หน้าแรก>สารอโศก

(ต่อจากหน้า ๑)

ขาซ้ายยังร้อน - กดนวดแผนไทย อบสมุนไพร
ทดลองศาสตร์หมอจีน - ปฏิเสธปัญจศาสตร์

๕ มี.ค.๔๕ ที่สันติอโศก คุณแก่นฟ้า โทร.มาแจ้งว่า พระสมณลักขโณ จะพาหมอจีนจากไต้หวัน มาตรวจรักษา พ่อท่าน ในช่วง ๑๑-๑๓ มี.ค.นี้ พ่อท่านจะเห็นเป็นอย่างไร พ่อท่าน ไม่ขัดข้อง ข้าพเจ้าทักว่า ถ้าทาง "ปัญจศาสตร์" รู้เข้า เดี๋ยวจะมาโทษอีก ว่าหมอจีนไต้หวันทำให้ผิดระบบ "ปัญจศาสตร์" หรือเปล่า อย่างคราวที่แล้ว พ่อท่านมีอาการไอ

หลังจากอบสมุนไพรแล้ว ทำให้อาการไอน้อยลง แต่ทางคุณสายัณห์ กลับไปโทษว่า เหตุที่พ่อท่านไอ เพราะไปอบ สมุนไพร ทำให้ปอด มีความชื้น จึงไอ "เขาก็พูดไปเรื่อย หาเรื่องโทษคนอื่น" พ่อท่านกล่าว ท่าทีเหมือนไม่ผูกใจ เชื่อคุณสายัณห์เท่าไหร่นัก ก่อนหน้านี้ พ่อท่าน ยังมีท่าทีเป็นกลางๆ ไม่ถึงกับเชื่อทีเดียว และไม่ถึงกับไม่เชื่อเลย อาจเป็นไปได้ว่า
หนึ่ง
อาการขาซ้ายที่ร้อน เมื่อนั่งทำงานนานๆ ตั้งแต่รักษากับคุณสายัณห์ จนมาถึงวันนี้ ๕ เดือนแล้ว ก็ยังคง มีอาการร้อนๆอยู่
สอง
และที่ว่า อาการไอจะหายไป ก็กลับเป็นขึ้นมา
สาม
ส่วนตาข้างขวา ก็ยังคงมีจุดมืดดำ ตรงกลางอยู่ ยังไม่ประสบผล ดังที่คุณสายัณห์ ยืนยัน รับประกันไว้ อาการทั้ง ๓ ส่วนที่ยังไม่ประสบผลนี้ ทำให้ ความน่าเชื่อถือ "ปัญจศาสตร์" ลดลง เป็นผลให้พ่อท่าน รับทดลองการรักษ าทางเลือกอื่นๆด้วย ทั้งกดจุดใต้ฝ่าเท้า กดนวดแผนไทย รวมถึงหมอจีน จากไต้หวัน ที่พ่อท่าน ตอบรับในวันนี้

๑๒ มี.ค. ๔๕ ที่ปฐมอโศก เช้านี้คุณน้อมบูชา คุรุของนิสิต ม.วช.สาขาพลาภิบาล ได้มานิมนต์พ่อท่าน ไปตรวจรักษา กับหมอจีนจากไต้หวัน ที่บ้านพักนา ๙ ไร่ โดยมีนิสิต พลาภิบาลบางส่วน คอยสังเกตการณ์ ศึกษาเรียนรู้ไปด้วย พระสมณลักขโณ ช่วยเป็นล่าม

เท่าที่ดูตามภูมิของข้าพเจ้า เป็นการผสมผสาน ของการแพทย์จีนบางส่วน กับการจัดกระดูก (Chiropractic ไคโรแพรคติก) เริ่มจากให้พ่อท่าน นอนหงาย แล้วตรวจดู ขาซ้ายขวา ยาว ไม่เท่ากัน ของพ่อท่าน ขาขวา ยาวกว่าขาซ้าย แล้วก็จับๆกดๆ ตรวจดูสภาพ โครงสร้างของกระดูก แล้วจัดด้วยการกด-บิด-ดัด

หมอจีนชมว่า โครงกระดูกของพ่อท่าน ดีมาก สุขภาพ พ่อท่านดี ม้ามตับไม่มีปัญหา

การรักษานอกจาก การจัดกระดูกแล้ว ก็มีการนำเอาเลือดเสีย ที่คั่งค้าง ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายออก ด้วยเชื่อว่า เลือดคั่งเสียเหล่านี้ ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี อันเป็นเหตุ สำคัญ ทำให้ร่างกายส่วนอื่นๆ พิการ เกิดเจ็บเกิดโรคขึ้นมา การนำเลือดคั่งเสียออก เริ่มจากใช้เข็มที่ ประยุกต์ใหม่ มาในรูปร่าง คล้ายปากกา ชนิดกดหัว โดยกำด้ามปากกาเข็ม ไว้ในมือ แล้วทุบ พร้อมการ กดเข็ม ลงบนบริเวณที่ตรวจ พบว่า มีการคั่งของเลือด ซึ่งผู้ป่วย จะไม่รู้สึกว่าเจ็บ เหมือนการนำเข็มทั้งแท่ง กดแทงที่เนื้อ เพราะกำมือที่ทุบ ลงบนเนื้อนั้น มีบริเวณกว้าง ทำให้ความรู้สึก กระจายตัว ไปตามขนาด กำมือที่ทุบ การทุบก็ลง น้ำหนักมือ พอดีๆ ไม่เบา หรือแรงจนเกินไป เสร็จจากการแทงเข็ม (เพื่อเปิดทาง ให้เลือดคั่ง ไหลออกได้) ขั้นต่อมา ก็ใช้ถ้วยพลาสติกใส รูปร่างคล้ายกระดิ่งคว่ำ มีขนาดใหญ่-เล็ก ตามความต้องการ ของหมอ ที่จะใช้ ครอบกด ตรงบริเวณที่เข็มแทงนั้น แล้วใช้กระบอก สูบอากาศ ออกจากถ้วยพลาสติก เลือดที่คั่งเสีย ก็จะไหลซึมออกมา ตามรูเข็มที่แทง ตรงส่วนไหน ที่มีการคั่ง ของเลือดมาก ก็จะออกมามาก และ เป็นสีดำ คล้ำๆ ไม่แดงสดบางราย กรณีของพ่อท่านนั้น ไม่มีเลือด ดำคล้ำเลย จุดที่เอาเลือดคั่งเสียออก ก็มีบริเวณ ต้นคอ ไปหาไหล่ทั้งสอง และแนวกระดูกสันหลัง บริเวณต่ำ จากสะบักแขนลงมา และบริเวณส่วนบน ของบั้นท้าย

