หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

 

สีสันชีวิต ทีม สมอ.

คุณอดุลย์ รัตนมั่นเกษม ผู้กล้าที่แท้จริง

 

"๒๐ กว่าปีบนรถเข็นคนพิการ ผ่านความเจ็บ ปวด ทุกข์ทรมาน จากความสูญเสีย นานพอที่ จะทำให้เขา ได้ค้นพบสารัตถะของชีวิต"

บทเริ่มต้นชีวิตต้องสู้ของลูกผู้ชายคนหนึ่ง
ผมเกิดวันที่ ๔ เมษายน ๒๔๙๙ เรียนหนังสือชั้นประถมต้น ที่โรงเรียนเลิศศิลป์พิทยา โรงเรียนนี้สอนภาษาจีนด้วย พอขึ้นชั้นประถมปลาย ก็ย้ายไปเรียนที่ โรงเรียนสตรีวุฒิศึกษา คราวนี้อดเรียนภาษาจีน เพราะที่นี่ไม่เปิดสอน จบแล้วสอบเข้าโรงเรียนวัดนวลนรดิศ จบชั้นมัธยมปลายที่นี่ ช่วงเรียน ม.ศ. ๕ เพื่อนๆ ทั้งโรงเรียนเลือกผม เป็นประธานนักเรียนในรุ่นนั้นด้วย หลังจากเรียนจบ ผมไม่ได้ไปสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยกับเพื่อนๆ หรอกครับ ทางบ้านไม่รู้ คิดว่าผมไปสอบแล้วสอบไม่ได้ แต่จริงๆ ผมไม่ได้ไปสอบ พอมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ ผมก็รีบไปสมัคร ผมว่ามันเป็นการตัดสินใจ ที่ผิดพลาดอย่างหนึ่ง เพราะช่วงนั้นกิจกรรมทางการเมือง ของนักเรียนนักศึกษา กำลังเฟื่องฟูมาก พอเข้าเรียนที่รามฯ ผมก็สนใจแต่กิจกรรมทางการเมือง ไม่ค่อยสนใจเรียน จนเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ ชีวิตผมก็พลิกผันครั้งใหญ่ ผมตัดสินใจเข้าป่า เป็นอันว่าผมไม่มีโอกาสเรียนจบ ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะผมก็ไม่เคยคิด หรือตั้งใจจะเรียนให้จบมาแต่ต้นแล้ว ผมไม่ได้มองชีวิตว่า การศึกษาอยู่แค่ในมหาวิทยาลัย
อีกมุมหนึ่ง ผมเรียนรู้จากชีวิตจริงมากกว่าในสถานศึกษา ครอบครัวผมไม่ได้ร่ำรวย ผมต้องช่วยทางบ้าน ทำงานตั้งแต่เรียน ชั้นประถมปลาย แม่เป็นแม่ค้าหาบเร่แผงลอย วางแผงขายอาหารอยู่ตรงข้างทางเดิน ในซอย ทางเข้าตลาดเก่าเยาวราช ผมต้องตื่นตีสามครึ่งบ้าง ตีสี่บ้าง ขึ้นมาช่วยแม่ทำกับข้าว สับกระเทียม หั่นพริก หั่นผัก อุ่นอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่วันวาน เพื่อนำไปขายที่ตลาดเก่า ช่วงเย็นก็ต้องไปคอยยาย ที่ท่าเรือท่าดินแดง เพื่อช่วยหาบปลาทะเลนึ่งกลับบ้าน เป็นกิจวัตรประจำวัน ที่ผมคุ้นเคยมาแต่เด็ก ช่วงปิดเทอมบางปี ทางโรงนึ่งปลา ไม่มีคนเอาปลามาส่งให้ยาย ผมก็ไปรับจ้างหาบปลา จากหัวลำโพง มาส่งให้ยายที่ตลาดเก่า ได้ค่าจ้างสิบบาท ดีใจมาก เพราะ กินก๋วยเตี๋ยวแล้ว ยังเหลือเงินอีกหลายบาท การเคี่ยวกรำจากชีวิตในวัยเด็ก ที่ต้องดิ้นรนไปพร้อมๆ กับทุกคน ในครอบครัว ส่งผลดีต่อผม เมื่อชีวิตต้องพลิกผันอย่างสิ้นเชิงอีกครั้ง หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อ ๒๓ ปีก่อน และ ทำให้ผมกลายเป็นคนพิการ ชีวิตพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยก็ว่าได้

