การปฏิบัติธรรมที่เป็นประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านไปพร้อมกัน
มิใช่เพียงแค่อยู่ในวัด ซึ่งมีงานการกันอยู่ในวัด หรืองานอบรมช่วยเหลือคนภายนอกเท่านั้น
พ่อท่านยังพาพวกเรา เข้าไปทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องค้าๆขายๆ เป็นการพาณิชย์แบบบุญนิยม ที่เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ไปพร้อมกันอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็น งานขายอาหารมังสวิรัติ, ผักพืชผลไม้, อาหารแห้ง และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ จนถึงกับจดทะเบียน ทำในรูปของบริษัท โดยจะมีการประชุมร่วมกันทุกเดือน เพื่อการทำงาน ที่ประสานสอดคล้อง ให้เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน และประโยชน์สูงประหยัดสุด ให้ได้มากที่สุด ตามเป้าหมายอุดมการณ์
เท่าที่ความเป็นจริงจะเป็นไปได้
๓๐ ก.ค. ๒๕๔๔ ที่โบสถ์สันติอโศก มีการประชุม
๕ พาณิชย์บุญนิยม (ศูนย์มังสวิรัติ และชมร.จตุจักร, ศาลามังสวิรัติ๑,
บริษัทพลังบุญ จำกัด บริษัทแด่ชีวิต จำกัด และบริษัทขอบคุณ จำกัด)
เมื่อพูดถึงบจ.พลังบุญ และบจ.แด่ชีวิต ได้ทำหนังสือ รับสภาพความเป็นจริงของผู้ถือหุ้นบริษัท
พ่อท่านแสดงความเห็นเสริมว่า "บริษัทบุญนิยมของเรา
ยังอยู่ในกรอบของระบบทุนนิยม เช่น พนักงานต้องมีเงินเดือนตามระบบทุนนิยม
เราก็เซ็นรับเงินเดือนออกมาทุกคน แต่ความจริง เราก็ไม่ได้เอาเงินนั้น มาเข้ากระเป๋าตัวเอง เพียงแต่พนักงาน ยินดีจะเอาเงินเดือน ส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด เข้ากองกลาง ซึ่งเป็นส่วนที่เรียกว่า สาธารณโภคี ตามที่เราทำกันมา
เงินสาธารณโภคีนี่แหละ คือเงินที่เราเสียสละ ให้แก่ลูกค้าแท้ๆ เราไม่ได้ขูดรีดลูกค้า
แต่กลับสละค่าแรงงานของเรา ให้แก่ลูกค้า เป็น "บุญ" โดยตรง
เมื่อทำบัญชีงบดุล บริษัทบุญนิยมจะขาดทุนทุกปี
สรรพากรมาตรวจสอบ เขาจะสงสัยว่า บริษัทอยู่ได้อย่างไร ที่ดำเนินการขาดทุนตลอด บริษัทจะกู้ยืมเงินเพิ่ม จากส่วนของสาธารณโภคี ซึ่งเป็นเงินกองกลางนั่นเอง
แล้วก็จะไปจดทะเบียนเพิ่มหุ้น ที่กระทรวงพาณิชย์ สาธารณโภคีจะซื้อหุ้น
เมื่อซื้อหุ้นก็หักหนี้ หนี้ก็หมดไป ฐานะบริษัทก็มีทุนสูงขึ้น ก็ดำเนินกิจการต่อไปได้
บริษัทก็ปลดหนี้ได้ แต่ก็ขายหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็มีเงินมาดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ
ทางสรรพากรมาตรวจ เขาจะงงมาก บริษัทที่ทำการขาดทุนตลอดกาล แต่ฐานะบริษัท
กลับเพิ่มหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้พูดชัดๆว่า ของเรานี่บุญนิยมนะ
ที่ขายต่ำกว่าทุนได้ ก็คือ ส่วนที่เสียสละให้กับประชาชน ส่วนที่เสียสละนั้นก็คือ เงินเดือนส่วนของคนทำงาน ในบริษัทนั้นแหละ ที่สละเข้ากองกลาง
