ทรัพย์แท้ ของมนุษย์ ตอนที่ ๒ หน้า ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔
ในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ

ต่อจากหน้า ๑

เดี๋ยวอาตมาอธิบายให้ฟังบ้างนิดหน่อย  หมายความว่าทรัพย์ที่เป็น ศรัทธา เป็นศีล เป็นหิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา หรือสรุปว่าเป็นวิบาก เป็นวิบากที่เป็นกุสลอย่างสูงไปตามลำดับ ตั้งแต่คุณรู้จักทรัพย์ ถึงขั้นทรัพย์ตั้งแต่อันธพาล ทรัพย์กัลยาณชน ทรัพย์อริยชนขึ้นมาเรื่อยๆนี่นะ คุณก็จะรู้ว่า มันเป็นทรัพย์ที่นอกจากเป็นผู้ไม่จน คำว่าไม่จนนี่คือ พวกเราไม่ใช่คนยากจน  พวกเราคือเศรษฐี  เศรษฐีที่ไม่สะสมเงิน เศรษฐีที่ไม่มีสตางค์ เป็นเศรษฐีเงินถังแต่สตางค์ไม่มี พวกเราเป็นเศรษฐี เศรษฐีแปลว่าผู้ประเสริฐ ส่วนคนร่ำรวยทรัพย์ศฤงคาร เขาเรียกว่ากระฎุมพี นี่เขาใช้ภาษาผิดมานานแล้ว เอาภาษาบาลีเขานั่นแหละมาใช้ กระฎุมพีก็ภาษาบาลี เศรษฐีก็บาลี แต่เศรษฐี เสฏโฐนี่แปลว่า ผู้ประเสริฐ กระฎุมพีแปลว่าผู้มั่งคั่งร่ำ รวย ทีนี้เขารู้ว่าคนจะมั่งคั่งร่ำรวย ลึกๆเขารู้ว่า ร่ำรวยนี่มันต้องไปเอาเปรียบเขามา ต้องไปรีดไปไถ ไปโกง ไปกอบโกยอะไรต่างๆนี่แหละ คนเขาก็ไม่อยากจะชื่นใจ ไปเรียกเขากระฎุมพี เขาไม่อยากชื่นใจ เพราะไปเอาเปรียบเขามา

เพราะฉะนั้น เขาก็อยากจะเป็นคนรวย เป็นคนไม่จนเหมือนกัน พวกเรานี้เป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่ เสียสละ เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร มีสมรรถภาพ ความรู้สูง สมรรถภาพเก่ง สร้างสรร อดทน สร้างเป็นประโยชน์เท่าคนอื่น แล้วเราก็ไม่สะสมกอบโกย เราก็เป็นผู้มีประโยชน์ มีคุณค่า เป็นผู้ประเสริฐ แต่ว่าเราจนนะ เขาก็อยากจะเป็นคนดีนะ เป็นคนประเสริฐ พวกนี้เขาก็เอาเศรษฐีนี่ ไปเรียก เรียกเศรษฐีก็เอา เหมือนกะฉลาดนั้นแหละ ถ้าเรียกว่า แหม! คุณเฉโกจังเลย ใครจะไปยอมเฉโก เฉโก แปลว่า ฉลาด นะ มันโกงนี่ โกง ฉลาดแบบนี้ ไม่เอา มันไม่ดี มันเป็นค่าลบนะ ฉลาดแบบค่าลบ ใครจะอยากให้มาเรียกตัวเอง ต้องบอก แหม! คุณปัญญาดีจัง เออ! ชอบใจ ทั้งๆที่มันไม่ได้ฉลาดปัญญา มันฉลาดโกง เพราะฉะนั้น คำว่า ปัญญา ถึงเรียก แทนฉลาดไปหมด มันจะเฉโกขนาดไหน ก็ไม่มีใครมาเรียกกัน โอ้โฮ! ไอ้นี่ มันไม่ยอมรับนะ มันบอกว่า ไอ้นี่มันเป็นเศรษฐี เศรษฐีเลยกลายเป็นคนนี้นี่ เฉโกยอดเลย มันไม่ยอมรับหรอก ฉันเดียวกัน โอ้โห.นี่มันกระฎุมพียอดเลย เรียกคนร่ำรวย ทั้งๆที่มันไม่ถูกศัพท์ ไม่ถูกความจริง ฉันใดก็ฉันนั้น

คนที่มีสิ่งเหล่านี้ เป็นคนมีประโยชน์มากนะ นี่บอกว่าเป็นคนไม่ยากจน อันแรกท่านบอก ชีวิตของผู้นั้น ไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเศรษฐีอย่างนี้ เป็นคนที่มีทรัพย์อย่างนี้ เรื่องวัตถุไม่ต้องพูดกันมาก เพราะว่ามันจะลดน้อยลง แน่นอน แต่มันเป็นคนมีประโยชน์ นอกจากมีประโยชน์แล้ว ยังเป็นคนที่ใครๆทำร้ายไม่ได้ อะไรๆพึงผจญไม่ได้ในเทวดาและมนุษย์ อาตมามั่นใจในจุดนี้ ถ้าเราทำตนเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อย่าไปว่าแต่ในนรกเลย นรกไม่มีฤทธิ์ ทำร้ายเทวดา ผีไม่มีฤทธิทำร้ายเทวดา ต่อให้เทวดากับเทวดา ถ้ามีทรัพย์เทวดาด้วยกัน เทวดากับเทวดา ก็ยังเข่นฆ่ากันได้ ทรัพย์ของเทวดาเหมือนกัน ฤทธิ์ของเทวดาเหมือนกัน ก็เข่นฆ่ากันได้

แต่ทรัพย์อย่างนี้ แม้แต่เทวดา แม้แต่มนุษย์ นิมนต์ ไม่ใช่เชิญหรือท้าทาย ก็ยังมีฤทธิ์ที่จะเหนือกว่า เทวดา ในระดับอย่างนั้น เหนือกว่ามนุษย์ในระดับอย่างนั้น ขอให้มีทรัพย์ที่เป็น ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา ที่แท้จริงก็แล้วกัน มีจริงแล้ว ไม่ยั่นในโลกไหนๆ แต่ไม่ใช่ ให้คุณผยองนะ ไปเที่ยวได้ท้าทาย เดี๋ยวแบนมาไม่รู้ด้วยนะ ทำเป็นชักศึกเข้าบ้านอีกละ ขนาดนี้ ก็ศึกหนักอยู่แล้ว อย่าไปมีมานะ อย่าได้ไปเที่ยวผยองอะไรต่อมิอะไร นี่พูดให้ฟังว่าโดยสัจจะ ถ้าไม่มีสัจจะอย่างนั้นจริงๆแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสสัจจะ ถ้าเราเรียนไม่ดี ก็จะกลายเป็นมานะ มีมานะผยอง ทำเป็นเหิ่มๆห่ามๆ ทำเป็นอาละวาด ไม่กลัว ข้ามีฤทธิ์มากกว่าแก เดี๋ยวยุ่ง แล้วมันจะมีเอง มันจะเป็นเอง

ขณะนี้เป็นการต่อสู้ ธรรมาธรรมะสงคราม ทำธรรมาธรรมะสงครามจริงๆ ธรรมาธรรมะสงคราม เกิดอยู่ตลอดกาลนาน ไม่มีหยุดมีสิ้นหรอก มีอยู่ตลอดกาลนาน ธรรมมาธรรมะสงคราม เป็นการต่อสู้ ระหว่างความดีความชั่ว ระหว่างความถูกความผิด ระหว่างความสุขความทุกข์ ระหว่างความประเสริฐจริงกับระหว่างความประเสริฐปลอม หรือความประเสริฐกับความไม่ประเสริฐ นั่นแหละนะ

เพราะฉะนั้น เราเองเรามาเรียนความไม่ประเสริฐจริง เราไม่สู้มากหรอก เรากำลังสู้กับ ความไม่ประเสริฐจริง คือประเสริฐปลอม ความประเสริฐ ไม่ประเสริฐจริงๆนั่น เราชัด เรารู้แล้ว คนส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แล้ว เราไม่ต้องรบกับเขามากหรอก เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เรากำลังรบอยู่นี่ เรากำลังรบอยู่กับพวกที่ไม่ประเสริฐจริง คือพวกจอมโจรบัณฑิต พวกที่มีมารยา

