บรรยาย ณ สถาบันราชภัฏ
อุบลราชธานี วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๓ (ต่อจากฉบับที่ ๑๓๐ )
การตัด GSP เป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่ารบกันอีก
เพราะสินค้าเราต้องโดนภาษีเต็มๆ สินค้าอย่างหนึ่งราคาสินค้า ๑๐๐
บาท โดนภาษีเต็มๆ ๕๐ บาท ไม่ได้ GSP เขาเก็บภาษีเต็มๆ ๕๐ บาท ไปวางขายในประเทศออสเตรเลีย
ราคา ๑๕๐ บาทมันแพง คนไม่ซื้อ พอคนไม่ซื้อเงินก็ไม่เข้าประเทศ พอเงินไม่เข้าประเทศ
ประชาชนก็อยู่กันลำบาก
การที่ฝรั่งให้ GSP นั้นคือการลดภาษีให้
เขาบอกประเทศเธอได้โควต้า ประเทศฉันให้ GSP แก่เธอ ต่อไปถ้าเธอส่งสินค้ามา
ในปริมาณเท่านี้ เธอเสียภาษีแค่ ๙ เปอร์เซ็นต์ก็พอ ของราคา ๑๐๐ บาท
ถ้าไม่ได้ GSP เสียภาษี ๕๐ บาท ต้องขายถึง ๑๕๐ บาท แต่ถ้าได้ GSP
ขายแค่ ๑๐๐ บวกภาษีอีก ๙ บาท ของมันก็ขายได้
ดังนั้นอาวุธจริงๆ ที่ใช้กัน ทุกวันนี้
ตัวหนึ่งเขาเรียก MFA ที่อเมริกาใช้กับจีนทุกวันนี้ อีกตัวหนึ่งที่ประเทศต่างๆ
ใช้กับเราก็ คือ GSP ถ้าปลูกทุเรียนหมอนทอง แล้วตำรวจไม่จับ เขาก็ตัด
GSP เราก็ส่งสินค้าไปขายไม่ได้ ประเทศเราก็เดือดร้อน
พฤติกรรมอย่างนี้เอามาจากไหน เขาเอามาจากหมี
หมีเวลาเล่นละครสัตว์ เขาโยนอาหารให้ เวลายิ้ม เดิน มันไม่ได้แสดง
เพราะอยากจะแสดง มันทำท่าทาง ไปอย่างนั้น เพราะมันรู้ว่า ถ้ายกมือขวาขึ้น
คนที่ควบคุมหมี ก็จะโยนอาหาร ให้กินก้อนหนึ่ง ฝรั่งเขาฉลาด ทรัพยากรโลกมีจำกัด
ต่อไปต้องแย่งชิง ทรัพยากรแน่นอน ประเทศในโลกมีตั้ง ๓๐๐ กว่าประเทศ
มันต้องแย่งชิงกัน สะบั้นหั่นแหลก ดังนั้น ต้องสร้างพฤติกรรม ควบคุมคนพวกนี้เอาไว้ก่อน
เขาก็ควบคุมเราด้วย
สิ่งเหล่านี้เรามองไม่ออก เพราะเราคิดไปไม่ถึง
เพราะเราไม่ได้จินตนาการ ให้แก่กัน และกัน บ้านเรามักจะขาดจินตนาการ
เด็กรุ่นใหม่อันตรายมาก เรื่องจินตนาการ แทบจะไม่มีเลย เพราะเด็กเอาแต่ดูทีวีอย่างเดียว
ดูทีวีไม่ต้องคิดอะไร เพราะเห็นภาพ
แต่การอ่านหนังสือ ไม่เห็นภาพ ต้องฝาก จินตนาการ ต้องคิดขึ้นมาในสมอง
จึงจะเห็น ดังนั้น ฝรั่งโยนอะไรมาให้เรา เราไม่เห็นภาพ และเราไปทำตามนั้นตลอด
บางคนบอกว่า ทำไมเราต้องออกกฎหมาย มารองรับกับกฎหมาย WTO ต้องออกกฎหมาย
เพราะมีคนอยากได้ใคร่ดี ในประเทศเรา อยากจะไปเป็นผู้อำนวยการการค้าโลก
ประเทศที่เขาไม่อยาก จะเป็นผู้อำนวยการ การค้าโลก เขาอยู่เฉยๆ เขาก็ไม่เดือดร้อน
ไม่มีคนในมาเลเซีย สิงคโปร์ อยากจะเป็นผู้อำนวยการการค้าโลก เขาก็ไม่ออกกฎหมาย
แต่บ้านเรา มีคนอยากจะเป็น ผู้อำนวยการ การค้าโลก
การอยากจะเป็น ก็ต้องมีพฤติกรรมตามปรัชญาของเขา
ปรัชญาการค้าเสรีมีว่า ใครอยากจะค้าก็ค้า ใครอยากจะขายก็ขาย แล้วต้องปกป้อง
คนที่คิดผลิต สิ่งของขึ้นมาด้วย พอคุณศุภชัยอยากจะเป็นขึ้นมา มันเป็นได้ไหม
