เอาให้แน่...ทรัพย์แท้ของมนุษย์ ตอน ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อ วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๔ ณ พุทธสถานสันติอโศก

หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑


จนอาตมามารู้ตัวว่า อาตมาต้องทำงาน ถ้าขืนอย่างนั้น ก็เหมือนพระะพุทธเจ้า เอ้อ โลกนี้สอนคน ก็จะเหนื่อยเปล่าเสียละมั้ง แต่เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า กว่าจะรู้ตัวตั้งนาน พระพุทธเจ้า ท่านรวดเร็ว ท่านก็เหยียดแขนออก คู้แขนเข้า สหัมบดีพรหมอาราธนา ฉิบหายแล้ว พระพุทธเจ้า ถ้าขืนไม่สอนมนุษย์ ก็โลกฉิบหายใหญ่น่ะซี มันเหมือนกันนั่นแหละ แต่มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่า ของท่าน มันชนิดยิ่งใหญ่ ไอ้ของเรา มันชนิดยิ่งย่อย มันไม่ยิ่งใหญ่กับอย่างของท่าน ตั้งนาน กว่าจะรู้ตัว่า เราคิดผิดนะ เรามัวจะไปเห็นแก่ตัว อัตตามันขึ้นเหมือนกัน อัตตา คือตัวเรามันขึ้น เราได้ของดีแล้ว เราก็พอแล้ว พวกนี้มันสอนไม่รู้เรื่องหรอก แต่ไม่ได้ว่าคุณนะ มันจะไปสอน รู้เรื่องเหรอ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กามก็มากมาย มานะก็มากมายอย่างนี้ มันไม่รู้เรื่อง อาตมาก็ได้แต่ ไม่เอาล่ะ ไม่ทำ

แต่คนไปลากมา ก็เอ๊ ทำไมนะ เราหนีก็ไม่พ้น มันก็ไปลากเรา ออกมาอยู่นั่นแหละ ลากออกมา อาตมาออกมาบรรยาย ก่อนที่จะบวช ถึงจะคิดได้ นุ่งกางเกงขาสั้น รองเท้าก็ไม่ใส่ ใส่เสื้อคอกลม ตัวหนึ่ง หัวก็โกนแล้ว คิ้วก็ไม่โกน มันก็เหมือนลิงน่ะนะ หัวโกน แต่คิ้วไม่โกน ใส่เสื้อคอกลมสีขาว ตัวหนึ่ง กางเกงขาสั้น เดินสุขุม อาตมาเดินสุขุม คือมันไม่อยาก จะไยดี อะไรกับโลกเขาแล้ว เฉย รองเท้าก็ไม่ใส่ ก็เดิน เขาก็รู้ คนก็จำหน้าได้ รัก รักพงษ์ บ้าแล้ว เดินน่ะ บ้าแล้ว ก็จริงๆ เขาก็รู้สึก อย่างนั้นจริงๆ เขาให้อาตมาอภิปราย ขึ้นเวที เขาก็ใส่เสื้อนอก ผูกเน็คไท ขึ้นเวทีมาอภิปรายกัน แต่ละคน เราก็ รองเท้าก็ไม่มี เดินไปนั่งบนเวทีกับเขา พูด คนมันก็ลบหลู่ มันก็บอกว่า เออ เอาไอ้บ้าที่ไหนมาพูด แล้วเขาก็ยิ่งบอกว่า ไอ้นี่ มันรัก รักพงษ์ นี่หว่า อ้อ มันไปแล้ว สติไม่ดีแล้ว ใครเขาจะมาฟังเล่าคนบ้า เขาก็ตีค่าแต่แค่รูปวัตถุ ตามธรรม เราก็พูด พยายามพูด เอาล่ะ เขาดูถูกรูปร่างเรา เขาก็ดูถูกรูปร่างภายนอก เราก็พยายามบรรยาย เราก็บรรยายสูงเสียด้วย เราบรรยายโลกุตระ คนมันก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง บอกเออ บ้าจริง สอดคล้องเลย เห็นรูป บ้า ภาษาก็บ้าด้วย เพราะฟังไม่รู้เรื่อง มันก็เลยไม่ได้เรื่องอะไรก็บอก เอ๊ เราไม่สอดคล้องกันเลยนี่ คนเขาไม่มีตัวศรัทธา สักกะนิดหนึ่งเลย แม้แต่รูปแบบก็ไม่ศรัทธา ก็เลยเห็นว่า เออ บวชเถอะ เอารูปแบบเครื่องแบบ

นี่ เขาได้มาใส่ความ นี่เห็นไหม ไม่ได้มาบวชจริง ไปเอารูปแบบเขา เขาว่าอย่างนั้น ทางด้าน เถรสมาคม เขานึกว่า อาตมามาเอารูปแบบเขา เห็นไหมนี่ ยังเล่าไว้เลย ในหนังสือสัจจะชีวิต เล่าสิ อาตมาเป็น อย่างนั้นจริงๆ มาเอารูปแบบเขา ไม่ได้เจตนาที่จะมาบวชจริงหรอก มันมาทำลายศาสนา เขาก็ว่า อย่างนั้นล่ะนะ เอา ก็ว่าไปเถอะ แล้วอาตมาไม่เถียงหรอก เพราะว่าเถียงกับคนที่ไม่เข้าใจ มันก็เท่านั้น ไม่ต้องเถียงหรอก บอกคนมีปัญญาเขาต้องเข้าใจ แต่คนที่ไม่มีปัญญา เถียงไป ก็เจ็บคอเปล่าๆ ดีไม่ดีก็โกรธกันเปล่าๆ ไม่เอา อาตมาก็เลยคิดได้ โอ้ พวกนี้นี่ มันมีศรัทธาเป็นระดับ

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เขาศรัทธาตั้งแต่พื้นนี่ไป เราพูดสอดคล้อง เอาแต่ง่ายๆนะ อาตมานุ่งกางเกง ขาสั้นตัวหนึ่ง ใส่เสื้อคอกลม โกนหัว ไม่โกนคิ้ว แล้วก็เดินซึมอยู่อย่างนี้ แล้วก็เดินนิ่งอย่างนี้ เขาก็ว่าไอ้นี่บ้าซึม นี่ ซึมเซื่องๆนี่บ้า แต่พออาตมาบวชปั๊บ นุ่งห่มจีวร โกนหัวตอนนั้น โกนหัว ก็ต้องโกนคิ้วด้วย เพราะว่าอยู่กับเถรสมาคม แล้วก็โกนคิ้วด้วย แล้วก็เดินสุขุมอย่างซึมนี่แหละ เดินอย่างนิ่งสงบอย่างนี้นี่ โอ้โฮ พระองค์นี้สงบอย่างนี้เลย เห็นไหม แค่นี้ ตรงกันข้ามกันแล้ว ความรู้สึกของคนน่ะ แหม พระองค์นี้ สงบอย่างนี้เลย เรียบ เยี่ยม อย่างนี้เลย กรูเกรียวตามเลย แต่ก่อนนี้วิ่งหนี คนเดียวกัน กิริยาเดียวกัน เปลี่ยนตัวเครื่องแบบเท่านั้น จากนุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อคอกลม มานุ่งห่มจีวรเป็นอย่างนั้น เท่านั้นเอง เปลี่ยนเท่านี้น่ะ เดินเหมือนเดิม เดินเหมือนเดิม กิริยาเหมือนเดิม แต่กิริยาตอนโน้น เป็นไอ้บ้าวิ่งหนี แต่กิริยาตอนนี้ วิ่งเข้าหาเลย บอกโอ้โห สุขุม สงบ เดี๋ยวนี้อาตมาไม่สงบเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะว่ามันเป็นนักรบพ่อลูกอ่อน มือหนึ่งอุ้มลูก มือหนึ่ง ควงดาบ มันก็เลยยุ่งกันหน่อย ตอนนี้มันงาน มันเยอะ ก็รู้ อาตมารู้ ทำอย่างนั้น มันก็ไม่ทันน่ะ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันมา แล้วเหตุปัจจัย มันมีทุกสิ่งทุกอย่าง

เอาล่ะ อาตมาก็สรุปให้ฟังว่า โลก โลกีย์นี่ เขาเหนื่อย เขาก็แลก แลกได้แค่นั้นแหละ ไม่ใช่ทรัพย์แท้ด้วย เขายังเอา เหน็ดเหนื่อยกันน่ะ ฆ่าแกงกันตายด้วยนะ เราไม่ต้องไปฆ่าไปแกงเขา ให้ตายหรอก ไม่ต้องหรอก ทำก็เท่าที่ทำได้ นี่เขาจะจับอาตมาฆ่าๆแกงๆ เขาจะจับติดคุก ติดตะราง ก็จับไปเถอะ ว่าไปเถอะ คุณจะทำอย่างไร ใช้อำนาจบาดใหญ่อย่างไรก็ทำเถอะ ถ้าตามี ดวงตามี เห็นจริง ก็เอา ก็เป็นไปตามที่ดวงตามี เท่าไหร่ก็เท่านั้น ภูมิธรรมเท่าไหร่ เท่านั้น อาตมาไม่ใช่ คนๆเดียวในโลก ไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่ได้มีอำนาจในโลกคนเดียว เพราะฉะนั้น มันจะมี เหตุปัจจัย ขนาดไหน ก็เป็นไปตามธรรม ไม่มีปัญหา อาตมาไม่ได้ตกใจ ไม่สงสัย ไม่ลำบากลำบนอะไร