เพราะฉะนั้น โจรที่ฆ่าแกงนั้นเป็นหน้าที่ของเขา โจรไปปล้นไปฆ่า ตำรวจเชิญพวกที่คอร์รัปชั่น พวกที่ขโมย ป.ป.ป.ไป ไม่ใช่สันติอโศก แต่พวกจอมโจรบัณฑิตอภิมหานิรันดร์พวกนี้ หน้าที่เรา แล้วเขาก็ยังไม่รู้กันว่า เป็นจอมโจรบัณฑิตอภิมหานิรันดร์ เพราะซับซ้อนลึกซึ้งมาก น่ากลัวมาก อาตมาบอกแล้ว ไอ้นี่น่ากลัวยิ่งกว่าจอมโจรผู้ร้าย มันเป็นจอมโจรผู้ดีนี่น่ากลัวมาก มันซับซ้อนลึกซึ้ง ต้องใช้ปัญญายิ่ง ไม่ได้ไปว่าเขาหรอก บอกให้รู้ตัวหรอกนะ ลักษณะอย่างนี้เป็นจอมโจรบัณฑิต เป็นเชิงผู้ดีเหมือนกัน เราไม่ได้ไปว่ากราด ว่ากันหยาบๆคายๆ มีเชิงกวี มีภาษาอะไรต่ออะไร มีคารวะ อยู่ในตัวอยู่นะ ไม่ได้ไปพูดอะไรหยาบๆคายๆ เหมือนกระโชกโฮกฮาก เหมือนอย่างอันธพาล พอเจอหน้าก็จะกัดเลย เสียงออกมาก็เหมือนจะกัดอยู่แล้วนี้ ไม่ใช่ เราไม่ใช่พวกอันธพาลอย่างนั้น มันซ้อนเชิงเหมือนกัน เขาก็อย่างนี้ เราก็อย่างนี้แหละ

เอาละ เข้ามาหาตัวหลักอีกว่าสภาพของทรัพย์ของอันธพาล ทรัพย์ของกัลยาณชน ทรัพย์ของ อริยชนนี้ เอาค่าที่ตรงสัจจะความจริงว่าไม่เอาเปรียบ ไม่ทุจริต ไม่อกุศลหยาบคายแล้ว บอกแล้วว่า ในระดับยิ่งลึกซ้อน พวกที่ดูเหมือนไม่หยาบคายนั่นแหละ ยิ่งหยาบคาย มันลึกซ้อนแล้วตอนนี้ เหมือนไม่หยาบคายนั่นแหละ เลือดเย็น เขาเรียกเลือดเย็น ยิ่งหยาบคาย เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่า อันธพาล ทรัพย์ของอันธพาล พอพูดอย่างนี้แล้วรู้ไหม ทรัพย์ของอันธพาล จะเป็นทรัพย์ของทาง วัตถุก็ตาม ขณะนี้โอ้โฮ! ร่ำรวยมีเงินมาก แต่แบบใช้เฉกตา ใช้เฉโก ใช้ความฉลาด เอาเปรียบเอารัด ขี้โกง เอาเปรียบชนิดที่เรียกว่าซับซ้อน อย่างคนรู้ไม่ทัน พวกนี้อันธพาลที่ร้ายกาจมาก เราจะเรียก โจรผู้ร้ายไม่ได้ เรียกโจรผู้ดี โจรผู้ดีนี่ โอ้โฮ! ทำจนกระทั่ง ต้องส่งส่วย ชนิดที่เรียกว่า เอาไปเลย ในทางฝรั่งเขาเรียกว่าเป็นพวก เอ! ผู้หญิงที่แดร็กคูล่าร์เขา นางเอกแดร็กคูล่าร์ พอถึงเวลานี่ เขาเอาแดร็กคูล่าร์ดูด นั่นแหละส่งส่วยแบบนั้นน่ะ คือ ยินดีที่จะต้องเอาไปให้เขา หลงผิดด้วยนะ แล้วก็ถูกเอาเปรียบอย่างประเภทที่เรียกว่าพ่ายแพ้ และพวกนี้ก็เลือดเย็น หลอกเขาสนิทเลย ทำให้เขาโง่จัดลงไป ดูดทีก็ตอกลิ่มที ดูดเลือดทีก็ตอกลิ่มที เขาก็สื่อออกมาเป็นรูปธรรม แต่พวกคุณ ดูแดร็กคูล่าร์พวกคุณก็ดูไป ดูเหมือนดูหนังนั่น จะไปรู้เรื่องอะไร นั่นแหละมันซ้อนเชิง อย่างนี้ นี่เป็นทาสผู้ที่ปล่อยไม่ไป ในสำนวนโลกเขาก็พูด ทาสผู้ปล่อยไม่ไป แล้วหลงยินดีด้วยนะ ว่าเรายอมยินดีเป็นทาส ปล่อยไม่ไปแล้วก็ ส่งส่วยเขาตลอดกาลนาน

เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องขบถไม่ส่งส่วย แต่เราก็จะต้องไม่หยาบคายเหมือนกัน ไม่ให้เกิดสงคราม ที่หยาบ พยายาที่จะให้เขารู้ในที แล้วก็ให้เขาจำนน ให้เขายอมจำนน ให้เขายอม เพราะผู้ที่ฉลาดจริง รู้จักสัจจะแล้ว แม้จะเป็นจอมโจรบัณฑิต ก็ถอนตัวมาอยู่ในสังคมนี่ เออ! เข้าใจแล้วก็... ทีนี้ผู้ที่เป็น จอมโจรบัณฑิตที่ไม่รู้ตัว สู้หนักเข้าไปเรื่อย นี่ยังเห็นภาพการรบ อยู่ตลอดเวลา อย่างโจรที่หยาบๆ อาตมาไม่เล่นด้วยเท่าไหร่หรอก ถ้าโจรไหนลึกลึกๆๆก็เล่น ว่ากันไปเรื่อยๆ โจรลึกลับๆ คนไม่ค่อย รู้เท่ารู้ทัน ก็พยายามที่จะช่วยเขา ช่วยเขาให้รู้ตัว ก็เป็นวิธีการส่งภาษา ทางกำลังภายในเรียกว่าอะไร ส่งวรยุทธออกไป ก็ว่ากันไป ตามกันไป ใครจะมีวรยุทธขั้นไหน ก็พยายามที่จะใช้วรยุทธให้เหนือชั้น คิดเคล็ดวิชา ฝึกปรือวรยุทธไว้สำหรับปราบกัน ก็ปราบกันจริงๆนะ ทีนี้ทรัพย์ที่เป็นโจร หรือ เป็นอันธพาลอย่างนี้ มีชั้นเชิงอย่างนี้                              

