ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๓ หน้า ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔
ในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ

ต่อจากหน้า ๑

ทีนี้ เราก็มีสิ่งนี้ อาตมาก็เอามาให้คุณพิสูจน์ว่า อาตมามีมา แต่เป็นของอาตมา เป็นวิบากของตน เป็นกรรมของตน ที่ได้สั่งสมมาเอง และอาตมายืนยันว่า กรรมนี้เป็นสิ่งที่สั่งสมมา สมบัติเป็นสมบัติที่ได้มาอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เชื่อตามพระพุทธเจ้า ศรัทธาศีล ที่อย่างพระพุทธเจ้า มีความละอายต่อบาป เข้าใจบาป อย่างพระพุทธเจ้าเข้าใจ เข้าใจบุญ อย่างที่พระพุทธเจ้าเข้าใจ ละอาย เกรงกลัว มีความรู้ มีสุตะ พหุสุตะ มีความรู้มากๆ มีโวหาร มีลีลา มีความรู้มากมาย เป็นสุตะแบก มีนวังคสัตถุศาสตร์ต่าง ๆ อย่างนั้นแหละ มีคาถา มีอะไรมาก นั่นแหละ เป็นสัตถุศาสตร์ต่างๆอย่างนั้นแหละ มีมาอย่างในสายพระพุทธเจ้า อาตมาว่า เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างพระพุทธเจ้า เพราะเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อตาม เห็นตาม สั่งสมตาม มีตถาคตโพธิสัทธา เชื่อตามพระพุทธเจ้า สั่งสมตามพระพุทธเจ้า มีกัมมัสสโกมหิ หรือ กัมมัสสกตา มีสิ่งที่เป็นของตน ตามที่ได้ฝึกฝนเอา อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกสอน แล้วก็สะสมมา ไม่รู้กี่ชาติ กี่ชาติมาได้เท่านี้ เท่าที่อาตมาเป็นผู้นี้ เป็นแค่นี้ ได้เท่านี้มันมีนี่แหละ แล้วอาตมาก็เชื่อจริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้น แล้วเอามาให้พวกคุณพิสูจน์ จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ คุณเชื่อไหมเล่าว่า อาตมามีธรรมะ
เชื่อ เชื่อสุดใจเลย

โยมเขาบอกว่า มันแปลก ไม่เรียนมานะ เอ๊! ทำไมบ่สร้างก็ได้กิน หมายความว่า ไม่ได้ไปทำ ไม่ได้ไปสร้าง ไม่ได้ไปหามา แต่ก็มีกิน สำนวนเขา มันแปลกนะ ไม่สร้างก็ได้กิน ว่างั้น ไม่ก่อ ไม่สร้าง ไม่ได้ทำ แต่มันก็มีมาให้ มันมีมามันมี มันไม่ได้เกิดเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนเราอยู่แล้ว ว่าทุกอย่าง เกิดมาแต่เหตุ ทุกอย่างเกิดมาแต่เหตุ อยู่ดีๆ โผล่ลอยๆมาฟลุ้คๆ มีคนนั้นบันดาล มีคนนี้บันดาล ศาสนาพุทธไม่มีอะไรบันดาลบันดล ไม่มีอะไรฟลุ้คๆ ไม่มีอะไรที่ไม่มาจากสิ่งที่จะต้อง เกิดมาจากเหตุ คุณจะมี คุณก็ต้องเกิด คุณก็ต้องก่อ กัมมโยนิเป็นกรรม กระทำเอาซิ ถึงจะเกิด กระทำเอา ถึงจะต่อเนื่อง เป็นเผ่าเป็นพันธุ์ กระทำเอา ถึงจะมาให้คุณได้อาศัย ได้เป็นได้มี อยู่ดีๆเอง ได้เองหรือไปโกงเอาของคนอื่น ก็ของคนอื่น โกงไม่ได้ โกงเป็นทุจริต โกงได้แต่เป็นทุจริตไง กรรมแค่ทุจริต เราก็ไม่ทำอยู่แล้ว แล้วโกง มันไม่ได้จริง โกงมันไม่ได้จริงหรอก โกงเข้าไปก็เป็นหนี้ โกงเข้าไปก็เป็นบาป ต้องไปใช้หนี้ใช้สินอีก นี่เป็นสัจจะ เป็นความหมายของมันอย่างนั้น จะต้องไปใช้หนี้ คุณโกงยิ่งแย่ ยิ่งทุจริต ยิ่งโกงหยาบ หรือ ว่าโกงซับ โกงซ้อนโกง ยิ่งไม่ให้เขารู้ โกงเขามากโกงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นกรรมที่ซ้อน กรรมที่เป็นวิบากซ้อนวิบาก คุณๆหยาบ หนัก แรง เชื่ออย่างนี้ เราเข้าใจอย่างนี้ แล้วเราก็เลี่ยงสิ่งที่เป็นบาป ละอาย กลัว เราก็ละ จาคะนี่คือ เอาออกๆ อย่าให้เป็น อย่าให้มี อย่าให้เป็นทรัพย์ อย่าให้เป็นสมบัติของเรา

เพราะฉะนั้น อกุศลไม่ควรเป็นทรัพย์ของเรา ทุจริตไม่ควรเป็นสมบัติของเรา เราไม่ควรมีอย่างเป็นเอง ไม่ควรมีอย่างเป็นตถตา ตถ นี่ที่จริง มันแปลว่าสัจจะ แปลว่าความจริง ตถ นี่แปลว่าความจริง ตถตา ตานี่เป็นตัวปัจจัย เป็นตัว suffix นี่ มันขยายตัวตถ ตานี่ เป็นตัวขยาย ตามาขยายให้เป็นนาม เป็นตถตา เป็นความจริง เป็นสิ่งที่จริง ตถตาเป็นอย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น มาแปลโดยอรรถะ ไม่ใช่มาแปลโดยพยัญชนะ มาแปลโดยภาษา ก็บอกว่าแปลว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นของมันเอง มันเป็นของจริง มันเป็นความจริง มันต้องเป็น เพราะมันมี เพราะมันเกิดมาแล้ว เพราะมันสั่งสม มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ มันเกิดมา สั่งสมมาแล้ว มันมีอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ ไม่ได้ดัดจริต ไม่ได้มาสังวร ไม่ได้มาควบคุม มันออกมา มันเป็นมา ไม่ได้แกล้ง มันเป็นจริง

เพราะฉะนั้น อาตมาเอาของจริงมา เอามาใช้ ปางนี้เป็นปางพิสูจน์ อาตมาอยู่ในระดับพิสูจน์ของตัว แล้วเอาของตัวมาพิสูจน์ ที่ไม่ต้องไปเอาของใครมาพิสูจน์หรอก แหม! พูดไปหน่อย อีกหน่อย มันจะใหญ่กว่านี้อีก เอาล่ะ พอ ตัด ขยายความประเดี๋ยวมันก็จะโชว์ตัว มันก็จะอวดตัว มากกว่านี้อีก มันต้องเอามาพิสูจน์ ไม่ต้องเอาของใคร เพราะฉะนั้น มันยิ่งเพียว มันยิ่งเป็นเรา เป็นของเรา เป็นกัมมัสสกตาของเราจริงๆ เป็นสมบัติของเรา เป็นวิบากของเรา แล้ววิบากอันนี้ มาพิสูจน์ซิว่า จะสอดคล้องกับพระพุทธเจ้าไหม มีพระไตรปิฎกให้เทียบ ดี นี่มีหลักฐานไม่เที่ยง ถ้ายิ่งต่อไป สูงกว่านี้ จะไม่มีหลักฐาน ของพระพุทธเจ้าให้เทียบด้วย แสดงเอง เป็นเองยิ่งกว่านี้ เป็นปัจเจกกว่านี้ แสดงเองเลย หลักฐานจะหายไปมาก หรือเพี้ยนกลับกันยิ่งกว่านี้ อย่าว่าแต่ ผิดเพี้ยนกัน แต่ขนาดชาตินี้ ของอาตมาเกิด ที่เขาถือว่า เขาเข้าใจความหมายของ พระไตรปิฎก ความหมายของ หลักฐานพระไตรปิฎกต่างๆ เขาแปลกันอย่างนี้ ความหมายอย่างนี้ ขนาดนี้ เพี้ยนกัน ไม่นัก ไม่หนา ขนาดนี้ เขาก็ยังเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ต่อไปยิ่งจะเพี้ยนกลับตาลปัตรกว่านี้ และเหลือน้อยกว่านี้ จะเป็นของตนเอง ยิ่งกว่านี้ไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งในโลกนี้ไม่มีแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เหลือแล้ว มีแต่คำสอนของคนอื่นหมดเลย ปางใดที่ใกล้พระพุทธเจ้า หรือเข้าไปเป็นพระพุทธเจ้าเอง คำสอนของพระพุทธเจ้า หรือของ พระพุทธศาสนาไม่เหลือแล้ว ท่านต้องตราขึ้นมาใหม่ พระพุทธเจ้าต้องตราขึ้นมาใหม่ ตราขึ้นมา เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้าเอง หมดเลย ทุกคนจะเชื่อสนิท ทุกคนจะเชื่อ อย่างจริงใจ อย่างมหาศาลเลย อย่างอาตมาก็เชื่อแค่นี้ พวกคุณก็เชื่อแค่นี้ มีคนเชื่อก็ประมาณเท่านี้ มันเป็นเรื่องขององค์ประกอบ ทุกอย่างมันจะต้องลงตัว มันจะต้องเป็น