เพราะฉะนั้น การจับขึ้นคุก ขึ้นตะราง นี่เป็นคดีที่ตลกที่สุดในโลก เป็นคดีที่จำเลยไม่ต้องพูดกับ ทนายเลย ว่าจะทำอย่างไร บอก คุณว่ายังไง ว่าไปเลย แล้วทนายกับจำเลย พบกันที่ศาลว่าความ ทนายจะว่าอย่างไร จงว่าไป ว่าเสร็จแล้ว ลงจากศาล ทนายก็กลับบ้าน จำเลยก็กลับบ้าน พบกันอีกที ที่ศาล ไม่เคยมีหรอก คดีที่ไหนคุณมาถามเถอะ ถามทนายที่นี่ มาสมัครตั้ง ๕๔ คน สุดท้าย เราก็ว่าความกันไป ก็แต่ละคนๆ ค่อยๆเหลือไม่กี่คน อ้าว ก็ว่ากันไปแต่ละคนๆ ก็เหลือไม่กี่คน อ้าว ก็ว่ากันไป เพราะไม่ได้จ้าง ไม่ได้วานนี่นะ ไม่ได้สตางค์นี่ทนาย ต้องเทียวไล้เทียวขื่อ ยังไม่รู้กี่ปี จะต้องจบ บอกไปเถอะ ไปก็ไป ตัดสินอย่างไร อาตมาไม่มีปัญหา ตัดสินให้แพ้ก็ได้ ตัดสินให้ชนะ ก็ได้ อาตมามีสัจจะอยู่ว่า อาตมาจะทำสัจจะเท่านั้นเอง ไม่มีปัญหา สิ่งนี้เกิด เป็นบทบาท กิริยา แล้วเป็นกรรมกิริยา เกิดจริง เราพูดอย่างเดียว มันก็ไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่หรอก กรรมกิริยาบทบาท สิ่งที่เกิด สิ่งที่เป็นสั่งสม แล้วยิ่งประกอบไปด้วยรูปและนามๆๆๆๆๆๆๆๆนี่ ไม่ใช่ทีเดียว จะมาเอาดิน มาปั้นเป๊ะขึ้นมา ได้ทันทีเมื่อไหร่ มันกว่าจะประกอบตัวกัน มันกว่าจะมีอะไรต่ออะไร เป็นสภาวะ เกิดมา เกิดขึ้นมา ต้องอาศัยเวลาๆ

เพราะฉะนั้น เอาล่ะ จะตัดสินให้แพ้ก็ไม่ว่า ไม่ว่า ไม่ว่ากันจริงๆ จะให้ติดคุก อาตมาก็ติด ไม่เป็นไร ก็เข้าไปในคุก จะให้เป็นอย่างไรก็เป็น ออกมาทำอีกอย่างเก่า จับอีกก็เข้าอีก ออกมาทำอย่างเก่า ไม่เปลี่ยนแปลงล่ะ อาตมามั่นใจ มีศรัทธาที่เชื่อมั่น เป็นศรัทธาพละ หรือเป็นศรัทธาผล ที่แน่ใจว่า เราไม่ใช่ คนหลงตนเอง ไม่ใช่หลงอะไร ไม่ใช่หลง เราจะต้องมีญาณปัญญาจริงๆว่า เราไม่ได้หลง เราทำสิ่งที่เป็นกุศล หรือไม่กุศล จะต้องรู้กุศล หรืออกุศลให้ชัดเจน ยอดแห่งธรรมะ ที่เรียก พระอภิธรรมนี่ ก็มีกุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อันหนึ่งกุศล อันหนึ่งอกุศล ต้องชัดเจนในสิ่งนี้จริงๆ ถ้าไม่ชัดเจนในสิ่งนี้แล้ว มันไม่เกิดญาณ ปัญญาถึงที่สุดแล้ว มันทำอะไรก็ลังเล ทำอะไรก็ไม่มั่นคง ทำอะไรก็ไม่มีน้ำหนัก ทำอะไรก็ไม่มีฤทธิ์มีแรง

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า มีญาณ มีความจริงพวกนี้ ได้ทดสอบแล้วก็ฝึกฝน กว่าจะฝึกฝนมาได้ขนาดนี้ อาตมาก็บอกพวกเรา ตั้งไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ซึ่งเป็นทรัพย์ของอาตมามีมานี่ อาตมาเชื่อ เชื่อที่ตน อาตมาไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ พูดอย่างนี้ เขาก็หมั่นไส้ อ้อ นี่มันพูดอย่างกับพระพุทธเจ้า มันลอกเลียน พระพุทธเจ้า เขาถึงได้ประชดอาตมา ว่าเป็นศาสดามหาภัย ศาสดาอะไรไม่รู้ เขาใส่หลายๆอย่าง ก็เอาเถอะ อาตมาก็บอกว่า อาตมาไม่ได้อาจเอื้อม ที่จะไปเป็นศาสดา ปางนี้ อาตมายังไม่ได้เป็น ศาสดาหรอก แต่เขาก็ประชด หาว่าศาสดามหาภัย ศาสดาอะไรๆ ก็แล้วแต่เขาเถอะ เขาประชด เราก็เข้าใจ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่ามันอยู่ในภูมิของอาตมา มันอยู่ในขั้นของอาตมา มันอยู่ในฐานะ ของอาตมา ในชีวิตของอาตมา มันเป็นทรัพย์ที่มีมาเก่า ซึ่งตามพิสูจน์ได้ว่าชาตินี้ อาตมาไม่เคย ไปเรียนศาสนา ไม่เคยไปเรียนธรรมที่ไหน มีเอง ของตนเอง เอาของตนเองมาใช้ อาตมาไม่ได้อวด แต่อาตมาเอาออกมาเปิดเผย เมื่อมาเปิดเผยแล้ว มันก็เป็น เอหิปัสสิโก มันเป็นสิ่งที่มาเสนอ ออกไปแล้ว แสดงออกไปแล้ว มันท้าทายให้คนมาพิสูจน์ เอหิปัสสิโก แปลว่าท้าทายให้มาพิสูจน์ เรียกร้องให้มาดูได้ มีความจริง ของจริงอย่างนี้ ลักษณะการแสดงออกอย่างนี้แหละ มันเป็นลักษณะของ เอหิปัสสิโก

อาตมาก็พยายามที่จะอธิบาย เขาก็ไม่ฟัง นี่เป็นลักษณะของ สวากขาตธรรม มันเป็นลักษณะแท้ ลักษณะจริง เพราะฉะนั้น ลักษณะที่แสดงออกไปแล้ว อาตมาก็ให้คุณพิสูจน์มาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น คุณจะพิสูจน์ แล้ว คุณจะศรัทธาก็เป็นเรื่องของคุณ ใครไปบังคับความเชื่อคนได้ คนเขาว่าอาตมา ก็ว่าอาตมาล้างสมองพวกคุณ หลอกพวกคุณ จริงๆแล้วนะ เขาต้องยอมให้อาตมาบ้างเหมือนกัน นะว่า อาตมาหลอกนี่ อาตมาหลอกเก่งเหมือนกันนะ ทนายก็มาถูกหลอก หมอก็มาถูกหลอก อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เออ ดีเหมือนกัน อุตส่าห์เรียนจบหมอมา นี่เขาก็ว่า สมองไม่เบาเหมือนกัน ไอคิวก็ต้องไม่เบาเหมือนกันนะ แล้วก็มาถูกหลอก เอ้า ท่านคนโง่ทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ในที่นี้ ก็ต้องถือว่า ถูกคนโง่ ถูกอาตมาหลอกใช่ไหม ถูกอาตมาหลอก ท่านคนโง่ทั้งหลาย จงฟังอาตมา และจงเชื่อ อาตมา จงฟังอาตมา อย่าไปเชื่อใครนะ ต้องเชื่ออาตมาเท่านั้น เพราะคุณโง่ คุณก็ต้องเชื่ออาตมา บอกอย่างนี้ แล้วมันได้ไหมเล่า มันไม่ได้หรอก คนเราจะศรัทธา ก็มีปัญญาเท่าที่เรามีนี่แหละ มาเป็นตัววินิจฉัย มาเป็นตัวจะตัดสิน มาเป็นตัวที่จะรับ หรือไม่รับ มันก็เท่านี้แหละ

ใครจะมีอย่างไรก็แล้วแต่ แล้วเรื่องของญาณปัญญา มันไม่บอกว่า แหม จะต้องจบ ปริญญาตรี จะต้องจบหมอ จะต้องจบด๊อกเตอร์ แต่ด๊อกเตอร์ก็นั่งอยู่โน่น จะต้องจบอะไรมา ต้องไปเรียน อเมริกามา เอ้า นั่นก็เรียนอเมริกา อะไรอย่างนี้ ไม่หรอก ตาสีตาสา บางคนอ่านหนังสือ ไม่ออก ด้วยซ้ำ เขาก็รับได้ ฟังได้ เขาก็มีศรัทธา มีปัญญาของเขา เห็นว่านี่เป็นสัจธรรม เขาก็เอาชีวิตของเขา แล้วเขาก็มาทำอย่างนี้ จะเป็นคนที่เรียนมา หรือไม่เรียนมาก็ตาม แต่เป็นคนที่มาเห็นในสัจธรรม เออ เราไม่ไปแย่ง ยิ่งเป็นโลกุตรธรรม เราเชื่อนะ มีศรัทธาตัวนี้ เป็นทรัพย์ของคน มันจะเชื่อตั้งแต่เด็กมา คุณก็เชื่อเท่าที่คุณมีของคุณมา เป็นทรัพย์ของคุณมา เด็กมันเชื่ออย่างนี้ ตั้งแต่เกิดอุแว้ มันมีของคุณมา เป็นกรรมวิบากติดตัวมัน พอโตมา มันก็จะพัฒนา จะถูกมอมเมา อะไรก็ตามใจเถอะ เท่าที่อินทรีย์พละของคุณมี เสร็จแล้ว มันก็เชื่อตามมา คุณจะได้เรียน หรือไม่ได้เรียน คุณจะได้มียศศักดิ์ หรือไม่มียศศักดิ์ จะร่ำรวย หรือไม่ร่ำรวยอะไร ภูมิธรรมอันนี้ ก็คือภูมิธรรมอันนี้ เสร็จแล้วคุณก็มาได้รับ จะได้ของตัวเอง มีพื้นฐานของตัวเอง แล้วมาได้รับเสริม หนุนขึ้นมา แล้วคุณก็มาเชื่อ คุณเชื่อว่า ไปกินเหล้าดี ก็เป็นศรัทธาของคุณ คุณติดไป ในชาติปางนี้ หยำเป ไปจนกระทั่งตาย คุณก็เมาตาย เพราะแอลกอฮอลิสซึ่ม คุณก็ติดอันนี้ไป ก็เป็นทรัพย์ของคุณ คุณเป็นไอ้โจรจนตาย เสร็จแล้วก่อนจะตาย ยัง แหม ไอ้นี่ ฆ่ากูตาย มันแก้แค้นกูจนตาย จำได้ พยาบาทก็ติดใจ ผูกพยาบาท เป็นทรัพย์ เป็นทรัพย์ขี้กะโล้โท้นะ ไม่เชื่อตถาคต โพธิสัทธา ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไปเชื่อตามที่เราเชื่อ เป็นศรัทธาเหมือนกัน ก็พยาบาทไปก่อนตาย จำได้แล้ว ไอ้นี่มันฆ่ากู แต่เสร็จแล้ว ตัวเองบอกไม่ได้ เพราะตัวเองตายใช่ไหม บอกใครไม่ได้ มันตายไปแล้ว แต่จิตวิญญาณน่ะ มันสัญญาซับไปแล้ว อาฆาตก็ต่อไปแล้ว โกรธแค้นก็โกรธ เห็นไหมว่า เวรานุเวร มันต่อเนื่องกันขนาดไหน

