ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๑
ต่อจากหน้า ๑

เพราะฉะนั้น ในโอกาสต่อไป คุณก็ได้สั่งสมอันนี้เป็นวิบากแล้ว สั่งสมกรรมอันนี้เป็นจริง มีจริงแล้ว ต่อไปก็เริ่มสั่งสมปัจเจกบุคคล หรือปัจเจกพุทธะ ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าคุณต่อ จะมีแต่เหตุปัจจัย จากอื่น น้อยลงๆๆ จนกระทั่งไม่มีแล้ว เหตุปัจจัยของพุทธนี่ ไม่มี อย่างพระพุทธเจ้านี่ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่า วิชชาพุทธะไม่มีแล้ว

เราเกิดมายังมีวิชาพุทธอยู่ตั้งเยอะ อาตมาเกิดมาก็มีวิชาพุทธอยู่ตั้งเยอะ แต่อาตมาไม่มีตัวบุคคล ที่จะมาเป็นครูอาจารย์ ที่สอนพุทธให้แก่อาตมาเลย อาตมาไม่ได้เรียนจากใครจริงๆ เรื่องพุทธศาสนา มันก็เป็นของอาตมา กว่าจะมาตอนนี้ กว่าจะมาถึงขั้นนี้ ถึงแม้จะรับมาจากผู้อื่น เราก็มามีเอง เป็นเอง ลึกซึ้งเอง เกิดรู้เอง เกิดลึกซึ้งเอง อะไรเองต่างๆ จนกระทั่งจะไม่ต้องพึ่งอื่น เรื่อยๆๆๆๆๆ ลึกซึ้งไปเรื่อยๆ จนไม่มีเลยวิชาพุทธนี้ แต่เราก็เอามาพูดได้ อย่างอาตมา หลายอย่างเอามาพูดนี่ ไม่ได้เอามาจากใคร ควักเอาตัวเองออกมาพูดๆๆ ตรงกับของพระพุทธเจ้า ก็เยอะแยะมากมาย เขาหาว่าผิด ไม่ตรงกับที่เขาเรียน มาโดยบัญญัตภาษาก็เยอะแยะ แต่อาตมาก็ยังเห็นว่า อาตมาพูดนี่ อาตมาทำได้นี่ถูกกว่า แม้จะไม่ตรงกับตัวบัญญัติภาษา แต่อาตมาก็ไม่อยากไปชกกัน ไปเถียงกัน เพราะเขาตำราเขา อาตมาไปสืบ ตามสืบตามทราบไม่ได้ว่า ใครไปเปลี่ยน ใครไปแก้ ใครไปผิด อาตมาไม่รู้ อาตมาไม่มีเวลาจะไปค้นมาต่อสู้กับเขา เพราะฉะนั้น อาตมาไม่เถียงละ หลายๆอย่าง อาตมาก็ปล่อย แล้วก็ เอาอะไรมาให้พวกเราศึกษา ให้พิสูจน์ คุณก็พิสูจน์เอาก็แล้วกัน

เพราะฉะนั้น เรื่องตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา อาตมาก็เคยอธิบายแล้วในปลุกเสก หรือพุทธาภิเษก วิชชา ๙ จรณะ ๑๕ เขียนเป็นหนังสือก็เขียนไปแล้ว แล้วก็จะอธิบายอยู่ต่อไป จรณะ ก็คือพฤติกรรม การประพฤติกับการปฏิบัติทั้งหมดนั่นแหละ ไม่มีอื่นหรอก เสด็จไปดีแล้ว หมายความว่า ดำเนินไปดี จะดำเนินต่อไป มีการก้าวหน้า มีการดำเนินต่อ จะดำเนิน เรียกว่าคติ ดำเนินต่อไปนี่ มีแต่ดีทั้งนั้น ไม่มีความเสื่อม ไม่มีความผิด ไม่มีความเลวทรามอะไร มีแต่ดีต่อไป เรียกว่าผู้เสด็จไปดีแล้ว ถ้ายังมีไปอยู่ ถ้าไม่ไปจบก็สูญ ปรินิพพานก็จบ ก็สูญ ไม่มีไปอีก ไม่มีคติอีก ไม่มีคติจะไปสุคติก็ไม่มี ทุคติก็ไม่มี ไม่มีไปที่ไหนอีก จบ หมดคติ แต่ไม่ใช่อคตินะ อคติมันลำเอียง คือไม่มีละ คติใดอีกไม่มีแล้ว ไม่มีไป ไม่มีมาที่ไหนอีก ทรงรู้แจ้งโลก รู้แจ้งโลกียะนี่ มีมากมีมาย ขนาดไหน พระพุทธเจ้าท่านถือว่า เป็นผู้ที่มีโลกวิทู รู้แจ้งโลกต่างๆหมด แล้วจะรู้ได้ อยู่ดีๆ ก็มันจะรู้เองไม่ได้หรอก เราต้องไปสัมผัสไปพบ ไปประสบ เพราะฉะนั้น

โพธิสัตว์จะต้องศึกษา ฝึกฝน ลงนรก ขึ้นสวรรค์ไปหมด ถ้าโพธิสัตว์นะ ถ้าอรหันต์ไม่จำเป็นหรอก ไปติดมาเท่าไหร่ ของตัวเอง ล้างของตัวเองให้มันหมดแค่นั้นก็พอแล้ว นี่ ไปติด ไปสัมผัสมา ไปยึดเอามาเท่าไหร่ๆ ที่มีอยู่ในตัวนี่ นั่นแหละ ล้างตัวนั้นให้มันหมด หมดเมื่อไหร่ แล้วอาตมา จะไปรู้อีกทีนี้ คุณมีหลักประกันเสียก่อน เป็นอรหันต์เสียก่อน มีหลักประกันดีแล้ว มีเครื่องมือที่จะไม่ติด มีอาวุธที่จะล้าง จะละได้ง่าย ไม่ติด เพราะว่าเราทำความสะอาดเก่ง มีวิชาการในการทำความสะอาด อะไรมาจะเหนียว จะแน่น จะดูด จะตรึงขนาดไหน เราก็มีวิชา ยอดวิชาแล้ว วรยุทธสำเร็จวรยุทธ คือในการที่ไม่ติด ไม่ยึดอะไร ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรได้จริง แล้ว คุณจะลงไปลุยโน่นนะ กาวตราช้าง จะไปลุยที่มันมีอะไร ที่มันเหนียวขนาดไหน ก็แล้วแต่ คุณก็มีวรยุทธ ในการล้างแล้ว มันมีเครื่องมือสำคัญ มีหลักประกัน

ทีนี้คุณจะมาเป็นโพธิสัตว์เชิญเลย ลุยเข้าไป ใครยิ่งติดมาน้อย ยิ่งรีบๆ เป็นอรหันต์ได้เร็วๆ แล้วอยากลุยต่อ ก็ค่อยไปลุย นี่ยังเลย บอก อ้อ! ยังไม่ได้ลอง อันนี้ มันก็ยังอยากลอง แหม ! อาตมาเมื่อยเลย อยากจะลอง ต้องไปลองก่อน แล้วเราก็ไม่รู้ว่า เราลองมากี่ทีแล้ว เกิดมากี่ชาติแล้ว กว่าจะได้มานั่งฟังนี่นะ มันมีบุญนะ บอกแล้วว่า คนเกิดมามีบุญ ได้พบพระพุทธศาสนาก็บุญแล้ว แล้วมาพบ พระพุทธศาสนาที่ลึกซึ้ง แล้วพบพระพุทธศาสนาจริงๆว่า เราได้พบนะ เราได้มีประโยชน์ ทางศาสนา รู้ศาสนาพุทธลึกซึ้ง แล้วก็มีคุณค่า มีประโยชน์ทางศาสนา ได้บรรลุธรรม ได้ผลทางธรรมด้วยซ้ำ แล้วมันพบขนาดไหน พบระดับลึกขึ้นไปอีก มีสัตบุรุษ มีผู้รู้แนะนำสั่งสอน ลึกซึ้ง แล้วเราเอามาปฏิบัติ จนเกิดผลได้เยี่ยมยอดอีก นี่บุญขนาดไหน คุณเกิดมามีบุญขนาดนี้ คุณได้เกิดมากี่ชาติแล้ว ได้ผ่านไอ้ ขี้กะโล้โท้มาเท่าไหร่แล้ว แต่คุณยังระลึกมันไม่ได้ ระลึกชาติเก่าๆ ที่อะไรต่างๆ นานาสารพัด หมื่นชาติแสนชาติ สังวัฏกัป วิวัฏกัป ที่ย้อนไปอีกตั้งเท่าไหร่ คุณระลึกไม่ได้เท่านั้นเอง เมื่อไม่ได้ก็มันยังอยาก ก็คือกิเลสนั่นแหละ มันชวนให้อยาก จริงๆ ถ้ามันไม่เป็นกิเลส มันก็ไม่ชวนหรอก กิเลส แล้วมีอุปกรณ์ให้สร้างด้วยน่ะ กิเลสนี่

บางทีมันไม่มีอุปกรณ์ให้ทำ มันก็ทำไม่ได้น่ะ แล้วมันก็อยากไม่ได้ด้วย มันไม่ได้มาใช้ เพราะอุปกรณ์ ที่จะต้องใช้ ด้วยพลังงานที่เรียกว่า กิเลสตัวนี้  คุณได้องคาพยพ ได้ร่างมาเป็นคน คุณก็มีตัวนี้ มีต่อมมีปม มีอะไรๆ คุณก็มาใช้มันได้ แต่คุณไม่ได้หรอก คุณไปเกิดเป็นลิง ไอ้ต่อมปมไม่เท่า คนมันมากกว่า วิญญาณก็เลยได้ใช้มากกว่า เป็นลิงไม่ได้ใช้หลายๆต่อม หลายๆปมไม่มีเท่าคน เซลประสาทอะไรต่างๆ ไม่เท่า ก็ไม่ได้ใช้ ยิ่งไปเป็นยิ่งกว่าลิง ไปเป็นเต่า ยิ่งแย่กว่าอีก ไม่ได้ใช้ เท่าลิงด้วยซ้ำ ลิงยังใช้อะไรบ้าๆบอๆ ได้เกือบเท่าคน ได้มากกว่าเต่าเยอะแยะ มันมีองค์ประกอบ ที่จะต้องใช้ได้ด้วย ถ้าไม่มีองค์ประกอบรูปกับนาม มันก็ใช้ไม่ได้ มันต้องมีองค์ประกอบรูปกับนาม ที่จะใช้ได้ด้วย ทั้งๆที่กิเลสก็มี ดี ไม่ดี ปัญญาก็มี