ใครอยากทำให้ได้อย่างอาตมาได้ คุณก็ไปทำซิ แต่คุณไม่มีทรัพย์ คุณไม่มีสมบัติอย่างอาตมาก็ คุณไม่ได้สั่งสมมาอย่างอาตมา คุณไม่ได้มีเท่าอาตมา คุณทำได้ ยังไงๆก็ไม่ คือ ภาษาอีสาน มันบ่คือ เฮ็ดหยังไดมันก็บ่คือได้ง่ายๆหรอก ทำอย่างไร มันก็ไม่เหมือนได้ง่ายๆหรอก บ่คือ นี่มันไม่เหมือน ทำยังไงมันก็ไม่เหมือน อยากจะทำให้มันเหมือน ก็เป็นตัวปลอม ถ้ายิ่งมันไม่มีสมบัติจริงเลย มันยิ่งปลอมมาก มันยิ่งโกหกมาก มันก็ยิ่งแย่มาก ไม่เหมือนหรอก

เพราะฉะนั้น มาทำ พวกเรา อาตมาเคยพูดถึงว่า เมื่อเห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง เห็นอาตมาทำ หลายอย่าง ซึ่งมันซับซ้อน อย่ามาเอาอย่างเลย ที่จริงก็ไม่ได้บอกว่า ไม่ให้เอาอย่าง มาเอาอย่างอาตมา ภาษานี่มันสอนนี่มันยากนะ มันกลับไปกลับมา มันเดินตาม มาเอาอย่าง มีสำนวนไทยบอกว่า จงเอาเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่างกา เออ มีคำพังเพยของไทยน่ะว่า จงเอาเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา ส่วนที่มันลึกซึ้ง มันซับซ้อนที่มันไม่ใช่ฐานของเรา มันไม่ใช่ฐานะของเรา อย่าไปเอาอย่าง เอาเยี่ยงว่าอะไรที่มันได้ อะไรที่เป็นฐานของเรา มันดีด้วย บางอย่างไม่ดีก็ตาม อย่าไปเอาอย่าง บางอย่างไม่ดี อย่าเอาอย่าง หรือบางอย่างดีเกิน เราไม่ใช่ฐานเรา ก็อย่าไปล้อเลียน หรืออย่าไปทำเป็นว่า แหม เราก็ขนาดนั้น ก็ไม่ควรอย่างนี้ เป็นต้น

สรุปแล้วละมันก็เป็นการพิสูจน์ อย่างอาตมาที่พูดอธิบายเล่าอะไรต่ออะไรไปเยอะแยะ เพื่อขยายความให้เห็น ก็เพื่อที่จะชักอะไร ที่มันพอตามไปพิสูจน์ได้ อาตมาพูดถึงอะไร มันมีอะไรประกอบบ้าง เก่าๆ แก่ๆ โน่นๆ นี่บ้าง เล่าถึงประวัติชีวิตถึงเรียนมา ไม่เรียนมา เอาถ่าน ไม่เอาถ่านอะไรก็แล้วแต่ อย่างโน้นอย่างนี้ อะไรมาประกอบ ก็เป็นสิ่งประกอบ เป็นพลความ เพื่อที่จะเป็นหลักฐาน คุณจะตามไปพิสูจน์ก็ได้ ประวัติอาตมา มีคนเขียนประวัติให้ใหม่บ้างก็มี ประวัติอาตมาเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ อย่างเขาบอกว่า อาตมาพ่ายแพ้ทางโลก อย่างนี้เขาก็เขียนประวัติให้อาตมาเหมือนกัน ถูกแฟนหักอกอะไรอย่างนี้ เป็นต้น เขาก็ว่าไป แล้วถึงหนีมาบวช ไม่มีความสามารถจะเลี้ยงดูผู้หญิงได้ เขาก็เลยไม่ยอมแต่งงานด้วย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เขาก็ว่าไป เออ ช่างคิดนะ นักประพันธ์ แต่งเก่ง ซึ่งอาตมาก็นึกไม่ออก เอ๊ มันเป็นยังไง อย่างนั้นน่ะ อาตมายังนึกไม่ออกว่า จะเลี้ยงไม่ได้ ขนาดเลี้ยงน้องมาอย่างกับลูก ส่งไปเรียนนอกด้วย ทำไมมันจะเลี้ยงเมียคนหนึ่งไม่ได้ เป็นยังไง เอ๊ อาตมาก็ยังแปลกใจ มันใส่ความเข้าไปได้ ปัดโถ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เขาก็ว่ากันไป เขาก็แต่งประวัติให้อาตมา ก็ไม่เป็นไร คุณก็ไปเอาหลักฐาน ที่อาตมาเล่าสู่ฟังว่า มันประวัติอะไรนี่ ไปอย่างโน้น อย่างนี้เล่า แม้แต่พบวัดบ้าง อะไรบ้าง มีอะไรบ้าง ประวัติอย่างโน้นอย่างนี้ ก็เป็นองค์ประกอบ ว่า

อาตมาไม่ได้ไปเรียนมา อยู่กับวัดกับวา ก็ไม่ได้ศรัทธาศาสนาจริงๆ แต่มันมีธรรมะ มีเป็นของเรา แล้วธรรมะอย่างนี้ จริงไม่จริง อาตมาก็เอามาถ่ายทอดแล้ว มาทำงานแล้ว อาตมามันเหมือน นอนหลับ มันเหมือนนอนยังไม่ค่อยตื่นดี ยังไม่ตื่น มาก็จนกระทั่งอายุ ๓๖ ปี ๓๖ ปี ก็ออกมา อย่างนั้นแหละ ตอนแรกๆ ใหม่ๆ ก็ยังไม่ พอมาบวชนี่ อาตมาบวช มันก็มีตัวติดอย่างที่ว่า มันก็เหมือนกับคนเมาๆ มันยังไม่ตื่นเต็ม เราก็ยังไม่อยู่ในสภาพเต็ม เราก็มามองเห็นมุมว่า ฮือ เราไปสอนนี่ มันจะต้องสอนแล้วละ ก็พอรู้ตัวแล้ว ต้องสอน เขาดึง เขาลากออกมาสอน เราก็มา ซังกะตายออกมาอย่างนั้น คนเขาก็มองเหมือนคนบ้า พอสอน แล้วคนเขาก็มีอุปาทานกัน เขาก็ไม่เชื่อ ไม่ถือ

เพราะฉะนั้น เราก็บอกว่า เราก็เอาสมมุติเต็มสมมุติกันไป เขาก็หาว่าเราอยากได้รูปจีวรนี้มา เพื่อที่จะซ้อนแฝง เชิงอะไรต่ออะไร เออ มันก็เข้าใจได้เหมือนกันนะ อาตมาเข้าใจ ที่เขาเข้าใจ อย่างนั้น มันมีมุมยังไง เข้าใจ แล้วก็เอามาตีเราว่าอย่างนี้ ไม่ได้เจตนาอยากบวชหรอก มาบวช เพราะจะเอาได้ชุดมา แล้วก็จะได้มาหลอกล่อคน ไปโน่น แล้วเดี๋ยวนี้จะเห็นต้องหลอกล่อคน ด้วยชุดน่ะ มาเป็นนี่แล้ว พวกคุณขับให้ออกมาอยู่อย่างนี้แล้ว ยังไม่รู้จะถูกขับ ไปนุ่งกางเกงหรือเปล่า แต่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ มันก็ไปของมัน ตามทางของมัน

สาระสัจจะที่อาตมากำลังถ่ายทอด แล้วให้คุณพิสูจน์ยืนยันนี่ คุณศรัทธา วันนี้อาจจะไม่ได้โน้มเน้น ถึงเรื่องศรัทธา พรุ่งนี้จะเริ่มต้นศรัทธาเข้าไปยิ่งกว่านี้ ตอนนี้พูดถึงศรัทธา ๔ ต่อไปจะต้องพูดถึง ศรัทธา ๑๐ ศรัทธามันจะต้องมีความบริบูรณ์ของมันว่าความเชื่อ

อาตมาแบ่งง่ายๆว่าเป็นความเชื่อ แค่เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น มาแบ่งเป็นแค่ ๓ step ๓ ระดับง่ายๆ ก่อน เชื่อถือนี่ คุณเองคุณมาทดสอบ มาฟัง มาสังเกตการณ์ มารับดูซิ ว่ามันจะพอเชื่อถือได้ไหม มาพิสูจน์หลักฐานอะไรก็ได้ ตามเจาะลึกเป็นสปาย เป็นนักสืบความลับ มาคอยทำทีเป็น แหม มาเข้าข้าง มาเห็นด้วย มาอย่างโน้นอย่างนี้ ใกล้ชิด เพื่อจะได้รู้ตื้นลึกหนาบางเข้าไปเยอะๆ มาซิมา อยากจะใกล้ชิดมา มาจนกระทั่งทำตัวเสแสร้งเลย จนกระทั่งบวช บวชเสร็จแล้ว ก็ตีสนิทเข้ามา เป็นปัจฉาสมณะ ได้ไปทุกฝีก้าว จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร นี่ เข้าห้องน้ำก็จะได้ไปแอบดู มีความลับนี่ ติดต่อทางใต้ดินอยู่ ตอนเข้าห้องน้ำหรือเปล่า จะได้ดูตอนนั่ง ตอนนอน ตอนเดิน ตอนอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ ไปโน่นมานี่ ไปพบกับใครเมื่อไหร่ ตาม อย่าให้คลาดสายตาเลย ในฐานะเราเป็นปัจฉาสมณะ แล้วนี่ ตามได้ทุกฝีก้าว เอาเลย ให้รู้ละเอียดลออเลย อาตมาว่ายิ่งจะดีนะ ถ้าอาตมามีอะไร มันก็มีอันนั้น มีตถตา มีตัวเองของตัวเอง มันมีอะไรก็แล้วแต่ คุณจะเห็นดี เห็นด้วย ไม่เห็นดี ไม่เห็นด้วยขนาดไหน คุณก็จับเอามีไอ้โน่น ไอ้นี่เอาเลย อาตมาพูดอย่งนี้ เหมือนท้าทาย จริงๆนะ อาตมาว่าอาตมาจริงใจ แล้วก็พยายามที่จะให้เป็นอย่างนี้น่ะ มันจะเป็นยังไงล่ะ มีสมบัติยังไง ก็ตามใจ

