กลับสู่ทางเกวียนสายเก่า
"
ก่อนเลิกเลี้ยงหมู ดิฉันเริ่มหันมาทำเกษตรตามวิธีแบบดั้งเดิมของพ่อแม่
เหมือนตอนที่ดิฉันยังเป็นเด็ก คือเราปลูกพืชหลายๆอย่างโดยไม่ต้องลงทุนมาก
ปลูกวิธีธรรมชาติไม่ต้องใช้ปุ๋ย ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง แต่เราก็มีพอกินกันในครอบครัว
ถ้ามีมากก็นำไปขายที่ตลาดใกล้บ้าน ปีนั้นดิฉันตั้งใจทำให้พี่ๆดูเป็นตัวอย่าง
เราปลูกฟักทองในเนื้อที่ ๒๕ ไร่ ซึ่งสามารถทำรายได้ถึงแสนกว่าบาท
ชี้ให้พวกเขาเห็นว่า การทำเกษตร ถ้าขยันขันแข็งก็สามารถมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนกัน
เพียงแต่อาจต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่ก็ได้ฝึกความอดทน สร้างความเป็นไทให้แก่ตนเอง
นอกจากไม่ต้องทำบาปแล้ว ยังได้มีส่วนสร้างอาหารบริสุทธิ์ให้ผู้อื่นอีกด้วย
เราปลูกพืชหลายอย่าง มีทั้งชนิดปลูกหน้าฝนกับหน้าแล้ง
ถ้าหน้าฝนจะปลูกพืชได้ทุกอย่าง ส่วนหน้าแล้ง จะปลูกจำกัดหน่อย เพราะไม่ค่อยมีน้ำ
ผลผลิตจะได้น้อย เก็บขายในตลาดได้วันละ ๑๐๐ กว่าบาท หน้าฝนผลผลิตมาก
จะได้เงินมากขึ้นถึงวันละ ๕๐๐-๑,๐๐๐ บาท
แต่ถึงรายได้น้อยเราก็อยู่ได้
เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก อาศัยลงแรงอย่างเดียว ดิฉันมีหน้าที่ปลูกพืชหมุนเวียน
พืชบางชนิดอายุสั้นต้องคอยปลูกแซมไปเรื่อย ในเนื้อที่ ๕๐ กว่าไร่
พี่ๆก็ช่วยกันเก็บในตอนเเย็น เพื่อเตรียมไว้ขายตอนเช้ามืด
เมื่อเราไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ก็ต้องพยายามปลูกพืช
ผลไม้ ที่แมลงจะมากวนน้อยที่สุด เช่น มะเขือพวง ใบมะกรูด ตะไคร้
สะระแหน่ ผักชี ตังโอ๋ ผักกาดหอม ฟักทอง ยอมรับว่างานเกษตรเป็นงานหนัก
นอกจากต้องอดทนต่อแดดที่ร้อนจัด บางทีปลูกลงแรงไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องอดทน
บางทีกว่าจะได้ผลผลิต ต้องลองผิดลองถูกหลายครั้ง มันคอยพาให้เราท้อ
ได้เงินก็น้อย อย่างเช่น สอยดอกแคสักกิโล ราคาแค่ ๗ บาท เสียเเวลาเยอะ
มดก็กัด หรือจะเก็บพริกหอมสักกิโล ราคา ๑๐๐ บาท กว่าจะเก็บได้ ใช้เวลาตั้งนาน
เพราะพริกเม็ดเล็กนิดเดียว มันลำบากมากเลยนะ ตรงนี้เราต้องมีความศรัทธา
เชื่อมั่นจริงๆว่า นี่เป็นอาชีพบุญ จึงทำให้เราไม่เกี่ยงต่ออุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น
ยิ่งเราทำงานเหนื่อยมากๆ แต่ได้ผลผลิตน้อยได้เงินน้อย ยิ่งต้องคอยเตือนตัวเองให้รู้ว่า
นั่นคือ เราได้บุญมากขึ้นทุกวัน
