แว้งที่รัก โดย ชบาบาน

ตอน หล่มลึก

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ 131 เดือน มิถุนายน 2544

พ่อ ไปเยี่ยมยายที่สงขลาตั้งหกวันแล้วก็ยังไม่กลับ ทุกคนคิดถึงพ่อมาก

ทุกอย่างในบ้านเป็นไปเหมือน เวลาที่พ่ออยู่ แม่กวนโกฟี่ และรับพลูกับผักจากแขกในกำปงมาขายต่อ โดยมีลูกทั้งสองเป็นผู้ช่วย วันไหนแขกไม่มา แม่ก็จะขึ้นไปดักซื้อผักบนบาโงง (เนินเขา) ด้วยตนเอง ตอนนี้คนในอำเภอแว้งก็รู้กันทั่วไปว่า นอกจาก แม่มีของไปขายที่ตลาดตอนเช้าแล้ว ก็ยังมีของบางส่วน วางขายที่หน้าบ้านอีกด้วย สำหรับเด็กๆ แม่มีโกฟี่แบบใส่ทุเรียนบ้าง ขนุนบ้าง เพิ่มขึ้นให้เลือกซื้อตามใจชอบ

ทุกคืน แม่ยังคงนับเงินแยกเป็นส่วนๆ อย่างที่เคยทำ พี่แมะท่องหนังสือ และน้อยหัดสะกดคำ ก่อนที่จะเขียนลงในกระดานชนวน ตามที่พ่อสอน

น้อยรู้สึกว่าเงินของแม่มีมากขึ้น แต่ดูแม่เหนื่อยและอ่อนเพลียมากขึ้นด้วย เธอจึงหยุดเซ้าซี้ถามถึงพ่อ ก้มหน้าสะกดคำในหนังสือแบบเรียน ที่รับมรดกมาจากพี่แมะ ด้วยเสียงอันดังแทน จะได้หยุดคิดถึงพ่อ

ช่วงนี้อากาศที่แว้งร้อนจัด โต๊ะตาบอดว่า ถ้าร้อนมากๆ ฝนอาจจะตกก็ได้ น้อยภาวนาอย่าให้ฝนตก อย่างที่โต๊ะว่าเลยเพราะ ฝนจะทำให้ถนนแฉะเป็นหลุมเป็นบ่อ ยากแก่การเดินโดยเฉพาะถ้าพ่อไม่ค้างคืนที่โก-ลก

เช้าวันนี้พี่แมะตื่นสาย ตื่นแล้วก็ยังงัวเงียล้มตัวลงนอนใหม่ จนเสียงแม่ดุมาจากข้างล่าง ให้ลุกขึ้นติดไฟหุงข้าวเสียที พี่แมะ จึงลุกเดินช้าๆ ไปทำงานที่แม่สั่ง ตั้งหม้อข้าวแล้วก็นั่งแปะ ลงบนม้าหน้าเตา ไม่พูดไม่จากับใครเลย

แม่เดินเข้าประตูหลังบ้าน เห็นพี่แมะนั่งซึมจึงถามว่า "เป็นอะไรไปแมะ?" แล้วแววตาของแม่ก็กังวลขึ้นมาทันที เมื่อพี่แมะตอบเสียงเนือยๆ ว่า "แมะรู้สึกร้อนๆ แล้วก็เพลีย ตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ"

แม่ตรงเข้าไปเอาหลังมืออังหน้าผากลูกคนโต พูดว่า "อากาศมันร้อนจัด เมื่อวานไปเล่นน้ำคลองกันนาน น้ำอาจจะเย็นไป ลูกเลยตัวร้อนนิดหน่อย เดี๋ยวแม่ดูหม้อข้าวเอง แมะไปนอนเสียเถอะ ข้าวสุกแล้วจะได้กินข้าว กินยาเขียวเสียก็หาย ไม่เป็นไรหรอกลูก"

ตามปกติพี่แมะเป็นเด็กร่างกายอ้วนท้วนแข็งแรง ไม่ค่อย เป็นโน่นเป็นนี่เหมือนน้อย คราวนี้กลับป่วย ที่แม่กังวลก็เพราะ เวลาพี่แมะป่วยแต่ละทีเขาจะไม่ยอมรับประทานยา ต้องบังคับกัน

เช้านี้ แขกไม่ได้ทูนผักมาส่งเช่นเคย มีแต่แขกขายพลูจากลูโบ๊ะดาแลเท่านั้นที่มา แม่พูดกับน้อยว่าถ้าเขาไม่มาจริงๆ แม่ก็ ต้องไปดักรอแขกรอบบ่ายบนบาโงง

