เราคิดอะไร.

เรื่องอย่างนี้ต้องช่วยกันเผยแพร่
ดย นิติภูมิ นวรัตน์ บรรยาย ณ พุทธสถานปฐมอโศก วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๔
วัฏจักรโลก : รุ่งเรือง และ พินาศ


ผมเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น ไปที่ญี่ปุ่นงานหนักมาก ตื่นประมาณ ตี ๕ เดินทางวันละ ๙๐๐ กว่ากิโล การเดินทางขนาดนี้และมีประชุมทุกวัน ที่เป็นไปได้เพราะรถไฟญี่ปุ่นเร็วมาก ชินคันเซ็น วิ่ง ๒๔๐ กม.ต่อชั่วโมง รถไฟบ้านเราวิ่ง ๑๐๐ กว่ากิโลก็หูชาแล้ว ธุรกิจของเขาจึงไปได้ไว เพราะโครงสร้างพื้นฐานดีเช่น รถไฟ และอีกอย่างหนึ่ง คือ เขาไม่นิยมใช้รถส่วนตัว

ไปญี่ปุ่นคราวนี้ เห็นว่า ในอนาคตญี่ปุ่นคงไม่ได้เป็นประเทศมหาอำนาจแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ คนเขาเปลี่ยนไป ถ้าย้อนหลัง เมื่อครั้ง หลังสงครามโลก จะเห็นคนญี่ปุ่น ขยันและมีวินัย แต่ญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนแปลงมาก เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว ผมบังเอิญ มีโอกาส ได้ไปประชุม และเดินทาง จากกรุงโตเกียว ไปโอซากา จากโอซากาไปฟูกูโอกะ และไปอีกหลายเมือง ก็แปลกใจ เริ่มสังเกต เห็นว่า ตามสถานีรถไฟ คนเริ่มนอนกล่อง ถ้ามองภาพพจน์ญี่ปุ่น เราจะเห็นภาพ ความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ คนเขาขยัน เงินเดือนมาก คนตกงานคงจะไม่มี แต่ในความเป็นจริง คนญี่ปุ่นจำนวนเยอะมาก ไม่มีบ้านอยู่ ต้องไปนอนตามกล่อง กล่องแบบที่ใส่โทรทัศน์ ตู้เย็นนี่แหละ เอามาต่อๆ กัน แล้วก็นอน ตามถนน ข้างทางรถไฟ

ตามสวนสาธารณะ มีเต็นท์เต็มไปหมด คนเริ่มมาอยู่เต็นท์ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คิดว่าเหตุการณ์นี้ คงจะเป็นชั่วคราว แต่ปรากฏว่า คราวนี้ ยังเห็น สภาพเดิมอยู่ ทราบว่าคนตกงาน เพิ่มมากขึ้นทุกวัน จะเห็นว่า การพัฒนาประเทศ ไปในทางอุตสาหกรรม มุ่งแต่การส่ง ออกอย่างเดียว โดยที่ไม่ให้คน ช่วยเหลือตนเองได้ เป็นการพัฒนาที่ผิด แม้แต่ญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าประสบ ความสำเร็จมากที่สุด ก็ยังมีคน ตกงาน คนไม่มีบ้านอยู คนไม่มีอาหารจะกิน ตั้งมากมาย

แต่พอไปพม่า ศรีลังกา ซึ่งไม่มีจุดมุ่งหมายส่งออก กลับเป็นประเทศที่ไม่มีคนต้องนอนกล่อง ไม่มีคนต้องนอนเต็นท์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น ประเทศ ที่ร่ำรวย แต่เขาทำงาน เพื่อให้มีกินครบ 3 มื้อ ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ สุขสบาย กลับเป็นประเทศที่ ไปได้เรื่อยๆ และไปรอด

คนญี่ปุ่นที่ว่าประสบความสำเร็จ มีเงินทองมากมาย ก็ใช่ว่าจะมีความสุข เช้าขึ้นมา ต้องตื่นนอนประมาณตี ๕ รีบไปสถานีรถไฟ ประมาณ ๖-๗ โมงเช้า ต้องนั่งรถไฟ เพราะคนอยู่ในเมืองไม่ได้ คนต้องไปอยู่ห่างออกไป ๒๐๐-๓๐๐ กิโลเมตร อยู่ไกลๆ เพราะในเมืองเป็นย่านธุรกิจ ค่าใช้จ่ายแพงมาก และต้องทำงาน หามรุ่งหามค่ำ ไปถึงก็ทำงานทันที

