ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔
ในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ

ในเรื่องของทรัพย์แท้ของมนุษย์ ทรัพย์แท้ของมนุษย์ก็ขอตีเปลาะลงไป ชั้นหนึ่งก่อนว่า ทรัพย์ของมนุษย์นี้ มีทั้งวัตถุและนามธรรม ทรัพย์นี่สำคัญ ทรัพย์ของมนุษย์ มีทั้งวัตถุและนามธรรม คำว่าทรัพย์ และในนามธรรมนั้นแหละ ยังแยกย่อยไปอีกว่า ทรัพย์ของมนุษย์นั่นมีทั้ง ทรัพย์อันธพาล หรือ ทรัพย์ที่เป็นบาป นามธรรมนะ และ ทรัพย์ของกัลยาณชน ทรัพย์ที่เป็นบุญ ของกัลยาณชน ในระดับหนึ่ง และมีทั้งอริยทรัพย์ นี่นามธรรมนะ เอ้า!วิเคราะห์ไปเป็นข้อๆ

ทรัพย์มีทั้งวัตถุ มีทั้งนามธรรม และเดี๋ยวเราพูดถึงนามธรรม เราจะเข้าใจวัตถุเองว่า วัตถุนี้มาแต่อย่างไร และวัตถุนี้มันก็จะเป็นทรัพย์ประเภทอันธพาลและประเภทบาปด้วย และ ทรัพย์วัตถุ มันก็จะเป็นทั้งแบบกัลยาณชนด้วย แม้แต่ทรัพย์ทางวัตถุ มันก็เป็นทางอริยทรัพย์ด้วย อย่างอาตมาได้ทรัพย์มา เป็นทรัพย์วัตถุอย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าได้ทรัพย์ที่เป็นวัตถุ มีคนมาประเคน หรือมีคนมาถวาย เป็นทรัพย์วัตถุ เป็นอริยทรัพย์ ไม่ใช่ทรัพย์ที่เป็นบาปเป็นหนี้ ไม่ใช่ เป็นทรัพย์ที่จะต้องไปเรียกร้อง หรือว่าเป็นทรัพย์ที่ไปแลกเปลี่ยนมา ในระดับแลกเปลี่ยน เราถือกัลยาณชน สัมมาอาชีพถึงขั้นที่ลาภไม่แลกลาภ ไม่มีทรัพย์แลกเปลี่ยน แต่เป็นของ ที่จะเป็นไปตามธรรม เป็นทรัพย์ที่เขาให้ เราเป็นผู้รับ ไม่ใช่แลกเปลี่ยนกัน เพราะคิดค่าไม่ได้ หาค่าบ่มิได้ ตีราคากันไม่ได้แลกเปลี่ยน

อาตมาเทศน์ไปกัณฑ์หนึ่งนี่ ตีราคาอาตมานี่ เคยนะ ใครนะ พระดังๆเทศน์ ไปเทศน์ครั้งหนึ่ง จะต้องได้ค่ากัณฑ์เทศน์ต้องเท่านั้นเท่านี้ อะไรน่ะ เคยมีใช่ไหม ถ้าไม่ได้เท่านี้ไม่รับนิมนต์ ไม่เทศน์ แหม! อาตมายังไม่เคยคิดเลย แต่เขาคิดนะ และเขาทำจริงๆนะ รายนี้นิมนต์ไปจะได้เท่าไหร่ นี้ไม่เข้าขั้นไม่ไป ดูถูกกันนี่หว่า ให้ราคาต่ำกว่า อย่างนี้ก็เป็นได้

ฟังดีๆแล้วคุณก็พอจะเข้าใจได้ มันมีขอบเขตที่ทำให้เราได้ตัดเขต ที่ทำความเข้าใจว่าอะไรคือ ค่าของอะไร มันมีเหมือนกันค่าในโลก มันมีค่าสูง จนหาค่าบ่มิได้ มันมีจริงๆ

ทีนี้อาตมาอยากจะย้ำคำว่า ทรัพย์ลงไปอีกทีหนึ่งให้ชัดเจน คนเรามีทรัพย์ทุกคน เอาละเราไม่พูดถึง ไปเกิดเป็นเดรัจฉานเป็นอะไร เราเป็นคนนี่แหละ ก็มากับทรัพย์

ทรัพย์นั้นคือวิบาก วิบากมาออกผลเป็นวัตถุด้วย วิบากมาออกผลเป็นนามธรรมด้วย วิบากมาออกผล เป็นทางจิตวิญญาณนี่ รับอารมณ์ รับความรู้สึก เป็นวิบากมาทั้งนั้น ถ้าคุณเอง คุณไม่ได้ปฏิบัติธรรม มาเลย คุณจะเป็นคนที่มีความรู้สึกต่อทุกข์ต่อสุข ต่อความรักความชัง ต่อความโลภ ความหลง อย่างไม่รู้เรื่องเลย และง่าย โกรธก็ง่าย โกรธก็แรง อะไรอย่างนี้เป็นต้น นั่นแหละ ทางจิตวิญญาณ ของคุณ ที่มีกิเลสเข้าไปครอบงำ เป็นทรัพย์ที่คุณได้สั่งสมมา เป็นทรัพย์ อันธพาล ถือว่าในระดับ หยาบเลย มีทรัพย์มาทุกคน ทรัพย์แท้ของมนุษย์มียังงี้ แต่เป็นทรัพย์ที่ ไม่น่าจะเอาไว้ ไม่น่าจะสะสม เป็นสมบัติของเรา มันน่าจะโยนทิ้ง มันน่าจะสละออก มันน่าจะขจัด ล้างออกไปจากตัวเรา ให้ไม่มา แสดงตนในวิบากต่อไป

เพราะฉะนั้น เราจะปรับวิบากของเราให้ดีขึ้น ก็เพราะว่าแรงฤทธิ์ที่เราเอง เราได้สะสมอะไรๆมา รู้ เราเคยโกรธ เราเคยโลภ เราเคยหลง เราเคยมีพฤติกรรมที่หยาบคาย อย่างนั้นอย่างนี้ต่างๆ นานา เมื่อเรารู้แล้ว เราก็เลิก เราก็หยุด เราก็ละ เราก็เก็บ มีเท่าที่มันเคยจบไป สั่งสมไว้เป็นอดีต เพราะฉะนั้น อดีตที่เราเอง เรามีฤทธิ์แรงของจิตที่ได้ชำระ ชำระอย่างรู้ อย่างเกิดญาณปัญญา หยั่งล้างด้วยอำนาจของเจโต อำนาจของจิตวิญญาณ อยู่เหนือ เป็นวิมุติที่แท้ สิ่งที่เลวร้ายเหล่านั้น เราเคยผ่านสัญญาที่เป็นเจตสิก จำมันได้ อยู่เหมือนกัน ถ้าเผื่อว่าคุณเอง เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมลึก อย่างพระพุทธเจ้า ย้อนกาลไปได้ถึงแสนชาติ หลายแสนชาติ สังวัฏกัป วิวัฏกัปไปอีก ลึกเข้าไป ไม่รู้กี่ล้านๆๆ ชาติก็จะจำได้ว่า เราเคยเป็นอย่างนั้น เราเคยเลว เราเคยชั่ว เราเคยมีกรรมกิริยา เคยติด เคยใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นทรัพย์เป็นสมบัติของเรา หรือเป็นพฤติกรรมของเรา เมื่อเราเคยใช้ เราก็จะจำได้ ในสัญญาหยั่งลงไปนี่ มันไม่ได้หมายความว่า มันหายลงไปหรอกนะ เราไม่ได้ลืมสิ่งที่เราเคยผ่านมา แต่ละชาติๆ ถ้าลืมพระพุทธเจ้าก็คงจะลืมแล้ว ก็จะคงจะหยั่งไปหาเป็นล้านๆชาติไม่ได้หรอก ระลึกย้อนกลับไปตั้งเป็นล้านๆชาติ ไปรู้ของเท่าที่ผ่านๆมาเป็นสัญญา และหลายอย่าง ที่พระพุทธเจ้า ท่านล้างแล้วด้วย ไม่มีอีก ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา พฤติกรรม หรือกรรมอย่างนั้นที่จะมา และวิบากอย่างนั้น ที่จะมาเจอกับเรา มันไม่มีฤทธิ์แล้ว ไม่มาเกิดกับเราแล้ว เพราะว่ามีสิ่งที่ เหนือชั้นกว่า ชนะอย่างเด็ดขาด แต่ก็ย้อนกาลลงไป ไปรู้ว่าเราเคยเป็น เคยมีได้ ทั้งๆที่ได้ผ่านชาติๆ มาไม่รู้ว่ากี่ชาติๆ