พี่แมะนอนตลอดเช้า แต่น้อยก็ช่วยแม่มัดพลูได้เป็นอย่างดี สายหน่อยแม่เอาพลูที่มัดเสร็จแล้ว ไปส่งแม่ค้าในตลาด ขากลับ แม่ซื้อนมร้อนใส่กระป๋องนม มาสองกระป๋อง ให้พี่แมะหนึ่งกระป๋อง อีกกระป๋องให้น้อย แม่บอกว่าเป็นรางวัลที่ตั้งใจช่วยแม่ และ ทำงานได้เรียบร้อยดี

นมร้อนนี่ช่างหอมหวานอร่อยเหลือเกิน แต่แม่ก็ต้องเจียดเงินที่หามาได้ วันละเล็กละน้อย ซื้อให้ลูก หลังสงครามอย่างนี้ เด็กๆจะได้รับประทานนมร้อน ก็เฉพาะเวลาป่วยเท่านั้น เพราะเด็กที่ป่วย มักไม่ค่อยยอมรับประทานอะไร เหมือนพี่แมะวันนี้ที่ไม่ยอมรับประทานข้าวเช้า บอกแม่ว่าจะนอนอย่างเดียว แต่ไม่ปฏิเสธนมร้อน

กลางวันแม่ต้มข้าวต้มให้พี่แมะ รับประทานกับไข่เจียวร้อนๆ พี่แมะก็ไม่ลุกอีก แม่อ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ยอมลุก บอกว่าไม่หิว จนบ่ายแม่จึงเรียกน้อยลงมาข้างล่างสั่งว่า

"แม่ต้องไปบนบาโงงอาจจะต้องเลยไปลูโบ๊ะดาแลด้วยถ้าแขกไม่เอาผักมาขาย" แม่พูดเหมือนทุกอย่างเป็นปรกติ ขณะเอื้อมหยิบตะกร้ากับกระเชอ ลงมาจากหิ้งเหนือแม่ไฟ

"แม่ต้องไปด้วยหรือคะ?" น้อยถามแม่เบาๆ ใจคอไม่สู้ดี อยากขอร้องแม่ด้วยซ้ำไปว่า "แม่อย่าไปเลย" แต่ก็พูดไม่ออก รู้ดีว่าแม่ต้องทำงานเพื่อช่วยพ่อหาเลี้ยงครอบครัว

"น้อยอยู่บ้านนะ อย่าออกไปไหน วันนี้ไม่ต้องขายโกฟี่ก็ได้" เมื่อเห็นน้อยเงียบ แม่จึงยิ้มแบบเด็ดเดี่ยวของแม่ "ลูกยังเด็กก็จริง แต่เมื่อถึงคราวอย่างนี้ น้อยต้องไม่ขี้ขลาด ต้องช่วยพ่อแม่ได้ เข้าใจไหมลูก?" น้อยพยักหน้ารับคำว่า "ค่ะ" ทั้งที่กลัว เธอเดินตามหลังไปส่งแม่ที่ประตูหน้าถัง ก่อนออกจากบ้านแม่หันมาพูดเบาๆ ว่า "แม่จะเปิดประตูไว้บานหนึ่ง เผื่อโต๊ะมาดูพี่แมะ หรือใครมาหา น้อยขึ้นไปอยู่บนเซิง (ชั้นบน) กับพี่แมะนะ พอพี่เขาตื่นก็ บอกว่าแม่สั่งให้กินข้าวต้มให้หมด แล้วก็กินยา แม่ไปไม่นาน ก็กลับ"

แม่ ไปแล้ว น้อยยืนอยู่ตรงช่องประตูหน้าถังอีกครู่ใหญ่ เธอไม่เคยว้าเหว่อย่างนี้มาก่อนเลยตั้งแต่จำความได้ พ่อก็ยังไม่กลับ แม่ก็ไม่อยู่ พี่แมะก็ไม่สบายอยู่ข้างบน รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว บ้านทั้งบ้านเงียบสนิทจนน่ากลัว กลัวอะไรก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามัน เหงาๆ หนักๆ ทึบๆ และลึกลงไปเธอกลัวด้วยว่าพี่แมะจะ..จะตาย หรือถึงไม่ตาย ถ้าเขาไม่สบายมากเธอจะทำอย่างไร..ใครจะ ช่วย?

"ถึงอย่างไรก็ต้องกล้า" น้อยบอกตัวเองก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าไปข้างในพลางร้องเพลงปลุกใจที่พี่แมะสอนให้ ตัดเนื้อ เอาเองตามที่ใจบอกว่าร้องแล้วจะได้กล้าหาญ ไม่ขี้ขลาดอย่างนี้

...เดิน เดิน เดิน ถ้าหวังก้าวหน้า เราต้องพากันเดิน...

เท้าพาน้อยเดินไปหลังบ้านเพื่อปิดประตู เผื่อโจรมันจะเข้ามาทำร้าย ...

ไชโย ไชยะ ให้ไทยชนะ ตลอดปลอดภัย ไชโย!...

น้อยได้ยินเสียงตัวเองตะโกนร้องว่า ไชโย! ดังลั่นไปหน่อย แต่ก็รู้สึกดีขึ้น เพลงที่คุณครูโรงเรียนพี่แมะสอนให้นี่ดีจริงๆ ด้วย

พอถึงหลังบ้าน น้อยจับบานประตูสังกะสีไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่ง ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอกเสียหน่อย เผื่อโจร มันแอบอยู่ จะได้

...พบเสือเราจะสู้ พบศัตรูเราจะฆ่า พบแม่น้ำขวางหน้า...

แต่ก็ไม่มีอะไรให้น้อยต้องสู้ นอกจากความขี้ขลาดของตัวเอง แต่ถ้ามีอะไรจริงละก็...น้อยเปลี่ยนเพลงโดยไม่รู้ตัว

...ดั่งงูตัวนิด มีพิษเหลือใจ ใครข่มเหงไทย เราจะไม่ถอยเลย...

ปิดประตูหลังบ้านแล้วน้อยรู้สึกค่อยยังชั่ว เดินขึ้นไปบนเซิงตามที่แม่สั่ง พี่แมะตื่นแล้ว แต่ยังไม่ลุกขึ้นนั่ง ท่าทางไม่มีแรง เอาเสียเลย น้อยใจคอไม่ดีแต่ก็ฝืนพูดว่า

"น้อยรู้ พี่แมะไม่กินข้าวต้ม เพราะกลัวว่ากินข้าวแล้วแม่จะต้องให้กินยาขมใช่ไหมล่ะ?" พี่แมะตาแดงก่ำ หน้าก็แดง น้อยแว่บคิดในใจว่า_ที่กลัวอยู่ลึกๆจะเกิดขึ้นไหมนี่ พี่แมะจะตายไหม? ใจคิดอย่างนั้น แต่ ปากก็พูดไปตามที่ความกลัวสอนว่า

" แม่ว่าเดี๋ยวก็หาย แต่ต้องกินข้าวต้ม กินยาประสะนอแรดก็ได้ถ้ากลัวยาขม"

" พี่อยากกินน้ำ น้อยตะโกน ร้องเพลงทำไมน่ะ หนวกหูจะตาย" พี่แมะบ่นอู้อี้

"ก็น้อยร้องให้หาย..ร้องปลุกใจซี เพลงปลุกใจไม่ใช่เหรอ" น้อยไม่ยอมรับว่าตนขี้ขลาด "กินข้าวต้มเหอะ แม่สั่งไว้ว่าไม่กิน อะไรไม่ได้ เดี๋ยวตา..."

" เด็กบ้านี่" พี่แมะว่าน้องแต่ก็ยอมตักข้าวต้มรับประทานจนหมด แล้วล้มตัวลงนอนโดย ไม่ยอมแตะต้องถ้วยยาเขียวตาม เคย น้อยทำอะไรไม่ได้ เพราะถึงขู่ว่าแม่กลับมาจะต้องถูกตี พี่แมะก็ยังเฉย

ในที่สุด ทั้งพี่ทั้งน้องก็นอนหลับไปด้วยกันทั้งคู่

น้อยตกใจตื่นเพราะเสียงพี่แมะอาเจียนลงบนที่นอน เธอทำอะไรไม่ถูก วิ่งจากบนเซิงลงไปในครัว ฉวยกระโถนของแม่ไปให้ พี่แมะ แล้วก็วิ่งลงไปอีกเที่ยวเอาน้ำเย็นใส่ขันไปให้พี่สาวบ้วนปาก ความกลัวของเธอกำลังเป็นจริงขึ้นแล้วซี

"ตัวอย่าเป็นอะไรนะ พี่แมะ เค้ากลัว ทำยังไงดี จะอ้วกอีกเหรอ นี่ นี่ อ้วกใส่กระโถนนี่"

พี่แมะไม่ตอบ สองมือเท้าพื้น ขยอกขย้อนโก่งคอจะอาเจียนต่อ น้อยเหงื่อแตกเหมือนไม่สบายเสียเอง เธอกระโดดข้ามที่ นอนไปอีกด้าน ลูบหลังพี่แมะเป็นการใหญ่ รู้ดีว่าการอาเจียนเป็นอย่างไร มันทั้งเหนื่อยและทรมานขนาดไหน หลังพี่แมะร้อนผ่าว และเปียกชื้น

"อย่าเป็นอะไรนะ พี่แมะ น้อยกลัว ทำไงดี" น้อยครางด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

