราจะรู้เท่าทันมัน จะเปิดโปงมันด้วย จะมาแนะนำคนอื่นด้วย แล้วก็ประมาณด้วยนะ ไอ้ข้อสำคัญตรงที่ประมาณ คนเขาคิดมากๆ แล้วไปว่าเขาไปด่า ไปพูดแรงๆ ไปแฉ ไปฉีกหน้า ไอ้ตัวเหล้านี่มันพาให้เลวนะ ไอ้ตัวบุหรี่นี่ มันพาให้ทุกข์ยากนะ มันพาให้ฉิบหายเงินทองด้วยนะ กินเหล้าเมาจัดๆ ไปแล้วนี่ อะไรก็ไม่รู้แล้ว เห็นช้างเท่าหมูบ้าง ไอ้กิเลสราคะ โทสะ อะไรมันมี มันก็ออกมา ไอ้โน่น ไอ้นี่ พาให้ฉิบหายหลายอย่างนะ ฉีกหน้า มันมากๆเข้า คนที่ติดเหล้า เขาก็จะโกรธเอา ก็ระวัง เขาจะมาตั๊นหน้าเราเท่านั้นแหละ ต้องประมาณนะ จะพูดตอนนี้นี่คนๆนี้ เราจะพูดได้ขนาดไหน ชี้ให้เขาเห็นความชั่ว ความเลว ของสิ่งที่เราเลิกมาได้นี่ ชี้ความชั่ว ความเลว ชี้อกุศล ชี้ทุจริต ออกนี่มันจะแรง มันจะรุนแรง

พระพุทธเจ้าท่านตรัส เคยตรัสไว้ว่า ตรัสคำรุนแรงดีอะไร มีคนไปถามว่า ท่านนี่เป็นคนตรัส รุนแรงไหม พระพุทธเจ้าว่า เราเราตรัสรุนแรงด้วย ตรัสรุนแรงอย่างไร คือ ทุจริต หรืออกุศล คือความรุนแรง