สมาชิก ร้อยกว่าประเทศจะเป็นได้ เพราะสมาชิกยกมือโหวตกันขึ้นมา ทีนี้กว่าจะโหวตขึ้นมา
ก็ต้องไปขอเสียงเขา ศุภชัยคนหนึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร คนหนึ่ง
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ คนหนึ่ง ๓ คนออกตระเวนหาเสียง ไปประเทศต่างๆ
พอไปประเทศเขา บอกว่า ท่านครับ ดร.ศุภชัย พานิช ภักดิ์ ต้องการจะเป็น
ผู้อำนวยการการค้าโลก อยากให้ประเทศท่านสนับสนุน เขาก็บอกตกลง ผมอยากจะสนับสนุน
แต่ประเทศเรา กับประเทศไทย ต้องมีการเจรจากัน เราอยากจะให้ท่าน แก้กฎหมาย
สักหน่อย ระหว่างเรา สองประเทศ
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา
เราเริ่มไปเซ็นสัญญากับต่างชาติ รัชกาลที่ ๖ ก็เซ็นสัญญากันไปหมด
รัชกาลที่ ๗ ก็เซ็น กว่าจะเซ็นสัญญาตกลงอะไรกันได้ แต่ละอย่าง เขาเจรจากันสองรอบสามรอบ
สี่รอบห้ารอบ หกรอบ บางที เป็นสิบกว่าปีด้วยซ้ำ กว่าจะได้สัญญา บรรลุอะไรมาสักอย่าง
วันดีคืนดี คุณศุภชัย อยากจะเป็น ผู้อำนวยการการค้าโลก ไปขอคะแนนเสียงเขา
เขาก็อยากให้คะแนน แต่สัญญา ที่เจรจากันไว้ เป็นทวิภาคี ระหว่าง
เราสองชาติ ขอให้ท่าน แก้หน่อยได้ไหม ก็ต้องแก้ให้เขา เพราะอยากจะได้คะแนนเสียง
ฉะนั้น คะแนนที่ได้มา ก็จากการแก้กฎหมาย ทั้งนั้น
ในอนาคตบ้านเราจะจนมุม เพราะสัญญาทวิภาคีต่างๆ
ที่ประเทศเราไปทำกับเขา มันถูกแก้ภายในเวลาไม่ถึง ๑ ปี แล้วแก้สัญญา
เราเสียเปรียบทั้งนั้น ไปหาประเทศ มาลาวี บอกประเทศมาลาวี ให้ยกมือให้
เขาก็จะยกให้ แต่เรามีสัญญากัน ๓ ฉบับ แก้ให้หน่อย ก็ต้องแก้ให้เขา
คนที่จะไปดำรงตำแหน่ง ระดับสำคัญระดับโลกนั้น
ต้องไปหาเสียง จากประเทศต่างๆ ทุกประเทศ เขาถือเป็นมารยาท ที่จะต้องลาออก
จากทุกตำแหน่ง ในรัฐบาลเสียก่อน นายไมซ์ มัวร์ ก็ลาออก ทางเม็กซิโกก็ลาออก
ทุกประเทศ ลาออกหมด ที่ต้องลาออก เพราะเวลา ไปขอเสียงเขานั้น เขาบอกเห็นด้วย
แต่ท่านช่วยเราหน่อยได้ไหม ถ้ารองศุภชัย ไม่ได้เป็นรองนายกฯ และไม่ได้เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์
ก็พูดได้ แหม ผมอยากจะแก้ครับ ดูแล้วไม่เป็นธรรมเลยนะครับ ดูแล้วภาษี
๑๗% ก็สูงไป ผมอยากจะลดเหลือ ๑๒.๕% แต่บังเอิญ ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีอะไร
ไม่ได้มีส่วน เกี่ยวพันกับคณะรัฐมนตรีเลย พูดไปอย่างนี้ประเทศชาติก็รอด
แต่นี่ตำแหน่งตนเอง เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ ก็ต้องบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
ผมจะตั้งกรรมการ ขึ้นมาพิจารณา แล้วสุดท้ายก็ต้องลด
เวลาผมไปต่างประเทศ เดี๋ยวนี้คนสองพวกมักจะมาแอบต้อนรับ
พวกหนึ่ง เป็นพวกเอกอัครราชทูต ไม่ได้พูดอวดตัว แต่ผมอยากจะเรียนให้ฟังว่า
