งาน! งาน! งาน! ตอน มุดมิดหมุดหมิด (ต่อจากฉบับที่
๑๒๗)
ทุกอย่างดีขึ้นในทันที แม่บอกให้พี่แมะไปหยิบกระด้งในบ้านมาให้
ขณะที่แม่เริ่มหั่นแท่งโกฟี่นั้นออกเป็นท่อนๆ ขนาด ๑ นิ้ว อย่างรวดเร็ว
เมื่อพี่แมะเอากระด้งออกมาวาง แม่ก็ส่งโกฟี่ให้ลูกทั้งสองคนละแท่ง
น้อยกับพี่แมะอมลูกอมนั้นไว้ในปากที่น้ำลายสอมานานจนต้องกลืนลงคอหนแล้วหนเล่า
ลูกอมกะทิของแม่ทั้งหอม ทั้งหวาน ทั้งเหนียว น้อยตั้งท่าจะเคี้ยว แต่พอรู้ว่าเหนียวเกินกว่าที่จะกัดได้ขาดก็เลื่อนไปอมไว้ในกระพุ้งแก้มจนแก้มตุ่ย
เธอเพิ่งเข้าใจ -อย่างนี้นี่เอง เขาถึงได้เรียกว่าลูกอม
ในกระด้งของแม่นั้น เต็มไปด้วยกระดาษแก้วสีต่างๆ
ที่แม่ตัดด้วยกรรไกรไว้ตั้งแต่เมื่อคืนขณะที่พ่อสอนหนังสือลูก แม่เตรียมกระดาษสีนี้ไว้แล้วแต่น้อยไม่ได้ถามเอง
จึงไม่ทราบ
แม่สอนให้ลูกทั้งสองหัดห่อโกฟี่ตามตัวอย่างที่แม่ทำให้ดูอย่างนี้
แม่หยิบกระดาษแก้วสีเหลือง มาแผ่นหนึ่ง
พี่แมะหยิบสีน้ำเงินส่วนน้อยเลือกสีแดง วางแผ่นกระดาษลงตรงหน้า แม่หยิบแท่ง
ลูกอมมาวางลงริมแผ่นกระดาษแก้ว พี่แมะกับน้อยทำตาม แล้ว แม่ก็ม้วนกระดาษแก้วนั้นรอบแท่งโกฟี่โดยการกลิ้งด้วยฝ่ามืออย่างง่ายๆ
เด็กทั้งสองทำตามที่แม่ทำและก็ทำได้
"เอาละนะ ลูก" แม่พูด "ถึงตอนสวยแล้วนะ
เอ้า หยิบแท่งลูกอมขึ้นมา จับปลายกระดาษสองข้างอย่างแม่นี่"
น้อยเห็นแม่ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ทั้งสองมือจับกระดาษแก้วแล้วแม่ก็ตะบิดกระดาษนั้นอย่างรวดเร็ว
สองพี่น้องทำตาม พอแม่วางโกฟี่ลงในถาด แท่งโกฟี่สีเหลืองที่แม่ห่อก็ดูเหมือนห่อของขวัญขนาดจิ๋ว
แสนสวย แสนน่ารัก น่ารับประทาน พี่แมะ วางของตัวลงบ้าง แต่กระดาษที่ตะบิดดูไม่สวยและไม่แน่นเหมือน
ของแม่
ชั่วอึดใจนั้นเช่นกันที่น้อยมั่นใจว่าโกฟี่อันแรกในชีวิตของเธอจะเป็นเหมือนห่อของขวัญสีแดงลงไปวางอยู่กับสีเหลืองของแม่
และสีน้ำเงินของพี่แมะ
ผิดถนัด! ของพี่แมะว่าไม่ค่อย
สวยแล้ว ยังพอมีรูปร่างว่าคล้ายของแม่อยู่บ้าง ของน้อยสิ เกลียว ที่ตะบิดไว้ไม่ยอมอยู่เอาเสียด้วยซ้ำไป
มันคลายออกทั้งสองข้างจนมองเห็นเนื้อโกฟี่ข้างใน! ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ในเมื่อเธอทำตามที่แม่ทำทุกขั้นตอน?