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงความทุจริต พูดถึงอกุศลเมื่อไหร่นี่ มันรุนแรง คนที่เขายึดติดอยู่ คนที่เขาทุจริตอยู่ คนที่เขามีอกุศลนั้นอยู่ เขากระเทือน เขาเดือดร้อน เขาขายหน้ามาก หรือว่าเขาเดือดร้อน เขาเสียผลประโยชน์มาก ประเดี๋ยวเขาเอาเราตาย ประเดี๋ยวเขาจะเป็น ปฏิปักษ์ต่อเรา เพราะฉะนั้น เราต้องประมาณ จะพูดได้แค่ไหน เขาศรัทธาเราไหม ระหว่างบุคคล ปุคคลปโรปรัญญุตา ประมาณ ระหว่างที่ประชุมนี่ หมู่กลุ่มนี้น่ะ ที่ประชุมนี้ ปริสัญญุตา ประมาณ กลุ่มหมู่นี้ มีใครบ้าง เราจะพูดได้ไหม ดูซินี่ เป็นหมู่ พวกเรามาก หรือพวกเราน้อย หรือว่าพวกที่พูดแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจหรอก ไปฉีกหน้า ฉีกตามากๆ เดินออกตรงนี้ ไม่ได้หรอก ตาย ไม่ต้องตายด้วยอะไรหรอก บาทา ตายด้วยเขากระทืบตายตรงนี้น่ะ เพราะเขาโกรธ เขาเคือง ก็ต้องประมาณ ถ้าไม่รู้จักประมาณนะ เทศน์ไม่รู้กาละเทศะ ไม่รู้หมู่กลุ่มประชุมชน ไม่รู้จักผู้คน ตายลูกเดียว และพระอริยเจ้า หรือผู้โลกวิทู คือผู้รู้นี่ จะต้องฉีกหน้าความชั่ว ไม่มีใครกล้าพูด ความชั่วหรอก นอกจากพระอริยเจ้า เพราะพูดความชั่วแล้วคนไม่ชอบ แล้วเป็นภัยด้วย ส่วนคนโลกๆ เขาไม่พูด ไม่ค่อยอยากพูดหรอกความชั่ว เขาจะพูดความดี แม้มันไม่ดี ยังป้อยอเลย เพื่อเขาจะได้ชอบ ได้รักเรา แล้วเราก็จะได้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เราก็จะได้จากเขา ป้อยอเข้าไป โกหกมดเท็จเล่นลิ้น ไปตามเรื่องตามราว นั่นคนโลกๆ เขาก็พูดอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น คนโลกๆ เขาจะพูดแต่ส่วนดีเป็นส่วนมาก ส่วนคนที่ธรรมะ จะพูดในเรื่องสิ่งที่ไม่ดี เป็นส่วนมาก เพราะความไม่ดี อยู่ที่คน ๑ วินาที มันก็เลวอยู่ ๑ วินาที มันอยู่ที่คนนานไปเป็นชั่วโมง ไปเป็นเดือน เป็นปี มันก็เลว อยู่กับผู้นั้นอยู่เป็นเดือน เป็นปี ต้องรีบให้เขารู้ตัว ต้องรีบให้เขาเลิก เขาละ เขาล้างออก มันมีความจำเป็น มันมีความสำคัญ ต้องรีบชี้ชั่ว ส่วนความดีนั้น จะมี อยู่ในตัวของเขา ก็มีไปเท่าไหร่ ก็ช่างมันเป็นไร ก็มันไม่เสียอะไรนี่ความดี ไม่ต้องไปบอกก็ได้ ถ้าจะบอก ก็กำชับกำชาว่าดีแล้ว อย่าไปเปลี่ยนแปลงนะ ก็เท่านั้นเอง ให้เขามีกำลังใจว่า เออ ดีแล้วนะ แล้วเขาจะได้มั่นใจ ก็เท่านั้นเอง แม้ไม่รีบบอก มันก็ไม่เสียหายอะไร มันอยู่ที่ตัวเขาอยู่ เขาไม่รู้ตัว แต่เขาก็ทำอย่างนี้อยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรนี่ มันเรื่องดี มันไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน รีบด่วนอะไร แต่ความชั่ว เป็นความจำเป็นที่รีบร้อน รีบด่วน ที่เราจะต้องรีบบอกกัน ให้รู้ ได้โอกาสเมื่อไหร่ เป็นเอา