"
เศรษฐกิจพอเพียง
"
ปกติเรากินพืชผัก ที่ปลูกหมุนเวียน
โดยไม่ต้องซื้อจากตลาด ยิ่งเรากินอาหารมังสวิรัติ ก็อยู่ได้สบาย
เพราะอยู่อย่างกินน้อยใช้น้อย แต่ถ้าเราใช้จ่ายเยอะ เข้าห้างหรือเข้าศูนย์การค้า
กินอาหารมื้อเดียวก็หมดแล้ว รายได้ไม่พอแน่ จีงได้ความรู้อย่างหนึ่งว่า
คนที่จะเป็นเกษตรกรนั้น ต้องมีวิถีชีวิตและอุปนิสัยที่สอดคล้องไปด้วยกัน
เช่น มีความสันโดษ มัธยัสถ์ รู้คุณค่าของงานมากกว่าให้ความสำคัญแก่เงิน
คนที่ไม่มีแนวคิดอย่างนี้ จะทำอาชีพเกษตรได้ยาก เขาจะคิดแต่ว่าทำแล้ว
ไม่คุ้ม งานหนักแต่ได้เงินค่าตอนแทนน้อย ซึ่งมันไม่พอกับวิถีชีวิตที่ฟุ่มเฟือย
ทุกวันนี้ ชาวบ้านแถวนั้นก็ยังเลี้ยงโคนม
เลี้ยงหมู ทำเกษตรใช้สารเคมีแบบเดิมๆ ตอนที่ครอบครัวเราทิ้งอาชีพเลี้ยงโคนม
เลี้ยงหมู หันมาทำเกษตรปลอดสารพิษ เขาก็หาว่าเราบ้าแล้ว ทิ้งอาชีพที่ทำเงินให้มากๆได้อย่างไร
แล้วจะอยู่อย่างไรถ้าประเทศไทยมีแต่คนอย่างเรา ประเทศไทยคงต้องเจ๊งแน่
เรายึดอุดมการณ์ว่า นอกจากต้องการทำกสิกรรมไร้สารพิษแล้ว
การไม่ฉีดยายังไม่ทำให้สัตว์ต่างๆต้องตาย คนแถวนี้เขาฉีดยาฆ่าแมลงกันมาก
นกแมลงต่างๆตายหมด เห็นแล้วก็สงสารนก คิดว่าถึงจะไม่มีกินก็ยอม
แน่นอนผลผลิตได้ไม่เต็มร้อย รวมทั้งฝนแล้งแมลงระบาด
รายได้ก็หดหาย แต่เราไม่กระเทือนมาก เพราะถึงไม่มีขาย แต่เราก็ยังมีพอกิน
เช่น ผลไม้ ผักต่างๆ ถ้าเป็นแต่ก่อน จะไม่ใช่สภาพอย่างนี้ พอไม่ได้ผลผลิต
เราจะขาดทุนย่อยยับ และเดือดร้อนหนัก เพราะหนี้สินที่เพิ่มขึ้น
"
ความหมายของการศึกษา
"
ครั้งแรกที่ตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่เคยคิดเสียใจอีกเลย ยิ่งเมื่อมาพบคำสอนของพ่อท่านว่า อาชีพเกษตรเป็นบุญ
ทำให้เกิดความภูมิใจด้วยซ้ำว่า ตอนนั้นเราเป็นนักศึกษา แต่ก็สามารถคิดได้
เลือกหนทางชีวิตได้ถูกต้อง
ส่วนการศึกษาที่เรียนมาจะว่าไม่ได้นำมาใช้ก็ไม่จริงนะ
เพราะในชีวิตประจำวัน เราได้นำความรู้เหล่านี้มาใช้ทั้งด้านจิตวิทยา
และการบริหารจัดการ เช่น เราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร เรื่องไหนควรทำก่อนหลัง
เป็นต้น ฉะนั้นจึงไม่ปฏิเสธเรื่องการศึกษา ซึ่งช่วยสร้างแนวคิดให้กว้างขวาง
ถ้ามีความรู้แค่ ป.๔ ก็อาจคิดไม่ได้ขนาดนี้
"
คำตอบอยู่ที่คน
"
เขาต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ต้องหันมาละลดกิเลส
คือละลดสิ่งฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิตให้ได้ก่อน ต้องฝึกอดทน