เสียงนาฬิกาข้างฝาดังสี่ครั้ง น้อยเงยหน้าขึ้นมอง พูดกับพี่แมะว่า

"สี่โมงแล้วแม่อยู่ไหนกันนี่ ทำไมแม่ยังไม่กลับ"

แต่พี่แมะไม่ตอบ ล้มตัวลงนอนบนเบาะที่เลอะเทอะด้วยรอยอาเจียน สักพักหนึ่งก็ลุกขึ้น โก่งคออาเจียนต่อ น้อยร้องไห้ ออกมาอย่างสุดระงับ แม่ไปไหน พี่แมะอ้วกมากไม่หยุดอย่างนี้จะต้องตายแน่ๆ เธอวิ่งลงบันได ทีละสองขั้นมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว หมายใจจะไปบอกโต๊ะตาบอดข้างบ้านให้มาช่วย ประตูหน้าถังบานสูงแคบนิดหน่อย แต่เด็กอายุย่างหกขวบที่ผอมแห้งอย่างเธอ เบียดตัวออกมาได้ไม่ยากนัก น้อยวิ่งจี๋ไปหน้าบ้านของโต๊ะ แต่แล้วก็ต้องพรึงเพริด เย็นวูบไปตลอดตัว

ประตูบ้านโต๊ะตาบอดใส่กุญแจ แกไม่อยู่บ้าน!

น้อยใจสั่น เดินกลับเข้าบ้าน ขึ้นบันไดไปหาพี่แมะและพบว่า พี่แมะนอนหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย และเพราะฤทธิ์ไข้ น้อยได้แต่ห่มผ้าให้พี่แล้วก็ลงนั่งน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้นเอง

เสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อแม่อยู่ข้างล่าง น้อยกลัวจึงเงียบ เสีย แล้วเสียงตบประตูก็ดังตาม มาหลายครั้งก่อนที่จะมีเสียง ตะโกนว่า "แมะ แมะ โทรเลขด่วน"

โทรเลข! ก็ต้องเป็นข่าวไม่ดีอีกล่ะซี แบบที่แม่ได้รับข่าวยายป่วย

หรือยายเป็นอะไรไปแล้ว? หรือพ่อเป็นอะไร?

น้อยเดินลงไปพบกับบุรุษไปรษณีย์ด้วยความรู้สึกหมดแรง มือเท้าเย็น ปวดมวนในท้องเหมือนจะอาเจียน พี่แมะยังคงนอน หลับอยู่ข้างบน ไม่ตื่นขึ้นมาช่วยน้องเลย บุรุษไปรษณีย์ยื่นซองเล็กๆ ให้ซองหนึ่งก่อนที่จะเดินพึมพำไปว่า "มาถึงเอาตั้งสี่โมงครึ่ง รู้งี้ กลับบ้านเสียก่อนก็ดีหรอก" น้อยตัดสินใจในขณะนั้นว่าเธอจะต้องเดินไปตามแม่บนบาโงง เอาโทรเลขไปให้แม่อ่าน และให้แม่รีบกลับมาช่วยพี่แมะด้วย ต้องรีบไปตอนที่พี่แมะยังหลับอยู่นี่แหละ ปัญหามีว่า เธอจะปิดประตูหน้าถังที่แม่เปิดทิ้งไว้ได้อย่างไร เพราะแค่บานประตูแผ่นเดียว ก็หนักเกินกำลังของเด็กอย่างเธอแล้ว แต่จะเปิดบ้านทิ้งไว้ก็ไม่ได้เหมือนกัน

น้อยมองรอบตัวตัดสินใจ ลากเอาเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของพ่อมา เธอเอาเก้าอี้สองตัววางชิดกันตรงช่องว่างหน้าถัง แล้วไป ลากเอาเก้าอี้ตัวที่สามมาอีกตัว เกร็งแขนสุดแรงยกมันขึ้นวางระหว่างเก้าอี้สองตัวล่าง บอกกับตัวเองว่า _โจรจะเข้าก็เข้าไม่ได้ มัน เป็นผู้ใหญ่ ตัวมันโต มันต้องติดเก้าอี้_

เรียบร้อยเรื่องประตูไปอย่างหนึ่งแล้ว น้อยย่องขึ้นไปชั้นบน พี่แมะยังหลับอยู่ เธอถอดเสื้อตัวเก่าออก เปลี่ยนมาเป็นเสื้อสีขาว คอกะลาสีเรือตัวโปรดสำหรับใส่ไปข้างนอก จากนั้น ก็ค่อยๆคลาน ลอดออกประตูหน้าถังทางใต้เก้าอี้ เธอทำได้สำเร็จ โดยที่เก้าอี้ตัวล่างไม่ล้ม และเก้าอี้ตัวบนไม่หล่นลงมา