ถ้าเขามีใจอภัย ได้รับคำสอนก่อนจะตายนี่ เขาฆ่า โอ้ เราแพ้เขานะ เราตาย อโหสิเถอะ จะได้หมดเวร หมดกรรม ถ้าคุณคิดได้อย่างนี้แล้ว ทำใจอย่างนี้จริงๆ ตายลงด้วยจิตอย่างนี้ อันนี้ก็เป็นทรัพย์ ของคุณไป แล้วมันง่ายไหมล่ะ จะหมดอาฆาตอย่างนี้ มันง่ายไหม ยิ่งเจ้าพ่อนี่นะ ต้องตามล้าง ตามผลาญกันนี่ มันจะง่ายไหม ไปเชื่อพระ ก็ไปซื้อองค์ละล้านสองล้าน เอามาห้อยคอ ก่อนตาย ยังอมอยู่นะ ว่าพระจะช่วย ตาย นั่นแหละศาสนาพุทธ เขาอมพระเครื่องอย่างนี้น่ะ สมัยนี้ก็แค่นั้นน่ะ ตาย เสร็จแล้ว จะอาฆาตเท่าไหร่ยังไม่รู้เลย ยังไม่รู้เลยนะว่า ตายนะ คนตายนี่ อาตมาว่า คงจะรู้จักคนฆ่าด้วยนะ คนตายนี่ ส่วนมาก มันก็ประจัญกัน ส่วนมากใช่ไหม ต้องรู้ว่าใครฆ่า แล้วมันก็อาฆาตกันไป นี่ก็คือทรัพย์ แต่ทรัพย์อย่างนี้คุณจะเอาเหรอ ไม่เอาคุณก็ต้องเอา ถ้าคุณไม่รู้จักล้าง คุณไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักเลิกจักวาง จักปฏิบัติหลุด ละ จางคลายออก แม้โลกร่ำรวย คุณก็พอใจยินดี ในจิตที่ได้ร่ำรวย คุณตายไป คุณจิตก็ติดขี้โลภอย่างนี้ จิตขี้โลภอย่างนี้ เป็นทรัพย์ เป็นศรัทธา คุณไม่เคยมาปฏิบัติศีล ให้ละล้างจางคลาย ให้ลด ปลดปล่อย ออกมาเลย ไม่ค่อยเชื่อด้วย แต่ไปเชื่ออย่างโน้น คุณก็มีศรัทธาอย่างนั้น เชื่ออย่างโลกียะ หยาบคายด้วย โลภโมโทสันขี้โกงก็เอา แล้วไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมะติดไป คุณก็ได้อย่างนั้น เป็นเชื้อ เป็นกรรม เป็นวิบากไป

แต่คุณมาเชื่ออย่างนี้ มาเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ แค่มาเชื่อถือ คุณก็ได้ขนาดนี้ ถ้าคุณได้ถึงขั้น เชื่อฟัง เป็นศรัทธินทรีย์ แล้วคุณก็มีศีล มีตัวประพฤติ ปฏิบัติลดละจางคลาย ไม่ว่าความโกรธ ไม่ว่าอาฆาตพยาบาท ไม่ว่าความโลภ ไม่ว่าราคะ คุณก็มาลดลงๆๆๆๆ เท่าที่คุณได้ ก็เป็นทรัพย์ ที่คุณได้ เข้าถึง ตั้งแต่เป็นๆ นี่แหละ เรียกว่าโลกนี้ สัมปรายิกภูมิ สัมปรายิกภูมิ ไม่ต้องไปเอาตาย โลกหน้า โน่นน่ะ นั่นก็ใช่ แต่นี่ใช่กว่า โลกคือสังสารวัฏของภูมิธรรม คุณทำให้คุณเอง เป็นสัมปรายิกภูมิ เรียกว่าโลกใหม่ หรือโลกอื่น หรือโลกที่ต่างจากโลกียะ คนเราทุกคน อยู่ในโลก โลกียะเป็นธรรมดา เสร็จแล้วออกจากโลกโลกียะมาสู่โลกุตระ นี่เรียกว่าโลกใหม่ เรียกว่า สัมปรายิกภูมิ ได้เดี๋ยวนี้ เลิกออกมาได้เท่าไหร่ ก็อย่างนั้นน่ะ ของอันนั้นได้ตั้งแต่เห็นๆนี่ ไม่ใช่ว่า จะได้ศรัทธา ก็ต่อเมื่อ จะตายไปถึงจะเชื่อ ได้ศีล ตายไปแล้วค่อยศีลจาคะสละ ตายแล้วค่อยไปสละ ไอ้ตายแล้ว ไม่ต้องสละ มันก็ต้องสละ เพราะตายแล้ว มันเอาไปไม่ได้ ยิ่งวัตถุนี่ มันยิ่งอะไร ได้แต่จาคะตัวนี้ ไม่ได้หมายถึงสละวัตถุเท่านั้น ใจมันสละจริงๆ มันต้องตั้งแต่เป็นๆนี่แหละ ใจมัน สละจริงๆนะ ตั้งแต่เป็นๆนี่ เราก็เกิดญาณปัญญารู้เห็นนี่แหละ ยิ่งสละอะไรได้ ละอะไรได้ โลกอบายมุข โลกที่ต่ำหยาบ โลกกามารมณ์ กามคุณ โลกแห่งโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สละได้ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ก็เป็นฐานของภูมิโลกใหม่ สัมปรายิกภูมิ คือโลกของพระพุทธเจ้าค้นพบ เหมือนกับ โคลัมบัส ไปค้นพบทวีปใหม่ อย่างนี้โคลัมบัสไปค้นพบทวีปใหม่ นี่ พระพุทธเจ้าก็ค้นพบ ทวีปใหม่ เป็นโลกุตรทวีป เป็นทวีปใหม่นะ เรียก อุตรกุรุทวีป เราได้อันนี้ไว้ให้จริง นี่เป็นทรัพย์

เพราะฉะนั้น คุณจะเอาศรัทธาอย่างไร คุณเชื่อว่า ไปแย่งลาภยศกัน นี่แหละวิเศษ คุณก็จะติด อันนี้ไป คุณเชื่อเท่าที่คุณเชื่อ น้ำหนักเท่าที่คุณมี แต่ถ้าคุณมาลดล้าง แล้วคุณมาจางคลาย คุณก็ได้อันนี้ อันนี้ก็เป็นทรัพย์ติดตัวไป เป็นกรรม เป็นวิบากไป ถ้ายิ่งล้างเลย เป็นอริยเจ้าในระดับสูง สกิทา อนาคา เป็นผู้ที่ไม่เอาแล้ว ทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชาน กามารมณ์ กามคุณ ต้องไปโกรธเคือง คนนั้นคนนี้ อย่างพระอนาคามี ถือว่าในระดับสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำหมด ไม่มี กามราคะแล้ว สักกายะหยาบขนาดนั้น มีศีลมาปฏิบัติ ก็มีศีลทรงสภาพ หมดวิจิกิจฉา ไม่สงสัยลังเล กามราคะหมด ปฏิฆะหมด ก็เป็นคนไม่มีกาม ไม่มีราคะติดตัวไป แม้จะเกิดมา ชาติใหม่อีก จะมาถูกมอมเมา ถูกโลกเขาย้อม มันก็ย้อมฉาบๆ ถ้าตัวนั้น เป็นตัวเที่ยงแท้ เป็นตัวอรหัตตผล เป็นตัวที่สมบูรณ์จริงแล้วนะ เกิดนิยตะเที่ยงแน่แล้ว ไม่มีเปลี่ยนแปลงหรอก ไม่แปรปรวน อวิปริตตัง ไม่แปรปรวนจริง จะถูกครอบงำนิดหน่อย เดี๋ยวสลัดมันก็ออกเดี๋ยวนี้ ก็ฟื้นคืนตัว เพราะว่าธาตุแท้ของตัวเองคืออันนั้น ไอ้ พวกนี้เป็นเรื่องโลกเขาย้อมได้ อาตมาใช้คำว่า เหมือนลิงลมอมข้าวพอง มันไปถูกมอมเมา โลกมันไปมอมเมากับเขาหน่อยหนึ่ง พอรู้สึกตัวตื่น ชาคริยะ หรือพุทธะ ตื่นมาเป็นตัวของตัวเอง อ๋อ เราไม่ใช่คนอย่างนั้น แล้วศรัทธาตัวเชื่อมั่นของเรา มันมีปัญญา ตัวลึกซึ้งของเรามันมี มันเป็นทรัพย์ของเรามี มันจะมี คุณจาคะได้เท่าไหร่ สละได้เท่าไหร่ อันนั้นเป็นของคุณ ที่จะเป็นทรัพย์แท้