อย่างพระพุทธเจ้า ถ้าใครได้อ่านพระไตรปิฎกละก็รู้ ท่านเล่าประวัติของท่านมาประกอบ ในเรื่องราว มากหลากหลาย ชีวิตของท่านสมัยนั้นเป็นนั่น สมัยนี้เป็นนี่ จนกระทั่งเป็นสัตว์ ถ้าใครอ่านประวัติ ๕๐๐ ชาติมา ที่จริงพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ ๕๐๐ ชาติ เป็นแสนๆชาติ ล้านๆชาติ แต่บันทึกเอาไว้ ๕๐๐ ชาติ ก็รู้ว่า เป็นสัตว์สิงห์เสือสางอะไรเยอะแยะ หรือเป็นคนเป็นคนชนิดนั้นชนิดนี้ เป็นอะไร สารพัดสารเพ ทั้งเลวร้าย ทั้งดีเยอะแยะมากมาย แต่เมื่อเวลาเราปฏิบัติ จนกระทั่ง เราระงับ ล้าง หยุดหมด สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดกับเราอีก ก็หยุดไป แต่ไม่ได้หมายความว่า เราหมดไป มันยังมีสัญญา เราจำได้ ถ้าคุณมีอภิญญา มีภูมิธรรม จนสามารถที่จะหยั่งย้อนญาณเข้าไป แล้วเอามารู้ เปิดเก๊ะของเก่าของเรา เคยมีเคยเป็น อะไรต่างๆ ที่ต่อทอดมานี้ได้ แต่ไม่หมดหรอกนะ กรรมไม่มีการล้าง ของพุทธ กรรมที่ได้ประพฤติกระทำมา ไม่มีการล้าง แต่มันจะมีฤทธิ์ให้เราอาศัย เป็นกัมมปฏิสรโณ แต่ละยุคแต่ละกาล

อย่างเมื่อวานนี้ก็ได้สรุปให้ฟังแล้วว่า จะมีวิบากเป็นชุดๆ กับแต่ละชีวิต แต่ละชาติของเรา เอามาใช้ เพราะฉะนั้น ชาติใด คุณพยายามกระทำกุศลวิบากได้มาก กุศลวิบากที่คุณมีอยู่เดิมก็ตาม รวมแล้ว มันก็จะมารวมสังเคราะห์กันออก เป็นชุดให้ เอ้า! ชาตินี้คุณได้วิบากจำนวนนี้ชุดนี้ใช้ ชาติหน้า ก็ได้ชุดนี้ใช้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้ายิ่งคุณไม่เที่ยงแท้ ไม่มีฤทธิ์ในทาง ที่จะตรงเข้ากระแส เป็นอริยะที่แข็งแรงมั่นคง แล้วก็เจริญๆไป มีแต่จะได้รับวิบาก ได้ชุดของวิบาก ที่ใช้ไปแต่ละชาติๆ ดีขึ้น คุณจะวนเวียนลงต่ำขึ้นสูงหกคะเมนตีลังกา แม้จะเป็นความสุข แม้จะเป็นความสบาย ก็เป็นเพียงโลกียสุขอย่างนั้นแหละ บำเรอ แล้วยิ่งกิเลสหนาๆขึ้น โลกียสุขหลงระเริง มีเงินมาก ตามโลกๆ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ นั่นคือโลกียะแบบโลกๆ ซึ่งเป็นความรู้แบบโลกียะไม่ใช่โลกุตระ โลกุตระต้องทวนกระแสเลยว่า เราไม่ยินดี เราไม่หลงใหล ในลาภ ในยศในสรรเสริญ หรือ เราไม่เสพอร่อยในโลกียสุขใดๆ เราจะต้องอยู่เหนือสภาพนี้จริงๆ นั่นโลกุตระ เพราะฉะนั้น กัลยาณชนจะได้ลาภ จะได้ยศ สรรเสริญ ได้อะไรต่อมิอะไรนี่ โดยสุจริต เดี๋ยวจะได้ขยายความ สุจริตในระดับไหน เช่น คุณทำงาน คุณมีความสามารถ มีคุณค่า ของความสามารถขนาดนี้ ตีราคาขนาดนี้สุจริต ถ้าเกินนี้เรียกว่าเป็นหนี้แล้ว เป็นทุจริต เป็นหนี้ ถ้าต่ำกว่านี้ เรียกว่าเป็นบุญ เป็นเจ้าหนี้ เป็นบุญ ได้สะสมเป็นบุญเป็นกุศล เป็นอะไร เดี๋ยวจะได้ ขยายความอีกทีหนึ่ง นั่นในลักษณะกัลยาณชน แต่ลักษณะของอริยชนแล้ว ชัดเจนเลยว่า เราจะไม่สร้างหนี้ เราจะไม่ทุจริต เราจะไม่เอาเปรียบ เราจะเป็นประโยชน์คุณค่า เราจะเสียสละ อย่างชัดแท้ และมุ่งหมาย และเวลากระทำ จะมีผลได้มากกว่าผลเสีย คือผลได้บุญ ได้กุศลจริงๆ นี่ก็อธิบายคร่าวๆ ก่อนนะ