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นดับความใฝ่ฝัน
ผมพลัดตกเขา แถวจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นช่วงที่ผมเข้าป่าไปได้ปีเศษแล้ว จำได้ว่าเป็นวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๒๑ วันนั้นผมกับเพื่อนๆ อีกสามคน กำลังเร่งเดินทางเพราะใกล้ค่ำแล้ว สักหกโมงเย็น ในป่าก็แทบมองไม่เห็นอะไรแล้ว ถ้าพวกเราเดินตามแนวสันเขาไปเรื่อยๆ ก็คงไปไม่ถึงที่พักก่อนค่ำแน่ เลยตัดสินใจกันว่า จะลัดไต่ลงจากหน้าผาตรงนั้น เพื่อประหยัดเวลาเดินทาง ผมไต่ตามเพื่อนลงไปเป็นคนที่สอง แต่ผมเหยียบพลาด กลิ้งตกลงไป ขณะนั้นคิดว่า ตัวเองคงตายแน่แล้ว เพราะในตัวผมมีระเบิดมืออยู่ถึง ๗ ลูก ยังไม่นับปืนประจำกาย ที่มีกระสุนสำรองอีกหลายสิบนัด แต่โชคดีมหาศาล ที่ผมรอดชีวิตมาได้ หากว่าระเบิดลูกใดลูกหนึ่ง เกิดกระเดื่องนิรภัยหลุด ก็คงมิใช่ ผมคนเดียวที่ตาย แต่จะพาเพื่อนตาย และบาดเจ็บไปด้วยแน่นอน ผมสลบไป รู้สึกตัวตื่นมาอีกที ก็มืดค่ำแล้ว รู้สึกเหมือนขาตัวเองหายไป ร้องถามแต่ว่าขาผมไปไหนๆ เพื่อนที่อยู่เฝ้าก็มีสีหน้างงๆ เพราะขาผมไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ดีเหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีขา เขาส่งผมไปรักษาที่โรงพยาบาล ในเมืองจีนอยู่นานเกือบ ๘ ปี

สภาวะจิตในตอนนั้น
ผมเป็นคนไทยคนเดียวที่อยู่โรงพยาบาล กลางมณฑลทหารคุนหมิง หรือ รพ.๔๓ ก่อนหน้านั้น ผมอยู่โรงพยาบาลทหารเหมือนกัน ในเมืองเมิ่งล่า (เมืองลา) แถวชายแดนจีน-ลาว อยู่ได้ปีเศษ เขาก็ย้ายผมเข้าคุนหมิง และ อยู่ที่นั่นมาตลอด จนกลับเมืองไทย ช่วงแรกยังดีครับ มีนักศึกษาที่เข้าป่า ถูกส่งไปเรียนแพทย์ที่นั่น จึงพอมีเพื่อนคุยแก้เหงาบ้าง แต่พอเพื่อนๆ กลับเมืองไทยกันหมด ก็เหลือผมคนเดียว ญาติพี่น้องก็ไปเยี่ยมไม่ได้ มันทรมานจิตใจ มาก ผมต้องแก้เหงาด้วยการอ่านหนังสือ เคยมีคนถามผมว่า เคยคิดฆ่าตัวตายไหม ถ้าบอกว่าไม่เคย นั่นแสดงว่า ผมโกหก เคยคิดหลายครั้งทีเดียว แต่ผมยังรักชีวิต การฆ่าตัวตายนี่ มันต้องใช้ความกล้ามากนะครับ แต่เป็นความกล้าแค่ชั่ววูบเดียว การมีชีวิตอยู่ เพื่อพิสูจน์คุณค่าในตัวเองต่างหาก ที่ต้องใช้ความกล้ามากกว่าหลายเท่านัก เพราะทุกวันที่ผมมีชีวิตอยู่ ผมต้องใช้ความกล้าเสมอมา ผมคิดว่าตรงนี้ต่างหาก ที่พิสูจน์ถึงความกล้าหาญที่แท้จริง