เพราะฉะนั้น คุณจะเชื่อขนาดไหน คุณก็จะต้องมาพิสูจน์เป็นขั้นๆน่ะ พระพุทธเจ้าท่านอธิบาย เอาไว้ลึกซึ้ง เชื่อถึง ๑๐ ขั้นนี่ จะต้องบริบูรณ์ ความเชื่อ ความเชื่อ โดยที่เรียกว่า ยังไม่มีอะไร เป็นหลักประกอบ ยังไม่มีเงื่อนไขว่าเชื่อ ศรัทธาแล้วศรัทธาอะไรละ ที่จริงคนเรา ก็ใช้ปัญญาควบคู่ เสมอนั่นแหละ เรามีปัญญาเท่าไหร่ เราก็ใช้ปัญญาของเรา เป็นวิจารณญาณ เป็นตัวตัดสิน เป็นตัวเลือกเฟ้นเอา ทุกคนมีปกติเป็นธรรมดา แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน มันก็มีตัวตัดสินของมัน มีตัวเลือกเฟ้นของมัน มันจะเชื่อ มันจะไว้ใจคน ไอ้คนนี้ จะฆ่ามันหรือไม่ฆ่ามัน มันจะเชื่องด้วย หรือไม่เชื่องด้วย มันก็ตัดสินของมันเอง สัตว์มันก็มี คนก็มีมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ทุกคน จะโง่เง่า ขนาดไหน เขาก็เชื่อของเขาเอง ตัดสินของเขาเอง เลือกเฟ้นของเขาเอง เสร็จแล้ว มันจะต้อง ประกอบไปด้วยศีล อย่างศรัทธา ๑๐ ประการ จะต้องมีศีล ถึงจะบริบูรณ์ขึ้น บริบูรณ์ด้วยองค์หนึ่ง องค์ที่ ๑ จะต้องศรัทธาประกอบด้วยศีล ประกอบไปด้วยพหุสัจจะ พหูสูต ประกอบไปด้วย อะไรบ้างล่ะ เดี๋ยวนี่ก็ว่าต่อไปอีกนิดหน่อย ทรัพย์แล้วก็มีศรัทธา จะต้องมีศีล จะต้องมีพหูสูต จะต้องเป็นพระธรรมกถึก จะต้องเข้าสู่บริษัท จะต้องแกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท จะต้องทรงวินัย จะต้องอยู่ป่าเป็นวัตร ต้องได้โดยไม่ยาก โดยไม่ลำบากในฌาน ๔ จะต้องทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ จะต้องบรรลุ ล้างอาสวะไปหมดโน่นแหละ จึงจะเป็นตัว ศรัทธา หรือเป็นตัวที่เชื่อ เชื่อมั่น เชื่อเอง เชื่อเพราะเรามีทรัพย์นั้นแล้ว เชื่อเพราะเรามีสมบัตินั้นแล้ว เชื่อเพราะเราได้สิ่งนั้นแล้ว คุณได้ความสิ้นอาสวะอะไรซะอย่างนี่ โอ้โฮ ! มันยอดมหาเพชร อภิมหานิรันดร์เพชร ราคาหรือค่าของมันวิเศษ

เพราะฉะนั้น ขณะนี้เราพูดธรรมะนี่นะ ไอ้สมบัติแค่ที่จะต้องไปสะสมเพชรพลอย เพชรนิล จินดา ทรัพย์ศฤงคาร ได้ลาภ ได้ยศอะไร อาตมาไม่ได้อธิบายย้ำมากนะ เพราะฉะนั้น คนใหม่ๆ ก็ตั้งใจฟังเอา อาตมาเข้าไปหานามธรรม ทรัพย์หรือสมบัติ เป็นนามธรรม เป็นเรื่องที่มันจะเป็นวิบาก ทรัพย์คือวิบาก มาก เน้นอันนี้มากกว่าอยู่ เป็นนามธรรมมากกว่า

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ศรัทธา แล้วก็มีศีล มีพหูสูต เป็นธรรมกถึก อาจจะเกี่ยวข้องว่า เป็นพระธรรมกถึกเป็นอย่างไร อาตมาจะได้ขยายทั้ง ๑๐ ตัวนี่แหละ ค่อยขยายไปว่า ศรัทธาที่จะบริบูรณ์ด้วยองค์นั้น จนกระทั่งบริบูรณ์ มาจนกระทั่งถึงก็มีเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้นั้น เป็นตัวคุณจะถึงศรัทธา ตัวศรัทธาพละ ศรัทธาผล ศรัทธาที่คุณต้อง เกิดปัญญา เกิดญาณ เห็นความจริงว่า จิตไม่มีกิเลส หรือถอนอาสวะ บรรลุอุภโตภาควิมุติอย่างนี้ เป็นอย่างนี้นี่คุณจะเชื่อของคุณเลยตอนนี้ พ้นกาลามสูตร ๑๐ ข้อเลย ไม่ได้เชื่อครูบาอาจารย์ ไม่ได้เชื่อเรื่องเก่าเรื่องใหม่ ไม่เชื่อเรื่องโน่นเรื่องนี่ ไม่ได้เชื่ออะไร เชื่อ เพราะมันมีของมันแล้ว มันเป็นสมบัติของมันแล้ว แล้วเราเห็นสมบัติของเรา นี่ สมบัติ มหาสมบัติ อภิมหาสมบัติอันนี้ อันนี้แหละคุณจะได้ ยิ่งจะเอาอันนี้ ยิ่งจะเอาต้องเอาไอ้โลกๆ นี่ออกให้หมด ยิ่งแต่แค่ทรัพย์สิน ศฤงคาร เพชรนิลจินดา หมดเนื้อ หมดตัวกันวันนี้ ถูกอาตมาปอกลอกกัน วันนี้น่ะ

ปอกก็ปอกซะ ปอกก็ปอกเฮอะ มันทุกข์มานานแล้ว ลอกก็ลอกซะ ปอกก็ปอกซะ ลอกให้มันหมดซะ จะต้องมาเอาออก สละออก จาคะ ล้างออกให้ได้จริงๆ ปลดปล่อยออกจริงๆ แล้วคุณต้อง ปลดปล่อยเอง คุณวางจาคะ มันไม่ใช่ง่ายๆเลย มีคนเสกให้ก็พอได้วาง ไม่มีคนเสกให้ ก็ไม่รู้จะวางยังไง ขนาดบอกให้วาง รู้แล้ว ก็ยังไม่วางเลย โยม รู้แล้ววาง ประเดี๋ยวเอามาใหม่ วางแล้ว เดี๋ยวเก็บใหม่ ไอ้ตอนวางให้เราเห็น ไอ้ตอนเก็บไม่บอกเรา ตอนเก็บคืนไม่บอกเรา อุกนี่ หมายความว่า มันอึดอัดขัดใจเหลือเกิน มันซ้อน มันมากมาย

เอาละ อาตมาก็ขอย้ำคำว่าทรัพย์นี่เสียก่อน นี่ขยายความเพื่อจะให้เห็นว่า คุณจะมาเอาทรัพย์อะไร เอา ทีนี้ก็เข้าทรัพย์ที่อาตมาได้พยายามวิเคราะห์ วิจัยไว้ เป็นทรัพย์ ในระดับของมนุษย์ ระดับปุถุชน ระดับอันธพาล ต่อมาก็เป็นปุถุชน เจริญขึ้นมาในปุถุชนที่เป็นกัลยาณชน อันธพาลนี่ปุถุชนชั้นเลว เพราะฉะนั้น ทรัพย์อย่างอันธพาล เราก็ต้องเข้าใจแล้วว่า อาตมาให้เงื่อนไขไว้หน่อยเดียวเท่านั้นว่า เป็นสมบัติที่เอาเปรียบ หรือทุจริต ทุจริตขี้โกง ปล้น จี้ รุนแรงอะไรเอาเถอะ ขี้โกง หรือว่าเอาเปรียบจัด ทุจริตแท้ นี่อันธพาล