ทีนี้เรื่องของผู้ที่มีสมบัติดังกล่าว ที่พูดอยู่เมื่อกี้ ถ้าไม่รู้เรื่อง เกิดมาก็จะมีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตามที่ตนเอง ได้ยินได้ฟังว่า เขาจะต้องทำบุญ ทำกุศลบ้าง เสียสละบ้าง ทำอะไรต่ออะไรบ้าง มันก็มีฤทธิ์พอที่จะให้เรานี่ โดยปริยายนะโดยถูกบังคับ เช่นว่าคุณจะต้องถูกกดขี่ขูดรีด แล้วคุณก็ไปทำงาน ถูกเขาเอาเปรีบบ คุณถูกเขาเอาเปรียบน่ะ คุณกำลังได้เปรียบโดยทางโลกุตระ แม้จะถูกบังคับกดขี่ข่มเหงเอา ใจไม่ยอมหรอก คุณก็ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงผลัดกัน โดยโลกียะนี่ มันจะเป็นโลกียะ มันจะมีผลัดกัน มีลาภผลัดกัน มีสมบัติผลัดกันชม คราวนี้เราเป็นเจ้านาย เป็นนายทุน คุณเป็นทาส คุณก็ต้องชดใช้ ก็ต้องทำ ถูกเอาเปรีบบตลอดกาลนาน ใช่ไหม ตายเสร็จ ไอ้ผลของหนี้ ผู้เอาเปรียบเป็นหนี้ ผู้เสียเปรียบเป็นผู้ได้เป็นเจ้าหนี้ มันก็วนเวียนอย่างนี้ อาตมา เคยพูดว่า พวกพ่อค้า ขายของขูดรีด เอาเปรีบบเอารัด ดูในโลกมันก็ดูสบาย ชาตินี้ แต่เขาไม่รู้ขอบเขต เขาก็เอาเปรียบเอารัดโดยไม่รู้ เมื่อไม่รู้ เขาก็เป็นหนี้มากเลย ผู้ถูกเอาเปรียบก็ได้ ได้โดยธรรม ได้เป็นเจ้าหนี้ไปโดยธรรม เสร็จแล้วพอตาย ถ้ามันเกี่ยวเนื่องกันนะ ถ้ามันมาสัมพันธ์กัน ชาตินี้คนนี้เป็นทาส ชาตินี้คนนี้เป็นนาย จะเป็นทาสระดับไหนก็แล้วแต่ เป็นทาสในระดับวัว ควายก็ตาม หรือเป็นทาสในระดับคนก็ตาม ชาติหน้าคนที่เป็นลูกหนี้ ก็ไปเกิดเป็นวัว ควาย เจ้าหนี้ก็มาเกิดเป็นนายใหม่ วัวควายก็มาเกิดเป็นนาย นายก็ไปเกิดเป็นควาย นี่พูดให้ฟัง โดยรอบที่สั้นที่สุด ชัดที่สุดให้ฟัง แต่ที่จริงมันไม่มีเหตุปัจจัย เท่านี้หรอก ที่มันจะบวกลบคูณหาร ออกมาเท่านี้ มันจะเป็นควายของคนนี้ ไปเป็นควายของคนอื่นก็ได้ อะไรมันไม่ใช่ตายตัวยังงี้ แต่นี่พูดให้ฟังสั้นๆลัดๆ มันจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ ในระดับของโลกียะและก็ไม่รู้ตัว เคราะห์ดีคราวนี้ ได้เป็นเจ้าหนี้ เกิดมาก็เออ! ชาติหน้าก็ได้เป็นนาย ชาตินี้มันก็ไม่รู้ตัวอีกแหละ ระเริงว่าเราได้เป็นนาย นี่เราได้เปรียบ มันไม่รู้ใช่ไหม อวิชชา แม้จะเป็นกัลยาณชน ยังไม่เข้ารอบอริยะแท้ มันก็ทำอย่างนั้นแหละ ได้เปรียบก็นึกว่า เราสบายมีบุญ ว่ามีบุญแบบโลกียะ เสร็จแล้ว ก็ไม่รู้ ทำหนี้อีก ทำบาปอีก เป็นหนี้อีก ชาติหน้าหมุนเวียนหกคะเมนตีลังกา ขึ้นสวรรค์ ลงนรก สวรรค์ลวงน่ะ สวรรค์โลกๆโลกีย์ นึกว่าเราได้สบาย เราได้เปรียบ เป็นตัวสวรรค์ ได้สมใจ สมโลกียสุข ได้ลาภได้ยศ ได้ลาภได้ยศมามากกว่าเขา เป็นสวรรค์โลกีย์ สวรรค์หอฮ้อ คนรู้ทั่วกัน เป็นสมมุติสัจจะ ใครก็เข้าใจเรื่องอย่างนี้ แหม!มียศสูง มีเงินมาก เสพย์โลกียสุข อยากได้อะไรก็สมบูรณ์หมด อะไรต่างๆ แล้วแต่ ก็หมุนเวียนอย่างนี้ ลงนรกขึ้นสวรรค์ ลงนรกขึ้นสวรรค์ แบบโลกียะเป็นสังสารวัฏ อยู่นานเท่านาน ตราบใดที่ไม่ได้มาสดับรับฟังสัตบุรุษ ผู้สอนเรื่องโลกุตระ เพราะฉะนั้น การได้พบศาสนาพุทธแท้ๆ มารู้โลกุตระนี่ไม่ง่าย

ทางศาสนาหลายศาสนาเขาก็สอนบุญสอนบาป สอนเสียสละ สอนอะไรต่อมิอะไรพวกนี้เหมือนกัน แล้วการสอน เขาพยายามให้จิตวิญญาณ ให้ได้รับเหมือนกัน แต่เป็นโลกุตระเหมือนกัน ไม่มีทฤษฎี ที่สมบูรณ์ นี่เหมือนไปดูถูกศาสนาอื่นนะ ไม่มีทฤษฎีที่สมบูรณ์ เข้าไปรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน อย่างชัดแท้ เป็นปรมัตถสัจจะ จึงไม่แม่นๆ แต่ก็เป็นสภาพที่ได้โลกุตระบ้าง โดยที่เรียกว่า ยังไม่แม่น มันได้บ้าง เฉียดๆกรายๆ ไม่เป็นสูตรสำเร็จที่สมบูรณ์ เราว่าอย่างนี้นะ แต่อย่าไปว่ากับ ศาสนาอื่น เขานะ เรื่องนี้ เอ้า! จริงๆพูดแต่เรา อย่าไปว่า เพราะว่าไปดูถูกเขาน่ะ เขามีทฤษฎี มีหลักการอะไร ไม่สูงไม่ส่ง ไอ้นี่จริงนะ เขาก็รู้สึกว่าของเขามีวิธีการ ยิ่งศาสนาคริสต์นี่ น่าสงสารมาก เพราะว่า ศาสดาเขามีอายุอยู่แค่ ๓ ปี แต่ยิ่งใหญ่นะ ศาสดาเผยแพร่ศาสนาอยู่แค่ ๓ ปีนี่ เป็นศาสนา ที่ยิ่งใหญ่ในโลกได้ มันยิ่งใหญ่ มันยิ่งย้อนทวนกระแสเลยว่า เขายิ่งสอนแค่ ๓ ปีนี่ โอ้โฮ! วิเศษถึง ขนาดนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แสดงว่าเข้มข้น แต่มันไม่มีรายละเอียด เขาถึงต้อง ประยุกต์เอาโน่น เอานี่ เอามาใส่ เอามาใช้ ขณะนี้ก็กำลังต้อนเอาของพุทธ เข้าไปประยุกต์ใช้เป็นของตน

