บันทึกจาก |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 235 เดือน เมษายน 2544 หน้า 1/2 |
|
|
บันทึกจากปัจฉาสมณะ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ขึ้นทศวรรษที่ ๔ มีอะไรที่จะต้องเกิดใหม่ ถ้ามาอยู่กับกลุ่มนี้แล้ว...เราแน่ใจว่า...ไม่ได้เลวลงแน่นอน จะฝืนหน่อยก็ฝืน ทนไม่ไหวอีก ออกไปก่อน ตั้งหลักใหม่กลับมาใหม่ ตอนนี้อยากจะได้คนเพิ่มขึ้น เพราะว่าตอนนี้แผน ๙ กำลังจะออก จะเร่งรัดพัฒนาชุมชน ถ้าเรามารวมกัน ห้าร้อยคน พันคน บุญนิยมก็จะเป็นรูปชัด เราต้องรีบเร่งมารวมกันให้ทันการณ์ "ปี๒๕๔๔ นี้ เราจะต้องมีความคืบหน้า อาตมาทำงานมา ๓๐ ปี ๓ ทศวรรษแล้ว ขึ้นทศวรรษที่ ๔ มีอะไรอีกอันหนึ่ง ที่จะต้องเกิดใหม่ เหมือนกับสามรอบทีหนึ่งสรุปที ถ้าตั้งข้อสังเกตให้ดี สถิติอย่างนี้ มันมีจริงในโลก จะรอบครบสิบ จะรอบครบสามก็ได้ พอครบหกจะเป็นสาม สองรอบ พอสาม สามสามนี่เป็นเก้านี่ จะเกิดพลังรอบขึ้นอีก อย่างสูงเลย พอขึ้นรอบที่สิบ หรือศูนย์ หรือสิบนี่ มันก็จะเป็นอะไร อีกอันหนึ่ง เพราะฉะนั้น จากสามนี่ มันเกิดสี่ขึ้นมา จะเป็นรอบอีกอันหนึ่ง ที่จริงแล้ว ก็คือลักษณะ สมบูรณ์แหละ อย่างพระพุทธเจ้านี่ ถือว่าเป็นปางที่เก้า ครบรอบปางที่เก้านี่สุด ถือว่าสูงสุดขึ้นสิบ ทางด้านพราหมณ์เขานี่ถือว่า สิบนี่คือ กัลกิยาวตาร เป็นรอบที่ ไม่มีตัวตนแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว จบ อมตะ นิรันดร เป็นจุดสุดยอดเป็น absolute เป็นสัมบูรณ์หมด อาตมาไม่อยากจะเล่นตัวเลข เล่นหลักๆอะไรพวกนี้ เป็นหลักของสถิติ ซึ่งในทางโลก นี่เขาคิด ในทางโหราศาสตร์ ทางคณิตศาสตร์ ในทางคำนวณอะไรต่างๆ ซึ่งเกิดการสั่งสมพลังงาน สั่งสมสภาพวัตถุก็ตาม สั่งสมสภาพ ที่เป็นนามธรรมก็ตาม มันมีระยะเวลา แห่งการเจริญ และการเสื่อม ที่เป็นสัดส่วน ชาวอโศกได้ก่อเกิดมาแล้ว ก็ไม่ได้หยุดยั้ง เราก็พัฒนา มีบูรณาการ เรื่อยมา มาจนถึงวันนี้ ๒๕๔๔ นี่ อาตมาก็คิดว่า มันจะต้องเป็นอะไร ที่จะต้องพัฒนา ขึ้นไปอีกเขตหนึ่ง อาตมาก็จะมาบอก มาชี้ ให้พวกเรา ได้ตั้งใจ รู้ตัว ความบกพร่อง ของพวกเราก็มีอยู่ ถึงวันนี้แล้ว เรามีกลุ่มชุมชน เป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม คือมีสิ่งที่ปลูกฝังขึ้นมาแล้ว ทุกคนเข้าใจ ทุกคนพร้อม ทุกคนเชื่อ และทุกคนก็ยินดี ที่จะทำเช่นนี้ และมีความเจริญ มุ่งหมาย ในวัฒนธรรมนั้นด้วย เพียงแต่ว่า วัฒนธรรมที่มุ่งหมายนั้น หรือจะเรียกว่า วิสัยทัศน์ก็ตาม มันยังไม่สมบูรณ์สุดๆ ตามจุดที่เราเข้าใจนั้น หลายคนได้พิสูจน์กันมา ในช่วงชีวิตหนึ่ง มั่นใจแล้วในระบบนี้ ยังไงๆก็ฝากเกิด ฝากแก่ ฝากเจ็บ ฝากตายไว้ตรงนี้แหละ เพราะเชื่อว่า ตัวเองกินน้อย ใช้น้อย จะถูกเขาไม่อนุเคราะห์ ให้มั่งไม่ให้มั่ง ก็ทนได้ เราคงไม่ทุกข์ทรมาน เกินการณ์ คนทั่วโลกที่มีกิเลสตัณหาอุปาทาน ครอบงำอยู่เป็นสามัญ เขาก็เอาลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นหลักประกันชีวิต แต่เสร็จแล้วเขาก็ติดในโลกียสุข เปลืองผลาญ อยู่ในโลกียสุขนั่นแหละ เรียกว่าโลกธรรม ธรรมดาสามัญของปุถุชน แต่พวกเรามารู้แล้วว่า โอ้! ไม่ต้องสะสมลาภ เราก็มั่นใจว่าอยู่รอด นี่มันโลกุตระแล้ว มันเหนือชั้น กว่าโลกียะ ไม่ต้องมีลาภเป็นของตน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีลาภธัมมิกา ไม่มีลาภโดยตรง... ไม่ใช่ เราขยันหมั่นเพียร สร้างสรร มันก็ต้องเกิดลาภโดยธรรม แต่ไม่ต้องมีลาภแลกเปลี่ยนมา เป็นลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา ไม่ต้องใช้ลาภแลกลาภหรอก เราทำไปแล้ว สละไปเรื่อยๆ แล้วมันมี ระบบอยู่แล้ว ระบบชุมชน ของชาวอโศกเรา ลาภไม่ต้องสะสม เป็นของตนเลย ก็มั่นใจ ถ้าเราก็ไม่ได้ ไปสร้างความน่ารังเกียจอะไรขึ้นมา จนกระทั่ง เขาไม่ชอบหน้า มันก็อยู่รอด อยู่ในนี้ก็เป็นสุข ถ้ายิ่งเป็น ที่รักที่ชอบใจ ของหมู่ของกลุ่ม จะไปกลัวอะไร ถ้าจะต้องเสียค่ารักษามากๆ แพงๆอะไร พวกเราก็ช่วยกันได้ สังคมเรามีวัฒนธรรมอันนี้ยืนยาว ถึงขั้นเป็นสาธารณโภคี พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ อบอุ่นดี ยิ่งกว่าระบบทุนนิยม ระบบโลกียะที่เขาเป็น ถ้าเราสามารถทำสังคม กลุ่มดังว่านี้ อบอุ่นยิ่งกว่าสังคมข้างนอก โอ้โฮ! อาตมาว่า ยิ่งใหญ่นะ เป็นเรื่องที่อาตมา มั่นใจและมุ่งหมาย..." จากบางส่วนที่พ่อท่านแสดงธรรมก่อนนำกล่าวปฏิญาณตัว รักษาศีล ๘ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๒๕ ที่ศาลีอโศก ๔ ก.พ. ๒๕๔๔ งานพุทธาภิเษกฯปีนี้ มีการประชุมของคณะทำงานในองค์กรต่างๆ หลายคณะ พ่อท่านต้องอยู่ ร่วมประชุมด้วย เพื่อย้ำบอกนโยบาย ทั้งคณะทำงานที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ รวมถึงคณะทำงานที่มีอยู่แล้ว ก้าวต้นๆของคณะช่วยงานบ้านเมือง อีกก้าวหนึ่งของสัมมาสิกขา กสิกร "กู้ดินฟ้า" "ชาวอโศกยึดหัวหาดเรื่องมังสวิรัติสำเร็จ ไปไหนใครก็รู้กันทั่วในเมืองไทย หากพูดถึง กลุ่มมังสวิรัติ คราวนี้เราจะยึดหัวหาด กสิกรรมไร้สารพิษให้ได้ จะต้องระดมพวกเรา ช่วยกันทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ อาตมาได้เน้นมาตลอดว่า ชาวอโศกจะเป็นกสิกร ไม่รู้ใครจะอยู่หอคอยงาช้าง ยังไง อาตมาดึงมา เรื่อยแหละ ดึงออกมาติดดิน ดึงเอามาคลุกขี้โคลน ดึงเอามาทำกสิกรรม แล้วหลายคนก็เข้าใจแล้ว หลายคนก็ยังตัดสินไม่ลง แต่เราจะต้องเอามวล มาหาชาวนา ชาวไร่ ชาวกสิกรรมนี่ ให้มากที่สุด เพราะอะไร เมืองไทยเป็นเมือง อยู่ในโซนอบอุ่น ทำกสิกรรมได้ดีที่สุด กสิกรรมธรรมชาติ พวกเราได้ศึกษามาพอสมควร มาถึงวันนี้พอเป็นไปได้ แต่ยังไม่เกิด การรวมตัว ผลิตได้ในปริมาณที่มากพอ เพราะ ๑.ยังไม่เอาจริง ๒.ยังไม่รวมตัว ประสานกันให้ดี ๓.การตลาด ยังไม่มั่นคง เราจะมาทำกสิกรรม ไร้สารพิษนี่ ให้มีทั้งผลิต อย่างเป็นจริงเป็นจัง เป็นกิจจะลักษณะ ลงหลักปักแหล่ง ทำกันจริงๆเลย แล้วก็ทำให้มันเป็นวิชาการ ทำให้มีหลักสูตร มีอะไรต่ออะไรอย่างดี มีผลผลิต ที่มีคุณภาพ และปริมาณเลี้ยงโลก ให้รู้ไปว่า คนมีคุณค่าต่อโลกเกื้อกูลโลก มีประโยชน์ ต่อโลกคือกสิกร ไม่ใช่คนมีเงิน ไม่ใช่คนอยู่บนหอคอยงาช้าง จงรู้หน้าว่า หน้ากสิกรไทย ไม่ใช่ใครนะ ชาวอโศก..." พ่อท่านกล่าว เพื่อผู้บริโภค พ่อท่านให้โอวาทนำก่อนการประชุม จากบางส่วนดังนี้ "...เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ทำไมต้องคุม ทำไมต้องตรวจสอบ เพื่อป้องกัน การทำบาป หากสินค้านั้น คุณภาพไม่ดี ออกไปจำหน่าย เกิดผลเสียหายแก่ประชาชน ผลเสียบางอย่าง ไม่ได้เกิดทันที มันสะสม อย่างที่หมอวีรพงษ์ ตรวจน้ำหมัก ผลไม้ของพวกเรา พบแมททิลแอลกอฮอล์ ซึ่งไม่เป็นอันตรายทันที แต่มันสะสม... เริ่มต้นที่สุด การผลิตคือความสะอาด วัตถุดิบ จะหาวัตถุดิบ ที่ปราศจากพิษ เลยได้ไหม ให้เป็นอย่างพ่อค้าข้าวต้มปลากระพง หากไม่มีปลากระพง ปิดร้านไม่ขาย ไม่ใช้ปลาอื่นแทนเด็ดขาด เราจะเอาอย่างนั้นกันไหม ถ้าเราไม่ค้าขายเลย เราอยู่รอดไหม ถ้าอยู่รอดแล้ว เราทำการค้าขายอยู่ โดยมีพิษภัย ก็บาปอยู่ เราจะเอาขนาดนั้นไหม ไม่ซื้อวัตถุดิบ จากคนภายนอก จะซื้อแต่ของพวกเราเอง ถ้าจะซื้อก็อย่าง เคมีบางอย่างที่จำเป็น" หมอฟากฟ้าหนึ่ง เสริมให้ข้อมูลว่า อย่างดอกเก๊กฮวย และชาเขียวนั้น ต้องสั่งซื้อจากภายนอก พวกเราผลิต และปลูกกันเองไม่ได้ พ่อท่านกล่าวต่อ "...