อาตมาเข้าใจอย่างนี้ แล้วอาตมาก็ทำอย่างนี้ อาตมาถึงบอกว่า ด่าคน เขาทั่วบ้านทั่วเมือง ใช่ อาตมานี่ได้รับฉายา แต่ก่อนนี้เรียกว่า ขวานจักตอก คำว่าขวานจักตอก ด่า ไม่บันยะบันยังเลย ที่จริงไม่หรอก อาตมาประมาณ อาตมาไม่ใช่คนห่าม ไม่ใช่คนไม่มีสัปปุริสธรรมอะไร อาตมาประมาณ ถ้าอาตมาไม่ประมาณนี่นะ อาตมาตายตั้งนานแล้ว อาตมาเคยเทศน์ ตั้งแต่แรกๆ ใหม่ๆเลย พ.ศ ๒๕๑๔, ๒๕๑๕ ที่ออกมาบวช แล้วก็ออกมาเผยแพร่ธรรมะ อาตมาประกาศ ต่อหน้า วัดมหาธาตุ อยู่ที่วัดมหาธาต พูดอยู่ตั้งหลายทีว่า อาตมาจะเทศน์ให้ตายภายใน ๓ วัน ๕ วัน ก็ได้ แล้วไม่ตายดีหรอก ตายถูกเหยียบตาย แล้วอาตมาไม่เทศน์ผิดด้วย พูดความจริงด้วย ตายไม่ใช่พูดตอแหล ทุจริตอะไรด้วย พูดความจริงนี่แหละ แล้วตายภายใน ๕ วัน ๓ วันได้ อาตมา จะเทศน์อย่างนั้น ให้ตายภายใน ๓ วัน ๕ วัน ก็ได้ แต่อาตมาไม่โง่ที่จะไปทำหรอก อาตมาก็ไม่ได้ทำ ก็เป็นไป ก็ประมาณกัน มาทุกวันนี้ ถ้าจะพูดแฉออกไป จนกระทั่งตัวเองต้องตาย หรือว่า ความจริง ที่เราจะแฉออกไปนั่นนะเหรอ โฮ มันมีให้แฉมหาศาล นับไม่ถ้วนหรอก แล้วมันมีคนจริง รองรับด้วยนะ ไม่ใช่ไม่มีคนจริงรองรับ ตัวคนจริงรองรับนั่นแหละ เขาจะมาเอาเราตาย ไม่ใช่เรื่อง ที่มันไม่รู้ หรือว่ามันไม่จริง มันเป็นเรื่องจริงอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ในสังคมนี่ ธรรมาธรรมะสงคราม หรือว่าเรื่องที่จะต้องต่อสู้กัน ระหว่างความถูกต้อง กับความผิดนี่ มันเป็นมาตลอดนิรันดร์กาล แล้วพระอริยเจ้า หรือผู้ประเสริฐ ก็จะต้องมาปรารถนาดี เจตนาดี ไม่ได้ทำเพราะเราชัง เราไม่ได้ชังคนชั่วนะ แต่ว่าไม่ชอบ ตามโวหารนะ แต่เราไม่ได้ทุกข์หรอก ค้นหัวใจ ไม่ใช่หรอก ไม่ชอบความชั่ว หรือความไม่ดี ซึ่งเราแก้ไขตรงนี้ เราไม่ ได้ไปฆ่าคน คนไม่ดี ฆ่าคนไม่ดี ไปฆ่ามันก็ตายเท่านั้น ความไม่ดีมันก็เป็นวิบากอยู่ กับเขาเท่านั้น อย่างเดิมน่ะ เสร็จแล้ว แถมเราก็ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่ได้ช่วยอะไรเขาหรอก อย่าพึ่งให้เขาตายนี่ มันจะได้พูดกันรู้เรื่อง คนชั่วอย่าเพิ่งตาย แล้วพยายามที่จะให้เขารู้ความชั่วของเขา แล้วก็แก้ไข ปรับปรุง ไม่ต้องไปอยากให้เขาตายหรอก เขาต้องตายอยู่ทั้งนั้นแหละ คนชั่ว คนดี ก็ต้องตายทั้งนั้น แหละ แต่ว่าไม่ต้องไปอยากให้ใครตายหรอก แล้วไม่ต้องไปโกรธคนชั่ว ถ้าจะชัง หรือว่าไม่ชอบ ก็ไม่ชอบตรงความชั่ว มีอยู่ในใครก็ไม่ชอบ อยู่ในเราก็เอาออกของเรา อยู่ของคนอื่น บอกเขา แล้วก็ให้เขาเอาออก มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าชอบ ไม่น่าชื่น ไม่น่าจะมีจะเป็น อะไรทั้งนั้นแหละความชั่ว มันอยู่ในคน เราเข้าใจอย่างนี้ เราก็พยายามช่วยกันทำไปอย่างนี้เรื่อยๆ

