อาริยะยุค 2000 โดย เกลียวธรรม ตอน...
อาริยะยุค 2000 ตอนที่ 13
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 231 เดือนธันวาคม 2543
หน้า 1/2

ชาติต้องการคนที่ซื่อสัตย์... ชาติต้องการคนเสียสละ... หากประชาชนเกียจคร้าน... คนจะอดอยาก ยากจน... ชาติต้องการคนที่ซื่อสัตย์... ชาติต้องการคนเสียสละ... หากประชาชนโง่เขลา ก็สิ้นชาติ...ไทย ...ฯลฯ...

เสียงเพลง "คนสร้างชาติ" ของ แอ๊ด คาราบาว ดังลั่น "ค่ายยุวพุทธฯ" ซึ่งอยู่ในบริเวณเขต "พุทธสถาน" ของ ชาวไร้ธุลีหมอง จ.นครปฐม ทำให้เยาวชน อนาคต ของ ชาติจำนวน ๔-๕ ร้อยคน ที่มาตั้งใจฝึกอบรมจริยธรรมที่นี่ ต่างก็ตื่นตัว และ ผละจากฐานงานอื่น หรือ เรื่องอื่นทันที เพราะ นั่นคือเสียงเพลงแห่งการนัดหมาย ให้มาพบกัน ที่ศาลาส่วนกลาง โดยพร้อมเพรียงกัน...

"เอ้า ...ได้เวลารวมตัวกันที่ศาลาแล้วล่ะ... ลูกฟ้าลั่น" ผาภูอยู่ในชุดผู้เตรียมตัวบวช (ปะ) พูด กับลูกชายพร้อมยกมือขึ้น ลูบหัวลูกด้วย ความเอ็นดู

"เมื่อไหร่พ่อจะได้บวชเป็นสมณะครับ" ฟ้าลั่นเงยหน้าขึ้นถาม ผู้เป็นพ่อ ด้วย ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วย ความปีติยินดี ที่ได้เห็นผาภูสวมชุด ของ ผู้เตรียมบวชอันสง่างาม

"อ๋อ...อีกประมาณ ๑ ปีมั้ง... เพราะ ยังต้องผ่าน ขั้นตอนการเป็นนาค อีก ๔ เดือน และ เป็นสามเณรอีก ๔ เดือน สำหรับเป็นปะ ก็ใช้เวลา ๔ เดือนเช่นกันลูก"

ผู้ตัดใจละทิ้งโลกียสุข และ เครือญาติอันเป็นที่รัก มุ่งหน้าศึกษา และ ปฏิบัติธรรมให้สูงยิ่งขึ้น ตอบคำถามลูกชายด้วย ใบหน้ายิ้มแย้ม พลางดุนหลังให้ไปรวมตัว กับเพื่อนๆ ตามเสียงเพลงที่กระตุ้นเตือนมาเป็นรอบที่สอง ทำให้ฟ้าลั่นจำใจต้องจากไปในบัดดล

"เป็นไงบ้างครับ... ไปผ่อนคลาย และ รับโอโซน มาจากทะเลอันดามัน... รู้สึกว่าหน้าตาสดใสดีขึ้นนะครับ..." ผาภูหันหน้ามาทักทาย สองสาว และ อดีตภรรยา ที่เดินเข้ามาหาในขณะที่ฟ้าลั่นวิ่งจากไป

"โถคุณปะ พูดเป็นเล่นไปได้...หน้าดำเป็นนิโกรน่ะไม่ว่า...ใช่มั้ยคะ?" รักบุญเผลอตัวยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง ด้วย ความเคยชิน ตามนิสัยผู้หญิง ที่รักสวยรักงาม

ผาภูไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มๆ ด้วย อาการสำรวม ขณะเดียวกันที่ เขตศีลชิงเล่าขึ้นว่า "ออกทะเลคราวนี้...รู้สึกสนุกมากเลยค่ะ คุณปะ และ โชคดีที่ได้มีโอกาสเห็นปลาวาฬด้วย ...ก้อยเองในสมัยก่อนๆ ก็เคยไปเที่ยวทะเล แต่ก็ไม่เคยเจอมาก่อนเลยค่ะ..."