อย่าไปเที่ยวได้หวงแหนๆ นี่เอาของพุทธไปอะไรต่ออะไรไป เอาไปเถอะเอาไปให้มนุษย์ทำ แล้วคุณเอาไปเผยแพร่ แล้วคุณเข้าใจให้ตรงก็แล้วกัน ทำให้มันถูกก็แล้วกัน อาตมาเชื่อแน่ว่า แม้พระพุทธเจ้า ท่านก็คงไม่หวงแหนว่า เอาไปตู่เป็นของเขาเอง ท่านก็ไม่คิดว่าเป็นของท่าน แล้วท่านก็ไม่ถือสาหรอก แม้แต่อาตมายังไม่ถือสาเลย จะเอาไปตู่ ว่าของฉัน ของพระเยซูนะ ไม่ใช่ของสิทธัตถะหรอก ของพระเยซูเป็นผู้สอนอย่างนี้ๆ เอาไปเลย ขอให้ไปสอน แล้วให้มนุษยชาติ ได้รับเป็นผล ที่เกิดผลที่จริง บรรลุจริงก็แล้วกัน แล้วก็เป็นสุข ถ้วนทั่วกันในโลก แล้วไม่เป็นปัญหา ใครจะแย่งจะชิงอะไรกัน ไม่เป็นปัญหา ถ้าคนดีจริงๆนะ ถ้าคนที่เจริญจริงๆ ก็จะมีญาณปัญญา ลึกซึ้งจริง จะไปเอาวิชาความรู้ที่ลึกซึ้งจากใคร ก็คือต้องมีญาณปัญญาจริง เมื่อคนมีญาณปัญญา ลึกซึ้งจริง คนนั้นต้องมีคุณธรรมจริง เขาก็จะหิริโอตตัปปะเอง เขาก็จะไม่กล้า จะไปขี้ตู่เอาของ คนอื่นเอง ถ้าไปขี้ตู่ ก็ขี้ตู่เอาตามภูมิของคุณธรรมของคนนั้น ก็ภูมิตื้นๆ ไปตู่ขี้กะโล้โท้ ตื้นๆ เอาไปเถอะ ส่วนนั้นส่วนนี้เอาไปบ้าง เอาไปเถอะ แต่สิ่งที่สูงสุดยอดสุดแล้ว คนที่ มีภูมิธรรม รู้จักสิ่งสูงสุดจริงแล้ว จะมีภูมิธรรมจริงๆว่า เอ๊ย! จะไปขี้ตู่เอาของเขาทำไม สุดท้ายเอง ก็จะยอมรับ ความจริงด้วยซ้ำไปว่า โอ้! อันนี้ไม่ใช่ของพระเยซู อันนี้ของพระพุทธเจ้า อันนี้สูงกว่า พระเยซูนะ แล้วเขาจะมาเป็นพุทธ นี่คือสัจจะ มันจะไปปฏิเสธความจริงได้ยังไง โอ้! พระพุทธเจ้า สูงกว่า พระเยซู เขาก็จะมาเป็นพุทธ แต่ถ้าเขายังขี้โกงอยู่ เขาก็ได้คุณธรรมอย่างขี้โกง มันไม่สูงไปได้หรอก สัจจะมันต้องเท่ากับสัจจะ

ฟังดีๆนะ สัจจะต้องเท่ากับสัจจะ สัจจะในระดับโสดาเสมอระดับโสดา สกิทาเสมอกับสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ ต้องเท่ากับสัจจะ ต้องเสมอกันจริงๆโดยสัจจะ ถ้ามันยัง ไม่จริงโดยสัจจะ มันก็ขี้โกงอยู่อันใดอันหนึ่งนั่นแหละ ฟังดีๆจะเข้าใจ มันยังงั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปกลัวเลยว่า คนจะโกง คุณจะยังโง้นยังงี้อะไรต่อมิอะไร ต่างๆนานา โอ้! สบายใจ ไปได้ตลอดโลก สัจจะไม่มีใครไป โดยสัจจะไม่มีใครไปกระทำอะไร ให้มันทำร้ายทำลาย อาตมานึก อาตมาไม่เคยเดือดร้อน ใครจะว่าอาตมาผิด ใครจะว่าอาตมามาทำลายศาสนานี้ ขี้โกงอันโน้นอันนี้ อะไรต่างๆนานา เราก็ตรวจตัวเราเองจริงๆสิว่า เอ๊! เรามาทำลายศาสนาจริงละหรือ เราก็ตรวจ ที่จริงอาตมาไม่หรอกนะ อาตมาขอพูดเป็นสำนวนโวหาร เป็นลีลาไปอย่างนั้นเอง อาตมาแน่ใจว่า ไม่ได้ทำลายศาสนา ไม่ได้มาทำลายจริงๆเลย แล้วอาตมาก็แน่ใจว่า อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า อย่างที่อาตมาแน่ใจนี่ แล้วก็เอามาให้คุณพิสูจน์ อาตมาได้อย่างนี้จริงๆ เอามาให้คุณพิสูจน์ แล้วคุณก็ได้ แม้จะไม่ได้ถึงขนาด อาตมาก็เห็นล่องรอยแล้วว่า มันครรลองเดียวกัน เป็นทิศทาง เดียวกัน ตรงกันนะ กำลังเดินมาอย่างเดียวกัน มาละ มาลด มาโลภน้อยลง โกรธน้อยลง เบิกบาน แจ่มใสมากขึ้น มีอะไรๆต่ออะไรหลายๆอย่างที่พูด เอาหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า เอาหลักนั้น หลักนี้มาตรวจสอบ มาเช็คอยู่ตลอดเวลา เอ๊อ! มันก็เข้าร่องเข้ารอย เดินสู่ทางเดียวกัน จริงๆ จนกระทั่งมากคนขึ้น มากคนขึ้นๆ แล้วก็รวมเป็นรูปธรรมโตขึ้น มันก็เห็นรูปร่างว่า เรามาเสียสละนะ นี่เรามีนี่เห็นไหม

ความหวังใหม่ ฝากฟ้าฝั่งฝัน แม้จะอยู่ฟากฟ้า แต่ก็เป็นฝั่งที่เราฝันอยู่ว่า จะไปให้ถึงฝั่งนั้นให้ได้ นี่กำลังอยู่นี่ แต่นั่นเถอะก็ช่างเถอะ มันก็เป็นสภาพ ที่เราจะต้องกระทำได้จริง แม้จะเป็นความหวัง ความฝันอะไร มันเกิดเป็นรูปร่าง รวมกันขึ้นมาแล้ว มันไม่น่าเป็นไปได้นะ มันย้อนแย้งจริงๆนะ อาตมาสอนพวกคุณ นี่ อย่าไปเอาเปรียบเขา อย่าไปขี้โลภ ให้เสียสละ ทฤษฎีที่เป็นบุญ ทฤษฎีที่ เป็นกำไร ให้ขายต่ำกว่าทุนด้วย ไปเรียนพาณิชยศาสตร์ที่ไหนในโลก คุณไปเรียนเถอะ เขาบอกว่า มันไม่บ้า มันก็เมา นี่มาพูดอะไรกัน กำไรของมันต้องต่ำกว่าทุนนี่ ไม่บ้าก็เมาแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร กำไร

เพราะฉะนั้น โดยสัจจะแล้ว คุณจะมีเงินมากขึ้นๆไม่ได้ใช่ไหม จะมีมากขึ้นไม่ได้ แล้วก็สอน นอกจากว่า อย่างนี้อาจจะมากขึ้นได้ โดยพลังงาน ขยันโดยประสิทธิภาพ พวกเรามากขึ้น เราก็ได้มากขึ้น มันก็อาจจะมากขึ้นอีก แต่เราก็มีหลักเกณฑ์ ไม่ขายให้เกินทุนๆ อยู่เรื่อยๆ และ จะมาทาง มากอบโกยได้เปรียบอะไรกันที่ไหนเล่า มันไม่ได้เปรียบ มันไม่หมดเค้า มันไม่หมดต้นทุน ก็บุญแล้ว การค้าการสร้างสรรแบบนี้ มันไม่หมดต้นทุนก็บุญแล้ว ต่อได้ไปรอดก็บุญแล้ว ใช่ไหม จะไปเอาอะไรมาร่ำมารวย เมื่อสอนให้คุณไม่ร่ำไม่รวย แล้วก็ไม่สอนให้คุณสะสมด้วย พยายาม ให้เอาออกไป หมดตัวหมดตน ยิ่งเยี่ยมแน่ะ สอนกันอย่างนี้เลย จนกระทั่ง ไม่ต้องมีเงิน สักบาทเลย ยิ่งเยี่ยม สอนยังงี้ แล้วคุณจะไปมีเงินกันมาจากไหน เงินของคุณเมื่อไม่มี คุณก็ไม่มีๆๆๆ หลายคน พยายามไม่สะสม พยายามสะพัดออกไป และพวกเราสะสมมาที่เรา เราก็ไม่เอาไว้ เราก็สะพัดออกๆ มันก็ไปตกอยู่ที่คนโลกเขาคนอื่นข้างนอก เขาก็จะต้องมีเงินมาก เราก็จะต้อง มีเงินน้อยอยู่ดี อีกกี่ปางกี่ชาติ ถ้าอุดมการณ์หลัก การทฤษฎีหลักอันนี้ เป็นอย่างนี้ตลอดกาลนาน พวกเราก็จะไม่ร่ำ ไม่รวยแน่นอน ใช่ไหม เป็นไง หัวเราะอะไร อ้า! เมื่อเราไม่ร่ำไม่รวยแน่นอนใช่ไหม