ระยะทางจากบ้านไปบนบาโงงนั้น อาจจะไม่ไกลนักสำหรับผู้ใหญ่ แต่ใครๆ ก็ทราบว่า บ้านสองสามหลังบนบาโงงนั้น เป็นกลุ่มสุดท้ายของบ้านในตัวอำเภอแว้ง น้อยรู้จักทางจากบ้านไปที่นั่นดี เธอเดินผ่านบ้าน เจ๊ะครูวาหับ ก่อน อีกฟากหนึ่งของถนน ตอนนี้เป็นรั้วต้นไผ่ของอำเภอ ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิดเดียว ทั้งน้อยก็มาเล่นแถวนี้ออกบ่อยไป

จากนั้นจึงถึงบ้านของนักมวยชื่อ เจ๊ะโนะ อยู่ตรงกันข้ามกับสุขศาลาที่ไม่มีหมอ หรือนางพยาบาล อยู่ประจำแม้แต่คนเดียว มันปิดร้างอยู่ตลอดเวลา ตรงนี้น้อยก็ไม่เห็นกลัวอะไรเหมือนกัน ถึงจะค่อนข้างเย็นไปหน่อยแล้ว สำหรับเด็กหญิงเล็กๆ จะมาเดินอยู่คนเดียวก็เถอะ

ถัดจากนั้นไปสักครู่ ก็ถึงกลุ่มบ้านคนไทย ที่พูดสำเนียงแปลกอยู่สามหลังฟากหนึ่ง อีกฟากเป็นโรงเรียนประชาบาลแว้ง ที่ตอนนี้ปิดภาคใหญ่ จึงไม่มีเด็กหรือผู้ใหญ่ให้เห็นอยู่เลย แม้แต่คนเดียว อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว น้อยบอกตัวเองว่า อีกนิดเดียวก็ จะถึงบนบาโงงแล้ว เดี๋ยวก็ได้พบแม่ จะกลัวอะไร

บาโงงเป็นเนินเขาที่ถนนเริ่มตัดขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อยๆ จนถึง โต๊ะโมะ ที่พ่อเคยไปทำงาน น้อยเดินไปด้วยความหวังว่าจะเห็น แม่นั่งอยู่หน้าบ้านแขกที่นั่น ซึ่งมีอยู่เพียงฟากละสองหลังเท่านั้น เธอเห็นแขกผู้หญิงนั่งกินหมากกันอยู่ สองสามคนที่แคร่หน้าบ้าน ทุกคนมองเธอเหมือนตัวประหลาด มาตั้งแต่ไกลแล้ว

แต่ไม่มีวี่แววของแม่อยู่ที่นั่น! แม่ของน้อยไปอยู่เสียที่ไหนเล่า?

แขกคนหนึ่งบอกว่าแม่ไปซื้อของที่ ลูโบ๊ะดาแล และยังไม่กลับลงมา ให้น้อยนั่งรอแม่ที่บ้านของเขาก่อนแต่น้อยบอกว่าเธอ ต้องไปหาแม่ให้เร็วที่สุดและเธอจะไปให้ได้ด้วย พวกแขกอีกหลายคนจึงออกมาห้ามว่า

"ฆีเต๊าะเละห์ อูแตบลากอ เต๊าะตาโกะกอ? (ไปไม่ได้ ป่าทั้งนั้น ไม่กลัวหรือไง?)" และเมื่อตอบเขาว่า "เตาะอะปอ อามอ เตาะตาโกะ อามอเนาะจาฆีเมาะ (ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่กลัว หนูจะไปหาแม่)" แล้วน้อยก็ออกเดินต่อไป ได้ยินเสียงพูดตามหลังมาว่า

"ฆือเละห์ บูเดาะตู ดียอเนาะฆีจาฆีเมาะดียอดีลูโบะดาแล เนาะฆือละเดาะห์ปงเนาะฆีบูวีบูเละห์ ยอเตาะตาโกะ มูแซมูแซ บาบีอูแตปงอะดอ" (ดูเด็กนั่นซี แกจะไปหาแม่แกที่ลูโบ๊ะดาแล จะมืดอยู่แล้ว ยังจะไปให้ได้ ไม่กลัว มูสังก็ เยอะแยะ ยังหมูป่าอีก)

ทำไมน้อยจะไม่กลัว ใครๆ เขาก็รู้ว่าน้อยเป็นเด็กขี้ขลาดตาขาวที่สุด แต่วันนี้เธอกลัวสิ่งอื่นมากกว่า เธอกลัวว่าพี่แมะจะ ตาย และกลัวโทรเลขนั่นด้วย แม่คนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้

ลูโบ๊ะดาแล เป็นภาษามลายูแปลว่า หล่มลึก เพราะที่นั่นเป็นหุบเขามีหล่มหรือพรุที่ลึกมาก ชาวบ้านเป็นมุสลิมทำสวนยาง และสวนผลไม้ จากตรงนั้น ถ้าเดินขึ้นเขาไปอีกก็จะถึงหมู่บ้านยะฮอร์ แล้วก็ถึงตำบล เจ๊ะเม ที่น้อยเคยไปกับพ่อดูเขาเลี้ยงช้าง สำหรับขึ้นเหมืองทอง โต๊ะโมะ

น้อยมองไปตามทางที่ทอดยาวขึ้นไปบนภูเขาทางตะวันตก ดินแถบนี้เป็นสีแดง แดงเหมือน ท้องฟ้าที่ตะวันกำลังจะตก สอง ข้างทางเป็นป่ายางทึบ เสียงจักจั่นเริ่มดังขึ้นแล้ว และอากาศเย็นลง อย่างรวดเร็ว หัวใจของน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อเดินมาถึงที่โล่ง กว้างแห่งหนึ่ง เธอกลัวทั้งที่ตรงนั้นโล่ง พอที่ทำให้แสงแดดส่องสว่างอยู่มาก มันเป็นจุดสูงสุดของเนินเขาลูกแรก ก่อนที่ทางจะตัดลงสู่หล่มลึก

น้อยออกวิ่งด้วยความกลัวสุดขีด ไม่ยอมมองไปทางที่ว่างนั้นอย่างเด็ดขาด

ที่ว่างนั้นเป็น กุโบร์ (สุสานของชาวมุสลิม)ของอำเภอแว้ง !!

น้อยกลัวผีนั่นเองพูนดินยาวๆ ที่มีหินหรือไม่ก็มีไม้ปักเป็นเครื่องหมายนั้นล้วนแต่มีคนตายอยู่ข้างใต้ทั้งสิ้น คนตายแล้วก็คือผ เวลาตะวันมุ้งมิ้งผีจะออกมาหลอก น้อยบอกตัวเองพลางวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับท่อง นโม ตัสสะ ฯ และ อัลเลาะห์ เฮาะ อิลลอลอห์ ไปด้วยจนปากคอสั่น สะดุดรากยางที่ระเกะระกะคว่ำคะมำไปครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นได้ก็วิ่งต่อจนลงจากเนินเข้าสู่เขตหมู่บ้านหล่มลึก แล้วจึงได้หยุดเดิน และนึกถึงเพลงปลุกใจของพี่แมะ ขึ้นมาได้ อพิโถ! น้อยน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว จะได้ไม่กลัวผีวิ่งสะดุดรากยาง จนหัวเข่าถลอกปอกเปิก เลือดไหล เธอกลัวมากไปจนลืมนั่นเอง เอาใหม่_

...เดิน เดิน เดิน ถ้าหวังก้าวหน้า เราต้องพากันเดิน
เดิน เดิน เดิน อย่าท้อทางไกล ขอให้ไทยเจริญ
ไชโย ไชยะ ให้ไทยชนะ ตลอดปลอดภัย ไชโย...

นั่นอย่างไร น้อยชนะแล้ว เธอเห็นแม่แต่ไกล แม่นั่งอยู่กับแขกผู้หญิงที่บาซาร์ (เพิงสำหรับขายของ) ข้างถนนตรงนั้นเอง

น้อยหยุดเดิน ก้าวต่อไปไม่ออก ตะโกนเรียกแม่สุดเสียง "แม่!" แต่เสียงเธอคงออกไปเบาเหลือเกิน หรือไม่ออกเลยด้วยซ้ำไป เพราะแม่ซึ่งนั่งหันหลังให้ไม่ได้ยิน น้อยเดินต่ออีกไม่ไหว เธอ ยืนน้ำตาไหลพรากอย่าง ไม่มีเหตุผลตรงนั้นเอง

" แม่!!" น้อยร้องเรียกแม่อีก คราวนี้เธอได้ยินเสียงของตัวเองออกมาพร้อมเสียงสะอื้น

แขกที่นั่งอยู่กับแม่ตะลึง "อัลเลาะห์เว้! (พระเจ้าช่วยนั่นอะไรกันน่ะ!)" แม่นั้นทิ้งกระเชอที่กำลังนับพลูลงไปให้หล่นลงดิน อย่างไม่ยี่หระ วิ่งมาหาน้อยอย่างรวดเร็ว พอถึงก็โผเข้ากอด ลูกที่ยืนตัวสั่นไว้แน่น

"น้อย! ลูกมาได้อย่างไรกันนี่? ลูกกลัวใช่ไหม? น้อยพยักหน้า สะอื้นฮักแต่ยังพูดไม่ออก ไม่ต้องกลัวแล้วลูก บอก แม่ซิว่าเกิดอะไรขึ้น?"