สาธารณโภคีไง โดยเราพยายามจะให้ประชาชนได้ประโยชน์ ทั้งราคาถูก และคุณภาพดีด้วย
เรื่องบัญชี เราไม่ต้องทำบัญชีซับซ้อนอย่างเขา หรือหลีกเลี่ยงอย่างที่เขาทำกัน
เราทำบัญชีตรงๆเลย รับจ่ายอย่างไร พนักงานเซ็นรับบัญชีเงินเดือนตามระบบ
แต่เสียสละเข้ากองกลาง เป็นส่วนของสาธารณโภคี หรือที่จริงก็คือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
นี่เป็นเรื่องจริงเลย ที่บริษัทขาดทุน แต่ก็อยู่ได้ ดีไม่ดีก็ต้องมาคิดว่า
ปีนี้ขาดทุนน้อยไป ปีหน้าต้องขาดทุนมากกว่านี้ บริษัทมีการขาดทุนได้ยิ่งๆขึ้น
แต่ฐานะบริษัท ยิ่งแข็งแรงมั่นคงยิ่งขึ้น คือความเจริญของธุรกิจ พาณิชย์บุญนิยม นี่ก็เป็นนวัตกรรม ทางพาณิชย์บุญนิยมแบบใหม่ ยังไม่เคยมีในโลก"
ต่อมาฝ่ายตรวจสอบสินค้าผักพืชผลไม้ รายงานผลการไปตรวจดู
ยังแหล่งผลิตแห่งหนึ่ง ที่ส่งมาให้ ศาลามังสวิรัติ
๑ และบจ.ขอบคุณ ขายนั้น ยังมีการใช้ปุ๋ยเม็ดและปุ๋ยน้ำ ซึ่งทั้งคุณธาตุบุญ
(ไพรัช) และพล.ต.จำลอง ยืนยันว่า นั่นคือสารเคมี ที่ผสมปนเข้ามาในรูปของปุ๋ยชีวภาพ
พล.ต.จำลอง แสดงความเห็นว่า การทำกสิกรรมไร้สารพิษ จริงๆ นั้นยากมาก
1.ผู้ทำต้องมีศีล
2.ต้องมีการตรวจสอบ แม้การตรวจสอบทางกายภาพของผัก
ไม่สามารถพบได้ แต่มันก็สามารถดูดซึมเข้าไปในผักได้ ซึ่งโครงการต่างๆ
ของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เท่าที่ได้ไปดูมา ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีปลอมปน
คนโดยทั่วไป เขาจะใช้คำว่า ไร้สารพิษ
หรือ ปลอดสารพิษ อย่างไร ไม่มีใครไปตรวจสอบ
และไม่ผิดกฎหมาย แต่ของชาวอโศก ควรให้คำจำกัดความที่แน่นอนว่า ปลอดสารพิษ
คือ ใช้สารเคมีบ้าง แล้วเก็บตามเวลาที่กำหนด ส่วนไร้สารพิษนั้น คือไม่มีสารเคมีใดๆเลย
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงบริษัทพลังบุญ
เรื่องที่กรมสรรพากร ขอดูงบการเงิน แล้วสรุปว่า พลังบุญ มีบัญชีค่าเบี้ยประชุมกรรมการ
จ่ายมากเกินไป ผิดตามกฎหมายสรรพากร ตามมาตรา ๖๕ ทวิ สรรพากร ปรับให้เสียภาษีเพิ่มอีก
๓๐,๐๐๐ บาท และเสียค่าเบี้ยปรับเงินเพิ่มอีก ประมาณ ๕,๐๐๐ บาท ทั้งๆที่เราทำบัญชี
ตรงตามความเป็นจริง และทำกิจการ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ให้ได้มากที่สุด
โดยกรรมการและพนักงาน สละเงินเดือนเข้ากองกลาง โดยเฉพาะกรรมการทุกคน
เสียสละเบี้ยประชุมทั้งหมด เข้ากองกลาง เพื่อเป็นทุนใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น
อีกทั้งเป็นสวัสดิการของพนักงาน และสละคืนกลับไปลดต้นทุน ลดราคาขายให้กับลูกค้าแท้ๆ กรรมการทั้งหลาย ไม่เคยเอาเบี้ยประชุม ไปเป็นรายได้ส่วนตัว สักบาทเดียวเลยสักคน แต่ก็ทำให้บริษัทถูกปรับ เมื่อไหร่จะเข้าใจ "ระบบบุญนิยม"
กันได้สักทีหนอ!