สภาพทางร่างกาย
หมอไม่ได้บอกอย่างเป็นทางการ หรือเป็นเรื่องเป็นราวอะไรหรอกครับ แต่อยู่ไปนานๆ คุ้นเคยกับหมอและ พยาบาลขึ้นมาบ้าง ผมเลยพอรู้ว่ากระดูกสันหลังช่วงอกข้อ T๔ เคลื่อนหรือหักนี่แหละครับ ทีนี้มันไปกดทับเส้นประสาท ทำให้ผมเป็นอัมพาต ตั้งแต่ช่วงหน้าอกระดับราวนม ไปลงถึงปลายเท้า ร่างกายช่วงล่างหมดความรู้สึก ไม่รู้สึกเจ็บ ร้อน หนาว เหงื่อไม่ออก และเคลื่อนไหวอย่างที่สมองสั่งไม่ได้ แต่เริ่มมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ ทางหมอ เขาเรียกอาการพิการที่ผมเป็นว่า spastic paraplegea ผมเข้าใจง่ายๆ เอาเองว่า มันคือ อัมพาตช่วงล่าง ที่พ่วงแถมด้วยอาการกระตุก ของกล้ามเนื้อเป็นระยะๆ เพิ่มความทรมานทางกาย ให้ผมอีกไม่น้อย

สร้างกำลังใจตัวเอง
ช่วงนั้นคงเป็นเรื่องความหวัง ผมหวังว่า สักวันจะได้กลับมาตาย บนแผ่นดินเกิดของตัวเอง ไม่อยากตายอย่างเดียวดาย เหงาเฉาในต่างแดน ทุกวันนี้ผมอยู่บนแผ่นดินเกิดแล้ว สมหวังในสิ่งที่คาดหวังแล้ว เพราะยังไง วันหนึ่งข้างหน้า ผมก็ต้องตายบนแผ่นดินนี้แน่นอน ไม่กังวลเรื่องนี้อีกแล้ว กำลังใจที่มีอยู่ในทุกวันนี้ คือ ความเชื่อมั่นในชีวิตว่า ชีวิตไม่อับจนหนทาง มันย่อมมีทางออกที่ดีเสมอ แม้จะไม่ดีที่สุดก็ตาม และยังเชื่อว่า พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ เพราะผมได้พิสูจน์กับตัวเองแล้ว บนพื้นฐานที่เรารู้ๆ กัน คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผมไม่ได้หมายความว่า เราทำความดี แล้วเราก็เฝ้าคาดหวังว่า จะได้รับสิ่งตอบแทน ที่เป็นรูปธรรมจากความดีนั้น เช่น ร่ำรวย ถูกหวย หรือมีใครสักคน หยิบยื่นวัตถุสิ่งของเป็นสิ่งตอบแทนให้ แต่ผมหมายถึง เมื่อเราทำดีแล้วเราได้ดี หรือความดี ซึ่งมันอาจจะเป็นความสุขใจ อิ่มใจ หรือมีสุขภาพจิตที่ดี ตรงนี้ต่างหาก ที่ผมคิดว่ามีค่า มันทำให้ผมมีสุขภาพจิตที่ดี

จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนไม่เครียด ชอบเรื่องตลก อย่างหนังนี่ผมชอบดูประเภท comedy มากกว่าหนังชีวิต ยิ่งโศกเศร้ารันทดบีบคั้นจิตใจ มีนางเอกออกมาร้องห่มร้องไห้ น้ำตาร่วงเป็นเผาเต่านี่ ผมไม่ดูเลย ผมว่า ถ้าชีวิต มันทรมาน เจ็บปวดอยู่แล้ว ก็อย่าไปเพิ่มความเจ็บปวดนั้น ให้แก่ชีวิตเลยครับ ทางที่ถูกควรให้รางวัลแก่ชีวิตบ้าง ผมให้รางวัลชีวิตด้วยการเลี้ยงอาหาร กลางวันเด็กเร่ร่อน เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของยายบ้าง แม่บ้าง ตัวเองบ้าง ส่วนมากผมจะให้เด็กเลือกเอง ว่าอยากกินอะไร พอเราเห็นเด็กๆ ด้อยโอกาสเหล่านี้ กินอย่างมีความสุข เราก็สุขใจไปด้วย ผมตอบแทนคืนสู่สังคม ตามกำลังที่มีจำกัด

งานคือชีวิต
งานของผมคือเขียนหนังสือ แปลหนังสือ งานก็มีเข้ามาเรื่อยๆ หาทำเองบ้าง สำนักพิมพ์อยากให้ทำบ้าง คละเคล้ากันไป แต่ที่ทำอยู่ประจำ ก็เขียนคอลัมน์ เกร็ดรักลายมังกร ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ และคอลัมน์ เครื่องยาจีน ในนิตยสารครัว งานส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของจีน ทำนองจีนศึกษานี่แหละครับ