คนเหล่านี้ มาต้อนรับ เพราะเขาอยากจะมาระบาย บางทีก็ให้เลขานุการมาหา
บอกคุณนิติภูมิครับ ผมอ่านจากเว็บไซต์ น.ส.พ. ไทยรัฐ ว่าคุณนิติภูมิ
จะมาประเทศนี้ ท่านทูต อยากจะเจอคุณนิติภูมิมากครับ นัดกันที่ร้านอาหาร
ไม่ได้ไปกิน ที่ร้านอาหารไทย กลัวคนจะเห็น ก็ไปนั่งตามร้านต่างประเทศ
ท่านมักจะเล่า ความทุกข์ให้ฟังว่า ตรงนี้มันถูกแก้ ตรงนั้นก็ถูกแก้
คนอีกกลุ่มที่มาขอคุยด้วย เป็นพวกทูตพาณิชย์
ทูตพาณิชย์เป็นเอกอัครราชทูต ที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ คนพวกนี้สังกัด
กระทรวงพาณิชย์ เหมือนกันครับ มานั่งแทบจะร้องไห้ คุณนิติภูมิ ข้อ
๑,๒,๓ ถูกแก้ คุณนิติภูมิเอาไปเขียนได้
เรามัวแต่ไปทุ่มเทตลาดอเมริกัน
ตลาดยุโรป ตลาดออสเตรเลีย คนทั้งโลก จะหากินกันตรงนั้นหมด แต่เราไม่เคยมอง
ตลาดอื่นเลย ตลาดอิสลาม ลองคิดดู ประชาชนเท่าไหร่ มุสลิมทั่วโลก
๑,๕๐๐ กว่าล้าน ถ้าเราไปบอกให้คนมุสลิม กินไก่เพิ่มขึ้นอีก คนละตัวต่อปี
ท่านเชื่อไหม เราจะขายได้พันกว่าล้านตัว คนไทย ต้องเลิกกินไก่ไป
๑๔ ปีเพราะผลิตไก่ไปขายโลกมุสลิม แต่ไทยเรา ไม่เคยสอน คนของเรา ให้ศึกษาเกี่ยวกับทางมุสลิม
เพื่อจะไปขายของให้เขา
คนมุสลิมกินอาหาร แบบบ้านเราไม่ได้
เขาต้องกินอาหารฮาลาล อาหารฮาลาล เวลาจะเชือดไก่ จะต้องนวดให้ไก่กำลังสบายก่อน
จะเชือดในขณะไก่ทุกข์ไม่ได้ เขากลัวจะหลั่งสารอะไรบางอย่างออกมา
เวลาจะเชือด คนมุสลิมจะต้องให้ไก่ อยู่ในท่า สบาย แล้วต้องให้ไก่หันหน้าไปทางกะบะฮฺ
กะบะฮฺคือหินสี่เหลี่ยม อยู่ในเมืองมะกะ มะกะบ้านเราเรียก เมกกะ
เวลาเชือดต้องเชือดครั้งเดียวขาด ไม่ให้ไก่รู้สึกตัว มีดต้องคม เวลาเชือดต้องเอ่ยนามอัลเลาะห์ซูบฯ
ด้วย ต้องเอ่ยนามพระเจ้าด้วย จะกินอาหาร ต้องมีขั้นตอน
ประเทศไทยตะโกน เราจะผลิตอาหารไปขาย
ไปขายอเมริกา บางทีเขาส่งกลับมา ไปขายอียู บางทีเขาส่งกลับมา แต่ทำไม
ทางโลกอิสลาม มีคนเป็นพันล้านคน แล้วมีสตางค์ด้วย ประเทศซาอุฯ ผลิตน้ำมันวันหนึ่ง
ได้เป็นสิบล้านดอลล์ เงินกอง ท่วมหัว แต่ผลิตอาหารไม่ได้ มันเป็นทะเลทรายไปทั้งนั้น
ประเทศคูเวต ผลิตน้ำมัน วันหนึ่ง ๒-๓ ล้านดอลล์ สตางค์เต็มไปหมด
อยากซื้ออาหาร ประเทศตัวเอง ปลูกไม่ได้ เพราะเป็นทะเลทราย แต่ไม่รู้จะซื้อที่ไหน
อาหารไทยก็ไม่ส่งไปขาย ส่งไปขายอเมริกา ส่งไปขายอียู ไม่ส่งไปที่โลกมุสลิมเลย
คนเป็นทูต ถ้าถูกย้ายไป ประเทศเล็กกว่า เขาถือว่า ถูกทำโทษ ทูตไทยท่านหนึ่งอยู่คูเวต
ซึ่งเป็นประเทศเล็กนิดเดียว มีประชากร คูเวตแท้ๆ ๘ แสนคน อีก ๔ แสนคนที่เหลือ
เป็นพวกคนใช้ รวม ๑ ล้าน ๒ แสน แล้วทูตไทยประจำคูเวต เขาอยากจะย้าย
ไปประเทศใหญ่กว่า พออยากจะย้าย ก็ต้องสร้างผลงาน คูเวตเป็นประเทศเล็ก
มันสร้างผลงานไม่ได้
(อ่านต่อฉบับหน้า)
|