พ่อท่านแสดงความเห็น ในปัญหานี้ว่า
ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ขยายความ กับประชาชนว่า ระบบบุญนิยมนี้
ทำประโยชน์ เสียสละกับประชาชนอย่างไร เรื่องเสียค่าปรับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพียงแต่มันทำให้ดูเป็นว่า เราไม่สุจริต เสียความซื่อสัตย์ของเราหมดเลย
ถ้าเขาเข้าใจว่า เราผิดกฎหมาย เขาเอาอะไรมากำหนดเป็นมาตรฐานว่า ค่าใช้จ่ายเบี้ยประชุมกรรมการ อย่างนี้คือมากเกินไป สวัสดิการอย่างนี้ คือมากเกินไป ฟังดูแล้ว
เรายังมีความไม่สมบูรณ์ของระบบอยู่ ทำให้ทางทุนนิยม หรือทางรัฐบาล เล่นงานเราอยู่บ้าง"
สุดท้ายปิดประชุม จากบางส่วนที่พ่อท่านให้โอวาท
"...เรื่องกับสรรพากรนี่ ก็เป็นประเด็นที่เราจะต้อง พยายามหยิบขึ้นมา
ผู้รู้ทั้งหลายจะรับรู้ วิจัยกันต่อไป ไม่ใช่ว่า เราต้องการจะเอาเรื่องเอาราวอะไร
แต่เราจะต้องเปิดเผยสิ่งนี้ ขึ้นไปแก่โลก ว่าคนอย่างนี้มีอยู่ในโลก
เขาไม่เชื่อหรอกว่า คนจะมาเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ทำงานเพื่อให้แก่คนอื่น
แต่ทุกวันนี้เขายอมจำนน เพราะพวกเราทำมาหลายสิบปี ไม่เห็นมีอะไรหลอก
อาจจะมีผู้มองว่า พวกเราทำหน้าฉากดี แต่เขาไม่เชื่อว่า ลึกๆเบื้องหลัง
จะมีอะไรซับซ้อน มีอะไรที่จะหลอกเอาไปได้ มากกว่าเก่า นี่คือเหลี่ยมคูของโลก
แต่เราเสียสละจริงๆ เราไม่ได้ไปมากกว่าเก่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะมาอยู่ในแนวเดียวกันหมดเลย
พิสูจน์ได้ ถ้าเรื่องนี้ไม่ปรากฏขึ้นในโลก มันแก้ปัญหาสังคมทั้งหมดไม่ได้หรอก อเมริกา ญี่ปุ่น ที่เข้ามากอบโกย เพราะว่าในประเทศเองไม่พอ
เท่าไหร่ก็ไม่พอ ด้วยจิตวิญญาณขี้โลภ
หนึ่ง ไม่พอกินพอใช้จริงๆ
สอง แม้พอกินพอใช้ แต่ไม่พอในความโลภ
เท่าไหร่ก็เอาอีกๆ มันถึงรุกรานคนอื่นนอกประเทศ รุกรานไปทั่วโลก ลักษณะเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี่ จะรุกรานเป็นปากกรวยกว้าง อย่างนี้ไปตลอดกาลนาน จิตใจของคนพวกนี้
ไม่รู้จักมักน้อย ชัดๆก็คือ ไม่ยอมจน ไม่กล้าจน ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักจบ
ไม่รู้จักเสียสละ เพราะเขาไม่ได้ลดการกินการใช้ ไม่ได้ลดการเสพโลกียสุขต่างๆ
กิเลสเขาไม่ได้ถูกละล้างถูกตัวมัน เขาจึงช่วยเหลือคนอื่นไม่บริสุทธิ์
ไม่จริงใจ เพราะฉะนั้น เราต้องเอาสัจจะอันนี้ เข้ามาสร้างให้แก่มนุษย์ปรากฏ
อาตมาไม่ได้ทำคนเดียว พวกคุณพิสูจน์ ยืนยัน แข็งแรงขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะมีเด็กๆ
อนุชนรุ่นหลัง เข้ามาอีกมากๆๆ ก็จะต้องสืบสาวสร้างสรรพวกนี้ขึ้นไป
ให้ปริมาณมากขึ้น แม้ยากสุดยากก็ต้องทำ อาตมาว่า เป็นหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ทุกคน
ใครไม่รู้หน้าที่อันนี้ คือคนที่ยังโง่ คนที่ยังเยาว์ ยังพาล พาลแปลว่า