สนใจภูมิปัญญาจีน
สมัยอยู่ชั้นประถม ผมเคยเรียนภาษาจีน แต่ลืมหมดแล้ว ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ ในช่วงที่รักษาตัวอยู่ในเมืองจีน คนเรานอนป่วย อยู่กับเตียงนานๆ มันก็เบื่อตัวเอง เผลอๆ จะพาลเบื่อชีวิตเอา จึงขอให้ทางจีนจัดหาหนังสือมาให้อ่าน เขาก็หาหนังสือ ภาษาอังกฤษมาให้ ก็อ่านไปงูๆ ปลาๆ มันก็เริ่มเบื่ออีก แต่เหตุผล ที่เบื่อจริงๆ คือ มันมีแต่เรื่องราว การเมืองของจีนทั้งนั้น ก็ได้อ่านแต่ Beijing review อะไรพวกนี้ จะไม่ให้เบื่อได้ยังไง ผมเลยหันไปสนใจงานด้านประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ในสมัยโบราณของจีน แต่ปัญหาอยู่ที่ ผมอ่านภาษาจีน ไม่ออกเลย ความรู้ที่เคยมี คืนครูไปหมดแล้ว จึงตัดสินใจเรียนเอง ฝากคนช่วยซื้อ พจนานุกรมจีน-อังกฤษ มาจดลอกท่องคำ ศัพท์มันทั้งเล่ม ถามคำอ่านจากพยาบาลบ้าง ญาติคนไข้บ้าง คำจีนมีพ้องเสียงเยอะมาก อ่านได้ตัวหนึ่งก็อ่านได้ อีกนับสิบตัว เพราะออกเสียง เหมือนกันหมด ความหมาย ก็เอาจาก คำแปลอังกฤษที่มีอยู่นั่นแหละ อีกอย่างภาษาจีน เป็นคำโดดเหมือน ภาษาไทยเรา ไม่มีการเปลี่ยนคำไปตาม tense หรือเรียงคำแปลกๆ เวลาเป็นประโยค คำถามหรือ question tag อย่างในภาษาอังกฤษ ทำให้เรียนง่ายขึ้น ทำอย่างนี้อยู่ทุกวัน นานนับปีทีเดียว อีกอย่างผมต้องพูดจีนด้วย ไม่เช่นนั้น จะสื่อกับคนจีนไม่รู้เรื่อง ส่งผลดีทำให้ผมพูดจีนกลางได้คล่อง โดยไม่ต้องนึกประโยค เป็นภาษาไทยก่อน งานเขียนด้านประวัติศาสตร์จีน นี่ผมอ่านมามาก ไม่ว่าจะเป็นเลียดก๊ก ประวัติศาสตร์ สมัยราชวงศ์ถัง และอื่นๆ ส่วนงานวรรณกรรมเด่นๆ ของจีนทั้งสี่เรื่อง อย่างความฝันในหอแดง สามก๊ก ซ้องกั๋ง และไซอิ๋ว ผมอ่านจบหมดแล้ว เรื่องละอย่างน้อยสองสามรอบ นอกจากนี้ ยังอ่าน งานด้านปรัชญา ทั้งของขงจื๊อ จวงจื๊อ และ เล่าจื๊อด้วย

ภูมิหลังทั้งหมดที่เล่ามานี้ ทำให้ผมมีความรู้เรื่องจีนพอสมควร ผมหมายถึง จีนโบราณนะครับ จีนสมัยนี้ผม ตามไม่ค่อยทัน เมื่อมีความรู้ตรงนี้มากพอ ก็อยากถ่ายทอดให้คนอื่นได้ร่วมรู้ด้วย คนอ่านอาจได้สาระความรู้บ้าง บันเทิงบ้างจากงานของผม ก็แล้วแต่จะได้กันไป อย่างเช่น ตำราพิชัยสงคราม ซุนวูนี่ บางคนอ่านแล้วอาจเห็นว่า เป็นเรื่องของการวางแผน ชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมลบคมกันทำนองนี้ แต่ผมว่าหัวใจของพิชัยสงคราม คือ สันติภาพ เพราะสุดยอดของการเอาชนะศัตรู คือ ชนะโดยไม่ต้องรบ อย่างนี้เป็นต้น