ขั้นต่อมา หลังจากเอาเลือดคั่งเสียออกแล้ว ก็เป็นการจัดกระดูก ตั้งแต่คอ จับบิดดัดซ้าย-ขวา แล้วจับขา ชันเข่าขึ้นมา บิดดัดกับตัว ซ้าย-ขวา และกดขาพับด้วย เสร็จจากการจัดกระดูกแล้ว หมอจีน ชี้ให้ดูปลายเท้า ซ้าย-ขวาเท่ากันแล้ว

หมอจีนบอกว่า การที่พ่อท่าน มีอาการคันคอ และไอนั้น เนื่องมาจาก กระดูกโครงสร้าง ไม่สมดุล ไม่ใช่ มาจากที่คอ สมองด้านซ้าย ของพ่อท่านไม่ค่อยดี แต่ไม่ได้บอกต่อไปว่า ไม่ดีแล้ว มันทำให้เกิดผล อย่างไร เรื่องตาของพ่อท่านนั้น หมอจีนแนะนำว่า เวลาพ่อท่านออกกำลังกาย ควรหลับตาให้มาก จะได้ไม่ไป เพิ่มแรงดันตา เกี่ยวกับเรื่องน้ำดื่ม ไม่ควรกำหนดเป็นหลักว่า ดื่มน้ำวันละ ๘ แก้วเป็นอย่างต่ำ หิวเมื่อไหร่ ค่อยดื่ม "คนเราไม่ควรกินอะไร ที่ดีที่สุด แต่ควรกินอะไร ที่เหมาะสมที่สุด" เป็นคำคมที่หมอจีน ฝากไว้ให้คิด

พระสมณลักขโณ ถวายอาหารเสริม ที่นำมาจากไต้หวัน ให้พ่อท่าน มีทั้งประเภทบรรจุซอง ชงละลาย กับน้ำอุ่น และบรรจุแคปซูลเป็นเม็ด หลายชนิดหลายขวด พร้อมกันนั้น ก็พูดถึงสรรพคุณว่า มีสารอาหาร หลายอย่างกว่า ๒๖ ชนิด คล้ายธัญพืช ผสมสาหร่าย และมีส่วนบำรุงแคลเซี่ยมด้วย ขายที่ไต้หวัน มีราคา ๕,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ บาท ที่เหนือกว่า นิวทรีไลท์ โปรตีน ของอเมริกา (อาหารเสริมที่ "ปัญจศาสตร์" อ้างว่า อาจารย์จาก ม.มหิดล ทำการวิจัยแล้ว เป็นอาหารเสริมที่ดีที่สุด) ก็คือมีจุลินทรีย์ และเอ็นไซม์ด้วย จุลินทรีย์ เหมือนทหารช่วยรบ? ทางไต้หวัน สามารถพัฒนา ให้จุลินทรีย์ มีความคงทน ต่อความร้อนได้สูง ไม่ตายง่ายๆ ตอนอยู่ในขวดภาชนะ เหมือนมันนอนหลับ แต่เมื่อดื่มกินเข้าไป ในร่างกายแล้ว มันจะถูกปลุก ให้มาทำงาน ภิกษุณีจากไต้หวัน ที่มาด้วย กล่าวเสริมสรรพคุณว่า สามารถใช้รักษา คนที่เป็น โรคมะเร็งขั้น ๔ มีตัวอย่างได้ผล หายมาแล้ว

๑๕ มี.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก ก่อนพ่อท่านจะจำวัด สมณะชัดแจ้ง วิจักขโณ ช่วยเอาว่าน หางจระเข้ มาประกบไว้ ที่ขาซ้าย บริเวณที่มีอาการร้อนๆ แล้วเอาผ้าพันไว้ ให้อยู่ติดที่ขา ตลอดคืน ตามที่มี ผู้หวังดี แนะนำให้ทำ ด้วยพ่อท่านมีอาการร้อนๆ ข้างในขาซ้ายมานาน ช่วงงานพุทธาฯ จนถึงวันนี้ ยังคงมี อาการร้อนๆ อยู่มาก การรักษากับหมอจีนไต้หวัน เพียงครั้งเดียว ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ยังเอามาสรุป ไม่ได้ทันทีว่า ไม่ได้ผล อีกทั้งหมอจีนไต้หวัน ก็ไม่ได้ยืนยัน รับประกันผลว่า จะหายจาก อาการร้อนๆในๆได้ ขณะที่ "ปัญจศาสตร์" กล่าวอย่างเชื่อมั่น หนักแน่นว่า หายได้แน่นอน ภายใน ๖ เดือน มาถึงวันนี้ ๕ เดือนเศษแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่า อาการร้อนๆข้างในขา จะดีขึ้นเลย ข้าพเจ้านึกถึง คำกล่าวของ คุณอภิชาติ ลิมปิชาติ ที่กระทรวงสาธารณสุข เชิญไปสอนการ กดนวดแผนไทย (สายราชสำนัก) ให้กับ นักศึกษา ที่สนใจการแพทย์แผนไทย ที่พ่อท่านก็เคยให้คุณอภิชาติ ตรวจรักษา หลายครั้ง เมื่อปีที่ผ่านมา คุณอภิชาติบอกว่า การที่พ่อท่าน ตกต้นไม้ตอนเด็กๆ แล้วทำให้ กระดูกสันหลัง เหนือก้นกบขึ้นไป กระดูกข้อ L ๔ และ L ๕ มันชิดกัน มีผลทำให้พ่อท่านจะร้อนๆบริเวณขาซ้าย เมื่อพ่อท่าน นั่งทำงานนานๆ ที่ตอนเด็กๆ และหนุ่มๆ พ่อท่านไม่มีอาการ ร้อนๆที่ขาซ้ายเลย ก็เพราะพ่อท่าน ไม่ได้นั่ง ทำงานนานๆ เหมือนกับ ที่พ่อท่าน เป็นอยู่นี้ อาการในขาร้อนๆ จะไม่มีวันหายเลย ตราบใดที่พ่อท่าน ยังต้องนั่ง ทำงานนานๆ คำกล่าวนี้ ดูจะมีความน่าเชื่อถืออยู่มาก

๑๖ มี.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก ผู้จัดทำอาหารถวายพ่อท่าน มาบอกว่า วันนี้พ่อท่านให้งด นิวทรีไลท์โปรตีน ด้วยเหตุผลว่า ไม่เห็นจะดูดซึม เอาไปใช้ได้เร็ว อย่างที่ว่าเลย อีกหลายๆ วันต่อมา พ่อท่านงดท่าบริหาร ๓ ท่าที่คุณสายัณห์ แนะนำ แล้วรู้สึกว่าอาการร้อน ที่ขาซ้ายน้อยลง

๑๗ มี.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก คุณอรุณเดช ที่อยู่เป็นคนวัดมาหลายพุทธสถาน พอจะมีความรู้ เรื่องการกดนวด แผนไทยอยู่บ้าง ช่วยมากดนวดให้พ่อท่าน ก่อนหน้านี้ มีคุณแรงผาบ้าง คุณแผ่นฟ้าบ้าง ที่เคยมากดนวดให้ พ่อท่านเปรยๆว่า ดีกันไปคนละแบบ

๑๘ มี.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก พระสมณลักขโณ พาหมอจีนไต้หวัน มาตรวจรักษาให้พ่อท่าน และ ชาวสันติอโศก หลังจากที่พาไปตรวจรักษา ทั้งที่ปฐมอโศก ศีรษะอโศก ราชธานีอโศก ฯลฯ โดยไม่คิด ค่ารักษาใดๆ ครั้งนี้หมอจีน เพิ่มการฝังเข็ม และการกดจุด ใต้ฝ่าเท้า เป็นเรื่องเสริม จากหลักๆ ที่ยังคง จัดกระดูก และเอาเลือดคั่งเสียออก ด้วยวิธีครอบถ้วยพลาสติก เช่นเดียวกับครั้งก่อน (๑๒ มี.ค.)

สิ่งที่ต่างไป จากครั้งที่แล้ว เท่าที่ข้าพเจ้าจับความ จากหมอจีนได้ ก็คือ ลำไส้ ด้านขวา ของพ่อท่าน ทำงานได้ไม่ดีนัก เพราะว่ากระดูกไปทับเส้นประสาท ที่ควบคุมลำไส้ ก็เลยเกิดแก๊ส ทำให้พ่อท่าน เป็นริดสีดวง ปัญหาต่อมา ที่หัวพ่อท่าน เวลาทำงานแล้ว จะหน่วงๆด้านขวา เป็นผลจาก แนวกระดูก ทั้งแนวกดทับ ทำให้เส้นประสาท ทำงานไม่ปกติ บริเวณต้นคอ เยื้องไปทางใต้ใบหูขวา ตรงนี้ดูดเลือด เป็นครั้งที่ ๓ แล้ว เลือดก็ยังออกมาก แสดงว่าเลือดคั่งมาก ส่วนการกดจุด ใต้ฝ่าเท้า จุดที่พ่อท่าน แสดงอาการ ตอบรับว่าเจ็บ อันแสดงผลว่า มีปัญหา ก็คือบริเวณต้นคอด้านหลัง ตาขวา และลำไส้ใหญ่ ดูท่าทีหมอจีนคนนี้ จะมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย ช่วงที่หมอจีนกดนวด บริเวณท้องของพ่อท่าน หมอใช้มือคลึง หมุนเป็นวงกลม แล้วเอวของหมอ ก็โยกหมุนตามมือ คล้ายการออกกำลัง บริหารเอว ทำไปก็ขำยิ้มไป หลังการรักษาเสร็จ หมอจีนยังพูดติดตลกว่า "รายการแสดงจบแล้ว"

มีอยู่คำถามหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าถามด้วยใจที่อยากจะรู้คำตอบจริงๆ แต่จะมองว่า ถามลองภูมิ ลองวิชาก็ได้ จากปัญหาจอประสาทตา ของพ่อท่านที่เสื่อม ทำให้การมองเห็นภาพ เกิดจุดดำ ตรง mecula ที่การแพทย์ แผนปัจจุบัน บอกได้เท่านี้ หมดโอกาส ที่จะกลับมาเห็นภาพ ได้ดังเดิม ขณะที่การแพทย์ ทางเลือกอื่นๆ มีทั้งที่ยืนยันว่า จะหายได้ และไม่ได้ยืนยัน แล้วกรณีของหมอจีน ไต้หวันนี้ เขาคิดเห็นอย่างไร โดยข้าพเจ้า บอกเล่าปัญหา ตาขวาของพ่อท่าน และบอกถึงการรักษาที่ผ่านมา ใช้เลเซอร์ด้วย อย่างนี้ วิธีการรักษา ของหมอจีนนี้ จะสามารถทำให้ตาของพ่อท่าน มองเห็นได้ดังเดิมไหม หมอจีนตอบว่า ลูกตาเป็นเรื่อง ซับซ้อน มากกว่ากล้อง จึงไม่ขอยืนยันว่า จะเห็นได้ดังเดิม แต่ตาจะดีขึ้นแน่ เนื่องจากกระดูก กดทับ เส้นประสาท ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี เลือดที่ลูกตา ก็ไหลเวียนไม่ดี ข้าพเจ้าพอใจ กับคำตอบ ของหมอจีน ที่ยอมรับว่า เรื่องดวงตา เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะรักษาได้ ต่างจากการแพทย์ ทางเลือกอื่นๆ ที่จะพูดถึงเหตุ และการรักษา อย่างง่ายๆ เช่น การเขี่ยล้างตา ด้วยกระชาย โดยใช้สมุนไพร หลายชนิด รมไอควันที่ตา แล้วใช้กระชายเขี่ยล้าง เอาไขมัน ในดวงตาออก โดยเชื่อว่า โรคตาทุกชนิด ตาสั้น
ตายาว ต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม ฯลฯ มาจากไขมันในลูกตา หรือ "ปัญจศาสตร์" ที่รักษาโดย การปรับ สมดุล การกดจุด "ไล่ระบบ" แล้วทุกอย่าง ในร่างกาย จะทำงานโดย "อัตโนมัติ"
แม้หลักการคิดถึงสาเหตุของโรค มาจากร่างกายขาดสมดุล ทำให้การไหลเวียน ของเลือดมีปัญหา จึงทำให้เกิด โรคนานาสารพัด อันเป็นหลัก การคิด ไม่ต่างจากหมอจีน แต่หมอจีน ยังยอมรับว่า เรื่องตา เป็นเรื่องซับซ้อน ขณะที่ "ปัญจศาสตร์" ยืนยันรับประกันผล ไปทุกโรค อย่าว่าแต่โรคตาเลย แม้โรคมะเร็ง และโรคเอดส์ "ปัญจศาสตร์" ก็ยืนยันว่า หายได้