เพราะฉะนั้น เมื่อเราจะต้องมีทุน จะต้องยอมรับความจริงว่า ต้องมีทุนรอนไปทำงงาน ขนาดใหญ่ ขึ้นๆ ก็จึงต้องรวมทุนรอนจากพวกเรานี่แหละ ใครมีมากมีน้อย ก็เอามารวมกัน มันจึงจะเกิด ก้อนใหญ่ขึ้นมาบ้าง โดยเรากันเองเสียสละ มันเป็นการฝึกใจอย่างจริงเลยว่า เราต้องเสียสละนี้ เราอย่าโลภโมโทสัน เพราะฉะนั้น เราจะทำงานใหญ่คนเดียวไม่ได้ เมืองไทยนี่เป็นตัวร้ายตัวหนึ่ง ที่มันพัฒนาไม่ขึ้น นักวิชาการก็รู้ สังคมที่ในวงการศึกษาชั้นสูง ปรัชญาของนักปรัชญาก็รู้ เมืองไทย มีข้อบกพร่องอยู่อันหนึ่งว่า ถ้าทำอะไรคนเดียว ไอ้ไทยเก่ง แต่ถ้า ้ไทยไปทำอะไรรวมกันเข้า เจ๊งๆ ใช่มั้ย ใช่มั้ย อันนี้ยอมรับกัน ไม่ใช่ว่าเราพูด ว่าเราดูถูกกันเองเล่น เราได้เก็บข้อมูล เราได้ศึกษา เราได้รู้แล้วว่า ไทยเรามันมีตัวนี้ เป็นรากเหง้าของจิตวิญญาณ รากเหง้าของพฤติกรรม นี่มีพฤติกรรมอย่างนี้ คนไทยมีสินัยก็ตาม สันดานก็ตาม อะไรก็ตาม ถ้ารวมกันแล้ว เดี๋ยวแหละเจ๊ง แต่ถ้าคนเดียวละมันแน่ ไทยนี่มันแน่ คนเดียวมันเก่ง แต่ถ้ารวมกันแล้วเจ๊ง

เพราะฉะนั้น การเจริญของอารยชนชนิดหนึ่งเขารวมกันได้ เขาสามัคคีกันได้ แล้วเขาทำสอดคล้อง เขาทำเก่ง อันนี้เป็นปมด้อยของไทย เรากำลังแก้ปมด้อยอันนี้กันใช่ไหม เพราะฉะนั้น ถ้าเราแก้ ปมด้อยอันนี้สำเร็จ เราไม่อยากพูดว่า ญี่ปุ่นก็ญี่ปุ่นก็เถอะ อเมริกาก็อเมริกาเถอะ เราไม่อยากจะพูด นี่พูดไปโดยไม่ได้อยากนะ อ้าว! จริงๆวันนี้นะก็วันนี้ เราพูดถึงวันนี้อีกร้อยปี อีกสองร้อยปี สามร้อยปี ถ้าสิ่งที่เราพูดถึงนี้ มันมีบทบาทลีลา มันดำเนินต่อไปในอนาคต และถูกต้องเป็นจริงได้ มันก็จะต้องเป็นจริง และมันลึกซึ้งกว่าด้วย

ในการรวมกัน สามัคคีกันทำแบบทุนนิยม หวังลาภยศ หวังอย่างญี่ปุ่น อย่างอเมริกา โลกียะ หวังลาภยศ เขาก็รวมกันสำเร็จ เรารวมกันโดยไม่ได้หวังเอามาเป็นของตัวของตน เอามาเป็นส่วน ที่จะต้องมีตัวแทรก ตัวของกูให้กู ให้ตัวเองรวยอยู่บ้างในตัวนี่นะ ทุกคนรู้แล้วว่า เออ! มันมีซ้อนเชิง มันซ้อนมากนะ เราก็เสียสละในกองกลาง แบบหนึ่งคือแบบคอมมิวนิสต์ แบบหนึ่งคือแบบเสรีนิยม ของเรามีทั้งคอมมิวนิสต์ ทั้งเสรีนิยมซ้อนอยู่ในนี้ๆๆ มันจะไปไหนเสีย เราเอายอดของยอด มารวมกัน หมดแล้ว คุณเข้าใจจริง คุณเข้าใจดีว่า เราจะไม่เอา แล้วคุณก็ทำตนเป็นผู้ไม่เอา นี่เป็นเสรีนะ แล้วก็ในหลักการ ของคอมมิวนิสต์ก็ว่า ถึงแม้เอ็งจะเอา ข้าก็เห็นว่าเอามารวมกันเป็นกองกลาง นั่นแหละดี คอมมิวนิสต์ไหม ถึงแม้เอ็งจะอยากเอา ไม่ได้ต้องเอามารวมกองกลาง มันถึงจะมีกำลัง ก็บังคับ เอามารวมกองกลางก็เป็นกำลัง เสร็จแล้วพวกคุณนี่ โดยความจริงใจ ไม่ถูกบังคับ เอามารวมกองกลาง โดยความเสียสละเอง อิสรเสรีเอง

เพราะฉะนั้น ทั้งคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยอยู่ในนี้เสร็จ เสรีนิยมอยู่ในนี้เสร็จ จะมาบอกว่า เราเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ จะบอกว่าเราเป็นประชาธิปไตย เป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ เราเป็นทุกอย่างนั่นแหละ เป็นตัวยอดของมันด้วย ให้จริงด้วย เสรีนิยมอย่างไม่ขี้โลภ ไม่เอาเปรีบบ ไม่เอารัด ด้วยเต็มใจจะรวมกองกลาง รวมกองกลางอย่างเต็มใจด้วย เพราะฉะนั้น แม้จะมีน้อย มันก็จะมาก แม้มันจะมีน้อย มันก็จะมาก เพราะอะไร เพราะเราเองๆ เสียสละ ไม่เอาเปรียบเขา อยู่แล้ว เรามีน้อย เมื่อมีน้อยเวลาเราจะรวมกัน เออ! เราก็บอกกัน เราไว้ใจกัน เราแน่ใจว่า หมู่เรา มารวมกองกลาง แล้วเราก็มาทำอย่างสุจริต และทำอย่างที่จะทำอย่างเผื่อแผ่ จะช่วยเหลือ อุดมการณ์ผู้อื่น ไม่ใช่ทำมาบำเรอตน มาทำ มาเสพ มาเป็นโลกียะ ก็จะไปเผื่อแผ่ ให้คนอื่น เพิ่มขึ้น มากขึ้น นั่นแหละ เป็นกำลังที่สร้างสรร ที่ใหญ่โตกว่านี้อีก และมันก็จะได้ สะพัด ไปสู่คนอื่นอีก