ต่อมาในระดับทรัพย์ของกัลยาณชน ไม่ทุจริตหรอก แต่ก็มีเปรียบ ได้เปรียบ จะจำนน เพราะว่า ในสังคมเขาจะมีอัตราการได้ การไม่ได้ การให้ การไม่ให้กันโดยสังคม มันก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน เป็นอัตราของสังคม แล้วเราก็ได้เปรียบ โดยที่เราไม่ได้อยากได้เปรียบ กัลยาณชนก็จะได้ โดยไม่ทุจริต แต่มีเปรียบ แต่ผู้ที่มีภูมิธรรมสูงขึ้น รู้จักตัวจาคะ รู้จักการสละออก รู้จักการไม่เอา ทรัพย์ที่จะได้ คือทรัพย์ที่ไม่ได้ ทรัพย์ที่จะมี คือทรัพย์ที่จะต้องสละออก ทรัพย์ที่จะเป็นทรัพย์ของเรา คือทรัพย์ที่ไม่เอามาเป็นของเรา ภาษามันจนตรงนี้นะ ภาษาสูงสุด มันเป็นอย่างนี้เสมอ คุณฟังดีๆก็แล้วกัน อย่านั่งหลับ อย่านั่งหลับ ฟังดีๆ

บอกว่าได้ฟังวิทยุ ได้ยินเขาร้องเพลงผู้แพ้ ไม่ใช่ผู้แพ้รัก เดี๋ยวนี้มีคน ไปตั้งชื่อเพลงผู้แพ้ ของอาตมาว่า เพลงแพ้รัก เขาบอกว่านี่แหละ ตอนที่โพธิรักษ์อกหัก เขาบอกว่าอกหักตอนนั้นน่ะ ได้ยินทางวิทยุเอง เขาพูด เขาอธิบาย เขาเล่าว่า อาตมาแต่งเพลงตอนอกหัก ตอนนั้น อาตมาจำได้ว่า อาตมากำลังฟรี ในหัวใจฟรีๆ ไม่มีอะไรเลย แต่งเพลงผู้แพ้นี่ แต่งตอนหัวใจฟรีๆ ตอนนั้น ยังอยู่ที่หอ พักอยู่ที่ซังฮี้ ตอนนี้เป็นอะไรของสารวัตรทหารเขาน่ะ ยังอยู่ที่นั่น ตอนนั้นอยู่ที่นั่น แต่งเพลงนี้ ไม่ได้อกหัก ตอนนั้นไม่มีคู่รัก ไม่มีความรัก ไม่มีเรื่องรักเลย ฟรี จิต ฟรี ฟรี ตอนนั้นน่ะ ไม่ได้มีอะไร

ตอนได้ยินอยู่ระหว่าง ๒ เดือนนี้ อ๋อ เขาเพิ่งเล่า ๒ เดือนนี้ เอ้า เอาละ ทรัพย์กัลยาณชน คือเรามีเปรียบ เราได้เปรียบ มันเป็นบุญของเราด้วย เป็นบุญนี่ มันกลับกันนะ เราได้มานี่ ไม่ใช่บุญที่สูงหรอก มันก็ได้มาเองน่ะ ทรัพย์ของที่มันเป็นของเรา ของเรา มันก็มาหาเรา โดยที่ว่า เราไม่ต้องขวนขวาย ไม่ต้องมากมายอะไร มันก็เป็นบุญได้มา มันได้เปรียบมา แต่มันเป็นของเรา ถ้าเราไม่สละออกอีก โดยเอาที่ได้นี่ ไปเสพย์โลกียสุข นั่นแหละก็คือผลาญแล้ว ยิ่งไปถูกโลก มอมเมาเท่าไหร่ ยิ่งไปเสพย์โลกียสุขมาก จะต้องไปแสวงหาโลกียสุขมา บำเรอมากเท่าไหร่ คุณก็ต้องใช้จ่าย คุณก็ต้องเอาทุนรอนที่ได้นี่ แม้จะเป็นสมบัติของคุณก็ตาม คุณก็ต้องเอาไปใช้ นั่นแหละ คุณก็ยิ่งผลาญบุญ กินบุญเก่าพร่องไป พร่องไปๆๆๆๆๆหมด

เพราะฉะนั้น คุณไม่ไปผลาญ คุณไม่ไปเสพย์โลกียสุข คุณไม่ต้องไปใช้ทุนอันนี้ ถ้าคุณไม่สละออก ก็เหมือนกัน คุณไม่เอาอันนี้ไปต่อบุญ ต่อบุญ คือสละ ให้ได้ต่อบุญ คือเอาไปเป็นประโยชน์ ให้แก่คนอื่น อย่าเอามาเป็นเรา อย่าเอาไปซื้อมาให้เรา เอาไปให้เขาซื้อ เอาไปให้เขาใช้ เอาให้เขาอาศัย โดยจริงใจ จริงใจเท่าไหร่ สะอาดบริสุทธิ์เท่าไหร่ ตรงเท่าไหร่ บุญยิ่งสูง บุญยิ่งค่าสูง ค่าแพงเท่านั้น ฟังดีๆนะ ในความหมายที่อาตมากำลังอธิบายภาษาไทยง่ายๆ

เพราะฉะนั้น กัลยาณชน ที่มีภูมิธรรมสูงขึ้นไปสู่อริยธรรม อริยคุณจริงๆ เขาจะเข้าใจเรื่องจาคะ เรื่องให้ ยิ่งให้ยิ่งจาคะ ยิ่งสละ ยิ่งเอาออก ศาสนาไหนก็สอนเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ในระดับของ จิตวิญญาณ ที่จับอาการ ลิงคะ นิมิต จับอาการที่มันมีปัญญารู้อาการของจิต ว่าจิตโลภเป็นอย่างไร จิตเอามาไว้แก่ตัว จิตซ้อนเชิงเป็นธัมมัญญุตา มีเหตุ มีผลซับซ้อนๆ ซื่อตรงไหน ให้ๆจริงไหม ให้นี่ตรงไหน มีบูมเมอแรง ซ้อนอยู่เท่าไหร่ มีความโค้งมาหาตัวเท่าไหร่ ถ้าโค้งมามาก ก็ยิ่งราคาถูก โค้งมาน้อยลงๆๆ ราคาก็ยิ่งแพงขึ้นๆ ไม่โค้งมาหาตัวเองเลย ราคาเต็ม ไม่เป็นบูมเมอแรง ไม่ทำอะไร ขว้างออกไป ทำออกไป แล้วมันโค้งมาหาเรานี่ คือลักษณะบูมเมอแรง ไม่มีเลย ยิ่งไม่มีเท่าไหร่ ยิ่งตรง ตรงเท่าไหร่ นั่นแหละคือราคาแพงเท่านั้นๆ ตรงที่สุด ไม่โค้งมาหาเราเลย ราคาสูงสุด คนตรงตรงจริง แล้วก็มีปัญญาชำแรกรู้ความตรงอันนี้ ไม่ใช่ปัญญาง่ายๆ ปัญญาพวกนี้ ปัญญาต้องรู้ตัวเองจริงๆเลยว่า ความซื่อตรงที่จะไม่มีอะไรซ่อนแฝง ไม่มีอะไรโค้งคด ไม่มีซับซ้อน ชัด สะอาด เต็มที่ นี่ลักษณะพวกนี้ เป็นตัว กำหนดปัญญา ว่าปัญญาเราจะต้อง มีความรู้ มีตัวธาตุรู้ตัวนี้ที่ลึกซึ้ง ชำแรกอ่านนามธรรมของเราจริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องฝึกจริงๆ ตลอดเวลา ทุกกรรมกิริยา ตอนนี้เรามีความโกงเท่าไหร่ๆ มีความไม่ซื่ออยู่เท่าไหร่ มีความซ่อน ซ้อนอยู่เท่าไหร่ ที่จะเอา หรือจะให้

เพราะฉะนั้น เราจะต้องเป็นผู้สร้าง เป็นผู้มีกรรมการงาน การสร้าง การสรร ศาสนาของพระพุทธเจ้า จึงเป็นนักสร้าง ก็ตรงกับศาสนาคริสต์ นั่นแหละ เป็นผู้สร้าง เป็นพระเจ้า เป็นพระบุตร เป็นบุตรพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า เป็นฉายาพระเจ้า ตรงกัน แต่ของเขามีอัตภาพ ของเขาวางที่สุดไม่ได้ เป็นผู้ที่เก่งดีที่สุด เสียสละมากสูงสุด ให้ซื่อ ให้ตรงที่สุด แต่มันไม่มี วางอัตตา มันไม่มีปรินิพพาน มันไม่มีจบ มันไม่มีสูญ มันนิรันดร์ มันมีนิรันดร์ แต่ของพระพุทธเจ้ามีจะนิรันดร์ ก็ได้ จะสูญก็ได้ มันสมบูรณ์หมดเลย

เพราะฉะนั้น อยากจะเป็นโพธิสัตว์อยู่ เหมือนพระอวโลกิเตศวร อธิษฐาน ยังไม่ปรารถนาจะเลิก ฉันจะต้องเกิดมาช่วยคน จะต้องส่งคนไปนิพพานให้หมด ฉันถึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย แล้วโลกมันจะไปหมดคนเหรอ โลกนี้ไม่มี โลกหน้ามันก็มี โลกไหนก็มีอีก ยัง ท่านยังไม่ยอมปลด เอ้า ปล่อยท่าน อาตมาไม่เอาน่ะ นิรันดร์อย่างท่าน นานเท่านาน ท่านก็ว่าไป อาตมาก็เอาเท่าที่อาตมาพอ ถึงขั้นที่จะปรินิพพาน ปรินิพพานแล้ว ยังไม่ปรินิพพาน ยังจะทำอยู่ ยังจะทำก็ทำ ไม่ตั้งจิตอย่าง พระอวโลกิเตศวร