เยาว์ น้อย อ่อน ฉะนั้น ต่อให้จบดอกเตอร์ ๕ ใบ ถ้าไม่เข้าใจสัจจธรรมอันนี้
ก็ยังถือว่าเด็ก ถือว่าอ่อน ว่าเยาว์ หรือพาละ อยู่ทั้งนั้น
ขอขอบคุณทุกคน ที่ได้มาทำสิ่งจริงนี้
ขอให้ดีขึ้นยิ่งกว่านี้ เราก็คงจะช่วยมวลมนุษยชาติได้ดีกว่านี้ ชาวอโศกตอนนี้
ยังไม่แข็งแรงเหมือนต้นยางสูงใหญ่ ยังเป็นเพียงแค่ ต้นผักชีอยู่
จริยศาสตร์การดนตรี
ดนตรี... เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน
ดนตรี ก็เป็นอีกสื่อหนึ่ง ที่พ่อท่านใช้ในการเผยแพร่ธรรมะ
พัฒนาจิตวิญญาณมนุษย์ ด้วย "ดนตรี" ก็มีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของมนุษย์อยู่ไม่น้อย
ขณะที่ "ดนตรี" ในทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะมอมเมาไร้สาระ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า
ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม พ่อท่านก็พยายามสร้างดนตรี ให้เกิดศิลปะ ที่เป็นมงคลจริงๆ
มิใช่อนาจาร อย่างที่ทำกันดาษดื่น ด้วยพ่อท่านเห็นว่า ในโลกนี้ ยังไม่มีผู้ใดที่ทำดนตรี ถึงระดับโลกุตระเลย เป็นโลกีย์เสียมาก อย่างเก่งก็แค่ระดับกัลยาณชน
พ่อท่านจึงส่งเสริม และพยายามทำดนตรี ในแนวโลกุตระ
เพื่อเป็นแบบอย่าง ให้มนุษย์ได้ศึกษาเรียนรู้ ด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
เราหลีกหนีไปจากการรับรู้ รับฟังดนตรีไปไม่ได้ เมื่อหลีกหนีไม่ได้
ก็ควรจะมีภูมิคุ้มกัน มีภูมิปัญญา และใช้ดนตรีให้เป็นประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น
อ.เตือนใจ ศรีมารุต
ได้มาสนทนาสัมภาษณ์พ่อท่าน เกี่ยวกับจริยศาสตร์การดนตรี
เพื่อนำไปตัดต่อ ร่วมรายการ "มาร่วมกันเลี้ยงลูกด้วยเสียงเพลง อย่างถูกวิธี" ที่อาคารมูลนิธิ พลตรีจำลอง ๘
ก.ค.๒๕๔๔ จากบทสนทนาบางส่วน ที่น่าเรียนรู้ดังนี้
อ.เตือนใจ :
การงดฟังดนตรีหรือเพลงในวันพระ พระคุณท่าน จะเห็นสมควรหรือไม่เจ้าคะ
พ่อท่าน
: การงดเว้นในสิ่งที่ควรงดเว้นบ้าง หรือควรงดเว้นให้ขาดเลยนี่ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนต้องทำ
ไม่ฟังเพลง ไม่ฟังดนตรีในวันพระ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการฝึกจิตใจ
ฝึกความอดทน ฝึกการระงับ จิตเราจะฝึกหัดหยุดระงับ โดยไม่มีอาการดิ้นรน
ไม่มีอาการโหยหา ไม่มีการอาลัยอาวรณ์ก็ได้ เราก็จะเรียนรู้จิตของเรา
จนรู้วิธีว่า จะสามารถทำอย่างไร ในการกดข่ม เรียกว่าสมถะวิธี ในการใช้ความรู้
เรียกว่าวิปัสสนาวิธี เป็นความรู้เป็นเหตุผล เป็นหลักฐานความจริง
เป็นหลักปรัชญา หรือว่า แม้ที่สุด เป็นตัวอย่าง ของผู้ที่เคยทำมาได้แล้ว
ดีแล้ว เราก็เอามาเป็นตัวอ้างอิง หรือเป็นตัวที่จะทำให้ความเห็น ความรู้ของเรา
จำนนต่อความจริง แล้วก็ยอมแพ้ กิเลสยอมแพ้ กิเลสลด และดับ ตามความเป็นจริงด้วยเชิงปัญญา