สรุปง่ายๆ แม้แต่พวกเราเอง ไม่ต้องทำงานเพิ่มกว่านี้ ทำแค่นี้ ไม่ต้องรวมทุน พวกเราก็อยู่ได้ แต่ประโยชน์ไม่กว้างขึ้น ไม่เป็นพหุชนหิตายะ ยิ่งๆๆขึ้นไป เราทำอย่างนี้จะเป็น พหุชนหิตายะ ยิ่งๆๆขึ้นไป เป็นมหัพภาคที่จะยิ่งขึ้นไป อีกมากกว่านี้อีก ยิ่งๆๆขึ้นไปอีก ก็เผื่อคนอื่นต่อไปอีกนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราไม่ได้เอาเปรียบเขานะ แม้เราจะรวมมา เราก็รวมเพื่อที่จะช่วยคนอื่นต่ออีก โดยความสุจริตใจ ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เป็นตัวหลอกตัวแฝง ตัวซ่อนว่า ฉันช่วยเธอ แต่ฉันได้เปรียบเธอ โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าฉันได้เปรียบเธอ นี่คือ สังคมโลกีย์ ฉันช่วยเธอ แต่เธอนั่นแหละ เป็นลูกกะโล่ฉันในที เธอไม่ได้เปรียบฉันหรอก ฉันได้เปรียบเธอในโลก

แต่ในโลกุตระนั้น ช่วยคนทุกคนเพื่อที่จะยิ่งทำให้ตัวเองได้เสียสละ ได้เสียเปรียบลงไปอีก คนเจริญ คือคนได้เสียสละ เสียเปรียบลงไปอีก โดยที่เรารู้ การเสียรู้หรือการเสียเปรียบ เป็นการที่จะชนิดที่ เราถือว่า มันเสียศักดิ์เสียศรีเท่านั้นเอง แต่ถ้าเผื่อเราไม่เสียศักดิ์เสียศรีอะไร ก็ว่า เออ! เสียเปรียบ ก็เสียไปเถอะ ก็เราได้เสียอยู่แล้ว ว่าเจตนาจะมาเสีย แต่เราไม่ตายนี่ เราก็ไม่ได้ตกต่ำอะไร เพียงแต่ ตอนนั้น เรารู้ไม่ทัน เรายังโง่นิดหนึ่ง พอเรารู้ตัวแล้ว อ๋อ! เราได้เสียเปรียบแล้ว ดีแล้ว อนุโมทนา เราไม่ได้ไปเอาเปรียบเขาหรอก เราก็เป็นเจ้าหนี้ ไม่ได้ไปเป็นหนี้เขานี่ ก็เราได้เสียสละ ให้เขา ได้ให้เขา เราเสีย เขาได้นะ แต่เราก็ไม่ตาย เราก็ไม่ทารุณอะไร เป็นแต่เพียงใจเราเท่านั้นเอง ไปติดว่า แหม! เราเสียศักดิ์ศรี เราโง่ไปหน่อยนะ เราก็เสียสละโดยที่เรา ทั้งๆที่ให้ เสียทั้งๆที่รู้นี่ เราไม่เสียรู้ ถ้าเสียรู้ โดยมันไม่รู้นี่หว่า เสียโดยที่ตัวไม่รู้ทัน นี่เรียกว่าเสียรู้ แต่เสียทั้งๆที่เรารู้นี่แหละ คือ เสียสละ เต็มใจที่จะเสียให้เขานี่แหละ คือเสียสละ มันนิดเดียวเท่านั้น ไม่รู้ทันก็เลยเรียกว่าเสียรู้ ถ้าเรารู้ ทั้งรู้รู้ว่าเราเสีย เออ! เอาไปเถอะ เอาไปเลยๆ เราไม่มีปัญหาอะไร มันก็จบเท่านั้นเอง

ทีนี้เรื่องทรัพย์ที่อาตมาอยากจะแบ่ง ทั้งนามธรรมอันธพาล ไม่รู้อาตมาจะใช้ภาษาอะไรดีกว่านี้นะ ทรัพย์อันธพาล ทรัพย์กัลยาณชนและทรัพย์อริยชน หรืออริยทรัพย์นะ นี่อธิบายคำว่าทรัพย์ ยังไม่ออกเลยนะ ยังมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ไม่รู้พุทธาภิเษกฯ จะจบหรือเปล่า ที่จริงอาตมา มีอะไรลึกๆ มากกว่านี้นะที่อยากจะพูด พูดบรรยายให้มันหมดๆ แต่เห็นว่ามันซ้อนเชิง มันละเอียดๆ ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าใครฟังดี ฟังได้ก็จะเห็นว่า เออ!มันลึกจริงๆ แต่ถ้าเผื่อว่า ใครฟังไม่ออก มันก็เห็นว่าวน นี่มันมาพูดอันเก่าแล้ว ที่จรังมันไม่เก่าหรอก ฟังให้ดีๆ

ทรัพย์ของอันธพาลก็พูดไปบ้างแล้วเมื่อวานนี้ว่า สิ่งที่ไปเอาเปรียบ ไปขี้โกง ไปทุจริต ไปทำอกุศล อะไรมา ต่างๆนานา จอมโจรบัณฑิตนี่เป็นโจรที่น่ากลัวกว่าจอมโจรอำมะหิต ไม่ใช่จอมโจรอำมะหิต จอมโจรที่ชื่อว่า โจรหนวดยาว คือเห็นหน้าก็หนวดยาว แหมอาตมาก็ไม่รู้ว่าอย่างไร เดี๋ยวก็แขก เขาจะว่าอาตมาอีกแล้ว เขาก็หนวดยาว เขาไม่ได้เป็นโจรนะ แหม! ไม่รู้จะว่ายังไง อาตมาก็หา สัญลักษณ์อะไรมาเรียก คือเป็นโจรให้เห็นลักษณะ ดูรู้เลยว่าเป็นโจร แหละนะ หน้าตาท่าทาง รูปมันบอกเลยว่าเป็นโจร เออ! อย่างนี้ไม่น่ากลัวหรอก พอเห็นปั๊บเราก็หลบได้ ไอ้นี่ไม่ไหวแหละโจร ไอ้โจรหยาบ โจรหยาบๆก็แล้วกัน นี่ นะไม่เป็นผู้ดี โจรผู้ร้าย เออ! โจรผู้ร้าย โจรหยาบ ใครเห็นพั้บ สัมผัสด้วยตา ได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่นเท่านั้นก็ อื้อฮือ! ก็อย่าใกล้เลยนี่ เราก็หลบได้เลี่ยงได้ เราก็กลัว เราก็ไม่อยากจะไปปะทะด้วย ใช่มั้ย ไอ้แบบนี้ไม่ต้องระวังมาก ระวังง่าย และก็ไม่ได้ทำการกับเรา ง่ายๆ เพราะมันแสดงตัวโง่ๆ โจรโง่ๆ โจรผู้ร้าย แสดงตัวผู้ร้ายมากเลย เออ! แล้วใครจะไปรอหน้า ให้คุณทำร้าย มันก็วิ่งหนีหลบได้เลี่ยงได้ แบบนี้ทำการไม่ได้มากๆ อาตมาว่า ไม่น่ากลัว แต่คนกลัว โดยมิติตื้นนี่ คนก็บอกว่าคนกลัวโจรผู้ร้าย เห็นปั๊บนี่ก็กลัว มันไม่ซับซ้อนใช่ แต่โจรบัณฑิต โจรผู้ดี ไม่ใช่โจรผู้ร้ายที่นี่ โอ้โฮ! จอมโจรผู้ดี จอมโจรมหาบัณฑิต จอมโจรบัณฑิตนี่นะ ก็คือผู้ดี ทำตัวเป็น มารยา หรือมารยาทข้างนอก และซ้อนเชิง ทุกวันนี้คนเราเป็น จอมโจร มหาจอมโจรบัณฑิต เป็นจอมโจรมหาจอมโจรบัณฑิตอภินิรันดร์ ยิ่งพรางลวง ยิ่งไม่ให้ คุณรู้ตัว แต่ว่ากินลึกทางสังคม เป็นทาสทุกประเภท มันฉลาด ยอดฉลาดเลย คนพวกนี้ ฉลาดยอดฉลาดเลย เสร็จแล้วก็ทำ ให้คนเป็นทาสนี่ ตายใจหมดเลยว่า ต้องยอมให้เขา ต้องนับถือเขา ต้องบูชาและ ฉันก็จะต้อง เป็นอย่างเขาด้วย ฉันก็จะเป็นอย่างเขาด้วย ถือว่าอย่างนี้ ประเสริฐ มนุษย์ แต่แท้จริงก็คือ ตัวยอดเอาเปรียบ ยอดสร้างหนี้ให้ตัวเอง ได้เปรียบๆ ชนิดที่เรียกว่า

