ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๓
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔
ในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถานศีรษะอโศก อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

ก็ขอทบทวนคำว่าทรัพย์กันอีกก่อน ทรัพย์หรือสมบัติ หรือสิ่งที่เราจะได้ สิ่งที่จะเป็นของตัว ของตน ที่อาตมาพูดไปนี่เป็นการบอกเล่า ทำให้เราเกิดปัญญา หรือทำให้เรารู้เราเห็น เราเข้าใจ เป็นการฟัง ทีนี้ เมื่อคุณฟังไปแล้ว ตัวคุณผู้ฟังเองนี่แหละ คุณมีอะไรอยู่ในตัวเอง เป็นทรัพย์อยู่ เป็นสมบัติอยู่ อย่างน้อย ตัวปัญญา ทรัพย์นี่มันมีศรัทธา มีศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา ศรัทธากับปัญญา จะต้องควบคู่กันไปเสมอ คือ ความรู้ความเข้าใจ โจรเข้าใจว่าเอาสมบัติของคนอื่น เอาสมบัติวัตถุนะ เอาของคนอื่นมาได้นี่ มันก็เป็นความสามารถเท่านั้นแหละ มันไม่มีปัญหา อะไรหรอก บาปไม่มี บุญไม่มี ปัญญาหรือความเข้าใจ หรือความเชื่อความเห็น ความเชื่อของเขา เขาไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญอะไรหรอก ไปเอาของคนอื่นมานี่ มันก็ไม่เป็นบาปอะไร เขาไม่ให้ก็ฆ่าทิ้ง ฆ่าคนก็ไม่ใช่บาปอะไร ถึงบาปก็บาปนิดเดียว อาจจะเข้าใจว่า บาปก็คือเขาก็ตายไป เขาก็ไม่ได้ เป็นคนเหมือนเราเท่านั้นแหละ จะบาปก็ทำให้เขาตาย ตายแล้วก็แล้วไปซิ ไม่มีอะไรนี่ ไม่เชื่อว่า กรรมเป็นของของตน ไม่เชื่อว่ากรรมนั้นมีวิบาก ไม่เชื่อว่ากรรมนั้นมีวิบาก

บอกไปแล้วนะว่าศรัทธา ศรัทธาในกรรม ศรัทธาในวิบาก ศรัทธาในกัมมัสสกตา ศรัทธาว่ากรรม หรือว่าการกระทำ หรือพฤติกรรม ตั้งแต่ พฤติกรรมไป กายวาจาใจนี่ กระทำลงไปใดๆ ไม่ว่าใจมันจะมีกิริยา วาจาจะมีกิริยา มีพฤติ ใจมีพฤติ เข้าใจคำว่าพฤติไหม มีอาการมีกิริยา มีบทบาทมีลีลาขึ้นมา ตั้งแต่นิดหนึ่ง จนกระทั่งถึงเป็นสภาพขึ้นมามากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ จนหยาบ จนชัด จนเจน เป็นรูปเป็นร่าง เป็นเรื่องเป็นราว ออกมาชัดเจนโน่นแหละ มีพฤติ มีกิริยา เกิดกิริยาทางใจ อีกนิดหนึ่งก็ตาม ก็เป็นกิริยา เป็นตัวที่เริ่มก่อ เริ่มเกิด เริ่มมีบทบาทอะไรขึ้นมา ก็เรียกว่ากรรม กรรมนั่นแหละเป็นตัวที่เราจะต้องเชื่อว่าเป็นตัวสำคัญ และเมื่อก่อกรรมลงไป ก็สั่งสมเป็นผล เรียกว่าวิบาก ผลจะอย่างไรก็แล้วแต่ จะบวกหรือลบ จะดีหรือชั่ว ดีมากดีน้อย ดีระดับกลาง หรือดีระดับสูงยอดสุด บริสุทธิ์สะอาดวิเศษที่สุดยังไงก็ตาม เราเป็นจริง เรามีจริง เราเกิดจริงที่ตัวเรา นั่นก็เป็นกัมมัสสกตา เป็นของของเรา สะสมสั่งสมเป็นวิบาก สั่งสมไปนานับชาติ ล้างกันไม่ได้ออกง่ายๆ

ที่จริงไม่ล้าง ศาสนาพุทธนี่ไม่ล้างกรรม ไม่ล้างกรรม จนกว่าเราจะปรินิพพาน ตราบใดที่ยัง ไม่ปรินิพพาน คือยังไม่สูญ ไม่เวียน ไม่หมดสังสารวัฏ ยังเวียนวน ยังหยั่งลงสู่ครรภ์ ยังจะมาเกิด มีรูปนามขันธ์ ๕ กันอีก ตราบใดๆที่ยังไม่สูญสลายไป เลิก จบหมดเลยเป็นปรินิพพาน ปรินิพพานคือ สูญเลย ไม่มีอะไรต่อ ไม่มีอะไรเนื่อง ไม่มีอะไรเกิดอีก อันเนื่องเกี่ยวกับอัตตา หรือตัวใครของใคร ก็แล้วแต่ อัตตาก็คือตัวเรา อัตตนิยา ก็คือของกู ตัวเราของเรา เราจะเริ่มมีของเรา ตั้งแต่เริ่มมี กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นตัวเกิดให้เราเป็น เรามี เกิดมาตั้งเมื่อไหร่ พระพุทธเจ้าท่านเคยถูกถามว่า แล้วมีอะไรเป็นที่ต้น มีอะไรเป็นที่ปลาย อะไรเกิดเป็นที่ต้น อะไรเกิดก่อนหมดทุกอย่าง โลกนี้เกิดมาจากไหน อะไรอย่างนี้เป็นต้น

พระพุทธเจ้าท่านตอบว่า เราไม่รู้จักที่ต้น เรารู้แต่ที่สุด แล้วก็มีคนไปหาที่สุดกัน พยายามใช้เวลา ที่จะไปหาที่สุดโลก หาให้ถึงที่สุด ท่านก็บอกว่า มันไม่ได้ด้วยการหาหรอก ไม่ได้ด้วยการหาหรอกที่สุด ได้ด้วยการประพฤติ ประพฤติให้ถึงที่สุด แล้วจะพบที่สุดโลก ไอ้ที่จะเป็นลูกโลกนี่ เขาไม่พูดกันเท่าไหร่หรอก เขาก็พูดถึงโลกที่มันลึกๆลับๆนะ เป็นโลกทางสวรรค์ ทางที่ไม่มีวัตถุ นี่ ตั้งแต่สมัยโบราณ พวกนักศึกษา พวกแสวงหา เขาจะหาแบบนั้น หาโลกแบบนั้น เขาไม่ไปหา โลกแบบสมัยใหม่ สมัยใหม่นี่ หาโลกจริงๆ แล้วยิ่งหาโลกพระอังคาร โลกพระศุกร์ นี่ไปใหญ่เลยนี่ ตอนนี้วิ่งหากันใหญ่เลยนี่ พยายามหาโลกแบบนั้น นี่เป็นทางรูปธรรม ออกทางรูปธรรม แต่ในสมัยโบราณ เขาไปหาทางนามธรรม หาโลก โลกเทวดา โลกสวรรค์ โลกนรก โลกอะไร ไปทางภพ ทางชาติ เขาก็ไปหาที่สุดของโลก ที่มันจะหมดภพ หมดชาตินั่นเอง ท่านก็บอกว่า อยู่ทึ่กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ของเรานี้แหละ ทั้งพร้อมสัญญากับใจนี่แหละ พยายามศึกษา ประพฤติเข้าไป แม้ที่สุด ดิน น้ำ ไฟ ลม จะไม่หยั่งลง ไม่ตั้งลง ก็คือไม่เวียนเกิดมามีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ไม่มีธาตุทั้ง ๖ นี้ประสมประสานกันเข้ามา เป็นชิ้นเป็นอัน คือเป็นตัว ขันธ์ ๕ ร่างกายที่ว่ามันได้ขันธ์ ๕ หรือได้อะไรขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอัน ดีที่สุด ก็คือร่างของมนุษย์ นั่นนะ จะไม่ตั้งลง จะไม่หยั่งลง จะไม่เกิด จะไม่เวียนวน จะไม่มีสังสารวัฏ จะไม่หยั่งลงสู่ครรภ์ สูญสลาย หมดสิ้นไป อยู่ที่การมาปฏิบัติเพื่อที่จะล้าง ละกิเลสเป็นสุดท้าย ถ้ารู้ที่สุด ถ้ารู้การหมดโลก ถ้ารู้ที่สุดแห่งโลก แห่งการวนเวียน โลกคือความวน โลกคือความหมุนเวียน โลกคือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เพราะฉะนั้น เราจะดับ ไม่เกิดอีก หมดสิ้นสูญ ไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรอีกเลยได้ ก็ด้วยการประพฤติ ด้วยการปฏิบัติ ละล้าง สั่งสมทรัพย์ สั่งสมทรัพย์ ที่พูดนี่เป็นความหมาย ความรู้ เป็นการพูด จากที่อาตมาเอามาพูด เอาของตนมาพูดให้ฟัง เป็นปัญญาที่เป็นปัญญินทรีย์ ปัญญาผลของอาตมา หรือ เป็นญาณทัสสนะวิเสส อาตมาถึงบอกว่า อาตมาเทศน์ด้วยญาณ เอาญาณของตนเอง ไม่ได้ไปท่อง ไม่ได้ไปจำ แต่มันก็มีความจำ จำได้ เคยท่อง แต่ไม่ใช่หลัก หลักจริงๆ คือเนื้อแท้ที่เรามี เราเป็น เราได้แล้ว เอามาอ่าน อ่านออกเป็นภาษาแปลออกมา เป็นภาษาคน โดยเฉพาะอาตมาเป็นคนไทย ก็พูดภาษาไทย ได้ภาษาที่คล่อง อีกภาษาก็คือ ภาษาลาว หรือภาษาอีสาน นอกนั้นไม่คล่อง พูดไม่ได้ ภาษาอะไรก็พูดไม่ได้ พูดได้แต่คำสองคำ สามคำ ห้าคำ แปดคำเท่านั้น ก็มาอธิบายเป็นภาษาที่สื่อให้พวกเราฟัง ให้เรารู้ตาม คุณก็รู้ หรือ คุณก็เห็น คุณก็เข้าใจ เป็นทิฐิ หรือจะเป็นความรู้ เป็นปัญญา เป็นสุตะ เป็นความรู้ ที่รู้เพิ่มขึ้นๆๆๆ แล้วคุณก็ตรวจของตัวเอง เหมือนอย่างอาตมามีของอาตมา เอามาพูด คุณมีอย่างอาตมามั้ยล่ะ ตั้งแต่ เริ่มต้น ปัญญาหรือความรู้ของคุณนี่ คุณมีเท่าไหร่ ถ้ามันมีตรงกันกับอาตมา หรือว่ามันมี ตัวตัดสิน มันมีตัวพิจารณา แล้วก็ตัดสิน พิจารณาแล้วก็ตัดสิน พิจารณาแล้วก็ตัดสิน คุณมีตัวพิจารณาแล้วก็ตัดสินของคุณอย่างใด