น้อยผิดหวัง แม่หยิบห่อลูกอมของลูกมาแก้ไขอย่างง่ายๆ
ก่อนที่จะบอกให้ลูกลองทำตามอีกครั้ง
"ตอนวาง ตอนม้วน ลูกทำถูกแล้ว มาตอนตะบิดกระดาษนี่แหละที่ผิด
เอ้า ลองทำตามแม่ใหม่ดูซิ ทำช้าๆ นะ จะได้รู้ว่า ผิดตรงไหน"
เด็กทั้งสองทำตาม แต่ก็ตะบิดไม่อยู่
ของน้อยยังเหมือนเดิม ของพี่แมะที่ครั้งแรกพอใช้ได้ ครั้งที่สองกลับมาเหมือนของน้อย
แม่จับจุดผิดของลูกได้แล้ว จึงบอกให้แต่ละคนหยิบของตัวขึ้นมาใหม่ แม่สอนให้ใช้สองนิ้วจับกระดาษแต่ละปลาย
"เอาละ! นิ้วมือซ้ายตะบิดเข้าหาตัว
นิ้วมือขวาตะบิดออก น่าน อย่างนั้น ถูกแล้ว ถ้าลูกตะบิดไปข้างเดียวกัน
กระดาษจะคลาย ถ้าไปคนละข้าง เกลียว จะแน่น ทำเป็นแล้วใช่ไหม?"
เด็กทั้งสองไม่กล้ารับว่า"ค่ะ" อย่างเต็มปากเต็มคำนัก
ระหว่างที่แม่สอนลูกๆนั้น พ่อช่วยคลึงโกฟี่เป็นแท่งยาว และตัดอย่างรวดเร็ว
เพราะพ่อเกรงว่าโกฟี่มันจะแข็งเสียก่อนคลึงเสร็จ พ่อเป็นคนที่ทำอะไรเป็นเร็วและประณีตมาก
แม่เคยชมว่าพ่อทำหลายอย่างได้ประณีตกว่าแม่เสียอีก เพราะพ่อช่างสังเกต
ใจเย็น และอดทน กว่านั่นเอง
พี่แมะทำตามแม่สามสี่ครั้งก็ทำได้เกือบเหมือนของแม่
ของน้อยเท่านั้นที่ยังไม่สวยสักทีและ เธอก็ไม่ทราบว่าทำผิดตรงไหน จึงไม่เหมือนของแม่กับของพี่แมะ
น้อยเอาแท่งโกฟี่ของตัวใส่ลงไปในถาดปนกับของแม่และพี่แมะด้วยความคิดว่าพอปนๆ
กันไปแล้วก็ดูไม่ออกหรอกว่าของใครเป็นของใคร แต่พอทำอย่างนั้นหลายแท่งเข้า
น้อยก็เริ่มหงุดหงิด โมโหตัวเอง
ความอดทนของเธอสิ้นสุดลงเมื่อพี่แมะชำเลืองดูน้องอย่างรู้ทันและพูดว่า
"น้อย อย่ามุดมิดหมุดหมิด (ทำลวกๆ
ซุกๆ ซ่อนๆ อย่างขอไปที) อย่างนั้นซี่"
"ก็ของน้อยมันไม่ยอมสวยซักที
ไม่รู้ทำไม น้อยก็ตะบิดไปคนละทางเหมือนที่แม่บอกแล้ว แต่ปลายกระดาษมันออกมาแหลม
เปี๊ยบทุกอัน" น้อยพาลใส่โกฟี่
"น้อย ใจเย็นๆ ซีลูก หาให้ได้
เสียก่อนว่าเราทำไม่เหมือนของแม่ ตรงไหน" พ่อเตือน แม่เข้ามาดูอย่างใกล้ชิดจนรู้จุดผิดของลูกคนเล็ก
"น้อย ลูกหมุนนิ้วไปคนละด้านแล้วก็จริง
แต่ลูกตะบิดกระดาษไปจนหมดด้วยนี่นา เอาใหม่ ให้นิ้วอยู่ตรงกลาง ตะบิดกระดาษให้พอเป็นเกลียวหัวท้ายก็พอแล้ว
ไม่ต้องตะบิดเป็นเกลียว เสียจนหมดกระดาษ ลูกทำอย่างนั้นมันถึงได้แหลม"
พ่อหั่นแท่งโกฟี่หมดพอดี เข้ามาช่วยด้วยอีกคน