เพราะฉะนั้น เต่ามีปัญญา เป็นพระโพธิสัตว์ด้วยนะ ไปเป็นเต่า มีปัญญา แต่อุปกรณ์ให้ใช้ มันไม่มี ก็เลยใช้ไม่ได้ ก็ได้แต่แค่ทำได้แค่เต่า ทำได้มากกว่านั้นไม่ได้ จะมาทำเก่งกว่าคนไม่ได้ มันก็ได้แค่เต่า จะวิเศษกว่าเต่าธรรมดาหน่อยเท่านั้นเอง ถ้ามาเป็นลิงโพธิสัตว์ มีปัญญามากกว่าคนบางคนด้วยนะ แต่ก็ทำได้แค่ลิง ลิงโพธิสัตว์นั่นแหละ ทำได้มากกว่าลิงไม่ได้ เพราะรูปไม่ให้ นามอาจจะมี แต่เอามาใช้ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ที่อาตมาอธิบายแทรกเสริมอะไรต่ออะไรต่างๆนานานี้ เพื่อให้ได้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นไปอีก ฟังดีๆนะ อาตมาตั้งใจอธิบายทรัพย์นี่ให้เห็น จะได้ไม่ประมาท แล้วจะได้ไม่ช้า พวกเราจะได้พากเพียร จะได้อุตสาหะ วิริยะ วิริยินทรีย์จะได้เกิด อาตมาไปเร่ง ไปบังคับไม่ได้หรอก ความเพียร ความอดทน ความพยายามของคนนี่ จะเกิดเพราะเราเกิดญาณปัญญา เกิดความเห็นจริง จนความเชื่อ เชื่อฟัง เชื่อถือ เชื่อฟัง แล้วคุณก็จะปฏิบัติประพฤติพิสูจน์จนเชื่อมั่น ต้องเกิดเอง แล้วลักษณะบังคับ อาตมาก็ไม่ยินดี อาตมาไม่ต้องการบังคับกัน ต้องการให้เกิดเอง เป็นเอง เมื่อเกิดได้เอง เป็นเอง โดยการพยายามจะหาวิธีใด ที่อาตมาจะสามารถชักลึกให้ตื้น หงายของที่คว่ำ ให้หงายขึ้นมาให้ชัด จุดไฟในที่มืดให้ได้ แล้วคุณก็สว่างโพลงเอง คุณก็มีพลัง กำลังอะไรเอง ต้องการอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้แจ้งโลก สามารถจะเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก พระพุทธเจ้าถือว่ายอด อาตมาก็พยายามเป็นสารถีที่จะฝึก ฝึกคน ฝึกบุรุษ ทำไม ท่านไม่บอกว่าฝึกสตรี ท่านบอก ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ได้ให้ฝึกหรือไง นี่ มันเป็นของลึกซึ้ง มันเป็นนามธรรม คำว่าบุรุษ โดยภาษาโลก ก็เรียกแต่แค่ว่าบุรุษ เพศชาย แต่ในภาษาธรรมะนั้นน่ะ คุณหมดอิตถีภาวะลงไป เรื่อยๆ ด้วยนามธรรม ด้วยญาณปัญญา ด้วยตัวจริง นั่นคือตัวบุรุษ เพราะฉะนั้น ที่นั่งอยู่นี่ มีบุรุษอยู่นี่ นั่งอยู่เยอะเหมือนกัน โดยรูปน่ะ ผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชายเลย ผู้ชายอาจจะเป็นสตรีอยู่ ก็เยอะเหมือนกันก็ได้ มีอิตถีภาวะภาโวอยู่ไม่ใช่น้อย ดูรูปก็ผู้ชายหรอก แต่นามธรรม จิตใจแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง อันนี้เป็นแนวลึก เป็นส่วนลึก

เพราะฉะนั้น ท่านถึงบอกว่าทรงแจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก เพราะฉะนั้น บุรุษที่ควรฝึกเท่านั้นที่ฝึก บุรุษที่ไม่ควรฝึก แม้จะเป็นบุรุษที่ไม่ควรฝึก บางทีก็ปล่อยให้เต่าปลา กินไปเหมือนกัน เป็นบุรุษเหมือนกันนะ พอได้เหมือนกัน แต่ดื้อเหลือเกิน ดีไม่ดี ปทปรมะเอาด้วย รู้หมด พุทธพจน์ก็รู้ ทรงจำก็มาก สอนคนเสียด้วย แจ้วๆเลย ได้รับชื่อเสียง มากกว่าอาตมาเสียอีก แต่คนนี้น่ะอเวไนยสัตว์ สอนไม่ได้ ปล่อยเขา เพราะฉะนั้น ไม่ฝึกแน่ ขืนฝึกเราตาย เสียเวล่ำเวลา ฝึกก็ไม่หวาดไม่ไหว เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องหยุด

เพราะฉะนั้น ฝึกบุรุษที่ควรฝึกเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ตาม อย่าว่าแต่อาตมาเลย พระพุทธเจ้าก็ฝึก บุรุษที่ควรฝึก ผู้ไม่ควรฝึก ท่านก็ปล่อย ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า ของพระพุทธเจ้า ถือว่า ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า ถ้าเป็นอาตมาพูดไม่ได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า พูดไม่ได้ เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ท่านเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย อาตมายังไม่พึงเรียกว่าศาสดา คนอื่นเขาจะใช้คำว่า ศาสดานี่เป็นภาษาโลก ของศาสนาซิกข์นี่ เขาเรียกศาสดาทุกคนที่ขึ้นมา เลือกเป็นผู้นำหมู่ เขาเรียก ศาสดาทุกองค์ของซิกข์ ก็แล้วแต่เขาจะสมมุติ แต่อย่างเรานะ ถือค่าของศาสดาสูงอยู่ เพราะฉะนั้น จะเป็นศาสดานี่จะต้องสำคัญ เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว คำว่าตื่นนี่ ไม่ใช่ว่าลุกมาจากที่นอน เท่านั้น เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้ที่สว่างแล้ว เป็นผู้ที่ไม่งมงาย ไม่อยู่ในที่มืด ไม่งมๆคลำๆอีกแล้ว ชัดเจน จะชัดเจนจริงก็ต่อเมื่อ เราเป็นผู้ตื่นที่สมบูรณ์จริงๆ ไม่มีหรี่ลงไปอีก ไม่มีการซึมลงไปอีก เรียกว่าตื่นแท้ ตื่นเต็ม ตื่นแล้ว จะเอาอะไรมาหลอกมาลวง จะเอาอะไรมาทำ ก็ไม่มัว ไม่พร่า ก็ไม่เปลี่ยนไม่แปลงอีกแล้ว สว่างแจ้ง แข็งแรงทิศเดียว ตื่น ไม่มีหลับอีก ไม่มีง่วงอีก เพราะฉะนั้น ใครได้แค่ ง่วงๆหลับๆอยู่แค่นี้ ยังเรื่องเล็กน้อย แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปตื่นในตัว จริงๆ ตื่นสมบูรณ์นี่ มันยังอีกไกลแสนไกล เป็นผู้ตื่น ไม่ใช่ตื่นธรรมดา พุทธะ แปลว่า ผู้ตื่น

เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นพุทธะสมบูรณ์นี่ มันไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นผู้จำแนกธรรม อาตมาก็เป็น ผู้จำแนกธรรม แต่ก็ยังสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้นะ จำแนก และแม้แต่พวกเรานี่ มีการจำแนกได้เก่งกว่ากัน ในหลายเหลี่ยมหลายมุม พระพุทธเจ้ายกย่อง พระมหากัจจายนะ เป็นผู้จำแนกธรรมได้ดี พระสารีบุตร ท่านก็ยกย่อง เป็นผู้จำแนกธรรมได้ดี แต่ท่านยกย่องพระกัจจายนะนั้น ในเอตทัคคะ ในด้านที่เด่น เลิศ บอกว่า โอ ! จำแนกธรรมได้เก่ง มีวิธีการ มีภาษาอะไรต่ออะไรได้ดีกว่า จริงๆ สรุปเก่ง ขยายอะไรได้ไม่วกวน ไม่ซับซ้อน อาตมานี่ซับซ้อนเยอะนะ แล้วปรากฏว่ารู้มากไป มันเลยเอาอะไร เข้ามาอัดเข้าไปหมด แล้วรู้สึกว่ามันเกินไป ในบางสิ่งบางตอน เป็นผู้จำแนกธรรม ต้องจำแนกธรรม ธรรมะนี่ ไม่จำแนกไม่ได้หรอก มันมาก แล้วมันลึกซึ้ง มันซับซ้อน หลากหลาย จะจำแนกอย่างไร ถึงจะหัวเป็นหัว หางเป็นหาง แม้แต่หัวๆหางๆ มันก็ยังกลับไปกลับมา กลับไป กลับมาอีกตั้งเท่าไหร่ อย่างพวกคุณนี่ แต่ละวัน แต่ละวัน ศึกษาไปเรื่อยๆ จะได้เห็นว่า โอ้โห ! มันซับซ้อน กลับหัว กลับหางกัน โอ้โฮ ! ตะพึดตะพือ ดีไม่ดีบางที เอาไปตีกินก็ยังมีเลย ทำเป็นเอาตัวซับซ้อนไปตีกิน คนรู้ไม่ทัน เสร็จ เสร็จเรา แต่ที่จริงทุจริต ระวังนะ จะเอาพวกนี้ ไปตีกินไม่ได้