อ้อมแขนของแม่ที่รัดแน่น มือแม่ที่ลูบหลังของเธออยู่ร่อยๆ ทำให้น้อยรู้สึกดีขึ้นจนตอบแม่ได้

"พี่แมะไม่สบายมาก อ้วกเยอะแยะ น้อยกลัว โต๊ะก็ไม่อยู่ แล้วพ่อ_พ่อเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ_"

แม่ปลอบให้น้อยหายกลัวแล้วถามว่า "ทำไมน้อยถึงว่าพ่อเป็นอะไรไปไม่ทราบล่ะ?"

"มีคนเอาโทรเลขมาส่ง เหมือนโทรเลขที่เขาส่งมาว่ายายไม่สบาย พี่แมะหลับ น้อยก็อ่านไม่ออก" น้อยอธิบายให้แม่ฟัง พลางล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อเอาซองโทรเลขให้แม่

แต่เธอลืมมันเสียสนิทว่าเอาโทรเลขวางไว้บนโต๊ะทำงานของพ่อตอนขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อกะลาสีตัวเก่งนั่นเอง ไม่ได้หยิบมันมาด้วยทั้งๆ ที่อุตส่าห์เดินผ่านป่ามาก็เพราะโทรเลขนั้น!

"ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเรากลับไปอ่านที่บ้านก็ได้ ดีกว่าหล่นหายกลางทาง" แม่ให้เหตุผล เมื่อเห็นน้อยโมโหตัวเอง พลางเช็ดน้ำ ตาให้ด้วยก่อนที่จะจูงมือลูกไปนั่งพักที่บาซาร์ แม่บรรจุผักและพลูลงไปในตะกร้า และกระเชอแบบไม่ต้องจัด บอกลาแขก แล้วก็ ออกเดิน มีน้อยเดินมาข้างๆ

"ให้น้อยช่วยถือตะกร้าให้นะคะ แม่" น้อยอาสาเมื่อเห็นแม่หยุด เปลี่ยนมากระเดียดกระเชอข้างขวา และมือซ้ายหิ้วตะกร้า เหงื่อแม่ไหลโทรมหน้า แต่แม่ไม่ยอม บอกว่า

"ขอบใจลูก แต่น้อยยังเล็กเกินไป ตะกร้านี้หนักสำหรับเด็กเท่าน้อย ไว้ให้โตอีกหน่อยนะ" แล้วแม่ก็เล่าให้น้อยฟัง อย่างสนุก สนานว่าเหตุใดแม่จึงกลับบ้านช้ากว่าทุกวัน

"ผักที่บ้านแขกลูโบ๊ะดาแลมีน้อย เขาก็เลยไม่ได้ตัดไปส่งให้แม่ แม่บอกให้เขาเก็บมาเท่าที่มี ระหว่างนั้นแม่เลยเดินเข้าไปที่ บ้านบาตูกาเยาะห์(บ้านหินรูปช้าง) น้อยจำเรื่องที่แม่เคยผจญภัยที่นั่น มาแล้วได้ไหมลูก?"

น้อยตอบว่าจำได้เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนตื่นเต้นมาก แม่เคยไปที่นั่นกับพี่จบ แล้วก็หลงทาง "แล้วแม่ยังถูกต่อต่อยที่หัวด้วย แล้วไงคะแม่ วันนี้แม่ไปอีกเหรอคะ?"

"ใช่ลูก แล้วแม่ก็หลงทางตรงหินช้างนั่นอีก" น้อยตื่นเต้นไปกับเรื่องของแม่เสียจนไม่ได้สังเกตว่า ได้เดินผ่านกุโบร์ฝังศพมาแล้ว ทั้งไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนขาไปด้วย แม่เล่าต่อว่า "กว่าจะหาทางออกได้ ก็นานมาก แม่ยังต้องแวะเข้าไปซื้อผักกว่าจะออกมารับ ผักที่สั่งให้เขาเก็บไว้ก็เย็นมากทีเดียว เราจะเล่าเรื่อง ของเราให้พี่แมะฟังคืนนี้นะลูก"

สองแม่ลูกกลับมาถึงบ้านด้วยใจจดจ่ออยู่กับพี่แมะที่นอน ป่วยอยู่คนเดียวและโทรเลขที่น้อยลืมไว้บนโต๊ะของพ่อ แม่อดขำ ไม่ได้เมื่อเห็นวิธีปิดบ้านกันโจรของน้อยและวิธีลอดใต้เก้าอี้เข้าไปเปิดบ้านให้แม่เข้าของเธอ