เอ้า! ทีนี้มาพูดถึงเรื่องค่า ค่านี่แหละวัดยาก แรงงานหรือผลผลิตฟังดีๆ ตอนนี้พูดเรื่องค่าแล้ว แล้วจะทราบว่า อันธพาล กัลยาณชน อริยชน นี่ อย่างไรกันบ้าง เป็นทรัพย์ทั้งนั้นนะ ที่พูดนี่ คือเรื่องของการรู้ทรัพย์ รู้ค่าของทรัพย์ รู้ว่ามนุษย์เกิดมา ถ้าคุณสะสมทรัพย์อันธพาล ก็นรกเราดีๆ ใช่ไหม ถ้าคุณได้ทรัพย์แค่กัลยาณชนก็ยังพอตัว เออ!มันได้สัดส่วนพอดี นี่เป็นกำไร แบบกัลยาณชน แล้วก็ไม่ไปเที่ยวได้เอาเปรียบเอารัดอะไรเขา สุจริตสมดุลของคุณ คุณเอาของคุณมา ถูก ไม่เป็นหนี้กัลยาณชน

แต่ของอริยชนนั้น แม้เป็นของเราโดยสุจริต โดยถูกต้อง แต่เราก็สละ จึงเป็นเจ้าหนี้ จึงเป็นบุญแท้ จึงเป็นบุญจริงๆๆ แล้วก็รู้จริงๆด้วยว่า เราจะสะสมทรัพย์บุญอย่างนี้จริงๆถูกต้องมั่นคง เป็นอริยชน ที่เด็ด ที่ชัด ที่ทำจริง เจตนาจริงและก็เจริญๆงอกงามอย่างอริยชนจริงๆ นี่ก็ขอบอกความหมาย เอาไว้ก่อนเป็นระดับ

ทีนี้ค่าของสิ่งผลิตหรือแรงงานมันก็มีราคาที่สมควรของมัน แต่คนขี้โกง คนที่เอาเปรียบเอารัดนั่นน่ะ แรงงานก็ไม่ออก ผลิตก็ไม่ใช่ แต่ฉันเอา เพราะฉะนั้นไปปล้นไปจี้เอามานี่ มันแน่นอนอยู่แล้ว ได้มานะ ได้ทรัพย์นะ แล้วอย่าไปคิด ค่าแรงปล้น ซับซ้อนนะ ค่าการปล้น การจี้ การทำทุจริตกรรม มีค่าเหมือนกัน ค่าลบ เพราะฉะนั้น ราคาของมัน ยิ่งบวกคูณเข้าไปอีกเลยว่า แกได้ไปเอาเปรียบเขามา แกก็มีค่าที่ลบอยู่แล้ว ลบคูณลบเป็นบวกของลบ ใช่ไหม ตามคณิตศาสตร์ ลบคูณลบเป็นบวกของลบลงไปอีก  หรือเป็นยกกำลังของลบลงไปอีก นั่นคือบาปคูณเข้าไป บาปยกกำลังเข้าไปอีก เพราะทำทุจริตกรรม ใครบอกว่าการไปปล้นเป็นสุจริตกรรมบ้างล่ะ ไม่มี การไปเอาเปรียบ ฟังแต่ตัวเอาเปรียบเป็นหลัก ตัวหนึ่งเอาเปรียบเป็นหลักอีกตัวหนึ่ง เอาเปรียบลบเป็นทุจิตกรรม แล้วไปปล้นเอาโดยวิธีเอาเปรียบ เอาอย่างชนิดที่รุนแรงหยาบก็คูณแล้ว ที่ปล้นชนิดที่เขาไม่อยากจะให้ มันก็ยังมีภาวะต่อสู้กันนะ ปล้นชนิดที่เขาตายใจ อยากให้ด้วยเลยนะ แต่โกงจริงๆนะ เอาเปรียบจริงๆนะ เอาเปรียบโกงชนิดที่เบา ง่าย ยอม สยบ ฟังดีๆ ยิ่งซ้อนเชิงเข้าไป ซ้อนเชิงเข้าไปอีกเลย ทำให้คนนี่โง่ลงๆ เพราะคนเสียท่า คนคิดไม่เท่าทัน คนไม่ทันเขา จึงเสียท่า เขาฉลาดกว่า เขาก็เอาเปรียบชนิดที่ซ้อนเชิงให้ตายใจ ให้โง่จัดลงไปอีก เพราะอย่างนั้น คนที่ฉลาดมาก ก็คืออีกคนหนึ่งเป็นทาสนี่โง่จัดลงไปอีก การทำให้คนโง่ลง เป็นบาปมหาศาล บาปหนักๆ แล้วต้องพรางต้องลวงไม่ให้เขารู้ตลอดเวลา คนที่จะเอาเปรียบ ประเภทไม่ให้คนรู้ตัว นี่ใช่ไหม ต้องพราง ต้องลวง ต้องซ้อน ยิ่งคนฉลาด ยิ่งต้องพรางให้หนัก ยิ่งคนฉลาดนี่ต้องให้หนัก ค่าของความลบจึงยิ่งยกกำลังห้า กำลังสิบ ยกกำลังร้อย ยกกำลังสองร้อย ไปใหญ่เลย ฟังดีๆ อาตมาพยายามอธิบายเอาอะไรต่อมิอะไรก็ตาม เอาหลักคณิตศาสตร์ อะไรต่างๆก็ตาม มาบวก มาลบ มาคูณ มาอธิบาย เพื่อมาประกอบให้เห็นว่า ทิศทางที่มันเลว ยิ่งเลวๆๆ คือทิศทาง ที่มันยิ่งเจริญยิ่งดีนี่มันคืออะไรกัน เพื่อสื่อให้เข้าใจนะ เพราะฉะนั้น ทรัพย์ที่ได้มาด้วยการทุจริต ด้วยการโกงหยาบ มันก็บาปขนาดนั้น โกงที่ละเอียด โกงที่ให้เขาตายใจ ให้เขาโง่ลงไปอีก ตัวเองก็ยิ่งฉลาดซับซ้อน ไม่ใช่ฉลาดดีนะ เป็นฉลาดเฉโก หรือฉลาดเฉกตา