นี่เป็นการศรัทธา ศรัทธาพระพุทธเจ้า เพราะเหตุที่ท่านเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นอย่างยอดจริงๆด้วย แล้วเราก็ศรัทธาท่านว่า เออ ! เราก็อยากเป็นอย่างท่านได้นะ แม้จะไม่ได้ถึงขั้น แค่อรหันต์ที่หมาย ที่ว่าอรหันต์เอาแค่ไหน อรหันต์แค่โสดา อรหันต์แค่สกิทา นี่ อาตมาก็อธิบายซ้อนไปตั้งลึก ตั้งมากมายแล้ว ซับซ้อนตั้งมาก อรหัตผลของโสดา หรืออรหันต์ของโสดา อรหันต์ของสกิทา อรหันต์ของอนาคา อรหันต์ของอรหันต์ อรหันต์ของอรหันต์ก็คือ คุณไปติดไปยึดมาเท่าไหร่ มันมีอยู่เท่าไหร่ วางให้มันหมด ปล่อยให้มันหมด ในเรื่องความยึดเป็นตัวกูของกูจริงๆ วางให้มันหมด ปล่อยให้มันหมดจริงๆ ก็เป็นอรหันต์แล้ว อย่าไปหามาอีกเลย ไอ้เท่าที่มี มันก็เหลือวางจะแย่อยู่แล้ว อย่าไปหามาอีก ใครยังอยากไปเอามาอีก ยังอยู่นักอยู่หนาเลย ไม่หวาดไม่ไหว แค่นี้เอาให้จริง

ทีนี้ เข้ามาหาคำว่าทรัพย์ อาตมาอยากจะเน้นคำว่าทรัพย์ วันนี้ต้องรู้กันให้ได้ว่า ทรัพย์คืออะไร ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือสิ่งที่ไม่มี สละให้หมด ทรัพย์คือปัญญา ตอนนี้เริ่มให้ปัญญานิดหนึ่ง เป็นทิฐิความเห็นแล้วบอกว่า ปัญญาว่าทรัพย์ คือสิ่งที่ไม่มี คือสิ่งที่ไม่ได้ เฮ้ย มันทรัพย์อะไรว้า ทรัพย์คือสิ่งที่ไม่มี คือสิ่งที่ไม่ได้ ก็อุตส่าห์จะสะสม ไว้ให้เป็นสมบัตินะนี่ แล้วบอกว่า สมบัติคือสิ่งที่ไม่เป็นสมบัติ สิ่งที่เราจะต้องไม่ยึด ว่าเป็นสมบัติของเรา เอ๊ ! ภาษามันหมดแล้ว มันหมดภาษาแล้ว นี่คือทรัพย์ เอ้า ! ฟังตรงนี้ก่อน เอ้า ทีนี้จะไล่ให้ฟังตั้งแต่ ทรัพย์ของอันธพาล เป็นทรัพย์จริงๆน่ะ เขามีความเป็น อันธพาล เขามีเขาก็อาศัย เขาก็พึ่ง พึ่งความเป็นอันธพาล มีชีวิตอยู่ มีความสุข เพราะความเป็น อันธพาล มันได้ทำอย่างนี้แหละ มันมันดี สุขดี เอาตั้งแต่อันธพาลก่อน ไอ้โจรมันก็ทำอย่างนี้ ทั้งๆที่บางที เริ่มรู้แล้ว เริ่มมีปัญญารู้แล้วว่า เอ๊ ! ไปปล้นเขา ไปจี้เขา ไปทำร้ายเขา ไปเอาเปรียบ ไปเอารัดเขานี่ไม่ดีนะ ไปทรมานไปทรกรรม บางทีไปฆ่าไปแกง ไปแย่งไปชิง ของรักของหวง ของคนอื่น ไม่ดีนะ สามัญสำนึกรู้นะ แต่มันมีศรัทธาไม่เต็มหรอก ศรัทธามันไม่ได้เชื่อเต็มหรอก เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เชื่อ ก็ไม่ตั้งศีล ไม่ตั้งหลัก ไม่ตั้งข้อ ไม่ตั้งกฎ ไม่ตั้งเกณฑ์ให้ตัวเองนี่ เลิกออกมาเสียซิ ลดออกมาเสียซิ หยุดออกมาเสียซิ ไม่ตั้ง เมื่อไม่ตั้ง สามัญสำนึก ก็เชื่อเผินๆ อยู่แค่นั้นแหละ ถ้าเชื่อมากก็จะตั้งศีลถึงขั้นศรัทธา และมีศีลนี่แหละ จะเป็นตัวเดินบท

เพราะฉะนั้น คนใดที่ศรัทธาๆๆโดยไม่มีศีลเลยนั้นน่ะ ไม่มีทางที่จะมีทรัพย์อันเป็นอริยทรัพย์ เพราะคนในโลกนี้ ศรัทธามีเรียน นักวิชาการนักรู้นี่รู้ ศรัทธารู้เต็มหูเต็มหัว ปทปรมะได้ เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามที่ตัวรู้เลย รู้ถูกด้วยนะ ว่าปฏิบัติอย่างไรๆ สอนเขาเป็นอรหันต์ได้ แต่ตัวเองไม่มีศีล ไม่ได้ปฏิบัติตามศีล ตามหลักเกณฑ์ให้แก่ตัวเอง ไม่ได้ลงมือ เมื่อมีศีลแล้ว ก็จะต้องซื่อสัตย์ แล้วก็จะต้องลงมือแข็งแรง ฝืนฝึก ฝืนฝึกลด ฝึกละ เพราะตัวเชื่ออย่างนี้ ตัวจึงเป็นอย่างนี้ ตัวจึงมีอย่างนี้ ตัวจึงทรงไว้ซึ่งอย่างนี้ เพราะเป็นความสุข หลงว่าเป็นความสุข จึงเป็นอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้น แม้แต่มันมีฤทธิ์แรงที่เป็นอกุศล เป็นตัวพาล ตัวโง่ ตัวไม่ดี ไม่งาม ก็ยังทำอยู่ ยังเป็นอยู่ ยังมีกิริยา ยังมีพฤติกรรมนั้นๆอยู่ เราไม่สละพฤติกรรมทั้งหมด แม้แต่พฤติกรรมทางกายที่หยาบ วาจาที่หยาบอยู่ ยังเป็นตัวเป็นตนของกาย วาจาอยู่ แม้กาย วาจาไม่ทำแล้ว แต่ใจยังไม่วาง ยังไม่สละออก มันก็ยังมีอยู่ที่ใจ เป็นกิริยาที่ใจ เสพสุขอยู่แต่ที่ใจ เป็นภพ เป็นภวตัณหาอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ตั้งศีลขึ้นละลดจริงๆ ให้ขัดเกลา หยาบ กลาง ละเอียดจริงๆ เป็นศีลที่เป็นอธิศีล ที่จะเกิดอธิจิต เกิดอธิปัญญา เป็นญาณทัสสนวิเศษ สุดท้าย เมื่อไม่ได้สั่งสม ไม่ได้ทำ ก็ไม่เกิด คุณทำไป ทำไป ถ้าเผื่อว่าคุณมีศรัทธาเชื่อจริง ถึงขั้นเชื่อฟัง ถึงขั้นศรัทธินทรีย์ เสร็จแล้วเอาไปปฏิบัติ มีหลักเกณฑ์แห่งการปฏิบัติ เพราะว่าคนเราปฏิบัติเลอะๆ เปรอะๆ ไปเกินกว่าฤทธิ์แรง เกินกว่าอินทรีย์พละของตนเองไม่ได้ ต้องพอเหมาะ พอดีกับตัวเรา

เพราะฉะนั้น เราจะมีศีล หรือเราจะมีหลักเกณฑ์ให้เหมาะกับตัวเรา แล้วลงมือปฏิบัติ ด้วยความพากเพียร มีสติปัฏฐาน มีสัมมัปปธาน มีอิทธิบาท พยายามพากเพียร สั่งสมอินทรีย์ ๕ พละ ๕ เราจะได้เจริญขึ้นจริงๆ จะได้เกิดศรัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ จะเกิดจริงๆ เมื่อคุณจะปฏิบัติด้วยศีลแล้วนี่ เวลาปฏิบัติไปนี่ คุณจะต้องมีตัวหิริ มีตัวละอาย อายจริงๆนะ ที่เรายังมีพฤติกรรมอย่างนี้ อายนะ ไม่ใช่ไม่อาย เช่นว่า คุณจะไม่กินเนื้อสัตว์ คุณตั้งใจคุณตั้งใจเอง คุณก็อายตัวเอง คุณได้บอกเพื่อนไป คุณก็ต้อง อายเพื่อน เมื่อคุณจะปฏิบัติกาย จะเอาเนื้อสัตว์กิน อาย คุณก็ไม่อยากจะให้เสียหน้า หน้าแตก เกิดอาการนั้น อาการที่จิตของเราอาย ไม่ใช่ว่าอายรู้แต่ภาษา แต่ที่จริง ใจมันไม่อายหรอก ไม่อายแล้วละ ว่าไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเรายังกินเนื้อสัตว์อยู่ ไม่อายหรอก ไม่เห็นมันอายอะไรนี่ เฉยๆ จิตว่าง เฉยๆ อุเบกขา อุเบกขาหน้าด้าน ไม่ใช่อุเบกขาดีอะไรหรอก แต่จริงๆ ต้องมีทรัพย์คือหิริ คุณจะเริ่มหิริ หิริจริงๆนั่นแหละ ละอายต่อความไม่ดีอันนี้ เราเชื่อว่า อันนี้เป็นความไม่ดี เราไม่ทำกาย ไม่ทำวาจา ไม่ทำใจจะต้องไปยินดีอยาก ติดอยู่ไม่เอา ใจจะต้องล้างละด้วย กาย วาจาก็ล้างละด้วย เลิกด้วยจริงๆ จนกระทั่ง เพิ่มจากหิริ เป็นโอตตัปปะ มันเกรงกลัว บอก เฮ้ย ! อย่างนี้ไม่ได้หรอก เป็นบาป

เพราะฉะนั้น ค่าของบาป ของแต่ละคนที่ต่างกัน เราจะรู้สึกว่า กินเนื้อสัตว์เป็นบาปยิ่งกว่าฆ่าสัตว์ ของคนที่ฆ่าสัตว์ด้วย จะรู้สึกว่า โอ้โฮ ! กินเนื้อสัตว์นี่มันเป็นบาป จะรู้สึกว่ามันเป็นบาป เรากลัว คนฆ่าสัตว์อยู่แท้ๆ เขายังไม่กลัวบาปเลย โอ้โฮ ! ยิ่งหิริ เขายิ่งไม่มีใหญ่เลย โอตตัปปะ เขายิ่งไม่มี ใหญ่เลย ขนาดหยาบ ขนาดฆ่าสัตว์ เขายังฆ่าได้ เราแค่กินนี่ จะรู้สึกเอง อาการที่กลัวบาปนี้ ไม่ทำละบาปอย่างนี้ มันบาปตั้งมาก โอ้โฮ ! มันจะรู้สึกมากเป็นของเราเอง ไม่เหมือนของคนอื่น ของเขาเขาไม่กลัว เขาฆ่าด้วยซ้ำไป ฆ่าแล้วกินเนื้อสดด้วย ทำไม กินเคี้ยวเนื้อสดตุ้ยๆๆๆๆ กินอวด กินอ้างด้วย กินเฉย แต่เรากินไม่ลง กินไม่ได้ กลัว อาการโอตตัปปะนั้นก็เกิดจริง นี่คือทรัพย์ มันยังไม่เกิด มันยังไม่ใช่ทรัพย์ของคุณหรอก เป็นแต่เพียงรู้ทรัพย์เหมือนกัน ทรัพย์แค่รู้ แค่รู้ แค่เชื่อ ขั้นแค่เชื่อฟัง เชื่อถือ เชื่อว่า เออ ! จริงนะดี ยิ่งคนไม่เชื่อถือเลย ยิ่งไม่มีศรัทธาเลย ยังไม่มีทรัพย์ในเรื่องนี้เลย ฟังดีๆนะ ทรัพย์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ เรื่องลึกซึ้ง ซับซ้อน มันเป็นทรัพย์ เป็นสมบัติของเราแล้ว มันมีไหม มันมีที่ตัวไหม มีจริงๆนั่นแหละ เป็นทรัพย์ เชื่อแล้ว เป็นทรัพย์แล้ว ลงมือตั้งเป็นศีล ปฏิบัติเป็นทรัพย์ ปฏิบัติแล้วเกิดอาการหิริจริงๆ ตัวนี้สำคัญมาก หิริกับโอตตัปปะ

เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ มันยังอลัชชีอยู่ เพราะมันหิริไม่เกิด โอตตัปปะไม่เกิด ซุกซ่อน แอบทำข้างหน้า รู้สึกว่ามันอายเพื่อนอยู่ ดีไม่ดี ทำต่อหน้าเลยด้วย ยิ่งเลิกเลย ไม่มีหิริทั้งต่อหน้า และ ลับหลังแย่เลย มันต้องเกิดที่ใจจริงๆเลยนะ เห็นอะไรเป็นบาป เห็นอะไรเป็นเรื่องไม่ดีที่เราจะเลิก จะต้องเสริมสุตะ อาตมาพูดนี่เสริมสุตะให้คุณ เสริมความรู้นะ หิริ โอตตัปปะ สุตะ เสริมให้มีมาก ให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ

เพราะฉะนั้น คนไหนตั้งใจฟังธรรมด้วยดี เราก็จะลึกซึ้งเสริม ค่อยฟังธรรมด้วยดี ได้อานิสงส์ ในการฟังธรรม ๕ ประการ ขึ้นเรื่อยๆๆๆๆเร็ว ใครยิ่งมีมานะ ยิ่งอ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ฟังละ รู้แล้วๆๆ ไอ้คำแต่แค่นิดเดียว มีความรู้สึกว่าของมานะ แต่ว่าไม่ต้องใส่ใจ หรือตัวอื่นมาฉุด ฟังนั่งอยู่ที่นี่ แต่เรื่องอื่นมันมาเหนือกว่า ฟังอาตมานี่ ฟังไม่เต็มร้อย เรื่องนั่น เรื่องนี่ เอาไปกินเสียหลายเรื่อง มันก็ไม่ได้เต็ม มันไม่ได้เต็ม อาตมาว่ามันไม่ง่ายนะ ที่พยายามอธิบาย พยายามพูดนี่

เพราะฉะนั้น เสริมสุตะ ทั้งฟัง ทั้งอ่าน ทั้งรับเอาจากของคนอื่นที่ค่อยๆ โยนิโสมนสิการ โยนิโส พยายามให้แยบคาย ให้ถ่องแท้ เสริมสุตะ เสริมสุตะมากเข้าๆ ก็คือเสริมปัญญาในกลายๆ นั่นแหละ ตัวท้ายน่ะ เสริมเพื่อที่จะให้มันเร่งแรงของหิริกับโอตตัปปะ มีสุตะมากขึ้น หิริก็จะเกิด โอตตัปปะ ก็จะเกิดขึ้น เพราะสุตะ

เพราะฉะนั้น ๓ ตัวกลางนี่ เป็นตัวเร่ง ทรัพย์ ๔ ประการ ท่านมี
๑.ศรัทธา
๒.ศีล
๓.จาคะ
๔.ปัญญา

นี่เป็นสัมปรายิกัตถประโยชน์ หรือเป็นทรัพย์ ๔ ประการ หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ นี่ ๓ ตัวนี้ เป็นตัวชั้นสูง เป็นตัวลึกซึ้ง เป็นตัวละเอียดที่จะเอามาอธิบายกัน อย่างขณะนี้ อาตมาเอามาอธิบาย เพื่อเสริม เพราะฉะนั้น รู้ต้นๆ รู้ง่ายๆ แค่ทรัพย์ ๔ ก็พอก่อน ให้ปฏิบัติเถอะ แล้วค่อยๆเสริมไป มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา แต่ทรัพย์ที่ละเอียดกว่านั้น ๗ หิริ โอตตัปปะ สุตะ สามตัวนี่ เป็นตัวซ้อนเสริม เป็นตัวไขเพิ่มเติม

เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีปัญญารู้ว่าหิริคืออะไร อาการอย่างไร เรียกว่าหิริ อาการอย่างไรเรียกว่า โอตตัปปะ มันมีฤทธิ์แรงต่างกัน อันหนึ่งแค่ละอาย อีกอันหนึ่งมันกลัวเลยนะ มันไม่กล้านะ กลัวไม่กล้าทำ เพราะฉะนั้น ฤทธิ์แรงของความอายที่สูงขึ้นไปถึงโอตตัปปะ มันไม่กล้าทำจริงๆ เมื่อไม่กล้าทำ คุณก็ไม่ได้ทำ คุณก็ได้ละ ได้เว้น จนกระทั่งคุณเสริมปัญญามากๆ เป็นสุตะนั่นเอง เสริมความรู้ ความละเอียด ความเข้าใจเพิ่มๆๆๆ ก็เสริมฤทธิ์แรง ความเป็นกำลัง กำลังของปัญญา เติมขึ้นๆๆ มันก็จะมีอำนาจ มีอินทรีย์ มีพละแรง สามารถที่จะจาคะ สามารถที่จะปล่อย จะละ จะเลิก จะหยุดได้ จนเห็นผล ปัญญาตัวท้าย ด้วยปัญญาญาณทัสสนวิเศษ เป็นตัวเห็นผล ของความลดเลิกละได้

เพราะฉะนั้น จาคะคือตัวที่เป็นผลสำเร็จ สละละได้ จนสุดท้ายที่พูดไปแล้วว่า ทรัพย์คือ จาคะหมดแล้ว ทรัพย์คือตัวไม่มี ทรัพย์คือความไม่มีทรัพย์ ทรัพย์คือความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราไม่มี เราไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มี หมด นี่คือทรัพย์ ฟังแล้วอะไรโว้ย วนไปวนมา ฟังแล้วมันน่าหัวหมุน หมุนไหม

ของเขา แหม ! สมบัติอันนี้ มันน่าจริงนะ มันไม่น่าเลย แต่เขาก็ยังมี เป็นเรื่องจริงนะ นี่คือทรัพย์ คนมีกามจัด มีราคะจัด ก็ต้องแสวงสุข ก็เป็นทรัพย์ของเขา กามมากๆ ก็หลงว่ามันอร่อย มันชีวิตชีวามากๆ กับกามนั่นแหละ กามนี่ก็คงเข้าใจหลวมๆ คือเรื่องของผู้หญิง ผู้ชายเท่านั้น ต้องมีมากๆ ต้องอะไร ถ้าไม่มีแล้ว ก็ชักจะเสียดายเสียใจ ตายละหว่า ต้องไปหายาโด๊ป โอ้ย ! ตาย ตายเสียดีกว่า แหม ! หมดเรื่องนี้แล้วก็ตายเสียดีกว่า ไอ้หนุ่ม หรือว่าไม่หนุ่มแล้ว แก่หัวหงอกแล้ว ยังบอกตายละหว่า โอ้ย! นี่ เกิดมาเรื่องนี้ไม่มีเลย มันก็เป็นผู้ เป็นคนไปทำไม ถ้าอย่างนั้น ก็เท่ากับ ด่าพระพุทธเจ้า แหม ! ไม่มีเรื่องนี้ก็เสียชาติเกิดหนอ ไอ้ที่เกิดมาน่ะ ชาติเสีย ไอ้คนเกิดมา มีแต่กามนั้นน่ะ มันเกิดมาชาติเสีย โอ้ ! มันไม่ใช่เสียชาติเกิดหรอก มันเกิดมาชาติเสียทั้งชาติเลย มันไม่ได้อะไรเลย โมฆบุรุษแท้ๆเลย ไอ้ชาติเสีย ใช่ไหม เกิดมาเป็นไอ้ชาติเสียแท้ๆ แม้แต่ก่อนนี้ อาตมาก็คิดเหมือนกันนะ ต๊าย ! เรานี่ ทำไมไม่เหมือนเขา อาตมาเคยน้อยใจนะ เอ๊ ! ทำไมเรานี่ฝีมือ ไม่เหมือนไอ้เพื่อนเลย เพื่อนมัน แหม ! มันเอามาคุยน่ะ อย่างโน้นอย่างนี้ ไอ้เราว่า เอ๊! มันเป็นยังไงๆ ว้า อยากรู้ (หัวเราะ) อยากเป็นอย่างมันเป็นบ้าๆบอๆ ก็ไปทำบ้าง มันก็ไม่เหมือนมัน (หัวเราะ)

