กำไร ขาดทุนแท้
ของอาริยชน (ต่อจากฉบับที่
๑๔๒)
ศาสนาพุทธในปัจจุบันนี้
จึงไม่มีฤทธิ์ไม่มีคุณภาพพอ ที่จะช่วยกอบกู้สังคมโลกีย์ หรือ สังคมปุถุชน
คนทุนนิยมให้สู่ "สุขอันประเสริฐ" (วูปสมสุข,
อาริยสุข) ได้สำเร็จ เพราะแรงปรุงแต่งเก่งของโลกีย์ และ แรงที่สลับซับซ้อน
สุดชาญสุดฉลาด จัดจ้านของทุนนิยม ได้ถล่มคนให้จมลึกหนักลงไปกับ ลาภ..
ยศ.. สรรเสริญ.. กามสุข..อัตตทัตถสุข (สุขที่เห็นแต่แก่ประโยชน์ตน)
วิธีปฏิบัติแบบฤาษีดาบส ที่ว่าเป็น
"ทางผิด" นั้น เป็นไฉน?
คือ ในวงการพุทธทุกวันนี้ ถ้ากล่าวคำว่า
"การปฏิบัติธรรม" ชาวพุทธส่วนใหญ่ ก็จะเข้าใจพุ่งดิ่งไปหมายถึง
"การปลีกตัวเอง ออกไปหาที่นั่งหลับตาสะกดจิต"
[แต่มักจะไม่ยอมรับว่า เป็นการสะกดจิต] แล้วเรียกว่า ทำสมาธิ
แถมพากันเชื่อว่านี่คือ "สัมมาสมาธิ"
ในข้อที่ ๘ ของ "มรรค อันมีองค์ ๘" เสียด้วย และเชื่อ อย่างมั่นใจอีกว่า
ต้องปฏิบัติอย่างนี้คือ "ทางที่จะพาไปสู่วิมุตินิพพาน" โดยได้รับการสอนมาว่า
เมื่อจิต เป็นสมาธิ ในขณะที่นั่งนิ่ง ไม่รับรู้อะไร จากภายนอกแล้ว
ก็ให้ยกจิต ขึ้นสู่วิปัสสนา จนเกิดปัญญา ซึ่งหมายความว่า ให้พยายามพิจารณาในจิตขณะนั้น
จนเห็นแจ้งไตรลักษณ์ หรือ เห็นนิมิตอะไร ก็แล้วแต่อาจารย์ แต่ละสำนัก
จะบอกจะสอน จนที่สุด จิตหลุดพ้นเป็นนิพพาน ว่ากันอย่างนั้น
นี่แหละคือ "ความเห็นผิด"
(มิจฉาทิฏฐิ) แล้วก็พากัน "ปฏิบัติผิด" โดยไปยึดเอา
"ทางผิด" อันได้แก่ "การปลีกตัวเอง ออกไปหาที่นั่งหลับตา
สะกดจิต ทำสมาธิเป็นทางเอก" และเข้าใจเลยเถิดไปถึงว่า ถ้ายิ่งได้หนีจากผู้คน
หนีจากสังคม พ้นหูพ้นตาไปอยู่ป่าอยู่เขาอยู่ถ้ำ อันไกลแสนไกล โดดเดี่ยวเดียวดาย
ไม่รับรู้โลก ไม่รู้สังคมได้ นั่นแหละ ยิ่งคือ "นักปฏิบัติ"
ชั้นยอด
เมื่อเข้าใจอธิจิตขั้น"สมาธิ"ผิดเพี้ยนไปเสียแล้ว
ญาณจึงเป็น "มิจฉาญาณ" แม้วิมุติก็เป็น "มิจฉาวิมุติ"
แน่
"สมาธิ"แบบฤาษีนี้ พุทธไม่ฝึกกันเลยหรือ?
ตอบได้ทันทีว่า "ฝึก" แต่ต้องเรียนรู้ ให้สัมมาทิฏฐิดีๆก่อน
เพราะเป็น "เจโตสมถะ" ที่มีอุปการะมากทีเดียว ทว่า "มิใช่ทางเอกของพุทธ"
และ คนละอย่างกันกับ "สัมมาสมาธิ"
"สมาธิ"ของพระพุทธเจ้า
เป็นสมาธิพิเศษ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ เป็นของ
พุทธโดยเฉพาะ ไม่ใช่สมาธิสามัญทั่วไป พระพุทธเจ้า ตรัสเรียกสมาธิของพระองค์ว่า
"สัมมาสมาธิ" ซึ่งจะพาไป สู่ความเป็น "อาริยะ"
เป็น "โลกุตระ" จึงจะพาไปได้ "สัมมาวิมุติ" หากเป็น
"มิจฉาสมาธิ" ก็พาไปได้ "มิจฉาวิมุติ"
ในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ "มหาจัตตารีสกสูตร"
ข้อ ๒๕๓ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า...
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ "สัมมาสมาธิ"
ของพระอริยะ อันมีเหตุประกอบ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
ประกอบแล้วด้วยองค์มรรคทั้ง ๗ เหล่านี้แล
เรียกว่า "สัมมาสมาธิ" ของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้างฯ"
แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงอธิบายต่อไปอีกมากมาย
กระทั่งถึงข้อ ๒๗๙ จึงตรัสว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง
๗ นั้น
สัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นประธาน
ก็สัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะย่อมพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสติ "สัมมาสมาธิ"
จึงพอเหมาะได้
เมื่อมี "สัมมาสมาธิ" สัมมาญาณจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุติจึงพอเหมาะได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ด้วยประการฉะนี้แล พระเสขะผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็นพระอรหันต์ ประกอบด้วย
องค์ ๑๐ ฯ"
จากคำตรัส บ่งบอกชัดเจน ว่า "สมาธิ"
ของพระพุทธเจ้า นั้น เกิดจากการปฏิบัติ"มรรค
องค์ ๘" ไม่ใช่เกิดจาก การนั่งสมาธิ สะกดจิต อันเป็นสมาธิทั่วไป
ที่มีมาแต่เก่าก่อนแน่ๆ แต่ปฏิบัติ "องค์ทั้ง
๗" ของมรรคอันมีองค์ ๘ โดยแท้ จึงก่อเกิด
"สัมมาสมาธิ" ที่จะพาไปได้
"สัมมาญาณ และ สัมมาวิมุติ"
ที่จริงในพระไตรปิฎก (เล่ม ๒๕ ข้อ
๓๐) ก็มียืนยันกันโต้งๆว่า "มรรค มีองค์ ๘" นั้นคือ
"ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"
(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์
จนถึงสัมมาวิมุติ แต่เพราะศาสนาพุทธ ได้ถูกปฏิรูปมานาน ถึงวันนี้ก็หลงยึด
"ทางผิด" จนเชื่อกันว่า เป็น
"ทางถูก" เสียแล้ว และเชื่อว่า มีหลายทาง
เสียอีก ที่พูดขึ้นนี้ ก็คงมีคนแย้งออกมาเกรียวกราว อาตมาขอบอกในที่นี้เลยว่า
จะไม่ขอแย้ง ไม่ขอถกเถียง แต่จะขออธิบายเท่านั้น
[มีต่อฉบับหน้า]
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)
|