ถ้าว่าสัจจะ ก็ต้องเป็นอันเดียวกัน ความลึกซึ้ง ความฉลาดสูงสุด ที่ว่าปัญญา หรือญาณที่ฉลาด เฉลียวฉลาดสูงสุด นี่ มันมีทิศทางที่ตรงกัน ครรลองเดียวกัน เห็นว่า ถ้าเกิดเป็นคนแล้ว เป็นอย่าง พระพุทธเจ้า มีตถาคตโพธิสัทธา เชื่อว่าพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างของคนที่เลิศยอดที่สุด ไม่ใช่สิ่งประหลาด ไม่ใช่สิ่งพิเศษ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระเจ้า ถ้าพระพรหมก็ต้องเอามาจากพระบาท เอาจากเท้า เอาจากหัว เอาจากแขน เอาจากมือ เอาจากส่วนนั้นส่วนนี้ ให้มาเกิดเป็นคนนั้นคนนี้นี่ พระพรหม เขาจะอธิบายกันอย่างนั้นว่า นี่คนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระพรหมมาเกิด เขาถือว่ามาเกิด ในโลกมนุษย์ แม้จะมีร่างมนุษย์แล้ว ก็ไม่ใช่มนุษย์นะ พระเจ้าให้มาเกิดนะ เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดา มีของประหลาด มีของพิเศษ เขาให้เชื่ออย่างนี้

อย่างใครไปบอกพระเยซูนี่เป็นคน เขาไม่เชื่อหรอก แล้วเขาก็ไม่นับว่า พระเยซูเป็นคน เขาถือว่า เป็นสิ่งพิเศษ เขาถือว่า ไม่ได้เกิดมา อย่างตนด้วยซ้ำไป ปุ๊บก็เข้าท้องพระแม่มารี ไม่มีพ่อด้วย เขาเชื่อว่าไม่มีพ่อด้วยซ้ำ ปุ๊บ เกิดมาเอง เหมือนกับเกิดในกระบอก แต่ว่าเขาไม่เอาไปไว้ในกระบอก เขาเอาไปไว้ที่ท้อง พระมารีออกมา อย่างนี้ เป็นต้น เขาไม่เชื่อว่าเป็นคน

แต่ของพระพุทธเจ้านั้น สามัญ คนเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกัน แต่ได้สั่งสมบุญ สั่งสมกัมมัสสกตา สั่งสมสิ่งที่ตัวเองประพฤติ ปฏิบัติ ตัวเองกระทำ กาย วาจา ใจ สั่งสมมาเป็น พหุลีกัมมัง พหุลีก็คือ การกระทำมาก กัมมัง ก็คือกรรมนี่แหละ การกระทำนี่แหละ ได้ทำมา ทำมาๆ ทำอย่าใดบอกแล้ว แม้แต่คิด หรือพูด หรือการกระทำทางกายทั้งหมด การกระทำทุกอย่าง ที่ตัวกระทำเป็นพฤติ เป็นพฤติ เป็นกิริยาที่ที่ตัวได้ทำ แล้วก็สั่งสมมา สั่งสมมาจนกระทั่ง มีปัญญา ไตร่ตรอง เลือกเฟ้นเอา อันนี้ไม่ดี ไม่เอา ไม่ทำ กิริยาอย่างนี้ ไม่ดี ไม่เอา ไม่ทำ กิริยาอย่างนี้ดี เอา ทำ สั่งสมให้ชำนาญ ให้ติด ให้เป็นตัวเป็นตน เป็นกัมมัสสกตา ได้เป็นของตนมา จนกระทั่งเลือกเฟ้น เลือกเฟ้นแล้ว ก็ทำให้มันเกิด เป็นของตัวของตน ฟังคำว่าของตัวของตนก่อนนะ อย่าเพิ่งไปรับว่า อะไรๆ ก็ไม่ใช่ของตัวของตน อะไรๆก็ไม่ใช่ของตัวของตน ไอ้นั่นเป็นภาษาสุดท้าย จะว่าภาษาแรก ก็ได้ อะไรมันก็ไม่ใช่ของตัวของตน ฟังแล้วก็เราจะได้เข้าใจว่า เออ อย่างนั้นอย่าไปยึด ไปติด อย่าไปเอาอะไร มาเป็นของตัวของตนเลย มันปล่อย มันปล่อยอย่างประเภท ใหม่ๆ หรือ ประเภทแรกๆ หรือประเภทง่ายๆ ตื้นๆ ก็ดีเหมือนกัน คือมันกลับไปกลับมา ความลึก ความตื้น ความสุดยอดกับความเบื้องต้นนี่ มันชนกัน มันวน จนกระทั่งมันชนกัน มันซ้ำซ้อนกัน เยอะแยะ

เพราะฉะนั้น เราไม่ยึดเป็นของตัวของตน มันก็ไม่ทุกข์อะไร แต่ที่จริงแล้ว เราจะต้องรู้สมมุติสัจจะ ว่าเรามีความรู้ร่วมกันทั้งหมดทุกคนว่า มันเป็นตัวเป็นตน เป็นของตัวของตน มันจะไม่เป็น ของตัวของตน เราก็ต้องมีเป้าหมายว่า จะเอาอะไรไม่เป็นของตัวของตน เอากิเลสก่อน ทุกวันนี้ กิเลสมันเป็นของตัวของตน ยังกับคนเราไม่รู้กี่กระบุง แล้วยังจะมาทำทีเป็นเข้าใจว่า ไม่มีของตัว ของตนหรอก กุศลกับอกุศลยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองมีอกุศลตั้งเท่าไหร่ เป็นของตัวของตน ประเดี๋ยว ก็แพลมออกมาแล้ว ประเดี๋ยวก็แค่ดแร่ดออกมาแล้ว แค่ดแรดนี่ก็คือภาษาอีสาน แปลว่า แพลมนี่แหละ ประเดี๋ยวมันโผล่ออกมาแล้ว มันโผล่มาโดยที่ ไม่ระมัดระวัง มันแพลมอออกมา โดยไม่ได้เจตนา