ไม่เก่งเท่ามัน ก็จะลุกหรือไม่ แหม ! เรานี่ฝีมือชาย ไม่เหมือนมันเลย ไม่แมนเลยนะ มันแมนเหลือเกิน นี่มันถูกมอมเมาละนะ กว่าจะรู้ตัวก็โอ้โฮ! เปื้อนๆเปรอะๆไปพอสมควร เสียดาย แหม ! เสียชาติชาย ไปตั้งเยอะ ชายแท้ๆ เขาไม่ต้องไปเปื้อนก็ยิ่งดี แต่มันก็ โลกมันมอมเมาเรา เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ งมงายไปตามเขาบ้าง แล้วยังนึกอยู่ เออ แต่ก่อนนี้เราเข้าใจผิด มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เชื่ออย่างนั้น จริงๆ เลยนะว่า แล้วเราต้องเป็นอย่างนี้ ต้องไปลอง ต้องไปเป็นอย่างมันเป็นให้ได้ ฝึกนะ แอ๊คใหญ่เลย เอ้อ ! มันก็ไม่เป็น เรื่องผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกัน พยายามแอ๊คให้มันเหมือนเขา เขามาคุยบางอย่าง มันก็ไม่เห็น ไม่ชัดเหมือนกับมันเป็นแต่เพียงเล่านะ เอ๊! ยังไงก็ไม่ได้เรื่อง มันก็ไม่เป็น ก็ยังนึกอยู่ว่าเรา เอ๊ ! ไม่มีฝีมือ

เล่าให้ฟังบ้างก็ได้ อาจจะลามกนิดหน่อย ไปเที่ยวผู้หญิง อาตมาไม่เอา คือผู้หญิงโสเภณีนี่ ไม่ใจกล้าแน่นอน มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนมันก็บอก เฮ้ย ! คนตกรถ ผู้หญิงเขาตกรถ ไม่มีค่ารถกลับบ้าน เราก็ว่า เออ ! มันไม่ใช่โสเภณีละวะ มันผู้หญิงตกรถ ว่าอย่างนั้นนะ นี่เรื่องจริงนะ เล่าสู่ฟัง เออ ! มันก็นัดแนะให้เลยนะ ไปโรงแรมเราก็ไป เจ้าประคุณเอ๋ย ทั้งคืนมันไม่ได้เรื่องอะไรเลย เราก็น้อยใจว่า เอ๊ ! กูทำไมหนอ ไม่เป็นผู้ชายเลยนะ นี่ใจมันเกลียด มันไม่ได้เรื่อง มัน เอ๊ ! เราก็มา แหม ! ตอนจะออกมาแล้วนะสว่างแล้ว จะสว่างแล้วก็ตาม มันก็ไม่ ทำไมเราไม่ได้เรื่องเลยสักอย่างหนึ่ง จะให้เงิน ผู้หญิงมันก็จะไม่เอาเงินเสียด้วยซ้ำไปนะ มันก็สงสารเรา หรือยังไงก็ไม่รู้นะนา มันก็จะไม่เอาเงิน เราบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องเอาไป อาตมาก็ แหม ! ไม่เคยเล่าหรอกนะ ก็เล่าให้ฟัง (ผู้ฟังหัวเราะ) เราก็นึกว่าเรานี่ด้อยนะ เกิดมาเป็นชาย ไม่ชาติชายเลย มันด้อย ไม่บอก ไอ้เพื่อน มันแนะนำ เป็นไงสบายดี มันก็สบาย มันถามก็เฉย ไม่ได้เล่าให้มันฟังหรอก เราเอง เราไม่ได้เป็นชาย อย่างที่มันคิดเลย เราก็อายด้วยนะ เราไม่เป็นชาย สมชาย ไม่หรอก ไม่เปิดเผยหรอก นี่เพิ่งเปิดเผย พึ่งเปิดเผยสู่ฟัง แต่ก่อนอายจริงๆ แต่ก่อนรู้สึกว่า เป็นความด้อยชนิดหนึ่ง ที่ไหนได้ ทุกวันนี้ เราภาคภูมิ เราว่า เออ เราไม่ชั่ว เราไม่เลว เราทำชั่วไม่สำเร็จ เราทำชั่วไม่สำเร็จ แต่ถึงขนาดนั้น มันก็มีประวัติอันไม่ค่อยดีอยู่บ้างละ ใช่ไหม มันก็ยังไม่แข็งแรง มันยังไม่มีปัญญา อันมั่นคง ยังไม่มีปัญญาอันเลิศยอด

(เสียงโยมนึ้งบอกว่า เป็นปางสุดท้าย)

นั่น โยมนึ้งพูดนี่ พูดเป็นปรัชญาลึกๆ นี่ปางสุดท้าย คือมันมีเศษส่วน มันมีอะไรต่ออะไรอยู่บ้าง ตามวิบาก มีร่อง มีรอยอะไรบ้าง ไอ้วิบาก ผู้หญิงคนนั้นจะต้องมาเจอกัน เราจำหน้าไม่ได้หรอก ไม่รู้เรื่องหรอก เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้เรื่อง จำหน้าไม่ได้ เจอกันก็ไม่รู้เรื่อง เขาจะจำเราได้ ไม่รู้นะ แต่เราจำไม่ได้ละ เรามันเบลอๆ มันไม่รู้เรื่องนะ อย่างนี้เป็นต้น เรารู้สึกว่ามันเป็นของดี มันจะต้องเอาให้ได้ จะต้องลอง จะต้องอะไร แต่เดี๋ยวนี้มารู้ชัด รู้เจนแล้ว โธ่เอ๊ย! มันเป็นสิ่งที่ มันเป็นความเชื่อ นั่นน่ะ เป็นศรัทธาอันหนึ่ง เป็นความเชื่อที่เป็นอกุศล มันไม่ใช่กุศล แต่เราไปหลงว่า เป็นกุศล ต้องเป็น ต้องมี ต้องได้ อย่างนี้ เป็นต้น มันเป็นศรัทธา ยิ่งเรามารู้แล้ว ไปตั้งศีลขึ้นมา ไม่เอาแล้ว ละอาย ถ้าจะเป็นอย่างนั้น แม้แต่คิดก็ละอายแล้ว นี่เล่านี่ว่าจริงๆ มันก็มีหิริ แต่มันก็ไม่เป็นไรหรอก อาตมาก็ไม่ได้ถึงกับว่ามันเป็นเรื่องดี ก็ที่จริง เราเป็นเรื่องดีนะ ว่าเราเอง เราไม่เสียท่า ก็เรื่องดีแล้วละ อย่างนี้เป็นต้น

ทีนี้คนเรา มันไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด ส่วนใหญ่ มันก็เข้าใจเลอะๆ เทอะๆ ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ไปแปดไปเปื้อนมาทำไม บริสุทธิ์สะอาด มีวิบาก อันดีงามไปแล้วก็สั่งสม แล้วก็เห็นจริงให้ได้ ละกิเลสสิ ละกิเลส แล้วสิ่งเหล่านี้ มันก็จะช่วยให้วิบากดีขึ้นมา ขณะนั้น วิบากเก่ามันยังมี นี่ เพราะจะต้องไปวนเวียน ต้องไปมีอะไรต่ออะไรเป็นวิบากนี่ ต้องไปมีคู่รัก ต้องไปมีอะไรต่ออะไร ต้องไปมีทุกข์ ต้องมีอะไรต่อกัน โอ้ ทรมาน ทรกรรมนะ แล้วคนเรา มันไม่ได้ผ่านมาคนเดียว มันไม่ได้มีบทบาทเดียว มันไม่ได้มีเรื่องเดียวมากมาย นี่แม้แต่แค่เรื่อง ผู้หญิงผู้ชาย เรื่องอื่นๆ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรื่องโลภโมโทสัน เรื่องจะเอาทรัพย์ศฤงคาร เรื่องจะเอาเกียรติ เอายศ เรื่องจะเอาโน่นเอานี่ โอ้! มากมายมหาศาล เชื่อศรัทธาว่า ฉันจะต้องเขื่อง ต้องหรู ฉันจะต้องมีลาภ มียศ ฉันจะต้องมีศักดิ์ศรี ฉันจะต้องมีอำนาจ ฉันจะต้องมีอะไรเป็นอะไร ต่างๆนานา เชื่อมาทั้งนั้น เชื่อมาเป็นโลกีย์มามากมาย เชื่อ เชื่อแล้วก็สร้างกฎ สร้างหลักเกณฑ์ สร้างศีล ตั้งหลัก ฉันจะต้องเอาอย่างนี้ ฉันจะมีอย่างนี้ ฉันจะเอาไอ้นี่ให้ได้ แล้วก็พยายาม มันก็เป็นอีก สั่งสมวิบากไป โดยทิศทางที่ผิด ถ้าไม่ได้อาย เหมือนอย่างเมื่อกี้นี้ อาตมาอายเพื่อน ถ้าไม่ได้อาย แน่ะ ! มันอายกลับกันน่ะ เห็นไอ้นั่นเป็นบุญ เห็นไอ้นี่เป็นบาป กลับกัน เห็นบาปเป็นบุญ เห็นบุญเป็นบาป นี่ มันกลับกันอย่างนี้ จนกว่าจะมาเข้าทิศ เข้าทางเป็นสัมมาทิฏฐิเข้าอย่างแท้จริง แล้วก็ตั้งหลักตั้งเกณฑ์ ศีล แม้ตั้งศีลแล้ว หิริต้องเกิดตามหลัง ปฏิบัติแล้วถึงเห็นจริง ว่า โอ้! จริงๆ เราควรละอายนะ สิ่งนี้ไม่ดี