พี่แมะเล่าให้แม่ฟังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นน้องอยู่ด้วยก็ทราบว่าตนเองทำให้น้องกลัวว่าไม่สบายมาก พี่แมะเดาได้ถูกต้องว่า น้อยคงต้องกลัวมากจนออกตามหาแม่ ก็เลยยอมรับประทานยาขมนั้น แล้วไข้ก็สร่าง สบายขึ้นมาก

แม่เปิดซองโทรเลขออกอ่าน แต่ไม่ยอมบอกสองพี่น้องว่าพ่อหรือยายเป็นอะไร ให้น้อยไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน ส่วนพี่แมะ แม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่และเช็ดตัวให้ด้วย กว่าแม่จะหุงข้าวเสร็จ ก็ได้ยินเสียงกลอง บอกเวลาฆอเระ (เวลานมัสการพระอัล ล่าห์ตอนหัวค่ำ) ดังมาจากมัสยิดไม่ไกลจากบ้าน

"เอาละ เราทั้งหมดสะอาดสะอ้านกันแล้ว น้อยคงหิวแล้วด้วย แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบด้วยหละ ปลาต้มส้มแขกไงลูก แล้วก็ ยังมีน้ำพริกแห้งกับผักสดของแมะ ลูกเนียงอ่อน เป็นน้ำเลย วันนี้ เรามีข่าวดีที่จะต้องฉลองกัน"

" แล้วโทรเลขล่ะคะแม่ ของ ใครคะ?" พี่แมะถาม น้อยก็อยากรู้เต็มที่เหมือนกัน เธอคาดเดาไม่ถูก ว่าอะไรคือข่าวดีที่แม่ว่า

"ข่าวดีก็คือ" แม่หยุดนิดหนึ่งให้เด็กตื่นเต้นอยากรู้ "ข่าวดีก็คือ โทรเลขมาจากพ่อไงล่ะ"

"พ่อว่าไงแม่ พ่อว่าไงคะ?" น้อยเข้ากอดแม่ละล่ำละลักถาม "พ่อจวนกลับแล้วใช่ไหมคะ?"

"ผิด" แม่ว่า เมื่อเห็นสองพี่น้องหน้าจ๋อย จึงพูดต่อ "ผิดถนัดเลย ไม่ใช่พ่อจวนกลับ พ่อกลับมาแล้ว และจะถึงบ้านพรุ่งนี้เช้า คืนนี้พ่อต้องค้างบ้านนายอำเภอโก-ลกที่กลับมาด้วยกัน เอ้า กินข้าวเสีย เดี๋ยวก็ ดีใจจนกินข้าวไม่ลงหรอก"

คืนนั้นทุกคนเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะพี่แมะยังเพลียอยู่ เลยไม่ต้องท่องหนังสือ ส่วนน้อยแม่ก็ว่าเหนื่อย และตื่นเต้นมาทั้งวัน แล้ว ควรนอนแต่หัวค่ำ ทุกคนจะได้สดชื่นเมื่อพ่อกลับมาถึงบ้าน

น้อยนอนแอบอยู่ข้างแม่ด้วยความรู้สึกปลอดภัย ก่อนหลับเธอถามแม่ว่า

"ตอนแม่หลงทางที่บาตูกาเยาะห์นั้น แม่กลัวมากไหมคะ แม่ไปคนเดียวด้วย แม่เก่งจริงๆ?" แม่ตอบว่า "วันนี้น้อยไปคนเดียวเหมือนกัน แม่กลัวสิลูก ทุกคนมีความกลัวทั้งนั้น แต่ถ้าเราตั้งสติให้ดี เราก็จะกลัวน้อยลง" "สติเป็นอย่างไรคะแม่?" น้อยถาม

"ก็พยายามให้ใจเป็นปกติ คุมตนเองให้ได้ เราก็จะหาวิธีที่เหมาะสมได้ แม่พยายามอธิบาย เหมือนที่น้อยพยายามหาทาง ปิดประตูหน้าถังนั่นไง ลูก ตอนนั้นลูกคุมสติได้ ไม่กลัวจนเกินไป"

"แต่ตอนเดินถึงกุโบร์ น้อยคุมสติไม่ได้ วิ่งหนีผี เลยหกล้ม เข่าเลือดออกเยอะแยะ" น้อยพึมพำ ก่อนที่ผลอยหลับไปอย่างเป็นสุข.

*เขียนเสร็จเวลา ๓ โมงเย็น ๒๐ พ.ค. ๔๔ ที่บ้านซอยไสวฯ หลังจากป่วยลำไส้อักเสบไปหลายวัน

 
     
อ่านฉบับ 130

แว้งที่รัก (เราคิดอะไร ฉบับ ๑๓๑ มิ.ย. ๔๔ หน้า ๓๐ - ๓๕ )