งานที่ทำให้อะไรแก่สังคม มันขึ้นอยู่กับใครจะเอาสิ่งที่มีอยู่ในงานเขียนงานแปลของผมไปใช้ประโยชน์อย่างไรแค่ไหน งานหลักที่ผม จับอยู่ก็ยังเป็นเรื่องสมุนไพรจีน เป็นการรวบรวมความรู้ จากตำรับ ตำราต่างๆ มาแปลบ้าง เรียบเรียงบ้าง เพื่อถ่ายทอดความรู้ นี้ให้คนอ่าน เป็นขุมความรู้หนึ่ง ที่ทุกวันนี้ ทั้งจีนและญี่ปุ่น ยังศึกษากันอยู่ ผมว่าเราไม่น่าพลาด ความรู้ พวกนี้ไป

นอกจากนี้ก็มีเรื่องราว ของประวัติศาสตร์ทั้งด้านที่เป็นความสำเร็จ และความล้มเหลว มันเป็นบทเรียนจริง ที่แลกมาด้วยชีวิตเลือดเนื้อของคน นับหมื่นนับแสน หากเราเก็บรับเอาแง่คิด คติสอนใจ และองค์ความรู้ในนั้นมา ประเทืองปัญญาให้ได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ทั้งต่อตัวเองและคนอื่น ตลอดจนสังคมได้

งานวรรณกรรม ก็คงได้ในเรื่องของความบันเทิงและภาษา ส่วนงานด้านความคิดปรัชญา ก็ช่วยให้คนอ่านมีแง่คิดในอีกหลายๆมุมมอง ทั้งต่อตัวเองและต่อโลกได้กว้างขึ้น อย่างหนังสือแนวเซ็น ที่เพิ่งพิมพ์เป็นครั้งที่สอง เรื่อง "ตื่นอย่างเซ็น" นี่ผมว่า ให้อะไรกับคนอ่านไม่น้อย หรือ ชนะทุกข์สร้างสุขแบบเซ็น ก็เป็นการเอามรรคแปด มาอธิบายในวิธีของเซ็น น่าสนใจไปอีกแบบใช่ไหมครับ

ผมว่าจีนเป็นแหล่งอารยธรรม และภูมิปัญญาสำคัญของโลก ผมเพียงแค่ทำหน้าที่ นำเอาภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้ว มาเผยแพร่ให้คนไทยเราได้รู้เท่านั้นเอง

ความสุขเกิดจากความรัก
ผมมีความสุขอยู่กับ ๓ เรื่องครับ คือเรื่องงาน คนที่ผมรัก และงานอดิเรกที่ผมชอบ

เวลาผมทำงาน ผมจะมีความสุขกับมันมาก ยิ่งถ้าเป็นช่วงสมองแล่นๆ หรือความคิดกำลัง ลื่นไหลด้วยแล้ว นั่งเขียน(พิมพ์)จนลืมเวลาไปเลย ยิ่งเป็นงาน ที่ผมอยากทำเอง ด้วยใจรักแล้ว ผมยิ่งมีความสุขครับ

ผมโชคดีที่มีโอกาสดูแลปรนนิบัติยายและแม่ในช่วงที่ท่านอยู่ในวัยชรา การได้ดูแลใกล้ชิด ทำกับข้าวให้ยายกับแม่ แม้บางครั้งจะเหนื่อย แต่มันก็เป็นความสุข คุณแม่เป็น โรคหัวใจและเป็นอัมพฤกษ์ ต้องไปหาหมอ และซื้อยา ซึ่งภาระตรงนี้ผมรับเอาไว้เองหมด ผมดีใจนะครับ ที่ทำให้ผู้มีพระคุณมีรอยยิ้มได้ มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ยังไง คนที่ผมต้องขอบคุณมากกว่าคนอื่นๆ คือ พี่ชายร่วมสายเลือดของผม ไม่ว่าสภาพทางบ้านจะ แร้นแค้นยังไง หรือตกอยู่ในสภาพเช่นใด เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งทุกคนในบ้านเลย เราอาจไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยนัก แต่พี่ชาย ก็เป็นคนที่ค้ำจุน และดูแลทุกคนในบ้านด้วยดีเสมอมา หากไม่มีพี่ชายคนนี้ ผมเองก็คงไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ จนทุกวันนี้เหมือนกัน