น้อยรู้สึกคล้ายๆ พ่อตั้งใจจะเข้ามาช่วยสอน เธอมากกว่า แต่อาจจะไม่ใช่
พ่อ อาจจะอยากลองหัดทำบ้างก็ได้
"ไหน ดูซิ ทำยังไง พ่อยังทำไม่เป็นเลย
น้อยสอนพ่อหน่อย ทำช้าๆ นะ พ่อจะได้ทำตามได้ทันไงล่ะลูก" พ่อพูดพลางหยิบแท่งโกฟี่
วางบนกระดาษสีเขียวเหมือนลูกสาวคนเล็ก
วูบนั้นเองที่น้อยรู้สึกว่า เธอ
ทำเป็นแล้ว และกำลังจะสอนวิธีทำให้พ่อ เธอเริ่มทำโกฟี่แท่งใหม่ อย่างช้าๆ
ทีละขั้นตอน ขณะที่พ่อทำตาม น้อยบอกตนเองว่า เธอ ต้องทำให้ถูกแบบตามที่แม่สอน
เพราะไม่อย่างนั้น พ่อก็จะทำไม่สวยเหมือนของเธออันแรกๆ ไปด้วย เธอจับปลายกระดาษห่อโกฟี่ทั้งสองข้างอย่างเบามือ
ตะบิดนิ้ว ทั้งสองแต่ละข้างอย่างเร็วหนเดียว เท่านั้น ไม่ไปยุ่งกับกระดาษ
ระหว่างนิ้ว แว่บนั้นเธอเข้าใจวิธีทำ อย่างกระจ่างแล้ว ช่างง่ายดาย อะไรอย่างนี้
เธอไปทำให้มันยากไปเองนี่นา
ชำเลืองมองดูพ่อ พ่อกำลังทำช้าๆ
ตามอย่างเธอซึ่งแท้จริงกำลังสอนตนเองไปด้วย พ่อทำตามเธอได้แล้ว! พ่อนี่สอนง่ายแท้ๆ
น้อยดีใจจริงๆ!!
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมา แท่งโกฟี่ทั้งถาดกลายเป็นห่อลูกอมขนาดจิ๋วไปแล้วด้วยฝีมือพ่อ
แม่ ลูกทั้งสองที่รุมช่วยกันทำอย่างสนุกสนาน พอห่อโกฟี่อันสุดท้ายเสร็จลง
แม่ก็อนุญาตให้ลูกทั้งสองเอาโกฟี่ไปอมอีกคนละอัน และไปฝากเพื่อนๆ ได้อีกคนละ
๔ อัน เป็นคนละ ๕ อัน เด็กทั้งสองดีใจมากเพราะเชื่อว่าเพื่อนๆ จะต้องชอบโกฟี่กะทิของแม่อย่างแน่นอน
และพวกเขาจะไปหาซื้อที่ไหนในตลาดแว้งไม่ได้ด้วย
แม่เข้าไปหยิบขวดโหลขนาดใหญ่ที่ล้างคว่ำเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
เอาโกฟี่ทั้งหมดค่อยๆ ใส่ ลงไปอย่างหลวมๆ เบามือไม่ให้มันอัดทับกันมากนักจากนั้นแม่ก็ล้วงมือลงไปโกยให้โกฟี่คละสีกันให้หมดทั้งสามสี
ขวดโหลนั้นก็กลายเป็นขวดลูกอมสีต่างๆ ที่สุด แสนจะน่ากิน
พ่อช่วยยกโต๊ะตัวเตี้ยจากในบ้านไปวางให้แม่ชิดขอบหน้า
ถังด้านนอกบนพื้นซีเมนต์ แม่ยกขวดโหลไปวาง พี่แมะเอากระดาษแข็งสีขาวบนโต๊ะทำงานของพ่อมาเขียนป้ายเชิญชวนให้คนมาซื้อโกฟี่กะทิอย่างนี้
เชิญท่านแวะซื้อโกฟี่อร่อยๆ ราคาถูก*
เด็กๆ พากันมามุงดูก่อน แล้ว ก็เริ่มมาซื้อในราคาอันละ
๕ สตางค์ น้อยกับพี่แมะผลัดกันนั่งขายตอนแรกพี่แมะล้อน้อยว่า "โกฟี่ขายยังไง
น้อย ?"
