หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร


ชีวิตนี้ มี ปัญหา (๑) ฉบับที่ ๑๕๒
- สมณะโพธิรักษ์ -

ซึ่งสุขในฌานของสัตตาวาสนั้น เป็น"สุข"เพราะจิตมันว่างจาก"ความวุ่น..ที่คิดที่ปรุงที่ฟุ้งไม่หยุดไม่เพลา "กันมาตลอด พอมา พบ "ความ สงบ" จึง"สุข" แม้จะเป็นแค่"ความสงบแบบโลกียฌาน"ก็เป็น"สุขของปุถุชน
หรือสุขของชาวโลกสามัญ" ที่ชื่อว่า "โลกียสุข"ชนิด"อัตตทัตถสุข" ซึ่งเป็นอารมณ ์"เคหสิตอุเบกขาเวทนา" และยังเป็น "เคหสิตโสมนัสเวทนา" อยู่แค่นั้น ยังมิใช ่"เนกขัมมสิตเวทนา" แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น "เนกขัมมสิตโสมนัสเวทนา "หรือ"เนกขัมมสิตอุเบกขา"
(อ่านต่อฉบับหน้า) (เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)


(ต่อจากฉบับที่ ๑๕๑)

"สุขที่ได้จากโลกียฌาน"ดังกล่าว เป็น"สุข"ที่เกิดจากกรรมวิธีการ"ทำฌาน"แบบโลกีย์ ที่มีอยู่ทั่วไป ชาวตะวัน- ตกที่ถูกครอบงำด้วยโลกธรรมหรือวุ่นวายกับโลกียธรรมมามาก ไม่ค่อยมีความรอบรู้ในการทำจิตให้สงบ พอ มาพบกับ "สุขด้วยฌานโลกีย์" นี้เข้า ก็ติดอกติดใจ ในสายพระป่า หรือสำนักที่พากันปฏิบัติ ฌานโลกีย์ทั้ง หลาย จึงมักจะมีชาวตะวันตก หรือชาวอเมริกัน ติดใจนิยมชมชอบกันมาก มีอาจารย์หลายท่าน ที่ไปสอน ชาวตะวันตก ให้มี "สุขสงบ" แบบ "ฌานโลกีย์" กันในต่างประเทศ และในอเมริกา เป็นที่ยอมรับนับถือ และ เป็นอาจารย์ที่โด่งดัง ร่ำรวยกันอยู่มากท่าน

โดยธรรมดาของความเป็นคนปุถุชนนั้น จิตมันก็จะคิดนั่นคิดนี่ของมันไปเรื่อย จะปรุงอยู่ตลอด ยิ่งอยู่กับ โลกกับสังคมที่ดิ้นรนแข่งขันยื้อแย่งลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข กินสุขกาม มันยิ่งไม่หยุดหย่อน แถมในจิต ก็ยังม ีกิเลส ตัณหา อุปาทาน อยู่อีกเต็มสภาพ ดังนั้น เมื่อไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ฝึกฝน ให้จิตมันสงบบ้าง คนจึงให้มันหยุดไม่ได้เลย แม้นอนหลับ ก็ยังฝันยังฟุ้ง ครั้นมาเรียนรู้ แค่เป็นแบบฌานโลกีย์สามัญ เมื่อสามารถ ระงับอาการ "วุ่น" จากคิดจากปรุง จากฟุ้งต่างๆ ลงได้บ้าง จึงสุข ยิ่งทำได้ถึงขั้น "อุเบกขา" ก็แน่ยิ่งกว่าแน่ ว่า ต้อง "สุข" .. เพราะความวุ่นในจิต มันสงบลง มันได้พักยก มันได้หยุดอาการ "หมาหอบแดด" ลงจริง

กระนั้นก็ดี อารมณ์ ของ "ฌานโลกีย์" หรือฌานแบบสัตตาวาสนี้ ก็ยังมิใช่อารมณ์ "ไม่ทุกข์ไม่สุข" ตามที่เรียกว่า "อทุกขมสุข" เหมือนอารมณ์ "ไม่ทุกข์ไม่สุข" ของ "โลกุตรธรรม" แน่ๆ เพราะ "อารมณ์ ไม่ทุกข์ไม่สุข" แบบ โลกุตระนั้น มีนัย สำคัญอยู่ตรงที่ว่า มัน "สิ้นอาการสุข" (สิ้นอัสสาทะ) ถาวรไปจริงๆ ซึ่งเนื่องจาก "ตัวเหตุที่ก่อ ให้เกิดสุขๆทุกข์ๆวนเวียนอยู่ไม่รู้จบ" (ทุกขสมุทัยอาริยสัจ) นั้น ถูกกำจัด (ปหาน) ไปจน "ดับสิ้นเกลี้ยงสนิท" (นิโรธอาริยสัจ) ไม่เวียนมาเกิดอีก กิเลสที่ทำให้ "สุขๆทุกข์ๆ" ดับสนิท

ส่วน"อทุกขมสุข"หรือ "อุเบกขา" แบบ โลกียะนั้น มันแค่"พักยก" หรือมันสงบ มันหยุดพักตามธรรมชาติ บ้าง หรือมันได้รับการปฏิบัติจนทำให้มัน "ว่าง" มันหยุด มันสงบไปได้เพราะอำนาจ"ฌาน"ที่ได้ฝึกบ้าง แต่มันก็จะ กลับสู่"การเวียนวนเกิดมาทุกข์มาสุข "(ชาติสังสาระ)อีกใหม่อย่างแน่นอน อาจจะถูกสะกดให้ดับให้พักยกไว้ ้ได้นาน... นานจนพากันหลงว่ามัน ถาวรเท่านั้นเอง แต่มันยังไม่พ้น"วัฏสงสาร"ไปได้แน่ เพราะฌานโลกีย์นั้น ยัง "ไม่สามารถดับเหตุจนสิ้นภพจบชาติ" จริง เหมือนฌานโลกุตระ

ที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องมาจากวิธีการของ โลกีย์ยังไม่มีประสิทธิภาพถึงขั้นก่อเกิด "วิชชา ๙" แบบพุทธ จึงไม่มี "ความรู้หยั่งเข้าไปกำจัดถึงตัวตนของกิเลสตัณหาอุปาทาน" (ปหานปริญญา) อย่างถูกตัวถูกตนของ "เหตุแท้" (สมุทัยอาริยสัจ) จนดับเหตุนั้นๆ ได้สนิทจริง อย่างจับมั่น คั้นตาย ดังนั้น "ความเป็นตัวตนที่ยังวน เวียนมาเกิดอยู่" (ชาตัตตะ) จึงไม่ดับสูญสิ้นหมดเกลี้ยงไปได้

หากคนผู้ใดไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ฝึกหัด "การหยุดการระงับ" ความคิดความปรุงความฟุ้งต่างๆ ในจิตให้
สงบ ให้เบาลงบ้าง แม้จะสงบด้วยวิธีการ "ทำฌาน" แบบโลกีย์ก็ตาม จึงเป็นทุกข์ จึงเครียด จึงเป็นโรคอะไร ต่ออะไรไปมากมาย เพราะ จิตคนในยุคนี้จะ "พักยก" แบบธรรมชาติ ก็จะยากนักยากหนา เนื่องจากโลกียะ มันมีฤทธานุภาพ ล้นเหลือจริงๆ ทุกวันนี้ มันปลุกเร้ามอมเมาคน ให้หลงติด หลงยึด หนักหนา สาหัส สุดที่จะพรรณนา จิตใจคนจึงอ่อนแอ ไร้กำลังยิ่งแล้ว แถม "อวิชชา" ยิ่งขึ้นๆด้วย คนจึงหลงใหล จมโลกีย์ เป็นทาส ผู้ปล่อยไม่ไป กันอยู่ถ้วนหน้า

การทำฌานแบบโลกีย์นี้ก็สามารถช่วยให้คนบรรเทาทุกข์ได้บ้าง แต่ไม่แม่นตรงคมชัดลึก"ลงไปถึงที่เกิด" (โยนิโส) ไม่กำจัดถูก "ตัวตนของต้นเหตุ" (สมุทัยอาริยสัจ) จึงไม่"สิ้นภพจบชาติ"แบบพุทธแน่ๆ เพราะไม่เป็น "โลกุตระ " ตามแนวทางของ "อเทวนิยม"

"จิต" ที่ปฏิบัติตาม "ฌานโลกีย์" นั้น ยังจมอยู่ใน"ภพ" ติดอยู่ใน"ชาติ" ไม่ดับภพจบชาติ ลงได้ เพราะการศึกษา คนละแบบ คนละแนวกัน

อาตมาขอแวะอธิบาย"อรูปฌาน ๔"ทั้งแบบสามัญทั่วไป ที่เป็น"โลกียฌาน" และทั้งแบบ"โลกุตรฌาน"เปรียบ เทียบกันไปก็แล้วกัน จะได้เห็นจะจะระหว่าง"ฌานโลกีย์"กับ"ฌานโลกุตระ"นั้น ว่าต่างกันไฉน

"อรูปฌาน ๔" แบบสามัญทั่วไปหรือแบบโลกีย์นั้น เป็น"อรูปภพ"ที่ผู้ปฏิบัติยิ่งทำได้ผล ยิ่งหลงติดหลงจม ดิ่งลึก เพราะไม่มี "วิชชา ๙" จึงไม่สามารถหยั่งรู้ "ลงไปถึงที่เกิด" (โยนิโส) เพราะไม่สามารถรู้จักรู้จริง "ตัวตนที่เกิด" (ชาตัตตะ) และ ไม่มีวิธี "ดับ" อย่างถูกตัวถูกตน ชนิดแม่นตรง คมชัดลึก "การดับภพจบชาติ" ให้สำเร็จสัมบูรณ์ จึงเป็นไปไม่ได้

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๒ มีนาคม ๒๕๔๖)