แม้แต่มีมานะอัตตา มีความหลงดี หลงเด่น แหม! ท่านได้ยึดมั่นถือมั่น ตามที่ฉันถือดี ถือเด่น นี่แหละ ตัวกู ต้องเป็นตัวกู ใครจะมาลบเหลี่ยมไม่ได้ เป็นมานะอัตตาต่างๆนานาพวกนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เชื่อ แล้วไม่อาย ต้องเอาชนะคะคานให้ได้ ถ้าไม่ชนะสิอาย อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซ้อนเชิงอย่างนี้มา สิ่งเหล่านี้ คือทรัพย์ที่เกิดจริงเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เริ่มสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่เริ่มรู้เห็นทิศทางไหนเป็นทางถูก ทางไหนเป็นทางตรง ทางไหนเป็นทางเจริญแท้ นี่คือทรัพย์ที่สำคัญ เชื่อตามที่เรามีปัญญา หรือทิฏฐิ ปัญญาตัวน้อย ก็คือตัวทิฏฐิ เริ่มเห็น เริ่มเข้าใจนี่ เริ่มเห็น เริ่มเข้าใจก่อน แล้วจะมีฤทธิ์ มีแรงของทิฏฐินี่สูงขึ้นๆ จนเป็นปัญญาเสริมสุตะนั่นเอง ให้มันเกิดทิฏฐิมากขึ้น เสริมความรู้ ให้มากขึ้น สุตะ พหุสุตะ ให้สูงขึ้นๆๆ จนเป็นปัญญา มีฤทธิ์มีแรง ปัญญาตัวจริงนั้นมีอำนาจนะ กำลังของปัญญานี่ ปัญญาพละ ที่เราเคยอธิบายมาแล้ว กำลัง ๔ ประการ มีกำลังของปัญญาแล้ว พอมันจะพาให้ เกิดกำลังเพียร เกิดพลังเพียร เพราะปัญญา เพราะตัวฉลาดนี่จึงเกิดศรัทธา เป็นศรัทธินทรีย์ เมื่อศรัทธินทรีย์เกิด วิริยินทรีย์ก็ตาม วิริยินทรีย์ตามก็ปฏิบัติให้ถูกทาง สติปัฏฐาน ๔ สตินทรีย์ ก็จึงจะเจริญ เมื่อสตินทรีย์เจริญ จึงสั่งสมเป็นความตั้งมั่น เป็นสมาธินทรีย์ สมาธินทรีย์สมบูรณ์ เป็นฌาน เป็นวิมุติ ปัญญาเห็นวิมุติ เป็นวิมุติญาณทัสสนะ หรือ ญาณทัสสนวิเศษ ที่เห็นวิมุติ ความหลุดพ้น มีจาคะตัวสุดท้าย มีความละออก ปล่อยออก ไม่มีในตัวแล้ว เอาออกไปหมดแล้ว ไม่เหลือในตัวแล้ว จาคะบริสุทธิ์แล้ว เห็น มีปัญญา อ่านจาคะออก เป็นสมบัติสุดท้าย จาคะปัญญา เป็นสมบัติสุดท้าย สละออกหมดแล้วจริง จึงจะเป็นตัวสภาพทรงไว้ซึ่งความไม่มี แล้วปัญญา ตัวญาณที่เห็นความไม่มีนั้นของตัว นี่เป็นทรัพย์ นี่เป็นสมบัติ ที่คุณจะต้องสั่งสม นี่เป็นสมบัติ ที่คุณจะเอา จะได้ เพราะฉะนั้น หันกลับไปอธิบาย

ผู้ที่จะเป็นอันธพาล ผู้ที่ยังเป็นปุถุชน ผู้ที่เป็นโลกียะ ยังถือโลกียะเป็นทรัพย์ มีความสุขอย่างโลกียสุข ได้ลาภมามากๆก็ยังสุข ได้ยศมาเป็นอำนาจก็ยังสุข ได้สรรเสริญเยินยอก็สุข ไปหลงอะไรเป็นภพ เป็นชาติอยู่ในจิตในใจของตนเอง ไม่แย่งใคร นั่งสงบสุข ก็ยังเป็นโลกียสุข เสพสมอยู่นั่นแหละ หรือไปมีอำนาจ มีฤทธิ์ทางด้านนามธรรม มีพลังจิต สามารถมีอภิญญาแบบโลกียะอะไร ได้มากมาย ก็เป็นสุข ก็ยังเป็นสิ่งที่ตนเองหลงเป็นสมบัติ สมบัติโลกียะที่เป็นสุข ซ้อนเชิง แม้คุณได้โลกุตรธรรม แล้วยังหลงว่า มันเป็นสุข ก็เป็นสมบัติของคุณ แต่มันสูงขึ้นมาเป็นขั้นๆ แล้วนะ ฟังดีๆ เป็นทรัพย์ของคุณ เพราะแม้แต่เราได้โลกุตรธรรมแล้ว เราก็ไม่ติดยึดว่าเป็นสุข หรืออาการอารมณ์ ที่มันเกิดสุข ก็ต้องรู้เท่าทันอาการเกิดสุข เกิดพอใจยินดี ละปีติ ยินดีอะไรที่มันเป็น ภาษาบาลีเรียก ตั้งเยอะตั้งแยะ มีความยินดี จนกระทั่งเหลือคำว่าอนุโมทนา ยินดีอย่างอนุโมทนาต่างกับปีติอย่างไร ปีตินี่ยังหยาบนะ หยาบมาก เป็นอุปกิเลส ปีตินี่เป็นตัวอุปกิเลสเลย ท่านไม่ได้เรียกเป็นตัวโมทนา อนุโมทนา ท่านยังไม่เรียกว่าเป็นอุปกิเลสเท่าไหร่ คือมันก็ตาม มีความยินดีตาม ตามพอ มันเป็นตามจริง เท่านั้นเองว่า เออ ! อันนี้ดี รู้ดี เห็นดี ยินดี นี่ แม้ใช้ภาษาเรียก

ถ้าใช้ภาษาหูก็เรียกว่ายินดี ใช้ภาษาตาก็เรียกว่าเห็นดี ใช้ภาษาใจก็เรียกว่ารู้ดี มันรู้ดี อันนี้มันดีแล้ว ก็รู้แล้วว่าดี รู้ด้วยตา รู้ด้วยหู ก็เรียกว่ายิน ว่าเห็นเท่านั้นเอง เห็นดี ยินดี นี่ภาษาไทยนะ ก็รู้ว่า มันดีแล้วละ เข้าใจว่ามันดี เห็นด้วยตาก็ตาม ได้ยินด้วยหูก็ตาม หรือรู้ด้วยทวารใจก็ตาม ว่ามันดีก็ดี จะรู้ด้วยลิ้นก็เรียกว่ารสดี เอาภาษาลิ้นมาเรียกก็ว่ารสดี เออ ! ไอ้นี่รสมันดี มันเป็นรสอย่างนี้มันดี ดีแล้วล่ะ ดีแล้วก็จบแล้ว ไม่ต้องผูกพัน ไม่ต้องไปซาบซ่า อะไรในใจหรอก ก็รู้ว่าดี ก็จบในตัวมันเอง ไม่มีรสอัสสาทะ ไม่มีรสยินดี ไม่มีรสเห็นดี ไม่มีรสอร่อยดีอะไร แต่รู้ว่าดีแล้วก็จบในตัวมันเอง ดีแล้วก็เป็นที่สุดแล้วก็พอ แล้วทำให้มันดีอย่างนี้ ถาวรมั่นคงก็พอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีอาการฟูใจ เพิ่มขึ้น มาเป็นรสที่ชื่นชอบ ที่ประทับใจ ที่ถูกใจ พอพูดอย่างนี้ ก็เลยจะไม่ประทับใจอะไร ก็ไม่ได้ อีกเหมือนกัน ในขณะที่คุณเอง มีฐานที่จะต้องประทับใจสิ่งดี ที่เราเองยังอ่อน ยังไม่แข็งแรง ก็ประทับใจให้มันมีแรง มีพลังประทับใจในสิ่งที่ดีนี่ไว้ก่อน เพื่อเกิดพลัง ในการที่จะกระทำสิ่งดีนี้ ให้ทวีมากขึ้น ไม่อย่างนั้น มันยังน้อยไป ยังไม่พอ ก็เกิดความประทับใจก่อน แล้วค่อยๆมาล้าง ความประทับใจทีหลัง เมื่อเรารู้ว่า เราได้สิ่งนี้ มากพอแล้ว มากพอแล้ว แล้วค่อยมาลดอาการที่เป็น อุปกิเลส กิเลสลึกซ้อน กิเลสซ้อน วางดีในดี วางดีในดีนี้อีกทีหนึ่ง นี่มันเป็นชั้นเชิงอย่างนี้ มันยาก แต่ต้องรู้ลำดับ รู้ขั้นตอน ฐานะ ไม่เช่นนั้น มันไม่มีแรง เมื่อไม่มีแรงก็ช้า

เพราะฉะนั้น ดีชั่ว อัปรีย์ ชั่วดี อัปรีย์ทั้งนั้นเลย ทีเดียวพรวดเลยนะ จมอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่เกิดหรอก ไม่เจริญหรอก เพราะไม่มีขั้นตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายที่ได้ลำดับ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่า ความอัศจรรย์ของลำดับ ลาดลุ่ม ธรรมะของพระพุทธเจ้าลาดลุ่ม เหมือนมหาสมุทรที่ลาดลุ่ม ลงไปหาตรงลึกนี่ มันไม่เหมือนโกรกชัน เหมือนเหวโค้งๆ คดๆ มันราบเรียบ สะอาดไป เพราะน้ำ มันจะทำให้เป็นลำดับของมันเอง โดยเฉพาะ ลำดับของมหาสมุทรที่เป็นดินเป็นทรายมันนานเท่าไหร่ ไอ้เรื่องกระแทกของแรงน้ำนี่มันมาก มันจะผลักของมันเองปีแล้ว ปีเล่าๆๆ มันอยู่กันอย่างนี้นาน และราบพวกนี้ มันจะเฉลี่ยเข้าไปมีลำดับที่มันจะไม่ลงไปแล้ว มันก็จะได้ระดับๆๆขึ้นมา มันจึงจะอยู่กันได้ ให้มันทรงสภาพราบลุ่มได้ ลำดับอย่างดีงามเลย ขอให้น้ำ มันได้ซัด หรือแม้แต่ลม ก็ตามเถอะ ทะเลทราย เราจะได้เห็นมันพัดนี่ มันเรียบ ไม่มีคลื่นนะ แต่ว่าคลื่นใหญ่ คลื่นน้อย พอสมควร แต่ว่ามันจะเกลี้ยงราบละเอียดอย่างนั้นแหละลาดลุ่ม ยิ่งน้ำยิ่งราบลุ่ม ไม่เหมือนทรายเลย ทรายน่ะ มันยังมีลาดลุ่ม น้ำนี่นะ ทะเลหรือมหาสมุทร นี่จะลาดลุ่มได้ระดับ เหมือนกับจมลงไปหาไอ้นั่นเลย ถ้าให้มันทำอยู่นานปี นานปี คลื่นน้ำหรือทะเลทราย นี่นะ มันจะเป็นอย่างนั้น เหมือนฝั่งมหาสมุทร น่าอัศจรรย์ มีระดับที่ได้ระดับ มีลำดับที่ได้ลำดับ อย่างน่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าท่านชมธรรมะของท่านว่า มีลำดับ อย่างนี้ จนถึงขั้นถือว่า เป็นที่อัศจรรย์ อันนี้มันลึกซึ้ง