เมื่อเราเข้าใจว่ากรรมกิริยา นี่เป็นตัวหลักเลย เป็นตัวหลัก ถ้าใครทำอย่างใดๆ มันก็สะสมๆ ยิ่งด้วยปัญญารู้เลยว่า เจตนาเราจะทำเอาอย่างนี้ จะเป็น จนมี จนเป็นเอง เรียกว่า ตถตา เรียกว่า เป็นเอง จนเป็นเอง เป็น อัตโนมัติก็ได้ อัตโนมัติ ก็คือเป็นเอง เป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นเองนั่นแหละ มันเป็นอย่างที่มันเป็น มันได้แล้ว มันเป็นแล้ว โดยไม่ต้องไปควบคุมด้วยจิต มันเป็นอย่างนั้น ลงตัวเลย ไม่ต้องไปใช้พลังงาน ไม่ต้องไปควบคุม ไม่ต้องไปใช้สติ สัมปชัญญะควบคุมด้วย เป็นของมันเอง ตถตา หรืออัตโนมัติ เป็นของมันเองเลย ให้ได้ถึงอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างมนุษย์ เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ชี้อะไร บอกอะไรนี่ เป็นเรื่องวิเศษ ที่มนุษย์จะพึงเดินตามไปให้สุดยอด อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น เป็นตัวอย่างของคนธรรมดา ไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่เวลามันยาวนานเหลือเกิน คนเรานี่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้ยาวนาน จนกระทั่ง ได้พบทุกข์ อาจจะเป็นสุขด้วย สุขก็มีน้ำตานะ คนนี่มีน้ำตาวนเวียน เกิดมาแต่ละคนๆ น้ำตา ถ้าได้เก็บเอาไว้ สั่งสมเอาไว้ ไม่ใช่คนเท่านั้นนะ เกิดเป็นสัตว์ก็มีน้ำตา สั่งสมน้ำตาเอาไว้ ของใครก็ของใครของคนนั้น เก็บเอาก็แล้วกัน มีน้ำตา ๔ มหาสมุทร ยังน้อยไป มากกว่าน่ะซี จนน้อยไป ก็ว่าไม่ถูกเหรอ เล่นแต่เอาพยัญชนะ มายันผมเรื่อยเลย ๔ มหาสมุทรยังน้อยกว่า อย่างที่อาตมาพูด ถูก คือมากกว่า ๔ มหาสมุทร ที่อาตมาพูด แล้วท่านก็แย้งอาตมาว่า ยังน้อยไป ๔ มหาสมุทร อาตมาก็ยอมแพ้ ที่ไม่ตรงกับพยัญชนะ แต่ว่าอาตมาว่าอาตมาไม่ผิด แบบเดียวกับที่เขา กำลังเถียงอาตมาอยู่นี่ กำลังจะจับอาตมาเข้าคุก อย่างนี้แหละ อย่างนี้ คืออาตมาก็พูด แต่เขาก็ว่า อาตมาไม่ถูก มันก็ไม่ถูกของเขาเหมือนกันนะ มันไม่ถูกภาษาที่เขายึด แต่ว่าอาตมาว่า อาตมาไม่ผิด โดยสัจจะ โดยสาระ โดยเนื้อแท้ไม่ผิด แต่เขาไม่ยอมรู้ หรือไม่ยอมเข้าใจ อาจจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ยอม จะจับให้มัน ตรงภาษาเท่านั้นเอง อาตมาก็ว่าได้พูดอย่างคุณพูดก็ได้ มหาสมุทร ๔ มหาสมุทร นี่มันไม่ใช่ธรรมดานะ น้ำตาของแต่ละบุคคลมากกว่า ๔ มหาสมุทร มาแล้วได้ทุกข์ ได้ร้อน มาวนเวียนเกิด หรือว่าแต่ละคนนี่เกิดก็เอากระดูกนะ แต่ละคนๆมากอง ตอนนี้เกิดเป็นหมา ก็ได้กองน้อยหน่อย ตอนนี้เกิดเป็นช้าง ก็กองโตหน่อย นี่ มารวมไว้ของแต่ละคน ของใครของมัน เอาแต่ละชาติๆ เอากระดูกมารวมกัน ท่านบอกว่า กองกระดูกของแต่ละคน เกิดมาแล้วนี้ เท่ากับภูเขาเวปุลฬบรรพต กระดูกของแต่ละคนเกิดมา พระพุทธเจ้าท่านเกิดมามาก เพราะว่านอกจากท่านจะตรัสรู้แล้ว ท่านยังวนเวียนเกิดเป็น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ อีกตั้งไม่รู้ เท่าไหร่ๆๆ

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าได้เกิดมากกว่าพวกคุณ พระโพธิสัตว์ก็เกิดมาก เพราะว่าจะต้องศึกษา โลกวิทู โลกนี้อะไรยังไม่รู้ ยังไม่เป็น เป็นมันให้หมด รู้มันให้จริง โลกวิทู รู้โลกให้แจ้ง ให้แจ่ม ไม่ใช่ว่าไปรู้แต่ศึกษาเท่านั้น ต้องไปเป็นมี ไปสัมผัส ไปรู้ เพราะฉะนั้น ท่านเกิดมากกว่า พระพุทธเจ้า เกิดมากกว่าใครๆๆ ยิ่งเป็นสิ่งที่หมายถึงสัจจะ ซึ่งมันเกินที่เราจะคิด อย่างพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า คนเราอายุหมื่นปี อายุแปดหมื่น โธ่เอ๊ย ! แปดสิบก็จะแย่อยู่แล้ว ยังจะไปอายุ แปดหมื่นปีเสียอีก เอากระดูกตรงไหนไปต่อไว้ตรงไหน แปดหมื่นปีนี่หนอ นึกยังไง ก็นึกหัวแตก แทบไม่ออกใช่ไหม มันจะอยู่ยังไง ก็แปดสิบปีนี่ ก็ยังโค้งแล้ว โค้งอีก

โยมนึ้งนี่กำลังงอลงๆๆ ใช่ไหม มันโค้งลง ยืนขึ้นมา มันก็โค้งของมันเอง นะ ก็ยังไม่แปดสิบดีใช่มั้ย โยมนึ้งนี่ แปดสิบหรือยัง ก็ขึ้นแปดสิบเอ็ดแต่นั้นน่ะ ก็งอลงๆๆ ถ้าแปดร้อยนี่ มันจะเหลือหรือ แล้วยังจะแปดหมื่นด้วยนะแน่ะตอนนี้ ๕ ขา ๕ ขาแล้ว ตอนนี้ ตอนนี้ ๕ ขาแล้ว อายุแปดสิบมี ๕ ขาแล้วโยมนึ้ง คือเรานึกไม่ออก แต่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ สังสารวัฏนี้ กว้างขวางนัก สังสารวัฏนี้ยิ่งใหญ่นัก วนเวียนมากหลากหลาย อย่างนี้เป็นต้น

ยกตัวอย่างให้ฟังนะ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงว่า ท่านตรงไม่เคยเกิดไม่มีนั่นน่ะ มันเป็นเรื่องที่เรานึก ไม่ออกหรอก พวกเราก็ยังไม่เกิดมากถึงขนาดนั้น มันไม่มากได้อย่างไร แต่แค่วนเวียนๆ เกิด กว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ แค่อะไรน่ะ เมื่อวานนี้ท่านสรณีโย เกิดมาพบพระพุทธเจ้า นี่แต่แค่อธิษฐาน แล้วก็จะต้อง เป็นโพธิสัตว์ แค่อธิษฐานนี่ จะต้องเกิดมาพบพระพุทธเจ้าถึง แหม ! เขาก็ช่างไปมี ตัวเลข สี่แสนสี่หมื่นแปดพันสามพระองค์ จะต้องพบพระพุทธเจ้า สี่แสนสี่หมื่นแปดพันสาม พระองค์ จะต้องพบกับพระพุทธเจ้าถึงสี่แสนกว่าพระองค์ แค่อธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ จะต้องคิดดูซิ เกิดชาติหนึ่ง มันก็จะมาพบกระพุทธเจ้าองค์หนึ่งหรือ เกิดกี่ทีถึงจะได้พบพระพุทธเจ้า ทีหนึ่งองค์หนึ่ง แล้วกว่าจะครบสี่แสนองค์ โอ้โฮ! เกิดกี่ครั้ง เกิดกี่ล้านๆๆๆชาติ ต้องพบ แค่อธิษฐาน เป็นพระโพธิสัตว์ ฟังแล้วมันไม่น่าเชื่อ เหมือนนิยายหลอกเด็กนะ มันไกล มันเกินกว่า คนมันนึกว่า เอ๊อ! ขี้โม้ น้ำตาอะไรจะไปสั่งสม เลยสี่มหาสมุทร เฮ้ย ! ไม่น่าเชื่อละ ภูเขาเวปุลฬบรรพตนี่ ไม่ได้โตเท่าภูเขาตะนาวศรี มันโตกว่าภูเขาตะนาวศรีนะ ภูเขาเวปุลฬบรรพต นี่ไม่ใช่ภูเขาดงพญาเย็น ไม่ใช่แค่นี้ ไม่ใช่แค่ภูเขาหิมาลัยนะ ภูเขาเวปุลฬบรรพต นี่ที่ว่านี่ ซึ่งไม่รู้ ตอนนี้มันอยู่ในโลกไหน ชาติไหนก็ไม่รู้หรอก ภูเขาเวลปุลฬบรรพต คือมันใหญ่ ที่ท่านอ้างอย่างสมมติว่า พูดว่า ภูเขาอะไร ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ เราก็พูดในโลกขณะนี้ใช่ไหม เราก็บอกว่า ภูเขาหิมาลัย ตัวอย่างบอกว่า ภูเขาที่ใหญ่หิมาลัย

สมัยอย่างพระพุทธเจ้าจะตรัส ภูเขาที่ท่านบอกว่ามันใหญ่ที่สุด นี่คือ ภูเขาอะไร เวปุลฬบรรพต ใหญ่ที่สุด ใหญ่ขนาดไหน ก็ตัวอย่างขนาดใหญ่ที่สุดล่ะ ยอดเขาที่สูงที่สุดว่าเอฟเวอร์เรสต์อย่างนี้ เป็นต้น ท่านก็ยกเอาตัวอย่างเอาอันนั้น เพราะฉะนั้น ภูเขานี่ไม่ใช่ภูเขาที่คุณคิดว่าภูเขา เออ ! ก็คงจะเท่าตะนาวศรีนี่ นะ เท่าภูเขาอิสรเสรีภาพนี่หนอ ใครรู้จักไหม เท่าภูเขาอิสรเสรีภาพ รู้จักไหม อยู่ไหน อยู่ปฐมอโศก อ้าว! ภูเขาอิสรเสรีภาพก็อยู่ปฐมอโศก นั่น นี่ไปนามธรรมเลย อิสรเสรีภาพ อยู่ทั่วไปนี่นามธรรม นี่อ่านเป็นนามธรรมเลยโยมนี่ ภูเขาอิสรเสรีภาพอยู่ปฐมอโศก สร้างกันแทบตาย เอาดินมาก่อ เอาหินมาใส่ เป็นภูเขาอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นภูเขานะ มีน้ำ มีท่า มีต้นหมากรากไม้ มีน้ำตกด้วย ภูเขาอิสรเสรีภาพ นี่ ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ทำเป็นเล่นไป มหาสมุทรก็เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่า มหาสมุทรเล็กๆ นี่อธิบายประกอบให้ฟัง ให้เห็นว่า สังสารวัฏ หรือ มนุษย์เกิดมา แล้วๆเล่าๆ ทุกข์ร้อนมา มีบาป มีบุญ มีอะไรสั่งสมมา เป็นกรรมที่สั่งสมมา ไม่ใช่น้อยๆเลย และ ก็ไม่ล้างกรรมด้วย กรรมของศาสนาพุทธ ไม่ได้ล้างกรรม ที่ไม่ได้เลิกบาป เลิกบุญได้ ไม่ กรรมก็มีอยู่ ๒ เท่านั้นแหละ กุศลกรรม กับอกุศลกรรม กับกรรมที่ยังไม่ชัด ก็เป็นอัพยกฤต อัพยกฤต ที่ไม่ชัดก็คือ พวกอวิชชา จะเป็นอัพยกฤต คือไม่รู้ว่ามันเป็นบาป หรือเป็นบุญ นั่นเรียก ว่าอัพยกฤตอย่างอวิชชา แต่อัพยกฤตอย่างวิชชา กรรมที่เป็นอัพยกฤต คือไม่บาป ไม่บุญ ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญ ก็คือ อัพยกฤตที่เป็นวิชชา เป็นของพระอริยเจ้า หรือพระอรหันต์ขึ้นไปแล้ว เป็นกรรมที่ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญแล้ว ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญ หมายความว่า ไม่ใช่ว่าไม่มีบุญ กรรมทุกอย่างที่ยังมีกิริยา ยังมีพฤติ ยังมีขันธ์ ๕ มีกิริยาอยู่ กรรมทุกกรรมเป็นบุญสำหรับพระอรหันต์ขึ้นไป เป็นบุญทั้งนั้น แต่ที่ว่าไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญ เพราะท่านอโหสิหมด แล้วท่านก็ไม่ติดยึดว่า แม้จะเป็นบุญ หรือเป็นกุศลกรรม ท่านก็ไม่ยึดว่า เป็นของตัวของตน ท่านจึงไม่มี ไม่มีอันนี้ โดยใจไม่มี ไม่เป็น ไม่เอา ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ของฉัน อย่างที่เป็นจริงนะ จิตที่วางเป็นจิตที่ไม่รับ ไม่ติด ไม่ยึดจริงๆ ซึ่งเป็นภูมิธรรม ของพระอริยเจ้าชั้นสูง จริงๆเลย ไม่ใช่แต่แค่รู้ ไม่ใช่แต่แค่เข้าใจ แล้วเราก็นึกว่า มันไม่เป็นของเรา แต่แท้จริงก็ของเรา คว้าอยู่นั่นแหละ อาลัยอาวรณ์ติดอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ก็ไม่รู้ตัว คือไม่เข้าใจ สภาวะ ไม่รู้ว่ามันไม่เป็นของเรา มันวาง มันปล่อยจริงๆ โดยนามธรรม ขั้นลึกซึ้ง มันเป็นยังไง มันไม่รู้

เพราะฉะนั้น แต่แค่หยาบๆ มันยังไม่วางเลย ไม่เอาละ อันนี้ไม่เอาแล้ว พอแป๊บเดียว อาตมา เคยประหลาด พวกเราบอกว่า เขาเองเขาจะไม่สูบบุหรี่แล้ว จะไม่กินไอ้นี่แล้ว ก็ตั้งใจก็จะไม่กิน ตั้งใจว่าจริงๆนะ ตั้งศีลเลยว่า เราจะไม่กินแล้ว เสร็จแล้วก็ปฏิบัติไป พอถึงกิเลสมันเข้า มันก็มืด มันไม่รู้เรื่อง ก็ไอ้ที่ตั้งใจไว้แล้วจริงๆนะ ตั้งศีลด้วยนะ อธิษฐาน หรือตบะก็ตาม เสร็จแล้วก็กิน กินที่ตั้งใจว่าจะไม่กินนี่แหละ กินไปจนกระทั่ง เฮ้ย ! เราตั้งศีลไว้นี่ เราตั้งตบะเอาไว้นี่ ลืม อาตมาก็งง ว่ามันลืมได้ยังไง ก็ตั้งศีล ก็ตั้งตบะไว้ว่าจะไม่กินน่ะ เขาบอกว่า เขากินเข้าไปแล้ว ลืมตัวว่าจะไม่กิน ลืม อาตมาก็งง มันลืมได้ยังไง ก็ตัวเองตั้งใจไว้ว่าจะไม่กิน จะไม่สูบบุหรี่ แต่ก็เผลอสูบไปแล้ว ถึงค่อยรู้ตัวว่า ต๊าย เราว่าจะไม่สูบบุหรี่ ลืม เผลอ คือเขาตั้งศีลแล้ว ตั้งตบะแล้ว ตั้งใจแล้วว่า เขาจะไม่ แต่เสร็จแล้ว เขาก็ลืม อาตมานึกไม่ออกว่า คนตั้งใจว่าจะไม่ทำสิ่งนั้นแล้ว ลืมได้อย่างไร จนไปทำ จนทำไปแล้ว เสร็จไปแล้ว แล้วค่อยมาบอก ว่าลืม อาตมาเข้าใจไม่ออก เข้าใจไม่ได้ แต่ก็เข้าใจ เข้าใจว่า โอ้ ! มันถึงขนาดนี้นะคน อาตมาเข้าใจว่า เออ ! คนเรามันถึงขนาดนี้ แต่อาตมา เข้าใจไม่ได้ตรงที่ว่า อาตมาไม่มีสภาวะ มันลืมได้ยังไง นอกจากว่ารู้ว่าจะไม่กิน แต่มันอดไม่ได้ มันมีกิเลสอยู่นี่ รู้แล้วละว่าตั้งศีล ตั้งตบะ ตั้งใจว่าจะไม่กิน จะไม่สูบ รู้ แต่ว่า มันอดไม่ได้ก็สูบ เออ ! อย่างนี้ อาตมาเป็น อาตมาจำได้ อาตมาเข้าใจ ละเมิด สู้กับกิเลสเรียกว่ากิเลสมันชนะว่าอย่างนั้น เฮอะ เราก็ละเมิด รู้ว่าเราตั้งใจ แต่ไอ้นี่ไม่รู้ตัว จะว่าคนหลับก็ไม่ใช่ ไม่หลับนะ ทำจริงๆ น่ะหลับที่ไหนล่ะ สูบบุหรี่หลับๆ ประเดี๋ยวก็ไหม้มือ ไหม้ปากเอาเท่านั้นแหละ กินก็นี่ ถ้าหลับแล้ว จะเอาเข้าปากถูกเหรอ เคี้ยวอร่อย ก็รู้ว่าอร่อยเสียด้วย แต่ตั้งนานน่ะค่อยรู้ตัว บางคนกินไป จนเสร็จไปตั้งนานแล้วบอก ต๊าย เราสัญญา เราตั้งศีล ว่าตัวเองจะไม่กิน เสร็จไปตั้งนานแล้ว ล้างปาก ล้างมือ ล้างคอ ไปตั้งชั่วโมงแล้ว ตั้งหลายชั่วโมงแล้ว แล้วบอก ต๊าย ! เราผิดศีล อาตมาง้งงง มันเป็นไปได้ถึงปานฉะนั้นมนุษย์ งงจริงๆ อย่างนี้ เป็นต้น คือคนเรา มันเป็นไปได้ ถึงขนาดนี้ อาตมาถึงว่า เออ ! มันเป็นไปได้ถึงปานนี้นะ เราไม่เป็น เรานึกไม่ออกว่า มันเป็นไปได้ยังไง เรานึกไม่ออกละ แต่เขาเป็นกันจริงๆ จึงต้องเข้าใจคนจริงๆ อาตมาก็อาจจะเคยเป็น เมื่อชาติไหนๆ ไม่รู้ละนะ แต่จนเดี๋ยวนี้ มันลืมแล้ว ไอ้ที่เคยเป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นนะ อาจจะเคยเป็น มันเมาจัดๆ มันมืดจัดๆ มันคงเป็นอย่างนั้นน่ะ คนเมาจัดๆ คนเมามากๆ ไม่รู้ตัว คล้ายๆอย่างนั้นน่ะนะ มันทำอะไรไป มันก็ไม่รู้ แต่ทำไปตามกิเลส จนไม่รู้เรื่อง แล้วปฏิเสธด้วยนะ ไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำล่ะ ทำด้วยตอนเมา ตอนมืดหน้า ตอนไม่รู้เรื่อง ฉันไม่ได้ทำ ทั้งๆที่ทำไปแล้ว ไอ้อย่างนี้ มีได้เหมือนกัน

เอ้า ! ก็มาสรุปเรื่องกรรม จำศรัทธา ๔ นี้ไว้ก่อนนะ ศรัทธา ๔ ศรัทธาในกรรม ศรัทธาในวิบาก ศรัทธาว่ากรรมเป็นของของตน เพราะฉะนั้น เราจะได้รู้ว่าทรัพย์หรือสมบัติ ถ้าเราไม่รู้ว่ากิริยา หรือพฤติกรรม หรือการกระทำอันใดนี่ ทำลงไปแล้วเป็นสมบัติ สั่งสมเป็นทรัพย์ เป็นสมบัติ ถ้าคุณไม่เชื่ออันนี้ คุณก็จะไม่กลัว ก็ทำก็ได้นี่ คุณฆ่ามดตัวน้อย ไม่เป็นกรรม ไม่เป็นวิบากหรอก คุณไม่เชื่อว่ากรรมเป็นของตน เป็นทรัพย์ที่คุณสั่งสม คุณก็ไม่กลัว คุณก็ไม่มีหิริ คุณก็ไม่มี โอตตัปปะ ช่างมันเถอะ ฆ่ามันเล่นๆ ก็ได้สัตว์ ถ้าไม่เชื่อไปจริงๆ ก็ฆ่าคน ก็เหมือนกับเอามีดดาบ ผ่านเข้าไป ในที่ว่าง อะไรก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรอก แน่ะ เอาสัจจะชั้นสูงมาพูดเลยนะ อะไรก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีหรอก สัตว์ ชีวิตเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เวลาเอาดาบผ่าน เข้าไปในร่างกายเขา คอมันขาดออกจากกัน มันก็เป็นแต่เพียงคอขาดจากกัน มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่มีบาป ไม่มีบุญอะไรหรอก มันเรื่องของกิริยาเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อเราจะไปปล้นไปจี้ จะไปฆ่าคน ฆ่าไปเถอะ บาปไม่มี บุญไม่มีหรอก นี่คำสอนของ วาชศรพ สอนผู้ที่มีจิตโจรทั้งหลายแหล่ เอาปรัชญาชั้นสูงมาสอนด้วย อะไรก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนหรอก สัตว์ บุคคล เรา เขา เป็นสมมุติทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคลเราเขา อะไรหรอก เพราะฉะนั้น ไม่มีหรอก บาปๆบุญๆน่ะ มันสมมติกัน มันก็ไปติดไปยึด คนยึดคนถือ คนหลงก็อย่างนั้นแหละ มันก็เท่านั้นแหละ ไม่มีหรอกบาปบุญ แต่เขาก็สอนกันอย่างนี้ ก็เชื่อกัน อย่างนี้ ก็ทำได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่ากรรมนี่เป็นของสั่งสม เราทำอะไรที่เป็น สภาพที่เรียกว่า มันทารุณ เป็นสมมุติก็จริงอยู่ สมมุติเราก็รู้สมมุติ แต่เราจะไม่ทำสมมุติที่เป็นอกุศล เราจะไม่ทำสมมุติ ที่เป็นทุจริต เราจะไม่ทำ เราจะไม่มีกิริยา เราจะไม่มีพฤติกรรม เราจะไม่มีความประพฤติที่เป็นทุจริต อกุศล บาป ชั่ว เลว ไม่ดี ไม่งามอะไร เราจะไม่มี เราจะสั่งสมแต่สิ่งที่ดีที่มี อาศัยกรรมที่เป็น กัมมปฏิสรโณ อาศัยกรรมที่เราได้สั่งสม ต้องสั่งสมกรรมดี อย่างไรๆ มีฤทธิ์มีแรง มีฤทธิ์ของกรรม มีอานิสงส์ของกรรมอย่างไรๆ ให้กุศลนี้มันตราบที่เรา ยังวนเวียนเกิดอยู่ ยังเป็นอัตตา ยังมีตัวอัตตา ตัวตน อัตตาที่เป็นสมมุติ แต่มันมี ภูมิธรรม ที่จะซ้อนมันลงไปว่า ถึงแม้ว่าเรามี เราก็ต้องวาง นี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ เรานั่นแหละเป็นปรัชญาชั้นสูง เป็นตัวปฏิบัติชั้นสูงยอด เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราไม่ถึงขั้นจะวางเป็นอรหันต์ อย่าเพิ่งไปแอ๊คมากนักเลย มันดัดจริตน่ะ มันดัดจริตมากไป แอ๊คมากไปโดยไม่ถูกฐานะ ไม่ถูกขั้นตอน ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย แหม ! มาถึงพรวดพราดก็มาถึงบอก อะไรก็ไม่ใช่ของเรา อะไรก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนอะไรก่อนอื่นเลย ดีชั่วชั่วดีก็อัปรีย์ทั้งนั้น ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด ไม่ติด ไม่หลงดี ไม่หลงชั่วอะไรทั้งนั้น แต่แท้จริง มันก็คือหลงชนิดหนึ่ง โดยไม่รู้ขั้นตอนเลย มันหกคะเมน ตีลังกาไปหมด

เพราะฉะนั้น คุณสั่งสมดีนี่แหละไว้ให้มากเท่าที่จะมากได้ จนมันเป็นเอง มันเป็นฤทธิ์ มันไม่รู้หรอกว่า ทำไมมันเป็นอย่างนี้น่ะ อาตมาเกิดมาเป็นตัวอาตมานี่ มีกรรมเป็นของของตน โดยเฉพาะเอาส่วนที่จะเอามายืนยันกับคุณนี่ อาตมาไม่มีความรู้ทางรัฐศาสตร์ เพราะไม่ได้เรียน รัฐศาสตร์ มันไม่จบรัฐศาสตร์บัณฑิตเลย แม้แต่ปีที่ ๑ ไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ เพราะไม่ได้ เรียนเศรษฐศาสตร์ แต่อาตมาก็มาสอนเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ อาตมาไม่มีความรู้ ทางเกษตร เกษตรศาสตร์ อาตมาไม่มีความรู้ทางสังคมศาสตร์ อาตมาไปเรียนศิลปะ อาตมาไม่ได้เรียนพวกนี้น่ะ วิทยาศาสตร์ สอบเคมี๑๐/๑๐๐ มันไม่ ๑ ก็บุญ แล้วล่ะ อาจารย์ที่สอน ดร.ทองศุข พงศ์ฑัต ดร.สตางค์ มงคลสุข โอ้โฮ ! อาจารย์ที่สอน เขาสอนไป เราก็นั่งวาดรูปไป สอนหันหน้าเข้ากระดาน อาจารย์สตางค์สอนไป พูดอยู่กับกระดานนั่นแหละ คนเรียนต้องตั้งใจฟังนะ สอนไปเขียนไป แหม จบแล้วคำตอบ เราก็ไม่ได้เอาใจใส่ ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น ต้องไปเรียนวิทยาศาสตร์ด้วยนะ แม่อยากให้เป็นหมอ เพราะแม่ไม่ค่อยจะแข็งแรง แม่อาตมาไม่ค่อยแข็งแรง อยากจะให้ไปเป็นหมอ เรียนเตรียมวิทยาศาสตร์ อยากไปเรียนเตรียม อักษรศาสตร์ แต่อาตมามาทางอักษร ART มาทางศิลปะ ไม่เป็นไร อาตมาไม่กลัวหรอก ที่จริง เรียนไม่กลัวหรอก ถ้าอยากจะเอาที่ ๑ ก็เรียนได้ที่ ๑ ทุกที ถ้าไม่เอาที่ ๑ จะเกก็ตก

เพราะฉะนั้น มัธยมก็ตก อาตมาสังเกตตัวเอง เรียนชั้นคี่เรียนดี ถ้าเรียนชั้นที่เลขคู่ละเกเร เรียนชั้น ม.๑ นี่ดี พอ ม.๒ นี่แย่ ม.๓ ดี ม.๔ แย่ ม.๕ ดี ม.๕ นี่นะสอบนี่ อาตมายังไปเที่ยวงานวัดอยู่เลย นอนที่วัด ตื่นเช้าขึ้นก็ไปสอบ ยังสอบได้ที่ ๑ นะ ม.๕ ยังได้ที่ ๑ สอบไล่ สอบ ยังจำได้ ไปเที่ยวงาน วัดวารินนี่แหละ งานวัด จนสว่างเลย ตื่นเช้าก็ไปสอบ ยังได้ที่ ๑ ม.๖ ตก มันเลยซ้ำชั้น ม.๖ นี่ อาตมาอายุ ๑๔ มีแฟนแล้ว ม.๖ ตกมันปีหนึ่งซ้ำชั้น เลยมีเพื่อนเยอะหน่อย เพราะเพื่อน ม.๖ เยอะ มันสองปี มันมีเพื่อนสองรุ่น อาตมาเพื่อนคลาสเมท (classmate) นี่ชอบสะสม ชอบนัด (meeting) กัน อะไรต่ออะไร มีเยอะแยะ เพื่อนเดี๋ยวนี้ ก็ทำงาน ทำการอยู่ใน.. อาตมาไม่อยากกล่าว เป็นใหญ่ เป็นโตอยู่ เป็นอธิบดี เป็นเจ้ากรม เป็นอะไรต่ออะไรอยู่ ก็มีเยอะแยะ เรียน ม ๘ ไม่ต้องห่วง ตกแหลกเลยทีนี้ ม.๗ ม.๘ ม.๗ ไม่มีปัญหา เพราะเลขคี่ ปีเดียวผ่าน ม.๗ แต่ ม.๘ สนุกแล้วตกแล้ว ตกอีก จนไม่ต้องได้ม.๘ เลย ดี ก็เลยไปเรียนอาชีวะไปหมดเลย

เพราะฉะนั้น อยากเรียนไม่มีปัญหา แม่ให้ไปเรียนวิทยาศาสตร์ เอา แต่ไม่เอาถ่าน เอาเรียน แต่ไม่เอาถ่าน เอาไปเข้าห้องเรียน แต่ไม่ถ่าน ก็เลยไม่ต้องไปวิทยาศาสตร์ แล้วมันก็ไปของมันเอง ตามเรื่อง แล้วมันมามีตัวเอง มีจากตัวเอง แล้วมันก็มีวิถีชีวิตอย่างนั้นนะ แต่เดี๋ยวนี้ว่าอาตมา สอนเศรษฐศาสตร์พวกเรานะ สอนเศรษฐศาสตร์พวกเรา อาตมาสอนเกษตรศาสตร์อยู่ อาตมาสอน สังคมศาสตร์ มาสอนอะไรศาสตร์ๆอยู่ สิ่งเหล่านี้ อาตมาไม่ได้เรียนหรอก แต่อาตมาว่า อาตมา เรียนมาแล้ว โดยเฉพาะธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะ นักธรรมตรี ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยไป อย่าว่าแต่ นักธรรมตรีเลย อาตมาไม่สนใจศาสนามาแต่ไหนๆ วิถีชีวิตมันเป็นทางของมัน มันตลกนะ เกิดมาชาตินี้ เคยบวชเณร แม่จับไปบวชเณร บวชที่วัดสุปัต เส้นใหญ่นะ อยู่กับเจ้าคุณ ที่เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคุณเตี้ย อาตมาลืมชื่อแล้ว เป็นเจ้าคุณ ท่านสิ้นไปแล้ว เป็นเด็กไปบวชเณรอยู่ ๗ วัน ไปเก่งชงน้ำอัชบาน ชงน้ำอัชบานให้ พระกิน ตกเย็นอาตมาเป็นหัวเรือใหญ่เลย มามะนาว บีบมาเป็นถังๆ มะนาว น้ำตาล พริก น้ำอัชบานนะ ใครอยู่วัดเคยทำน้ำอัชบาน น้ำปาณะนั่นแหละ แจก ดื่มซดกันทั้งวัด ตกเย็นก็ทำ น้ำอัชบานซดกัน เป็นเด็กไม่รู้เรื่องอะไรเลย บวช

ตอนแรกบวช เจ้าคุณบอกว่า เอาละ แม่จะมอบให้เจ้าคุณ แต่เจ้าคุณก็ไม่ให้ไปอยู่ที่กุฏิเจ้าคุณหรอก ให้ไปอยู่กับมหารูปหนึ่ง อาตมาจำไม่ได้แล้วว่ามหาชื่ออะไร ให้อยู่กุฏนั้น ให้มหาเป็นผู้ดูแล อาตมาก็อยู่ มหาก็บอกไม่ไหวหรอกเจ้าคุณ อยู่ ๗ วันนะ ไม่ได้อยู่นานหรอก ไม่กี่วัน มหาก็ไปบอก เจ้าคุณว่า ผมดูแลไม่ไหว ซนเหลือเกิน เจ้าคุณเลยบอก มานอนที่หน้าประตูห้องข้า ก็เลยต้องจับ ให้ไปนอน ที่หน้าประตูห้องเจ้าคุณ อาตมาก็ไปประเหลาะ เจ้าคุณอยู่นั่นแหละ ก็เลยเป็นเจ้ามือ ชงไอ้น้ำอัชบานอยู่ที่กุฏิเจ้าคุณนั่นแหละ ไม่ได้ใส่ใจอะไร เรื่องธรรมะธัมโมอะไร ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ไม่เคยบวช ไม่เคยใส่ใจ

มาบ้าน แม่ย้ายมาอยู่ที่ศรีสะเกษ ย้ายมาอยู่เป็นตึกขาย เป็นห้องแถวขายบนหน้าทางรถไฟ เดี๋ยวนี้ ศรีสะเกษมันก็ยังมี แต่ว่าตึกรามมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว หลังบ้านชนวัดพระโต หน้าร้านก็ออกมาถนน ใครอยู่ศรีสะเกษก็นึกภาพออก ตึกแถวนั้น หลังบ้านชนวัด แต่ไม่เกี่ยวข้องกับวัด วัดคือสถานที่ วิ่งเล่นอย่างเดียว ไม่เอาใจใส่ แล้วก็เติบโตมาไม่เคยสนใจศาสนา นอกจากไม่สนใจแล้ว ถูกจับยัด เข้าวัดอีก ตอนที่เรียน ม ๗ ม ๘ แม่ก็ป่วยหนักแล้ว ลุงเป็นคนดูแล อาตมาก็ไปตามเรื่อง ตามราว อาศัยคนนั้นกิน คนนั้นอยู่ไปตามเรื่อง ลุงเห็นว่า มันซัดเซ พเนจร ก็เลยจับมายัดเข้าวัด ให้ไปอยู่วัด จะได้มีหลักมีแหล่ง แต่อาตมาไม่ทิ้งเรียนหนังสือนะ คือก็อยู่ มันก็ต้องเรียนไป ไม่เคยหนีออกไป จากโรงเรียน

ไอ้เคยหนีโรงเรียนน่ะ มีบ้างนิดหน่อย สมัย ม ๖ หนีไปแทงบิลเลียด หนีจริงๆเลย โดดออกทาง หน้าต่างหนี ครูตาสั้น สอนทางหน้า ตาสั้น มองไม่เห็นข้างหลัง ไม่เห็นจริงๆนะ เราปีนลงหน้าต่าง นี่เขาก็สอนกันก็อยู่อย่างนี้ แกไม่เห็น เราลงหน้าต่าง ได้นะ ครูคง อาจารย์คง ชั่วโมงนั้น เราก็ไปแทง บิลเลียดที่โต๊ะบิลเลียดของแก นั่นแหละ ที่บ้านแกก็มีโต๊ะบิลเลียด มีโต๊ะบิลเลียด เป็นอาชีพ อย่างหนึ่งที่บ้านแก เราก็หนีลงหน้าต่าง ไปแทงบิลเลียดที่โต๊ะบ้านแก นั่นแหละ หาเงินให้แก นั่นแหละ แกอาจจะรู้ แต่ทำเป็นไม่รู้ก็ได้นะ ไอ้นี่เราไม่รู้นะ แต่ทีหลังแกรู้ แต่อาตมา พอดีตอนนั้น ไม่ถูกจับ เพื่อนถูกจับ แกดุนะ ที่จริงแกดุครูคนนี้ แกเป็นเขมรหน่อยๆ พูดเสียงเหน่อๆ แกบอก แกดุ แล้วแกตีจริงๆ ผู้หญิงกูก็ฮื่อซื่อตี แกพูดเหน่อๆ แกบอกถลกผ้านุ่งตีเลย ผู้หญิงก็จะต้องถลกผ้านุ่งตี แกบอกแกดุ เอ้า ! นี่เล่าอะไรสนุกๆ ให้ฟังบ้าง

อาตมาไม่สนใจ จับไปอยู่วัด อาตมาออกจากวัดนี่ กรุงเทพฯแล้ว ไปเรียนต่อ ม ๗ ม ๘ แล้ว คุณลุงจับเข้าวัด ก็ฝากเจ้าคุณ อีกเหมือนกันนะ โอ้โฮ ! เจ็บแสบกับศาสนา เจ้าคุณลำเอียง เจ้าคุณไม่มีศีลไม่มีธรรม ไม่ชอบศาสนาเลย ออกจากวัดนี่ ไม่ลาซักคำ เพื่อนอาตมาออกจากวัด ขว้างสากระเบือก่อนเลย ตอนนี้เป็นนายทหารอากาศเพื่อนคนนี้ ออกจากวัด ขว้างสากกระเบือ ด้วยเลย แล้วไม่ขว้างธรรมดา มีภาษาด่าด้วย อาตมาด่า ให้ฟังไม่ได้ คือลำเอียง เอ๊ ! เป็นพระ เป็นท่านเจ้าคุณ แล้วทำไมเป็นคนอย่างนี้ อาตมาป่วยไม่เคยให้ยา ลูกศิษย์ที่ตัวเองรัก มาคอยดูแล ลูกศิษย์ไม่ต้องไปทำงานอะไร มันก็ริษยากันแบบโลกๆ น่ะนะ เดี๋ยวนี้คิดว่าเรามีบุญ เขามีบาป เดี๋ยวนี้ถึงรู้ว่า บาปบุญเป็นอย่างไร ไม่ทำงาน เราตื่นเช้ามา ก็ต้องตักน้ำใส่ตุ่ม ทำอะไรต่ออะไร เสร็จแล้วเรียบร้อยแล้ว ก็ไปรับบาตรจากท่านมาแล้วก็จัดบาตร จัดอะไรต่ออะไร จัดเสร็จแล้ว ท่านก็เอาอาหารนี่แบ่งให้ลูกศิษย์ที่ไม่ทำอะไร นอนฟังวิทยุ มีวิทยุฟังส่วนตัวด้วย เดี๋ยวนี้เป็น นายทหารเพื่อนคนนี้ อยู่เป็นลูกศิษย์เจ้าคุณเดียวกัน เสร็จแล้วไม่ทำอะไร เขาไม่ทำอะไรหรอก ตื่นเช้าน้ำท่าก็ไม่ตักอะไร เสร็จแล้วพอถึงเวลาเจ้าคุณมา เขามารอตักน้ำรดเท้าให้เจ้าคุณ เสร็จแล้วก็มานั่งรอ ประเดี๋ยวเจ้าคุณก็แบ่งอาหารให้กิน กินเสร็จ เขาก็ไปโรงเรียนก่อน ทั้งๆที่รู้ เขาอยู่โรงเรียนใกล้ เราอยู่โรงเรียนไกลนะ ต้องรอฉันเสร็จแล้ว เราต้องคอยเก็บข้าวของ เก็บล้างอะไรเสร็จแล้ว เราก็ค่อยไปโรงเรียน มันก็ไม่ค่อยทันโรงเรียน เสร็จแล้วเวลากลางวัน เขาเดินมาจากโรงเรียนก็มาวัดได้ กลางวัน เขาก็มาจัดอาหารให้ท่านเสร็จ เสร็จแล้วเหลือ เขาก็เอาอาหารเก็บไว้กินเย็นได้ เราไม่มี เพราะเราไม่ได้เก็บตอนกลางวัน เพราะอาหารกลางวัน มันถึงจะเหลือไปกินเย็น เราก็อดข้าวเย็นเสมอ เราไม่ได้กินน่ะ นี่ มันถูกฝึกมา ตั้งแต่โน่นแน่ะ นี่เล่าให้ฟัง เวลาป่วยเวลาเจ็บ เจ้าคุณไม่เคยดูแล แต่เพื่อนนี่ป่วย คนนี้ป่วย แหม ! ดูแลซื้อหยูก ซื้อยามาให้ด้วยนะ บอก เออ ! หลายอย่างเลย นี่ ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ คือ ลำเอียง น่าเกลียดมาก อาตมาก็ไปโรงเรียนไม่ค่อยทัน อย่างนี้เป็นต้น อะไรต่างๆนานาสารพัด ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร อย่าอยู่ด้วยกันเลย เสร็จแล้วเวลาเด็กมา เอามาให้อาตมาเลี้ยง ให้อาตมาดูแล เจ้าเพื่อนคนนี้ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เราต้องรับผิดชอบนานาสารพัด

มาคิดถึงเดี๋ยวนี้ว่า เออ! เราเป็นคนมีคุณค่าน่ะ เป็นคนที่มี...คุณ มองทางธรรมให้ดีนะ จะเห็นว่า เราเป็นคนมีคุณค่านะ ให้รับหน้าที่ ให้รับภาระ ให้ทำงาน เป็นผู้กินน้อยใช้น้อย ไม่ต้องฟุ่มเฟือย ไม่ต้องระเริง มันเป็นไปได้ใช่ไหม แต่ถูกบีบคั้น โลกมอมเมาเรา เราก็คิดว่า เราควรจะได้โลกีย์ อย่างนั้น แต่เราไม่ได้ เราก็นึกน้อยใจ ตอนนั้นก็นึกน้อยใจ แต่เดี๋ยวนี้ เข้าใจหมดแล้วธรรมะ มันเป็นเอง มันจะต้องเจอวิบาก ทางของเราจะต้องเป็นอย่างนั้นแหละ แล้วมันก็ได้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ออกจากวัด ไม่ลาซักคำ บอกเพื่อนไปก่อนล่ะนะ ไม่บอกละเจ้าคุณ บอกไม่ไปลาอาจารย์หรือ ไม่ลา หอบของได้ก็ออกเลย ขนของออกทีละน้อยๆ สุดท้ายไป ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะสุดท้าย จะไปขนกะเร่อกะร่าได้ยังไง เขาก็จับได้ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้ชอบศาสนาเลย ไม่ได้สนใจศาสนา แล้วก็ไม่คิดจะสนใจศาสนา พอโตมาแล้ว มาทำงานแล้ว ถึงไปสนใจไสยศาสตร์ นั่นไปโน่นอีก ไปสนใจไสยศาสตร์ ไปเล่นไสยศาสตร์ แล้วก็หลงนึกว่า ไสยศาสตร์นั้นคือศาสนา พอไปเล่นเข้าไปๆมันถึงเห็นว่า มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ มันก็มาเตือนเรา มันก็มาบอกเราว่า อ๋อ ! ทำอันนี้ไป มันไม่ใช่ คือมันมีอยู่ในใจ มันตัดสินเอง ไม่มีใครบอกอาตมานะ ว่านี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่มีใครบอก เพราะอาตมาไม่มีอาจารย์ทางศาสนา ไม่เคยไปเรียนกับใคร มีแต่ไปดูเขา เออ ! เขาทำยังโน้นยังงี้อะไรต่ออะไร ไปดูตอนที่อาตมาคิดว่าจะศึกษาพุทธ เอ๊ ! ถ้างั้นก็ต้องศึกษาพุทธซิ มาศึกษาพุทธ มันก็ถึงไปดูเขาว่าไปวัดน่ะ มีพุทธไปมีนักปฏิบัติ พระปฏิบัติ หรือว่านักปฏิบัติ อาจารย์นั่น อาจารย์นี่ ก็ไปดูเขา เขาทำอย่างไร ไปดูเขาบ้าง เสร็จแล้วเราก็เข้าใจ ว่าทำอย่างนั้น มันก็ไม่ถูก เราก็มาทำเอง มรรคองค์ ๘ นี่ อาตมารู้เอง ปฏิบัติเองด้วยศีล ปฏิบัติศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอะไร อาตมาเข้าใจเอง รู้เอง เอาเถอะเขาจะอธิบายบ้างในหนังสือ อ่านหนังสือเขา อะไรต่ออะไรก็ตาม มันก็อย่างที่เขาเป็นน่ะ ถ้าเผื่อว่าการอธิบาย ในหนังสือตำราต่างๆนั้นถูกต้อง มรรคองค์ ๘ ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอย่างที่เป็นนี้ เขาก็ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาถูกต้องมาหมด แต่อาตมาว่าปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ถูกต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคองค์ ๘ เขาก็ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ต้องได้ผลนะ พระพุทธเจ้ายืนยันสัมมาทิฐิ ปฏิบัติถูกต้องได้ผลมากหรือน้อยตามใจ มีอินทรีย์พละ หรือว่ามีบุญเท่าไหร่ๆ อย่าหาว่าอาตมาหลงตัวนะ อาตมามีบุญมาก อาตมาถึงปฏิบัติ ตามที่เข้าใจเอง จึงได้ผลเร็ว การได้ผลนั้น มันมีผล มันมีทุน มันมีฤทธิ์ มันเป็นสมบัติของเรามาแล้ว มันจึงเป็นองค์ประกอบ ที่มันเป็นกรรมที่สั่งสม เป็นกรรมวิบาก เป็นวิบากของเรา เป็นผลของเรา ที่ได้สั่งสมมา เป็นกัมมัสสกตา อาตมาจึงเชื่อกรรม แล้วก็เพราะผลของวิบาก วิบากจึงนำพา ให้มาง่าย มาเร็ว แล้วมันเป็นของอาตมา กัมมัสสกตา เป็นของตน ไม่ได้ไปแบ่งของใคร แบ่งไม่ได้ บอกแล้วกรรมมันแบ่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนยืนยัน มันเป็นทางของพระพุทธเจ้า เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อในทิศทางนี้ จึงไว จึงเร็ว เชื่ออย่างที่มีปัญญา ไม่ใช่งมงาย มันไม่ใช่ง่ายๆ มาเชื่ออย่างที่เราเชื่อ ซึ่งเขาก็ไม่เชื่อกันทั้งบ้านทั้งเมือง ครูบาอาจารย์ไหนๆ เขาก็เชื่ออย่างของเขา เรามาเชื่อของเรา เดี่ยวๆ โดดๆ มันไม่ใช่เรื่องเล่นนะ เชื่อแล้วทำ จนกระทั่งได้เป็น