เพราะฉะนั้น นิรันดร์ก็มีศาสนาพุทธ คือมันยังไม่สูญสิ้นเลย มันก็นิรันดร์อยู่นั่นแหละ แล้วมันก็อยู่ที่เรา จิตเราเอง เราปรารถนาจะต่อ แล้วมีสิทธิ์ด้วย มีสิทธิ์จบ มีสิทธิ์เกิด มีสิทธิ์ตาย จึงเรียกว่า ผู้อยู่เหนือทุกอย่าง เหนือการเกิด การตาย จะสูญ จะปรินิพพาน สูญ ตายสนิท ไม่เกิดอีก ไม่เกิดจริงๆ ทำได้ แต่ฉันจะไม่ทำ ทำไม ฉันจะทำอย่างนี้อีก มันก็เป็นทุกข์ แต่รู้ว่าทุกข์นี้ ทุกข์น้อยลง ทุกทีแหละ ทุกข์น้อยลงทุกที

เพราะฉะนั้น กว่าที่เราจะได้รู้ กว่าที่เราจะได้เป็น จะได้มีอย่างที่อาตมาว่า อาตมามี เอาของตัวเอง มาพูด ไม่อ่านจากตำราไหนมา เราไม่ได้อ่านจากตำราไหนมา นี่แหละเป็นสมบัติ เพราะฉะนั้น เราจะได้สมบัติที่ซับซ้อน จนกระทั่งเรารู้ว่าตัวจาคะ ตัวเอาออก กัลยาณชน จะค่อยๆรู้ขึ้นไป สู่อริยชนขึ้นไป จริงๆ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีบุญได้เอง คุณก็สำนึกเอง ทำให้มันต่อ ผู้ทำต่อบุญ ได้โดยชัด ชัดมาก ก็เป็นอริยะมาก ชัดน้อย ก็เป็นอริยะน้อย และมีแรง นอกจากรู้แล้ว ก็ต้องมีแรงที่จะสละ หรือที่จะกล้า กล้าที่จะจาคะ กล้าที่จะสลัดออก กล้าที่จะไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีอัตตา อัตนียา ไม่มีตั้งแต่วัตถุ จนกระทั่งถึงนามธรรม

อาตมาเคยบอกว่าสมบัติ หรือทรัพย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีทรัพย์อะไรที่เยี่ยม เหมือนอย่าง พระพุทธเจ้าท่านมี พระพุทธเจ้าท่านได้ทรัพย์สมบัติที่สูงสุด ก็คือ พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นทรัพย์ที่วิเศษสุด พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือความรู้ ยิ่งกว่าศรัทธา ยิ่งกว่าศีล ยิ่งกว่า หิริโอตตัปปะ พหูสูต หรือสุตะ ที่ได้จาคะแล้ว ยิ่งกว่ายอดเยี่ยมปัญญา ยอดปัญญาอันยิ่ง รวมอยู่ในนี้หมด นี่แหละเป็นทรัพย์ เป็นนามธรรม สัมมาสัมโพธิญาณ ได้สั่งสมมายิ่งกว่าลึกซึ้งมาก เชื่อยิ่งกว่าเชื่อ เชื่อมั่นยิ่งกว่าเชื่อมั่น ไม่มีเปลี่ยนแปลง แล้วเชื่อที่มีพระปัญญาเข้ามากำกับ อย่างเยี่ยมยอด ศีลยิ่งกว่าศีล บริสุทธิ์ยิ่งกว่าบริสุทธิ์

หิริโอตตัปปะ รู้จักบาปอย่างละเอียดลออ ไม่มีบาป ไม่ทำบาป ละเอียดสุด มีแต่บุญกับกับบุญกับบุญ อย่าว่าแต่เกรงกลัวเลย ไม่ทำแล้ว จาคะบริบูรณ์ เพราะมีความรู้ มีสุตะองค์ประกอบ ที่มากมาย ก่ายกอง มีเงื่อนไขมหาศาลมาก จนเถียงไม่ได้เลย จนจำนนทุกอย่าง เงื่อนไขต่างๆนี้ เกิดจากท่าน ได้มีประสบการณ์เอง ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าน่ะ พวกคุณอาจจะมีเงื่อนไข จากฟังมาบ้าง เชื่อไปตามบ้าง อะไรบ้างก็แล้วแต่ประสบการณ์ของตัวเองบ้าง ก็ประกอบกันไป ก็เป็นองค์ประกอบ ที่มาก มีข้อมูลมาก เหมือนคอมพิวเตอร์ มีข้อมูลมากนั่นแหละ ก็ได้ สุตะนั่นคือ ข้อมูลมากๆ มีความรู้มากๆ มีสิ่งที่จะได้รู้ มีเหตุ มีผลอะไรมากๆ พร้อมพรักมากๆ จนคุณพอ หรือว่ายอมที่จะ จาคะ ได้จาคะเมื่อไหร่ ก็เป็นยอดสมบัติ ได้จาคะเมื่อไหร่ ก็เป็นยอดสมบัติๆ แล้วก็ปัญญาก็เห็น ความสละออก ของเราสละจริง สละจริง นี่ก็สละหวงๆ สละแฝงๆ สละแล้วก็ต้องการคืนตอบแทน อยู่นั่นแน่ะ จนกระทั่งสละไม่ตอบแทน สละไม่เอาอะไรคืน สละไม่ตอบแทน ญาณจะเห็นความจริงของเราว่า สละไม่ตอบแทน ไม่เอาคืนนี่ แล้วมันสละแล้ว มันยิ่งสละ มันยิ่งเป็นมหาสมบัติ มันยิ่งเป็นตัวสมบัติ ยิ่งวิเศษยอดของมนุษย์ ศาสนาไหนก็สอนให้สละ ศาสนาไหนก็สอนให้ทาน แต่ทานที่จะให้ลึกซึ้ง ทานที่จะเข้าใจลึกไปจนกระทั่ง ถึงนามธรรม พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่า มีพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นยอดสมบัติ มหาสมบัติ มันยอด หวงแหน มันยอดไม่อยากจะทิ้งนะ

พูดก็พูดเถอะ อาตมามีความรู้ มีโพธิยังไม่ได้มากเท่าไหร่หรอก สัพพะ นี่แปลว่า ทั้งปวง สัพพัญญุตญาณ หรือสัมมาสัมโพธิ เป็นโพธิ ที่สั่งสมมากขึ้น ที่ถูกต้อง สัมมาสัมโพธิ ที่สงบ สมะแปลว่าสงบด้วย แปลว่าที่ถูกต้อง สัมมานี่ด้วย สัมมาสัมโพธิ มีโพธิคุณ มีโพธิธรรม มีโพธิคุณ โพธิธรรม อันนี้อาตมาก็สั่งสมเรื่อยๆ ได้เท่าที่อาตมามีนี่นะ อาตมายังรัก อันนี้อยู่ ที่จริงอาตมา จะตั้งนามปากกาของอาตมาว่า โพธิรัก (ไม่มี ษ) ตอนแรกอาตมายังรัก อันนี้อยู่ แล้วยังจะรัก ไปอีกนาน อาตมาก็มีปัญญารู้ว่า ไอ้ตัวรักตัวนั้นน่ะ น่าเกลียดกว่า ตัวรักที่มี ษ โดยธรรมใช่ไหม โดยภาษาธรรมนี่ รัก ตัว ษ นี่ มันเป็นลักษณะ หน่าย คลายกว่ารักที่เป็น ลักษณะที่เป็นกิเลส น้อยกว่ารัก อาตมาเลิกเติม ษ เข้า ที่จริงตอนแรก นึกแต่แค่ๆว่า เราชื่อรัก ไม่มี ษ เราก็เอาโพธิรัก ก็แล้วกัน แต่เสร็จแล้ว โพธินี่ มันเป็นเรื่องศาสนา ที่จริง มันขึ้นมาเองน่ะ ทำไมถึงต้องมา เอาโพธิก็ไม่รู้ คำเยอะแยะ พุทธิรัก ก็ยังได้เลย ยังไม่เอาพุทธเลย เอาโพธิ อะไรก็ได้ แต่ไม่เอา เอาตัวนี้มา

อาตมามีสิ่งนี้เท่านี้ โพธิ สัมมาสัมโพธิ ถ้าจะเรียก แต่มันไม่ได้ดัดจริต ไปเหมือนพระพุทธเจ้า หรอกนะ อาตมาก็ต้องรักอันนี้เป็นค่า อาตมาจะทิ้ง แล้วก็จะปรินิพพานไหม แหม มันเป็นทาสนี่ คุณมีทองเท่าหนวดกุ้ง ก็รักเท่าทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว แล้วลองมีทองเท่าหัวละ โอ๊ย ! ไม่เป็นอันกินอันนอนหรอก ไม่ใช่นอนสะดุ้งจนเรือนไหว ไม่เป็นอันกินอันนอนหรอก ใครจะมาแย่ง เอาตายเข้าว่า แหม มาแย่งทองเท่าหัวของฉันได้เหรอ แหม บางคน มันไปรักสิ่งที่ มันไม่น่า จะเป็นทองเท่าหัวเลย เช่น ผัวเป็นต้น (ผู้ฟังหัวเราะ) มันรักผัวยิ่งกว่าทองเท่าหัว เอ้า นั่นเป็นคำพังเพยเขา อธิบายต่อไปซะ ถ้าคุณมีทองเท่าหนวดกุ้ง คุณยังรักหวง ไม่อยากให้ใคร ไม่อยากสละออกขนาดนั้น มีทองเท่าหัว มันก็ยิ่ง ไม่อยากสละใหญ่ แล้วสิ่งนี้ มันยิ่งใหญ่กว่าทอง เท่าหัวอีกละ มันยิ่งใหญ่ ค่ามันแพงกว่า คุณไม่อยากทิ้งง่ายๆหรอก ไม่อยากพรากง่ายๆ

