ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๔ โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔ ในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕ ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ วันนี้ วันที่ ๕ ของงาน แต่ว่าเรื่องทรัพย์นี่พูดกันเป็นครั้งที่ ๔ วันนี้ เพราะฉะนั้น ทรัพย์ของเรา ไม่จำเป็นจะต้องไปกำหนดว่า นี่ของกู นี่ตัวกู นี่ของกู นี่ของกู ไม่ต้องไปกำหนดหรอก สร้างทรัพย์จริงๆที่ไม่ต้องนึก ไม่ต้องไปแบก ไปหามอะไรเลย สร้างโดยกรรม สั่งสมโดยกรรมอย่างที่กำลังกล่าวนี่แหละ สั่งสมไปเถอะ แล้วก็ให้เกิดตั้งแต่นี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านตราว่าทรัพย์ ทรัพย์ของมนุษย์ ทรัพย์สูงสุดนี่มันมี ศรัทธา มีศีล มีหิริ มีโอตตัปปะ มีสุตะ หรือพหุสุตะ มีจาคะ มีปัญญา นี่แหละเป็นยอดมหาทรัพย์ แต่ฟังธรรมดาๆพวกคุณ ก็ยังฟังไม่ออก ทรัพย์อะไรกันอย่างนั้น ทรัพย์มันก็ต้องทองน่ะซี ทรัพย์มันก็ต้องเพชรน่ะซี ทรัพย์มันก็ต้องบ้านหลังใหญ่ๆซิทรัพย์ ทรัพย์มันก็ต้องใบหุ้นซิ ทางบ้านนอกก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง หรอกนะ มันจะสำคัญอะไรใบหุ้น ทรัพย์มันก็ต้อง โอ้โฮ ! ฉางข้าวโตๆ ทรัพย์มันก็ต้องบ้านใหญ่ๆ มีเสาร้อยต้น หลังใหญ่ๆ มีฉางข้าวมากๆ มีนาพันไร่หมื่นไร่ ทรัพย์มีที่ดิน ที่นา ที่ไร่ มีอะไรอย่างนั้นซิทรัพย์ เสร็จแล้วก็มีสิ่งที่งอกเงยออกมาได้ เอาไปขายได้ ขายได้เงินมา เงินนั่นแหละ ทรัพย์จริงๆน่ะ อยากได้อะไรก็ไปซื้อ อยากได้เพชรซื้อเพชร อยากได้ทองซื้อทอง อยากได้ผู้ชาย ซื้อเอามาเป็นผัวเลย แน่ ! ทำไม อยากได้ผู้หญิง ก็ซื้อมาเป็นเมียเลย ทำไม เขาซื้อกันเยอะแยะไป เดี๋ยวนี้ อาเสี่ย ซื้อกันด้วยวิธีการต่างๆ นานา ให้รถเก๋งคันหนึ่งยังไม่ยอม ให้บ้านอีกหลังหนึ่ง ก็ยังไม่ยอมมาเป็นเมีย ให้อะไรให้ใหญ่เลย เดี๋ยวก็เสร็จ นั่นแหละเขาถือว่าเป็นทรัพย์ ทำไม พระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสว่า เพชรคือทรัพย์ ทองคือทรัพย์ เงินคือทรัพย์ ท่านทำไม ไม่ตรัสอย่างนั้น ท่านโง่เหรอ ท่านไม่โง่นะ ท่านเป็นยอดปราชญ์ แต่เราเข้าใจไม่ได้ เราจะไม่รู้ เราอ่านเอาว่า เออนะ ไอ้นี่ล่ะเรียกว่าทรัพย์นะ ศรัทธาอะไร เสร็จเรียบร้อยนะท่านก็สรุป ทรัพย์คือ ศรัทธา คือศีล คือหิริ คือโอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา และปัญญาเป็นที่ ๗ ทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือชายก็ตาม บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่าเป็นผู้ไม่ยากจน โธ่! เงินไม่เห็นพูดสักคำเลยว่าไม่ยากจน แล้วเงินไม่มีซักบาท มีแต่ศรัทธา แล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ ปัดโธ่! แล้วแถมมีศีลเสียอีก โอ้ ! แล้วไม่มีทรัพย์ ไม่มีเงินสักบาท มีแต่ศรัทธา มีแต่ศีล มีแต่หิริ มีแต่โอตตัปปะ มีแต่สุตะ จาคะ ปัญญา อยู่ไหน บอกว่าไม่ยากจนเสียอีกแน่ะ โอ้! ชีวิตของผู้นั้น ไม่เปล่าประโยชน์ แน่ ! ท่านบอกว่าไม่มีเปล่าประโยชน์อีก มันจะทำอะไรได้ดูซินี่ บาทหนึ่งก็ไม่มี แต่ท่านก็ยืนยันว่า นี่คือทรัพย์ เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าจะสอน อย่างนี้ อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ ทรัพย์ไม่เอาละเพชร เพชรนิลจินดาอะไร ไม่มีเลย ก็ไม่มีปัญหาหรอก ขอให้มีทรัพย์นี่เถอะ จะได้เป็นทรัพย์ของมนุษย์ จริงๆเลย ถ้าได้จริงๆ ยิ่งลึกซึ้งไปแล้ว เป็นระดับอริยทรัพย์ด้วยแล้ว ก็จะสำคัญน่ะ เอาละ ได้ขยายความไปแล้ว อาตมาจะเข้าถึงศรัทธาเสียที ๓ วันแล้ว ทีนี้ เริ่มต้นว่าทรัพย์คือศรัทธากันก่อน ทำไมมันเป็นอย่างนั้นเล่า ฟังดีๆ แล้วเราจะเข้าใจ ทรัพย์คือศรัทธาเสียก่อน นอกนั้นมันเรื่องต่อทั้งนั้นล่ะ มันจิตวิญญาณนี่เป็นตัวหลักทั้งหมดเลย อะไรๆในโลก โดยเฉพาะความเป็นมนุษยชาติ มีจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เริ่มต้น ถ้าคุณเชื่อ ทรัพย์ตัวแรกคือศรัทธา แปลว่าเชื่อ ศรัทธาน่ะแปลว่าความเชื่อ แล้วเชื่อ มันไม่ใช่เชื่อธรรมดาน่ะ มนุษย์ มันเชื่ออย่างเห็นฝังใจ มันเชื่ออย่างลึกๆ บางทีเรายังสำนึกนอก มันอาจจะเชื่อไม่ดีเสียด้วยซ้ำไป แต่ศรัทธาตัวในนั่นมัน โอ้โฮ ! มันแรงกว่าสำนึกนอกนะ สำนึก นอกก็อย่างโจรอย่างนี้ มันพอรู้เหมือนกันนะ ปล้นไม่ค่อยดี แต่ตัวใน ตัวศรัทธาที่เป็นทรัพย์ในตัวมัน เป็นวิบากของเขาเลย เรียกว่าเขาได้สั่งสมเป็นกรรมเป็นวิบาก เป็นกัมมัสสกตา เป็นตัวที่เป็น กัมมัสสกตาศรัทธา เป็นตัวศรัทธาที่เป็นของของเขา ของของตน กัมมัสสกตา นี่คือกรรมเป็นของ ของตน เชื่อว่ากัมมัสสกตา แล้วที่จริงเขาไม่เชื่อ เพราะเขาไม่เข้าใจด้วยปัญญา ที่อาตมาเชื่อ เพราะอาตมาเข้าใจด้วยปัญญา แล้วก็เอามาอธิบายให้พวกคุณฟัง ตัวโจรเอง ไม่รู้หรอกว่า เขามีกัมมัสสกตา กัมมัสสกตาคือกรรมเป็นของของตน เขาเชื่อ เขามีศรัทธาของเขาอยู่ ของเขาเอง เขาไม่รู้หรอก แต่มันมาออกบทบาท พอเกิดมามันก็มีวิบากของเขาเป็นอย่างนั้น กัมมัสสกตา ของเขาเป็นอย่างนั้น ทุนของเขาเป็นอย่างนั้น กัมมทายาโท มรดกของเราเป็นโจร มีวิบากชั่ว มีวิบากอกุศล แต่ในใจลึกๆไม่รู้ แต่มันมีแล้ว สำนึกนอกนี่รู้เหมือนกันว่า ปล้นไม่ดี หากินทางนี้ไม่ดี แต่เขาก็มามีรายได้ มามีเงิน มามีทองด้วยการปล้น เพราะตัวลึกของเขา กัมมัสสกตาของเขา กรรมวิบากของเขา วิบากศรัทธาของเขา ความเชื่อเป็นวิบาก ของเขาอยู่ในใจลึกๆว่า ไอ้นี่แหละ มันสบายดี ปล้นกินละสบายดี เขาสั่งสมอันนี้มา อันนี้ พวกนี้ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่มีตถาคตโพธิสัทธา ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่เชื่อผี เชื่อซาตาน เพราะฉะนั้น ไม่มีศรัทธาตัวนี้ เชื่อผี เชื่อซาตาน จึงไปสั่งสมอันนี้ ไปมีกรรม มีพฤติกรรมเป็น กัมมศรัทธาอย่างนี้ จึงเกิดเป็นผล เป็นวิบาก วิปากศรัทธา อันนี้จึงมีของของตัวของตน สั่งสมเอาไว้ เป็นกัมมัสสกตาศรัทธาเป็นของตัวเอง เป็นกรรมของตัวเอง กัมมัสสกตา เป็นของของเขา เป็นมรดกว่า อย่าไปปล้น พอเกิดมาชาตินี้ มีวิบากตัวนี้มา พามาเกิดก็เป็นชุดมาเลย มาเรียนรู้ บางทีอาจจะได้เรียนดี ครูสอนว่าอย่าไปปล้น ไปจี้เขากินนะ มันบาป มันเวร ไปเอามา กลายไปเป็น เจ้าพ่อเลย เป็นโจรอย่างหนักด้วย เป็นมาเฟียเลย จบปริญญานะ โจรบางโจร จบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นจอมมาเฟียในระดับโลก เขามีถึงขนาดนั้น ทุกวันนี้ เป็นจอมโจร มหาบัณฑิต อภิมหานิรันดร์ แล้วเขาก็จะปล้นกิน โดยไม่ให้คนรู้ว่าปล้น เพราะสำนึกนอก มันรู้ว่า ปล้นไม่ดี ก็พราง ก็บัง ก็ไม่บอก ไม่ให้ใครรู้ แต่วิธีการก็คือปล้นเราดีๆนี่แหละ ฉ้อฉลโกง เป็นกุหนา เป็นอาชีพระดับกุหนา อาชีพระดับโกง โกงกินบ้าน โกงกินเมืองอย่างนี้ นี่แหละ โจรแท้ๆเลย เพราะเขามีสมบัติศรัทธาเดิมมาอย่างเดิม ก็พูดกันทุกวันนี้ บอกว่าไม่ดี โกงไม่ดีหรอก อย่ามาโกงบ้าน มาโกงเมือง มันชั่ว มันบาป ฟังสองหูทะลุเลยนี่ เข้าหูหมู ทะลุหูหมา ไปอยู่ตลอด เวลาเลย ไม่ใช่เขาไม่ได้ยินนะ แต่เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อ อย่าพูดเสียให้ยากเลย ถึงจะพูดกับคุณ คุณพูดน่ะ คุณยาก จ้างให้ฉันก็ไม่เชื่อ ไม่จ้าง ให้เงินอีกก็ยังไม่เชื่อเลย อะไรก็ไม่เชื่อ เขาก็จะเป็น อย่างของเขาเป็น เขานึกว่าวิธีการอย่างนี้ เขานึกว่าอันนี้แหละ เป็นกรรมกิริยา เป็นกรรมคือ การกระทำ เป็นสิ่งที่ดีของชีวิต แล้วเขาก็ทำจนกระทั่งตายไปแล้ว ตายไปเล่า ตายไป บางทีคนตายไป คนที่ทำอย่างนั้นตายแล้ว ยังได้ใส่โกศเลย ใส่โกศนี่คือมีคุณงามความดีทางโลก มียศ มีศักดิ์ มีอะไรต่ออะไร ที่ได้ใส่โกศตาย แต่เขาเป็นคนชั่ว เขาเป็นจอมโจรมหาบัณฑิตด้วย เพราะรากเหง้า ของชีวิต รากเหง้าทของจิตวิญญาณ มันมีศรัทธาตัวอย่างว่า เขาไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เขาไม่มี ตถาคตโพธิสัทธา ไม่เชื่อ ไม่มีศาสนา ถึงมีก็มีกันไปอย่างนั้นน่ะ ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ชนิดหนึ่ง ด้วยซ้ำไป เพื่อที่ตัวเองจะได้โกง ได้กุหนา ได้ลปนา ได้หลอกลวง ได้โกงคนกินอยู่ มีอาชีพชั่ว มีอาชีพชั่ว นี่คือ ตัวรากเหง้า เห็นไหม ศรัทธามันมีอย่างนี้ ฟังดีๆ ฟังธรรมดีๆ ฟังดีๆ แล้วคุณจะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ไม่มีใครมาขยายความ คุณก็อ่าน อ่านกันมาเยอะแยะแล้ว บอกว่า นี่เป็นทรัพย์ อาตมาไม่ได้มาแปลธรรมหรอก เขาแปลมาเอง ทางโน้นแปล ทางด้านมหาเถรสมาคม หรือว่าทางศาสนากระแสหลักโน่นแหละ เขาเป็นผู้แปล อาตมาไม่ได้แปลเองหรอก นี่เอาสำนวน ลอกมาจากพระไตรปิฎก นั่นน่ะมีทรัพย์เป็นตัวรากเหง้า เป็นศรัทธินทรีย์ เป็นศรัทธาพละ แต่ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ ท่านอธิบายมาในทางเจริญ พระพุทธเจ้าสอน ก็สอนอย่างนี้ แต่อาตมาพยายามอธิบายให้มันไปคลุม ไปถึงด้านเสียหายด้วย ทางด้านต่ำ ด้านบาป ด้านชั่ว ด้านอันธพาล ด้านความเลวของคนด้วย เพราะฉะนั้น มันเป็นจริงเหมือนกัน ศรัทธา หรือศรัทธินทรีย์ที่มีพละ กำลัง ศรัทธาพละ มีกำลัง พละกำลัง ศรัทธาพละ ที่จริงกำลังนี่ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า กำลังมันมีปัญญา กำลังแห่งปัญญา กำลังแห่งความเพียร กำลังแห่งการทำงานไม่มีโทษ แต่นี่เป็นกำลังแห่งการงานมีโทษ กำลังปัญญา เป็นกำลังเฉโก เป็นกำลังที่ไม่ใช่ปัญญาพละ เป็นกำลังที่เป็นเฉกพละ เป็นเฉกพละ เป็นความเฉลียวฉลาดที่เป็นพลัง เสร็จแล้วเขาก็มีความเพียร มีวิริยะพลัง แต่เป็นวิริยะ เป็นความเพียรที่จะทำชั่ว เพียรนะไม่ใช่ไม่เพียร อุตสาหะวิริยะเลย อุตสาหะ วิริยะจริงๆเลย เพียรสั่งสม แล้วก็ทางเขานึกว่า เขาเข้าใจว่า เป็นการงานอันไม่เป็นโทษ แต่ที่จริงสำนึกนอกพอรู้ แต่ลึกๆมันไม่เป็น เพราะฉะนั้น เขาจึงมีกำลังแห่งการงาน อันเป็นมิจฉาอาชีวะ มิจฉาชีพ ไม่เป็นอนวัชช ที่จริง อนวัชช นี่ แปลว่าไม่มีโทษ การงาน อนวัขชพลัง เป็นการงานอันไม่มีโทษ แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ได้คิดว่า อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนมาว่า การงานไม่มีโทษเป็นอย่างไร เขาไม่เชื่อ เขาไปเชื่อผี เขาเชื่อความชั่ว เชื่อซาตาน แหม ! แล้วไม่ปรากฏตัวเสียด้วยซิ อยู่ทั่วไปหมดเลยซาตาน แล้วก็เชื่ออันนั้น ก็มีกำลังแห่งการงานที่เป็นกุหนา เป็นลปนา สูงขึ้นไปกว่านั้น ที่จริงไม่พ้นอาชีพแค่ตลบตะแลงด้วย แค่อาชีพข้อที่ ๓ มอบตนในทางผิด ไม่ใช่มอบตนน่ะ เป็นหัวหน้าเลย หัวหน้างานที่ผิดเลยทีเดียว อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นสภาพที่เป็นกำลัง และเป็นกำลังจริงๆเลย เป็นกำลังที่มันมีฤทธิ์ มันมีแรง มีอำนาจ แล้วคนพวกนี้ไม่พ้นภัย ๕ คนพวกนี้ไม่พ้นภัย ๕ นะ นี่ขยายความทิ้งไว้ก่อน เดี๋ยวจะได้ ขยายทีหลัง ทีนี้ ก็ลองขยายความให้มันชัดๆดูว่า เมื่ออาตมาบอกแล้วว่าความเชื่อ มันมีเชื่อ เชื่อเป็นระดับๆ ทีนี้ความเชื่อของเขาปักมั่นอย่างนั้นจริงๆ เขาก็เป็นอย่างนั้น เป็นตัวบทบาทในชีวิตเลย นี่แหละ เป็นทรัพย์ เพราะฉะนั้น แม้จะไปบอกว่าทรัพย์คืองเงิน คือทอง ก็มาจากศรัทธา เขาก็จะได้ทรัพย์ ได้เงิน ได้ทอง ได้บ้านช่องเรือนชาน ได้ โอ้โฮ ! ร่ำรวยเยอะนะคนในโลกนี้ ปล้นอย่างสมัยโบราณ มันจะต้องไว้หนวด ไว้เครา หน้าเหี้ยม โพกผ้ามา ถือดาบถือมีดมาเลย ปล้นกันอย่างสมัยก่อน ปล้นสมัยนี้ คนมันฉลาดแล้ว เรื่องอะไรจะมาปล้นอย่างนี้ให้เห็น ตัวหัวหน้าใหญ่ ที่มันได้มากๆ มันนั่งบงการเป็นเสฯอยู่ที่สำนักโน่น แล้วก็ให้ลูกน้องไปปล้น ปล้น วางแผน วางวิธีการอะไร เสร็จแล้วมันก็ร่ำรวยมา นี่ก็ปล้นจริงๆเลย ทีนี้สูงขึ้นมาเป็นจอมโจรมหาบัณฑิต ไม่ปล้นอย่างนั้น ไม่ปล้นอย่างแบบนั้น ปล้นอย่างที่เรียกว่า นึกว่าทำดี ลวงโลก ลวงมนุษย์ ลวงประชาชนว่าเขาทำดีด้วยซ้ำไปนะ แหม ! แต่เขารวยเละเลย รวยจริงๆ แล้ว เขาก็ได้ทรัพย์ศฤงคารพวกนี้มา นี่พวกนี้เป็นทรัพย์เห็นไหม มันต่อเนื่องมา แต่ทรัพย์เหล่านั้น ได้มาโดยทุจริต ได้มาโดยบาป เป็นหนี้มหาศาล เราเข้าใจว่า อะไรคือหนี้ อะไรคือบาป เป็นหนี้มหาศาลเลย ไม่ต้องยกตัวอย่าง ใครต่อใคร คุณนึกเอาก็แล้วกัน พอเสร็จแล้ว ตายไปใส่โกศน่ะ แต่ว่าต้องโดนริบทรัพย์ ใส่โกศนะ ตอนตายเผา แต่ว่าต้องโดนริบทรัพย์ อย่างนี้ เป็นต้น นั่นจับได้ ไอ้ที่จับไม่ได้ยังมีอีกเยอะ ไปตายต่างประเทศมั่ง ไม่มีแผ่นดินจะตาย อยากตายใน เมืองไทย ยังไม่ได้ตายเลย ออกชื่ออย่างประเภทแบบต่างประเทศเขาก็แล้วกัน อย่างมาร์กอส อย่างนี้ โอ้ ! แหม มีทรัพย์เยอะมหาศาลเลย โอ้ ฟิลิปปินส์จะเป็นของเขาหมดเลย ตายยังไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ขอเข้าก็ไม่ได้ นี่เขายังไม่ยอมให้ แม้แต่เมียก็ยังไม่ยอมให้เข้าเลย จนป่านนี้ ตายไปก็ตั้งนานแล้ว เมียจะขอเข้าไปตายในฟิลิปปินส์ บ้านเกิดเมืองนอน เขายังไม่ยอมให้เข้าเลย อย่างนี้เป็นต้น นี่ ประเภทนี้ เขาก็มีทรัพย์ เห็นไหม เพราะศรัทธาลึกๆเขาเป็นอย่างนั้น แล้วเขาก็ได้สั่งสม ความฉ้อฉลที่ซับซ้อนลึกซึ้ง เป็นมหาจอมโจรบัณฑิต กุหนา ลปนา มีอาชีพอันโกง อันหลอกลวง อันเลวร้าย เป็นมิจฉาชีพ เข้าใจให้ได้นะ มิจฉาชีพไม่ใช่หยาบๆ ตื้นๆเท่านั้น มันซับซ้อน ลึกซึ้ง แล้วพวกเรากำลังถูกครอบงำ กำลังจะเรียนจบปริญญาตรี โท เอก ไปหรือว่าไม่ไปจบก็ตาม เดี๋ยวก็จบ นักเรียนนนายร้อย มาเป็นร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก แล้วเป็นพลเอก เป็นจอมพล จอมพลก็โดนริบทรัพย์ เหมือนกัน มันก็ไปอย่างนั้นน่ะ ถ้าเผื่อว่ามันมีศรัทธา มีความเชื่อ มีวิบากของตน โดยไม่เรียนรู้ ศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ได้ศรัทธา ไม่มีตถาคตโพธิสัทธา ไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าสอนทำอย่างนี้ เลิกเสียอย่างนั้น จงมาปฏิบัติอย่างนี้ ไม่เชื่อ ไม่มีศรัทธา แต่โดยลวงๆ มอมๆเมาๆ เปลือกๆ พอเข้าใจ แต่ตัวลึกเป็นตัวบทบาทนั้น มันก็เป็นอย่างที่ว่านี้ เพราะฉะนั้น คนที่ศรัทธาในระดับอันธพาล ที่อาตมาบอกแล้วว่า มันมีศรัทธา หรือว่ามีทรัพย์ ทรัพย์ของอันธพาล เพราะฉะนั้น คนที่ศรัทธาอย่างอันธพาล จึงหาทรัพย์อย่างอันธพาล คนมีศรัทธา อย่างกัลยาณชนแต่ละระดับ ก็หาทรัพย์อย่างกัลยาณชนแต่ละระดับ พวกเราก็คงจะไม่รู้ ถึงขั้นอันธพาลเปล่า เผลอๆไปเป็นอันธพาลบ้างหรือเปล่า มีเป็นอันธพาล ไปหาทรัพย์อย่างโกง อย่างอะไรมาเล็กๆน้อยๆ บ้าง กลับตัวได้ไว กลับตัวได้ช้า แล้วแต่ นี่กลับตัวมากัน มาได้บ้างก็ดีแล้วนี่ ได้มาฟังธรรมะ ได้มาเข้าใจสัจจะอะไรดีขึ้น ก็กลับตัวมา มาเกิด ได้มาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า มีตถาคตโพธิสัทธาขึ้นมา ก็ดำเนินซิ กรรมวิบาก อะไรของตัว เพื่อที่จะสั่งสมเป็นกัมมัสสกตา กัมมัสสโกมหิ ก็เอาซิ ทำเข้าไป สั่งสมมันเข้าไปนั่นแหละ มันจะได้ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว มันจะต่อเนื่องไปอีกตั้งนาน นี่แหละ เป็นตัวยั่งยืนนานเนแหละ เมื่อเป็นอริยะ ก็มีตถาคตโพธิสัทธาแน่ๆ เพราะฉะนั้น ก็แสวงหาทรัพย์อย่างอริยะ พวกเราหลายคน คงรู้แล้วว่า แหม ! เราได้มาหาทรัพย์อริยะแล้ว เห็นไหมว่า มันเข้าหลักเข้าเกณฑ์หมดเลย เข้าหลัก เข้าเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ท่านยืนยันอะไรต่ออะไรไว้ ท่านตรัสไว้ แล้วพวกเราเป็นได้ อาตมายิ่งพูด อาตมายิ่งชื่นใจ คนข้างนอกเขาบอกว่า ไอ้นี่มันมีจิตวิทยาสูง หลอกให้คนมาทำงานฟรี หลอกให้คน มาทำงานซ่อกๆ ดูซินี่ ตื่น ๒ ยาม ตื่นตี ๑ แล้วก็ไปทำงาน แต่ก่อนก็มีร้านของตัวเอง ขายได้ ๒ หมื่น ๓ หมื่น เดี๋ยวนี้เข้ามา ไม่เห็นได้สักกะแดงเลย แล้วก็มาทำงาน ตื่นตี ๑ ตี ๒ ด้วย ตื่น ๒ ยาม ต้องไปซื้อของแล้ว มาขายกว่าจะเสร็จ โอ้! กว่าจะล้างจาน กว่าจะเก็บหาง คนอื่น เพื่อนๆฝูงๆ บางทีก็ทิ้งหางไว้ให้เขาเก็บ นี่สำนวนพวกเรา ทำงานทิ้งหางให้เขาเก็บนะ ไอ้คนที่ไม่บ่น ไม่พูดอะไร ง่อกๆๆๆ ทำก็ทำไป เก็บหาง แหม! หางเลื้อยเฟื้อยเสียด้วยบางคนน่ะ หางเน่าๆด้วย เก็บไปเสร็จ กว่าจะได้กลับมา กว่าจะได้พักอะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราก็ทำกันไป แล้วเราก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มัน ไม่ใช่การขาดทุน มันความเห็นกลับไปหมดแล้ว ไม่ใช่การขาดทุนหรอก เป็นการกำไร เป็นการได้ ใครรู้สึกสำนึกเอา ไม่ต้องไปบังคับกันหรอก ปัญญา ของใคร ปัญญาของมัน ใครฉลาดก็ทำเอา แล้วเราทำได้ ไม่ใช่คนเดียว ทุกวันนี้ อาตมาพูดได้อย่าง แหม ! มันสามารถพิสูจน์สัจจะ ของพระพุทธเจ้า นั้นทวนกระแส มันเป็นการเสียสละ มันเป็นการที่ เป็นประโยชน์ คุณค่าลงไปให้แก่สังคม ไม่ได้แลกเปลี่ยนอะไรมา พ้นมิจฉาชีพถึงระดับ ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา อย่าว่าแต่ กุหนา ลปนา ไอ้แค่การโกง การหลอกลวง การมอบตนในทางการตลบ ตะแลง เนมิตตกตา ตลบตะแลง นิปเปสิกตา ยังมอบตนอยู่ในทางผิด อย่าว่าแต่แค่นั้นเลย มามอบตนอยู่ในกลุ่ม ที่ถูกต้อง อยู่ในบริษัทที่ถูกต้อง อยู่ในมิตรสหายที่ถูกต้อง ช่วยกันสร้างสรร ทำงาน แล้วก็ไม่มีแลกลาภ แลกอะไรมา เอาอันนี้ไปแลกอันนั้น เอาลาภไปแลกยศ เอายศไปแลก สรรเสริญ เอาสรรเสริญไปแลกความสุข เอาลาภไปแลกความสุข เอายศไปแลกความสุข เอาสรรเสริญไปแลกความสุข ไม่มีอะไรไปแลกอะไร โลกียสุขเป็นตัวหลักนี่ก็ลดๆๆๆ ไม่ได้ทำมาแลกมาเป็นสุข ทำงานให้เขา เขาชมเชยก็ไม่ได้สุข ไม่ได้ฟูใจฟองใจอะไร เขาสรรเสริญ เยินยอ ก็ เออ! ก็เข้าใจ เขาเข้าใจว่าดีแล้ว ถูกแล้ว เราดูของเราว่าจริงหรือเปล่า เขาแกล้งยอ มาแกล้งยอฉันว่าฉันเป็นดวงจันทร์หรือเปล่า ที่แท้เราไม่ได้เป็นดวงจันทร์เลย เราเป็นอะไรก็ไม่รู้ เขาแกล้งหรือเปล่า เห็นชัดๆ ตรวจตราตัวเองให้ชัด ก็ไม่ฟูฟอง ไม่สรรเสริญ ไม่แลก ไม่เปลี่ยน เป็นสัมมาอาชีพ พ้นมิจฉาอาชีพถึงระดับทำงานก็คืองาน ไม่เกิดโลกียะ หรือโลกธรรมพวกนี้เลย จะลด บกพร่องบ้าง ลาภลดไปหน่อย ยศไม่มี หรือยศมันลดไปเปลี่ยนไป ก็ช่างยศ ยศคือ การกำหนดตำแหน่งหน้าที่ สรรเสริญเยินยอ บางทีทำไปทำมา คนไม่เข้าใจ ดันผ่าไปนินทาว่าร้าย ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ติเตียน ด่าทอเสียด้วยซ้ำ เราก็ตรวจตราว่าเขาด่าถูกหรือด่าผิด ถ้าเขาด่าถูก เออ! เราผิดจริงๆแฮะ เราบกพร่องจริงๆแฮะ แก้ไข ถ้าเขาด่าแล้วไม่ถูก ตรวจอย่างไรๆ ไม่เข้าข้างตัวเอง มันดีนะ มันถูก แต่เขาเข้าใจไม่ได้ เราก็วางใจเสีย ถ้าทำได้ต่ออีก ทำ ถ้าทำยังไม่ได้ต่อ ต้องพักก่อน เพราะว่ามันเกิดการติดขัด เกิดการยึกยัก ไปไม่ออก เอ้า ! พักก่อน ต้องชะลอ แล้วค่อยๆเป็นไป ค่อยๆไปใหม่ เพื่อความสงบเรียบร้อย เพื่อความเป็นไปด้วยดี อะไรต่างๆนานา เราก็ค่อยๆเป็นไป ทีนี้ พูดถึงผู้ที่ศรัทธาอย่างที่ว่านั้น เมื่อกี้นั้น ถ้าคนที่มีศรัทธา มีปัญญาและมีความฉลาด ศรัทธานี่ จะไม่ทิ้งปัญญา ที่จริงฉลาดอย่างเฉโก ก็คือฉลาดใช่ไหม ไม่ทิ้งตัวฉลาด จะโง่ก็ตาม มันก็คือ ตัวที่ฉลาดน้อยที่สุด นั่นแหละคือมันโง่ที่สุด มันฉลาดน้อยที่สุด คือมันโง่ที่สุด ใช่ไหม มันประกอบไปกับศรัทธา เพราะเมื่อตัวเองมีศรัทธาอย่างอันธพาล ตัวเองก็จะมีหลักเกณฑ์ เรียกว่าศีล จะมีหลักเกณฑ์ของชีวิต หรือจะมีระบบของชีวิต หรือจะมีทฤษฎีของชีวิต ต้องทำอย่างนี้ กำหนดให้ตัวทำอย่างนี้ มันเป็นศีลอัตโนมัติ มันเป็นศีลโดยที่ตนเองกำหนดให้ตนเอง ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะตั้งศีลหลักให้ฟังว่ามีศีล ๕ มีความหมายอย่างนี้ เป็นต้น แล้วก็ค่อยๆทำเป็นอธิศีลขึ้นไป นี่ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า มันไม่มีบุญ ไม่ได้พบศาสนาพุทธ พบเหมือนกัน เกิดมาจากท้องแม่ ก็อุแว้ออกมา เขาก็บอกแล้วว่าพุทธก็ตาม แต่มันไม่ได้รู้เรื่อง ของพุทธ ไม่เอาใจใส่ ไม่ศึกษา ไม่เอาถ่าน ก็ไม่มีศาสนาจริงๆ ไม่ได้เชื่อว่า พระพุทธเจ้า ไม่มีตถาคตโพธิสัทธาเลย ก็ไปศรัทธาอย่างที่ตัวเองศรัทธา ศีลจึงเป็นศีลของตัวเอง ศีลของไอ้โจร ศีลของมหาโจร สอนกันซิทีนี้ มีครูบาอาจารย์คนอื่น ซึ่งไม่ใช่พระพุทธเจ้า มีจอมโจรอย่างหยาบ หรือจอมโจรอย่างกลาง หรือจอมโจรอย่างยักษ์ จอมโจรอย่างใหญ่อย่างยักษ์ จอมโจรอย่างมหายักษ์ หรือจะจอมโจรอย่างเล็ก อย่างน้อยขนาดบรรจุซอง ขนาดผงธุลีละอองอะไร ก็ตามใจคุณเถอะ เขามีจอมโจรที่สอนกันอยู่ในโลกนี่แหละ แล้วเราก็ไปศรัทธาตาม ไปเชื่อตาม ทั้งๆที่มันไม่น่า ไปหลงเชื่อตามเลย ไปถูกเขาหลอกอะไร สามัญก็พอนึกรู้ว่า มันชั่วนะ ไปทำตามเขาชั่วๆอย่างนั้นน่ะ แต่ตัวจิตลึกๆ ที่มันมีรหัส มันมีรหัสอย่างนี้ มันก็รับรหัสอย่างนี้ มันมีโปรแกรมอย่างนี้ มันรับโปรแกรมอย่างนี้เลย โอ้ย! ไวด้วยนะ มันรับปั๊บๆ คล่อง ไอ้ที่รหัส อย่างของพระพุทธเจ้าส่งให้ คนละเรื่อง รับไม่ติด รับไม่เข้า เพราะมันไม่มีพื้น มันไม่มีทรัพย์ มันไม่เป็นทรัพย์ มันไม่เป็นสมบัติ มันไม่มี อันนั้นน่ะไม่มี อันอย่างนั้นน่ะ มันไม่มี มันรับไม่ติด มันคนละเรื่อง มันคนละโลก มันคนละเผ่า มันคนละพันธุ์ มันคนละตระกูล มันไม่ใช่ตระกูลอโศก มันไม่ใช่อโศเกี้ยน มันคนละ Family มันคนละ Species คนละอย่างไปหมดเลย มันก็ไปกันอย่างโน้น เพราะฉะนั้น บางทีนี่ ไม่ใช่บางทีหรอก มันเป็นอยู่แล้วล่ะ มันก็เป็นอยู่ล่ะ พวกนี่ถึงบอกว่า มันก็อยู่ของเขา เราก็อยู่ของเรา อยู่ด้วยกัน แต่มันก็อยู่กันคนละตระกูล เดินผ่านกันก็ยาก เพราะคนละแบบ คนละอย่าง กรรมคนละอย่าง กิริยาคนละอย่าง ชอบความยินดีกัน คนละอย่างเลย เสร็จแล้วมันก็ไม่สงบ เพราะมันไม่เป็นเอกภาพ มันไม่สอดคล้อง มันไม่สามัคคี เห็นว่าเป็นดีไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีศรัทธา ฟังดีๆนะ กำลังขยายความเรื่องศีล เสริมเข้ามากับศรัทธา มันจึงมีหลัก ของชีวิต ศีลนี่ มีหลักเกณฑ์ ยิ่งตั้งขึ้นมาเป็น กำหนดสัจจะ ฉันจะต้องทำอย่างนี้ ฉันจะต้องมุ่งมั่น เอาอย่างนี้ให้ได้ ฉันจะต้องเป็นโจร เป็นระดับหัวหน้าโจร เป็นเจ้าพ่อ เป็นเจ้าแม่ เป็นมาเฟีย มันก็ทำจนสำเร็จ บางทีบางคนมันไม่คิดจะทำเป็นมาเฟียหรอก มันไม่ได้ตั้งใจอยากเป็น เพราะว่า สำนึกของคนในโลก มันรู้เหมือนกัน มันบอกเหมือนกันว่า เฮ้ย ! มันไม่ดีหรอกอาชีพนี้ แต่ตัวกรรมวิบากของเขา กัมมัสสกตาของเขามันมากเหลือเกิน ไม่เจตนาเลย เอาไปเอามา เป็นยอดมาเฟีย เป็นยอดจอมโจรโดยไม่เจตนานะ สำนึกนอกนี่รู้เหมือนกัน แต่ไอ้คนเจตนานั่น มันยอดตัวมันเองเลย ฉันจะต้องเป็นจอมมาเฟียให้ได้ ฉันจะต้องเป็นเจ้าพ่อให้ได้ จะต้องเป็นอะไร ให้ได้ นี่ ใครพูดก็ไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็พยายามพากเพียรจนเป็นอยู่ในโลก อยู่ในสังคม มันก็เป็น อย่างนั้นจริงๆ บางคนมาเรียนรู้สำนึกนอกเขาสอนว่า ดีอย่างนี้นะ มีบาป มีศาสนา มีพระมีเจ้า สอน พูดพอได้ยิน พอรู้เหมือนกัน แล้วก็ไม่นึกจะเป็น แต่ตัวทรัพย์ของเขามันแรง สมบัติของเขามันแรง ไปสั่งสมมาเสียนาน แก้ไม่ได้เลย แก้อย่างไรก็ไม่ได้ตลอดชีวิต บางทีไปแก้ได้ก่อนตายโน่นน้อยทีเดียว เสร็จแล้วก็เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่อะไรหยาบคายไป อย่างนี้ยังมีคนช่วยบ้างนะ เป็นโจรแบบนี้ จะมีคน ช่วยเสมอ เพราะมันโจรหยาบๆ แต่จอมโจรบัณฑิตนี่นะ คนดีๆ พยายามที่จะช่วยก็ช่วยยาก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ในระดับสูงๆ ที่จะไปช่วยน่ะนะ ยาก อาตมาจะไปสอนเขาได้ยังไง จะไปเทศน์ ให้เขาได้ยังไง เขาต่างหาก เทศน์ให้คนฟัง ทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วเชื่อ อาตมาเทศน์ไม่ค่อยเชื่อ แล้วก็ไม่ฟัง นี่ไม่ได้พูดด้วยความน้อยใจนะ เห็นไหม มันเป็นอย่างนั้นนะซับซ้อน ฟังดีๆ นี่ไม่ได้ส่อเสียดนะ ฟังให้เห็นความจริง อาตมาพูดที่มันละเอียดขึ้นมา หยิบมาพูดให้หมด แล้วจะเห็นว่า ความจริงมันเป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย เขาไม่ฟัง เขาไม่เชื่อ ไม่เข้าใจ พวกคุณมานั่งฟัง เป็นพันๆ ได้อย่างนี้ มาเข้าใจได้อย่างนี้ เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของอาตมาเลย ในฐานะที่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ทำได้ขนาดนี้ แต่ละปี ก็มากันพันสองพัน ดูซิว่า จะกี่สิบปีจะลดลง พันสองพัน ก็คงจะไม่กว่านี้มั้งนะ พระพุทธเจ้ามาฆบูชาของท่าน ยัง ๑,๒๕๐ เอง อาตมานับตัวไปตัวมาก็ถึง ๑,๒๕๐ แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ บางทีมีอันธพาลมาบ้าง ปนๆมาอยู่นี่ ต่าง ต่างกันโดยนัยหลายๆอย่าง ตัวเลขอาจจะเสมอกันได้ แต่หลายอย่างมันไม่เท่าเทียมหรอก ไม่ใช่อรหันต์หรอก อรหอยเยอะอยู่เหมือนกัน ก็ได้อย่างนี้ มานั่งฟังธรรมนี่ บอกว่ามาฆบูชาที ก็เหมือนมาประชุม ท่านไม่นัดหมาย แต่เราต้องนัดกันแทบแย่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องนัดหมาย แต่อาตมาต้องนัดกันแทบแย่ ก็ได้เหมือนกันน่ะนี่ ๑,๒๕๐ ก็พอได้ กว่าจะถึงนี่ โอ้โฮ ! เริ่มต้นตั้งแต่ ๒๕ ไม่ใช่ ๒๕๐, ๒๕ กว่าจะถึง ๒๕๐ กว่าจะถึง ๑,๒๕๐ โอ้โฮ ! เป็นสิบๆปี กว่าจะถึง ๑,๒๕๐ แล้วแถมยังมีไม่ใช่พระอรหันต์หรอก อรหอย มีอันธพาลบ้าง ส่วนอันธพาลมาผสมบ้างหน่อยๆ อะไรก็แล้วแต่เถอะ ก็ได้ขนาดนี้น่ะ มาฟังธรรมนี้ ฟังสาธยาย อาตมาแน่ใจว่าอาตมา ไม่ได้มาโกหกคุณ ไม่ได้มาหลอกคุณ เอาของพระพุทธเจ้ามาพูด เอาของตถาคตมาพูด มาอธิบาย มายืนยัน มาทำให้คุณเข้าใจ ให้เกิดความเห็น ให้เกิดปัญญา ให้เกิดความฉลาด คุณจะศรัทธา หรือไม่ศรัทธา ก็ไม่รู้ คุณมาทีหนึ่ง คุณได้เสริมศรัทธาไปเท่าไหร่ มาอยู่กัน ๕ วัน ๗ วันนี่ แหม ! อุตส่าห์มาปลุกเสกฯ นะนี่ ปลุกไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันเข้าไปเท่าไหร่ ไม่รู้อัดพลังนี่ พลังปัญญา พลังความเพียร พลังการงานอันไม่มีโทษ พลังสังเคราะห์ พลังที่จะได้ไปช่วยเกื้อกูลมนุษย์ ระหว่างสังเคราะห์ ตัวหลักก็คือมาที่สังเคราะห์นี่แหละ สังคหพละนี่แหละ สังเคราะห์มันก็ไม่มีอะไรหรอก สังเคราะห์ตัวนี้ สังคหะพละ ตัวนี้ก็คือ ทาน คือศีล ปิยวาจา หรือ เปยยวัชชะ คืออรรถจริยา นี่สังคหวัตถุ ๔ คือสมานัตตตา นี่แหละ กำลังอันนี้แหละ กำลังแห่ง การทาน การบริจาค การให้ กำลังแห่งเปยยวัชชะ ปิยวาจา มาทางด้านวาจา คำพูดก็จะต้อง ให้คนได้ทรัพย์ ขัดเกลา เปยยวัชชะ นี่จะต้องดื่มคำตำหนิติเตียนได้ นั่นถือว่าเป็นคำไพเราะ ไอ้พูดเพราะๆ แล้วคนก็ชื่นใจนั่น ปัดโธ่ ! เด็กป ๑ มันยังพูดได้เลย แม่จ๋า อะไร มันก็เอาแล้ว ชื่นใจแล้ว ลองตำหนิแม่ แล้วให้แม่ชื่นใจดูซิเล่า นั่นแหละ เปยยวัชชะ นั่นแหละปิยวาจา ได้ไหมเล่า หัวแตกเลยเหรอ นี่ มันกลับกัน เห็นไหม โดยเฉพาะ อรรถจริยา คือเนื้อหาของกรรม จริยาก็คือพฤติกรรม อรรถก็คือแก่นสาร (essence) ภาษาอังกฤษว่าเนื้อหาแท้ แก่นสารของเนื้อหา เนื้อหาของพฤติกรรม กรรมนั่นแหละคือตัวปรากฏ กรรมคือตัวทุกอย่าง กรรมคือตัวสังสม กรรมคือตัวทรัพย์จริงๆน่ะ กรรม แล้วอรรถจริยามีอะไร อรรถจริยา ก็คือ สัมปรายิกัตถประโยชน์ สัมปรายิกกัตถประโยชน์ คืออะไรบ้าง ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา นี่คือทรัพย์ เห็นไหม อรรถจริยา ก็คือทรัพย์ ๔ นี่แหละ บอกแล้ว หิริโอตตัปปะกับสุตะ หรือพหุสุตะ ๓ ตัวนี่ เป็นตัวขยายลึกซึ้งซับซ้อน เพื่อที่จะให้เกิดศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาซ้อนๆๆๆ นั่นอริยทรัพย์ ๔ นี่อริยทรัพย์ ๗ เพราะฉะนั้น แน่ๆจริงๆ ก็คืออริยทรัพย์ ๔ นั่นแหละ คือทรัพย์ที่แท้ ให้เกิดศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ให้ได้ แล้วทำไมบอกว่า ได้สัมปรายิกัตถประโยชน์ เคยอธิบายมาแล้ว โลกหน้ามันไม่ใช่โลกที่ จะต้องตาย ไปถึงโน่น ตายไปถึงโน่นก็ได้ อธิบายกันแค่นั้นก็ได้ คุณตายแล้ว คุณจึงจะได้ทรัพย์ เหล่านี้ นั่นแหละมันติดตัวคุณไปน่ะแหละ ตายแล้วคุณก็ติดตัวไปนั่นแหละ ก็ได้ไอ้นี่แหละ เป็นทรัพย์ ทรัพย์จะตายไป จะได้ มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญานั่นแหละ ไปโกงเงินเขามา แล้วได้ตั้งหมื่นล้าน มันกองอยู่ตรงนี้น่ะ มันไม่ไปหรอก แต่มันจะได้ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ตายไปสัมปรายิกัตถประโยชน์ เป็นตัวประโยชน์แห่งตนที่จะติดไป ได้อันนี้ ได้ศรัทธา ได้ศีล ได้จาคะ ได้ปัญญา นั่นอธิบายอย่างตัวตนที่ตายร่างกาย แล้วก็ไปสู่ชาติหน้า แบบง่ายๆ ทีนี้ โลกหน้า สัมปรายิกภูมิ โลกหน้า จะได้มีประโยชน์ในโลกหน้าของเรา เอาอยู่เดี๋ยวนี้ นั่งอยู่นี่แหละ มีโลกหน้า เดี๋ยวนี้ก็โลกหน้า โลกแต่เก่าๆ โลกแต่ธรรมดาของมนุษย์ ก็คือโลกปุถุชน ดีไม่ดี ไปหาโลกอันธพาลให้ตัวด้วย เสร็จแล้ว เราก็มาสั่งสมโลกใหม่ พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ โลกใหม่ เป็นโลกโลกุตระ ไม่ใช่โลกียะ หรือโลกธรรมดานั่น เป็นโลกสามัญ หรือโลกียะนั่นน่ะ มนุษย์เกิดอยู่ในโลกนั้นทั้งนั้น มนุษย์ธรรมดา มนุษย์ปุถุชน เกิดในโลกนั้นทั้งนั้นแหละ ยังไม่เคยพบ โลกุตระหรอก เพราะฉะนั้น คนมาพบโลกุตระ แล้วทำตนให้ เป็นมนุษย์โลกุตระ ให้ได้นั่นแหละ ได้เกิดในโลกใหม่ ในโลกหน้า ในโลกอีกต่างหาก ปร ปรโลก นี่ โลกใหม่ โลกอื่น โลกต่างจากโลกียะ โลกต่างจากที่ ใครๆก็เกิดวนเวียนอยู่ในโลกนี้ทั้งนั้นแหละ เป็นสวรรค์นรก โลกียะ สวรรค์หอฮ้อ อยู่ในโลกนี้ทั้งนั้นแหละ จนกว่าเราจะพบโลกใหม่ ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ เป็นโลกุตระ เป็นมนุษย์ อีกต่างหาก เป็นมนุษย์โลกุตระอย่างนี้ เราก็สั่งสมศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา จนกระทั่งปฏิบัติประพฤติได้ผล ได้ผลของศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ศรัทธาพระพุทธเจ้า ศีลของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจนกระทั่งเกิดจาคะได้ ละออกได้ ละโลกเก่า โลกที่เป็นโลกแห่งอบายมุข โลกที่เป็นโลกที่ไปหลงในกาม โลกที่หลงในโลกียะ โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกนั้นน่ะ ออกจากโลกนั้น มาสู่โลกใหม่ได้ทิ้งจาคะทิ้ง ละ เลิก หลุดพ้น ออกมาสู่โลกใหม่ได้ จาคะมาได้ มีปัญญาคือรู้จริง เห็นจริงว่าเราออกมา ได้จริงๆ เรามาเป็นคน มาจริงๆ ไม่ได้ได้มาแต่ภาษา ไม่ใช่ได้แต่รู้ ไม่ใช่ได้แต่ท่องจำ ได้แต่สอนกัน บอกกันกล่าวกัน แต่ตัวจริงไม่ออกมาจริงๆ ไม่ได้ล้างออกมาจนกาย วาจา ใจ ไม่ได้ล้างตัวเองออกมา จนกระทั่ง เป็นตัวเองเลย มาเป็นอัตโนมัติ มาเป็นเลย ยังไงๆ เกิดมาก็เป็นพระ เกิดมาก็เป็นสมณะ เกิดมาก็เป็น ของมันเองเลย ไม่ต้องเกิด อยู่ดีๆ ไม่ก็มีสติสัมปชัญญะอะไรควบคุมเท่าไหร่ มันก็เป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นคนโลกใหม่ เป็นอัตโนมัติเลย ไม่ต้องควบคุม ไม่ต้องตั้งใจ มันก็เป็นเอง เป็นตถตา เป็นอัตโนมัติ เป็นตัวแท้เลยได้ ให้มันได้อย่างนั้น สั่งสมให้มันได้อย่างนั้น เกิดมาเป็น คนโลกใหม่ได้อย่างนั้น จึงเรียกว่า สัมปรายิกภูมิ หรือโลกใหม่ หรือ ปรโลกของพระพุทธเจ้า เป็นโลกนี้โลกหน้า นี่อาตมาเอาเรื่องโลกนี้ เอาโลกหน้ามาอธิบาย ให้พวกคุณฟัง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อริยะของพระพุทธเจ้า ที่สามารถชี้โลกนี้ โลกหน้า เปิดเผยให้พวกเรา เข้าใจตาม แล้วก็ปฏิบัติตาม จนได้ผลจริงๆตาม นี่เป็นทิฐิ คนเห็นพระอริยะ มาบอกชี้โลกนี้ โลกหน้า นำพาไปสู่โลกหน้าได้ใหม่ อย่างชัด อย่างเจน อย่างจริง อย่างจัง มีปัญญาเห็นจริงเลยนะ ปัญญานี่ไม่ใช่เข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่ทิฐิ บอกแล้ว ไม่ใช่ความเห็น ไม่ใช่ความเข้าใจ แต่เป็นปัญญาที่เห็นของจริง เห็นความจริงว่า เออ ! เราเป็นคนที่มีโลกใหม่น่ะ มีศรัทธา เชื่ออย่างนี้จริงๆเลย ตั้งศีล ตั้งหลักเกณฑ์แล้วปฏิบัติจริงเลย เลิกมา หลุดมา แหม ! แต่ก่อนนี้ ติดโลกอบายมุข หลุดจากโลกอบายมุขออกมา หลุดออกมาได้ มันยังมีเชื้อดูดดึงอยู่นะ นี่ โอ้โฮ ! ยังล้างเชื้อไม่เกลี้ยง ก็เอาเถอะ ล้างต่อ โลกกามก็ลดลงมา เหลือน้อยลงๆ โลกธรรม ไปหลงในลาภ ในยศ ในอะไรก็ละลดมา ออกมาจริงๆเลย ทิ้งโลกเก่า ออกมาโลกใหม่จริงๆเลย ตั้งศีลนี่แหละ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละ ปฏิบัติจนขัดเกลากาย วาจา ใจ โดยเฉพาะใจ ให้ตั้งมั่นให้เป็นสมาธิให้แข็งแรง เป็นอธิๆๆขึ้นมา เป็นอธิจิต จิตได้ขัดเกลา จิตได้เจริญขึ้นมา จนปัญญาก็เห็นซ้อน เห็นซับว่ามันจริงๆๆๆได้มา มีการหลุดพ้น มีวิมุติ จนกระทั่ง เห็นมีวิมุติจริงๆ ญาณทัสสนะ เห็นว่าเราวิมุติจริงๆ เราหลุดพ้นออกมาจริงๆ สะอาดบริสุทธิ์ออกมา จริงๆ ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าอย่างนั้นจริงๆ ศีลนี่แหละ พาให้ไปสมบูรณ์หมดทุกอย่าง เดี๋ยวมีถึงบทศีล ก็จะอ่านหมดแหละ ศีลนี่แหละจะพาถึงวิมุติ เพราะฉะนั้น พอเราเข้าใจ พอเราเห็นแล้วเราก็ตั้งศีล โจรมีศีลแบบโจร มีหลักเกณฑ์ของชีวิตแบบเขา เขาก็ไปได้แบบเขา ไปปล้นมาไม่ค่อยได้ เขาอาย หยาบไม่ได้ถึงที่เขาอายเป็นนะ บางทีอาตมา เล่าตัวเองให้ฟังว่า เราไม่ได้ไปทำความหยาบ มันแมน (MAN) ว่าอย่างนั้นนะ สูบบุหรี่ไม่เป็น ไม่ใช่แมน (MAN) แหม! มันอาย นี่เห็นไหม มันตีลังกากลับ หนอย อายได้ อายนะ เอ๊! เราไม่ เป็นแมน(MAN)เลย ดูดยาไม่เป็น กินเหล้าไม่เป็น หัดกินเหล้า กินเบียร์ไม่เป็น ไปหัดกินเบียร์ ไม่อย่างนั้นไม่แมน (MAN) เห็นไหม มันชี้หลอกกันขนาดไหน หัดแทบตาย ดีว่าอาตมามีกัมมัสสกตาของตัวเองนะ มีสมบัติมา แหม! ไปทำเป็นแอ๊คนะ โอ้! แอ๊ค ว่าเราเก๋นะ แต่เก๋ไม่ทน เก๋ไม่จริง เพราะว่าของจริงของเรามีมาก พอดึงเราไปสู่โลกต่ำนั้นไม่ได้ ออกมา เราสำมะเลเทเมา เกเรเกตุงอย่างเขาไม่ได้ เราก็อาย แต่ก่อนนี้มันเข้าใจผิด แต่ชาวโน้นเขาจริงๆนะ เขาเก๋ เขาเท่ เขาอะไรต่อะไร พวกเรา ก็คงจะมีความรู้สึก เหมือนกันนั่นแหละ ไอ้แบบโลกๆ ไอ้เลอะๆ เทอะๆ ก็เคยเข้าใจว่าอย่างนั้น มาทั้งนั้นแหละ อาตมาว่ามากบ้างน้อยบ้างก็ช่างเถอะ ใช่ไหม มันก็คิดว่า แหม ! เป็นอย่างโลกๆ เขานั่นแหละเก๋ดี เท่ดี ก็เลยจะไปเอาอย่างตาม พอมาทางนี้แล้ว เหนียม โอ้ ! กลับอายไปอีกว่า เราไม่เป็นอย่างนี้ เรามาเป็นอย่างนี้ เออ ! อย่างนี้เขาว่านะ ต้องไปเป็นอย่างโน้นซิ ชะเวิ้บชะวาบ อย่างโน้นน่ะ โอ้ย! ชื่นชมยินดีกัน เป็นตู้ทองเคลื่อนที่อย่างนี้ อุ๊ย! น่าชื่นชม น่ายินดี พอมาตีลังกากลับแล้วบอก ต๊าย! เป็นตู้ทองเคลื่อนที่น่าเกลียดเลย ใครเป็นตู้ทองเคลื่อนที่ เดินก็มาตรงนี้ซิ รับรอง พวกเรามองกันตาเดียวเลย เราจะอายเลย เราเป็นได้ไหม เราไปเดิน เป็นตู้ทองเคลื่อนที่ มานี่ซินี่ ด้วยความรู้สึกจริงนะ เราก็นึกว่าเราเก๋ ว่ามันเดินผ่านมาทางนี้ละ โอ้โฮ! เดินขาขวิดแน่ จะอวดสวยก็ตาม อวดรวยก็ตาม จะอวดอะไรๆก็ตาม มันกลับกันน่ะคนละอย่าง ไม่หรอก เราเข้าใจถูกแล้ว เรามาอวด เราจะขยัน เราจะอดทน เราจะลดละ เราจะมักน้อย เราจะสันโดษ พอเราเข้าใจอย่างนี้ มาเห็นอย่างนี้ เราก็ตั้งศีลเพื่อให้เป็นอย่างนี้ เราก็จะมีหิริอย่างนี้ จะอาย อายไปอย่างที่เรียกว่ามันกลับกัน แต่ก่อนนี้อายอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้อายอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราไปทำอย่างที่เรียกว่า มันละเมิดศีลพระพุทธเจ้า ละเมิดทิศทางที่จะเป็นกุศล อาย ใจเราจะมีรู้สึก ตัวหิรินี่ มันเป็นลักษณะของเจตสิก มันจะเกิดที่ใคร ใครไม่มีก็ไม่ละอาย ไปแอบ ที่จริงอายไปแอบน่ะ อายแล้ว แอบไม่ให้เพื่อนเห็น แอบไอ้อย่างนี้ อายแล้วหิริแล้ว ถ้าไม่อาย บอกว่าจะไปอายทำไม ก็ทำเลย เพื่อนทักอย่างไรก็ไม่เห็นมีอะไร แสดงว่ามะลื่อทื่อแล้ว ไม่รู้ว่ามันน่าอาย ไม่รู้ มันน่าเลิกแล้วล่ะนะ เพราะฉะนั้น ตัวลักษณะของหิริ ทีนี้ต่อมาจากศีลนี่ มันมีจริงๆ ตามทิศทางของพระพุทธเจ้า มันจะมาทางนี้เลย หิริที่แก่ตัวขึ้นก็เป็นโอตตัปปะ มาถึงขั้น แล้ว กลัวต่อ อย่าไปทำเลยอย่างนี้ อย่าไปมีพฤติกรรมนี่เลย ไม่กล้าเลย ไม่กล้าทำ ไอ้แค่ละอายนี่ ยังแอบทำได้ ยังกล้าทำได้ ลับหลังอะไรยังกล้านะ แต่ โอตตัปปะนี่กลัว แม้ลับหลังเราก็ไม่ทำ ลับหลัง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ เราก็ไม่กล้าทำ โอตตัปปะ มันกลัวต่อความจริงว่า มันเป็นบาป มันเป็นชั่ว มันเป็นของไม่ดี มันเป็นของไม่ควรกระทำ ไม่ควรก่อกรรม ไม่ควรสะสมเลย ยิ่งเชื่อว่า ถ้าเราทำ แม้ลับหลัง หรือต่อหน้า มันก็เป็นสมบัติของเรา ไม่จำเป็นจะต้องให้ สุวานจด นี่ไม่ใช่สุวรรณแน่ ไม่ใช่นายสุวรรณ ไม่ใช่นายทองแน่ นายหมาเป็นคนจด สุวานนี่แปลว่าหมา สุวรรณแปลว่าทอง ไม่ใช่นายสุวรรณจดแน่ ไม่ต้องรอให้นายสุวรรณจด ไม่ต้องรอให้นางหมาจดหรอก มันเป็นของตน กรรมใดทำไปนั่นต่อหน้า ลับหลังเมื่อไหร่ ก็สั่งสมเป็นสมบัติของตน เป็นทรัพย์ของตนทั้งนั้น เป็นของชั่ว เป็นของตน เป็นของดีก็เป็นของคน มันจะทำลงไป เพราะฉะนั้น ถึงขั้นโอตตัปปะแล้วนี่ ลับหลังก็จะไม่กล้าทำ นอกจาก กิเลสมันจะแรงจริงๆ กิเลสมันแรงจริงๆ ทำไปแล้ว เราก็จะรู้สึกตัว แหม ! ตอนนี้มันหน้ามืดเลย กิเลสมันวางยาสลบเลย บางทีเบลอๆ ทำแล้วก็ค่อยมา เหอ! ไปแล้วเหรอ ทำไปแล้ว เสียไปแล้ว อย่าให้มันเป็นอย่างนั้นนะ เป็นคนไร้สติ นี่เห็นไหม สติไม่อยู่กับตัว เมื่อไม่มีสติ กำลังก็ไม่มี เพราะฉะนั้น กำลังแห่งสติ สตินทรีย์นี่สำคัญ สติพละนี่สำคัญ เริ่มต้น คุณฟังเป็นศรัทธา เป็นศรัทธินทรีย์ เสร็จแล้วคุณไปเพียร เมื่อความเพียรถึงที่ สติก็จะแรงพอ นี่เป็นอินทรีย์ ๕ พละ ๕ อินทรีย์พละ ก็มีศรัทธา มีวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ๕ ตัว เพราะฉะนั้น เราเริ่มต้นที่ศรัทธา ศรัทธามีแล้วก็ไปวิริยะพากเพียร พากเพียรให้มีศีล พากเพียรให้ปฏิบัติ ประพฤติตามศีล ก็จะเกิดหิริ เกิดการละอาย มันไม่อายตอนแรก พยายามทำมันตามที่เราประจำ มันจะเกิดปัญญาแทรกไปทุกตัว ศรัทธาก็มีปัญญาแทรก ศีลก็มีปัญญาแทรก หิริก็มีปัญญาแทรก โอตตัปปะก็มีปัญญาแทรก สุตะหรือพหุสุตะนั่นแหละ คือความรู้ คือปัญญาจะเสริมหนุนเข้าไป จนกระทั่ง มีแรงทำให้เกิดจาคะได้ จาคะก็ต้องมีปัญญา รู้แจ้ง เห็นจริงว่า จาคะหรือสละ หรือเอาออกทิ้ง หมดออกไป สละออกไป เอาออกไปจากตนจากตัว จนหลุดพ้นได้นี่ มันคืออย่างไร ปัญญาต้องตามเห็น ตามรู้ของตนๆ ศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปสอนไว้ว่า ให้คนอื่นมารู้แทนเรา เออ! บรรลุรู้ญาณ ๑ แล้ว มารู้ญาณ ๒ แล้ว มารู้ญาณ ๑๖ แล้ว นี่หมดอาสวะแล้ว ไม่ใช่ ไม่ใช่ คนอื่นรู้แทน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ เรารู้ของตน ของตน ต้องรู้ ต้องมีปัญญาตามหมด มีปัญญารู้ความจริงของตนเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อถึงโอตตัปปะ แข็งแรงมากขึ้น เราก็เสริมสุตะ หรือความรู้รอบ จะรู้ด้วยญาณของเรา รู้ด้วยความนึกคิด รู้ด้วยเรียนจากผู้อื่น รู้ด้วยองค์ประกอบอะไร ต้องรู้เสริม รู้เพิ่มให้มาก เสริมความรู้ มากๆๆๆ เข้า มันก็จะเป็นกำลัง พหุสัจจะนี่รู้ให้มากเพิ่มเติมขึ้น รู้ด้วยความจริง ยิ่งความจริง ทบทวนความจริง ทบทวนสิ่งที่ประกอบขึ้นมา แม้จะเป็นตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ วิจารณ์ วิจัย หรือของจริงของคนนั้นคนนี้ เป็นเหตุผล เป็นหลักฐาน เป็นตัวยืนหยัด ยืนยัน เป็นอะไรประกอบ ทั้งนั้นทั้งนี้ ทั้งฟัง ทั้งสัมผัส ทั้งมีประสบการณ์เข้าไปจริงๆเพิ่มเติม จะช่วยให้หิริสูงขึ้น จะช่วยให้ โอตตัปปะสูงขึ้น ก็ทำให้เราเกิดจาคะได้ เพราะฉะนั้น แรงของหิริ โอตตัปปะ สุตะ หรือพหุสุตะ พหุสัจจะนี่เป็นตัวเสริมหนุน เป็นตัวกองหนุน เป็นตัวละเอียดที่จะเพิ่ม ให้แก่เรา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ว่า หิริ โอตตัปปะ เป็นคุณธรรมของเทวดา เจริญขึ้น จิตคุณจะเจริญ เรียกว่าเทวดา จิตวิญญาณเจริญขึ้นๆ เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเกิดหิริเพิ่มขึ้นมา หิริคือละอายต่อบาป ละอายต่อความชั่ว ละอายต่อสิ่งที่เราจะละ จะเลิก หรือโอตตัปปะ เพิ่มขึ้นจริงๆ นั่นแหละคุณเจริญขึ้น เจริญขึ้นจริง เพราะฉะนั้น ตราบใดที่คุณยังเฉย แต่ก่อน ทำชั่วอย่างนี้ ก็ยังเฉย ไม่ได้อายอะไรนี่ ไม่เห็นน่าอายตรงไหน อยู่อย่างเก่าอยู่อย่างนั้นแหละ แม้คุณจะมาศึกษาแล้วก็ตาม จิตจริงๆมันก็ไม่ละอาย มันกดข่มไว้ เท่านั้นเอง มันทำตามไป ตามจารีต ตามคำสอน มาบวชถือศีลเท่านั้นเท่านี้ ก็ถือศีลไปตามเขา แต่ใจไม่ได้เคยมีตัวหิริ ไม่เคยรู้สึกเลยว่า แหม ! มันรู้สึก มันละอายนะ ทำอันนี้ มันไม่ดี มันไม่รู้สึกจริงๆเลยนะ คนนั้นไม่ได้เป็นเทวดาเลย เป็นผีนรกอยู่อย่างเดิม แม้จะบวชไปกี่ร้อยปีก็ตาม หรือมาปฏิบัติธรรม ไปร้อยปีแล้ว ก็ตาม ก็ยังเป็นผีนรกอยู่อย่างเก่านั่นแหละ เพราะตัวหิริมันไม่เกิดจริงๆ ไม่ได้โผล่เป็นเทวดา ไม่ได้อุปัติเทพเลย ยังเป็นของเก่านั่นแหละ ยังรู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข อยู่อย่างเก่า ยกตัวอย่างง่ายๆ แต่ก่อนนี้ยังมีความสุข สุขอย่างโลกๆ หรือสุขอย่างโลกีย์ ได้ปฏิบัติอันนี้ เป็นของอร่อย เป็นความสุข แม้จะตั้งศีลให้แก่ตัวเอง แล้วมาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกเสียด้วยนะ เขาบอกว่า ไม่กินเนื้อสัตว์ให้ได้นะ ละจนกระทั่งจืดจาง ขาดเลย ไม่มีรสอร่อยของเนื้อสัตว์ ไม่มีอะไรเลยให้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราปฏิบัติศีลนี่ ไม่เกิดหิริ ไม่เกิดสภาพที่เรา รู้สึกละอายต่อสภาพนี้แล้ว เมื่อกี้อธิบายยกตัวอย่างว่า เช่นว่า เขาบอกว่าไม่กินเนื้อสัตว์ เราก็เอาตัวเรามาปฏิบัติตามนะ กดข่มเฉยๆ เขาว่าศีลก็ศีลนะ เอ้า ถือศีล ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็มังสวิรัติ แหม! นักมังสวิรัติ แต่ไม่เคยปฏิบัติอย่างพิจารณา อย่างวิปัสสนาญาณเกิดหรืออย่างเห็นจริงเลยว่า มันไม่น่ากิน มันไม่โน่น ไม่นี่อะไร ได้แต่กดข่มเฉยๆ กดข่มเฉยๆชินๆไป มันก็ได้เหมือนกัน แต่ใจมันไม่เกิดละอาย ใจมันไม่เกิดรู้บาป รู้บุญที่แท้จริง ใจมันไม่ละ ไม่ปล่อยจริงๆหรอก มันยังอร่อยอยู่นั่นแหละ โดยเฉพาะ มันยังอร่อย กินเนื้อสัตว์ก็อร่อย แม้ตอนนี้กดข่มไป กดข่ม แหม ! เรามังสวิรติ ไม่กินเนื้อสัตว์ไปเลย ๕ ปี เสร็จแล้วก็อยู่มาวันหนึ่ง จะด้วยเหตุการณ์อะไรก็ตามแต่ ก็เลยกินเนื้อสัตว์ โอ้โฮ ! ไม่กินมาตั้ง ๕ ปี เสียดาย มันอร่อยอย่างนี้ แล้วก็ไม่รู้สึกว่าเราได้ทำบาป ทำผิด ไม่รู้สึกว่า เราได้เสียได้หายอะไรเลย ก็ธรรมดา ก็กินเนื้อสัตว์ แล้วมันก็ยังอร่อยอย่างเก่านั่นแหละ แบบนี้ไม่มีเลย ละอายก็ไม่ละอาย นึกว่าตัวบกพร่อง อะไรลงไปก็เปล่าเฉยๆ ดีไม่ดีบอกใครก็ยังได้ ฉันไปกินเนื้อสัตว์มาด้วย ไม่อาย ทำไมไปกินล่ะ ก็พอดีมันได้กินน่ะ เหตุการณ์อย่างไร ก็ตามใจเถอะนะ เอ้า ! แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ก็อร่อยเท่านั้นน่ะซี จะรู้สึกอะไร แบบนี้ไม่ใช่เทวดา ยังผีนรกอยู่ตามเดิม คุณพูดของคุณนะ แต่คนที่กำลังพูดนี่ไม่ใช่คุณ คุณจะรู้สึก จะเหม็น มันจะไม่เอา อะไรก็แล้วแต่เถอะ ไอ้นั่นมันเรื่องของคุณ ยิ่งคุณไม่เหม็นธรรมดาหรอก ไม่เหม็นหรอก บอกว่าใจมันรู้แล้วละ มันจะเหม็นก็เหม็น เนื้อมันก็เหม็นคาวน่ะ มันก็เป็นอย่างนั้น เนื้อมันก็คาวกว่าพืชกว่าผัก แต่คุณไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น คนที่ว่านี่ ไม่ใช่คนนั้น พวกคนที่เขามีจิตใจ เขารู้สึกจะกิน เขาก็ละอายของเขา นี่มันเป็นของใครของมันนะ มันจะมีอาการอย่างนี้ของคน ถึงบอกว่า หิริหรือโอตตัปปะนี่ มันต้องเกิดจริงนะ ต้องเป็นทรัพย์ เป็นเจตสิกที่มีอาการ ต้องเข้าใจว่า อาการของหิริ คือมันเป็นความละอาย คุณรู้จักละอายไหมเล่า ตัวเรา รู้สึกละอายของเรา ไม่ใช่คนอื่นมาบอก ไม่ใช่คนอื่นเป็นแทนเรา ไม่ใช่เราเป็นเอง โอตตัปปะกลัวเลยบอก เออ! ไม่เอาละ เนื้อสัตว์ กลัวก็กลัว แล้วเราก็ไม่เอาจริงๆ ละเว้นขาด ไม่ละเมิด ไม่แตะไม่ต้อง ไม่ทำบาปนั้นจริงๆ รู้ว่า อันนี้เป็นบาป รู้ว่าอันนี้เป็นสิ่งไม่ดี บาปคือความไม่ดี บาปคือความไม่ควรจะทำ ไม่ควรจะเป็น มันเกิดจริงๆอย่างนี้ เป็นต้น หรือแม้แต่ เอาหยาบๆ ไปขโมย เอา ศีลข้อ ๑ ฆ่า มันฆ่าไม่ได้จริงๆ มันกลัวบาป มันละอาย มันกลัว มันโอตตัปปะ มันไม่ทำ มันทำไม่ลง แม้เขาจะฆ่าเรา ก็ต้องให้เขาฆ่า เราฆ่าเขาไม่ลงหรอก ฆ่าไม่ได้ มันบาป ทำไม่ได้ ทำเขาไม่ได้ ฆ่าเขาไม่ได้จริงๆ ฆ่าคนก็ฆ่าไม่ได้ ฆ่าสัตว์ก็ฆ่าไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนเรานี้ ที่มีภูมิธรรม คุณวุฒิพอสมควร มันฆ่าคนไม่ได้หรอก แต่มันจะฆ่าสัตว์ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงไม่สอนฆ่าคนเป็นหลัก เพราะคนมันพอได้ พอมีทรัพย์อันนี้ เพราะฉะนั้น คนที่มีภูมิธรรมขนาดพอมีทรัพย์อันนี้ พอมีทรัพย์ แปลว่า ไม่ฆ่าคนนี่ ยังไม่อยู่ในมาตรฐานหรอก เรียกว่าดีนะ แต่ว่ามันยังไม่อยู่ในมาตรฐาน ที่พระพุทธเจ้า ท่านตัดเกรดว่า คนดีในระดับพระพุทธเจ้า ต้องไม่ฆ่าแม้แต่สัตว์ มีหิริ มีโอตตัปปะ แม้แต่สัตว์ก็ไม่ฆ่า จึงนับเข้าเป็นมนุษย์โลกุตระ โสดาบัน แม้แต่สัตว์นี่ก็มีหิริจริงๆ ใจจริงๆเลย บี้ตายไปตั้งโอ้โฮ! แหลกเลย ก็ยังไม่ละอายอะไรเลยอย่างนี้ เฉย มันด้าน มันแข็ง ใจมันไม่มีเมตตา ใจมันไม่มีอะไร หวอมๆ แหวมๆ เลยนะ ไม่เป็นไร มันก็ไม่ได้ทำอะไรเราได้เลย เราก็ทำมันล่ะ เราก็ไม่เห็นเจ็บ ไม่เห็นปวดอะไร แต่มันตาย เฉย ไม่รู้จัก ชีวิตเขาชีวิตเรา อะไรอย่างนี้ ไม่มีหิริ ไม่มีละอาย เพราะฉะนั้น ศีลข้อที่ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่มี หิริไม่มี ฆ่าสัตว์ก็เฉย จะด้วยความโกรธ หรือ ความโลภ ก็ตาม โลภก็จะเอาเขามากิน มาใช้ก็แล้วแต่ ฆ่าช้างเอางาเท่านั้นเอง โอ้โฮ ! ตัวเบ้อเร่อเบ้อร่า ทิ้งเน่าไปเลย เอาแต่งา มันความโลภ มันจะต้องการถึงขนาดนั้น ชีวิตเขาตั้งเบ้อเร่อเบ้อร่าใหญ่โต ช้างน่ะนะฆ่าเอางา ฆ่าคนทั้งคนเอาเพชร นอกนั้นทิ้งหมดเลยแท่งเบ้อเร่อ เอาเพชร มันก็เป็นอย่างนั้น มันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้ามาตรฐานต้น มีจิตหิริโอตตัปปะ เมื่อคุณเกิดจิตเมื่อไหร่ แก้ไข ๒๖ มี.ค.๒๕๓๔ อ่านต่อ
หน้าถัดไป |