ฉลาดบอกแล้วมี ๒ อย่าง พวกเราเรียนมาแล้ว เฉกตาเป็นความฉลาดแกมโกง ส่วนปัญญานั้น เป็นความฉลาดที่ซื่อสัตย์ ฉลาดที่เป็นสัจจะ ที่จะเป็นผู้ที่จะเจริญแท้ในโลก เพราะฉะนั้น ในทุกวันนี้ การศึกษาก็ดี การอยู่ในสังคมก็ดี คนในโลกโลกีย์ มันเป็นโลกีย์ มันจะฉลาดเพื่อที่จะไปเอาเปรียบ ทั้งนั้น แล้วก็หาวิธีที่จะไปเอาเปรียบ แบบที่จะต้องสร้างบาป ให้แก่ตัวเอง อย่างซับซ้อน หรือยกกำลัง ยิ่งคูณ ยิ่งยกกำลังดังกล่าวแล้ว

ถ้าคุณไม่ได้มาฟังธรรม คุณไม่ได้มารู้ตัวกันก่อนนี่ พวกนี้คุณป่านนี้ โอ้!หัวทิ่มบ่อ บ่อนรก หัวทิ่มบ่อ ไปอยู่กันทั้งนั้นแหละใช่ไหม จริงๆน่ะนี่ฟังสัจธรรม ดีๆ ทั้งๆที่พูดโดยสามัญ ก็พอรู้นะ เสียสละมันดี ทุกคนจะมาเสียสละ ไม่ต้องไปมีตัวมีตนอะไร ไม่ต้องไปมีสะสมอะไร คนมักน้อย สันโดษดี สามัญเข้าใจกันทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหนก็เข้าใจ แต่มันจะล้างกิเลส และมันจะเกิด ปัญญาญาณ ลึกซึ้งซับซ้อน อย่างอาตมาพูดนี่ อาตมาว่าพูดลึกซึ้งซับซ้อน หลายชั้นหลายเชิง ใครเคยได้ยินได้ฟัง อย่างนี้บ้าง ที่เคยฟังธรรมะมา ใครสอน เกิดมาบ่เคยได้ยินสักเทื่อ เราก็ได้ยิน นี่ก็เล่นในฟิล์มเรื่อย เสียงในฟิล์ม ก็พอดี อาตมาฟังเสียงในฟิล์มออก ถ้าปักษ์ใต้ ก็ไม่ใคร่จะกระดิกหูเท่าไหร่ด้วย นี่เป็นภาคอีสาน มันเลยฟังออก เกิดมาไม่เคยได้ยินสักที ก็พึ่งจะได้ยินน่ะนะ นี่ที่จริงอาตมาไม่ใช่คุย หรอกนะ ฟังธรรมะ จะได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เป็นอานิสงส์ที่แท้จริงๆเสมอๆ จะมากหรือน้อย ตลอดเวลา ถ้าเรายิ่งมีญาณปัญญา ตั้งใจฟังดีๆ สัตบุรุษจะแสดงธรรม จะพยายามชักลึกให้ตื้น แล้วก็จะลึกซึ้ง ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามขั้นตามตอน มันจะลึกที่เดียวพรวดพราดทีเดียวไปไกลๆ โดยไม่มีฐาน ไม่ได้หรอก ในโลก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ในโลกเรื่อยเสมอนะ

เพราะฉะนั้นเรื่องของทรัพย์ จึงไม่ใช่เรื่องตื้นไม่ใช่เรื่องเล็กนะ อาตมาจะอ่าน พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ หลายสูตร สูตรหนึ่งเรื่องธนสูตร ทรัพย์คือ ๖-๗ อย่างนี้ ที่อาตมาไม่ต้องอ่านซ้ำนะ ๗ อย่างนี้ เป็นหญิงหรือชายก็ตาม ตั้งแต่สูตรแรก ธนสูตรสูตรแรก บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า ผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น ท่านผู้นี้ผู้มีปัญญา เมื่อระลึกนึกถึงคำสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบทรัพย์ ๗ นี่แหละ ไม่ยากจนอันหนึ่ง อันต่อไปในนี้ไม่มีแล้ว ในสูตรนี้ไม่มีแล้ว ในสูตรอื่น อยู่ในนี้มี เดี๋ยวอาตมาจะอ่านให้ฟัง อันนี้ ท่านบอกว่า เป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ หมายความว่า ชีวิตของผู้นั้น ไม่เปล่าประโยชน์ หมายความว่า ชีวิตของผู้นั้นมีประโยชน์ หมายความว่าชีวิตของผู้นั้น มีประโยชน์ต่อโลก ต่อมนุษยชาติ ไม่ใช่เปล่าประโยชน์ เปล่า นี่อาตมาบอกแล้วว่า โมฆะคือตัวเองไม่ได้บุญ ไม่เป็นเจ้าหนี้ ตัวเองกลับไปเป็นหนี้เสียอีก มันเปล่าโดยที่ตัวเอง นอกจากไม่ได้บุญ ไม่ได้เป็นประโยชน์คุณค่าให้ แก่ใครแล้ว ตัวเองยังผ่าไปได้หนี้ไปทำหนี้ โมฆะเปล่า ตรงไม่ได้เป็นประโยชน์แก่เขาแล้วยังแถม ตัวเองยังผ่าไปได้หนี้ ไปทำหนี้ โมฆะเปล่า ตรงไม่ได้เป็นประโยชน์แก่เขาแล้ว ตัวเองยังแถมบาป ได้อกุศล ได้หนี้ติดตัวไปอีก โมฆบุรุษมันมี ๒ ระดับ ระดับว่า เออ!เท่าตัว ไม่ได้ทำประโยชน์ ให้แก่ใครเลย ชาตินี้เกิดมาสูญเปล่า ที่อาตมาเคยแปล โมฆะบุรุษว่า ชิงหมาเกิด ให้หมด ตัวหนี่ง ตัวใดมาเอาขันธ์นี้ร่างนี้ มันยังจะได้ประโยชน์ไปบ้าง นี่ไม่ได้ประโยชน์ แล้วยังแถมตัวเองได้หนี้ ตายไปในชาตินี้ ไปได้มีวิบากอกุศล ติดตัวไปเป็นทรัพย์ ทรัพย์อกุศลด้วยนะ ทรัพย์อันธพาล ทรัพย์บาป ทรัพย์หนี้สินนะ

นี่ไม่ยากจนอันหนึ่ง แล้วอีกอันหนึ่งท่านก็บอกว่า เป็นผู้มีทรัพย์มากในโลก เป็นหญิงหรือชายก็ตาม ผู้นั้นแลเป็นผู้มีทรัพย์มากในโลก อันอะไรๆพึงผจญไม่ได้ในเทวดาและมนุษย์ ทรัพย์คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และ ปัญญาที่ ๗ ทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือชายก็ตาม ผู้นั้นแล เป็นผู้มีทรัพย์มากในโลก อันอะไรๆพึงผจญไม่ได้ในเทวดาและมนุษย์ ภาษาอย่างนี้ ถ้าเผื่อว่า ทางธรรมะอธิบายไม่ออก ก็ไม่ต้องรู้เรื่อง คุณก็ฟังแค่ว่า เออ! อันอะไรพึงผจญไม่ได้ ในเทวดา และ มนุษย์ แล้วมันยังไง มันพึงผจญไม่ได้ในเทวดาและมนุษย์ ฟังแล้วมันก็ยากนะ

เดี๋ยวอาตมาอธิบายให้ฟังบ้างนิดหน่อย  หมายความว่าทรัพย์ที่เป็น ศรัทธา เป็นศีล เป็นหิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา

อ่านต่อ หน้าถัดไป

ทรัพย์แท้ของมนุษย์ ตอนที่ ๒ ม้วน ๑/ FILE:1337C.TAP