ช่วงระหว่าง การรักษา ได้สนทนา เกี่ยวกับประวัติ ความเป็นมา ของหมอจีนไต้หวันนี้ ทราบว่า เขานับถือ ศาสนาคริสต์ เป็นคาทอลิค มาตั้งแต่เกิด สนใจศึกษาเรียนรู้ จากหมอหลายๆคน เคยเรียนการจัดกระดูก (Chiropractic) จึงนำมา ผสมผสาน การกดนวดฝ่าเท้า และการฝังเข็ม รักษาคนมาแล้ว ประมาณ ๒ แสนคน รักษาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีเศษ ปกติจะคิดค่ารักษาที่ไต้หวัน ครั้งละ ๑,๒๐๐ เหรียญ(๑ เหรียญ ประมาณ ๑.๓๐ บาท) เคยมีหมอดูจีน บอกเขาว่า อดีตชาติของเขา เคยเป็นหมอ ในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่เขาไม่สนใจ เรื่องอดีตชาติ


"Action for Life" สนใจสิ่งสูงสุดที่มนุษย์จะไปถึง
๑๕ มี.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก คณะ "Action for Life" เป็นคริสตชน ๑๓ คน จากออสเตรเลีย เวียตนาม แคนาดา เคนยา ปาปัวนิวกินี มาเลเซีย และอเมริกา สนใจศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ของชาติต่างๆ ติดต่อมา ล่วงหน้า ขอชมชุมชน และสนทนากับพ่อท่าน เนื่องจากได้ข่าวว่า ที่นี่มีชุมชน อยู่ร่วมกัน ทั้งวัดและบ้าน เหมือนกับที่เขาทำอยู่ ก็มีโบสถ์เป็นศูนย์กลาง ทั้งหมดมาอย่าง รีบๆ และจากไปอย่างรีบๆ เพื่อที่จะเดินทาง ต่อไปกัมพูชา จากคำถามบางส่วน ทำให้รู้ว่า เขาสนใจศึกษา ศาสนาพุทธอยู่เหมือนกัน เช่นคำถาม ที่ให้พ่อท่าน อธิบาย เรื่องความไม่ติดยึดบ้าง หรือ มรรคองค์ ๘ บ้าง ในช่วงเวลาสั้นๆ รีบๆอย่างนั้น พ่อท่าน อธิบายไม่ได้มาก มีคำถามจากหญิง คนหนึ่ง ถามว่า "สิ่งที่สูงสุด ที่มนุษย์ สามารถจะไปถึง คืออะไร"

"นิพพาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาสนาที่มี Universal Soul เนี่ย จะเข้าใจไม่ได้ เข้าใจ Niravana เข้าใจนิพพาน ไม่ได้ง่ายๆ เพราะศาสนาส่วนมาก สอนให้ไปถึง God สิ่งสูงสุดคือ God หรือว่าไปอยู่กับ Universal Soul อะไร พวกนี้ เพราะว่า God เป็น theism (ลัทธิเทวนิยม) ส่วน Niravana มันเป็น atheism (อเทวนิยม)" พ่อท่านตอบ


บริษัทภูมิบุญฯ น้องใหม่ล่าสุดในระบบบุญนิยม
๑๖ มี.ค.๔๕ ที่สันติอโศก เช้านี้พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ร่วมประชุม ครั้งแรกของบริษัท ภูมิบุญ เนเชอรัล เฮลธ์ โพรดัคส์ จำกัด มีผู้สนใจเข้ามาร่วมประชุม ๑๖ คน จากบางส่วน ของการประชุม มีดังนี้

เมื่อคุณสิทธิชาติ โชติปรีชารัตน์ ผู้จัดการบริษัทภูมิบุญฯ เสนอนโยบาย -กฎระเบียบ-สวัสดิการ พนักงาน บริษัทภูมิบุญฯ ให้ที่ประชุมพิจารณา

พ่อท่านท้วงติง เรื่องเงินเดือน ให้พิจารณาให้ดีๆ ต้องกำหนดนโยบาย -หลักการ ให้เป็นบุญนิยม อย่างชัดเจน

เงินเดือนสูงสุด ของบริษัทภูมิบุญฯ คือหนึ่งหมื่นบาท แต่เซ็นรับแล้ว รับไปได้เพียงสูงสุด ไม่เกิน เจ็ดพันบาท ส่วนที่เหลือเข้ากองบุญ นี่คือเจ้าหน้าที่ ระดับบริหาร พนักงานให้รับ ตามกฏหมายแรงงาน ส่วนพนักงาน ทดลองงาน ก็ตามแต่ตกลงกัน เงินเดือนเจ็ดพัน ถือว่าสูงสุด ผู้บริหารระดับไหน ก็เจ็ดพัน หากต้องรับ มากกว่านั้น ก็พิจารณาเป็นรายๆไป และต้องเป็น ความจำเป็นจริงๆ ต้องรู้ว่า คนที่รับเงินเดือนเกินเจ็ดพัน เป็นความเสื่อม เป็นคนเสื่อม เพราะเงินเดือนยิ่งลด ยิ่งแสดงความเจริญ เป็นคนเจริญ อีก ๑๐-๒๐ ปีข้างหน้า เงินเดือน ก็ไม่เกินกว่านี้

มติที่ประชุมเห็นชอบ ให้ปกติเงินเดือนพนักงานทุกตำแหน่ง สูงสุดไม่เกิน ๗,๐๐๐ บาท สูงกว่า ๗,๐๐๐ บาท ต้องไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ต้องพิจารณาเป็นรายๆไป กรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น

เมื่อพูดถึงเรื่องเงินกองบุญ พ่อท่านบอกเล่าให้ข้อคิดว่า

วิธีบริหารจัดการกองบุญ คือ กองบุญเกิดขึ้นจาก รายได้ของคณะกรรมการ -พนักงาน ที่เสียสละ ไม่รับเงินเดือน หรือรับน้อย เงินก็จะมารวมกัน ที่กองบุญฯ บริษัทภูมิบุญฯ ทำงานไปโดย ไม่เอากำไรมาก ก็จะขาดทุนทุกปี บริษัทฯก็มายืมเงินกองบุญฯ ดำเนินการต่อไป แต่บริษัทฯ ก็จะไม่มีปัญญาไป ใช้หนี้ กองบุญฯ วิธีแก้คือ บริษัทฯไปจดทะเบียนเพิ่มทุน ที่กระทรวงพาณิชย์ เพิ่มทุน แล้วก็มาขายหุ้น กองบุญฯ มาซื้อหุ้น บริษัทก็ลดหนี้กองบุญฯไป บริษัทกับ กองบุญฯ ก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ ตัวอย่าง บริษัทฟ้าอภัยฯ เดี๋ยวนี้จดทะเบียนเป็น ๒๔ ล้าน บริษัทพลังบุญฯ จดทะเบียนเป็น ๙ ล้าน ซึ่งเป็นการ แสดงถึง สถานะ ของบริษัทฯดีขึ้น ไม่มีเงินคืน ไม่มีปันผล ก็ยังมีคนมาซื้อหุ้นมติที่ประชุมเห็นชอบ และให้คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ คุณแซมดิน เลิศบุศย์ แก้ไขปรับปรุง นโยบาย กฎระเบียบ สวัสดิการ และนำมา เสนอ ที่ประชุม ในครั้งต่อไป