ทีนี้ คนที่ได้รับการรู้ แล้วก็ไปดับความชั่ว ฆ่าความชั่ว ฆ่ากิเลสนั่นน่ะ จิตก็เจริญขึ้น เป็นเทวดา เป็นอุบัติเทพ จนกระทั่งถึงวิสุทธิเทพ วิสุทธิเทพ คือ เทวดาที่บริสุทธิ์แล้ว สงบแล้ว มีนิโรธ มีนิพพาน ดับ ฆ่ากิเลส กิเลสแค่บุหรี่ กิเลสแค่เหล้า กิเลสแค่ยาเสพติด กิเลสแค่รองเท้า กิเลสแค่กำไล กิเลสแค่เพชร แค่พลอย กิเลสแค่เครื่องแต่งตัว กิเลสแค่อะไร มันเป็นกิเลสทั้งนั้นแหละ ไปติดอะไร ในอย่างใดๆ มันไม่ซ้ำกันเท่าไหร่ มันซ้ำกันก็มี ไปแย่งอันเดียวกันก็มี แต่มันไม่แย่งอันเดียวกัน ทั้งหมดหรอก ถ้าขืนแย่งอันเดียวกันหมด ตายเลย ผู้หญิงก็แย่งคนเดียวกัน ผู้ชายก็แย่งคนเดียวกัน ตาย โลกนี้ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรหรอก หรือแม้แต่ของกินของใช้ ไอ้นี่ไอ้โน่นอะไรในโลก มันไม่ไปแย่งสิ่งเดียวกัน มันไม่ชอบสิ่งเดียวกันไปทั้งหมดหรอก แต่ชอบซ้ำกัน คล้ายกันนั่นมี แล้วก็ พยายาม ที่จะให้มาชอบคล้ายกัน มันจะได้แย่งกัน แย่งกันแล้ว มันจะได้ขึ้นราคา หลักวิธีการของ คนขี้โลภ วิธีการหากิน คนต้องการมากๆ หลักเศรษฐศาสตร์ มีดีมานสูง ของน้อย ฉันก็จะได้ราคามาก หลักเศรษฐศาสตร์ขี้โกง ถึงไม่ใช่ หลักเศรษฐศาสตร์ที่แท้หรอก แล้วมันทำกันอยู่ ในสังคมนี่ นักเศรษฐศาสตร์ขบถเต็มบ้านเต็มเมือง เรียนเศรษฐศาสตร์มา ทฤษฏีเขาดี แต่พฤติกรรม เขามันเลวร้าย มันถึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ตกในโลกนี้ เพราะเป็นทาสกิเลส เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ขบถ เกือบทั้งนั้นแหละ เรียนมาน่ะดี แต่ว่าปฏิบัติแล้วเลวร้าย มันก็ไปไม่รอด

เอาล่ะ อาตมาสรุปตรงนี้ก่อนว่า เมื่อเกิดจิตสงบอันนี้ คือความสงบ สงบนี่คือ กิเลสมันหมดเกิด หมดฤทธิ์แรง หมดดิ้น หมดชีวิต นี่สงบ นี่คือความสงบที่แท้จริง ในศาสนาพุทธหมาย ไม่ได้หมายความว่า สงบก็คือ ไม่พูด หลับตา หนักเข้าไม่หายใจ หายใจเบา นิ่งแข็ง นี่คือสงบ หรือไม่ก็ หนีไปอยู่ที่ที่ไม่มีเสียง ไม่มีผู้คน ไม่มีอะไร ไอ้นั่นมันลัทธิฤาษี ฤาษีเขาสงบแบบนั้น สงบแบบนั้น ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำไป ว่ามีกิเลสหรือไม่มีกิเลส สงบแบบนั้นน่ะ ก็มีความหมายของคำว่า สงบเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่รักความสงบ แล้วจะต้องไปอยู่ในที่สงบ ที่จริง ในวิธีการปฏิบัติ มันก็มีบ้าง แต่ว่ามันไม่ใช่ตัวความสงบที่แท้ มันไม่ใช่ความสงบ ระงับที่แท้ ไม่ใช่ ไม่ใช่จริงๆ มันเป็นลักษณะของลีลาของโลกธรรมดา ง่ายๆ ตื้นๆ เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ใครบอกว่า สงบแล้ว คือจะต้องไปอยู่ป่า อยู่เขา อยู่ถ้ำ โลกเขาเป็นอย่างไร ช่างหัวมัน นั่น มันคนโง่ ไม่ใช่คนสงบ คนทิ้งโลก เราเรียกว่าโลกันต์ ภาษาบาลีท่านเรียกว่า โลกันต์ คือหนีโลก ไปอยู่ที่สุดของโลก โลกอันตะ นี่แปลว่าที่สุด ไปอยู่ที่สุดของโลก ไปอยู่ที่ไหน ที่ไม่เกี่ยวข้องโลกียะ ที่เขามีวัฏฏะวน มีสังขาร มีความปรุง ความแต่งอะไร ไม่ยุ่ง ไม่ต้องไปเกี่ยวกับเขา อย่างนี้เรียกว่า โลกันต์ พระพุทธเจ้าท่านแปลโดยอรรถ โลกันต์ว่านรก มหานรก โลกันต์แปลโดยอรรถว่านรก แปลโดยพยัญชนะ ก็ว่าที่สุดของโลก แปล โดยอรรถ ก็คือนรก ก็คงจะเคยได้ยิน โลกัตน์แปลว่านรก ส่วนของพระพุทธเจ้า นั่นโลกุตร ไม่ใช่โลกันต์ โลกุตร ไม่ใช่โลกันต์เหนือโลก โลกมันก็มีของมันอยู่ แต่เรามีทั้งปัญญา มีทั้งอำนาจเจโต มีทั้งอำนาจจิต ที่อยู่เหนือมันจริงๆ จิตหมดกิเลส กิเลสตายสนิทจริงๆ สงบ สงบอยู่ท่ามกลางนรก อยู่ท่ามกลางโลกียะ