ศีล อธิบายแล้วว่าศีลนี่ ถ้าจะบริบูรณ์ด้วยองค์นั้นนี่ โอ้โฮ ต้องปฏิบัติให้ ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน อวิปฏิสาร จนกระทั่ง จะต้องเกิดพหูสูต พาหุสัจจะ แล้วจะต้องเป็นผู้ที่เกื้อกูลผู้อื่น เป็นพระธรรมกถึก เป็นผู้ที่จะเข้าสู่สังคม ยืนยันศาสนาพุทธนี่ ไม่ใช่ไม่เข้าสู่สังคม ผู้มีศีลต้องเข้าสู่สังคม ไม่ใช่ผู้มีศีลแล้ว ต้องเข้าป่า เข้าเขา เข้าถ้ำ ขุดรูอยู่ไม่ใช่ ต้องเป็นพระธรรมกถึก ต้องเข้าสู่บริษัท เข้าสู่หมู่ชน แกล้วกล้า อาจหาญในการแสดงธรรมแก่บริษัท แกล้วกล้า อาจหาญนี่ ไม่ใช่ห่ามนะ แสดงธรรมต้องมีพหูสูตร ถึงจะแสดงธรรมแกล้วกล้า อาจหาญสู่กับบริษัท บอกแล้ว ถ้าไม่มีพหูสูต แสดงธรรมแก่บริษัท แกล้วกล้าด้วย ไฟแรงด้วย ตาย ตายภายใน ๗ วัน ๕ วัน เพราะห่าม เพราะไม่ประมาณ เพราะไม่มีสัปปุริสธรรม ไม่ได้ ต้องเป็นพระธรรมกถึก ต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคม มนุษยชาติ ต้องแกล้วกล้าอาจหาญ แสดงธรรมแล้วมีสิ่งที่รองรับตัวเอง เป็นคนที่มีจิตสงบ ยินดีในความสงบ ท่านเรียกเป็น ภาษาสำนวนทางธรรมว่า อยู่ป่าเป็นวัตร หรือมีที่อยู่อันสงัด สำนวน ๒ สำนวนนี่ อยู่ป่าเป็นวัตรนี่ ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปปลูกต้นไม้อยู่ ป่าคือที่ร่มเย็น อยู่ก็คือมี ป่าอยู่ในหัวใจ มีที่สงบสงัดเป็นที่อาศัย คือตัวสงบ ที่อาตมาอธิบายไปเป็นตัวเคร่าๆ แล้ว นั่นแหละ เป็นเครื่องอาศัย เป็นวิหารธรรม เป็นสุญญตวิหาร มีเมตตาวิหาร เมตตาวิหารคือช่วยผู้อื่น สุญญตวิหาร คือเครื่องอาศัยของตนเอง

สุญญตวิหาร ตัวจิตที่ว่างจากกิเลสนั้นน่ะ เป็นตัวอาศัยแล้วมันสบาย แล้วมันสงบ มันไม่เดือดร้อน ก็ได้แต่พูดภาษา ส่วนคุณฟังนั้น คุณต้องมีสภาวะอันนั้น ๆ เอง แล้วคุณจะรู้ ถ้าคุณไม่มีสภาวะนั้น ก็บอกให้ตาย คุณก็ได้แต่เดา เหมือนปลาอยู่ในน้ำ กบมันไปเที่ยวข้างบนมา ก็มาเล่าสู่ปลาฟัง โอ้ เราไปเจอ อะไรก็แล้วแต่ ไปเจอซัดดัมมา กบมันไปเจอซัดดัมมา ก็ไปเล่าสู่ปลาฟัง ซัดดัม เป็นตัว อย่างไร โอ้ ตัวนี้มีหนวดน่ะ หนวดอย่างไร มันก็ไม่รู้เรื่อง ปลามันก็เดา โอ้ หนวด มันก็คงจะเหมือน สาหร่ายหนอ มันก็เดาไป เทียบเคียงหนวดก็เหมือนสาหร่าย แล้วจิตใจซัดดัมเป็นอย่างไร อธิบายไป มันก็ไม่รู้เรื่อง รูปร่าง วัตถุ อะไรก็ตามใจเถอะ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เหมือนปลาในน้ำ ที่ไม่ได้เกิด ไม่ได้มาเห็น ไม่ได้มาสัมผัสจริง ก็ได้แต่เดา เทียบเคียงในสิ่งที่ตัวเอง ในโลกของตัวเอง เท่านั้น

ส่วนโลกใหม่ โลกโลกุตระ โลกที่มันเป็นนามธรรม โลกที่มันละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ ไม่ได้มาเห็นจริง สัมผัสจริง หรือเป็นเองจริงๆแล้ว มันก็ได้แต่เทียบเคียง แล้วเทียบเคียงนี่ ส่วนมากแล้ว มันก็มีตัว ที่คล้ายกัน อัจฉริยะกับบ้าคล้ายกัน แต่คนละหัว คนละหางนะ ถ้าผิดนะ มาเข้าใจอัจฉริยะกับบ้า ผิดส่วนปั๊บ อ๋อ คนที่เป็น อัจฉริยะเป็นอย่างนี้เหรอ อ๋อ เสร็จแล้วไอ้ตัว CONCEPT ของตัวเองนั้น ก็คือบ้า ใช่ไหม ก็เลย อ๋อ อัจฉริยะก็คืออย่างนี้ คนอย่างนี้เองนั่นแหละ แต่ของตัวเองว่า คนบ้า คนนี้ก็เดาเทียบเคียงว่า อ๋อ มันคล้ายกันกับคนบ้านี่ อ๋อ อัจฉริยะก็คือคนบ้า นั่นเอง ถ้าคุณเข้าใจ อย่างนี้ คุณก็ไม่เอา คุณจะไปศรัทธาทำไมล่ะ อ๋อ อัจฉริยะคือ คนบ้าเหรอ อ๋อ จริงๆนะ ในเมื่อ คุณเชื่ออย่างนั้นอยู่จริงๆเลยว่า อ๋อ อัจฉริยะนี่ มีลักษณะเหมือนคนบ้า เป็นลักษณะอย่างบ้า นี่แหละ เพราะมันมีส่วนที่คล้ายกันมาก ตรงนี้ คุณก็จะไปศรัทธาอย่างไร อัจฉริยะมันบ้า คุณก็เข้าใจ อย่างนี้ๆ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น คนนอกจากจะไม่เอาแล้ว ก็ผลักด้วย เอ้ย ไม่เอา อัจฉริยะ มันก็คนบ้า ไปเอาทำไม เขาเทียบเคียงได้แค่นั้น อย่างนี้ เป็นต้น นี่ สิ่งที่ซ้ำซ้อน สิ่งที่หมุนรอบเชิงซ้อนที่มันยาก ในการที่จะต้อง เข้ามาถึงให้ได้ เอาแต่แค่ฟัง แค่ไม่พิสูจน์ ไม่เอาตัวเข้ามาพิสูจน์อย่างแท้จริง ไม่สัมผัส แตะต้องของจริงนะ ได้แต่เดา เพราะฉะนั้น นักคิด นักค้นทุกวันนี้ นี่เดาสับสนวุ่นวาย เอาหัวเป็นหาง เอาหางเป็นหัว ทุกวันนี้เอาหัวเดินต่างตีนกันทั้งนั้นแหละ วุ่นกันอยู่ในนี้ มันไม่ถูก สภาวะ มันไม่ถูกสภาพไปกันใหญ่เลย แม้แต่บ้านๆเมืองๆนะนี่ เศรษฐกิจก็อย่างนี้ แต่แท้จริง บอกแล้วว่า นักเศรษฐศาสตร์ขบถทั้งนั้น เละอยู่อย่างนั้นน่ะ นักการเมือง ก็แจ้วๆ นักวิชาการแจ้วนะ แต่ตัวเอง ก็ขบถต่อวิชาการ การเมืองของตัวเองอยู่ นั่นแหละ สุดท้ายก็พูดไป ประเดี๋ยวก็โดนจับอีก คดีเดียวสองคดีไม่พอ ยิ่งประกาศกฏอัยการศึกด้วย เอ้า พอ ตัดตรงนี้ไม่ต่อ มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ

เพราะฉะนั้น โลกวิทูนี่ ก็คือผู้ที่จะต้องเป็นพระธรรมกถึก แล้วก็เข้าสู่บริษัท ก็เข้ารู้จักสังคม จึงจะรู้จักโลก รู้เท่าทันโลก ไม่ใช่ผู้ที่ตาบอด ตามืด ยิ่งเคยรู้แล้ว เดี๋ยวนี้ลืมหมดแล้ว เพราะฉัน ไม่เอาแล้วโลก ฉันหลุดพ้น ยิ่งโง่ยิ่งเง่าไปใหญ่เลย ไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธ เขาเข้าใจ เป็นเชิงนั้นแล้ว ต้องเป็นผู้ที่ไม่เอาแล้ว โลกโลกีย์ลืมหมด ไม่เกี่ยวไม่ข้อง โอ้ ฉันอยู่ป่าช้า นั่งวันๆ คืนๆ ก็ลืมตาบ้าง ก็บุญของท่านแล้ว โอ้ย ท่านลืมตาแล้ว ได้กราบ ได้คุยกับท่านสองคำ ดีอกดีใจ นั่นว่าพระอริยะของพุทธ นั่นอริยะตามที่ฤาษีเขานิยมกัน มันไม่ใช่ของพุทธหรอก ของคุณ ไม่ใช่อย่างนั้น ของพุทธจะต้องเป็นไปตามสอดคล้องคำสอน ของพระพุทธเจ้า