พอเลิกงานประมาณ ๕ โมงเย็น ไม่มีใครได้กลับบ้าน เพราะเป็นประเพณีญี่ปุ่นว่า หลังจากเลิกงานแล้ว เจ้านายบ้าง เพื่อนบ้าง จะต้องพากันไป ดื่มเหล้าต่อ น้อยคนมาก ที่ไม่ถูกบังคับ ให้ไปดื่มเหล้า บางคนอยากจะกลับบ้าน ไปดูลูก ไปหาภรรยา ก็ทำไม่ได้ เพราะระบบ อาวุโสสูงมาก ถ้าเจ้านายไป ลูกน้องต้องตามไป ไปนั่งสัปหงก ไปนั่งดื่ม จนกระทั่งเมา บรรยากาศ ประมาณ ๕ ทุ่ม เที่ยงคืน ของสถานีรถไฟต่างๆ ในกรุงโตเกียว จะเห็นว่า เขาต้องจ้างคน และคนเหล่านี้ ไม่ใส่รองเท้า มีหน้าที่..ขออนุญาต ใช้คำหยาบคำหนึ่ง มีหน้าที่ถีบ หรือยันคน ให้เข้าไปอยู่ ในรถไฟ เพราะใกล้ๆ จะเที่ยงคืน จะเป็นรถไฟ เที่ยวสุดท้าย แล้วคนจะต้อง รีบขึ้นรถไฟ กลับบ้านให้ได้ บ้านอยู่ห่าง ๒๐๐-๓๐๐ กิโล ต้องเดินทางประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือ ประมาณครึ่งชั่วโมง

ในสภาพเมา คนแต่งสูท อาเจียนเต็มไปหมด นั่นก็เมา นี่ก็อาเจียน โน่นก็นอน ถ้าขึ้นรถไฟไม่ทัน ไม่มีทางกลับบ้านได้เลย เพราะแท็กซี่ จะแพงมาก นั่งแท็กซี่ ในกรุงโตเกียว นั่งปั๊บก็ ๖๖๐ เยน จะ ๑ เมตร ๒ เมตร ก็ ๖๖๐ เยน แล้ว ๑๐๐ เยน ประมาณ ๓๖ บาท คนไหน ถ้าขึ้นรถไฟไม่ได้ จะนอนตามสถานีรถไฟทันที เมานอนเละเทะ ไปตรงนั้นเลย สภาพสังคมเปลี่ยนไปมาก

อยากจะถามว่า นี่เป็นความสุขอย่างไรหรือ คนไทยเวลาเจอญี่ปุ่น ก็ไหว้ใหญ่ บอกท่านประสบ ความสำเร็จเหลือเกิน ทางด้านเศรษฐกิจ ท่านส่งสินค้าออก เราใช้มิตซูบิชิ ใช้โตชิบา แต่ในความเป็นจริงนั้น หาความสุข ไม่ได้เลย คนลาว พม่า ศรีลังกา ยังมีความสุข มากกว่า คนที่อยู่ในอุตรประเทศ ในประเทศอินเดียนั้น ยังมีความสุข มากกว่าเสียอีก

พอกลับไปถึงบ้านเที่ยงคืนหรือตี ๑ ร่างกายชักจะไม่ไหวแล้ว ก็ต้องนอน เช้าขึ้นมาก็รีบลุกไปทำงาน วนเวียนไปอย่างนี้ เกิดมาชาติหนึ่ง ทำได้แค่นี้เอง