"อันละ ๕ สตางค์ไง" น้อยตอบ
"น้อยขายเป็นน่า ไม่งงหรอก"
"ไม่ใช่ ๕ อัน สตางค์เหรอ?"
พี่แมะย้อนล้อเรื่องเก่าที่น้อยเคยขายยาเส้นกลับราคาจนหมด
น้อยแน่ใจว่าเธอไม่มีวันขายผิดอีก
นั่นมันเรื่องเก่านานแสนนานมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งเธอยังคาดจับปิ้งอยู่ ของอย่างนี้ก็ต้องมีผิดกันบ้าง
นี่เธอโตจนอายุตั้ง๖ ขวบแล้ว ต้องช่วยแม่ขายของอย่างถูกต้องแล้วซี่
ความจริงน้อยก็ยอมรับว่า เวลาเธอนั่งเฝ้าขวดโหล
ไม่ใคร่มีใครค่อยมาซื้อ มีแต่เพื่อนแขกข้างบ้านห้องแถวมาชวนไปเล่น แต่พอถึงทีพี่แมะมาเฝ้าบ้าง
จะมีเด็กๆ มาซื้อโกฟี่กันไม่ขาดสาย
ถึงตอนเย็นโกฟี่ในขวดโหลก็พร่องลงไปเกินครึ่งขวด
น้อยแอบมาคอยเปิดกะโหลกมะพร้าวที่แม่ให้มาไว้ใส่เศษสตางค์ที่ขายได้ดู เธอเห็นสตางค์แดงมากมายอยู่ข้างใน
บ่ายแก่ๆ วันนั้น ขณะที่น้อย พี่แมะ
และแม่นั่งกันอยู่ที่หน้าร้าน อันมีของขายเพียงอย่างเดียว คือ โกฟี่ ก็มีแขกผู้หญิงจากหมู่บ้านลูโบ๊ะดาแลทูนกระเชอไว้บนศีรษะผ่านมาทางหน้าบ้าน
แม่มองดูเขาและเขาก็มองดูแม่ เขาอาจจะไม่แน่ใจว่าถ้าพูดภาษามลายูแล้วแม่จะเข้าใจ
หรือไม่ ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นว่า
"เนาะบือลีซีเระห์ แมะ? (ซีเระห์
= พลู จะซื้อพลูไหมคะคุณ)?"
แม่ติดการเคี้ยวหมากเหมือน ผู้หญิงสมัยก่อนที่รับประทานหมากกันทุกคน
ถึงตอนนั้นรัฐนิยมจะห้ามอย่างไร แม่ก็ยังรับประทานอยู่นั่นเอง แม่ว่าแม่หยุดเคี้ยวหมากแล้วเปรี้ยวปากจะเป็นลม
"อยู่ชายแดนถึงอำเภอแว้ง จอมพล
ป. คงไม่มาตามจับหรอก ค่ะ แค่นุ่งถุงสำเร็จนี่ก็ดีถมไปแล้ว" แม่ให้เหตุผลกับพ่ออย่างนั้น
แม่เรียกผู้หญิงคนนั้นเข้ามา ต่อรองราคาพลูกันอย่างสนุกสนาน
พักใหญ่ แม่ให้พี่แมะเอาน้ำฝนมาให้เขาดื่มด้วย แขกนั่งรับประทาน หมากและคุยกับแม่สักพักก็ตกลง
ขายให้แม่ในราคาในที่แม่ต่อเพราะ จวนค่ำแล้วอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง พลูนั้นเขาไม่ได้ซื้อมาขาย
แต่เก็บมาจากต้นของเขาเองจึงไม่ขาดทุนอะไร ฝ่ายแม่เห็นว่าพลูสดมากและแม่ทราบว่าพลูลูโบ๊ะดาแลมีคุณภาพดี
ในที่สุด แม่รับซื้อของเขาไว้หมดทั้งกะเชอ
พ่อเดินเข้ามาดู แม่บอกพ่อว่า
"ฉันจะลองเสี่ยงซื้อพลูมาขายด้วยนะคะ
ลูกอมนี่ก็ขายได้กำไรดีทั้งๆ ที่เราขายถูกมาก ฉันลองนับเศษสตางค์ที่ลูกขายโกฟี่ได้