จะต้องเป็นผู้ที่มี ความสงบในใจ มีวิหารธรรม แล้วต้องเป็นผู้ที่ต้องรู้จักวินัย ทรงวินัย อยู่ป่าเป็นวัตร แล้วต้องเป็นคน มีฌาน มีวิมุติ นี่เป็นองค์ธรรมของศีล ศีล ๑๐ ข้อนี่ไล่มาเลย นี่คำสอนของ พระพุทธเจ้า นี่ ศีลที่บริบูรณ์สมบูรณ์ จะต้องสมบูรณ์ด้วยองค์ธรรมต่างๆพวกนี้ ปฏิบัติแล้ว ถึงจะมีคุณธรรม มีคุณลักษณะพวกนี้สมบูรณ์ นี่ เราไม่เข้าใจก็เรียนกันไป ศีลก็พูดกันไปอย่างนั้นน่ะ ไป มยัง ภันเต วิสุงวิสุง รักขณะถายะ เสร็จแล้วก็กลับไปบ้าน ศีลอยู่ไหน ก็มาจากวัดแล้วนี่ ก็อยู่ที่วัดน่ะซี ศีลมาบ้านแล้ว จะไปมีศีลอะไรเล่า ก็อยู่แค่นั้นแหละ เป็น สีลัพพตปรามาส เป็นจารีตประเพณี ทำกันไปเล่น แล้วคนก็ไม่ค่อยอยากมาวัด เพราะมาวัดแล้ว ไม่รู้ว่าเราได้อะไร ทีนี้พวกเรานี่นะ มาวัดแล้ว เรารู้ว่า เราได้ คุณก็มาเอาซิ คุณศรัทธา คุณมีปัญญา คุณรู้ว่ามาได้อะไร ได้อันนี้ อ๋อ ได้อันนี้ เสร็จแล้วมาที่นี่ ก็พยายามเสริมอธิศีลอยู่ด้วยแหละ เร่งรัดให้คุณพัฒนาอยู่เรื่อย คุณก็ขัดเกลาตัวเอง มีศีลขัดเกลา จนกระทั่งเจริญขึ้นมาได้ แล้วก็เสริมให้อีก อธิศีลขึ้นมาอีก คนไหนติดแป้น ไม่เจริญด้วยอธิศีล ไม่เจริญอธิจิต ไม่เจริญอธิปัญญา มันก็ตื้อตันอยู่ตรงนั้น ติดแป้น

นี่ อาตมาก็เอาสูตร ฐิติสูตรนี่มาย้ำ บอกพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญหรอก คนหยุดอยู่ คนอยู่แค่ ติดแป้นอยู่ ไม่เอา ต้องเจริญๆทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้าออก เวลาล่วงไปๆๆๆๆๆๆๆ ต้องเจริญไป ให้ได้ อย่าเสียเวลาสูญเปล่าเป็นโมฆะ เกิดมาชาติหนึ่ง เสร็จแล้วก็ไม่ได้อะไร นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ก็ได้เหมือนกันนะ ได้อกุศล ได้มิจฉาทิฏฐิ ได้โลกียะเข้าไปเต็มเปาเลย นรกทั้งนั้น มันเสียดาย ชาตินะ เกิดมาชาติหนึ่ง แล้วไปได้อันนี้น่ะ แหม ขอร่างนี้ไปให้หมามันเกิดแทน มันจะได้อะไรมากกว่า อาตมาถึงแปลว่า โมฆะบุรุษ คือ ผู้ชิงหมาเกิด พวกเปรียญ ๙ เขาถึงได้ว่าอาตมาว่า มันแปลเพี้ยน ที่ทำให้ธรรมวินัยวิปริต หนอยมีที่ไหน โฆษบุรุษ แปลว่ามาชิงหมาเกิด เขาก็เอาเรื่องอาตมา ก็จริง แต่อาตมาว่า อาตมาอธิบายอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ผู้ฟังด้วยดี ด้วยปัญญา สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ ฟังด้วยดี ได้ปัญญา แล้วก็เข้าใจอย่างดี อาตมานี่ มันเหมือนศิลปินที่เรียนมา ทฤษฏีก็รู้หมดแล้ว แต่ตอนนี้ เป็นตัวของตัวเอง ออกนอกทฤษฏี คนโลกดูไม่ทัน ไอ้นี่ มันบ้าแล้วนี่ เพราะฉะนั้น ศิลปะของคนศิลปิน ชั้นสูงๆหน่อยนี่ ขี้มักจะบอกว่า มันรู้ของมันอยู่คนเดียว มันบ้า แต่ที่จริง ไม่บ้าหรอก คนที่รู้กันด้วยกัน เข้าใจกันนี่ อย่างพวกเราฟังกัน รู้กันเข้าใจกันนี่ เข้าใจได้

เพราะฉะนั้น ศิลปชั้นสูงๆขึ้นมาแล้วนี่ มันเป็นลักษณะนามธรรม เป็นลักษณะที่ไม่ใช่ของตื้นๆ เขินๆ นี่ลำบาก เพราะฉะนั้น คนในภูมิ ในพื้นอันเดียวกันนี่ถึงกันได้ อย่างที่อาตมายกตัวอย่าง ที่อาตมาแปลอย่างนี้ มันไม่มีปัญหาหรอก เราเข้าใจปั๊บ ใช้วัตถุสื่อคล้ายๆกัน แต่ว่ามันซับซ้อน แล้วมีอะไรที่จะสื่อ ออกมาได้ชัดเจน คนที่เห็นชัดเจน มีญาณปัญญามีภูมิ ก็รับความชัดเจนนั้นกันได้ ส่วนคนที่ไม่มีภูมิ ไม่มีปัญญา รับความชัดเจนนั้นไม่ได้ น่ะ

เอาล่ะ อาตมาก็ขอสรุปเรื่องทรัพย์ของมนุษย์ ๔ ประการนี้น่ะ ถ้าจะรวมหมด ๗ เอาละ ขอเน้นอีก ๓ ตัวด้วย ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะละอาย หิริโอตตัปปะ สุตะนี่พอปฏิบัติจริงๆ แล้วมีศรัทธา พอเชื่อถือ เชื่อฟังปฏิบัติตาม จนกระทั่ง เกิดผลเรื่อยๆๆๆๆๆ คุณจะรู้สึก แต่ก่อนนี้ เรากินเหล้า เมาเป็นหมาเลย ไม่อาย พอหนักๆ ปฏิบัติธรรม มีศีลเข้า โอ้โฮ ไม่ต้องไปเห็นคนอื่นหรอก มานึกถึง ตัวเอง โถ! แต่ก่อนกูก็ไอ้เหมือนไอ้คนนี้น่ะแหละหนอ อาย ความรู้สึกอายนั้นน่ะ คือหิริ อายจริงๆนะ หรือไม่ถึงขนาดต้องไปเห็นหรอก รู้สึก มีภูมิธรรมแล้วก็ไอ้เรา นี่โง่นะ ไม่อายเลย ไปทำสิ่งที่ไม่น่าทำ ไปมีกิริยาที่ไม่น่าเป็น ไปเป็นกิริยาอย่างนั้น มันน่าอายนะ มันจะเกิดจริงๆในใจเรา เราอาย จนถึงขั้น โอตตัปปะ นี่กลัว กลัวแล้วไม่ทำแล้วอย่างนี้ ไม่เป็นแล้วอย่างนี้ ไม่เอาล่ะ ไม่ทำแล้วอย่างนี้ มันกลัวจริงๆ โดยจิตจริง โดยตัวสภาพอันนั้นเลย สภาพอันนั้น เป็นทรัพย์ สภาพอันนั้นเป็นของจริง เป็นสภาวะในมนุษย์ นี่เรียกว่าเทวธรรม เป็นธรรมะของผู้ที่เกิด เจริญ เป็นเทวดา ผู้เจริญที่แท้ เป็นเทวดา เทวดาก็คือคนนี่แหละ จิตวิญญาณของเรา พัฒนาขึ้นอย่างนั้น อย่าไปนั่งเข้าใจเทวดา ลอยตุ๊บป่องๆ ตายแล้วเทวดาเข้าสิง เข้าทรง เทวดามาบอกหวย บอกเบอร์อะไรไปบ้ากันใหญ่ ไม่เข้าเรื่อง

เทวดาคือจิตวิญญาณ เทวดาไม่นอกกว่าอื่น เทวดาคือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณอยู่ไหนล่ะ จิตวิญญาณของเรา เราก็รู้ว่าจิตวิญญาณของเรา เมื่อไหร่เราเป็นเทวดา เป็นเทวดาแท้ หรือเป็น เทวดาสมมุติ ที่อาตมากำลังอธิบายนี่ เป็นเทวดาแท้ อุบัติเทพเจริญขึ้น จิตเจริญขึ้นจริงๆ เราละอาย โอ้ ละอายต่อความชั่ว ความบาป ความไม่น่าเป็น ไม่น่าได้ กลัว ไม่ทำ แรงอายนี่ มันยังกล้าทำอยู่ แค่อาย บางทีมันกล้าทำ แต่ถ้ากลัวถึงขั้นโอตตัปปะนี่ มันสูงขึ้นกว่าหิริ ไม่กล้าทำหรอก กลัวนี่ ไม่กล้าทำหรอก ได้ความชั่วขนาดนี้ หรือความไม่ควร ความไม่ดีขนาดนี้ ไม่กล้าทำจริงๆ เอาง่ายๆ ให้อาตมาไปฆ่าคนนี่นะ อาตมาว่ามีหวังเขาฆ่าเรา เราฆ่าเขาไม่ลงหรอก ไม่กล้าหรอก ไม่กล้าแน่ๆเลย