สำหรับผู้ที่ฝึกแล้ว
ด้วยวิธีของพุทธศาสน์ ละเว้นจนกิเลสหมด ปัญญาเรียนรู้รับรู้ได้ จิตสามารถที่ระงับได้อย่างเด็ดขาด เป็นอำนาจของเจโต หรืออำนาจของจิตเอง เรียกว่า เจโตวิมุติ
ปัญญาก็เห็นแจ้งรู้จริง เข้าใจความจริงอย่างทะลุปรุโปร่งเลย เข้าใจความจริงอย่างสมบูรณ์ เป็นปัญญาวิมุติ ผู้ที่สามารถวิมุติ หรือหลุดพ้นได้อย่างชนิด
absolute สุดยอด บรรลุได้อย่างสมบูรณ์ เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ วิมุติได้ทั้ง
๒ ส่วน ทั้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอย่างนี้ ผู้นี้จะสามารถสลัดคืน
หรือสามารถจะไปเกี่ยวข้องกับดนตรีการ ได้โดยปัญญา โดยที่ท่านจะไม่มีกิเลส
ไม่มีจิตไปติดไปยึด ไปโหยหาอาวรณ์ หรือว่าไปเสพติดอะไรอีกเลย ลักษณะพวกนี้
เราเรียก ปฏินิสสัคคะ คือ สัจจะย้อนสภาพ คือมันเป็นความจริง
ที่บรรลุแล้ว ทำได้แล้ว แต่กลับคืนไปคลุกคลีเกี่ยวข้องอีกทีหนึ่ง
โดยไม่มีกิเลสไปเกี่ยวข้อง แล้วก็ใช้ดนตรี หรือใช้เพลงการนั้นกับมนุษยชาติ อย่างรู้จักค่า รู้จักฐานะ รู้จักประโยชน์ ที่จะใช้อย่างมีคุณค่าได้
อ.เตือนใจ
:เรื่องของดนตรีกับสติ ช่วยการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน ได้อย่างไรเจ้าคะ
พ่อท่าน:
สติหมายความว่า ความระลึกรู้ รู้ว่าขณะนี้ เรากำลังทำอะไร กายกรรมของเราเป็นอย่างไร
วจีกรรมกำลังพูดอย่างไร รู้ภาษา รู้คำพูด รู้ความหมาย ท่าทางลีลารุนแรงไปมั้ย
น่าอาย น่าเกลียด น่าชังมั้ย หรือว่าเหมาะควรแล้ว ทำยังไงจึงจะดูดีเหมาะสม เป็นประโยชน์คุณค่า ซึ่งมาจากจิตเป็นตัวสั่ง เราก็จะต้องมีสติ
รู้ตัวทั่วพร้อม รู้องค์ประกอบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฟัง หรือผู้แสดงเอง
ผู้แต่งก็จะต้องรู้ว่า คนระดับเด็กๆ แกจะมีภูมิธรรม มีวุฒิภาวะขนาดไหน
ฉะนั้น การฟังเพลง การแสดงออก ซึ่งเพลงการอะไรก็ดี ควรมีสติรู้รอบ
แล้วสื่อต่อกัน ทั้งผู้รับ ผู้ให้ ผู้แสดง ก็จะเป็นประโยชน์
นอกจากนี้ พ่อท่านยังกล่าวถึงเพลง ๕
ระดับ ที่เคยกล่าวในหลายที่หลายแห่งแล้ว ในที่นี้ขอข้ามในรายละเอียด
ผู้สนใจศึกษา สามารถค้นคว้าได้จากเอกสาร หรือเท็ปเผยแพร่ของชาวอโศก
ที่พ่อท่านอธิบายไว้ ในหลายๆแห่ง ในที่นี้ขอถ่ายทอดเพียงหัวข้อ โดยสรุป
๑.สื่อกามรุนแรง โทสะรุนแรง หยาบคาย
ลามกอนาจาร มอมเมา ขายใต้ดินกันเป็นส่วนมาก อย่างนี้ไม่ใช่ศิลปะ
๒.สื่อกามคุณ ๕ จัดจ้าน แต่มีเชิงฉลาด
ดูไม่รู้ว่าไม่หยาบร้าย เพราะไม่เข้าในกามคุณ ๕ ที่ปรุงรูป, เสียง,
กลิ่น, รส, สัมผัส กันจัดจ้าน ทำให้กิเลสหนาขึ้นๆ ซับซ้อนยิ่งๆขึ้น
ทำออกมาขายกัน เป็นจำนวนล้านๆ คนชอบคนติด เพราะย้อมมอมเมากิเลส ยังเป็นอนาจารอยู่
แต่เขาหลงว่าเป็นศิลปะ มอมเมาลักษณะกาม เป็นไปในทางเสริมกิเลส
๓.สื่อให้เกิดรักธรรมชาติ รู้จักคุณค่าของชีวิต