แหล่งผลิต ผู้ค้า ควรช่วยกันดูแหล่งผลิตด้วยว่า ผลิตโดยมีสารเคมี สิ่งมีพิษ หรือเปล่า คนผลิตที่รู้อยู่ว่าใช้สารเคมี ตนเองก็ไม่กิน แต่ก็ขายให้คนอื่นกิน มันอำมหิตขนาดไหน อาตมามองเห็นประตูชนะโลกียะ หรือทุนนิยม ก็คือ เมื่อสินค้า เราคุณภาพดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ เสียสละ มีน้ำใจ แล้วเราจะสู้โลกียะไม่ได้ ได้อย่างไร ถ้าไม่มีโลกุตระแล้ว เราก็จะพลิกแพลง ทำอะไรก็หมุนเวียน เอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่แค่นั้น แล้วๆเล่าๆ..." ตลาดนัดไร้สารพิษ "พุทธาฯปีนี้ เข้าท่า โครงการกู้ดินฟ้า ทำให้เกิดอะไรๆตามมา อีกเยอะเลย ตอนนี้ เห็นทางเดินชีวิต ของบุญนิยม ยังมีทางที่จะพุ่งไปได้อีกไกล ข้อสำคัญ เข้ามาทำงานกัน ให้จริงๆ ให้มีรูปร่าง เอาจริงเอาจัง แม้แต่ปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยจุลินทรีย์ ..." เกร็ดเล็กๆในงานพุทธาฯ คุณณรงค์ โชควัฒนา ให้เกียรติมาบรรยาย ให้ความรู้เกี่ยวกับ ผลกระทบต่อ พ.ร.บ. ๑๑ ฉบับ ต่อประเทศชาติ ทำให้ได้ความรู้ ถึงผลเสียหายต่างๆ ที่คนไทยได้รับ จากการทำสัญญา กับต่างชาติ โดยคณะผู้มีอำนาจ ในรัฐบาลที่แล้ว นอกจากนี้ ช่วงงานได้ฟังคำบอกเล่า ถึงปฏิกิริยาของสังคม ที่มีต่อพ่อท่าน เรื่องแรกจากญาติธรรม ที่กำลังศึกษาปริญญาเอก ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อาจารย์ที่ปรึกษา ได้ศึกษา และเข้าใจชาวอโศก อยู่พอควร แต่ก็แนะนำญาติธรรมว่า เวลาเขียนวิทยานิพนธ์ เรื่องชุมชนพึ่งตนเอง พยายามอย่าเอ่ยชื่อ พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เดี๋ยวจะไม่ได้รับอนุมัติให้ทำ ญาติธรรมคนนั้น ได้ชี้แจงกับอาจารย์ ที่ปรึกษา ท่านนั้นว่า จะไม่เอ่ยชื่อพ่อท่านเลยไม่ได้หรอก เพราะชุมชนที่เกิด หรือกลุ่มอโศกที่เกิด มาจากพ่อท่าน อาจารย์ที่ปรึกษา จึงบอกให้พยายาม อ้างถึงแต่น้อย ก็แล้วกัน เรื่องที่สอง มีผู้มาบอกเล่าว่า ได้ฟังข่าว จากสถานีวิทยุ กระจายเสียงแห่งประเทศไทย ออกอากาศว่า ควรนำเอาแนวทาง พระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวง มากู้ปัญหาวิกฤติ ซึ่งพระโพธิรักษ์ ได้นำพาคน มาสู่แนวทางนี้ "ที่เล่าเรื่องนี้ ให้รู้กระแสสังคม มิใช่ให้พวกเรา หลงเฟื่องฟูใจ แต่เพื่อให้เรารับรู้ความจริง ของสังคม ที่เกิดขึ้น จะได้รู้ทิศทางที่จะทำ กับสังคมอย่างไรต่อไป การที่เขากล้า ออกอากาศขนาดนี้ แสดงว่า ฝ่ายข่าวที่เอามานำเสนอ ก็ต้องประเมิน ประมาณ สังคมอยู่ว่า ควรไม่ควรอย่างไร" พ่อท่านกล่าวช่วง ทำวัตรเช้า ๙ ก.พ. ๒๕๔๔ ไม่เกี่ยวกับฟาง วันนี้หมอพจน์ก็มาตรวจดูอาการ หมอพจน์บอก พ่อท่านมีเสมหะเหนียว ที่ปอดทั้ง ๒ ข้าง ร่างกาย พยายามจะขับออก จึงไอ พ่อท่านก็รับฉันยา ที่หมอพจน์ถวาย เพื่อให้พ่อท่าน ได้พักการใช้เสียง จึงนิมนต์ให้พ่อท่าน ฉันอาหารอ่อน ที่ห้องทำงานชั้น ๖ จะได้ไม่ต้อง คอยตอบ คำซักถาม ของญาติโยม หลังฉันแล้ว พ่อท่านก็นอนพัก ในห้องทำงานนั้น ขณะที่อาการไอ ก็มีมากขึ้น ค่ำ คุณดาวตะวันนำยาสมุนไพรอมฤตวาที ผสมมะนาว และชะเอม มาถวาย ให้พ่อท่านฉันอีก มีหลายเสียง วิพากษ์วิจารณ์ว่า อาการไอ มาจากฝุ่น ละอองฟาง ที่ใช้ปูไปทั่ว บริเวณงานพุทธาภิเษกฯ บวกกับการที่ พ่อท่านใช้เสียงมาก ในช่วงงาน ซึ่งมีหลายๆคน ในพวกเราก็ไอ จากฝุ่นละอองฟาง แต่ดูเหมือนพ่อท่าน จะไม่เชื่อว่า อาการไอ มาจากฝุ่นละอองฟาง อีกทั้งพ่อท่าน อาจจะพยายามกัน ไม่ให้พวกเรา ไปมีอุปาทานมาก กับฟางว่าเป็นเหตุสำคัญ ทำให้หลายคน มีอาการไอ ด้วยความจำเป็น ต้องใช้ฟาง ในงานของชาวอโศก อีกหลายงาน พ่อท่าน จึงปฏิเสธแข็งๆว่า ไม่เกี่ยวกับฟาง บทเรียนหลายๆอย่าง ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เรื่องราว บวกคำพูดของพ่อท่านเล็กๆน้อยๆนี้ เป็นบทเรียนจริงของชีวิต ที่สอนอะไรๆพวกเราได้หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฉันทะ, ความมีน้ำใจ, ความรับผิดชอบ, การไม่ตื่น ไปตามกระแส และการไม่ประคบ ประหงม โอ๋ตนเอง จนเกินการณ์ ที่ศาลาวิหาร ปฐมอโศก รายการก่อนฉัน เป็นการสรุป บอกเล่าความรู้สึกนึกคิด ถึงข้อดี และ ข้อบกพร่อง ที่ได้จากการมาอยู่ร่วมอบรม ของนักศึกษา สถาบัน ราชภัฏพระนคร คณะศึกษาศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน โดยอาจารย์ ที่รับผิดชอบ ระบุไว้เลยว่า นักศึกษาที่จะจบ จะต้องผ่านการอบรม ร่วมใช้ชีวิต กับชุมชนปฐมอโศก หรือ ชุมชนสาคลีก่อน เพื่อศึกษาเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง ในชุมชนพึ่งตนเอง ที่เข้มแข็ง นักศึกษาประมาณ ๑๐๐ คน ล้วนชื่นชมกับวิถีชีวิต ของปฐมอโศก หลายคนบอก กลับไป จะทานมังสวิรัติในวันเกิด จะเลิกกินสัตว์ใหญ่ บ้างก็เปรียบเทียบ กับการเลือกตั้ง เลือกพรรค การเมืองที่ชอบ ถ้าจะให้เลือก สำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ ในเมืองไทย ขอเลือกอโศก เป็นอันดับหนึ่ง ทั้งๆที่พ่อท่านไม่ได้มาเทศน์ ไม่ได้มาพบนักศึกษา เหล่านี้เลย แสดงว่าสมณะ สิกขมาตุ และ วิถีชีวิต ของชาวชุมชน ปฐมอโศก ซึ่งมีทั้งเด็กนักเรียน อีกทั้งฐานงานอาชีพต่างๆ ช่วยทำให้การเรียนรู้ หลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า เข้าใจง่าย มีรูปธรรม ที่เห็นชัดว่า เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต จริงยิ่งขึ้น เป็นการเรียนการสอน ที่ให้ผล สมบูรณ์กว่า การฟังเทศน์ ฟังธรรมอย่างเดียว เพราะมีตัวอย่าง ของบุคคลที่ลดละ เสียสละจริงให้เห็น มิใช่เพียงตรรกะ หรือโวหาร คารม ของผู้เทศน์ ที่อ้างอิงคัมภีร์ หรือพระสูตร ในพระไตรปิฎก ด้วยสำนวนภาษา ชวนเชื่อเท่านั้น แต่การเทศน์ ตามหลักการ ก็มีส่วนสำคัญ ทำให้เกิดความรู้นำ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะมีผลสู่รูปธรรม การลดละ เสียสละจริง ยิ่งถ้าผู้เทศน์มีผลจริง ตามหลักการที่กล่าวอ้าง ก็ยิ่งจะมีผล สู่การเกิดกลุ่ม เกิดชุมชน เกิดเป็นขบวนการ จนถึงขั้น เกิดเป็นสถาบันด้วย ปัญหาการทำหนังสือเดินทาง
(Passport) คุณสุริยา ถามเจ้าหน้าที่ ถึงระเบียบปฏิบัติ ของพระในมหาเถรสมาคม จะออกเดินทาง ไปต่างประเทศ จะต้องทำอย่างไร และถ้าเป็นพระจีนนิกาย มหายาน จะต้องทำอย่างไร เมื่อได้รับคำตอบ อธิบาย ขั้นตอนต่างๆอย่างดี คุณสุริยา จึงวกกลับมาถาม ถ้าสมณะอโศก จะเดินทางไปต่างประเทศ จะต้องทำอย่างไร เจ้าหน้าที่ระดับล่าง ปฏิเสธว่าไม่รู้ ไม่อยู่ในหน้าที่ของเขา คุณสุริยาจึงขอพบ หัวหน้ากอง เมื่อพบหัวหน้ากอง คุณสุริยาชี้แจงถึงวัตรปฏิบัติ ของสมณะอโศก เพื่อยืนยัน ความเป็นนักบวช ที่ต่างจาก พระมหาเถรสมาคม จึงขอทำหนังสือเดินทาง หัวหน้ากอง จึงโทรไปถาม กรมการศาสนา ทางกรมการศาสนาปฏิเสธ ไม่รับฐานะสมณะ และ เมื่อคุณสุริยา สอบถาม ถ้าจะทำหนังสือเดินทาง ตามบัตรประชาชน ที่ใช้คำนำหน้าว่า "นาย" จะได้หรือไม่ หัวหน้ากองปฏิเสธ ทั้งภาพที่นุ่งห่ม ครองผ้าสีขาว และภาพ ที่นุ่งห่มครอง ผ้าสีน้ำตาล ว่าโดยรูปห่มครองผ้าอย่างนี้ จะใช้คำนำหน้าว่า "นาย" ไม่ได้ หัวหน้ากองพูดกันตัวเอง ออกจากปัญหาว่า ทางสันติอโศก จะมีปัญหาอะไร กับกรมการศาสนานั้น ผมไม่รับรู้ด้วย คุณสุริยา จึงได้ยื่นเอกสาร ที่ได้เตรียมมา เป็นเอกสารที่จะส่งไปถึงรัฐมนตรี เพื่อร้องเรียนว่า ถูกลิดรอนสิทธิ โดยอ้างอิง กฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๘ หลังจากหัวหน้ากอง ได้อ่านเอกสารร้องเรียนนั้นแล้ว เขาหน้าตึงเลย เขาพูดกับ คุณสุริยาว่า คุณหาว่า ผมทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือ คุณสุริยาพูดอย่างนอบน้อมว่า ถือเป็นกรณีศึกษาครับ เพราะยังไม่เคยเกิดเรื่อง เช่นนี้มาก่อน หัวหน้ากองขอตัวไปคุยกับอธิบดี ขณะเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่อีกคน มาพูดคุยต้อนรับพวกเราดี ผ่านไปครู่ใหญ่ หัวหน้ากองกลับมา พร้อมการอนุญาต ให้ทำหนังสือเดินทางฯได้ ตามบัตรประชาชน ที่กระทรวงมหาดไทย รับรองออกให้ โดยใช้คำนำหน้าว่า "นาย" สมณะกลางดิน โสรัจโจ และ สมณะมองตน เมตตจิตโต ยอมทำหนังสือเดินทางฯ ในขั้นนี้ ในฐานะ "นาย" ไปก่อน ขณะที่ สมณะเย็นยิ่ง สมานฉันโท มีท่าทีจะขอสู้ ในฐานะ สมณะ ให้ถึงที่สุด (เปิดเผยใจในภายหลังว่า ใจจริงอยากจะสู้จนกว่า จะได้ฐานะสมณะ แม้จะต้องถูกจับติดคุก ในข้อหาแต่งกาย เลียนแบบพระก็ตาม) แต่สุดท้าย ก็ยอมทำหนังสือเดินทาง ในฐานะ "นาย" ไปก่อนเช่นเดียวกับ ๒ รูปแรก หลังจากสมณะมองตน เมตตจิตโต บอกเล่าให้พ่อท่านทราบแล้ว คุณเหมือนพร เดินทางมาจาก กรุงเทพฯ เพื่อถวายยาขับพิษ ให้พ่อท่านฉันก่อนนอน ๑๓ ก.พ. ๒๕๔๔ เช้านี้เดินทางจากปฐมอโศก ไปสันติอโศก ๗ นาฬิกา พ่อท่านเดินทาง ไปอบสมุนไพร ที่บ้านคุณเหมือนพร วันนี้พ่อท่านฉันทั้งยา ที่หมอพจน์จัดให้ ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ และยาฆ่าเชื้อ รวมถึงยาแพทย์ แผนไทย มียาบำรุงร่างกาย และยาขับพิษ เสียงพ่อท่านดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ปกติทีเดียว ถึงอย่างไร ก็ตัดสินใจ ยกเลิก การไปอุบลราชธานี ๑๔-๑๕ ก.พ.นี้ ได้อะไรจาก
"ตามหาแก่นธรรม" ( อ่านต่อหน้าถัดไป ) |
|
บันทึกจากปัจฉาสมณะ (สารอโศก อันดับ ๒๓๕ หน้า ๕๗ - ๖๘ เดือน เมษายน ๒๕๔๔) |