เพราะฉะนั้น มาเป็นโพธิสัตว์ ก็ต้องหัดสละ อาตมาบอกแล้ว พระพุทธเจ้าจะสละ สัมมาสัมโพธิญาณ มันก็ต้องทิ้งนะ เพราะฉะนั้น เวลาชั้นสูงแล้ว เป็นพระเวสสันดร เราดูแล้ว มันเหมือนโลกๆน่ะ คิดโลกๆว่า เอ้อ พระเวสสันดร ทำไมไปรักพระโพธิญาณมากกว่า นั้นดูซิว่า นี่เอาลูกเอาเมียไปแลก ใจดำ โอ้ ดูซินี่ คุณก็ต้องหวงแค่ลูกแค่เมีย แต่พระโพธิญาณ ที่พระเวสสันดร ที่จะเห็นค่าของมันน่ะ ปัดโธ่เอ๊ย พูดจริงแล้ว ลูกเมียอะไร ก็พวกคุณนี่ ก็ยังไม่มีพระโพธิญาณ จะได้ไป เป็นโพธิสัตว์อะไร คุณก็ยังทิ้งมาเลย โลกเขายังตราหน้าว่า พวกคุณนี่ มันทิ้งลูก มันทิ้งเมีย มันไม่มีคุณค่า ไม่มีคุณงามความดี ต้องกำชับกันก่อนน่ะว่า เมื่อไปถึงบ้าน ไปทิ้งลูกทิ้งเมียไม่ได้นะ แหม ธรรมนี่มันวนจริงๆนะ คุณจะต้องดูความสมเหมาะ สมควร คุณจะทิ้งลูก ทิ้งเมียได้ เมื่อวานนี้ ก็มีคนมาถาม ว่าเออ เขาทิ้งลูก ทิ้งเมียมาอย่างนั้น มันไม่บาปเหรอ ถามที่นี่ หรือยังไงนี่ ใครถาม อ๋อ อาจารย์คนนี้เองถาม

ถ้าสมเหมาะสมควรว่าเขาอยู่ได้ ลูกเมียเขาพอเลี้ยงตน เขาก็กระเสือกกระสนหน่อยพอสมควร ไม่ใช่ไปดูทุเรศ ทุรังการ แม้ถ้าไม่มีเรา ก็ลำบากนะ เราก็ต้องช่วย เพราะเราเป็นผู้ไปสร้าง ไปผูกพันเขาเอง ไปก่อเอง เป็นเวร เป็นภัยของตัวเอง ตัวเองทำเองน่ะ ก็อย่างนั้นเองน่ะ ไปมีเมีย แล้วก็ไปมีลูกเอง ต้องรับผิดชอบ ถ้าเขาไม่มีเราก็ไม่ดีหรอก ต้องดูแล เลี้ยงดูเขาพอข้ามฝั่ง ข้ามฟาก พอเป็นไป พอไป แต่ถ้าเขาไม่หรอก

อาตมายกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า โถ พระพุทธเจ้าจะออกไปบวชยังไง ลูกก็ไม่ตาย เมียก็ไม่ตาย มีกินมีอยู่ทั้งนั้นแหละ เจ็บอกเจ็บใจโหยหาอาวรณ์ มันก็เป็นเรื่องกิเลสของตัวเอง จะร้องไห้ น้ำตาเป็นเลือด ก็ช่างเถอะ มีกิน มีอยู่ขนาดนั้น ใครก็เลี้ยงได้ สิ่งแวดล้อม พระพุทธเจ้าอย่างนี้ เป็นต้น หรือแม้ไม่ถึงพระพุทธเจ้า เราก็ดูแล้วว่า ครอบครัวของเรา ลูกเมียก็มีอยู่ มีอาศัยอยู่ได้ มีอยู่ มีกิน มีพอเป็น พอไป มีงาน มีการ มีสมบัติพัสถานก็มีแล้ว ก็พอเป็นไปก็พอแล้ว เราจะออกมา ก็ออกมาได้ ไม่บาปหรอก แต่ถ้าเผื่อว่ามันไม่ ก็ต้องอยู่ หรือจะอยู่ แต่ปฏิบัติให้ซ้อนเชิงก็ได้ อยู่นั่นแหละ แต่ก็หัดวางทางใน วางจริงๆนะ นี่ลูกเมีย ก็ตามวาง แล้วก็ทำหน้าที่ของพ่อ สามีของภรรยาอะไรก็แล้วแต่ ทำให้ดี แล้วซ้อนเชิงข้างในให้ดี ไม่ใช่ต้องมาบีบคั้น ว่าจะต้องมาบวช จะต้องมาบวช เอานะ ถึง ที่ที่สุด มันทนไม่ได้ มันถึงขีด มันถึงขั้น จะต้องออกจริงๆ อะไรก็ไม่อยู่ มีคำพังเพย บอกว่าคนเรานะ ๑ ฝนจะตก ขี้จะแตก พระจะสึก คนจะออกลูก อ๋อ มีหลายอย่างหนอ ฝนจะตก ขี้จะแตก พระจะสึก คนจะออกลูก คนจะบวชก็เหมือนกัน คนที่มันจะบวชถึงขีดถึงขั้น ยาก ห้ามยาก ถึงขีดจริงๆๆๆๆๆ กั้นยาก ในสมัยโบราณ ในสมัยพระพุทธเจ้านี่แหละ ผู้ที่จะไปบวชกับ พระพุทธเจ้านั้น ประท้วงพ่อแม่ ไม่กิน ไม่อยู่ ไม่อะไร เอาแต่นอนร้องไห้ เอาแต่ไม่กินไม่อะไร จะทรมานตัวเองให้ตาย ในสมัยพระพุทธเจ้ามีในพระไตรปิฎก มีหลักฐานจะออกมาบวช พ่อแม่ ก็ไม่ยอมแล้ว จนกระทั่งต่อสู้ ประท้วงกันจนพ่อแม่ต้องยอม เอ็งไปเถอะๆ เอ็งไม่ไป เอาตายแหงเลยนี่ ไปไปบวช ยอมให้ไปบวชเลย ในพระไตรปิฎกมีหลักฐาน มีประวัติศาสตร์ ตำนาน มีทั้งนั้น มันถึงขีด มันถึงขั้น มันก็ต้องมา

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปอยากมาบวช ทำเป็นไฟแรงหรอกน่ะ ทนให้มันได้ อยู่ให้มันได้ ทำให้มันสุดที่ สุดที่แล้ว มันถึงขั้น บอกว่าขี้จะแตกแล้ว จะต้องไปส้วมแล้ว ถึงขั้นนั้นแหละ ถึงค่อยมา ยังไม่ถึงขั้นนั้น อย่ามา ไม่ได้หมายความว่า เราจะล่าบริวาร เราจะต้องมาเอานักบวช มาอะไร

ทุกวันนี้ อาตมาพยายามที่สุด ตอนนี้ ก็ขอให้โหวตๆ ก็ชะลอๆ ไม่โหวตนี่ดูซิ มันจะอยู่ได้แค่ไหน ไม่โหวต มันจะสึกไปก็สึกไป แค่เป็นปะ ก็สึก ก็สึกไปเฮอะ แค่เป็นนาค เป็นกรัก จะสึกก็สึกไปเถอะ แต่เป็นกรัก อยากสึกสึกไปก่อน ไม่บวชให้ง่ายๆ ไม่ล่ะ ตอนนี้บอกว่ามีขนาดนี้ก็พอไป บวชแล้ว อยากจะสึกก็สึก ไม่ว่าอะไร บวชแล้ว อยากสึกก็สึกซี ไม่ว่า ไม่มีปัญหาหรอก มีบทฝึกหัด มีแบบฝึกหัด ให้คุณ จะทนอยู่ได้ไหม เพศนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมากถึงขั้นนี้แล้ว ขนาดนี้แล้ว อาตมาไม่มีปัญหาหรอก ขนาดนี้ก็บางที ก็หนักอกหนักใจเหมือนกันน่ะ บางคน บางรูป พูดเสียให้รู้เสียบ้าง (ผู้ฟังหัวเราะ) เอาคักๆ สอยเก่งนะโยมนี่ นี่เขาเรียกว่าสอย คือทางนี้เล่นบทบาท อยู่ทางนี้ เวลาหมอลำ เขาลำนี่ข้างล่าง แหม ฟังไอ้นั่น มันเข้าเรื่อง เข้าราวก็แต่งเป็นบทเป็นกลอน สอยตาม สอด มีลูกสอด ลูกสร้อยเสริม เข้าไปให้ด้วย เขาเรียกว่าสอย