โลกียะมันจะร้อนเร่า จัดจ้านอย่างไร ๆ คนที่มีโลกุตรจิต จิตอยู่เหนือ จิตสงบระงับจิตแล้ว นี่ จะช่วยคนที่ตกนรกได้ด้วย มีประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน อย่างนี้จึงเรียกว่า พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ จึงเรียกว่าเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ต่อมนุษย์ชนเป็นอันมาก แปลอย่างภาษาทาง คอมมิวนิสต์ ก็แปลว่า มีประโยชน์ต่อมวลชน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ ทำให้ปวงหรือมวลชนนี้มีความสุข สุขอย่างวูปสโมสุขด้วย ไม่ใช่สุขอย่างเมื่อกี้ที่ว่า สุข สมมุติน่ะ เป็นสมมุติเทพน่ะ ความสุขลวงน่ะ สวรรค์ลวง ไม่ใช่อย่างนั้นด้วย สุข อย่างสงบระงับอย่างนี้ด้วย โลกานุกัมปายะ อนุเคราะห์โลกอยู่ ศาสนาพุทธ เป็น ศาสนาอนุเคราะห์โลก เป็นศาสนาที่ เพื่อมนุษยชาติ ไม่ใช่ศาสนาฤาษี ที่หนีเอาตัวปลีกเดี่ยว

เพราะฉะนั้น โลกุตระของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่ศาสนาที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม เป็นศาสนาที่ มีประโยชน์ ต่อสังคมอย่างยิ่ง ขอให้ถูก ให้ตรง ตามสัจจธรรมของพระพุทธเจ้าเถอะ มันเป็นประโยชน์ตน ที่ละความเห็นแก่ตน เมื่อตนละความเห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ตนจริง ก็มีแต่เห็นแก่ผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่น ยิ่งไม่มีตัวไม่มีตน ไม่เห็นอะไรแก่ตัวแก่ตนเลย มันยิ่งไม่กลัวเหน็ด กลัวเหนื่อย มันยิ่งสละได้ คนเรานี่เหนื่อย เหน็ดเหนื่อย แค่ไปหาเงิน หาทอง ไปแย่งเงิน แย่งทอง เหน็ดเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย เหนื่อย หาเงินหาทอง ยิ่งคนที่เขา ไปต่อสู้กัน ในสังคมนี่นะ ต่อสู้ด้วยความเฉลียวฉลาด ต่อสู้กันด้วยเชิงกลอะไร ก็แล้วแต่เถอะ กลการค้า กลการเมือง กลเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็ตามใจเถอะ ต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้ประสิทธิภาพ ต้องใช้แคลลอรีเหนื่อยนะ ไม่ต้องไปพูดถึง ออกแรงชกกัน ตีกัน ชักคะเย่อกันนี้ ไม่ต้องไปพูดหรอก