หลายคนในบ้านเรา พยายามจะนำพาประเทศไปในแบบนั้น ทุกวันคนพูดถึง การส่งออก ต้องส่งออกไอ้นั่น ต้องส่งออกไอ้นี่ คุยด้านนั้น ด้านเดียว ผมว่าเป็นเรื่องไม่น่า จะถูกต้องเท่าไหร่ ทางที่ดี น่าจะสอน คนของเรา ให้ทำงานเลี้ยงตัวเอง และ เลี้ยงครอบครัว มีอาหารกิน ครบ ๓ มื้อ ๒ มื้อก็แล้วแต่ ให้มีความสุข อยู่ในสภาพของเรา

ญี่ปุƒนเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นเด็กอย่างน้องๆ นักเรียนสัมมาสิกขาทั้งหลายนี่ ไม่มีผมสีดำ อย่างนี้หรอก คนญี่ปุ่นเป็นพันธุ์ มองโกลอยด์ เหมือนกับ พวกเรา ผมจะดำแบบเดียวกับเรา ผิวจะเหลือง แต่วันนี้ ไม่มีใคร ใช้ผมดำ ทุกคนต้องย้อมหมด แล้วย้อม เป็นสีแปลกๆ อายุ ๑๒-๑๓ เริ่มย้อมกันแล้ว เป็นสีเหลือง ก็เหลืองทั้งหัว แดงก็แดงทั้งหัว เขียวก็เขียวทั้งหัว จะย้อมอย่างนี้ ทั้งประเทศ บางคนไม่ย้อมธรรมดา บนหัวบางทีแบ่งเป็น ๔ ซีก กระจุกนี้แดง กระจุกนี้เขียว กระจุกนี้เหลือง เป็นอย่างนี้จริงๆ

เดี๋ยวนี้เด็กญี่ปุ่นจะชอบร้องเพลงร็อค แต่งตัวก็ต้องโป๊… ต้องเปิดสะดือทุกคน คนไหนถ้าไม่เปิดสะดือ คงไม่กล้าเดินตามท้องถนน เพราะถือว่าเป็นพวกเชยมาก อยากถามว่าความสุขอยูตรงไหน

เด็กวัยรุนญี่ปุ่นคลั่งนักร้องมาก เมื่อ๒ ปีที่แล้วมีนักร้องยอดนิยมคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ก่อนจะตายมีประกาศใหญ่โต ให้ เหตุผลในการฆ่าตัวตายว่า "ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จสูงสุดแล้ว ดังนั้น ข้าพเจ้าขอตาย" แล้วพอฆ่าตัวตาย เด็กๆ อีกเป็นร้อยคน อายุขนาดนักเรียนสัมมาสิกขานี่แหละ ก็ฆ่าตัวตาย ไม่รู้ จะตามไปฟังเพลงกันต่อในนรกขุมไหน วันที่ทำพิธีฝังศพ คนเป็นแสนๆ คน วัยรุ่นไปกันทั้งประเทศ ตำรวจก็กลัวว่าจะมีคนฆ่าตัวตายตามไป เอาเครื่องบินมาตระเวนรอบงาน ถึงกระนั้นก็ป้องกันไม่ได้ มีคนฆ่าตัวตาย ตามไปอีกมากมาย

สังคมญี่ปุ่นแปลกมาก เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว มีเด็ก ๑๒ ขวบ กับ ๑๔ หรือ ๑๗ ผมจำไม่ได้ เป็นเด็กนักเรียน ไปฆ่าคนแก่ตาย (คำว่าผู้ สูงอายุ ในญี่ปุ่น คือ อายุ ๖๕ ปีขึ้นไป จะไม่ให้ทำงาน ทั้งประเทศ ตอนนี้มีประมาณ ๒๑ ล้านคน ในจำนวนประชากร ประมาณ ๑๒๗ ล้านคน ผู้ สูงอายุ จะรับเงินเดือน เป็นเงินบำนาญ เพราะในระหว่างทำงาน เขาจะเอาเงินเดือนครึ่งหนึ่ง เป็นค่าประกัน) เด็ก ๒ คน ไปฆ่าคนแก่ ถูกตำรวจจับ

พอถูกจับ แทนที่จะสำนึกผิด กลับบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งสองคือฮีโร หนังสือพิมพ์ถาม ทำไมคิดว่าตนเองเป็นวีรบุรุษ เขาบอกว่าเป็นฮีโร ที่ฆ่าคนแก่เพราะคนแก่อยู่ไปก็ไร้ ประโยชน์ ทำงานก็ไม่ได้ทำ จึงเป็นแฟชั่นอยู่พักหนึ่ง คือ ไล่ฆ่าคนแก่ นี่เป็นสังคมอะไรกัน นี่คือ สังคมญี่ปุ่น ที่เราพยายาม จะวิ่งตาม และถ้าเราวิ่งตาม ไปสร้างโน่นสร้างนี่ วันหนึ่งสังคมเราจะเป็นอย่างนี้

ในปีนี้คงได้ยินข่าว เด็กญี่ปุ่นทะเลาะกัน เด็กในโรงเรียนแท้ ๆ ทะเลาะกันเสร็จแล้วฆ่า ฆ่าแล้วยังไม่พอ ตัดหัวเอาไปปักหน้าโรงเรียน เด็กมาโรงเรียนเจอหน้า...เอ๊ะ เพื่อนนี่ ปีที่แล้วปีเดียว คนญี่ปุ่นฆ่าตัวตาย ๓๗,๐๐๐ กว่าคน เราพยายาม จะวิ่งตามเขาไป อยากจะให้ วิ่งกลับมา

โลกจะเปลี่ยนไป ในอนาคต ญี่ปุ่นคงไม่ใช่มหาอำนาจแล้ว เพราะคนญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยทำงาน ถ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่ เขาฉีกไปอีกด้านหนึ่ง มีการสำรวจ เด็กรุ่นใหม่ ระดับมัธยม ถามว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร ผลปรากฏว่า อันดับ ๑ คือ ทั้งหญิงชาย อยากจะเป็นคนขับ รถบรรทุก ส่งของ ไม่มีใครอยากเป็นหมอ วิศวกร โดยให้เหตุผลว่า การขับรถส่งของ เป็นการได้เที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีภาระ วันไหนอยากจะหยุด ก็ได้หยุด แต่ถ้าระบบจ้างงาน แบบเดิม พอทำไปแล้ว จะหยุดก็ต้องเป็นไปตามวันหยุด มนุษย์เรา มีธรรมชาติว่า ถ้าทนไมไหว ก็จะฉีกออก ไปอีกแนวหนึ่ง

อีกประการหนึ่งที่ทำให้ โลกเปลี่ยนไป คือ สหรัฐอเมริกา มีการเอาเครื่องบิน ไปชนตึกเวิลด์เทรด ชนเพนตากอน จะเห็นว่า ผู้นำโลก จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าย้อนหลังไปเมื่อ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ ปีที่แล้ว มีอารยธรรมโลก เกิดขึ้นมา ระหว่างแม่น้ำไทกริส กับ ยูเฟรติส เรียกว่า อารยธรรม เมโสโปเตเมีย เติบโตมาเป็น ประเทศอิรัก ในทุกวันนี้

ขณะที่มีอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ลุ่มแม่น้ำไนล์ ก็มีพวกอียิปต์ อียิปต์ยุคโบราณ กับอียิปต์ทุกวันนี้ คนละเผาพันธุ์กัน นอกจากอียิปต์ ก็มีพวกกรีก ซึ่งรุ่งเรืองอยู่พักหนึ่ง มีพระเจ้า อเล็กซานเดอร์มหาราช ตีทั่วไปหมด สังเกตดูประเทศไหน ที่รุกรานชาวบ้าน ไม่ช้า ประเทศของตน จะทรุดลงไป หลังจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ตีไปสักพัก ลูกหลานก็รับกรรม กรรมนะมีจริง พอรุ่นลูกรุ่นหลาน ประเทศกรีก แย่ทันที ก็เลยเริ่มอารยธรรมใหม่ เรียกว่าโรมัน

ตอนเริ่มโรมัน ก็เกิดศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก โรมันเจริญอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นก็เกิดมีชาวป่า อยากจะตีโรมัน เพราะโรมันเจริญ เหมือนกับอเมริกาทุกวันนี้ คือเป็นเจ้าโลก ขณะนั้นมีชาวป่าอยู่ ๓ พวก พวกแรก คือ พวกแฟรงค์ อีกพวกคือ แองโกล-แซกซอน อีกพวก คือ ก็อธ อยากจะมาตีโรมเหลือเกิน เปรียบชาวป่า ๓ พวกนั้น ก็เหมือนพวกเงาะซาไก ก็พยายามเข้าตี จนสุดท้ายตีได้ พอตีได้ ก็มาตั้งประเทศ โดยชาวป่าแองโกล-แซกซอน ก็เรียกประเทศตัวเองว่า อังกฤษ พวกแฟรงค์ ก็ตั้งเป็นประเทศฝรั่งเศส และก็อธ ก็เป็นเยอรมนี จากนั้น ก็พัฒนามา เป็นชาติรัฐ ความเป็นเจ้าโลก ก็เปลี่ยนประเทศไปเรื่อย ประเทศไหน ที่ต้องการพัฒนาตนเอง เป็นเจ้าโลก เที่ยวรุกราน ชาวบ้าน รู้ไว้เถิดว่า ในไม่ช้า จะกลายเป็นประเทศ ยิ่งกว่ากระจอกงอกง่อย

ดังนั้น เราเป็นประเทศตรงกลางๆ ดีกว่า ไปเรื่อยๆ พอมีพอกิน มีความสุข และก็มีมาตรฐาน มีความสม่ำเสมอด้วย ตั้งแต่แรก เป็นอย่างนี้ แล้วก็พัฒนา ไปช้าๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ แต่ทุกคนขอให้ มีความสุข และอยู่ไป ชั่วลูกชั่วหลาน

ถ้านึกย้อนไปเมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ ปี จะเห็นว่าประเทศโปรตุเกสยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะ แผ่แสนยานุภาพ ไปทางเรือนี่ ใหญ่เหลือเกิน จากโปรตุเกส ก็เป็นสเปน ใครๆ ก็กลัวสเปน แม้แต่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็ตกเป็นอาณานิคม ของโปรตุเกส แม้แต่ ศรีลังกา ก็ตกเป็นของ พวกดัช เนเธอร์แลนด์ อีก ๒ ประเทศ ก็ขึ้นมาแทน คือ อังกฤษ กับฝรั่งเศส

และเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีที่แล้ว ไทยเราก็โดนอังกฤษ ฝรั่งเศส เฉือนพื้นที่ไปกว่าครึ่งหนึ่งที่เรามีอยู่ ทุกวันนี้ ไม่มีการสอนกัน กระทรวง ศึกษาธิการ ก็ไม่ได้สอน หลักสูตรไม่ได้บอกว่า เราเสียพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ที่เรามีอยู่ ประเทศไทยเรา แต่เดิมใหญ่กว่านี้ ทางฝรั่งเศส ได้อะไรไปบ้าง ครั้งแรก มายึดทางจันทบุรี ซึ่งสมัยนั้น จันทบุรีต้องชักธงชาติฝรั่งเศสอยู่ ๑๐ กว่าปี ผู้ว่าราชการจังหวัด เรียกตัวเองว่า เรสิดังก์ ใครเจอ เรสิดังก์ ถ้าใส่หมวก ต้องถอดหมวก ใครมีผ้าขาวม้าพันศีรษะ ต้องถอดผ้าขาวม้า ใครไว้เปีย เป็นกระจุกที่หัว ต้องรีบ ปล่อยเปียแล้วโค้ง ถ้าไม่ทำเขาจะลงไปตบทันที

เจ้าอาวาสวัดใหม่ เมืองจันทบุรี เปรียบเสมือนเจ้าคณะจังหวัด เรสิดังก์เคืองมาก คนไทยเจอเรสิดังก์ก็แค่โค้ง แต่ทำไมถึงกราบพระ ทำไมไม่กราบเรสิดังก์ ดังนั้นเรสิดังก์ ไปที่วัดใหม่ เห็นชาวบ้านกราบพระ เรสิดังก์ก็เข้าไปตบศีรษะพระ นี่เป็นเหตุการณ์ ที่บันทึกไว้ ทราบกันเฉพาะ คนพื้นเมือง กระทรวงศึกษาธิการ ไม่เอามาสอนเด็ก ให้เกิดความรักชาติกันเลย

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔)