ชีวิตควรจะเป็นเช่นดอกหญ้า เรียบๆ ง่ายๆมีดินมีน้ำที่ไหน
ก็ขึ้นงอกงาม โตไวอีกต่างหาก น่าเสียดายจัง ชีวิตเราท่านแทบทั้งมวล ไม่อาจเลี้ยงง่าย
เหมือนดังดอกหญ้าเลย แม้มันจะติดดิน แต่ก็โดดเด่น สง่างามท่ามกลางธรรมชาติ
นานาพรรณ ดอกหญ้ารู้จักปรับตัวให้เหมาะกับกาลเทศะ ยามต้องพายุโหมระหน่ำ
มันย่อมโอนอ่อน ผ่อนให้ลมร้ายพัดผ่านเลยไป แล้วมันก็ตั้งตรง ชูดอกไสวเหมือนเดิม
ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องกลัวแดดน้ำ ลมฝน จึงสู้ทนทานต่อดินฟ้าทุกสภาพ โดยไม่ยอมอ่อนแอ
ด้วยโรคภูมิแพ้สารพัด ดังผู้คนที่ดีแต่เอาใจตัวเอง
คนช่างคิดย่อมเถียงเอียงคอเป็นเอ็นได้
ดอกหญ้ามันไม่รู้สึกนึกคิดเก่ง แววไวเหมือนคนสักหน่อย เลยไม่มีอารมณ์แปรปรวน
เหตุผลฟังขึ้น ว่าอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม คงหาความยกอ้างได้อีกเช่นกันว่า
ในเมื่อคนช่างรู้สึก ลึกซึ้งกว่าดอกหญ้ามากมายนัก แล้วไฉนไม่รู้จักปล่อยวางให้มันเก่ง
แต่ดีไม่มีเลว จะได้ไม่เสียที ที่รู้มากกว่าต้นไม้ใบหญ้า
ปัญหาชีวิตประจำวันของผู้คน จึงมีเรื่องท้าทายรอบทิศ
ไม่ขาดสาย ไม่ว่างเว้น กับการรับรู้กระทบ สัมผัส เฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์กริยาเรื่องสัมพันธ์ต่างๆ
ระหว่างคนเราเขา ทำอย่างไร ถึงจะเพียงรับรู้ความจริง ตามความเป็นจริง ให้ได้ด้วยใจสงบ
ดังเช่นกระจกเงา รับภาพสะท้อนทุกสิ่ง จะน่ารักชังเพียงใด กระจกเงา ไม่ไหวหวั่น
ไม่แปดเปื้อน หรือกระเทือนทรางใดๆ ด้วยเลย ไม่ว่าตัวจริงเสียงจริง นั้นๆ
ที่อยู่หน้ากระจก จะดีเลวขนาดไหน ยถาภูตญาณทัสนะ ความรู้จริง ตามความเป็นจริง
ดังว่านี้ นับเป็นตัวตัดสินอันวิเศษ เพื่อที่จะรู้เรารู้เขา จะได้วางตัวเองให้มันเหมาะเจาะ
ปลอดจากอคติ ๔ คือ ฉันทาคติ โทสะคติ โมหะคติ และภยาคติ ความลำเอียงของคน
มีได้ด้วยโลภ โกรธ หลง หรือความกลัวภัยสารพัน
ยิ่งใครเป็นคนมีเงิน มีอำนาจ โอกาสที่จะเกิดอคติ
ย่อมสูงตามไปด้วย จึงไม่ประหลาดอะไร กับการเอาอกเอาใจคนมีเงินหนา หรือเป็นเจ้านายใหญ่โต
จะทำได้ยากมาก
เป็นธรรมดาเหลือเกินนะ ที่ใครมีสิ่งใด
มักจะหลงติดในสิ่งนั้น นอกเสียจะมาหัดลดละ อยู่เหนือเงิน เหนืออำนาจ หรือโลกธรรมทั้งหลาย
ถึงจะค่อยมีสติรู้เท่าทัน และความควบคุมตัวเอง ได้ดีขึ้นบ้าง
จึงอย่าฝันไปเลยว่า คนมีเงินหนา แล้วเขาจะสบายใจได้มากมายเหลือล้น
ในขณะที่โลภะ โทสะ โมหะ กลับพอกพูนหนาขึ้นตาม พูดอย่างนี้ คนมองไม่ออกดอกว่า
เงินมันจะนำทุกข์มาให้ ยังไงเสียเป็นต้อง ขอมีเงินเยอะๆ
ไว้ก่อนนั่นแหละดี
ข่าวหน้าหนึ่งของ นสพ. จะทำให้คนฉลาดขึ้นบ้างไหมเอ่ย...
เช่นว่า ลูกของคนใหญ่โต ไปมีเรื่องกับพวกที่นั่นที่นี่ นึกว่าโก้ดี เบ่งไปเบ่งมาขี้แตกเต็มกุงเกง
คนเป็นพ่อ ฝันหวานจะดันลูก ให้เป็นทายาททางการเมือง มาถึงวันนี้พ่อคนนั้น
ยังเข้าข้างลูกตัวเอง อย่างเชื่อมั่นปานใด ไม่รู้ซี.....
คงไม่เฉพาะลูกท่านหลานเธอ ที่ทำให้ต้องมีรายการคุณขอมา...
พวกๆ กัน เป็นต้องช่วย ทำกันด้วยอภิสิทธิ์ เสร็จแล้วให้กฎหมายไม่เกิดผลศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควร
และกลายเป็นว่า แทนที่กฎหมาย จะเป็นตัวสร้างสามัคคีธรรม เลยกลับเป็นตัวเหตุก่อความร้าวฉาน
แตกแยกกว้างขวางขึ้น
คนไทยชอบเจ้ายศชั้นบรรดาศักดิ์ และสั่งสอนให้ลูกหลาน
อุตสาหะเป็นเจ้าคนนายคน
จะเป็นได้มันก็ดีหรอก แต่จะเป็นจริงได้แค่ไหน
มีอะไรดิบดีพอจะเป็นเจ้านายขนาดไหน ยิ่งเป็นนาย ใหญ่โต ยิ่งลำบาก ผิดนิดผิดหน่อย
พาเสียหายสาหัสกว่าตัวเล็กๆ อย่างคดีซุกหุ้นของเสี่ยนายกฯ ทักษิณ ไม่รู้จะลงเอยอย่างไร
ถ้าถือว่าผิดเต็มประตู ผลต้องหลุดจากตำแหน่งทันที หรือแม้จะไม่เอาโทษอะไรกันมากมาย
แต่เท่าที่เป็นเรื่องขึ้นมา ย่อมเสียคะแนน หมดความสง่างามไป ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
หรือตัวอย่างเล็กๆ เกี่ยวเนื่องอดีตนายกฯ
ชวน คือ คุณภักดิพร ภริยาคนมีระดับขนาดนี้ ใครๆ ต้องวาดภาพไว้เนี้ยบพอตัวเชียวแหละ
ล่าสุดเกิดเป็นข่าว สาวใช้ไปแจ้งความว่า โดนนายหญิงลงไม้ลงมือรุนแรง จนทนไม่ไหว
ถ้าเป็นกรณีชาวบ้านธรรมดา คงไม่ขึ้นข่าวหน้าหนึ่ง ขนาดพาดหัวโตๆ เป็นแน่เลย
งานนี้กลายเป็นเหยื่อ ให้ผู้คนได้จ้อกัน สนุกปากดีเหมือนกัน
เรื่องธรรมดาเช่นนี้ ที่ไหนก็มี ในพระสูตรเคยมีอุทาหรณ์
คุณผู้หญิงคนดังชื่อลือกระฉ่อน ว่านางเป็นกุลสตรี สุภาพเรียบร้อยใจดี ภาพลักษณ์
ออกไปอย่างหรูเริด พอดีวันหนึ่ง สาวใช้เจ้าปัญญา (ชื่อว่านางกาลี) เกิดอยากลองของว่า
นายหญิงของเรานั้น ธาตุแท้เป็นฉันใด เธอเป็นคนอารมณ์ดี เพราะสาวใช้รับธุระ
จัดการได้เรียบร้อย ถูกใจทุกอย่าง มันเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ถ้าเกิดสาวใช้ทำงานไม่เอาไหน
นายหญิงจะ ยังอารมณ์ดีไหม จะได้รู้กัน...
