[บทความเขียนลงหนังสือพิมพ์
ข่าวอาทิตย์ วิเคราะห์รายวัน] คอลัมน์นี้เริ่มเปิดตัว"ชาวอโศก"ให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักมาแล้วหลายอาทิตย์ ซึ่งเป็นการเปิดตัว ด้วยการเขียนของท่านผู้เป็นเจ้าหน้าที่ หรือนักข่าวประจำของ หนังสือพิมพ์"อาทิตย์"เอง จึงยังไม่ใช่ การเขียนของ "ชาวอโศก" โดยตรง เพียงอาศัยการสัมภาษณ์ แล้วก็เอาคำสัมภาษณ์ มาตัดต่อเรียบเรียง นำเสนอท่านผู้อ่าน นั่นก็เป็นการรู้จัก"ชาวอโศก"หรือได้รู้ "วิถีชาวอโศก"ไปบ้างแล้ว ซึ่งบางคำที่สื่อ บางประเด็นที่ไข อาจจะยัง ไม่กระจ่างบ้าง ยังไม่ถูกต้องชัดเจนบ้าง ก็ขออภัยเป็นอย่างมาก เพราะ"วิถีชาวอโศก"นั้น ออกจะแปลกไปจาก วิถีชาวสังคมสามัญ ที่เป็นที่มีอยู่กัน ส่วนใหญ่ในโลก จึงค่อนข้างยาก ที่จะให้ตรง หรือให้ถูกต้องสมบูรณ์ แม้เรา"ชาวอโศก" เอง จะสื่อโดยตัวเอง จะเขียนเอง ให้ท่านผู้อ่านอ่าน ก็เถอะ อย่างไรก็ตาม ณ บัดนี้ อาตมากับคณะ"ชาวอโศก"ตัวจริง ได้รับปากรับคำกับ"น.ส.พ.อาทิตย์" จะเปิดตัวเอง โดยตัวเอง เขียนบรรยายถึง "วิถีชาวอโศก"เอง เปิดเผยตนต่อท่านผู้อ่าน ตามที่เป็นที่มี ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน เมื่อท่านผู้อ่านท่านใดได้อ่านได้รับซับทราบ"วิถีชาวอโศก"แล้ว หากยังข้องใจใคร่ถาม หรือใคร่วิจารณ์ ใคร่ติเตียน เราก็ยินดีอย่างยิ่ง โปรดส่งคำถาม คำวิจารณ์ คำติเตียนของท่าน ถึงอาตมาตามที่อยู่ของ "น.ส.พ.อาทิตย์รายวัน"นี้ได้เลย จะเป็นพระคุณมากล้น เพราะการไถ่ถามก็ดี การดูแลตรวจสอบหรือตักเตือนกันและกันก็ดี แม้กระทั่ง การวิจารณ์ติเตียน ว่ากล่าวแก่กัน ถึงขั้น"ด่า"กันก็ตาม นั้น เป็นธรรมชาติ สามัญของคน ซึ่งผู้ฉลาด เมื่อได้รับการไถ่ถาม หรือตลอดจนถึงขั้น ติเตียนขั้นด่า ย่อมถือว่า เป็นประโยชน์ยิ่ง เพราะได้รับ"เหตุ" ที่จะทำให้เกิด การแก้ไข ในส่วนที่ไม่ดี หรือทำให้ต้องอุตสาหะยิ่งขึ้น ในส่วนที่ดี เท่ากับได้รับ การช่วยชี้แนะ ให้สู่ความเจริญโดยแท้ เพราะฉะนั้น เท่าที่"ชาวอโศก"แสวงหาและพากเพียรจนได้จนเป็นมา แม้จะได้แค่นี้ เราก็คือ ผู้"ค้นหาความจริง.. ความประเสริฐ.. ความเจริญ ที่มีคุณค่าสูงส่ง มีความสุขวิเศษ.. ความถูกต้อง.. ประโยชน์อันยิ่ง ในความเป็นมนุษย์ เป็นสังคม" เช่นเดียวกันกับ ท่านผู้แสวงหา และพากเพียร ทั้งหลายนั่นเอง ดังนั้น หากใครได้ใครประสบผล "ที่เป็นความจริง.. ความประเสริฐ.. ความเจริญ ที่มีคุณค่าสูงส่ง มีความสุขวิเศษ.. ความถูกต้อง.. ประโยชน์อันยิ่ง ในความเป็นมนุษย์ เป็นสังคม" ก็พึงแบ่งพึงบอกกัน เผื่อแผ่กัน แม้แต่ท้วงติง ติเตียนข้อผิด ข้อเลวข้อด้อยใดๆ ให้แก่กันและกัน ย่อมเป็นพระคุณ หาที่สุดมิได้แน่นอน "ชาวอโศก"คือ นามที่เรียกขานคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีวิถีชีวิตดำเนินไปตามความเชื่ออย่างยิ่งว่า ชีวิตจะประสพ "ความจริง.. ความประเสริฐ.. ความเจริญ ที่มีคุณค่าสูงส่ง มีความสุขวิเศษ.. ความถูกต้อง.. ประโยชน์อันยิ่ง ในความเป็นมนุษย์ เป็นสังคม" นั้น ต้องมี"การศึกษา ๓" (ไตรสิกขา) หรือมีการเรียนรู้ฝึกฝนธรรมะ ของพระพุทธเจ้า เป็นแก่นแกน ให้แก่ชีวิต ให้แก่สังคม เป็นสำคัญ สำหรับความหมายของ"การศึกษา ๓" ที่ชาวอโศกหมายถึง หรือ หมายความว่าอย่างไรนั้น นี่แหละ ที่จะต้อง อธิบาย ต้องเล่าให้ฟัง กันไปเรื่อยๆ จึงจะเข้าใจได้สมบูรณ์ ซึ่งมันต้องอาศัย "เหตุ.. นิทาน.. สมุทัย.. ปัจจัย" ต่างๆ เพราะ "การศึกษา ๓" นี้หมายถึง การเรียนรู้ และปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดทีเดียว ด้วยเหตุฉะนี้ ชุมชนชาวอโศกทุกกลุ่มหมู่ จึงเป็นสังคมที่ตั้งใจเรียนรู้ "ศีล..สมาธิ..ปัญญา" หรือปฏิบัต"มรรค องค์ ๘" กันทั้งชุมชน ตั้งแต่เด็กไปทีเดียว โดยจะสอนให้รู้จัก "ศีล" พร้อมกับนำพากัน ปฏิบัติธรรม ซึ่งก็คือ ปฏิบัติ"ศีล" จนเกิดผลเป็น"สมาธิ" เป็น"ปัญญา" และเป็น"วิมุติ" หมายความว่า ปฏิบัติ"ศีล"นั่นแหละ ให้เป็น "สัมมาทิฏฐิ" ให้ได้ แล้วก็พยายามมีสติรู้ตัว พากเพียร สังวร ละล้าง"มิจฉา" ให้เป็นผลเสมอๆ ทั้ง "ในขณะดำริ นึกคิด" (สังกัปปะ) ที่มี"มิจฉา ๓" ทั้ง"ในขณะพูด" (วาจา) ที่มี"มิจฉา ๔" ทั้ง"ในขณะ มีการกระทำ ทุกๆกิริยา" (กัมมันตะ) ที่มี"มิจฉา ๓" ทั้ง"ในขณะประกอบอาชีพ" (อาชีวะ) ที่มี"มิจฉา ๕" จนสามารถขัดเกลา กายวาจาใจ โดยเฉพาะ ขัดเกลา"ใจ" ก็จะเกิดเป็น"ฌาน" เป็น"สัมมาสมาธิ" หรือเป็น"อธิจิต" เป็น"อธิปัญญา" และ เป็น "วิมุติ" ก็จะเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๑ และข้อ ๒๐๘ ที่ทรงยืนยันว่า "ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังความเป็น อรหันต์ ให้บริบูรณ์โดยลำดับ" ในชุมชนชาวอโศกทุกแห่งเท่าที่มีอยู่ในภาคต่างๆของประเทศ จึงไม่มีใครดื่มเหล้าดื่มเบียร์ สูบบุหรี่ แม้แต่คนเดียว ในกลุ่ม ในหมู่บ้าน เป็นสังคม หรือหมู่บ้าน ที่ปลอดอบายมุข ทุกชนิด เพราะทุกคน ปฏิบัติศีล ๕ เป็นอย่างต่ำ ดังนั้น เรื่องหยาบๆ ระดับยาบ้า.. พนันมวยพนันม้า.. แฟชั่นสายเดี่ยว ส้นตึก จึงปลอดพ้นแน่นอน ในสังคม ชุมชนชาวอโศก โรงเรียนของชาวอโศก ทุกโรงเรียน จึงเป็นโรงเรียน ที่ไม่มีเด็กติดยา แม้แต่คนเดียว นี่คือ "วิถีชาวอโศก" ที่ได้ดำเนินมาเกือบ ๓๐ ปีนับถึงวินาทีของวันนี้ อันพอเล่าสู่ฟังได้ ก็ต้องขออภัย เป็นอย่างมากที่ "ต้องเล่าขาน อวดตัว อวดตน" กันปานฉะนี้ จุดประสงค์ ก็เพื่อการสื่อความจริง ที่ยืนยันได้ ไม่เช่นนั้น จะเป็นการเสนอออกไป เพียงทฤษฎี เพียงแนวคิด ไม่มี"สิ่งจริงที่เกิดที่เป็นได้" (ภาวสัจจะ) ยืนยันประกอบ ก็คงจะเป็นเหมือนเดิม ในวงการศึกษา ทั้งหลายที่ถือว่า การเอาสิ่งที่ดีของ"ตนเอง" ออกมาอวดนั้น เป็นการไม่บังควร น่าอาย เสียมารยาท ไม่พึงกระทำ จะอ้างอิง ก็ต้องยก "ผู้อื่น" ประกอบ นั้นก็จริง แต่สำหรับเรื่องนี้ มันยังไม่มี"ตัวอย่าง" ที่เป็น"ผู้อื่น" ที่เป็นที่มีได้กัน ปานฉะนี้ จึงต้องขออภัยกัน อย่างยิ่งจริงๆ หากจะถือสา ก็ยอมรับ โดยดุษณีย์ แต่ขอ..อย่าโกรธ อย่าเกลียดกันเลยนะ แม้แต่"หมั่นไส้" ก็ขอ..ได้ไหมเอ่ย? [ลงเล่ม
ปีที่ ๒๒ ฉบับที่ ๑๒๗๐ วันศุกร์ที่ ๑๒ ม.ค. ๒๕๔๔]
|