รู้จักบุญบาป ความดีงาม เข้าข่ายศิลปะ เริ่มนับว่าเป็นศิลปะ แต่ยังไม่ใช่ศิลปะที่ลึกซึ้งอะไร
๔.สื่อมีเนื้อหามีลีลาอารมณ์ กล่อมจิตวิญญาณให้เกิดคุณค่า
มีเรื่องของคุณธรรม ความสงบของจิต มีอำนาจทำให้คนเลิกชั่ว เลิกบาป
บำเพ็ญบุญ ในวงการศาสนา ก็ใช้เพลงลักษณะนี้ เป็นศิลปะ ในขั้นที่พัฒนาการมนุษยชาติ ขั้นมีธรรมะ ปรับจิตวิญญาณให้เจริญได้ลึกซึ้ง
๕.สื่อทำให้คนสามารถรู้จัก กิเลสตัณหาอุปาทาน
เรียกว่าเพลงระดับโลกุตระ ซึ่งในระดับ ๑.๒ นั้น จัดเป็นเพลงระดับโลกีย์
ส่วนระดับ ๓.๔ นั้น จัดเป็นเพลงระดับกัลยาณชน แต่ก็ยังเป็นโลกีย์ ที่สูงขึ้นตามระดับ
ระดับ ๕ เท่านั้น ที่เป็นขั้นอาริยชนขั้นโลกุตระ
การสร้างพระพุทธรูป...เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน
นวัตกรรมพระพุทธรูปของชาวอโศก
จากที่พ่อท่านคิดจะสร้างพระพุทธรูป ให้ผสมกลมกลืนกับการสร้างน้ำตก
ที่ราชธานีอโศก ทำให้มีผู้มองหาช่างฝีมือ ที่จะมาแกะสลักพระพุทธรูปหินทรายนี้
๒ ก.ค.๒๕๔๔ คุณผ่านฟ้า นิมนต์พ่อท่าน เดินทางไปที่
อ.อ่างศิลา ชลบุรี เพื่อดูผลงาน การแกะสลักพระพุทธรูป และรูปเจ้าแม่กวนอิม
พ่อท่านพอใจฝีมือของช่าง ที่เห็นตรงหน้า เมื่อคำนวณราคา เทียบเคียงกับรูปเจ้าแม่กวนอิม ที่สูงประมาณ ๕ เมตร ราคา ๑๐ ล้านบาท พระพุทธรูปสูง
๑๐ เมตร ก็น่าจะประมาณ ๒๐ ล้านบาท หลายคนรู้สึกเสียดาย คิดไม่ถึงว่า
อโศกจะลงทุนสร้างพระพุทธรูป ด้วยราคาที่มากขนาดนี้ ขณะที่พ่อท่าน มีท่าทีจะทุ่มเททำอย่างจริงจัง มองในมุมของศิลปิน ที่รู้สมมุติราคาของงานศิลปะ พ่อท่านเห็นว่า
คุ้มกับฝีมือช่างขนาดนี้ ซึ่งจะต้องใช้เวลาประมาณ ๕ ปี เพียงแต่รู้สึกหนักใจว่า
จะหาเงิน ๒๐ ล้านบาท มาได้อย่างไร เพราะพวกเราจน ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
และโดยระบบวิธีอย่างบุญนิยม จะทำอะไร ก็ไม่ได้ทำอย่างเอาเปรียบ กอบโกยสะสม
ทำมากได้น้อย ทั้งไม่เรี่ยไร โฆษณาดาษดื่น อย่างที่เขาทำกัน เมื่อจะทำอะไรๆ
ก็จะได้จากคนในๆ ที่บริจาคให้
๑๐ ก.ค.๒๕๔๔ ที่ราชธานีอโศก ขณะนั่งรถกลับจากบิณฑบาตในเมือง
มีการพูดถึง สมณะจากศาลีอโศกรูปหนึ่ง ที่โทรศัพท์มาทักท้วง ไม่เห็นด้วย
กับการสร้างพระพุทธรูป ๒๐ ล้านบาท ว่าน่าจะหาเงิน เอาไปใช้หนี้ค่าที่ดินจะดีกว่า
อีกทั้งยกอ้างคำกล่าวของ พ.ต.หญิง ศิริลักษณ์ ศรีเมือง ที่พูดไว้ในสไลด์
"ขบถรัก" ว่า พระพุทธรูปยิ่งโต ศาสนายิ่งเสื่อม และ การสร้างพระพุทธรูป
ให้ผสมกลมกลืนกับการสร้างน้ำตกนั้น จะไม่เหมาะด้วย จะมีผู้หญิงมาเล่นน้ำ
พ่อท่านรับฟังคำบอกเล่า แล้วกล่าวสั้นๆ
"น่าเห็นใจท่านที่ยึด ยังไม่เข้าใจสภาพปฏินิสสัคคะ สภาพสลัดคืน ย้อนทวน
หมุนรอบเชิงซ้อนอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องสัจจะย้อนสภาพ ก็เป็นเรื่องยากอยู่
ที่จะเข้าใจ แล้วค่อยๆอธิบาย ทำความเข้าใจกันต่อไป..."