เพราะฉะนั้น อาตมาไม่มีวันที่จะไปเป็นทหาร ไม่มีวันจะไปเป็นตำรวจ เพราะเจอไอ้โจร จะต้องยิงเขา น่ะเหรอ ต้องไปให้เขายิงแหงเลย แล้วมันจะไปปราบโจรอะไรได้ จะไปปราบอะไร ไม่ล่ะ อาชีพอื่นมี ไม่เอา ทหาร ตำรวจ ก็ให้คนอีกฐานะหนึ่งเขาไปเป็น เขาทำกันได้ อาตมาทำไม่ได้ จะไปอ้างบอกว่า ตำรวจต้องฆ่าไอ้โจร ทหารต้องฆ่าคนที่เป็นข้าศึก อะไรก็ตามใจเถอะ แล้วบอกว่าไม่บาป อาตมาไม่เถียง ไม่เถียงซักอย่างหนึ่งน่ะ ที่จริงมันก็บาป ฆ่าคนที่จริง พระพุทธเจ้า ไม่มีข้อแม้ ท่านไม่เคยมีข้อแม้เลย ไม่เคยบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ฆ่าโจรไม่บาป ไม่เคยมีน่ะ ฆ่าคนชั่วไม่บาป ไม่เคย ท่านไม่เคย อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย ฆ่าสัตว์ สัตว์นี่มันแย่ยิ่งกว่าฆ่าโจรด้วยซ้ำไป สัตว์หลายๆอย่าง สัตว์บางชนิด มันแย่กว่าโจรด้วยซ้ำไป ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ท่านยังไม่ให้ฆ่าเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เรากลัว โอตตัปปะนี่ เราไม่กล้าทำหรอก ให้อาตมาไปนั่งเล่นไพ่ แหม แต่ก่อนนี้จั่วไพ่ ให้ไปนั่งเล่นไพ่ เดี๋ยวนี้ไม่กล้าล่ะ อายตายแน่ อายจริงๆ ไม่ใช่กลัวรนรานหรอกนะ มันกลัว จนกระทั่งเราเอง เราไม่ทำแล้วอย่างเด็ดขาด อย่างชัดเจน แข็งแรงแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง เราก็ไม่ทำสิ่งนั้นอย่างแข็งแรง จะกลัวรนราน จนกระทั่งเป็นภาวะทุกข์ชนิดหนึ่ง ก็ไม่ทุกข์หรอก กลัวไม่ได้ฆ่าเขาแล้ว ก็เลยกลัวจะฆ่าเขาก็สั่นดิ๊กๆ กลัว ไม่ทำ และแม้เขาจะฆ่าเรา เรายังไม่กลัวเลย ถ้าอินทรีย์พละเรากล้าบอกเอา ฆ่าก็ฆ่า ยิ่งเข้าใจว่า ชีวิตก็คือชีวิต การตาย ก็คือการตาย การเกิดก็คือการเกิด เข้าใจการตายการเกิด การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ธรรมชาติของสังสารวัฏ มันก็ไม่กลัว ตายก็ตาย เมื่อมันถึงที่มันก็ตาย ทำให้มีเหตุปัจจัย มาถึงที่ เราจะตาย เราก็ต้องตาย ไปยั่วให้เขามาฆ่าเรา เราก็ต้องตายนั่นแหละ ถ้าไม่ยั่วให้เขามาฆ่าเรา คุณจะตายด้วยอะไรก็แล้วแต่ ตายด้วยเชื้อโรค ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ตายด้วยแก่ตาย อะไรมันก็เป็นไปตามธรรม

เพราะฉะนั้น เราจะกลัวสิ่งที่ไม่ควรกลัว ผู้หญิงก็กลัว แต่ก่อนผู้หญิง บางคนนี่ พวกเรานี่นะ โอ้ แต่ก่อนนี้ โอ้โฮ นุ่งผ้า นุ่งยาวนะ แต่ผ่าขึ้นมาถึงนี่ ไม่อาย เดี๋ยวนี้ให้ไปทำบ้างล่ะ เฮ้ย ไม่ไหวล่ะ อาย แหม ผ่ามาถึงนี่ อาย ไม่กล้าทำล่ะ แต่ก่อนนี้โอ้โฮ ห้อยโน่น ห้อยนี่ ใส่โน่น ใส่นี่ อะไรต่ออะไร ไม่อายหรอก แหม หลงว่าโก้ ว่าเก๋เสียด้วยนะ แต่เดี๋ยวนี้ ให้ไปทำดูซิ ไม่กล้า มันมีหิริ มันมีโอตตัปปะ แม้แต่จะไปเอาเงินเอาทอง ไปเอาเปรียบเขามานี่ ไปเอาเปรียบเขามานั่น มันเป็นความชั่วนะ ละอายต่อความชั่วนั้น กล้าเสียสละ แต่ไม่กล้าเอาเปรียบ มันเกิดจิตจริง หิริจริง โอตตัปปะจริง จริงๆ มันไม่ทำโดยสัจจะ โดยความจริงที่เราเชื่อ ที่มีตัวสภาวธรรมอันนั้นในตน หิริ โอตตัปปะ

แล้วยิ่งเรา ปฏิบัติธรรม มีพหูสูต พาหุสัจจะสูงขึ้น ๆ มีความจริง ความรู้ที่จริงๆ เป็นความรู้ ความรู้ที่จริง มันมีทั้งหมดล่ะ มันมีทั้งความรู้ในความรู้ ความรู้ในความจริง ความจริงในความรู้ และ ความจริงในความจริง มันจนถึงที่สุดโน่น มันต้องได้ความรู้ความจริง ความจริงความรู้ ทุกวันนี้ มันมีแต่ความรู้ แล้วก็ขายความรู้ ราคาความรู้ ตีราคาแพงๆ เอาเปรียบเอารัดมนุษย์มหาศาล ทุกวันนี้ จึงเป็นความรู้ที่โกง ตีราคาแพง แต่เสร็จแล้ว ความรู้เหล่านั้นใช้ไม่ได้ คิดกัน โอ้ย โครงการเยอะ ไม่รู้ของใคร ต่อของใครบ้างล่ะ เดี๋ยวนี้ล่ะเยอะแยะเลย โครงการนี่ นักโครงการน่ะเยอะ หรือแม้แต่ วิทยานิพนธ์นี่ โอ้โฮ บาน อาตมาว่าวิทยานิพนธ์นี่ คิด ทั้งปริญญาโท ยันด๊อกเตอร์นี่นะ โอ้ คิดอะไรหน่อย อาตมาว่า เอานิพนธ์อันนั้นไปถมทะเลน่ะ ทะเลตื้นเลยนะ แต่ไม่ได้ใช้นะ ใช้ไม่ออก ใช้ไม่เป็น คิด ได้ประกาศนียบัตร ได้ดีกรี ได้อะไรมา แล้วก็เอามาหากิน เสร็จแล้ว ไม่ได้ทำตาม ที่ตัวเอง เขียนคิดอันนั้นหรอก อยู่ในโลกียะเต็มไปหมด ค้าความคิด ตีราคาความคิดนี่ แพง เพื่อจะได้เปรียบ

คนยิ่งสูง ยิ่งฉลาด ยิ่งเสียสละได้ดี ยิ่งมีชีวิต ที่ปฏิบัติสอดคล้องตามธรรม ของพระพุทธเจ้า ยิ่งมักน้อย ยิ่งสันโดษ ยิ่งเบา ยิ่งง่าย ยิ่งว่าง ยิ่งไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกย ไม่ต้องมีอะไร คนที่มาเลี้ยงไว้ เขาจะเลี้ยง อาตมาพาพวกเรามาท้าทาย ให้มาพิสูจน์ อย่าว่าแต่มาเป็นนักบวช มาเป็นแค่ฆราวาสนี่ สละทรัพย์สิน เงินทอง ลาภ ยศมา ออกมาแล้ว ก็มาทำงานสร้างสรรอยู่ในนี้ เราก็เลี้ยงกันได้ เห็นมั้ย นี่ก็อยู่ไม่เห็นจะมีปัญหาเลย มักน้อยสันโดษมานี่ ลาออกจากงานกันมาทุกปี ปีละไม่รู้กี่คนด้วย นี่ นับวันลาออกมามากขึ้นทุกทีๆ เพราะยิ่งเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นคณะที่แข็งแรง แล้วมีระบบ มีเชิงกล เป็นเชิงกลของสังคม เป็นวัฒนธรรม เป็นจารีตประเพณี เป็นพฤติกรรมอยู่ในนี้ มีกิจกรรม การงานโยงใย เราจะมาทำงานในกลุ่มไหน ในหมู่ไหน ในงานไหน ในอะไรๆได้

เราก็มาขยันหมั่นเพียร สร้างสรร ทำได้เราก็ไม่ต้องสะต้องสม เป็นผู้ที่พ้นลาเภน ลาภัง นิชิงคิงสนตา เป็นคนที่ ทำงานฟรี ไม่ทำงานแลกลาภ ไม่แลกเอาค่าแรง ทำงานไม่เอาค่าแรง ทำงาน ไม่ได้ผลผลิต แล้วก็เอาไปแลกอะไรมา แลกเงินแลกทองไม่มี ลาภแลกลาภไม่มี ทำงานฟรี แล้วก็อยู่ในนี้ ยิ่งทำงาน ได้มากๆๆๆๆ เรายิ่งกินน้อย ตามทฤษฏีกำไร ขาดทุนของอารยชน ยิ่งได้เสียสละมากๆ นั่นคือกำไร ยิ่งได้ ได้คือสิ่งที่สละ สิ่งที่เสีย สิ่งที่เป็นจาคะ เรายิ่งเชื่อมั่น เราก็จะทำอย่างนี้กัน คนนี้ทำๆๆๆๆๆๆๆ ร้อยคน พันคน หมื่นคน ก็เป็นระบบคนโลกุตระ จะเรียกพระศรีอารย์ก็ได้ แต่มัน พระศรีอารย์ ชนิดจิ๋วๆ แต่แจ๋วนะ จิ๋วก็แจ๋ว เพราะมันของจริง ที่จริงแจ๋วก็เพราะจริง ที่จิ๋วแจ๋ว ก็เพราะจริง แต่ไม่ใช่บิ๊กจิ๋วนะ จิ๋วจริงๆ อันนี้ไม่ใช่บิ๊กจิ๋ว แต่แจ๋วเพราะจริง นี่จริง มันจะมีรูปร่าง มันจะมีอะไร ที่ดูด้วยตาเปล่านี่ยาก ต้องมีญาณปัญญาดูว่า เอ๊! คนพวกนี้นี่ อยู่อย่างไร มีระบบความเป็นอยู่ อย่างไร ทำงาน ทำการ แล้วมันไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไม่ได้มีค่าจ้างค่าออน หรือมีค่าจ้างก็อย่างถูก อย่างพยายาม จะเสียสละให้ได้มาก มันอยู่ได้อย่างไร อยู่ได้