ตอนนี้ก็คุ้มทุนไปแล้ว ได้กำไรเสียด้วยซ้ำไปค่ะ ที่เหลืออยู่อีกตั้งครึ่งขวดโหลก็เป็นกำไร
อย่างช้ามะรืนนี้ฉันว่าจะกวนอีก"
"จะไม่เหนื่อยมากไปหรือ?" พ่อถาม
"ฉันเองก็ยังช่วยได้ไม่เต็มที่ ไว้ให้ฉันหายสนิทเสียก่อนเถิด"
"ไม่เหนื่อยอะไรนักหรอกค่ะ ลูกๆ
ก็ช่วยมือได้มากอยู่" แม่พูด ให้พ่อสบายใจ เด็กทั้งสองยืนยันที่จะช่วยกวนและห่อโกฟี่ให้แม่
พ่อจึงยอมให้แม่ทดลองค้าขายตามที่แม่ต้องการ
"พรุ่งนี้ฉันจะแบ่งพลูไว้วางขายบนโต๊ะข้างลูกอมสัก
๕ กำ นอกนั้นจะรีบไปดักขายให้แม่ค้าในตลาดตั้งแต่หัวมืด จะได้ขายก่อนคนอื่นเขาไงคะ"
แม่วาดหวัง และความหวังของแม่เป็นจริงตามที่แม่คาดคิดเสียด้วย แม่ค้า ในตลาดเหมาพลูของแม่ทั้งกระเชอในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นเอง
พลูทั้ง ๕ กำที่วางขายข้างขวดโหลโกฟี่ก็หมด ลูกอมของขวัญหลากสีเม็ดน้อยๆ
ในขวดโหลก็เกือบเกลี้ยง แม่สั่งฝากแขกให้ไปบอกเจ้าของพลูให้เอาพลูมาขายแม่อีก
ให้เขาคัดเอามาแต่ใบที่สวยๆ มาส่งให้เป็นประจำเลยทีเดียว
คืนนั้นหลังจากช่วยกันทำงานประจำวันเสร็จและรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว
พ่อนั่งอ่านหนังสือปกผ้าเล่มใหญ่เรื่อง"ไทยสมัยสร้างชาติ" ส่วนแม่กับลูกทั้งสองลงนอนเล่นรอบตะเกียงกระป๋องใส่น้ำมันมะพร้าว
มีเชือกป่านเป็นไส้ แม่เล่นทายอะไรเอ่ยกับน้อยและพี่แมะอย่างสนุกสนาน พอพี่แมะ
ทายถูกก็ได้เป็นฝ่ายทายบ้าง พี่แมะคิดอยู่นานมาก เพราะที่เด็กๆทายนั้นก็ล้วนแต่จำมาจากผู้ใหญ่หรือไม่ก็จากเพื่อนบ้างเล็กน้อย
ในที่สุดพี่แมะก็ทายขึ้นมาอย่างไม่มีใครคาดคิดว่า
"อะไรเอ่ย ข้างนอกมุดมิดหมุดหมิด
ข้างในติดใจ?"
พ่อหยุดอ่านหนังสือ แม่เงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่เคยได้ยินปัญหาอะไรอย่างนั้นมาก่อน
และนึกไม่ถึงด้วยว่าลูกสาวคนโตจะคิดปริศนาเองได้อย่างนั้น
น้อยร้องลั่น "ไม่เอา ไม่เอา รู้แล้ว
รู้แล้ว คอยดูพรุ่งนี้ จะห่อให้สวยที่สุด ไม่มุดมิดหมุดหมิดแล้ว ไปนอนดีกว่า"
ทุกคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ครอบครัวเล็กๆ ในอำเภอชายแดนครอบครัวนี้กำลังมีความสุขกับความหวังน้อยๆ
ที่เรืองรองอยู่ท่ามกลางแสงว็อบแว็บวอมแวมของตะเกียงน้ำมันมะพร้าวดวงนั้น
(อ่านต่อฉบับหน้า)
|