ไอ้อย่างนั้นน่ะ เหนื่อยน่ะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย คนเหนื่อยอย่างนั้น แล้วเขาก็ได้ไอ้ขี้กะโล้โท้มา ไม่ใช่ทรัพย์แท้เลย ได้เงิน ได้ลาภ ได้ยศ เขายังเหนื่อยกันเต็มบ้านเต็มเมือง นี่ ยังเสียสละกันได้ เสียสละความเหนื่อยนั้น ได้สิ่งที่ไม่น่าได้ สิ่งที่ไม่ได้จริงด้วย ไม่ใช่ทรัพย์แท้ด้วยนะ ฟังให้ดี มันซ้อนเชิง จริง เขาได้มา เป็นแท่งเป็นก้อน โอ้ ได้ทอง ได้เงิน ได้นี่กี่ล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ได้มาเป็นชิ้นเป็นอัน เขาได้นะ แต่ตาของเขา ก็ตามนุษย์ธรรมดาเท่านั้นเอง ตาเนื้อ เขาก็ได้อันนี้ ติดดีใจใหญ่ เขายังเหน็ดเหนื่อย เสียสละเพื่อได้สิ่งเหล่านั้นมา เหนื่อยเท่าไหร่เขาก็ยอม เพื่อได้สิ่งเหล่านี้ เขายังเหน็ดเหนื่อย เสียสละเพื่อได้สิ่งเหล่านี้มา เหนื่อยเท่าไหร่ก็ยอม เพื่อได้สิ่งเหล่านั้น แต่คนที่มีภูมิปัญญาทางธรรมอย่างลึกซึ้งแล้ว ได้จริง ทีนี้ได้ทรัพย์แท้ เหนื่อย แล้วได้ทำไมไม่เอา ได้อะไร ได้สิ่งที่ประเสริฐกว่าเงิน กว่าทอง ทรัพย์ศฤงคาร ลาภยศ ที่เป็นโลกียะด้วยซ้ำ ได้คุณธรรม ได้คุณค่าอันวิเศษ ได้ละกิเลส ได้เสียสละ ก็พูดซ้ำ พูดซาก ได้สิ่งที่เราเสีย ไม่ใช่เลวทรามนะ สิ่งที่เสีย คือสิ่งที่สละได้ คือเสีย เสียไป สละไป นั่นคือสิ่งที่เราได้ เป็นจาคะ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา จาคะตัวนี้แหละ เป็นหลักตัวใหญ่เลยของมนุษย์

มนุษย์เกิดมา ถ้าได้จาคะที่จริง จาคะสัมปทา เข้าถึงความเป็นผู้สละ เป็นผู้บริจาค เป็นผู้ให้จริงๆ เป็นผู้เอาออกจริงๆ ได้จริงๆ โลกนี้สุขเย็น โลกนี้สบายจริงๆเลย แล้วเราก็เชื่อ มีศรัทธา เชื่อในจาคะว่า เป็นเรื่องวิเศษ เป็นทรัพย์อันวิเศษของมนุษย์ สั่งสมไปด้วยยากด้วยเย็น กว่าจะมีจาคะบารมี กว่าจะมีจาคะสัมปทา กว่าจะมีทรัพย์อันนี้ที่แท้ที่จริง ที่เป็นกรรม เป็นวิบากของตน ของคนนี่ ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะ ไม่ง่ายเลย แต่มันสุดยอดวิเศษ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบ แล้วก็มาชี้ชวนให้คนเรา สั่งสมเอาทรัพย์อันนี้ เรียกว่าโลกุตระ เหนือโลกโลกียะ ไปแลกลาภ ไปแย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญ แย่งโลกียะสุขอยู่นั่นแหละ เคยมาทุกคน ไม่รู้คนละกี่ชาติ มีวิบากกันอยู่นานับชาติ เคยมาทุกคน