นับวันจะมีรูปแบบ จะมีรูปธรรม จะมีสังคม กลุ่มหมู่ขึ้นเป็นนี่ อย่างด๊อกเตอร์สมบัติ เขาก็ตั้งชื่อว่า พุทธยูโทเปีย อาตมาว่า เออ ด๊อกเตอร์สมบัตินี่เก่งเหมือนกันน่ะ ตั้งพวกเราว่าพุทธยูโทเปีย ทั้งๆที่ ไอ้ยูโทเปียนี่ อาตมาว่า หลายอย่างอาตมาไม่เห็นด้วย ของนายทอมัสมอร์ อาตมาไม่เคยอ่าน ของเรื่องทอมาสมอร์ ไอ้เรื่องยูโทเปีย อาตมาไม่เคยอ่าน เขาแปลมาเป็นภาษาไทยแล้ว ก็ไม่เคยอ่าน ไม่เคยอ่าน แต่รู้ มันลือกันเล่ากัน ก็ได้ยิน ได้ฟังตามกันนั่นน่ะ อาตมาก็เห็นบางอัน ที่เล่าออกมา บางอันที่คนเล่าให้ฟัง ก็เห็นว่าทอมัสมอร์ ก็ฝันเฟื่องอย่างหนึ่ง ขนาดหนึ่ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สภาวะ มันมีย้อนแย้ง มันเป็นสภาพที่ย้อนแย้งที่เป็นไปได้ยาก และมีหลายอย่างที่ทอมัสมอร์ คิดไม่ถึง คิดไม่ถึง แล้วย้อนแย้งเกินกว่าที่ทอมัสมอร์จะคิดได้ แต่มันกลับสอดคล้อง สอดคล้องที่ เหนือชั้นกว่า ที่ทอมัสมอร์จะเข้าใจ มีเดี๋ยวนี้ ก็เป็นกลุ่มชุมชนที่มันเป็นสภาพ แม้แต่เราก็พยายามพัฒนา อยู่เดี๋ยวนี้ เป็นผู้ผลิต เป็นผู้ทำการจำแนกแจกจ่ายโดยศรัทธา โดยความเชื่อของเรา มาทำกัน อาตมาไม่ง้อไม่งอน เป็นคนไม่ง้อไม่งอน ใครจะอยู่ก็อยู่ ใครจะไม่อยู่ก็ไป แล้วหลายคนพวกเรานี่ อินทรีย์พละอ่อน บอกพ่อท่านนี่ ชอบไล่อยู่เรื่อยเลย ไม่ได้ไล่หรอก พูดความจริงทุกที ไม่ได้ไล่ คุณอยู่ได้อยู่ซี คุณอยู่ได้อยู่ ไม่ได้ไล่คุณหรอก แต่คุณไม่ดีนั่นไล่จริง นั่นแหละ ถ้าไม่ได้มาตรฐาน คนกลุ่มนี้ ต่ำกว่าเกรด เราก็ต้องเชิญคุณออก หาวิธีเอาออก เพราะว่าอยู่มันก็ยุ่ง เพราะว่าเราเอง เราหมู่เล็กด้วย ถ้าขืนมาเป็นหนอนบ่อนไส้ชอนไชอยู่ในนี่ ประเดี๋ยวมันยุ่ง เราก็ยังไม่โต ไม่ใหญ่ ไม่แน่น ไม่แข็งอะไรพอ อย่างนี้ เป็นต้น เราก็ต้องทำ

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเอง คุณไม่ต่ำกว่ามาตราฐานนะ เรามีมาตรฐานตัดเคิร์ฟไว้ คนในระดับนี้มีศีล ๕ ไม่มีอบายมุข เป็นคนอยู่ในเกรด ระดับนี้แล้วจริงๆ ศีล ๕ เบื้องต้นด้วย ไม่ต้องอธิศีลอะไรมากนัก ก็ได้ ถ้าคนมีคุณภาพ ในระดับที่คุณอยู่ได้ ในระดับไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน คุณก็อยู่ได้ เราก็พยายาม เคี่ยวเข็น ให้คุณเจริญขึ้นน่ะ คุณทนไม่ได้คุณไปเอง ห้ามไม่ได้นี่ไอ้เรื่องนั้น คุณทนไม่ไหวอยู่ ก็บอกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านก็ตรัสไว้เหมือนกัน ว่า ท่านกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ผู้มีมรรคผลเท่านั้น จะทนอยู่ได้ เรื่องจริงๆ แล้วเราจะพัฒนาดูสังคม มนุษย์เท่านั้น เป็นผู้สร้าง พระเจ้าก็คือคน อาตมาพูดอย่างนี้ พวกคริสต์ ยังมาศึกษาด้วยเยอะแยะเลย เพราะว่า เราพูดให้เขา เข้าใจได้ แล้วเราก็ไม่ได้ไปลบหลู่อะไรกัน พระเจ้าก็คือสิ่งจริง แต่จริงก็อยู่ที่จิตวิญญาณ พระเจ้าก็คือ จิตวิญญาณ จิตวิญญาณอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเรา พิสูจน์พระเจ้าซิ เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า เราเป็นฉายาของพระเจ้า ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ให้ได้จริงๆซิ เป็นผู้ลดละ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ให้ พระเจ้าคือ ผู้สร้าง เป็นพระผู้ประทาน หรือเป็นพระผู้ให้ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็นี่แหละ คุณลักษณะ ของพระเจ้า อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ แล้วเราจะสร้าง ทุกวันนี้เรากำลังสร้างธรรมชาติ เรากำลังสร้าง สิ่งที่มันขาดแคลน มันบกพร่อง เราก็กำลังทำให้สังคมอยู่นี่ วันเวลามี เราก็ทำซิ เราเอง เราจะไปเอา อะไรกันนักกันหนา เอาแต่คุณค่านี่ เอาจาคะนี่ เอาอะไร เอาสิ่งที่ไม่เอาซิ เอาจาคะ เอาสิ่งที่ให้เขาน่ะ เอาให้ได้ ภาษาไม่มีจะพูดแล้วนะ เอาสิ่งที่ไม่เอา เอาจาคะ เอาสิ่งที่เป็นทรัพย์อันยอดนี่ คือจาคะนี่ เอาสิ่งที่สละนี่ให้ได้ คุณเกิดมาเป็นคน สละให้ได้ ฟังให้ดีนี่คือสัจธรรม คือเรื่องจริง คนเข้าไม่ถึงจริง มันก็ไม่ถึงจริง คนเข้าถึงจริงแล้วพิสูจน์กันซิว่า อยู่เย็น เป็นสุข

สังคมคนอย่างนี้ มีปริมาณพอเพียงนี่ จะเห็นชัดเจนเลยว่าเป็นสุข สงบ อิสรเสรีภาพ ยืนยันว่า ศาสนานี้เป็นอิสรเสรีภาพ อิสรเสรีภาพไม่ใช่ว่าทำตามใจตน ต้องการอะไรก็ตามใจกู นั่นมันอัตภาพ ไม่ใช่อิสรเสรีภาพ บำเรออัตตา อิสรเสรีภาพ ไม่เป็นทาสแม้แต่ตัวเอง ไม่มีกิเลสตัวเองที่จะมาบำเรอ อัตตาตัวเอง นั่น อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพนี่ เป็นญาติพี่น้องกัน เกื้อกูลกัน พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ สันติภาพเป็นสุข ชาวอโศกนี่ ยังไม่มานั่งชกปากกันเลือดไหล ไม่มีเลย สิบกว่าปีมาแล้ว เกือบจะยี่สิบปีแล้ว ไม่มี ผู้หญิงก็ไม่ได้ข่วนกัน หน้าแหก ไม่มี มาอยู่กันนี่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ตะวันออก ตะวันตก มาอยู่กัน ไอ้ตึกเรือนขาวน่ะ พอมารวมๆกันน่ะ โอ้โฮ นอนกันอย่างกับปลาซาดีน ไขว้กันให้ดีนะ เรียงกัน มันแน่จริงๆ นี่ก็จะสร้างกันอีกตึกหนึ่งขึ้นมา ให้มาพักกัน มันก็ยังไม่ได้สร้าง ซักที แน่น ก็มากัน ไม่รู้มาจากเหนือ จากใต้ จากตะวันออก ตะวันตก แขกบ้าง จีนบ้าง ไทยบ้าง บางทีก็เอาเชื้อยวนๆมาบ้าง ก็อยู่กันได้ๆ ไม่ทะเลาะเบาะแว้งหรอก มันมี โทสะ มันยังเหลือบ้าง มันไม่รุนแรงหรอก สงบ มีอะไรก็เอ้า บริภาษกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่จัดจ้าน เหมือนชาวโลก ก็อยู่กันได้นะ ความโลภก็พอมี บางคนก็ยังมีเชื้อ ยังเห็นแก่ได้อยู่นะ ยังมีบางครั้ง บางคราว ยังบอก มีขโมย ขโมยบ้าง อะไรบ้าง มีบ้าง แต่มันไม่จัดจ้านหรอก มันลดลงไปตามฐานะ แล้วเราก็เป็น อย่างนี้ สังคมมีภราดรภาพ มีสันติภาพ มีสมรรถภาพ สำคัญต้องมีสมรรถภาพ ไม่ใช่มางอมือ มางอเท้า ทุกคนขยันหมั่นเพียร เป็นนักสร้างนักสรร รู้จักเศรษฐศาสตร์ของสังคม รู้อุปสงค์ของสังคม เราก็เป็นนักอุปทานซัพพลาย ซัพพลายให้แก่สังคม สร้างสรร เป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ ไม่ใช่เป็นคนที่เอาเปรียบเอารัด เรามีเท่าไหร่ เราสร้างเท่านั้น แล้วเป็นทรัพย์ของเรา เป็นบุญ เป็นกุศลของเรา