ส่วนงานอดิเรก ผมชอบคอมพิวเตอร์ ชอบเล่นทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ชอบทดลองติดตั้งฮาร์ดแวร์ตัว โน้นตัวนี้ เพื่อทดสอบการทำงานของเครื่อง ชอบติดตั้งซอฟต์แวร์ เพื่อทดสอบ การทำงานของโปรแกรมต่างๆ และที่สำคัญ ผมชอบเล่นอินเตอร์เน็ต มันเหมือนผมได้ไปยังที่ไกลๆ โดยที่ผมไม่ต้องออกจากบ้านจริงๆ อินเตอร์เน็ตให้ ความรู้ผมเยอะมาก หลายครั้งที่ผมได้อะไรดีๆ จากอินเตอร์เน็ต เอามาเขียนบทความได้ เคยเขียนเว็บไซต์ให้ตัวเอง อยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เลิกไป เพราะไม่มีเวลา

วาดหวังอะไรกับชีวิตที่เหลือ
ความพิการของผมไม่ได้เป็นอุปสรรคต่องานที่ผมทำ และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อชีวิต ที่มันจะดำเนินต่อไปผม โชคดีที่มีเพื่อนหลายคน คอยช่วยเหลือ อย่างช่วงที่ผมไปฟื้นฟู สมรรถภาพร่างกาย อยู่ที่สวางคนิวาส เป็นคนไข้ของ คุณหมอสาธิต วงศ์วิวัฒนานนท์ ทุกวันนี้ผมกับคุณหมอ เป็นเหมือนเพื่อนกัน หากแต่ผมระลึกอยู่เสมอว่า คุณหมอ คือผู้มีพระคุณของผม และคุณหมอนี่แหละครับ ที่สนับสนุนส่งเสริมผม ให้เรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ จนทุกวันนี้ ผมกลายเป็นที่ปรึกษาด้านคอมพิวเตอร์ ของมิตรสหายหลายๆ คน ผมบริการติดตั้งทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ให้เพื่อนฟรีครับ ดีใจครับที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และบอกเลยก็ได้ว่า ผมเป็นรุ่นแรกๆ ที่รู้จักใช้งานอินเตอร์เน็ต ก่อนที่มันจะมาฮิตในทุกวันนี้ เมื่อก่อนไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่จะมี BBS ให้ชาวคอมพิวเตอร์ได้สนุกกัน

ความสำเร็จครั้งสำคัญในชีวิตผม คือ ผมสามารถซื้อบ้านของตัวเองได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง มีกัลยาณมิตรสองท่าน ได้ยื่นมือช่วยเหลือให้ยืมเงิน ถึงสี่แสนบาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย ทุกวันนี้ ผมผ่อนบ้านหมดแล้ว มันไม่ง่ายนักนะครับ สำหรับคนพิการที่ต้องเริ่มต้นทุกอย่าง จากสองมือเปล่าจริงๆ และจากนี้ไป สิ่งที่ผมวาดหวังไว้ คือ มีโอกาสได้ทำงานชิ้นสำคัญสักชิ้นอย่าง ที่ใจอยากทำ ที่สนใจมากคือ ซ้องกั๋งหรือไซอิ๋ว เอาฉบับจริง ฉบับเต็มๆ นะครับ ไซอิ๋วนี่เป็นนิยาย แนวปริศนาธรรม ผมว่ามันเป็นงานใหญ่มาก ถ้าจะทำจริงๆ คงต้องลงเรี่ยวลงแรง เยอะทีเดียว เหนื่อยเลยแหละ

ส่วนชีวิตนั้น ผมให้มันดำเนินไปตามวิถีของมัน ผมยังคงทำกับข้าว ให้ยายกับแม่กิน ยังคงนวดแขนดัดแขน ให้แม่ทุกวันเหมือนเช่นที่ทำอยู่ประจำ ทำงานหาเลี้ยงชีพไป มีกำลังและโอกาส ก็ตอบแทนคืนสังคมบ้างตามกำลัง ความสามารถของตัวเอง อยากให้ชีวิตดำเนินไปในวิถี เยี่ยงชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่วาดหวังในวัตถุสิ่งของ หรือทรัพย์สินเงินทองอะไร ผมว่าของพวกนี้ หากมีเกินความจำเป็น มันเป็นสิ่งรุงรังของชีวิต