ต่อมามีสมณะจากศีรษะอโศกรูปหนึ่ง กล่าวเปิดใจกับพ่อท่านว่า
"ผมยังวางใจไม่ได้ ที่พ่อท่านจะสร้างพระพุทธรูป ผมยังไม่เห็นประโยชน์"
พ่อท่าน "คุณยังไม่เข้าใจ ผมไม่ได้ทำงานเพื่อตัวผม
ผมทำเพื่อคนยุคนี้ และคนในยุคต่อๆไปด้วย
พระพุทธรูปที่เราจะสร้าง ไม่เหมือนกับที่เขาสร้าง
เช่นเดียวกับที่เราใช้โทรทัศน์ เราใช้ไม่เหมือนกับที่เขาใช้
ทุกวันนี้พวกเรากราบพระพุทธรูป อย่างมีความเข้าใจ
อย่างเคารพนับถือบูชาจริงๆ ไม่ได้กราบอย่างหลงเหนียว หลงขลัง เป็นไสยศาสตร์
หรือกราบกราน อ้อนวอน ร้องขออะไรๆ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างเทวนิยมก็ไม่ใช่
ผมเชื่อว่า ถ้าจะมีพระพุทธรูป พวกเราก็ไม่ได้เสื่อมไปจาก ความเข้าใจที่ดีอยู่แล้ว
ไปเป็นไสยศาสตร์ หรือเทวนิยมแต่อย่างใด
ทั้งพระพุทธรูป ก็ไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทยแน่ๆ
เมื่อไม่หมด เราก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ทำให้มันมีฤทธิ์ ทำอย่างที่ดึงดูดเขามาได้ แทนที่จะไปกราบพระพุทธรูปในที่อื่นๆ ด้วยความเข้าใจผิดๆ
อย่างนั้น เราก็ชี้ชวนให้เขาเข้ามาหาเรา เข้ามาเรียนรู้ การเคารพพระพุทธรูปอย่าง
"สัมมา" ช่วยคนเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือ ต้องเหมาะสม ทั้งเราทั้งเขา ทั้งกาละ
ทั้งการประมาณอื่นๆ ตามสัปปุริสธรรม ๗
หลายๆอย่าง ที่ผมทำผ่านๆมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโทรทัศน์
เพลง... ชุมชน... โรงเรียน... การเมือง... การค้าขาย หลายคนไม่เข้าใจก็ต้าน
พอผ่านวัน ผ่านคืน ผ่านเดือน ผ่านปีมาได้ มันก็จะเกิดปัจเจกสัจจบรรเทา
ไปเรื่อยๆ สายเจโตจะเข้าใจช้า เข้าใจได้ยากหน่อย
ผมจะถาม ๒ ประเด็น หนึ่ง.
พระพุทธรูปจะหมดไปจากประเทศไทยไหม สอง.