ฟังให้ดีๆ สัจจะมันมีอย่างนี้ คุณฟังเข้าใจได้เดี๋ยวนี้ คุณต้องไปฝึกฝนตนน่ะ ไม่ฝึกฝนตนทำไม่ได้ ท้าให้ด้วย เข้าใจแล้วก็เอาไปคุยเขื่อง ไปเขียนหนังสือขาย นักเขียนหนังสือขาย นักธรรมะเก่งๆ เยอะไปนะ แต่ตัวเองชีวิตน่ะเป็นบาป ขบถ ชีวิตขบถ ชีวิตล่าลาศ ยศ สรรเสริญ บำเรอตนอยู่นั่นน่ะ บางคนมีเมีย ๒ เมีย ๓ นักธรรมะนะ บางคนได้เป็นราชบัณฑิตนะ แล้วโลภโมโทสัน ดีไม่ดี ยังมีคอรัปชั่น ยังมีอะไรอยู่เลย แล้วเขาไม่รู้ตัวเขาหรอก แต่เขียนหนังสือออกมานี่ โอ้โฮ ได้ราคา ค่าแพง เขายกฐานะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ แหม เป็นคนสูงนะ ในตลาด สังคมเดี๋ยวนี้ อาตมาเรียก พวกนี้ว่า จอมโจรบัณฑิต สังคมแย่ เสร็จแล้วก็มีเหตุ มีผล มีเอาความยอมรับนับถือสังคมโน่น มาเป็นเครื่องอ้าง อย่างอาตมาไม่มี นี่นักธรรมตรีก็ไม่ได้ เปรียญอะไรก็ไม่มี แถมพ่อก็ไม่รวย รูปก็ไม่ค่อยหล่อ ไม่มีอะไร เรียนทางโลกก็ไม่ได้เรียนอะไร ปริญญาก็ไม่ได้สักใบ ไม่มีเครื่องอลังการ อะไรเลย คนเขาไม่ค่อยเชื่อ ซึ่งมันไม่ปัญหา

มันเป็นการพิสูจน์ตัวอาตมาด้วยว่า อาตมาจะมีของจริงอะไรออกมาแสดง เอามาให้พวกเราพิสูจน์ เอามายืนยัน ถ้าอาตมามีเครื่องอลังการอะไรพวกนั้นมาช่วย มันก็ทำให้อาตมาไม่แน่จริงนะซี อาศัยสิ่งเหล่านั้น ตัวเองไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก ไม่เก่งเท่าไหร่หรอก อาศัยเมียรวย แล้วเมียมีอำนาจ อ้าว ตายละหว่า เราพึ่งเมีย ไม่มีท่าเลย ไม่เก๋ล่ะ ไม่ใหญ่ล่ะ เราไม่ต้องพึ่ง พึ่งตน มีเท่าไหร่ เอาของเรา ฟังแล้วมันชัดๆอย่างนี้น่ะนะ บางคนก็หาว่า โพธิรักษ์นี่ กำลังจะเล่นการเมือง จะสร้างฐานะทางการเมือง เพื่อที่จะมากอบกู้ศาสนา จะต้องให้การเมืองมาช่วย อาตมาเสียเหลี่ยม ตายเลยจริงๆ จริงๆเลยนะ จะต้องเอาอำนาจการเมืองมาช่วย ไปถามคุณจำลองเลย คุณจำลอง อาตมานี่ระวังแจเลยนะ โอ้โฮ อย่าเชียวนะคุณ เรื่องการเมือง คุณไปทำ คุณเอาไปของคุณ อาตมาไม่ต้องพึ่งพาอาศัยคุณหรอก เอาอำนาจการเมืองมานี่ อาตมาเสียรังวัดมากเลย เสียเหลี่ยมกำนันหมด ไม่เอาล่ะ

พุทธศาสนาก็ต้องเป็นศาสนาของตนเอง จะสำคัญก็สำคัญของตนเอง จะก้าวหน้าเจริญงอกงาม ก็ต้องเจริญงอกงามด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปอาศัย อ้างอิงพิงเขา มัน แหม ! มันด้อยขนาดนั้นเชียวเหรอ ไม่รู้จักโพธิรักษ์ซะแล้ว แหม จริงๆนะ ไม่ต้องไปพึ่งการเมือง ไปพึ่งพิงเศรษฐี เศรษฐีน่ะ รอหน้า ไม่ติดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ในที่นี้น่ะ โอ้โฮ ! ถึงได้รีดเลือดกับปูอยู่ไม่ได้หยุด ไม่ได้หย่อน นี่ปูทั้งนั้น ไม่มีเงิน ไม่มีทองหรอก คนมีเงินมีทองพอเข้ามา ก็โดนอาตมา ว่า เอาแล้ว เขาก็ไม่รอหน้า ไชยรัตน์ ... นี่ เคยมานอนกุฏินี่ เคยซื้อกระดาษมาให้เราพิมพ์หนังสือ แต่ก่อนนี้ มานอนอยู่พักหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่หรอก ไปแล้ว พออาตมามาเทศน์ มันก็แทงใจดำ เพราะออกจากภพนั้นได้ที่ไหน เขาก็ต้องอยู่อย่างนั้น คุณไชยรัตน์ ... นี่เคยมา คุณอะไร.. เอาล่ะ พอแล้วกล่าวชื่อ เขามากๆ ประเดี๋ยวเขาก็จะว่าเรามาก อย่างนี้เราไม่ต้องไปอาศัยสิ่งโลกเท่าไหร่หรอก ธรรมะต้องช่วยตน ธรรมะเพื่อธรรมะ ไม่ใช่ไปเอาอลังการของโลก เอาอำนาจโลกีย์ เอาอำนาจลาภ เอาอำนาจยศ เอาอำนาจสรรเสริญ โลกีย์น่ะ มาขับดันให้เราใหญ่ เฮ้ย เสียเหลี่ยมหมด จะใหญ่จะยิ่งจะโต จะเจริญ ก็ของตนซี

อาตมาเอง อาตมาไม่ใช่พูดปากเปล่านะ อาตมาเห็นอย่างนี้จริงๆ แล้วพยายามทำ แต่คนเขา เข้าใจไม่ได้ เอ้า เข้าใจไม่ได้ เราก็ช่วยไม่ได้ อย่างคุณจำลอง เขาก็เห็นสัจธรรมอันนี้ ก็ดีอันนี้ เขาก็มาเอา เขาก็มาศึกษา เขาก็มาทำอันนี้ มันตัดไม่ขาด เขาก็บอกว่า เออ มันก็พูดปากเปล่า เขาก็ไม่เชื่อข้างนอก เขาไม่เข้ามาดูข้างในด้วยซ้ำ ก็เรื่องของเขานะ เราไม่มีปัญหาอะไรหรอก เอาล่ะ อาตมาเทศน์ไปเทศน์มา เลยเวลาไป ๕, ๖ นาทีแล้ว เป็นแบบนี้ อาตมาก็ยังอยากจะอายุยืนอยู่ พอจะพูด มันพูดไม่หมด ไม่รู้ว่าอยู่อายุร้อยปี มันจะพูดหมดหรือเปล่า มัน แหม มันก็พูดซ้ำซาก พูดเฉาะลงไปเรื่อยๆ ทำฐานนี้ เราก็ต้องต่อ ถ้าไม่มีฐาน ไม่มีบันไดแล้ว มันก็ไปไม่รอด แล้วพวกเรา ก็ต้องปฏิบัติขึ้นมา มันถึงจะนับ วันเวลา บางอย่างมันยังพูดไม่ได้ จนกว่าคุณจะมีสภาวะรองรับ แล้วก็ถึงจะไปได้ แล้วก็ถึง ก็จะค่อยๆต่อเลื่อนไปเรื่อยๆ ขนาดนี้ มันก็ได้ขนาดนี้ มันก็เก่งแล้ว ได้ดี นักหนาแล้ว พูดขนาดนี้นะ

เอ้า เอาละ สำหรับวันนี้ จบ

สาธุ


ถอดโดย อารามิก ดงเย็น จันทร์อินทร์ ๒๗ เม.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย สม.จินดา ๓๐ เม.ย.๒๕๓๔
พิมพ์โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์
ตรวจทาน ๒ โดย สุพรรณี เนตรสว่าง
FILE:1465B


[๘๔๕] สทฺทหาโน อรหตํ ธมฺมํ นิพฺพานปตฺติยา
สุสฺสูสํ ลภเต ปฺํ อปฺปมตฺโต วิจกฺขโณ
ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺ€าตา วินฺทเต ธนํ
สจฺเจน กิตฺตึ ปปฺโปติ ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ
ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา สทฺธสฺส ฆรเมสิโน
สจฺจํ ธมฺโม ธิติ จาโค ส เว เปจฺจ น โสจติ
อิงฺฆ อฺเปิ ปุจฺฉสฺสุ ปุถู สมณพฺราหฺมเณ
ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตฺยา ภิยฺโยธ วิชฺชตีติ ฯ
เล่ม ๑๕ ข้อ ๘๔๕