เพราะฉะนั้น เราจะต้องตรวจตราลำดับขอเราให้ดี อย่าอวดดีมาก พยายามฟังดีๆ แล้วก็เอาไปศึกษา พยายามเอาไปปฏิบัติ ประพฤติให้มันเข้าขั้น เข้าตอนให้ดีๆ

ทีนี้ ผู้ที่มีทรัพย์จากโลกียะ เรารู้แล้ว เราก็มาลดโลกียสุขลงไป ลดได้จริงๆ คุณลดมากี่อันกี่อย่าง มันเป็นทรัพย์ของเราจริงๆ เป็นวิบาก เราได้ทำแล้ว ทำจนกระทั่งถึงขั้นแน่นอน มั่นคง ถาวร วิบากเท่าไหร่ มันจะเป็นอย่างนั้น อย่างที่อาตมาก็อธิบายให้พวกคุณฟัง อาตมาไม่ได้ยินใครพูดหรอก แล้วมันก็เกิดจาก ประสบการณ์ชีวิตของอาตมา อย่างอาตมาเล่าให้ฟังว่า อาตมาไปหัดสูบบุหรี่ อย่างนี้ เป็นต้น หัดแล้วหัดเล่า จนกระทั่งสุดท้าย มันก็พอสูบได้นะ แต่มันก็ไอ้อย่างนั้นน่ะ มันไม่ได้เคย เอร็ดอร่อยอะไร จนกระทั่งมันไม่ติด ยังไงก็ไม่ติด เหล้าก็หัดกิน หัดกินเหล้า หัดก่อนกินเบียร์ กินเหล้าเป็น แต่กินเบียร์ไม่เป็น ต้องไปหัดกินเบียร์อีก หัดกินเสียย่ำแย่ กว่าจะกินเบียร์ได้ ก็กินไปก็อย่างนั้นน่ะ กินแล้วก็เยี่ยวๆๆ ไม่ได้เรื่อง

แต่อาตมาเป็นคนไม่เสียสติ กินเหล้ากินเบียร์อะไร เมาขนาดไหน ไม่เคยเสียสติ ไม่เคยไปทำอะไร เลอะเทอะลามกอะไรตอนเมา แล้วก็รู้ตัว เขาว่าไม่รู้ตัว อาตมาไม่ค่อยเชื่อ เอ๊! ทำไมคนเมา ไม่รู้ตัวได้ยังไง แต่เขาบอกมันมี มันไม่รู้ตัวจริงๆ ฟื้นจากเมามาไม่รู้เรื่อง ว่ามันทำเลอะเทอะอะไร มันอะไร พูดอะไรมันก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาบอก เอ๊! อาตมาพูดก็รู้เรื่อง ทำอะไรก็รู้เรื่อง เมาขนาด กินเบียร์นี่ กินกันเป็นลังๆ กินแข่งกัน ความบ้า กินแล้วก็นับขวดแข่งกัน คนขายมันก็ยิ้ม แต่เราไม่รู้หรอก เรานึกว่าเราแน่ กินแล้วก็ เดินเยี่ยวๆๆๆ อยู่อย่างนั้น มันก็ แหม ! แปลกนะ กินเข้าไปได้ ๑๐ ขวด ๒๐ ขวด แล้วมันเอาไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ในท้องนี่ กินแล้วก็เยี่ยวอยู่อย่างนั้น กินจนกระทั่ง เขากินแข่งกัน กินเหล้านี่นะ เฮนเนสซี่ ๑ ขวด เหล้าแม่โขงอีกครึ่งขวด กิน ๒ คน โซดาขวดเดียว โซดาขวดเดียวนะ มันไม่จำเป็นไม่ดื่มโซดา ต้องจำเป็นเท่านั้น ถึงค่อยดื่มโซดา สองคนกินกัน เฮนเนสซี่ ๑ ขวดกับแม่โขง มันหมดเฮนเนสซี่ ก็บอก เฮ้ย ! สั่งแม่โขงมาอีก สั่งมาได้ครึ่งขวด ก็เลยพับ เขาพับนะ เพื่อนพับ สมจินต์ ธรรมฑัตนี่ ไม่ใช่ใครหรอก นั่งดวดกันอยู่ ๒ คน พูดไปจนกระทั่ง รู้เรื่องหรือเปล่าไม่รู้ละนะ แต่อาตมารู้เรื่อง

สุดท้ายอาตมาก็ไปส่งเขาถึงบ้าน ขับมอเตอร์ไซด์ เอาสมจินต์ ซ้อนท้าย มันก็ตุ๊บๆๆ ลงไป ก็ถึงบ้านน่ะ เอามันขึ้นบ้าน จนเสร็จเรียบร้อย แล้วก็เมียเขามารับ แล้วเราก็ขับรถกลับบ้านเรา ไม่เมา ก็มีสติ มาถึงบ้านก็อ้วก ไม่เคยอ้วกกลางทาง อาตมามาถึงบ้านอ้วก อย่างมาก แต่ไม่ค่อยอ้วก ธรรมดาไม่ค่อยอ้วก เป็นคนไม่ค่อยอ้วก มีสติ แต่ไม่เคยลืมสติเลย กินขนาดไหนก็ไม่เคยลืมสติ โถ! คุณหวดเฮนเนสซี่ ๑ ขวด โซดาขวดเดียว ตาย แล้วนะมนุษย์น่ะ คือมันกินไม่เมา มันจะไปอยู่ได้อย่างไร กินก็กินอย่างนี้ แต่ไม่ติด กินไม่ได้เรื่องอะไร มันก็ไอ้อย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น ทิ้งง่าย นี่มันเป็นสมบัติของเรา เป็นทรัพย์ของเรา เราได้ล้าง ได้ละมา ในเรื่องของผู้หญิงผู้ชาย ในเรื่องของอะไร ก็แล้วแต่ มันก็พอจะเลิกจะละอะไร เราก็เลิก ก็ละก็วางก็ตัด

การพนันก็เหมือนกัน ติดนะ โอ้! เล่นจังเลย เล่น พอสุดท้ายจะเลิกก็เลิก เคยเล่าให้ฟังแล้ว เพื่อนมันไม่เชื่อหรอกว่า เราจะเลิกได้ มันจะเลิกทั้งนั้นแหละ พวกนักการพนันนี่ มันละไม่ได้ จะเลิก สุดท้ายประเดี๋ยวก็ชวน มันก็ต้องเล่นอีก อาตมา เคยบอกเคล็ดแล้วว่า การพนันนี่ อยากจะเลิกแล้ว ต้องเล่นให้เสีย อย่าไปเล่นให้ได้ ถ้าขืนเล่นให้ได้แล้วมันไม่ขาดหรอก เพราะเพื่อนมันเสีย มันไม่ยอมหรอก มันต้องขอแก้มือ ขอแก้มือแล้วจะไปปฏิเสธมันได้หรือ เล่นให้เสียๆ เสียให้พอ เล่นให้เสียให้พอสมควรเชียว แล้วเราก็บอก ไอ้มื้อสุดท้ายเสียไปหมดแล้วนี่ จะมาแก้มืออะไร มันไม่มีทาง ที่จะชวนเราแก้มืออีก ไม่อย่างนั้น มันก็ต้องอ้างอันนั้น เราก็ต้องจำเป็น ก็ต้องไปแก้ ให้มันแก้มือ ก็ให้แก้เสีย เสียให้มันแล้วเลิก อาตมายังจำได้เลย มื้อสุดท้ายนี่ เล่นจนเงินหมดบ้าน ต้องให้เครื่องเท็ปมันไปเครื่องหนึ่ง มันหมดเงินน่ะ เผ โอ้ย ! เล่นอย่างอื่น ไม่มันหรอก โป้กเกอร์ยังไม่มันเลย ยังบังๆ ยังปิดๆ เออ! อ่านหน้ากันเฉยๆ เปิดหน้าอ่านกันเลย ตั้งแต่ตัว ๑ ถึงตัวที่ ๕ เลยนี่ มองตากัน ไม่มองหรอกไพ่ เล่นจิตวิทยา เล่นกันน่ะ เล่นเผ เกกัน โอ้ ! อุตลุดไม่ได้เรื่อง มันก็เท่านั้นเอง มันก็เรื่องของจิต เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง

แต่เราติด ต้องติดนะ ถ้าไม่ติดมันก็ไม่ติด เพราะฉะนั้น สั่งสม การสั่งสม อาตมาถึงเขียนว่า การสั่งสมคุ้นเคย จะสั่งสมอารมณ์ความชอบ ความสุข สั่งสมอะไร สั่งสมอันนั้น มันก็เป็นอันนั้น ของคุณ เป็นทรัพย์ของคุณ เป็นสมบัติของคุณ ล้างให้ออก จริงๆก็คือตัวสุขนั่นแหละ เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์ สรุปง่ายๆ ตัวสุขนั่นแหละ โลกียสุขนั่น เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์ตัวร้ายกาจ เราไปหลง ว่ามันเป็นความสุข เป็นชีวิตชีวา เป็นสิ่งที่ต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น ต้องอาศัย ต้องอาศัยมัน ถ้าไม่ล้างออกจริงๆ ไม่ต้องอาศัยมันหรอก อาศัยทุกข์ เมื่อยทุกข์นี่ทำงานนี่เมื่อยนี่ ลาภ ยศ อะไร ก็ไม่ได้ แถมไม่ได้ ยังถูกด่าด้วย ทุกข์ ถ้าจะถือว่าทุกข์ มันก็ทุกข์ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป ไม่ต้องไปเลี่ยงว่าสุขว่าเสิกอะไร ตัวเดียว โด่เด่ทุกข์ หายใจอยู่ก็ทุกข์ ทำกิจทำกรรม ทำการงานอะไรก็ทุกข์ ทุกข์มากทนได้มาก ก็เพราะว่าฝึกไว้มาก ทนได้มาก ทนได้โดยเหมือนกับไม่ทน มันก็ธรรมดา มันเหมือนกับไม่ทนน่ะ เราก็ทำได้ อะไรได้ เพราะฉะนั้น ฝึกเอาตัวนี้เป็นทรัพย์ อดทน จนกระทั่งไม่ต้องทน ไม่ต้องอดอะไรหรอก เรื่องธรรมดา ต้องอดทนแทบตายเลย เราไม่เห็นต้องทน อะไรนี่ แต่ไม่ใช่หน้าด้านนะ แต่มันก็ทนทานเหมือนเขาเหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่เป็นกุศล เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ก็ฝึกเอา คุณไม่ฝึก จะไปทนอะไรได้ ฝึกจนกระทั่งรู้เหลี่ยม รู้มุม รู้อะไรเรามันชัดเจน มันก็ทนได้อะไรได้ อย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น แม้แต่เป็นโลกุตระ เราก็ต้องสั่งสมเป็นทรัพย์ แล้วมันมี มันเป็น จนกระทั่ง มันซ้อนเชิง อีกว่า มันมี มันเป็นที่เราแล้วนะ ความอดทนก็มีที่เรา ความเมตตาก็มีที่เรา แต่อย่าไปหลงว่า เมตตานั้น เราจะต้องอยู่กับมันเป็นนิรันดร์ คุณค่าความสามารถ ความเก่ง ความดีงามอะไร มีมากมาย อย่างพระพุทธเจ้า มีความดีงาม มีความเก่ง ความสามารถมากมาย ก็ไม่หลงว่าเป็นเรา จะต้องพราก จากมันเป็นวาระสุดท้าย ปรินิพพานจากกันไป โดยไม่มีเยื่อใยอะไร จะอาลัยอาวรณ์กัน จริงๆ แต่ในระยะแรกที่คุณเอง คุณยังไม่แข็งแรง ก็ต้องยึด ก็ต้องเอามันไว้ก่อน ตัวดีนี่ ดีให้มันดีที่สุดให้ได้ ดียังไม่สุด อย่าไปยึดตัวนั้นนัก ดีพอสมควร แล้วก็ต้องเพิ่มดีขึ้นไป บอกแล้วว่าดี มีดีกว่า มีดีมาก มีดีที่สุด เมื่อสุดแล้วก็ถึง ถึงแม้ว่า จะมีดีมากขึ้น เราก็ค่อยๆ หัดวางไปในตัว ค่อยๆ จนกระทั่งถึงดีสุด แล้ววางหมดเลย ว่าดีนี้ ทำใจในใจอย่างไร ว่าดีนี้ไม่ใช่เรา ดีนี้ไม่ใช่ของเรา ทั้งๆ ที่มันดีน่ะ ในขณะที่เรามีชีวิต จะต้องทรงไว้ซึ่งความดีอันนี้ จะต้องมีดีนี้ เป็นกิริยาของเรา ตลอดกาล กิริยา กาย วาจา ใจ คือดีอันนี้น่ะ

และแม้ที่สุด เราก็จะต้องทำอยู่ทั้งๆ ทำอยู่นั่นแหละ ทำอยู่ก็ว่าไม่ใช่ของเรานั่นแหละ ต้องเป็น ต้องมีอยู่ ต้องอาศัยอยู่นั่นแหละ ต้องให้ผู้อื่นได้อาศัย เราก็อาศัย แต่ใจของเรา ต้องทำใจในใจ เป็นมนสิการ ว่าเราวาง เราไม่ยึดเป็นของเรา อันนี้รู้ส่วนตนเท่านั้น เป็นของตน ไม่มีใครล่วงรู้ เป็นของใครได้ อหเมตัง น ชานามิ อหเมตัง น ปัสสามีติ เรารู้ เราเห็นของตนๆ ไม่มีของใคร มาเห็นกับเรา นี่เป็นที่สุดแห่งที่สุด สมบัติที่สุด จึงไม่มีของตัวของตนเลยจริงๆ ด้วยประการฉะนี้ เป็นทรัพย์ ทรัพย์คือไม่มีของตัว ของตนเลยจริงๆ

เพราะฉะนั้น เราค่อยมาขยายกันไปทีละเปลาะๆ ศรัทธา ศีล หิริ  โอตตัปปะ จาคะ ปัญญา มันจะสอดซ้อนกันไปอีก ยิ่งกว่าตาข่ายที่ซับซ้อนลึกซึ้งมากมาย เพราะฉะนั้น วันนี้ฟังแต่แค่ คำว่าทรัพย์ แม้แต่อันธพาลโจร มันก็มีสิ่งที่เขาเชื่อถือว่าเป็นรสอร่อย เป็นสิ่งวิเศษ เป็นสิ่งที่เขา ต้องอาศัยชีวิต นั่นคือทรัพย์ เขาสั่งสมมากี่ปี กี่ชาติ กี่นานเท่าไหร่ เขาก็ใช้อันนั้น ใครเลิกได้ ก็คนนั้นมีสิ่งที่เลิกได้นั่นเป็นทรัพย์ มาเป็นกัลยาณชน คุณก็ได้กัลยาณชนนั่นเป็นทรัพย์ กัลยาณธรรมนั่นเป็นทรัพย์ คุณจะละอาย คุณจะไม่ทำ คุณไม่ประสงค์จะทำแล้ว คุณก็ไม่ต้องทำได้จริงๆ ไม่ต้องทำแม้กาย ไม่ต้องทำแม้วาจา แม้ใจ มันก็ไม่เกิด กิริยาที่จะทำ ถ้าเราอยากจะทำ เรามีอำนาจเหนือใจ ให้ใจมันทำสิ่งที่ดี มีอำนาจให้มันทำสิ่งที่ดีได้คล่อง ได้ง่าย มีแรง มีกำลัง มีพละที่จะทำดี ยังดีไว้ แม้ทำดีไว้ แล้วก็มีพลังที่จะวาง วางว่าไม่ใช่เรา นี่เป็นโลกุตระ

เพราะฉะนั้น ก้าวจากกัลยาณธรรม ก็ขึ้นมาเป็นโลกุตตรธรรม ตราบใดยังมีร่างกาย ยังมีชีวิต ยังมี ขันธ์ ๕ เราก็ยังทำดี เพราะเรายังมีกรรม มีกิริยา เป็นทรัพย์ คนอื่นก็ได้พึ่งเรา เราก็เป็นตัวอย่างอันดี แม้ว่าเราจะจบชีวิตนี้ จะปรินิพพาน เมื่อคุณเอง คุณศึกษาธรรมะ ของพระพุทธเจ้าแล้ว คุณทำได้ สมบูรณ์แล้ว เป็นอรหัตผลจริง คุณก็ปรินิพพานไป สูญ ตอนนั้นแหละ ถึงไม่มีจริงๆ ไม่หยั่งลง สู่ครรภ์ ไม่เกิดอีก ไม่ว่าครรภ์จะวิเศษขนาดไหน เกิดในท้องใครๆ ก็แล้วแต่ที่วิเศษ ไม่ขึ้น ไม่เกิดอีก คุณมีสิทธิ์

เพราะฉะนั้น เลิกกรรม เลิกวิบาก เลิกทุกอย่าง เมื่อคุณไม่เกิดอีกจริงๆ เมื่อนั้นแหละ ถึงจะเรียกว่า ไม่มีทุกอย่าง ไม่มีแม้แต่ขันธ์ ๕ แต่ตราบใด ยังมีขันธ์ ๕ ไม่มีอุปาทาน ไม่ยึดติดว่าขันธ์ ๕ เป็นเรา วางขันธ์ ๕ เป็นเรา วางกรรมนั้นเป็นเรา เพราะนั่นถือว่าไม่มีกรรม แต่แท้จริงก็มีกรรม เรายังทำดีอยู่ แต่เราไม่ถือดีนั้นเป็นของเรา ไม่ถือกุศลกรรมนั้นเป็นของเรา จึงเรียกว่า ไม่มี กรรมดี กรรมชั่ว ภาษาเท่านั้น แต่ยังมีขันธ์ ๕ คุณยังมีกรรมดี แต่คุณวางใจว่า ไม่ยึดติดกรรมดีนี้เป็นของเรา อันนี้เป็นปัจจัตตัง ตายจริงๆ ปรินิพพานจริงๆ ไม่มีขันธ์ ๕ เกิดมาอีกจริงๆ จึงจะหมดกรรมดี กรรมชั่ว จึงจะไม่มีกิริยาของกรรมดี กรรมชั่วอีกเลย เพราะไม่มีขันธ์ ๕ ไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรอีก สลายสูญ เด็ดขาด เป็นปรินิพพาน อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายความว่า ธาตุสูญที่ไม่มีอะไรต่ออีกเลย ไม่มีอะไรเหลือ เสสะนี้ แปลว่าเหลือ อนุปาทิเสสะก็แปลว่า ไม่มีอะไรเหลือเป็นเชื้อเป็นต้นอีกเลย อุปาทิแปลว่า ต้น ไม่มีอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ไม่มี อน +อุปาทิ ไม่มีอุปาทิ ไม่มีต้น ไม่มีราก ไม่มีเค้า ไม่มีเหลืออะไรอีกเลย จึงจะสมบูรณ์สูงสุด

เอาละ สำหรับวันนี้ ก็เน้นตัวทรัพย์คำเดียว แล้วค่อยมาเน้นตัวศรัทธา ตัวศีล ตัวหิริ ตัวโอตตัปปะ ตัวอะไรกันไปอีก ปลุกเสกฯยังไม่พอหรอก พุทธาภิเษกจะสานต่อ สอดร้อยต่อ ซ้ำซากต่อไปอีก วันนี้ก็เอาแค่นี้ก่อน


ถอดโดย ดงเย็น จันทร์อินทร์ ๑๘ ก.พ. ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๕ ก.พ.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา ๕ มี.ค. ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๖ มี.ค.๒๕๓๔
ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอน ๑ ม้วน ๒ / FILE:1337B.TAP