สาวใช้จึงเริ่มด้วยการแกล้งนอนตื่นสาย
วันแรกนายหญิงหงุดหงิดหัวเสีย วันสองตื่นสายโด่งกว่าเก่าอีก นายหญิงยัวะ
หลุดปากด่าว่าแรงขึ้น วันที่สาม สาวใช้ทีเด็ด แกล้งสายหนักขึ้น โดยไม่มีเหตุผล
หนนี้นายหญิงเหลือทน ด่าเช็ด คว้ากลอนประตูปาหัวสาวใช้ เลือดอาบ รายการท้าพิสูจน์
ได้คำตอบสุดท้ายว่า นาย หญิงไม่สามารถมีจิตใจงดงาม ด้วยธาตุแท้ของตัวเองเลย
หลังจากสาวใช้โดนปาหัวแตก โลดแจ้นร้องบอกชาวบ้าน
ว่านายหญิงเล่นของแข็งกับตนอย่างไรบ้าง ตั้งแต่วันนั้น ชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปทั่ว
ของนายหญิงคนดัง เป็นอันปิดฉากลง กลายเป็นชื่อเสีย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนดีต้องดีด้วยธาตุแท้
ยั่งยืนในทุกสถานการณ์แวดล้อม ไม่ใช่เต้นตามคลื่น ตื่นตามลม ใครยังแขวนชีวิตตัวเองไว้กับบริการ
หรือ การกระทำของคนอื่นๆ คือ เมื่อคนเขาทำดีกะเรา เราก็ยังอารมณ์ดีอยู่ด้วย
พอไปเจอคนทำไม่ดีดังใจ แค่นั้นแหละ มันต้องแข่งเลว อ้างว่าเพื่อสั่งสอนสักหน่อย
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว มันอดเลวต่อไปไม่ไหวต่างหาก ต้องระบายของจริงออกมาบ้าง
คนดีที่เป็นทาสสิ่งแวดล้อม กับ คนดีโดยธาตุแท้ จึงเป็นดีสองแบบ ไม่เหมือนกันเลย
ดังนั้น กว่าคนจะรู้ไส้รู้พุงกันถ่องแท้
ต้องอาศัยการคบคุ้น กันบ่อยๆ นานๆ คำพระถึงว่า ศีลรู้ได้ด้วยการคบคุ้น
สำหรับฐานะ หน้าตา ภาพลักษณ์ต่างๆ ไม่พอประกันคุณภาพ ว่าใครเป็นอย่างไร
จึงลึกซึ้ง คนกินด้วยกัน นอนด้วยกัน ถึงจะมีโอกาสรู้ดีกว่าเพื่อน กระมัง
ตัวอย่างกรณี นายหญิงกับสาวใช้ ฐานะฝ่ายหนึ่งเหมือนเป็นเจ้าคนนายคน
อีกฝ่ายเป็นผู้รับใช้ต่ำต้อย ซึ่งด้อยทั้งเงินและอำนาจหรือศักดิ์ศรี
คนวางตัวเป็นเจ้านาย ถ้าเป็นด้วยอำนาจเงินจ้างอย่างเดียว
ย่อมเสี่ยงภัย เกิดไม่สงบสุข ดังข่าวขี้หมูราขี้หมาแห้งนั่นแหละ ใครจะเป็นเจ้านายได้ดี
ต้องอาศัยบารมีสั่งสมคุณธรรม ให้เหนือชั้นกว่าคนใต้ปกครอง เพื่อเขาจะได้ศรัทธา
อยากพึ่งพิง รับใช้ ทำนองน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เรียบง่าย คงจะไม่เป็นจริงได้ง่าย
หากยังหวังพึ่งเงิน หรืออำนาจเป็นสำคัญ ทั้งเงินและอำนาจ เป็นที่มาแห่งความยุ่งยาก
ต่อสู้วุ่นวายขนาดไหน ครั้นจะไม่มีเสียเลย คนย่อมกลัวจะอยู่ไม่รอดเสียอีก
คงต้องมีความพอเหมาะ ในการพึ่งพิงสิ่งที่จำเป็นต้องอาศัย
แม้เงินหรืออำนาจจะจำเป็น หากเราใช้น้อยสุด พึ่งตัวเองให้มากสุดๆ ทำตัวเองให้เลี้ยงง่ายๆ
ได้มากเท่าใด ย่อมอิสระเบาว่างห่างทุกข์เท่านั้น ทางเลือกของคน คงต้องถามใจบ่อยๆ
ว่า หัดเป็นคนเลี้ยงยาก หรือ หัดเป็นคนเลี้ยงง่ายดี!?
เมื่อใดยังมีสติ ตอบถูก เรื่องที่ต้องถามต่อคือ ทำอย่างไร เราถึงจะมีสัญชาติแห่งคนตรง
หรือซื่อสัตย์ ต่อปัญญาของตัวเอง หากไม่ปล่อยให้ชีวิตนี้เหลวไหล ไปตามกระแสธาร...
|