จากบางส่วนที่พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุม โดยพูดถึงนโยบายบริษัทภูมิบุญฯ เปรียบเทียบ กับบริษัท ในระบบบุญนิยมอื่นๆ ดังนี้

"...บริษัทภูมิบุญฯ ซึ่งมีนโยบายกว้างขึ้นกว่าบริษัทอื่น บริษัทขอบคุณนั้น อาตมาเข้าไปที่แนวลึก บริษัทภูมิบุญฯ จะออกมาแนวกว้าง และมันก็จะยืนยัน ชัดเจนเลยว่า แนวกว้างเป็นอย่างนี้ เอื้อประโยชน์ ต่อผู้มีกิเลสมากขึ้น ส่วนแนวลึกนั้น จะไม่เอื้อผู้มีกิเลสมาก โดยจะพิสูจน์ คนที่มีกิเลสน้อยลงไปอีก เสียสละมากขึ้น เกื้อกูลมากขึ้น มีความสะอาดบริสุทธิ์มากกว่า ไร้สารพิษ เน้นเข้าไปหากลุ่มคน ที่มีตัวหลักจริง ทั้งหลักการ นโยบาย ที่จะต้องพูดกับเขารู้เรื่อง และพิสูจน์กันไป"


ร่วมเสวนากับกลุ่มวิถีทรรศน์
๑๖ มี.ค. ๔๕ ที่ตึกช้าง กลุ่มวิถีทรรศน์ นิมนต์พ่อท่านเป็นวิทยากร ร่วมเสวนา "ชีวิตหลัง ความตาย... สังคมหลังกลียุค (Chaos)" กับ น.พ.ประสาน ต่างใจ มีดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยก่อนหน้านี้ (๒๐ ก.พ.) คุณพรศรี ปัญจปิยะกุล ผู้ประสานงานของ กลุ่มวิถีทรรศน์ แจ้งว่า จะจัดเสวนา สืบเนื่องจาก น.พ.ประสาน ได้เขียนหนังสือ โลกหลัง ๒๐๑๒ สู่มิติที่ห้า เป็นการเสนอความคิด เกี่ยวกับ กำเนิดของชีวิต.. การพัฒนาจิตวิญญาณ.. โลกทุนนิยม มาถึงทางตัน.. อนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทาง ดร.เทียนชัย แนะนำให้คุณพรศรี ติดต่อนิมนต์พ่อท่าน ด้วยเห็นว่า ชาวอโศก เป็นกลุ่มคน ที่น่าสนใจ มีวัฒนธรรม ทางเลือกที่แตกต่าง จากสังคมส่วนใหญ่ ที่สำคัญ มีเรื่องลึกซึ้งยากๆ ชีวิตหลังความตาย เป็นเรื่องพูดยาก

เมื่อเดินทางไปถึงก่อนเวลาเสวนา ดร.เทียนชัย และคุณชัยวัฒน์ สุรวินัย ได้มาต้อนรับ สนทนาเรื่องงาน ที่พ่อท่าน ทำอยู่ พ่อท่านบอกเล่า ถึงงานอบรมเกษตรกร ที่ร่วมกับ ธ.ก.ส.

"กระแสโดยทั่วไป ผมคิดว่า คนยอมรับ สันติอโศกมากขึ้น" ดร.เทียนชัย แสดงความเห็น ขณะที่คุณชัยวัฒน์ เสริม "ถ้าอยู่ในกรอบของกระแสหลัก ก็ทำอะไรไม่ได้อย่างนี้"

ข้าพเจ้าขอข้ามผ่าน เนื้อหาการเสวนา ผู้สนใจสามารถติดตามศึกษาได้ จากแถบบันทึกเสียง และภาพ ทั้งที่แผนกธรรมโสต และธรรมทัศน์สมาคม

พ่อท่านได้นำมาบอกเล่า ในช่วงการแสดงธรรมก่อนฉัน ๑๗ มี.ค. ๔๕ จากบางส่วนดังนี้
"อาตมาไปเสวนากับคณะวิถีทรรศน์เมื่อวานนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นการสัมพันธ์ประสาน เอามาแลกเปลี่ยน เผื่อแผ่กัน

อย่างหมอประสานนี่ โอ้โฮ! ศึกษารอบโลกเลย มีข้อมูลมากมายจริงๆ

อาตมาไปในแนวดิ่ง ก็เลยไม่กว้าง ไม่เหมือนหมอประสาน แต่ก็เป็นการเสริม สอดคล้องกัน หมอได้ ตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูล ซึ่งเป็นความรู้ ทางด้านวัตถุ ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างก็มา เข้าหาหลัก ไตรลักษณ์ อนิจจัง แต่เขาไม่มี คำว่า ทุกขัง เพราะเขาไม่ได้ศึกษาอาริยสัจ มีแต่ อนิจจัง อนัตตา ทางวิทยาศาสตร์ เขาก็ยืนยันว่า ทุกอย่าง มันไม่ได้เป็นตัวตน เป็นสิ่งตายตัว มันเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไร อยู่คงที่ตามเดิม มีแต่เคลื่อนไป เปลี่ยนแปลงไป ตลอดกาลนาน สุดท้ายก็อนัตตา หายสูญหมดไป แต่มันก็ยังทรงตัวเป็นธาตุ อันนี้แหละ วิทยาศาสตร์ ก็จำนนว่า ธาตุอะไร เป็นธาตุที่สุด ที่เขายังสลายไม่ได้ เขาก็พยายาม จะเจาะ เข้าไปถึงนิวเคลียส สุดท้าย ก็เป็นพลังงานสุดยอด ของแต่ละอันๆ แล้วก็ถือว่า ไอ้สุดยอดกว่า เข้าไปถึงนิวเคลียส สลายเป็น พลังงานสุดท้าย อะไรก็แล้วแต่ ถือว่านั่น มันไม่เป็นตัวตน มันเป็นนิวเคลียส แล้วมันก็สลายไป เป็นผนึก พลังปรมาณู อะไรๆออกไป เป็นพลังงาน กระจายไปทั่ว หมดแล้ว มันก็จะไปเจือ ไปปนในนี้ ซึ่งไปจับมันไม่ได้ ตอนนี้นะ นั่นเป็นเรื่องของวัตถุก็จริง

จิตวิญญาณ เป็นพลังงาน ที่เกาะกุม เหมือนกับ H กับ O H O H กับ O จับกันอยู่ด้วยอัตรา ๒ กับ ๑ แล้วมันก็เป็นน้ำ ยืนหยัดตัวมัน ไม่มีอะไรไปสลายมันออก จนกว่ามันมีอะไร ไปทำความแตกสลาย ไป disintegrate หรือ decompose ก็ได้ ไปแยกไปแตกสลาย ออกไปได้ มันจึงจะแยกออก มันจึงจะ เปลี่ยนแปลง จากน้ำ

จิตวิญญาณมีนัยคล้ายๆกับธาตุน้ำ แต่ธาตุน้ำทางวัตถุ เขาสามารถ disintegrate ได้ แต่จิตวิญญาณ มนุษย์นี่แหละ ยังไม่มีวิชาการ ในลัทธิไหนๆ นอกจากพระพุทธเจ้า ที่สามารถไป disintegrate แยกสลาย จิตวิญญาณนี้ ออกให้ได้ เมื่อแยกสลายไปแล้ว ทำลายอะไรที่ควรทำลาย เรียกว่า พลังงานกิเลส พลังงาน ตัณหาอุปาทาน หรือพลังงานผี พลังงานซาตาน ทำลายมัน เหลือแต่พลังงานจิต วิญญาณสะอาด จิตวิญญาณพระเจ้า

ที่สุดพระพุทธเจ้า ได้มาพิสูจน์ว่า แม้แต่จิตวิญญาณ ก็อนัตตาอีก ไม่เป็นตัวตนอีกแหละ

ศาสนาพุทธนั้น มุ่งเน้นวางจิต ที่ไปยึดวัตถุไปก่อน จนกระทั่งได้ผล แยกสลายความเป็น อัตตา ที่ไปยึด วัตถุได้แล้ว จึงมาพิสูจน์ ในนามธรรมที่เหลือ ก็จะบรรลุอนัตตา เป็นละเอียดสุด วิทยาศาสตร์วัตถุ เขาก็ต้องลงมือ ทดลองเอง

ซึ่งผู้พิสูจน์ 'ความเป็นอัตตา' ของตน ก็ต้องเป็น นักวิทยาศาสตร์เอง พิสูจน์จนทำ'อัตตา' ของตนเอง สลายเป็น 'อนัตตา' ได้ จึงจะเป็นผู้ได้ 'นิพพาน' มิใช่แค่เข้าใจ ได้แล้วเท่านั้น จะเป็นผู้ได้ 'นิพพาน' ว่าไปแล้ว ก็ถึงซึ่ง 'ไม่มีตัวตน' เหมือนกัน

แต่ต้องเป็นผู้รู้จัก 'อัตตา' แต่ละตัว และ ทำลายอัตตา แต่ละตัวนั้นๆ ในตนลงได้ หมดสิ้นจริง จึงจะเป็น ผู้บรรลุนิพพานจริง"


ปิดภาคเรียน - เอื้อไออุ่น กับชาวสันติอโศก
๒๕ มี.ค. ๔๕ ที่สันติอโศก มีงานสันทนาการเล็กๆให้กับนักเรียน สส.สอ. ที่ปิดภาคเรียน และเอื้อไออุ่น บันเทิงผ่อนคลาย กับชาวชุมชนสันติอโศก จากบางส่วน ที่พ่อท่านให้โอวาท และตอบข้อซักถาม

"เอ้าจะปิดภาคเรียนแล้ว ปิดภาคหมายความว่า เปลี่ยนสถานที่ศึกษาเท่านั้น จำไว้ชัดๆนะ เป็นการศึกษา อาจจะไม่อยู่ในกรอบ แต่เราก็ต้องศึกษา อย่างมีสติสัมปชัญญะ ปัญญา ต้องศึกษาดีๆ ศึกษาหมายความว่า หาความเจริญ ตัวเราเอง จะพัฒนาขึ้น จะดีขึ้นอย่างไรได้ เราอาจจะไปทำงาน ที่เราถนัด ไปขยันในงาน ที่เราถนัดนั้นมากขึ้น ไม่ใช่ว่าพอเปลี่ยนที่ศึกษา ก็ไปหาอบายมุขฝึกฝน เจริญไหม ก็ไม่เจริญ อาจจะไป ศึกษาอื่น ที่เราไม่เคยศึกษาอยู่ ตอนที่เรายังไม่เปิดเทอม ตอนนี้ เราไปศึกษาสิ่งอื่น สิ่งใหม่บ้าง หรือไม่เช่นนั้น ก็เอาสิ่งเก่านี่แหละ ไปเพิ่มเติม แต่ไม่ได้อยู่ในกรอบ ในตารางสอน เราเรียนทฤษฎีมา ก็เอาไปปฏิบัติ ซักซ้อม เพิ่มเติมขึ้น ให้มากกว่า อยู่ในกรอบ ในตาราง พวกนี้ก็ได้ หรือจะศึกษา ธรรมะมากขึ้น โอ้โฮ! ยิ่งดีใหญ่เลย ปิดเทอมเข้าวัดเลย เข้าไปพบสมณะ สิกขมาตุ เอาพระไตรปิฎก มาเปิดอ่าน หรือปฏิบัติฝึกฝน ให้เกิดสติ ใช้วิปัสสนา ใช้การอ่าน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อ่านใจของเราว่า เราจะรู้เท่าทัน กายกรรม ทำอย่างนี้ เป็นกุศล หรืออกุศล วจีกรรม พูดออกไป อย่างนี้ เอ๊ะ!มันดีหรือเปล่า เป็นกุศลหรืออกุศล หรือใจเราคิด เราเริ่มคิด ไม่ดีแล้วนะ ดักตั้งแต่เริ่มจากคิด ฝึกฝนได้อยู่ทุกงาน อยู่กับงานไหนๆ เราก็มี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นั่นแหละคือ ตัวปฏิบัติธรรม แท้ๆเลย"

จากนั้นพ่อท่านเปิดโอกาสให้สนทนาซักถาม แบบกันเอง คนในๆ คำถามมีทั้งเรื่องส่วนตัว เกี่ยวกับพ่อท่าน เรื่อง สภาวะจิต เรื่องงาน เรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องสังคมภายนอก แทบไม่มีเลย มีอยู่คำถามหนึ่ง คนถาม ก็ถามอย่างซื่อๆ เกี่ยวกับตัวของพ่อท่าน ในอนาคต ซึ่งพ่อท่านก็ตำหนิ คำถามเชิงนี้ แต่ก็ตอบให้ แบบดุๆ ปรามๆ ข้าพเจ้าถือเป็นพินัยกรรม ที่เกิดโดยวาจา อย่างธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัย พ่อท่านไม่ได้ คิดเขียนเอง

ถาม : พระธาตุของพ่อท่าน จะเก็บไว้ที่เชียงใหม่หรือเปล่าคะ หรือที่สันติอโศก
พ่อท่าน : ถามอะไรไม่เข้าเรื่องเข้าราว อาตมาจะไม่พูดเรื่องนี้ แล้วก็จะไม่กำหนดเรื่องนี้ จะไม่เขียน พินัยกรรมเรื่องนี้ อาตมาไม่กำหนด เหมือนพระบางรูป ต้องเอาไปไว้ที่ภูเขาลูกนั้นลูกนี้ ลอยน้ำตรงนี้ อาตมาจะไม่เขียน จะไม่กำหนด จะไม่อะไรทุกอย่าง จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรม พระพุทธเจ้า ท่านก็ปล่อย ให้เป็นไปตามธรรม ท่านไม่กำหนด ท่านไม่สั่งไว้เลย เรื่องอย่างนี้ จะเป็นไปอะไรก็ตาม สุดท้าย ก็จัดการ ตามธรรมชาติของมัน เรื่องนี้ไม่ต้องถามอีก อาตมาจะไม่ตอบ ไม่กำหนดอะไร พระพุทธเจ้าทรงบอกบ้าง ในเรื่องเกี่ยวกับพระศพ แต่ไม่ตรัส เกี่ยวกับพระอัฏฐิ สำหรับอาตมา จะไม่กำหนด แม้แต่เกี่ยวกับศพ จะบอกเพียงแต่ ให้เผาตามธรรมเนียมพุทธเท่านั้น ไม่ใช่ฝัง หรือเก็บสรีระไว้เป็นซาก


ช่วยงานอบรมที่ ทักษิณอโศก
๒๖ มี.ค. ๔๕ ที่ทักษิณอโศก จ.ตรัง พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้มาช่วยแสดงธรรม อบรมเกษตรกรที่พักหนี้กับ ธ.ก.ส. โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายสงวน จันทร์อักษร ส่งเสริมจัดหากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มาร่วมอบรมด้วย ท่านผู้ว่าฯเองเป็นตัวอย่าง เป็นกำลังใจให้ โดยมาร่วมอยู่ ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมทำงานด้วย ติดดินอย่างกันเอง ไม่ถือยศศักดิ์ นอนในมุ้ง ท่ามกลางชาวบ้าน ที่เข้าอบรม แบกจอบขุดดิน เช่นเดียวกับชาวบ้าน และตื่นตี ๔ มาร่วมทำวัตรเช้า ฟังธรรม เช่นเดียวกับชาวบ้าน เป็นปราฏการณ์ ที่แปลกมาก ไม่เคยมีผู้ว่าราชการจังหวัดไหนๆ กล้าทำถึงขนาดนี้

ช่วงเย็น คุณภาณุ พิทักษ์เผ่า เรียนปรึกษาพ่อท่านว่า มหาวิทยาลัยทักษิณ ได้มาติดต่อว่า อยากจะให้ นักศึกษา ประมาณ ๖๐๐ คน ก่อนจะจบหลักสูตร ต้องผ่านการอบรม จากทักษิณอโศก นอกจากนี้ ครูชบ ยอดแก้ว จะเปิดมหาวิทยาลัยชาวบ้าน โดยจะกำหนดว่า ผู้จะสมัครเรียนได้ ต้องผ่านการอบรม จากทักษิณ อโศกก่อน เรื่องนี้ที่ประชุม ชุมชนทักษิณอโศก เห็นชอบแล้ว พ่อท่านมอง เรื่องนี้อย่างไร

พ่อท่าน : อยู่ที่กำลังของพวกเราจะไหวไหม ถ้าไหวก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าไม่ไหว ก็ต้องประมาณให้ดีๆ ลด ลดลงมา แค่ไหนไหวก็ทำไป เท่าที่ได้

เนื่องจากท่านผู้ว่าฯ จะมาร่วมพักค้างคืน ในวันนี้ด้วย ฝ่ายจัดอบรม จึงนิมนต์พ่อท่าน แสดงธรรม ก่อนนอน เพื่อท่านผู้ว่าฯ จะได้มีโอกาสฟังธรรม จากพ่อท่านด้วย พ่อท่านปรับจากเทศน์ เป็นเปิดโอกาส ให้ซักถาม ปัญหา เนื่องจากรายการเทศน์ มีพรุ่งนี้เช้าอยู่แล้ว ช่วงทำวัตรเช้า ในหัวข้อเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ท่านผู้ว่าฯ สนใจ คำถามคำตอบ ในค่ำวันนี้ เป็นเรื่องที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันมามากแล้ว จึงขอข้ามผ่าน หลังรายการท่านผู้ว่าฯ ขยับเข้ามาคุยกับพ่อท่านเล็กน้อย ก่อนแยกย้ายกันไปพักนอน

๒๗ มี.ค. ๔๕ ที่ทักษิณอโศก จากบางส่วนที่พ่อท่านแสดงธรรม ทำวัตรเช้าตามหัวข้อ "เศรษฐศาสตร์ เชิงพุทธ" ดังนี้
"......อาตมาเห็นว่า ศาสนาพุทธ มีเศรษฐศาสตร์อย่างสมบูรณ์ อาตมาจึงใช้คำว่า เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เมื่อ ๒๐ ปีก่อน เขายังไม่ฟัง ไม่เชื่อ แต่มาถึงวันนี้ เริ่มมีคนยอมรับบ้าง"

หลังทำวัตรเช้าแล้ว มีญาติธรรมผู้หวังดี อยากจะนิมนต์ไปพักผ่อน นั่งเรือไปในทะเล เพื่อสูดโอโซน ด้วยเห็นว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะถึงงานปลุกเสกฯ พ่อท่านจะต้องใช้เสียงมาก ใช้สมองมาก จึงอยาก ให้พ่อท่าน ได้พักผ่อนมากๆ หากอยู่ที่ทักษิณอโศก อาจจะต้องใช้เสียงใช้สมองมาก กับญาติธรรม และผู้มาเข้าอบรม

พ่อท่านปฏิเสธที่จะไปทะเลว่า "กำลังมีงานอบรมอยู่อย่างนี้ ไปแล้วผู้ที่อยู่ช่วยงานอบรมอยู่จะคิดยังไง"

ฝ่ายผู้หวังดีชี้แจงว่า ที่ประชุมของทักษิณอโศกได้คุยกันแล้วในเรื่องนี้ ต่างก็เห็นดี ที่จะให้พ่อท่าน ได้สูด อากาศบริสุทธิ์ และผ่อนคลายสมอง ก่อนไปงานปลุกเสกฯ แต่เรื่องนี้ที่ประชุม ก็เห็นว่า ก็แล้วแต่พ่อท่าน จะเห็นอย่างไร

พ่อท่านยังคงยืนยันปฏิเสธที่จะไป "ถึงยังไงอาตมาก็ไม่ได้คิด จะไปไหนอยู่แล้ว นั่งเรือไปทะเล ก็เคยแล้ว ก็ยังงั้นๆ ไม่เห็นจะดีอะไรนักหนา"

พอดีรายการภาคบ่าย คุณหนึ่งแก่นไม่สามารถมาได้ ฝ่ายจัดรายการ จึงนิมนต์พ่อท่าน พบผู้เข้า อบรมแทน โดยปรับเป็น รายการตอบปัญหา ตอนแรก ให้เวลาพ่อท่าน ๓ ช.ม. ด้วยใจโพธิสัตว์ พ่อท่าน ไม่ได้เกี่ยง อะไรเลย เมื่อผ่านไปได้ ชั่วโมงเศษ ดูคนฟังจะล้าๆ อากาศก็ร้อน อ้าวมาก พ่อท่านเอง เสียงชักจะตก มีอาการไอน้อยๆ จึงนิมนต์พ่อท่านแค่ ๒ ช.ม.ก็พอ พ่อท่านก็ยอม เสร็จจากรายการตอบปัญหา กลับไปที่กุฏิ จึงนิมนต์พ่อท่าน นอนพักทันที พ่อท่านก็ว่าง่าย ยอมนอน ไม่ได้อ่านข่าว น.ส.พ.ใดๆ

เมื่อลุกตื่น ช่วงเย็น อ่านข่าว น.ส.พ.แล้ว คุณปาน มาแนะนำพ่อท่าน เรื่องสุขภาพ โดยขอให้พ่อท่าน ทำท่ายืดเส้นหลัง เพื่อดูว่า เส้นหลังของพ่อท่าน แข็งอ่อนแค่ไหน หลังจากพ่อท่าน ทำตามให้ดู คุณปาน บอกว่า ยังไม่ถึงกับแข็งมาก แต่ถ้าปล่อยไว้นานๆ ไม่บริหาร มันจะแข็งมาก แล้ว โยงใยกันไปหมด ทำให้ เลือดลม เดินไม่ดี แล้วสุขภาพโดยรวม จะไม่ดี อย่างตาของพ่อท่าน ถ้าเส้นเลือด บริเวณคอ ไหล่ แข็ง ไม่บริหาร กลัวจะมีผลไปถึงตา เนื่องจากพ่อท่าน ใช้สายตามาก แล้วอยู่ในท่า ก้มหน้า ทำให้ไหล่ คอ จะแข็ง ดูพ่อท่านก็รับฟังดี และทำตามท่าบริหารต่างๆ อย่างว่าง่าย ไม่มีท่าทีว่า รู้แล้ว

๒๘ มี.ค.๔๕ ที่ทักษิณอโศก ทำวัตรเช้าเป็นการตอบปัญหา ที่ตกค้างจากเมื่อวาน หลังเสร็จรายการ ชาวทักษิณอโศก บางส่วน มาขอให้พ่อท่าน ตั้งชื่อใหม่ให้ แล้วพูดคุยถึงเรื่อง งานอบรม ที่ผ่านๆมา เป็นที่ประทับใจ ของผู้ที่อยู่ร่วมทั้งหมด มีคนเสนอให้คุณภาณุ แยกไปเปิดอบรม ที่สงขลา และให้ คุณมงคล แยกไปเปิดอบรม ที่พะโต๊ะ

พ่อท่านรีบเบรก "อย่าเพิ่งๆ แยกออกไป เดี๋ยวไม่มีพลังพอ อีกอย่าง งานอบรมของเรา มีวิถีชีวิต ที่เขาจะซึมซับ มีสิ่งแวดล้อมด้วย ชุมชนจะเป็นพลังแม่เหล็ก ที่จะอบรมเขา ได้อย่างดี มันต่างจาก ที่เขาไปอบรม ที่โรงแรม หรือที่ไหนๆ ที่เขาไป เขาจะได้แต่นั่งฟังๆ แล้วคนเหล่านั้น ที่มาอบรม ก็มีวิถีชีวิต คนละอย่าง มาอบรมก็เพียง มาทำผักชีโรยหน้าเท่านั้น"

คุณภาณุและคุณมงคล เสริมรับ จริงเลยครับ ไปอบรมที่โรงแรม ก็ไปมาแล้ว ไม่ได้ผลอะไร

ปิดท้าย บันทึกฉบับนี้ จากบางส่วนที่พ่อท่านกล่าวถึง สมณะกระบี่บุญ มนาโป ช่วงก่อนฉัน ๑๒ มี.ค. ๔๕ ที่ปฐมอโศก
"......ขอบอกส่งท้ายว่า ตอนนี้กำลังพลของชาวอโศกต้องการ เราไม่เกณฑ์ทหาร เหมือนทางรัฐ มันเป็นเรื่อง ของอิสรเสรีภาพ ใครจะมาร่วม กำลังพล เป็นกำลังนักรบกองทัพธรรม เราต้องการนักรบ ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับ พลทหาร ไปจนนายกอง ไปจนกระทั่งถึงแม่ทัพ เราต้องการทุกขนาด ใครที่มีความเหมาะสม ที่จะเป็นได้ ขนาดไหน ก็จะเป็นไปตามจริง ท่านกระบี่บุญ มนาโป นี่ก็ถือเป็นนักรบ ในระดับแม่ทัพ หัวหน้ากอง หัวหน้าพล นายพล อะไรไปนั่นแหละ ซึ่งเราก็ไม่ได้แต่งตั้งกัน ตามประสาอะไร ที่จริงๆจังๆ แต่ก็อยู่ในขนาดอย่างนั้น ส่วนใครจะมาเป็น กำลังพลของชาวอโศกอีก ก็อย่าลังเลนัก"

-อนุจร -
๑๑ พ.ค. ๔๕

(ย้อนกลับไปอ่านหน้าแรก)

(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕)