หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เรื่องสั้น- ธารธรรม
รอยกรรม

ลูกแมวตัวน้อยๆ สามสี่ตัวกำลังใช้จมูกดุดดุนหานมแม่ เพื่อจะดูดคลายความหิว ขณะที่แม่ ใช้ลิ้นเลียลูก ตัวนั้นบ้าง ตัวนี้บ้าง แม่ใช้ลิ้นทำความสะอาด ชีวิตเกิดใหม่ ตัวยังไม่ทันแห้ง และ ยังไม่ทันลืมตา จะเป็นลูกคน หรือลูกสัตว์ก็ตาม เมื่อเกิดมาใหม่ ชีวิตน้อยๆ น่ารักทั้งนั้น

ส่วนวัยหกเจ็ดขวบของข้าพเจ้าในตอนนั้นจะน่ารักหรือไม่ ข้าพเจ้าเองก็ไม่อาจจะรู้ได้ รู้แต่ว่า เมื่อคืนน ี้แมวออกลูก ตัวน้อยๆ ไว้ให้เชยชม ทั้งตื่นเต้นและดีใจหลังจากตื่นขึ้นจากที่นอน ก็ออกมานั่งเฝ้าแมว ตั้งแต่เช้ามืด เอามือลูบๆ คลำๆตัวนั้นที ตัวนี้ที แมวรุ่นนี้มีหลายสี บางตัว ลายเหมือนเสือ บางตัวมีสีขาวสลับดำ แต้มเป็นจุดๆ แต่ละตัว น่ารักไปตัวละแบบ แต่ดูเหมือนว่า จะมีตัวที่แข็งแรงเป็นพิเศษอยู่หนึ่งตัว เป็นตัวผู้ และมีสีดำ เกือบจะหมดทั้งตัว มีสีขาวแต้มอยู่บ้าง ก็เฉพาะที่ปลายจมูก และปลายเท้าทั้งสี่เท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปได้ สามสี่ อาทิตย์ ลูกแมวทุกตัว เริ่มเติบโต มีความแข็งแรง และออกวิ่งเล่น เย้าหยอกกัน ส่วนข้าพเจ้า ก็พลอย สนุกสนาน กับพวกมันไปด้วย

ตอนเย็นหลังจากเลิกเรียน ข้าพเจ้าจะรีบกลับมาบ้านเพื่อจะมาเล่นกับมัน และทุกๆวัน พวกมัน จะวิ่งมารอรับ อยู่ที่หน้าประตู ส่งเสียงร้องเหมียว เคล้าแข้งเคล้าขาอยู่ไปมา ข้าพเจ้า จะวาง กระเป๋าหนังสือ แล้วเอาเจ้าเหมียวน้อยๆ ทั้งสี่ตัว ขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน ข้างละ สองตัว พร้อมทั้งดมตัวนั้นบ้าง ตัวนี้บ้าง เป็นอยู่เช่นนี้ทุกวัน จนแม่รู้สึกรำคาญ

"ไอ้น้อย..มึงนี่ เช้าเย็นไม่ทำอะไรช่วยแม่เลยนะ เอาแต่อุ้มแมวจนมืดค่ำ เดี๋ยวก็โดน ไม้เรียวหรอก..." แม่เอ็ด

ความน่ารักของแมวน้อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าลืมงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะช่วยแม่ได้บ้าง เช่น ปัดกวาด และช่วยหยิบนั่น หยิบนี่ ยามแม่ใช้ ส่วนพ่อกับพี่ก็ไปไร่ไปนา กว่าจะกลับบ้าน ก็ค่ำมืด ตอนกลางวัน แม่จะทำอาหารไปส่ง ความที่พ่อ มาจับจองผืนป่า เพื่อทำไร่ทำนา ตรงไหน ที่เป็นลุ่ม พ่อก็จะบุกเบิก เป็นไร่นาปลูกข้าว ส่วนไหนที่เป็นโคก เป็นดอน ก็แผ้วถาง ปลูกมะพร้าว และยางพารา พ่อจึงไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน เพราะเสร็จจาก การงานนา ก็เข้างานสวน อยู่เช่นนี้ ตลอดปี

ด้วยความที่แม่ไม่ค่อยรักสัตว์เลี้ยงประเภทหมา ประเภทแมวมากนัก จึงเกิดความรำคาญ เมื่อเห็นข้าพเจ้า คลุกคลี อยู่กับแมว ไม่เว้นวัน แต่ด้วยความที่ท่านรักข้าพเจ้า บางครั้ง แม่จึงพยายาม ทำเป็น ไม่สนใจ แต่เมื่ออดไม่ได้ แม่ก็จะค้อน ทำตาดุๆ ให้ข้าพเจ้าหนีจากมัน บางครั้งแม่ก็ร้องห้าม เมื่ออดใจไม่ไหวจริงๆ

"แมวมันมีเชื้อโรคนะลูก ไปคลุกคลีมาก จะเป็นโรคหอบหืดได้ง่ายๆ นะ" แม่เตือน

คำว่าแมวมีเชื้อโรค ทำให้ข้าพเจ้าปล่อยมันลงพื้นได้ชั่วคราว แต่ก็นั่งดูมันวิ่งเล่นอยู่ไปมา บางครั้งมันก็ยกเท้าหน้า คอยตะปบหางแม่มัน เมื่อแม่มันกระดิกหาง บางที เมื่อข้าพเจ้า กระดิก นิ้วมือใส่ให้เห็น มันก็กระโดดเข้ามาตะปบนิ้ว แล้วข้าพเจ้าก็ลืม คำว่าเชื้อโรค คว้ามันขึ้นมาอุ้ม และเล่นกับมัน อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

มีวันหนึ่ง ในขณะที่ข้าพเจ้าอุ้มแมววิ่งเล่นอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น ก็ได้ยินเสียงของแม่ ตะคอก ใส่ดังๆ จนข้าพเจ้าสะดุ้ง ปล่อยแมว ลงจากมือ โดยไม่รู้ตัว

"ไอ้น้อย แม่ห้ามกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้อุ้มแมวเล่น" ข้าพเจ้าตกใจรีบปล่อยแมว ลงกับพื้นทันที แล้วรีบเดินหนี

แม่กลับมาจากส่งอาหารพ่อ ตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ มารู้ตัวเมื่อตอนแม่ตวาดนี่แหละ พอสิ้นเสียง แม่ก็เดินมาหา ลูกแมวน้อยๆ โยนออกไปข้างนอก โดยไม่อีนังขังขอบ ว่ามันจะลง ไปนอน อยู่ในท่าไหน เสียงร้อง เหมียวเหมียว กระจาย อยู่ตัวละทิศละที่ ข้าพเจ้าต้องรีบ วิ่งไปหลบ เพราะกลัวจะโดนแส้หวาย

"วิ่งหนีทำไม หือ ทำไมไม่มาเล่นมันต่อล่ะหา? เด็กคนนี้บอกเท่าไหร่ไม่เคยจำ" แม่บ่นพึมพำ เดินเข้าครัว เก็บสัมภาระ ล้างหม้อข้าว หม้อแกง แล้วออกไปสวน เก็บผักเก็บหญ้า เตรียมทำ อาหารมื้อค่ำ ต่อไป นิสัยแม่ ไม่ชอบพูดหลายคำ

เมื่อพวกมันถูกแม่จับโยนออกข้างนอกบ้านอย่างไม่ไยดี บางตัวถูกเหวี่ยงไปไกลถึงดงกล้วย หน้าบ้านเลยทีเดียว ข้าพเจ้านั้น สุดแสนที่จะสงสาร แต่ก็ไม่กล้า ที่จะเดินออกไปจับมัน เข้ามาไว้ในบ้าน จึงได้แต่ยืนดูมันอยู่ อย่างเงียบๆ มันส่งเสียงร้อง อยู่ไม่นานนัก แม่ของมัน ก็ลงไปคาบกลับมาไว้ที่เก่า พอเผลอตาแม่ ข้าพเจ้าก็รีบเอา เศษผ้าเก่าๆ มารองที่นอนให้มัน เพราะแม่จับมันโยนทิ้งแล้วยังไม่พอ ยังรื้อที่นอน มันมาทิ้งด้วย

"มันน่ารักดีนะแม่.." พี่นิดกล่าว

"น่ารักเรอะ แกก็เหมือนกับน้องนั่นแหละ กลับเข้ามาถึงบ้านไม่ต้องทำอะไร พากันนั่งเฝ้าแต่แมว แม่ละเบื่อ" แม่บ่นให้พี่นิดอีกคน

"แมวมันก็เป็นเพื่อนแก้เหงาได้นะแม่ บางทีฉันมาเหนื่อยๆ พอได้ยินเสียงพวกมันร้องประจบ ก็ทำให้หายเหนื่อย ได้เหมือนกัน" เสียงพี่นิดออกความเห็น ก่อนที่จะกล่าวต่อ

"อีกอย่าง น้องมันจะได้มีเพื่อน ยามแม่ไม่อยู่ไปส่งข้าว ส่งน้ำฉันกับพ่อที่นา จะได้ไม่เหงา"

"หือ...เหงาเหงิวอะไรกัน แม่จะเอามันไปปล่อยทิ้ง" แม่กล่าวพร้อมกับ สะบัดหน้าหนี

เวลาผ่านไป แมวน้อยก็ยิ่งซุกซน แต่ละตัวอ้วนท้วน น่ารักขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าจะมีความสุขมาก เมื่อได้เล่นกับมัน แต่ถ้าอยู่ในสายตาของแม่ ข้าพเจ้าจะเล่นนิดหน่อย

เย็นวันหนึ่งหลังจากเลิกเรียน ข้าพเจ้ารีบกลับบ้านเช่นทุกวัน สิ่งเดียวที่คิดถึงก่อน คือ เจ้าเหมียว ทั้งสี่ตัวนั่นเอง รีบวางกระเป๋า โดยไม่ชักช้า ก่อนที่แม่จะกลับมา แต่ว่าวันนี้ เงียบผิดปกติ ไม่เห็นเจ้าเหมียว วิ่งออกมารอ เคล้าแข้ง เคล้าขา อยู่หน้าประตู เหมือนเคย ข้าพเจ้ารีบเข้าไปดูตามที่นอนและตามซอกตามมุมต่างๆ ก็ไม่เห็นแม้เงา จึงออกมาเดินหา ดูแถว สวนกล้วย ข้างบ้านก็ไม่พบ บังเอิญป้าทรัพย์ เดินกลับมาจากไร่ เห็นข้าพเจ้า สาละวน อยู่กับการค้นหา จึงเอ่ยถาม

"แม่ไปไหนไอ้น้อย?" ป้าทรัพย์เอิ้นถาม

"ไปนาครับป้า" ข้าพเจ้าตอบ พร้อมเสียงสะอื้นในลำคอ

"อ้าว ทำไมถึงร้องไห้ แม่ตีเอาหรือไง ?" ป้าทรัพย์ถามอย่างสงสัย

"ไม่ครับป้า ลูกแมวหาย...." เสียงตอบสะอื้น

"อะไรกันลูก แมวหายก็ต้องร้องด้วยรึ ?" ป้าทรัพย์กล่าวพร้อมกับมองหน้าข้าพเจ้า อย่างขำๆ

"ป้าเอาลูกแมวผมไปหรือเปล่า?" ถามป้าทรัพย์อย่างสงสัย

"เปล่าหรอก ป้าจะเอาไปทำไม บ้านป้าก็มีเยอะแยะหลายตัว เออ..แต่เมื่อกี้ ป้าเห็นลูกแมว สามสี่ตัว ร้องเหมียวๆ อยู่ที่ปากทาง สามแยกโน้น ไม่รู้ว่าเป็นแมวของแกหรือเปล่า" ป้าทรัพย์กล่าว

"สามแยกไหนป้า?" ข้าพเจ้าถามด้วยความดีใจ

"สามแยกบ้านดอนใหญ่ไง" ป้าทรัพย์ตอบ

สามแยกบ้านดอนใหญ่ ไกลเกือบกิโล แมวมันไปได้อย่างไร ข้าพเจ้าสงสัย แต่จะอย่างไร ก็ตาม อาจจะไม่ใช่แมว ที่บ้านก็ได้ จึงย้ำถามป้าทรัพย์

"จริงหรือป้า?"

"จริงซี มีสีขาวๆ สองตัว สีลายๆ ตัวหนึ่ง และสีดำตัวหนึ่งไปดูซิ"

"ใช่แล้วป้า แมวน้อยจริงๆ"

ข้าพเจ้าต้องรีบเดินทางไปรับเอาแมวกลับมาก่อนค่ำ ไม่งั้นแม่กลับมา เห็นข้าพเจ้าไม่อยู่ คงโดน ดุแน่ รีบใส่ตีนหมา อย่างไม่รอช้า

เมื่อมาถึงสามแยกที่ป้าทรัพย์บอก เห็นลูกแมวสี่ตัว นอนกองเอาหัวซ้อนก่ายกัน อย่างน่าสงสาร ข้าพเจ้ารีบช้อนขึ้นมาอุ้ม แขนละ สองตัว แล้วรีบวิ่ง กลับมาบ้าน ใจหนึ่ง ก็กังวลว่า เกิดแม่ กลับมาไม่เห็น จะต้องเป็นห่วง และต้องเอิ้นหา แล้วก็เป็น เช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาถึงบ้าน ก็ได้ยิน เสียงแม่ เรียกหาอยู่โหวกเหวก จึงต้องรีบวางแมวลง ที่ป่ากล้วย ใกล้บ้าน เพราะกลัว แม่จะเห็น จากนั้น จึงเดินเข้าบ้านหาแม่

"ไปเล่นทางไหนมาลูก แม่เอิ้นหาตั้งนาน ไปเก็บใบมะกรูดที่ท้ายสวนให้แม่หน่อย เดี๋ยวแม่ จะแกงปลาให้กิน"

"จ้ะแม่..."ข้าพเจ้ารีบตอบรับอย่างดีใจ ที่เห็นแม่ไม่ว่ากล่าวอะไร เดินย้อนผ่านดงกล้วย สายตา สอดชำเลือง หาพวกมัน อีกครั้ง เสียงร้องเหมียวเหมียว อยู่สักครู่ ก็เห็นแม่มัน วิ่งเข้าไปหา มันคงจะดีใจ มากกว่าข้าพเจ้า หลายเท่านัก เพราะหลังจาก ที่มันออกหากินแล้ว กลับมาหา ไม่เห็นลูก ก็คงจะแปลกใจ และวิ่งค้นหาวุ่น เช่นเดียวกัน เมื่อมันได้ยิน เสียงลูกร้อง มันจึงรีบ วิ่งไปหา เลียตัวนั้นตัวนี้ มันคงไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ ที่จะต้องถามว่า "วันนี้ เมื่อตอนกลางวัน ลูกๆ ของแม่ หายไปไหนกันมา ปล่อยให้แม่ตามหา อยู่ตั้งนาน" หรืออะไรทำนองนั้น

หลังจากตะวันลับขอบฟ้าไปได้สักครู่ เสียงเกราะที่ห้อยคอควาย ก็ดังใกล้เข้ามา เหลียวดู ที่ครัว เห็นแม่ จุดตะเกียง น้ำมัน ไล่ความมืด จานสำรับกับข้าว เตรียมไว้พร้อม และ หลังจาก ควาย ถูกต้อน เข้าคอก พ่อกับพี่นิด อาบน้ำ ชำระร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งพักผ่อน คลายเหน็ดเหนื่อย ได้สักครู่ แม่ก็เอิ้นให้เข้าครัว กินข้าว ซึ่งแม่เตรียมอาหาร ไว้หลายอย่าง สำหรับมื้อค่ำ

"เป็นไงพ่อ นาไร่ใหญ่ไถเสร็จหรือยัง?" เสียงแม่เอ่ยถาม

"ยังเลย น้ำขอดหมดแล้ว ฝนไม่ตกสงสัยต้องชักน้ำจากไร่ต้นไข่เน่า ลงมาใส่จึงจะได้ไถ หากรอฝน กว่าจะตก คงอีกหลายวัน" พ่อกล่าว

"ควายเราบ่าเป็นแผลนะพ่อ แอกกินมัน" พี่นิดรายงาน

"ควายหัดไถใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละลูก ต้องหมั่นดูแลมันหน่อย" พ่อว่า

"ระวังพวกแมลงวันนะลูก อย่าปล่อยให้มันขี้ใส่จะเกิดหนอน" แม่กล่าว ด้วยความเป็นห่วง

"คอยดูอยู่แม่ เมื่อกลางวันฉันเอาน้ำมันมะพร้าวผสมยาดีดีที ทาให้มัน เพื่อกันแมลงวัน" พี่นิดกล่าว

"พ่อไม่เอายาแก้อักเสบทาใหัมันด้วย จะได้หายเร็วขึ้น" แม่หันมาทางพ่อ

ครอบครัวเราจะกินข้าวพร้อมกับข่าวสองทุ่ม ของสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย แทบทุกวัน พ่อแม่ กับพี่นิด ชอบฟังข่าวบ้านเมือง จากวิทยุมาก

เพราะว่าบ้านเรายังห่างไกลตัวเมืองมาก ไฟฟ้าก็ยังไม่มีใช้ จึงยังไม่มีโทรทัศน์ให้ดู ทุกวัน พ่อจะกินข้าว และวิเคราะห์ข่าว ไปในตัว พี่นิดจะแสดงข้อคิดเห็น ในบางเรื่อง และซักถาม เมื่อเกิดความสงสัย

"..รัฐบาลตระหนักดีว่า ประชาชนและชนบทของไทย คือหัวใจของประเทศชาติ ถ้าประชาชน ในชนบท อยู่ไม่ได้ ประเทศชาติ ก็อยู่ไม่ได้..."

เป็นคำกล่าวท้ายข่าว ที่พ่อเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ เป็นคำกล่าวที่แสดงเจตนารมณ์ ของรัฐบาล ที่ตระหนักถึง ความสำคัญ ของการพัฒนาชนบท

ว่าเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญ

"รัฐบาลไหนเข้ามาก็พูดแบบเดียวกันนี่แหละพ่อ ฉันว่า แต่ก็ไม่เห็นรัฐบาลไหน ทำจริง สักเท่าไหร่" พี่ชายของข้าพเจ้า เริ่มแสดงความคิดเห็น

"อืมม์...ชีวิตชาวชนบทของประเทศเรา ยังอยู่ในลักษณะ แห่งความแร้นแค้น ไม่สามารถ พึ่งพา ตนเองได้ ก็ย่อมต้องเป็นปัญหาหลัก ที่รัฐบาลต้องแก้ไข อยู่ทุกยุค ทุกสมัยแหละลูก" พ่อกล่าว

"แต่ผลของการพัฒนาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเศรษฐกิจ หรือจริยธรรม และ ความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวย กับคนจน ก็ยังเหมือนเดิม และนับวัน จะยิ่งทวีมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ จะเป็นอันตราย ต่อความมั่นคง ของประเทศ หรือเปล่าพ่อ?" พี่นิด หัวการเมือง ของข้าพเจ้า เริ่มตั้งคำถาม

"เป็นสิลูก รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเน้นนโยบายพัฒนาชนบทเป็นหลัก แต่พ่อว่า รัฐบาลใช้แต่ นโยบายเก่าๆ โดยไม่ทบทวน แก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันนั้น ย่อมไม่ได้ผลแน่ แต่จะแก้ปัญหา โดยใช้มาตรการชั่วคราว หรือ ฉาบฉวย อย่างที่ทำกันอยู่ เวลานี้ ก็ไม่น่าจะได้ผลเช่นกัน การพัฒนาที่ดี ตามแนวคิดของพ่อ ต้องมียุทธศาสตร์ การพัฒนา ด้วยมาตรการถาวร จึงจะเกิดผลในระยะยาว " พ่อกล่าวพร้อมกับบิมะเขือ จิ้มน้ำพริกกะปิ เคี้ยวกรวบๆ

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๑ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)