อาตมาลาออกจากงาน เลิกทางโลก อาตมาไม่คิดจะบวช แล้วเขาก็เอาปมนี้แหละ มาตีอาตมา อยู่ทุกวันนี้ ว่าอาตมาอาศัยชุดนี้ มันบวชไม่ได้ศรัทธา บวชมาเอาชุดเฉยๆนี่ เห็นไหมนี่ ไม่จริงใจ มาแต่ต้น เขาเอามาตีอาตมาอยู่ทุกวันนี้ เขาไม่เข้าใจความหมายที่อาตมาว่า อาตมาไม่อยากบวช เพราะว่าถ้าบวช อาตมาก็ต้องไปเป็นพระใหม่ เป็นพระน้อย เป็นพระไปอยู่ในอาณัติเขา แล้วอาตมา ก็ไม่ศรัทธา เขาจะมาสอนอะไรอาตมา เขาจะเอาอะไรมาปกครองอาตมา เขาจะเอาอะไรมาดูแล อาตมา เขาจะเอาประโยชน์อะไรมาให้อาตมา มันเห็นอย่างนั้นจริงๆนะ มองนี่ อาตมาพูดเหมือน อย่างมีมานะ เหมือนอย่างดูถูก ที่จริง ไม่ได้มีมานะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก แต่ว่ามองเห็นว่า ไร้ประโยชน์ แล้วเราก็ไม่รู้จะไปคะคานกับเขายังไง ถ้าไปแล้ว อาตมาก็ไม่เอา จะบวชไม่อยากบวช ไม่ได้คิดจะบวช คิดว่าเราจะปฏิบัติธรรม เราจะทำอย่างนี้น่ะ แล้วก็ไม่คิดจะสอน เพราะตอนนั้น โพธิสัตว์ยังไม่ขึ้นหนักหนาอะไร ก็ไม่คิดจะสอนอะไร อยู่ของเราสบายดีกว่า เพราะองค์ประกอบ สิ่งแวดล้อมทุกอย่างมันไม่ให้ ทำงานก็คิดว่า แต่แค่เขียนหนังสือส่งออกไป ใครอยากเอามาเอา แค่นั้นก็พอแล้ว

มันเหมือนกับ พระพุทธเจ้าท่านรู้สึกน่ะนะ นี่เทียบ แต่มันยิ่งใหญ่กว่ากันนะ ของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านรู้สึกว่าแว้บเดียวของท่าน ของอาตมาตั้งนาน แน่ะ ของท่านแว้บเดียว ท่านก็เหยียดแขนออก คู้แขนเข้า ท่านก็มองเห็นว่า โลกนี้มันเต็มไปด้วยกาม กับมานะ มากมาย อย่างนี้ มันจะไปสอน มันคงจะเหนื่อยเปล่าเสียละมั้ง ตอนบรรลุใหม่ๆแรกๆ ใช่ไหม สอนมัน มันคงจะไม่รู้เรื่อง เสียแรงเปล่า ท่านรู้สึก จนกระทั่งอธิบายเป็นรูปธรรม มีท้าวสหัมบดีพรหม มาอาราธนาอย่างเร็วเลย บอกว่า ไม่ได้ ฉิบหายใหญ่แล้ว เราดูทางประวัติ ที่เราทำเป็นสไลด์ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่สอนคน ฉิบหายใหญ่เลย จิตท่านเองมีสำนึก ระลึกได้ว่า โอ้ ! ไม่ได้ เรามีดีแล้ว เราไม่เผื่อแผ่ดี เราไม่สอนคนอื่น โลกก็มืดเท่านั้นเองซิ ไม่ได้ โพธิสัตว์ก็เรียนมาแล้ว แต่ตอนนั้นมันจะต้อง เห็นไหมมันเหมือนมืด มันเหมือนหลงไปนิดๆน่ะ

แม้พระพุทธเจ้าช่วงแว้บ ท่านก็คิดไม่อยากจะสอนคน แล้วป่วยการไปใยจะมาพูดถึงอาตมา โพธิสัตว์ระดับแค่ของอาตมา มันก็จะไปคิดสอนอะไร ปัดโธ่ ! เอ๋ย สอนอยู่ทุกวันนี้ ก็บุญแล้วนะ พวกคุณน่ะ อุตสาหะสอนนี่ก็บุญแล้ว เอ้า ! จริงๆนะ อาตมาบอกไม่เอาหรอก อาตมาไปควานหาที่ ซื้อที่ ต้องเลือกให้ได้ดังใจ จะต้องมีป่าล้อมรอบ ที่ประมาณสัก ๒ ไร่ ๓ ไร่ ไปกับคุณชวนนี่แหละ คุณชวนห้องภาพสุวรรณ นี่ไปหากัน ขับรถไปหาที่ให้มันเหมาะใจ ซื้อได้แล้วก็ไปปลูกกุฏิน้อยๆ อยู่ปลายนั่นใครอย่าเข้ามานะ นี่เขต ที่ซื้อที่เป็นไร่ๆ ก็เพราะว่ามันจะได้เป็นเขตล้อมรอบใช่ไหม คนจะได้ไม่ละลาบละล้วง ถิ่นของเรา แล้วเราก็จะอยู่กันกลางป่านั่นน่ะ อยู่ตรงกลางต้นไม้นั่นแหละ อยู่มันอย่างนั้น ก็เรา สบายแล้วละ มันไม่คิดจะสอนใครอะไรนักหนาเลย อย่างเก่งก็อย่างที่ว่านี้ มีใจอยู่ มีโพธิสัตว์ อยู่นิดหน่อย ตรงว่าจะเขียนหนังสือ แล้วก็ออกไปเขียนหนังสือ ออกไปได้แค่นั้นแหละ ใครมาหา อยากให้พูดด้วยก็พูดด้วย ไม่อยากพูดก็ไม่พูด ไม่บอก ไม่พูดอะไร คิดแค่นั้น แต่มันไปซื้อไม่ได้ที่น่ะ มันเป็นของมันเอง มันจะเป็นอย่างนั้นน่ะ ดันผ่าไปเห็นป่าแสม อยู่ที่วัดอโศการามบอก โอ้โฮ ! แจ๋วเลย เจาะเข้าไปเลย ถึงได้เจาะสะพาน เจาะลิ่วเข้าไป กลางป่าแสม เลยไปสร้างกุฏิเอาไว้ในโน้น ขนาดนั้น คนก็ยังบุกเข้าไปหา บุกก็ให้ ก็สอนให้เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งมาค่อยๆฟื้น ค่อยรู้ตัว โอ้ ! สหัมบดีพรหมอาตมา มันนานเหลือเกิน มันอ่อนแอเหลือเกิน มันกว่าจะปลุกอาตมาตื่น สหัมบดีพรหม กว่าจะรู้ตัว กว่าจะเข้าใจ กว่าจะเข้าใจว่า เอ๊ ! เราเป็นใคร เราต้องทำอะไร ทำไมจะต้องมาสอน มาอะไรนี่กว่าจะรู้ตัว

สรุปง่ายๆตั้งนาน ตั้งใจกว่าจะเอาจริงเอาจัง กว่าจะหมดจิตตัวที่เรียกว่าไม่ได้หรอก เราต้องทำงาน เราต้องมีอันนี้เป็นหน้าที่ อันนี้เป็นตัวสิ่งที่เราตั้งใจมา สั่งสมมานี่ นานชาติแล้ว เป็นหน้าที่ของเรา เป็นกิจของเรา เป็นอะไรของเรา มีมากกว่านี้ ที่อาตมาเปิดเผยไม่ได้ พูดไม่ได้ มันมากไป แค่นี้ก็มากไปแล้ว แค่นี้ก็เยอะแล้ว พูดขนาดนี้ก็คุยตัวคุยตนเยอะไปแล้ว มันเป็นของเราเอง อาตมาไม่มีธรรมะ ชาตินี้ไม่ได้ไปสะสมมาจากใคร ไม่มีธรรมะตรงที่ว่า ไม่ได้ไปเรียนมาจากใคร เขาก็หาว่าไอ้นี่มันหยิ่ง มันพูดเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้เอง บรรลุเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ อย่างน้อยก็เป็นปัจเจกพุทธะ อย่างมากก็เป็น พระพุทธเจ้าโน่นแหละ เขาก็เลยยัด ให้มันเป็นศาสดามหาภัย เป็นผู้แอ๊คเป็น พระพุทธเจ้าซะเอง เขาก็ประชดประชันไป

ทีนี้ เราก็มีสิ่งนี้ อาตมาก็เอามาให้คุณพิสูจน์ว่า อาตมามีมา แต่เป็นของอาตมา เป็นวิบากของตน


อ่านต่อ หน้าถัดไป

FILE:1337E.TAP