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้พบศาสนาพุทธ ไม่ได้พบสิ่งที่เป็นสัจธรรมพวกนี้แล้ว แล้วไม่ได้ฝึกฝน ไม่ได้สั่งสมเอาแล้ว คุณจะไม่เชื่อจริง ถ้าได้สั่งสมมา เห็นจริง เห็นดีเรื่อยๆ ก็ค่อยสั่งสมเพิ่มขึ้น ๆๆๆ ๆๆ ยิ่งเพิ่มขึ้น ยิ่งเห็นจริงเลยว่า โอ้ นี่ของแท้ ของวิเศษของมนุษย์ จะเห็นว่า สุขเพราะสงบ สุขเพราะว่า มันสงบ อย่างที่กล่าวแล้วว่า กิเลสมันตาย คนที่กิเลสตาย ยิ่งสดชื่น เบิกบาน คนที่กิเลสมาก ยิ่งเดี๋ยวก็หมอง เดี๋ยวก็บาน เดี๋ยวก็หุบ เดี๋ยวก็บาน เดี๋ยวก็หุบ เดี๋ยวก็บาน เดี๋ยวก็หุบ ยิ่งกิเลสมากเท่าไหร่ ยิ่งบานยิ่งหุบบ่อยๆ ไวๆ หนักเข้า มีแต่หุบมากกว่าบาน หม่นหมอง ห่อเหี่ยว มากกว่าบาน นี่เรื่องจริง ต่อให้มีเงินล้นฟ้า ไปนั่ง ตื่นเช้าขึ้นมา ก็มุ่ยแล้ว นอนก็ไม่หลับด้วยล่ะ ต่อให้มีเงินล้นฟ้า ทุกข์ทรมานโน่น นี่ ไอ้นั่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ไม่ชนะคะคาน ไอ้นี่กูก็จะแพ้ ไอ้โน่นก็จะห่วง พูดก็เมื่อย แล้ว ไม่ต้องไปมีจริงหรอก พูดยังไม่หมดน่ะ นี่ยังเมื่อยแล้ว แล้วก็ให้พูดหมด มันจะไม่เมื่อยอย่างไรไหว แล้วยิ่งไปมีจริงด้วย ไม่เมื่อยเหรอ นี่ต้องเห็นแท้เห็น จริงนะ