ทำใจให้ได้และปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องไม่ใช่แค่นึกรักธรรมชาติ สายลมแสงแดด
แล้วก็คิดจะมาเป็นเกษตรกร คงทำไม่ได้ สรุปแล้ว ต้องมีการศึกษาและปฏิบัติธรรม
จนเกิดจิตสำนึกเห็นคุณค่าสาระ เข้าถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง อย่างที่กระทรวงมหาดไทยส่งเสริมให้ชาวบ้านทำเกษตรพอเพียงที่อุบลฯ
โดยหวังจะให้เกิดทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ดิฉันยังนึกค้านในใจ
ถ้าไม่สร้างคนก่อน ทำอย่างไรก็คงไม่มีทางสำเร็จ เหมือนคนแถวนี้ลองเอาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาเผยแพร่
แต่ถ้ายังไม่เปลี่ยนวิถีชีวิต ให้ลดความฟุ่มเฟือย ยังมีอบายมุข ต้องจ่ายค่าเหล้า
บุหรี่ สิ่งเสพย์สิต หวย การพนัน เขาจะมีเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างไร
"
ข้อคิดชีวิตคู่
"
คนส่วนใหญ่คิดว่า การมีครอบครัวทำให้ชีวิตสมบูรณ์
แต่ดิฉันกลับคิดว่ามันเป็นภาระเหมือนชีวิตต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
เราดำเนินชีวิตมาถึงจุดนี้ คิดว่าดีและถูกต้องแล้ว ถ้าต้องสร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่อีก
รู้สึกหนัก จึงมั่นใจว่า จะอยู่เป็นโสดดีกว่า
"
ความสุขที่แท้จริง
"
มองดูต้นมะเขือเทศ มันออกดอกแล้วนะ
วันต่อมามันก็เป็นลูกสีเขียว สีชมพูอ่อน สีชมพูแก่ สีแดง สำหรับ
ปลูกฟักทอง หลังจากมีดอกสีเหลือง ก็จะมีลูกตามมา แต่ละต้นจะออกผลมาลักษณะไม่เหมือนกัน
มีความแตกต่าง ที่น่ารักมาก สำหรับเราที่คอยเฝ้ามองการเจริญเติบโตของมันอยู่ทุกเวลา
เราจะจำลูกฟักทองที่ปลูกเองได้ เราจะจำต้นไม้ ทุกต้นได้ว่า มันอยู่ริมน้ำโน้น
อยู่ตรงนั้นตรงนี้ออกลูกแบบนั้นแบบนี้ จำได้หมด
ถึงวันนี้ ถ้ามีใครชวนทำอย่างอื่นและบอกว่าจะได้เงินมากๆ
จะไม่สนใจเลย เราเห็นความสุขจากเงินก้อนเล็กๆ ซึ่งได้จากน้ำพักน้ำแรง
จากการเก็บหอมรอมริบ ประหยัด รู้คุณค่าของเงินบริสุทธิ์ ซึ่งอาจเป็นแนวทาง
ที่สวนกระแส กับคนอื่น เราให้ค่าของเงินเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของการดำรงชีวิตเท่านั้น
แต่การยึดอุดมการณ์และทำตามให้ได้ นั่นคือ สิ่งสำคัญยิ่งกว่า
อุดมการณ์ที่ว่านี้ ก็คือ แนวคำสอนของชาวอโศกที่สอนให้มีวิถีชีวิตที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
รวมทั้งการทำคุณประโยชน์ให้แก่โลก
"
|