เอ้า อาตมาก็พยายามจะเน้นทรัพย์ วันนี้ก็ตั้งใจจะเน้นเรื่องของทรัพย์ ให้มันลึก ให้มันซึ้ง ให้มันชัดขึ้นไป เพราะฉะนั้น ทรัพย์กัลยาณชน ก็จะมีภูมิธรรมขึ้นไปจริงๆ เพราะฉะนั้น แม้คุณจะมีบุญของคุณ มันได้มาเอง มันได้มา อย่างอาตมานี่ มีบุญได้มาเองหลายๆอย่าง ได้มันมี แล้วมันเป็นอะไรเล่า อาตมาไปใช้หว่านล้อม แล้วเขาหว่านล้อมกันเยอะด้วยนะ แหม หว่านล้อม เพื่อที่จะให้มาทำบุญกับเรา วิธีการเขามาก แล้วทำต่างๆ นานาสารพัด อย่างนิ... อย่างนี้ เป็นต้น โอ้! มีวิธีการสารพัดมากมาย เอาเงินเอาทอง ได้เงินได้ทอง อาตมาว่านั่นแหละ จอมโจรมหาบัณฑิต นั่นแหละ ได้บาปไปเป็นทรัพย์ ได้นรกอเวจีไปเป็นทรัพย์เท่าไหร่ วิธีการอย่างนี้ ในโลกมีเยอะ แล้วอาศัยช่องทางของพระพุทธเจ้าด้วย ไปหลอกคน อาตมาก็แน่ใจว่า นิ..... ทำอย่างนั้นน่ะ อาตมาแน่ใจ ใช้วิธีการอะไรต่างๆนานา แม่เยอะนี่ มีหมดเลยภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ตะวันตก แม่เยอะเลย แม่ต้องคนรวยๆด้วย แม่แต่ปางก่อน หลอกเขาเหลือเกิน แล้วก็ทำ มีวิธีการให้สนิทใจ แล้วก็เอามาให้หมด ก็ลูกนี่นะ สมบัติมีเท่าไหร่ก็ให้ซิ แย่เลย อย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เมื่อมาเป็นกัลยาณชน มีปัญญาญาณจริงๆ แล้วก็จะรู้จักทรัพย์ว่า อะไรเป็นทรัพย์ ที่วิเศษ อะไรเป็นทรัพย์ที่เยี่ยมยอดขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ยิ่งสละ ยิ่งเป็นทรัพย์ ยิ่งสละยิ่งเป็นทรัพย์ ยิ่งจาคะยิ่งเป็นทรัพย์ เพราะฉะนั้น ถ้ามันไม่สละ เราเชื่ออย่างนี้ศรัทธา เราก็หาวิธีกำราบตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง คือมีศีลตั้งตนเพื่อสำรอก เพื่อละโลภ ละขี้เหนียว ละความโลภ ความโกรธ ด้วยนั่นแหละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นแหละ ละโลภ ละความเห็นแก่ตัว ละความยังเอา เป็นของตัวของตน ปฏิบัติ ทีนี้ ถ้าคุณปฏิบัติได้เกิดญาณลึกขึ้นเรื่อยๆ จึงจะเกิดหิริ ญาณ ความรู้ของตนเองถึงจะเกิดละอาย เอ๊ เราตั้งใจจะสละ แล้วก็ไม่สละจริงนะ ยังบูมเบอแรง ยังโค้ง ยังงอมาให้ตัวเอง ยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ตรง ยังไม่ซื่อ จะสละได้ขนาดนี้ ก็ยังไม่หมดเลย ทั้งๆที่เหลือ ขยักไว้แล้วนะ ยังไม่ออกเลย คุณก็จะรู้ว่ามีหิริ คุณก็ให้มันสอดคล้องกับจาคะเข้าไป เรื่อยๆ หาความรู้ มีสุตะ จนคุณมีความเห็น มีญาณ มีอะไรลึกซึ้ง หิริก็กระเถิบขึ้นไป เป็นโอตตัปปะ กลัวแล้ว เอ๊ เราจะละ เราจะเลิก เราจะสลัดออก เราจะตัดออก ไม่เป็นสมบัติของเรา ไม่เอาอาการ ไม่เอาอารมณ์ ไม่เอาความคิด ไม่เอาความรู้สึกอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้ ไม่เอาแล้ว ก็จะต้องให้เป็น จริงๆเลยว่า ไม่เอาละ ความรู้สึกที่ยังหวง ยังแหน ยังจะเป็นของเรา ยังจะเอาเป็นเรา ยังจะสะสม กอบโกย เอาออกๆๆๆๆๆ โอตตัปปะก็คือตัวกลัวต่อบาป จะ ต้องเอาบุญ บุญก็คือการชำระ การเอาออก กิเลสโลภนั่นแหละ เป็นตัวหลัก ก็ล้าง มันวางออกจริงๆ

เพราะฉะนั้น คุณทำได้เมื่อไหร่ ก็เป็นจาคะ จาคะตั้งแต่จาคะอย่าง ย้อนแย้ง จาคะอย่างทำบุญ ข้าวทัพพีหนึ่ง ขอถูกล็อตเตอรี่ ๒ ที รางวัลที่ ๑ นะ นี่คือ จิตขี้โลภขนาดหนักแล้ว อย่างนี้เป็นต้น จริงๆก็อยากได้จริงๆด้วย นี่แย่ เอาละ ไม่อยากได้ แต่ก็อยากได้อยู่บ้าง ได้ก็ดี ถูกล็อตเตอรี่ ไม่อยากได้ได้หรอก ถูกก็ดี ทั้งๆที่ได้มาแบบไม่เข้าท่า ไม่ต้อง คนนี้ไม่ต้องเล่นล็อตเตอรี่ ไม่ต้องซื้อล็อตเตอรี่หรอก ถ้ามันจะมีสิ่งที่ตอบแทนมา มันก็เป็นเรื่องของงาน

เพราะฉะนั้น ทำงานน้อย แต่ก็ได้มามาก ก็เป็นบุญของเรา อาตมาเป็นคนที่ทำมากได้น้อย ค่าตัวถูก จริงๆ ตั้งแต่เป็นฆราวาสมาทำงานนี่ ทำงานเหมือนกัน ไอ้เพื่อนมันทำงาน มันเหยาะแหยะด้วยซ้ำไป ทำไมมันได้แพงกว่าเรา แล้วเราได้ถูก แต่ก่อนก็นึกริษยาเขา แต่ที่แท้มุมซ้อน มุมกลับ เราได้ทำงานมาก แต่เราได้น้อยนี่ เรากำไร เข้าใจไหม ชัดไหม แต่ก่อนนี้ยังไม่ชัดหรอก แต่ก่อน โถ เราทำแทบตาย ทำไมเราได้น้อย แล้วมันทำนิดเดียว แล้วมันทำฉาบฉวยด้วย มันยังได้ราคาแพง ค่าตัวมันสูง ขึ้นเวที เป็นโฆษก อาตมาก็เป็นโฆษก เหนื่อยน่ะ ไอ้นี่มาหน่อยเดียว เอาไปสองหมื่นห้า อะไรอย่างนี้ โอ้ เราทำแทบตาย ได้แปดสิบ เราก็นึกว่าเรานี่ราคาต่ำ นี่ มองในแง่ในโลก ก็เราต่ำต้อย นี่ค่าตัวมันโอ้ เป็นโฆษกก็แปดสิบ แต่นั่นค่าตัวเขาตั้งสองหมื่นโน่นแน่ะ ชั้นสูง เจ้านั่นแหละซวย เจ้า สองหมื่นนั่นแหละซวย เห็นไหม มันกลับกันหมดเลย คนเรานี่มันกลับ แต่ก่อนไม่นึกอย่างนั้น แต่ก่อนคิด อย่างหลายคนคิดนี่แหละ แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า เราทำมาก แล้วได้น้อย นั่นแหละเรากำไร เราทำน้อยได้มาก เราขาดทุน ดีไม่ดีไปได้เปรียบไปเอาเปรียบอะไรเขา เป็นบาปเป็นหนี้อีก มีพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นหนี้ เป็นอะไรต่ออะไรต่างๆนานาไว้ชัดเหมือนกัน แล้วก็ค่อยว่ากัน แล้วตอนนั้นถึงขยายความ