อาตมาเองออกมาบวช เขาหาว่าบ้า มีชื่อมีเสียงอยู่นะ ตอนนั้นก็มีชื่อ รายได้ก็พอมี แต่มันไม่ดี เท่าเดี๋ยวนี้นะ โอ้โฮ เดี๋ยวนี้เทียบกับนายเบิร์ดไม่ได้ ถ้ามันราคาอัตราก่อนนี้นะ อาตมาแต่งเพลง เพลงหนึ่งขาย หักกลบลบหนี้เสร็จ อัดเสียงเสร็จ ได้เท่านั้น ไม่มีเปอร์เซนต์ ไม่มีอะไรเลยนะ ได้ ๓๐๐ บาท เดี๋ยวนี้ แต่งเพลงหนึ่งเป็นล้านนะ ถ้าเผื่อว่าติดตลาด ขายได้ล้านตลับ เอ้าตลับหนึ่ง บางที เจ้าของเพลง เขาก็มีเปอร์เซนต์เหมือนกันนะ ได้เท่านั้นเท่านี้ ตามได้ ล้านตลับ ก็ได้เป็นล้านบาท เหมือนกันนะ นายเบิร์ด มันยิ่งอัตราราคาค่าตัวอันนี้มันยิ่งแพง ถ้าอาตมามาเดี๋ยวนี้บ้าง อัตราโน้นน่ะ อาตมาก็ได้ทรัพย์ศฤงคาร เพลงกำลังดัง หนังโทนเข้าโรง กำลังดังหนังโทน เป็นหนังเทวดา ไม่ต้องโฆษณา มันก็ดัง หนังโทนนี่ นี่เขาจะเอามาทำออกช่อง ๓ อาตมาทำให้เขา เสร็จแล้วอาตมา ปฏิบัติธรรมแล้ว อาตมาก็ออก กำลังดังนะ คนเข้ามาต่อโอ้โฮ เพลงที่ขายกัน อัดแผ่นเสียง แต่ก่อนนี้ ยังไม่มีเท็ปหรอก อัดแผ่นเสียง ไอ้ลองเพลย์ ขายเป็นว่าเล่นเลย ขายทำลายสถิติน่ะ คนก็มาติดต่อ คนก็จะทำ ให้สร้างให้ทำอีก อาตมาบอกว่า อาตมาไม่เอา อาตมาพอแล้ว อาตมาจะเข้าไป อาตมาไม่คิดจะบวช ด้วยตอนนั้น เพราะว่า มองไปแล้ว พระในเมืองไทย ไม่เอาถ่าน ไม่เอาจริง มันมีมานะอย่างนั้นจริงๆนะ มันเห็นเลย เขาไม่เอาจริงน่ะ พระในเมืองไทยนี่ ไม่เอาจริง มาแย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญกัน ไม่เอาจริง เพราะฉะนั้น ไม่คิดจะบวช แต่ว่าอาตมาจะออกแล้ว ไม่เอาแล้ว ลาออกจากงาน ตอนนั้นยังไม่ได้ลาหรอก หนังโทนกำลังเข้า ยังไม่ได้ลา จนกระทั่งพอสมควร หนังยังไม่ออกจากโรงหรอก อาตมาเข้าวัดไปแล้ว แล้วอาตมายื่นใบลาจากบริษัทแล้ว ยื่นใบลาสิ้น เดือนสิงหา อาตมายังจำได้ หนังมันเข้าโรงเดือนกรกฏา แล้วหนังนี่ฉายไป จนกระทั่งถึงเดือน พฤศจิกายน อาตมาลาออก ยื่นใบลาอยู่เดือนสิงหา สุดท้ายก็เป็นอันว่า ขอลาขอเลิก ตอนนั้นคุณกำจัด กีพานิช เป็นผู้อำนวยการบริษัทอยู่ ดี อาตมาไป ถาม ทำไมจะออก อาตมาจะไปแล้ว ไปทางนี้ ทางธรรม เขาก็เห็น อาตมาปฏิบัติธรรม เขาก็รู้ เขาก็หาว่าบ้าอยู่อย่างนั้น แต่นั่นแหละ เขาก็รู้ว่า อาตมาปฏิบัติธรรม เขาก็ค้านไม่ได้ อยู่ไม่ได้ อาตมาบอกว่า อาตมาออก อาตมาไม่อยู่หรอก เขาอยากให้อยู่กันนั่นแหละ เพราะว่าเราทำงาน เราไม่ได้ไป โลภโมโทสันแล้วล่ะ มีแต่ให้กับเพื่อน เราก็ไม่เอาอะไรแล้ว

อาตมาได้ทางโลกก็ได้อยู่ทิ้งมา ไม่ได้หมายความว่า เราล้มเหลวทางโลก ออกมาที่มีจะเอาลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่กับโลก เราก็รู้แต่เราไม่เอาหรอก เห็นจริงๆเลย ใจมันรู้สึกจริงๆ ใจมันเห็น มันไม่ต้อง อยากได้ เอามาทำไม ไปเหน็ดเหนื่อยกับมันทำไมอีก ถ้าจะเหน็ดเหนื่อย มันซ้อนนะ เรามาเหน็ดเหนื่อย แต่ตอนนั้น ไม่คิดจะเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้หรอก บอกโอ้ย คนนี่มันไม่ไหว ไปหาที่อยู่ของเรา ไปปลูกกุฏิอยู่ที่ป่าแสม ท้ายวัดอโศการาม เจาะรูเข้าไป ตั้งโอ้โฮ ๕๐, ๖๐ เมตร ทำสะพานยาวไว้ ใครเคยไป ยังมีรูปถ่าย ยังมีเขาไปเก็บหลักฐานเอาไว้ เข้าไปมุดอยู่ในกุฏิโน่นแน่ะ ไม่เอาแล้วไอ้โลกนี่ มันวุ่นวายนัก เหนื่อยกับมันก็ไม่ได้เรื่อง ไม่เอาจริง แต่คนก็ไปลากออกมาจนได้

จนอาตมามารู้ตัวว่า อาตมาต้องทำงาน ถ้าขืนอย่างนั้น ก็เหมือนพระะพุทธเจ้า

อ่านต่อ หน้าถัดไป

FILE:1465A