ทีนี้ทรัพย์ของกัลยาณชน ก็ธรรมดานี่ คนเราต้องมีค่าแรง มีราคา หรือมีค่าของมันเท่าที่เรามี อันนี้อาตมาบอกตายตัวไม่ได้ ค่าของมันมี สมควรจะอย่างนี้ อันนี้ราคาประมาณร้อย ถ้าเป็นผลผลิต แรงงานฝีมือ ความสามารถความรู้ของเรามีขนาดนี้ ก็เอาไปลงแรงออกไปๆแล้วเสร็จ ค่าของแรงงาน อันนี้ ควรจะร้อย ตามความพอเหมาะ คุณก็เอาร้อยมาคืน นี่เป็นสุจริตธรรม แต่คุณไม่มีค่า อยู่ในโลกแล้ว ถ้าเอาคืนมาแลกด้วยสิ่งที่แลกเปลี่ยน คุณไม่มีค่าแล้ว คุณหมดค่าแล้ว เพราะค่าคุณแลกมาแล้ว ไอ้นี่ผลิตมาร้อย ค่ามัน คุณให้เขา แล้วเขาก็เอาร้อยหนึ่งมาเป็นแบงค์โน้ต มาเป็นสัญญาตัวเงินไว้ คุณก็เอามาแล้วนี่ คุณก็ไม่ได้ให้ไปสักหน่อย คุณก็เอามันมาเป็นตัวเลข ถ้าคุณเอาแบงค์โน้ต ร้อยนี้ไปแลก แล้วคุณก็เอาอันนี้มาคืน คุณก็คุณอย่างเก่า คุณไม่ได้ให้อะไร เขาไปเลยใช่ไหม ไม่ได้มีค่าอะไรเลย ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้อะไรในชีวิต ไม่มีทรัพย์อะไรเลย เพราะคุณขายเท่าทุน คณไม่มีคุณค่าอะไรในโลก แต่คนคิดเสมอว่าไอ้นั่นของกูๆ เอาร้อยมาคืนแล้ว นั่นของกู ไปไหนนั่นก็บอกของกู นั่นกูคิด นั่นกูสร้าง นั่นกูทำทั้งนั้นน่ะ ของกูๆ ทั้งๆที่เอาร้อย คืนมาแล้ว แลกเปลี่ยนแล้ว แต่ก็ยังตามใจมัน ไม่ยอมปลดปล่อย ยังไม่เข้าใจ ยังยึดว่าของกูๆ ที่จริงไม่ใช่ ฟังให้ชัด ที่จริงไม่ใช่ คุณแลกมาแล้ว คืนมาแล้ว เขาให้มาหมดแล้ว นี่คุณไม่ได้มีอะไร ในโลก ไม่มีประโยชน์คุณค่า แต่เอาละมีค่าสุจริต เพราะฉะนั้น คนนี่จะบอกว่ามีบุญก็มี ปัจจุบันนี่ เท่านั้น คนที่ได้มาด้วยสุจริต นี่ร้อยหนึ่งก็ได้ร้อยหนึ่งมา คุณจะรวมมาได้ห้าร้อย ได้หมื่น ได้แสน ได้ล้าน คุณมีความสามารถ คุณมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ คุณก็ได้อันนี้ของคุณ คุณก็กินคุณก็ใช้ เสร็จแล้วได้มา คุณไม่ให้ไม่อะไร ไม่จ่าย ไม่ทำบุญทำทาน ไม่เสียสละ ไม่อะไรเลย คุณก็เล่นบุญเก่า ของคุณไป บุญของคุณนั่นแหละของคุณ จะเป็นวิบากเก่า ที่คุณได้มีความสามารถ มีวิบากเก่า ทำให้คุณเก่งกล้า มีความรู้อะไรก็ตามแต่ เป็นวิบากเป็นกุศล ที่คุณได้สร้างมา ตามวิบากโลกีย์นะ วิบากโลกีย์สะสมโดยกรรม โดยการกระทำนี่มาได้ก็เท่านั้น แต่ไม่รู้วิธีลดกิเลส ถ้าวิบากโลกุตระ มันจะเป็นการลดกิเลส ถ้าเป็นวิบากโลกีย์ก็เป็นความสามารถ ความเก่ง ความรู้อะไรก็แล้วแต่ คุณก็เอามาใช้ แล้วคุณก็ได้แลกเปลี่ยนกินไปกินมา ไม่ได้อะไรมา แม้แต่ขายเท่าทุน คุณก็ยังกิน บุญเก่าเลย เพราะคุณต้องกิน ต้องขี้ ต้องเยี่ยว ต้องเสพย์โลกียสุข คุณเอาไปจ่ายโลกียสุข แลกโลกียสุข นี่คุณกินคุณใช้ คุณกินบุญเก่าอยู่ทุกเวลา กินบุญเก่าตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นคนนี้นี่ ถ้าขายแม้เท่าทุนนี่นะ กัลยาณชนไม่บาปนะแต่หมดบุญ เพราะล่อบุญเก่า ไปตลอด หมดบุญ และคนชนิดนี้มีเท่าไหร่ ชนิดราคาทุนก็ขายเท่าทุน ค่าแรงเท่านี้ ก็ควรจะเท่านี้ และการตีราคาแรงงานในโลกนี้ คนฉลาดแกมโกงครองเมืองเป็นคนตี เชื่อไหม คนฉลาดแกมโกง ครองเมืองบริหาร บริหารในระดับของการค้า ในระดับของประเทศ ในระดับของ อะไรก็ตามใจเถอะ พวกนี้เป็นคนกำหนดราคาใช่ไหม คุณเชื่อไหมว่าว่าราคานั้น สุจริต พูดมารู้นะ ไม่ใช่ไม่รู้

มันเป็นหนี้เป็นบาปทั้งนั้นนะ คนนะ คุณจะเป็นนักค้า คุณจะเป็นนักขาย คุณจะเป็นข้าราชการ คุณจะเป็นนักบริหารอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีจบ ไม่มีสิ้น ถ้าพูดไปแล้ว มันเสียวหัวใจวาบๆนะ คุณยังอยู่ในโลกนี่นะ คุณยังเป็นหนี้อยู่ตลอดเวลา อย่าว่าแต่เท่าทุนเลย

หาผู้ที่ได้ทรัพย์อย่างกัลยาณชนแท้ๆนี่ยังยากเลย ขนาดได้ทรัพย์อย่างกัลยาณชนแล้ว ยังล่อบุญเก่า ยังกินบุญเก่าเลย เพราะคุณยังหลงโลกียสุขอยู่ ยากไหมจะเป็นผู้ที่เกิดจะได้ทรัพย์ ขนาดอย่าง กัลยาณชน ยังยาก เพราะส่วนมาก เอียงไปข้างอันธพาล ได้ทรัพย์ที่เป็นอันธพาล ที่นี้ง่ายแล้ว พูดอริยทรัพย์ ง่ายขึ้นแล้ว เพราะรู้ค่าของอันธพาล พอเข้าใจแล้วนะ อธิบายไม่ใช่ง่ายนะ คุณฟังดีๆ คนฟังไม่ดีไม่รู้เรื่อง อาตมาว่ามีบ้างหรือเปล่านี่ ใครฟังแล้วไม่รู้ เรื่องไม่เข้าใจเลยยกมือขึ้นซิ หรือหลับอยู่ ตื่นๆเร้ว ฟังที่พูดนี้รู้เรื่องไหม ทรัพย์ของอันธพาล ทรัพย์ของกัลยาณชนมีขีดเขต ขนาดไหน รู้เรื่องหรือเปล่า ที่ไม่รู้เรื่องยกมือขึ้นซิ หลับมันก็ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้จะตอบยังไง ก็ไม่ยกแหละมือ แต่ถ้าไม่หลับก็ฟังคิดว่า รู้เรื่องนะ อาตมาว่าได้พูดภาษาง่ายๆอยู่แล้ว เออ!เชื่อว่า โยมน่ะรู้เรื่อง นั่นก็เหนือ นั่นก็อีสาน ยังเหลือใต้ เท่านั้น ที่ยังจะมาพูดอยู่นี่ ก็ดีนะ

ทีนี้ในทรัพย์อย่างอริยชนนี้เรียกว่า เราจะต้องเป็นผู้ที่รู้ความจริงเลยว่า เรากินบุญเก่าหรือไม่ แม้แต่คุณจำนน ในอัตราของสังคม เราจะไปลดราคา ตลาดสินค้า เป็นพ่อค้าแม่ขายก็ยาก แต่ไม่ยากหรอกก็พอสู้นะ ก็เพราะว่ามันไม่มีการกำหนดตายตัว ก็เหมือนอย่างราคา ของข้าราชการบ้าง ราคาของบริษัท ที่เขาตั้งกันอย่างเป็นอัตรา แล้วเราจะไปบอกว่า ลดราคาเงินเดือนเราเถอะ ลดรายได้เรานี่ มันก็ยากนะ เขาก็เตะออกจากบริษัทเท่านั้นเอง หรือไม่อย่างนั้น เขาก็ไล่ออกจากข้าราชการเท่านั้นเอง มันไม่ได้อย่างนั้นหรอกนะ แต่เรารู้แล้ว มันฉ้อฉลแน่นอน บอกแล้วผู้กำหนดราคานี่ อัตรามันไม่ค่อยตรงหรอก อัตรามันเอาเปรียบ เพราะเขากำหนดเอาเอง โดยใจของเขาไม่ได้คิดลึกซึ้ง เขาไม่ได้จริงใจถึงขนาด