ถ้าผมไม่สร้างพระพุทธรูป ในช่วงที่ผมยังมีชีวิตอยู่แล้ว พวกเราใครคิดจะสร้าง
พระพุทธรูปบ้าง ก็ไม่มีใครคิด ใครกล้าทำ ใช่ไหม ก็ขนาดผมอยู่ ผมจะทำน่ะนะ
ก็ยังมีคนไม่เข้าใจ ต้านว่าขนาดนี้เลย ประสาอะไรกับพวกคุณเอง ที่ยังไม่ได้ศรัทธากันและกันมากพอ ที่ผมจะสร้าง ก็เพื่อเสริมศรัทธา ในส่วนที่พวกเราขาดพร่อง พวกเราเฟ้อ
ในปัญญากันมากแล้วจริงๆ ยุคแรก ผมตีพวกศรัทธาทิ้งเลย เพราะศรัทธากันงมงายมาก
มันเลอะแล้ว ผมเน้นสัมมาทิฏฐิก่อน เน้นปัญญาก่อน พอถึงยุคนี้ พวกเราศรัทธาน้อย
ทำให้ดูฟุ้งซ่านไม่สงบ ค่อนจะปัญญาเฟ้อแล้ว จึงต้องหันมาเน้นศรัทธาอีก
ผมพยายามจะเสริม ทำเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อดึงพวกเรา
ให้มาทางศรัทธามากขึ้น แต่พวกเราก็ไม่ค่อยจะนิยมกันเท่าไหร่ คนไทยเรา
นิยมศรัทธาพระพุทธรูปมากกว่า เมื่อมีเหตุปัจจัย ถึงคราวถึงวาระ ที่จะสร้างน้ำตก
พอดีได้เห็นภาพ จินตนาการ พระพุทธรูปน้ำตกเข้า ก็รู้สึกว่าดี ได้ทั้งความศรัทธา
และศิลปะที่งดงาม หากสร้างพระพุทธรูปน้ำตก เสร็จแล้ว พวกศรัทธาก็จะเข้ามามากขึ้น
ซึ่งจะเกิดพลังรวม จูงดึงพวกเรา ให้มีศรัทธาที่มากขึ้นด้วย
สมณะรูปนั้น ยังคงหวั่นวิตก "จะเป็นไปได้ไหมครับ
ที่บทบาทของธรรมวินัย จะด้อยกว่าพระพุทธรูป"
พ่อท่าน ไม่ด้อยหรอก ไม่ใช่ธรรมวินัยจะลดลง
แต่มันจะช่วยเสริมธรรมวินัยให้มากขึ้น พระพุทธเจ้า ไม่ได้บัญญัติ ห้ามมีพระพุทธรูป
หรือ ห้ามมีวัตถุรูปเคารพ เหมือนอย่างศาสนาอิสลาม ที่พระนาบี โมฮัมหมัด
บัญญัติห้ามเอาไว้
๑๗ ก.ค.๒๕๔๔ ที่วัดเทพศิริรินทร์ ช่วงระหว่างรอเวลา ร่วมงานสวดศพ
ของญาติธรรม มีพวกเราตั้งประเด็น ถามพ่อท่านว่า ยุคแรกที่พ่อท่านเน้นปัญญา สร้างสัมมาทิฏฐิ และตีศรัทธาที่โต่งๆ ทำให้ศรัทธาจริตหลายคน
อยู่ไม่ได้ ต้องออกไป มาถึงยุคนี้ พ่อท่านจะกลับมาเน้นสร้างศรัทธา อาจจะมีผู้หลงปัญญา ไม่เข้าใจ หลุดออกไปได้ พ่อท่านรู้สึกอย่างไร กับคนที่ต้องออกไป
พ่อท่าน "ก็รู้สึกเห็นใจที่เขาต้องออกไป
จะว่าเสียดายก็เสียดาย ถ้าเขาอยู่ ก็จะได้ช่วยงาน และพัฒนาตนเองต่อไปได้
อาตมาได้แต่คิดว่า เราไม่เก่งพอ ที่จะทำให้คนเหล่านั้น ไม่ออกไป"
ศาสนา...เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน
มีทุนทางสังคม... สร้างชุมชนเข้มแข็ง
๑๐ ก.ค.๒๕๔๔ ที่ราชธานีอโศก น.พ.สมนึก
ศิริพานทอง ได้มาสนทนากับพ่อท่าน ด้วยทราบว่า ทางเราสนใจที่จะสร้าง
"ศูนย์วิจัยสร้างเสริมสุขภาพวิถีไทย"
ซึ่งจะมีการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม ไม่ว่าจะเป็นกดจุด นวด แพทย์แผนไทย
ฝังเข็ม ไคโรแพ็คติก ชีวจิต แม็คโครไบโอติก หรือแผนปัจจุบัน นำส่วนดีที่เหมาะสม
กับแต่ละคน มาใช้ประกอบกัน หมอสมนึก เห็นดีด้วยว่า น่าจะเป็นเช่นนี้
ที่ผ่านมาเคยเห็นแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ข่มว่ารังเกียจกัน เมื่อมีความเชื่อที่แตกต่างไปจากตน
(อ่านต่อหน้าถัดไป)