นิยามแห่งความรัก
เรื่องนี้ผมโชคดีมากครับ เรื่องราวเริ่มขึ้นจนทำให้เรารู้จักและรักกัน เมื่อราวกลางเดือน มิถุนายน ๒๕๓๘ หลังจากที่ผมพิการ เป็นอัมพาตมาแล้วถึง ๑๗ ปี เหตุที่ทำให้ผม ได้รู้จักกับอ้อม ก็เพราะผมโทรศัพท์ไปขอบริจาคเงิน เป็นทุนการศึกษา แก่เด็กด้อยโอกาส ที่มูลนิธิ ที่เธอทำงานอยู่ นี่เองเป็นที่มาของความรัก ที่น่ามหัศจรรย์ ที่สุดในชีวิตผม เธอไม่เคยคิดรังเกียจเดียดฉันท์ ในความพิการของผมเลย ผมว่าเราสองคน แตกต่างกันมากนะ เธอเป็นหญิงสาว ที่มีการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี มีงานที่ดี ฐานะมั่นคง ขณะที่ผมเป็นคนพิการ แต่เธอก็รักผม ผมว่าหัวใจเธอต้องยิ่งใหญ่ ด้วยน้ำใจอันงดงามแน่นอน เธอแสดงออก ซึ่งการเสียสละตัวเองอย่างสูง ให้ผมได้เห็นมาตลอดระยะเวลา ๖ ปี ที่เรารักกัน ทุกครั้งที่เธอมาเยี่ยมผม เธอจะคอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่ ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน สระผมเช็ดตัวให้ ทำกับข้าวกับปลาให้ แรกๆเธอคอยเป็นลูกมือให้ผม แต่ตอนหลัง ผมกลายเป็นลูกมือให้เธอ จนสุดท้ายเธอทำเองหมดคนเดียว ผมว่านี่คือน้ำใจเสียสละ ที่งดงามมาก วันหนึ่ง ขณะที่กำลังสระผมให้ผม เธอก็พูดขึ้นว่า นี่แหละชีวิต ที่อ้อมเลือกแล้ว ผมถึงกับน้ำตาซึม มันตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนมีก้อนสะอื้น มาจุกที่คอ เป็นคำพูดที่กินใจผมมากๆ

ในนิยายเรื่อง How the steel was tempered ของ Nikolai Ostrovsky ซึ่งคุณทวีป วรดิลก แปลและเรียบเรียง เป็นภาษาไทย เรื่องนี้ผมเคยอ่านมานานแล้ว จำเนื้อเรื่องได้เลือนรางเต็มที จำได้ว่า ตัวพระเอกชื่อ พาเวล เป็นคนพิการ แต่ตัวละครหนึ่ง ที่คนไม่ค่อยพูดถึงคือ เมียของ พาเวล ผมว่าเธออาจไม่ได้แสดงออกให้เห็น ถึงการยืนหยัดในอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่อะไร แต่เธออยู่เคียงข้าง พาเวล อย่างนี้มันยิ่งใหญ่พอไหม ผมว่าน่าจะพอนะ สำหรับชีวิตคนคนหนึ่ง

อ้อมเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ชีวิตเธอและผม ด้วยน้ำใจที่เสียสละอย่างงดงาม และ น่ายกย่อง ทุกวันนี้ เธอเป็นแรงใจสำคัญของผม บอกได้เลยว่า ชีวิตผมงดงาม และมีความหมายมากขึ้น ก็เพราะมีเธอช่วยเติมแต้มให้ครับ

ฝากกำลังใจให้คนที่กำลังท้อแท้
ผมอยากบอกว่า อย่าท้อแท้กับชีวิตเลยครับ เพราะมันไม่ช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้น อย่างที่พูด ชีวิตย่อมมีทาง ออกของมันเสมอ และพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ หากเราแสดงความดีแ ละความสามารถให้เห็น สังคมย่อมเปิดโอกาสให้เรา และ เมื่อเราทำตัวมีค่าต่อคนอื่นๆแล้ว เราจะค้นพบคุณค่าในตัวเองได้ โดยปริยายครับ

ขอให้เชื่อมั่นในชีวิตสิครับ เชื่อมั่นในความดี เชื่อมั่นในอนาคต และชีวิตคุณจะดีขึ้น เหมือนที่ผมได้พิสูจน์ มาแล้วกับตัวเอง

 
อ่านฉบับ 130    

สีสันชีวิต (เราคิดอะไร ฉบับ ๑๓๑ มิ.ย. ๔๔ หน้า ๑๔ )