อาตมาถึงบอกว่า ในประเทศไทยนี่ จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ยากหรอก ลดเงินเดือนข้าราชการ ลงให้หมด นี้มันทวนกระแสขนาดไหน เขาจะขึ้นบัญชี ๓ บัญชี ๔ อยู่อีกแล้ว บริษัทใหญ่ๆ ก็ลด ลงมาหมด อาตมาเคยพูดมาแล้ว คิดดูซิสมัยก่อน มันไม่ถึงขนาดนี้ เงินเดือนคนบริษัทนี่นะ ทำงานบริษัท จะเป็นผู้จัดการ จะเป็นผู้อำนวยการ จะเป็นประธานอะไรก็แล้วแต่ ไม่ดุเดือดถึงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันดุเดือดจริงๆเลยนะ อัตราเงินเดือนกรรมกร ทางรัฐบาลกำหนดวันหนึ่ง ประมาณเท่านี้ เดี๋ยวนี้ก็ร้อยหนึ่งร้อยสิบ กำลังจะเอาจะขออยู่นี่ จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ร้อยสิบ ร้อยสิบก็ตกเดือนหนึ่ง เท่าไหร่ คิดร้อยถ้วนก็แล้วกัน คิดง่ายๆ สามพัน แต่เงินเดือนของผู้ที่เป็นประธานของบริษัท นั้นน่ะ สามแสนเหรอ เก้าแสนมั้ง ไม่น่าเชื่อหรอกนะ มันเป็นไปได้ยังไง เอาละ ความเป็นจอมโจรบัณฑิต ฉลาด จริงๆรายได้ของเขาไม่ใช่เงินเดือนเก้าแสน ทั้งประเภทจากโน่น ทั้งประเภทจากนี่ นี่เงินรับรอง นี่เงินไอ้นั่น นี่เงินไอ้นี่ ในข้าราชการยังมีเลย แท้จริงเงินเข้ากระเป๋าทั้งนั้น เลี่ยงภาษีอีกด้วย ถ้าเงิน กล่าวไว้นี่ ไม่ต้องเสียภาษี เงินอย่างนี้ถึงค่อยเสียภาษี ซ้อน ซับซ้อนอย่างนี้ เท่าไหร่

นี่คือระบบฉ้อฉลของสังคม เป็นตัวทางเอาเปรียบทั้งนั้นโดยความฉลาด และจำนนยอมกันทั้งนั้น ข้าเป็นเจ้าของบริษัทเอง ข้าจะตั้งเงินข้าเองเท่าไหร่ ใครจะทำไม ใครไม่ทำก็ออกไปซิ บริษัทนี้แข็งแรง ถาวรมั่นคงนะ รับรองว่าไม่มีล้ม และกำไรท่าเดียว กำไรแบบโลก ได้แบบเดียว ก็ต้องเข้า ก็ต้องอยู่ จะไปไหน ก็ต้องยอม แกจะเอาเปรีบบ แกจะตั้งราคาของแกเท่าไหร่ ข้าได้ขนาดนี้ ข้าก็ดีกว่า อยู่บริษัทอื่นอยู่แล้ว ใจแบบนี้เขยิบขึ้นมา จนกระทั่งถึงวันนี้ อาตมาถึงบอกว่า ราคาของประธาน ของผู้อำนวยการ ของเจ้าของบริษัทนี้ หรือตั้งให้ลูกให้เต้าขึ้นมา  ได้ลูกเต้าขึ้นมารับตำแหน่งแทน เงินเดือนโป๊ะเข้าไปเท่านี้ ประเดี๋ยวก็ขึ้นพรวดๆ คุณก็ได้แต่อ้าปาก เอาก็เอา ก็ต้องยอมอยู่ดี ก็ลูกเขา เขาจะตั้งเท่าไหร่ก็ตั้ง เสร็จแล้วอัตราเงินเดือนนี่วุ่นวายหมด อัตราค่าของอะไร นี่วุ่นวายหมด ไม่ถูกต้องเลยนะ นี่ก็พูดให้ฟังเท่านั้น อาตมาจับมาทั้งหมด มาเปรียบเทียบไม่ไหวหรอก อาตมาไม่ใช่นักสถิติด้วย แต่พูดความหมายให้ฟังเท่านั้นเอง

ทีนี้ผู้ที่ได้รับมาโดยจำนนนี้ดังที่กล่าวเมื่อกี้นี้ว่า ไปลดราคาไม่ได้หรอก เราเงินเดือนตั้งสองหมื่น สามหมื่น ที่จริงมันไม่ควรจะสองหมื่นสามหมื่นหรอก โถ! คนในระดับล่าง ก็ไม่ค่อยได้ขึ้นหรอก ขึ้นก็ทีละนิดๆ เอาเปรียบกัน ขูดรีดกัน ทั้งที่ทำงานหนักกว่า ออกแรงกว่า โถ! อะไรต่างๆนานาสารพัด แต่มันก็ต้องเอาน่ะ เพราะว่าเราไปลบล้างไม่ได้ ทีนี้คุณเอามาแล้วคุณก็ควรจะรู้ คุณยอมจำนน จึงมาหาทางระบาย มาหาทางทำทานที่จะสละออกไปให้เป็นประโยชน์ มีคุณค่า ต้องมีปัญญาว่า ทำทานอย่างไร ถึงจะมีประโยชน์คุณค่า ทานกับใคร ทานกับแหล่งไหน ทานกับสิ่งที่สมควร หรือไม่สมควร บางทีคนจนบางคนก็ไม่น่าจะให้ทาน คนจนบางคนควรให้ทาน คนจนที่เรียกว่าเศรษฐี เราน่าให้ทาน ฟังรู้เรื่องแล้วนะ คนจนที่เรียกว่าเป็นเศรษฐีนะ ไม่ใช่คนจนที่เป็นกระฎุมพี คนกระฏุมพีไม่จนหรอก มันรวยจริงๆ คนกฎุมพีนี่มันรวยแท้ๆ แต่เศรษฐีนี่จน แต่จนอย่างเศรษฐีนี่น่ะ คนผู้ยิ่งใหญ่ คนจนจริงๆน่ะควรให้ทาน เพราะผู้ที่ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์จริงๆแล้วเขาไม่โลภโมโทสัน จนเพราะละกิเลส ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาไว้แก่ตัว สร้างสรรเสียสละอยู่ และจริงใจ ที่จะมีปัญญาด้วย จริงใจด้วย มีปัญญาด้วย ที่จะใช้เงินนี้เป็นประโยชน์สร้างสรร เป็นประโยชน์ต่อ พหุชนต่อมนุษย์ ส่วนมาก เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรสังคมมนุษยชาติจริงๆ อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นเรื่องจริง

เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาก็ควรจะรู้ ควรจะทำทานควรจะ.. เอ! เงินนี้เราได้มาไม่ดี เราก็ไม่เก่งเท่า ถ้าเราทำเอง เราก็ไม่เก่งนะ เอาเงินนี้ไปทำประโยชน์ จะไม่ได้ประโยชน์เท่าให้คนนี้ทำ หรือ ให้กลุ่มนี้ทำ ให้สมาคมนี้ทำ ให้มูลนิธินี้ทำ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราก็ทำ แต่โลกนี่มันทำทาน มันบริจาค มันก็บริจาคซับซ้อน บริจาคเพื่อที่จะมีกำไรยิ่งกว่า ได้มายิ่งกว่าทั้งจิตวิทยา ทั้งวิธีการ อะไรต่างๆนานา เขาทำอยู่ซับซ้อนนี่ พูดอย่างนี้ก็คงเข้าใจ อาตมาอาจจะไม่เก่งเท่าด้วยซ้ำ คนที่เก่งกว่า อาตมามีการทำทานประเภทที่จะให้ได้มายิ่งกว่า อาตมาว่า พวกนี้ พวกมือบูมเมอแรง แน่กว่าอาตมาเยอะ บูมเมอแรงคือเขวี้ยงไปแล้ว มันกลับเข้ามาหาตัว ได้อย่างเก่ง ได้อย่างแม่นยำมาก ได้อย่างมากไม่มีพลาด ไม่มีพลาดเป้า ได้อย่างเร็วอย่างลัดด้วย ไม่ต้องตีวง โค้งบูมเมอแรง แต่สัจจะมันจะพยายามหลอก บูมเมอแรงตีวงโค้ง โค้งไปไม่ให้คนเห็น จนเกือบจะเห็นว่า เส้นโค้งนี่เป็นเส้นตรง บอกโฮ้ย! มันไม่ได้กลับมาหาอั๊วหรอก แต่แท้จริงนี่โอ้โฮ! เป็นเส้นรอบวงของเอกภพเลย คุณรู้จักเส้นรอบวงของเอกภพไหม ยิ่งกว่าเส้นตรง แต่ไม่ตรงหรอก เพราะเอกภพไม่มีตรง เส้นรอบวงของเอกภพไม่มีตรง แต่ในความรู้สึกของคน วัดเส้นเอกภพ ให้ตรงไม่ได้ ความรู้สึกของคน ไม่สูงพอที่จะวัดความโค้งของเอกภพ นอกจากโลกุตรบุคคล โลกุตรบุคคลจะมองเส้นตรงนี้ได้ และจะมองนามธรรมที่คดยิ่งกว่าเส้นตรงวัตถุนี้ได้ นามธรรม ผู้มีจิตวิญญาณที่ละเอียดลึกซึ้ง ที่จะมองสิ่งนี้ออกนะ เอาละใครฟังภาษานี้ไม่รู้ ฟังไปก่อนนะ

เพราะฉะนั้นโลกุตรบุคคลนั้น จะมีทรัพย์ของโลกุตรบุคคล  ก็ไต่มาจากกัลยาณชนนี่ รู้อย่างนี้ รู้เออ! เราได้เปรียบมา เราก็อย่าให้มาเป็นบาปเป็นหนี้อยู่ และเราก็กระจายๆทุน กระจายสิ่งที่เราได้เปรียบ มาโดยจำนน เพราะว่า เราบอกแล้ว เราไปแก้ไขระบบไม่ได้ เราก็ต้องหาวิธีที่จะไม่ทำบาป ไม่สร้างหนี้ โดยการบริจาค ทำทาน คือ จาคะ อะไรๆมา ก็รู้จักจาคะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนี่พูด แต่แค่ทรัพย์ แค่วัตถุ แค่เอาไปเอามา แค่แลกกันเท่านั้นเอง และมันก็อยู่ในระบบแห่งสังคม นี่เป็นวิธีการ ของสังคม ระบบแลกเปลี่ยนกันไป ทดแทนกันมา อย่างนี้มันเป็นอยู่ธรรมดา ถ้าแค่นี่เราเข้าใจ แค่นี่เราก็สามารถสร้างทรัพย์ จนเป็นทรัพย์ที่แท้ เป็นอริยทรัพย์ หรือเป็นบุญที่แท้ ไม่เอาเปรียบ แม้แต่เราตกอยู่ใน มอบตนอยู่ในทางผิด ยังไม่พ้นสัมมาอาชีวะระดับสุดท้าย เรายังมอบตน อยู่ทางผิด เพราะเรายังอยู่ในระบบที่ฉ้อฉล เมื่อเราอยู่มีอาชีพการงาน มีอยู่ในระบบฉ้อฉล หลงมอบตนอยู่ในทางผิด เราก็จะต้องรู้จักที่จะถ่ายเทเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ อย่าให้เป็นหนี้ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเรายิ่งคิด

เมื่อกี้อาตมาได้อธิบายไปพอสมควรแล้วว่า ระบบของสังคม มันฉ้อฉล จัดจ้านถึงขนาดไหน ผู้ตั้งราคาสังคมตั้งอัตราอะไรก็ผู้ตั้ง ผู้มีอำนาจ ก็ล้วนแล้วแต่ฉ้อฉลทั้งนั้น แล้วมันไปลิ่วๆๆๆ แล้วเราก็ต้องการคน ในโลก ถ้าไม่รู้เรื่องนะ ในโลกไม่รู้อย่างนี้แล้ว ไม่เข้าใจอย่างนี้นะ ก็อยากจะขึ้น เงินเดือนเร็วๆ ขึ้นเงินเดือนมากๆ ได้ตำแหน่งสูงๆ ได้อะไรต่ออะไรไปนี่ ขึ้นไปเป็น มีหน้าที่ไปเป็นส.ส. ก็พยายามที่จะออกเสียง เอาฤทธิ์เอาเดช เฮ้ย!เงินไม่พอ ต้องอีก เงินเดือนเท่านี้ ไม่พอๆๆๆ มันก็บวกกันเข้าไปใหญ่เลย บวกให้คนนั้น บวกให้คนนี้ เดี๋ยวเราต้องขึ้นเงินเดือน ให้แก่ผู้ใหญ่ ผู้น้อยจะได้พ่วงด้วย ก็เป็นวิธีการ ขึ้นเงินเดือน ให้ผู้ใหญ่โน่นนะ เรานี่เป็นคนรองคนใหญ่ อ้ายคนรองก็ตามไปด้วย อัตราส่วนในการขึ้น พุทโธ่! ถ้าผู้ใหญ่ ถ้าตัวคนนี้ขึ้นร้อย ผู้ใหญ่ก็ต้อง คูณไป ตัวผู้ใหญ่คูณห้าร้อย ผู้ติดๆก็สี่ร้อย สามร้อย คนน้อยที่สุด ขึ้นบาทเดียว น่าสงสารว่ายังงั้นนะ

เอาละคงจะพอเข้าใจนะ ระบบของทรัพย์ของอันธพาล ทรัพย์ของกัลยาณชน ทรัพย์ของอริยชน จะทำให้มันเป็นสุจริต หรือทำให้มันได้บุญ ได้เป็นการสั่งสมทรัพย์ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น สรุปแล้วโดยง่ายๆแล้ว มันยิ่งต้องมาเสียสละทั้งนั้นเลย  ยิ่งเรามีความสามารถมาก มีความรู้มาก มีฝีมือมาก มีประสิทธิภาพสูง เรายิ่งสร้างเลย ของมันมีราคาอย่างนี้ สมมุติเราทำหนังสือเล่มนี้ ถ้าคนที่มีฝีมือจริงๆดีแล้ว เป็นหนังสือเหมือนกัน คุณภาพจะดีกว่ากันมาก ประสิทธิภาพจะสูงๆ ราคามันก็ควรจะแพงกว่า แต่อริยชนแท้ๆ จะต้องยิ่งคิดราคาต่ำลงไปยิ่งมาก แต่ปุถุชนยิ่งอันธพาล ยิ่งรู้สึกว่าของของเรามีประสิทธิภาพสูง เรายิ่งขึ้นราคา ให้มากๆเข้าไว้ โดยอ้างว่า ไม่ได้หรอก ของของเราทำได้ดี และทำได้น้อย เพราะฉะนั้น คนจะแย่งซื้อ ต้องขึ้นราคาไว้สูงๆ คนซื้อได้ยากหน่อย ถ้าขืนซื้อได้ง่าย มันจะทะเลาะกัน ปรารถนาดี

บอกแล้วว่า อริยชนในโลกมนุษย์ในสังสารวัฏ ไม่มีความตรงจริงๆ แต่เราเอาตรงที่สุด เท่าที่เรา จะตรงได้ๆ เพราะฉะนั้น การที่จะตรงที่สุดก็คือ จุดที่สั้นที่สุด จุดที่ตรงที่สุดคือสูญ เริ่มต้นจาก จุดหนึ่ง ไปสู่จุดหนึ่งนั้น ไม่เกิดความตรงแล้ว จุดจะเล็กขนาดไหนก็ตาม ต้องไปอ่านหนังสือ ฟากฟ้าฝั่งฝัน หรือ ไท อาตมาเขียนไว้แล้ว อาตมาพูดไปบ้างแล้ว แต่ยังพูดไม่ได้ละเอียด อย่างที่ อาตมาได้อธิบายนี่หรอก แม้แต่เส้นตรงจุดอะไรต่างๆนานาพวกนี้ พูดไว้ทั้งนั้นแหละ พออ่านแล้ว ถึงจะรู้ มันเป็นคำสั้นๆอยู่เยอะ แต่ว่ามันไม่ได้ละเอียดอย่างนี้หรอก เพราะฉะนั้น จุดที่ตรงที่สุด สูงที่สุด ดีที่สุดก็คือสูญ ปรินิพพาน เลิก ถ้ายังมีขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่มีอะไรเท่าเทียมกัน ไม่มีอะไร ตรงที่สุด ตรงที่สุดก็คือ ผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด เท่าที่ผู้นั้นมีภูมิลึกซึ้งที่สุด

แหม!ถามอาตมา ก็ต้องบอกว่าอย่างอาตมาพาทำน่ะซิ อาตมาก็ต้องเอาสูตรที่ดีที่สุดมาใช้นะซิ เรื่องอะไรล่ะ คุณจะมีสูตรไหนดีกว่านี้ก็เสนอมาบ้างซิ อาตมาว่าสูตรที่อาตมาใช้อยู่นี้ ไม่ลดหย่อนหรอก พยายามที่จะทำให้ดีที่สุด ให้เร็วดีที่สุด ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ต้องพยายามทำ อย่างนั้นใช่ไหม โดยเจตนารมณ์เท่าที่เรามีความสามารถที่จะใช้มัน มาถามอาตมา ก็ต้องบอก อย่างอาตมา ถามใครเขาก็บอกของเขาน่ะ ทีนี้จะตอบตายตัวไปทั้งหมดว่า สูตรสำเร็จ มันเป็นยังไง ยังบอกไม่ได้ ก็กำลังทำกันอยู่ทุกวิถีทางนี่แหละ

เพราะฉะนั้น อริยชนที่รู้อย่างนี้แล้วจริงๆก็ จึงจะต้องรู้ค่าของตัวว่ายิ่งดี ประโยชน์ก็ยิ่งสูง อย่าไปคิด ค่าราคาของเราแพงขึ้น ต้องคิดค่าต่ำเท่าไหร่ ยิ่งกำไรเท่านั้น ยิ่งเป็นบุญ ยิ่งเป็นเจ้าหนี้ หรือ เป็นส่วนได้ ของเราเท่านั้น นี่เป็นสัจจะของทรัพย์ คือ จาคะให้มาก สละให้มาก ให้ผู้อื่นให้มาก และเราก็ต้อง ทำตนให้เป็นคนเปลืองน้อย กินน้อย ใช้น้อย ไม่ผลาญ ไม่พร่าจริงๆเลย มักน้อย สันโดษจริงๆ นี่หลักการของจริง มันไม่มีผิดจากนี้เลย พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะมาน้อยลงได้ เราก็ต้องลดโลกียสุข ลดสิ่งที่เราไปบำเรอ แม้แต่กิน คุณกินทุกวันนี้ คุณกินด้วยกิเลสกันทั้งนั้น กินอาหารก็กินด้วยกิเลส เสื้อผ้า หน้าแพรใส่ด้วยกิเลส นี่ไม่ค่อยสวย ไม่ใคร่ชอบใช้ นี่เมื่อสัมผัสแตะต้องไม่ค่อยจะเนียนไม่ใช้ รู้สึกไม่ค่อยดีนักไม่ใช้ อะไรต่างๆนานา แม้แต่เครื่องกินเครื่องใช้ เครื่องมือเครื่องใช้อะไรก็แล้วแต่ นี่เอ๊อ! ไม่สวยไม่ใช้ อะไรก็แล้วแต่ไม่ชอบ อะไรก็ตามใจ อย่างเป็นต้น เพราะฉะนั้น เราก็ต้องพยายามที่จะมาลด ในสิ่งเหล่านี้จริงๆ ลดลงไปแล้ว เราก็ยิ่งจะเป็นผู้ไม่เปลือง เหมือนรถ เหมือนเครื่องกลที่กินน้ำมันน้อย กินไฟฟ้าน้อย แต่มีประสิทธิภาพสูงมาก ใครก็ต้องการ ในโลกไม่ค้านแย้งกับโลกนะ เพราะฉะนั้น เราทำตัวของเรา เป็นคนที่โลกต้องการ นะ แต่โลกโง่ๆเขาไม่ต้องการ เขาจะฆ่าด้วยนะ ถ้าเขาฆ่าได้เขาก็จะฆ่านี่ เขาลิดรอนทุกอย่างเลย ที่จะไม่ให้ออกบทบาท ให้หมด ให้เป็นอัมพาต อัมพาตก็ยังไม่พอใจ เอ็งตายได้แล้ว ไว้คาตาก็ยิ่งดีโน่นแน่ะ ถ้าใจเขาอำมหิตนะ เขาจะรู้สึกอย่างนั้นด้วยซ้ำ ไม่อยาก ให้เห็นหน้า ไม่อยากจะให้อยู่รอหน้ารอตา ถึงอย่างนั้นนะ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นโลกุตรบุคคลหรือผู้เป็นอริยะจะสร้างทรัพย์ จะทำทรัพย์โดยสัจจะที่จริงว่า จะต้องรู้เขตขีดเลยว่า ขนาดนี้คือความพอดีของกัลยาณชน เจ๊าเท่าทุนเราไม่ได้บุญ เพราะฉะนั้น เราจะต้องได้บุญ คือเราได้เสียสละ เราได้ให้ เราไม่เจ๊า เราไม่เปลือง เราไม่ผลาญ มีแต่สร้าง มีแต่ให้ ในศาสนาคริสต์ถึงบอกว่า พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และเป็นผู้ประทาน มีตรีมูรติ ๓ อย่าง ๑.เป็นผู้สร้าง ๒.เป็นผู้ประทาน ๓.เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์

นี่เป็นคุณลักษณะของพระเจ้า ตัวเราเป็นฉายาพระเจ้า เป็นตัวแทนพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียว กับพระเจ้า นี่เราเรียนอยู่เหมือนกัน ศาสนาพุทธก็ต้องรู้ เราก็เป็นพระเจ้า แต่คนทางด้านศาสนา ที่มีพระเจ้า อ้ายพวกนี้มันอาจเอื้อม มันไปบอกว่า มันเป็นพระเจ้า พระเจ้าคือความจริง พระเจ้าคือ จิตวิญญาณพร้อมจิตวิญญาณ แล้วทำจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ จิตวิญญาณให้ซื่อสัตย์สุจริต เป็นผู้สร้างที่จริง สร้างเหน็ดเหนื่อย สร้างและสู้กับซาตาน มารนี่นะพระเจ้าไม่ได้สร้างนะ พระเจ้ามาแพ้ตรงนี้แหละ พระเจ้าคือผู้สร้าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แล้วใครสร้างซาตานล่ะ พระเจ้าสร้างซาตานเหรอ เปล่า ซาตานคือศัตรูของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ เกิดเมื่อไหร่ไม่รู้ สร้างอาดัมอีวามา อ้าว! ซาตานมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มาหลอกอาดัมอีวา เอาคนของพระเจ้าไปฉิบ อาดัมกับอีฟเลยเป็นคนของซาตานไปฉิบเลย พระเจ้าอกหัก พูดไปมันจะมาก อาตมาไม่ค่อย อยากพูดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น อริยบุคคลจะต้องเข้าใจขีดเขต เข้าใจเคิร์ฟ ตัดเขตรู้ เลยว่า อย่างนี้ ผิดแล้วนะ อย่างนี้ไม่เป็นทรัพย์แล้วนะ ไม่เป็นอริยทรัพย์แล้วนะ เพราะฉะนั้น แค่รับมาแค่ทรัพย์ของ กัลยาณชนได้เท่าทุนนี่ ก็ต้องสร้างให้มันเป็นบุญ จงเสียสละ เพราะฉะนั้น คุณเอง คุณจะเป็นแค่ กัลยาณชนก็ตาม มีความรู้สึก มีความนึกคิด มีความเข้าใจ ให้ได้ว่า เราพยายาม ถึงแม้จะเท่าทุน เราต้องพยายามทำให้ตัวเองเสียสละ หรือขาดทุน ลงไปให้ได้เรื่อยๆ นั่นเอง

โดยสัจจะขาดทุนคือกำไร กำไรคือขาดทุน นี่คือภาษาของอริยะพูดกัน คนฟังไม่รู้เรื่องมันก็บอกว่า พวกนี้ภาษาคนบ้า หนอย!ขาดทุนคือกำไร กำไรคือขาดทุน จริงๆ ใครงงก็งงไปก่อน ใครไม่งง ก็เข้าใจไปเถอะ และทำให้ได้

เพราะฉะนั้น คุณจะมีปัญญาเท่าไร ที่คุณจะอ่านตัวเอง เข้าใจตัวเองว่า กรรมกิริยาทุกกรรม สิ่งผลิต ผลผลิตทุกอัน แรงงานทุกแรงงาน คุณอย่าไปคิดค่าแรงงาน คุณจะต้องเสียสละให้มากที่สุด ต้องลดราคาสิ่งผลิตให้ได้จริงๆ ให้ได้จริงๆ นี่เป็นเรื่องของทรัพย์มนุษย์ แล้วมันติดเป็นวิบาก ยิ่งคุณ ไปแลกมานี่นะ ไปได้เกินมา เราก็พูดกันๆว่าแลกไปเอาเปรียบมา ของราคาทุนแค่ ๑๐ แล้วคุณ ก็พยายามหาวิธีการที่จะไปให้เขาไป คือขายนั่นเอง โดยเอามาให้ได้สองร้อย แหม! วิเศษ เก่งเยี่ยมเลย นี่ทุนจริงๆ ๑๐ เท่านั้น แต่ต้องขายสองร้อย คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นหนี้อีกเท่าไหร่ คุณจะต้องตกนรกหมกไหม้ คุณจะต้องใช้หนี้ อีกกี่นานับชาติ แต่ความหลงผิดของคนน่ะ ยินดีกับบาปอย่างนี้กันจริงๆ นี่แหละ คืออวิชชาที่แท้จริง อวิชชาที่แท้จริงเป็นอย่างนี้

เพราะแม้แต่ทุนมัน ๑๐ คุณก็ต้องพยายามที่จะขายให้ต่ำกว่า ๑๐ ให้ได้ โดยวิธีการหลายอย่าง ที่เรากำลังพยายาม พัฒนาระบบบุญนิยมอยู่ ว่าเราจะต้องทำให้ได้ว่า จะต้องขายให้ต่ำกว่าทุน และ มันซับซ้อน แม้แต่ราคาของตลาด เราจะเอาราคาของตลาด เทียบกับราคาของความจริง ก็ยังไม่ได้ มันฉ้อฉล บอกแล้ว เพราะเราทำต่ำกว่าราคาตลาดได้ แม้จะดูเหมือนว่าเราบวกอยู่ เช่นว่าราคานี่นะ เราเกิดวงจรของเรานี่ มีผู้ผลิตเอง มีผู้บริจาค มีผู้อะไรให้มา ต้นทุนมันก็ต้องต่ำ ต้นทุนของเราผลิต มันต่ำแล้ว มันก็ต่ำกว่าราคาตลาด ถ้าเราต้องซื้อทุกบาททุกสตางค์โดยราคาฉ้อฉล อัตราตลาด และ ไม่มีใครบริจาคเลย ต้นทุนคุณก็สูง คุณก็เอาต้นทุนสูงนี่ มาคิดค่าว่าต้นทุน แต่ของเรา ต้นทุนเราคิด ค่าต่ำ โดยผู้บริจาคก็มี ใช่ไหม ไม่ฉ้อฉลกันด้วย

อย่างเมื่อวานนี้ ก็ซื้อข้าว เราก็ไม่โกงคนเอามาขาย อะไรอย่างนี้เป็นต้น วิธีการอย่างนี้ซ้อนเชิงๆพวกนี้ แม้เราจะต้นทุนอันนี้ของเราผลิต เพราะต้นทุนเราคิดจากของเรา ๑๐ บาทเป็นต้น ต้นทุน ๑๐ บาท ของเขาต้นทุนสูง ของเขาต้นทุน ๕๐ แม้เราต้นทุน ๑๐ บาทเราขาย ๒๐ มันยังต่ำกว่าต้นทุนกว่า ๕๐ ที่เขาซื้อ เขาขาย ระบบของโลกเขาเป็นกัน และเขาต้นทุน ๕๐ เขาคิดอย่างฉ้อฉลของเขา เขาไปขาย ในตลาด เขาก็ไม่ขาย ๕๐ เสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ดูเหมือนเราต้นทุน ๑๐ และเราขายตลาด ๒๐ ที่จริงเราก็จะไม่หาเปอร์เซ็นต์ถึงขนาดนั้นหรอก ในระบบบุญนิยม เราอาจจะขาย ๑๕ เราก็ต่ำกว่า ของชนิดเดียวกัน ในอัตราวงจักรวงจรของระบบคนละทาง ของเขานี่ ต้นทุนถึง ๕๐ ของเรา ต้นทุนแค่ ๑๐ ของอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไปทางเรา อย่างขณะนี้ ข้าวกล้อง ของเราดีกว่า อย่างนี้ เป็นต้น ยกตัวอย่างง่ายๆ วัตถุผลิต ผลผลิตดีกว่า ต้นทุนก็ถูกกว่า แม้เราจะบวกขายเพิ่ม มันก็ยังคือ ส่วนที่ได้อยู่นั่นเอง ถ้าคิดกับราคาตลาด ฉ้อฉลอย่างตลาด อย่างนี้เป็นต้น นี่มีความซับซ้อนอยู่ในเชิง อยู่ในทีนั่นเอง ใครเรียนเศรษฐศาสตร์มา ใครเรียนพาณิชยศาสตร์มา ฟังอันนี้ พอจะเข้าใจ ไม่ยากนัก นี่มันมีระดับซับซ้อนอย่างนี้อยู่ในโลก

สรุปแล้วเอาง่ายๆก็คือว่า เราทำอย่างไร ที่เราจะทำให้ถูกลงที่สุด จนกระทั่งฟรีได้นั่นแหละ พระพุทธเจ้า ถึงบอกว่า พ้นมิจฉาชีพสูงสุดคือ ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนะตา คือไม่ใช้ลาภ แลกลาภเลย ฟรีๆหมด ทำก็ฟรี สร้างก็ฟรี ขยันหมั่นเพียร อุตสาหะวิริยะ เราไม่พักเราไม่เพียร มีความอุตสาหะได้เท่าไหร่เราก็ทำ เสร็จแล้วก็หาทางแจกจ่ายมากกว่า จำเป็นต้องขายเท่านั้นถึงขาย และขายให้ถูกที่สุด นี่เป็นหลักการ จะขายถูกได้เท่าไหร่ ขายให้ถูกที่สุด จะบวกเพิ่มจากทุนบ้าง ก็แล้วแต่ ยิ่งขายต่ำกว่าทุนได้ ทำระบบที่ตัวไหนขายต่ำกว่าทุนได้ ทำ มีโอกาสทำเลย

เพราะฉะนั้น ช่วงช่องไหนที่อาตมาพาพวกเราทำ ขายต่ำกว่าทุนได้ อย่างขณะนี้ โรงสีของปฐมอโศก ขายต่ำกว่าทุนได้ ขายไปรอดอยู่ ทำไปไม่รอดเมื่อไหร่ค่อยปรับ พลังบุญยังขายต่ำกว่าทุนยังไม่ได้ เอาก่อน และพยายามหาวิธีทางอะไรเป็นต้น นี่ พยายามอยู่ ทำอยู่ให้มันเป็นโลกอัศจรรย์จริงๆเลย และพวกเรา จะได้ทรัพย์ที่แท้ ทรัพย์อริยทรัพย์ เพราะมันเป็นการเสียสละที่จริง ในโลก เขาก็พยายามพัฒนา ที่จริงไม่ใช่พัฒนาหรอก หายนะ ไม่ใช่ วิวัฒนะ หายนะ คือเขากำลังคิดอ่าน วิธีการซับซ้อน ฉ้อฉลเข้าไป เพื่อที่จะสร้างบาปให้ได้ บาปหนาที่สุด แหม! มันโง่ยอดโง่เลยนะ พัฒนาวิธีการที่จะให้ตัวเอง ได้บาปหนา ที่สุด มันพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเลย ใช้พัฒนามันก็ย้อนแย้ง คือหายนะ ตัวเขาทำให้ตัวเขาหายนะ เสื่อม เลว ต่ำ เขาพัฒนาๆอีกแล้ว เขาพยายามพัฒนา ค้นคิดวิธีการ จะต้องได้บาปมากขึ้น นี่มันโง่ซ้อนโง่ขนาดไหน คุณคิดดูซิ ที่อาตมาพูดนี่ คุณฟังดูซิ ใช่ไหม หาทางได้เปรียบนั่นเอง โดยที่ไม่ให้คนเขาไม่รู้ทันนั่นเอง ให้เลือดเย็น ประเภทที่เรียกว่า กินอย่างเลือดเย็น นั่นน่ะ เขาทำอยู่ แล้วเขานึกว่า เขาได้เปรียบอย่างสนิท ได้เปรียบอย่างสนิทแล้ว โกงอย่างสนิทด้วย หรือว่าเอาเปรียบเอารัด ชนิดที่เขาจับไม่ได้ เอามากที่สุด เท่าที่จะมากได้ แสบที่สุดเลยจริงๆ แสบที่สุดนี่ โลกมันเป็นอย่างนั้น แต่เราก็จริงใจ ที่จะเสียสละให้ได้มากที่สุดจริงๆ ด้วยความจริงใจ คุณจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทางธรรมนี่นะ ทางอริยะนี่นะไม่มีปิดปัง แต่ทางโลก มีแต่ปิดบัง ปิดบังๆๆ ปิดๆ ยิ่งไม่อยากให้รู้ ยิ่งเอาเปรียบมากเท่าไหร่ ยิ่งไม่อยากให้รู้เท่าไหร่ ใครจะไปอยากให้ใครรู้ ใช่ไหม

แต่ทางธรรมนี่ โอ้โฮ!เปิดไปเลย ยิ่งเปิดไปเลย สองทิศทางไปเลย แหม!คนละขั้วเลย คนละขั้ว อีกอันหนึ่งเปิดๆๆๆ อีกอันหนึ่งปิดๆๆ ความรู้สึกของคนที่ต้องการปิด กับความรู้สึกของคน ที่ต้องการเปิด จึงทะเลาะกัน เข้าใจไหม นี่สงครามขณะนี้พวกเรา อ้ายพวกนี้มันโง่ฉิบหายเลย คนฉลาดเขาปิดนี่หว่า อ้ายพวกนี้มีแต่เปิด โป๊ชะมัดเลย พูดอะไรอวดอ้างๆ ลึกๆเขารู้เหมือนกันว่าดี เสียสละดี ฉันก็อยากโชว์ความเสียสละ แต่ฉัน ที่จริงไม่อยาก ฉันก็บริสุทธิ์ ฉันป็นธรรมดาเชียว โชว์ความเสียสละเป็นไรไป ถ้ามีกิเลสหน่อยก็ดีอีก อวดความเสียสละยิ่งดี ถ้ามีกิเลสหน่อย ไม่มีกิเลสก็โชว์ ไม่ปิดๆๆ อ้ายโน่นมันยิ่งปิด เพราะมันขี้โกงขี้ฉ้อฉล มันยิ่งปิดๆๆๆ เขาก็เลยตีคารม บอกว่า อ้ายคนอยากอวดของดีน่ะมันคนชั่ว อ้ายอวดอุตริมนุสธรรมมันคนชั่ว อยากอวดของดี นั่นคนชั่ว เขาต้องปิดซิวะ แท้จริงปิดความไม่ดีต่างหาก ความดีควรปิดเหรอ หือ! ความดี ควรปิดหรือ จริง ถ้าเรามีกิเลสอยากอวดดี อยากอวดความดี มันก็ใช่ แต่อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาไม่ได้อวด ความดีด้วยอยากอวด อยากอวดความดีเพื่อลาภ ยศสรรเสริญโลกียสุข อวดแล้วก็มันดี อ่านใจตัวเองสิว่ามันหรือเปล่า เราไม่ได้มันเลยนะ ไม่ได้อร่อยเลยนะ แต่เราอวด เราโชว์ เราแสดง เราเปิดเผย ก็เพราะว่า อ้ายความเปิดเผยสิ่งดีนี่ มันควรจะเป็นหลักฐานว่า มีนะความดีที่ยากอย่างนี้ ทำไม่ได้ง่ายๆนะ

อาตมาจำนนจริงๆว่า ถูกจอมโจรเขากลบเกลื่อนว่า อวดอุตริมนุสธรรมไม่ได้ แม้ทุกวันนี้ ก็ยังเถียงกัน ไม่หยุด อวดได้ โชว์ได้ เปิดเผยได้ เปิดเผยได้แต่อย่ามีกิเลส ถูกกาลเทศะ เป็นหลักฐาน เป็นเอหิปัสสิโก ยืนยันความจริงอันนั้น พิสูจน์ความจริงอันนั้น ท้าทาย มันเหมือนยั่วยวนให้มาดู มีด้วยเหรอ คนทำได้ดีขนาดนี้ มันมีด้วยเหรอ มันเหมือนยั่วยวน เรียกร้องให้มาดู ชี้ชวนให้มาดู เอหิปัสสิโก อาตมายืนยันว่า อาตมาอวดอย่างเอหิปัสสิโก เขาฟังไม่ออกหรอก ทั้งๆที่เขา เป็นยอดบัณฑิตกัน อาจจะฟังออก แล้วทำเป็นไม่รู้ เพราะมันยอดเฉโก ยอดฉ้อฉล ทั้งๆที่มันรู้ หลายอย่างทำเป็นไม่รู้ แกพูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง แต่เขารู้นะ ความฉลาดเขารู้ได้ ท่านรู้นะ ไม่รู้เหรอ เหมือนอย่างๆเราโยนเรื่อง นานาสังวาสให้เขา ไม่รู้นี่ มีเหรอ นานาสังวาสมีเหรอ ไม่รู้ ไม่รู้ ถ้าเดินเรื่อง ตามนานาสังวาสเมื่อไหร่ เลิกไปตั้งนานแล้วเรื่องนี้ เพราะพระพุทธเจ้าออกวินัยไว้ชัดเจนแล้ว อย่างนี้เป็นต้น หลายอย่างเขารู้ แต่เขาก็ทำกลบเกลื่อน ว่าไม่รู้ และหลายอย่าง เขาไม่รู้จริงๆด้วย เพราะยังไม่ถึง ภูมิยังไม่ถึง นี่เรื่องของทรัพย์ ก็เจาะลึกลงไปๆ เจาะหลายๆอย่าง หลายๆชั้นลงไป ให้เห็นชัด ให้พวกคุณฟัง

เกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องเข้าใจทรัพย์ แล้วคุณจะเอาทรัพย์วัตถุ คุณจะเอาทรัพยขี้โกง คุณจะเอา ทรัพย์อันธพาล หรือแม้แต่กัลยาณธรรม กัลยาณชน ทรัพยกัลยาณธรรม คุณก็คือคุณไม่ได้ ดีไม่ดี ก็กินบุญเก่าอย่างที่ว่า หรือถ้าคุณปรับได้ พยายามที่จะเลื่อน ให้มันเป็น อริยทรัพย์ ก็ต้องเสียสละ จริงๆ ต้องเสียสละจริงๆ คือลดความโลภ ลดความเห็นแก่ตัว ลดโลกียสุข ลดสิ่งที่คุณไปหลง โลกหลอกเอาไว้ทั้งนั้นแหละ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขใดๆก็ตาม ลด เป็นผู้กินน้อยใช้น้อย เป็นผู้ที่ไม่เปลือง แต่ผู้มีประสิทธิภาพสูง ไม่ทรมานร่างกาย ไม่ทรมานจิตใจ ไม่ทรมานตน งานเจริญจริงๆ ร่างกายก็ดี แข็งแรงขึ้น จิตใจก็ยิ่งปลอดโปร่งเบาสบาย ยิ่งจิตใจฉลาด มีอำนาจ มีพลัง เจโตมีพลัง จริงๆด้วย แล้วเราก็สร้างขึ้นไปตามฐานะลำดับ มีฐานะ มีลำดับเจริญขึ้น เป็นอริยะโสดา สกิทา อนาคาไล่ขึ้นไปจริงๆ ผู้ที่รู้จริง จึงได้สะสมทรัพย์ที่แท้จริง นี่ก็ ขยายทรัพย์ ต่างๆให้ฟัง พรุ่งนี้จะได้เริ่มต้นว่า ศรัทธามันจะประสานยังไง ศีลจะมาประสานยังไง แล้วถึงจะขึ้น หิริโอตตัปปะ ศรัทธากับศีลเป็นตัวหลัก แล้วถึงจะเกิดการเจริญ หิริเกิดจริง โอตตัปปะเกิดจริง เสริมสุตะเสริมความรู้เข้ามาจริงๆๆ จึงจะทำให้เกิดจาคะได้ เกิดจาคะได้ ปัญญายอดยิ่ง จึงจะรู้แจ้ง แทงทะลุตลอดแล้ว โอ้!เราทำถูกทาง เราทำมีผล มีทรัพย์มีมรรคมีผล มีทรัพย์ที่แท้จริง นี่ก็อธิบาย สภาพปฏิสัมพันธ์เอาไว้นิดหน่อยนา interaction อธิบายอย่าง ปฏิสัมพันธ์สอดซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อน ไว้หน่อยหนึ่งนะ

เอาละ วันนี้คิดว่า อธิบายไว้เท่านี้ก่อน


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล
พิมพ์โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์
ตรวจทาน ๒ โดย สิกขมาตปราณี
แก้ไข ๒๑ มี.ค.๒๕๓๔
FILE:1337D.TAP