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว เมื่อเรารู้ชัด มันก็จะเข้าหลักนี่หมดแหละ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ จาคะ ปัญญา ก็คือ รู้เห็นความจริงตามความเป็นจริง อย่างถูกต้องอย่างชัดเจน แล้วรู้ที่เรา รู้ของเรา รู้ปรมัตถ์ รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน นี่แหละเป็นตัวรู้ที่รู้สูงสุด ไอ้รู้ข้างนอกก็ประกอบ จะรู้วัตถุรูป ทรัพย์ศฤงคาร เงินทอง กิริยากรรม อะไรต่างๆนานาข้างนอก ก็ไปประกอบอารมณ์ ไปประกอบความรู้สึก เวทนาในใจ รู้จักเวทนาชัดเจน โดยจนกระทั่ง ถึงขั้นเวทนาในระดับเนกขัมมะ การเอาออก สละออก เนกขัมมสิตะ จนกระทั่งถึง อุเบกขา อาการของอุเบกขา โสมนัส โทมนัส อาการของดีใจ เสียใจ อาการชอบ อาการชัง อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ รู้จนกระทั่งไม่มี ไม่มีชอบ ไม่มีชัง ไม่มีอิฏฐารมณ์ ไม่มีอนิฏฐารมณ์ อุเบกขา วางกลาง แต่เข้าใจนะเห็นอาการนิ่ง อาการเฉย อาการไม่เอียงเอน ไม่โต่งไปข้างหนึ่งๆ ไม่มีกาม ไม่มีอัตตา ไม่มีอะไร กลาง นี่มัชฌิมาตัวสูงสุด อุเบกขามัชฌิมา ตัวสูงสุด กลางแล้ว ไม่กระดิกแล้วตัวนี้ จะถล่มมาอย่างไรๆ ก็ไม่กระดิก แน่ แน่น แน่วแน่ กลาง แต่มีญาณ ญาณปัญญานี่รู้ รู้ตามโลก สมมุติสัจจะเขาว่าอย่างนี้ ผู้นั้นได้ ผู้นี้เสีย ผู้นั้นดี ผู้นี้ชั่ว เราเข้าใจหมด เราเป็นส่วนดีหมด อยู่ในภาคของดี ส่วนของดี แม้ดีที่เราเป็น เรามี ก็ยังไม่เป็นเรา เฉยๆ สูญๆ กลางๆ สูญนี่กลางสุด สูญ นิวตรอน ไม่กระดิก ไม่บวก ไม่ลบ แต่เรามีบวก เรามีดี เรามีได้ เรามีมากด้วย แต่ก็วางได้ว่าไม่เป็นเรา ไอ้ตัวเรา ตัวสูญสุดนี้แหละ นี่ญาณปัญญา จะต้องเห็นความจริง ถึงลึกซึ้งถึง ปานนั้น ถึงเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอนุสัยอาสวะจริงๆ นี่ ขยายความซ้อนนะ ซ้อนจากตั้งหลักว่าทรัพย์ แล้วก็ไล่ศีล ไล่หิริ ไล่โอตตัปปะ สุตะ ความรู้ที่เสริม จนจาคะ จนเป็นปัญญา นี่เป็นสมบัติ มหาสมบัติ

เพราะฉะนั้น กัลยาณชนที่จะไต่ขึ้นไปสู่อริยชน ก็จะต้องมีภูมิรู้ ศาสนาแต่ละศาสนา เขาก็สอน ไปสู่อริยะ แต่อริยะที่ชัดเจน อริยะที่เด่นจนกระทั่งถึงปรินิพพาน ศาสนาพระพุทธเจ้า มีปรินิพพาน หรือมีนิพพานที่ไม่เหลือตัวเหลือตน เพราะฉะนั้น เขาสอนให้ดี ให้มีอัตตา ให้เป็นคนเสียสละ ศาสนามากศาสนา มากศาสนาไหนๆ ก็สอนเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น ศาสนาไหนที่ยิ่งรู้การวาง ไม่มามีอัตตา จะเป็นโวหาร ภาษาของใครเขาเรียกว่า พระวจนะ พระวจนะ เป็นคำสอนของศาสดา แต่ละศาสดา ลึกซึ้งขนาดไหน ก็เท่ากับศาสนาที่มีพระศาสดา ที่ลึกซึ้งเท่านั้นๆ มันไม่แปลกอะไร

เพราะฉะนั้น เมื่อเราชัดอย่างนี้ เชื่อมั่นถึงว่านามธรรมเป็นทรัพย์ เรามีทรัพย์ที่เป็นนามธรรมแล้ว วัตถุธรรมเรื่องเล็ก วัตถุธรรมจะไม่กลัวตาย จะพูดด้วยเหมือนกันว่ากำลัง ๔ ทำให้ไม่กลัวทุกอย่าง ไม่กลัว ๕ ประการ ก็จะพูด แต่ว่าคงปลุกเสกฯนี่อาจจะไม่ถึง ต้องไปต่อพุทธาภิเษกก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องขยาย อาตมาจะต้องขยายงานปลุกเสก พุทธาภิเษกนี่ จะขยายทรัพย์ อริยทรัพย์ แท้ของมนุษย์ ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้

เพราะฉะนั้น อาจจะพูดซ้ำซ้อน อาจจะพูดวนอะไร ก็ต้องตั้งใจฟังดีๆ อาตมาพยายามชอนไช มันวนก็ตาม ชอนไชไปในมุมในเหลี่ยมที่มันลึกซึ้ง ถ้าคุณฟังดีๆ จะรู้ว่ามันจะลึกไปอย่างไร ขยายกันอย่างไร มันมามีปฏิสัมพันธ์ ปฏิสัมพัทธ์ยังไงกัน ชำแรก แซกซ้อนยังไงๆ ก็จะต้องฟังดีๆ มันถึงจะเข้าใจ

เอาละ ก็สรุป ทรัพย์อย่าง ๓ ระดับง่ายๆ แล้วก็เป็นทรัพย์ที่มีค่า ก็คือทรัพย์ที่ไม่มีอะไร ทรัพย์ที่เรา จะต้องสละออก ไม่เป็นเรา เป็นของเรานี่สุดยอด นะคำยอด เพราะฉะนั้น ภาษาคำนี้ มันยอด พูดกันเล่นๆ ไม่มีระดับมันไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องมามีศีล ตั้งแต่ศีล ๕ ศีล ๘ สละไป ศีล ๑๐ ศีลโน่น ศีล นี่อะไรๆ ที่จะขจัด แม้แต่ศีลแต่ละข้อ ศีล ๕ ก็มีความเป็นอธิศีล คือศีลที่ยิ่งขึ้น สูงขึ้น เคร่งครัดขึ้น เราวัดได้จริงๆ ด้วยความจริงว่าศีลนี่ มาตรการอย่างนี้ ความหมายของศีล ว่าอย่างนี้ เราเป็นแล้ว เป็นตามศีลจริงๆ เลย แล้วมันจะสูงขึ้น ศีลจะสูงขึ้น ก็เพราะมีหิริโอตตัปปะ เราทำตรงนี้ ศีลเราตั้งแล้ว เราละอายจริงๆ ว่าเราจะละอันนี้ จะเว้นขาดจากอันนี้ จะเลิกอันนี้ ศีลก็ให้เว้นขาด ให้ละ ให้ตัดออกทั้งนั้นแหละ ให้สละทั้งนั้นแหละ ทำได้จริงๆคุณ จนกระทั่งถึงกลัว ถึงโอตตัปปะ จนกระทั่งมีเหตุผลแวดล้อม มีสุตะ มันเข้ามา มีหลักฐาน อะไรต่ออะไร ทั้งประสบการณ์ ทั้งความหมาย ความรู้ที่เรียน ที่ฟัง ได้มาทุกด้าน พหูสูต หรือสุตะ ได้มาทุกด้าน เป็นความรู้ เสริมๆๆๆมา จนมันมีอำนาจ มีแรงที่จะเกิดจากหิริ เป็นโอตตัปปะ จนกระทั่งกลัวแล้วก็ละ เป็นจาคะๆๆๆๆๆๆ ปัญญาเห็นจาคะ ที่แท้สมบูรณ์ขึ้นมาจริงๆ นั่นแหละเป็นสมบัติประจำวัน ประจำวัน ประจำลมหายใจเข้าออก ทุกลมหายใจเข้าออก ปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออกประจำวัน

วันหนึ่งทำหนเดียวไม่ได้หรอก น้อยไป ทุกลมหายใจเข้าออก ต้องปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะ ทุกขณะต้องรู้ตัว จะต้องปฏิบัติให้ได้ เป็นสะสมทรัพย์ พูดอย่างนี้นี่ โอ้โฮ มันละเอียด และมันมาก โอ้ โฮ จะทำไหวเหรอ ไม่ไหวหรอก ก็ทำไปเท่าที่เรามีอินทรีย์พละรู้ตัว มีสติรู้ตัว แล้วก็มีแรง ที่จะละได้ บางอย่างรู้แสนรู้อยู่ว่านี่ควรละ ควรละให้หมดนั่นแหละ ทุกอย่างนั่น นี่ คุณหมดทุกคนนั่นแหละ มันจะไปทำได้ทันทีที่ไหน ใช่ไหม ก็ทำตามฐานะของเรา ทำให้ได้ ตามที่เราตั้งไว้ ศีล คือตัวกำหนดให้แก่ตัวเอง หลักเกณฑ์ตัวเอง เอาขนาดนี้ก่อน จะละจะทิ้ง จะวางจะปล่อย จักเลิก จะชำแรกออกเท่านี้ ได้แล้วเพิ่มขึ้นๆ อย่าไปติดตัง ไปติดแป้น ไปติดเจ้า ไปติดศาลอยู่ชั้นเดิม ชั้นเก่าไม่ได้ ทีเวลาซีไม่เลื่อน ยัง แหม ไม่ชอบใจ เลื่อนซีบ้างซิ ให้มันซีสูงขึ้น เรื่อยๆ ต้องเติมขั้น ท่านไม่ส่งเสริมการหยุดอยู่ การอยู่ที่เก่า ท่านส่งเสริม การเจริญๆขึ้นอยู่อย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น การตรง การนิ่งนั้นน่ะ ตรง นิ่ง แต่ไม่หยุด เจริญขึ้น ยิ่งตรงเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี ไม่ใช่ตรง นี่เขาเรียกตรงเป๋ นี่เขาเรียกตรงเป๋ง ต้องตรงเป๋ง ไม่ใช่ตรงเป๋

เอ้า เอาละ วันนี้เอาแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ก็ว่าต่อใหม่


ถอดโดย อารามิกดงเย็น จันทร์อินทร์ ๖ มีนาคม ๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๑ โดย โครงงานถอดเท็ป
ตรวจทาน ๒ โดย สิกขมาตปราณี ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๔
แก้ไข เมื่อ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๔
FILE:1337F.TAP