"ก้อยกับน้ำฟ้า... เขาไปฝึกเป็น กัปตัน เรือประมง กันเสียเพลิดเพลินเชียว... ทิ้งให้พี่เมาคลื่น อยู่คนเดียวแทบแย่... บังเอิญเจ้าปลาตัวใหญ่ คู่นั้นโผล่ขึ้นมา เลยเกิดความตื่นเต้น จนหายเมาไปโดยไม่รู้ตัว...." รักบุญเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างยิ้มๆ

"เอ่อ...ผมดีใจด้วย นะครับ ที่บุญขวัญเค้าตัดสินใจไปเข้าเรียนระดับมัธยม กับ ร.ร.สัมมาสิกขา ของ พวกเรา..." ปะผาภูเปลี่ยนเรื่องพูด หลังจากที่ยืนฟังสามสาวผลัดกันเล่าเหตุการณ์ท่องทะลให้ฟังอย่างสนุกสนาน

"พี่ก็ยังนึกทึ่งๆ แกอยู่เหมือนกันค่ะ...ไม่คาดคิดว่าบุญขวัญจะกล้าไปสู้ กับการฝึกหัดที่ไม่ใช่ธรรมดาอย่างนักเรียนชาวไร้ธุลีหมองค่ะ..." รักบุญพูดพลางหันหน้าไปมองทางห้องน้ำหญิง...ซึ่งลูกสาว ของ เธอกำลังก้าวออกมาจากประตูห้องน้ำ และ หันมาโบกมือไหวๆ ให้ทุกคน ก่อนที่จะรีบวิ่งไปรวมตัว กับเพื่อนๆ อย่างรวดเร็ว เพราะ เสียงเพลงแห่งการกระตุ้นเตือนได้ใกล้จะจบลงนั้นเอง

ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เมื่อมองเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนเอาจริงเคร่งครัด ของ เด็กสาว...ซึ่งต่าง กับภาพ ของ บุญขวัญ เมื่อก่อนหน้านี้ ที่เคยเป็นเด็กเอา แต่ใจ และ ค่อนข้างสำรวยอีกต่างหาก อะไรหนอ...ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้นะ แต่อย่างไรก็ดี...มันก็เป็นนิมิตหมายใหม่ ของ เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่พยายามเดินทางไปสู่ความเจริญ ของ จิตวิญญาณ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าอนุโมทนายิ่งนัก

"แต่พี่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่า...ลูกขวัญจะอดทนต่อการทดสอบคัดเลือกผ่านไปได้ หรือ ไม่ เพราะ รู้สึกว่าทางสัมมาสิกขาศีรษะฯ ค่อนข้างจะฝึกกันอย่างจริงจังเข้มงวดมากอยู่นะคะ..." รักบุญปรารภขึ้นมาลอยๆ ด้วย ความเป็นห่วงลูกสาว

"แต่ก้อยว่า...บุญขวัญแกต้องผ่านการทดสอบได้แน่ๆ ... แกมีลูกอึดนะคะ หากว่าจิตมุ่งที่จะเอาชนะแล้ว คงจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรอกค่ะ..." เขตศีลพูดด้วย น้ำเสียงที่หนักแน่นเหมือนดั่งมั่นใจเต็มร้อย

"ตกลงว่า...ทุกคนยังคงอยู่ช่วยงานอบรมฯกันก่อนใช่มั้ยครับ? บังเอิญพอดีตอนนี้ผมต้องขอตัวไปพบสมณะก่อนนะครับ มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่...ขออนุโมทนาด้วย ครับที่ตั้งใจอยู่กอบโกยบุญกันที่นี่...ขออภัยนะครับ...เจริญธรรมครับผม..."

ปะผาภูพูดพลางขยับตัวพร้อม กับยกมือขึ้นไหว้ลาทุกคนด้วย อาการนอบน้อมถ่อมตน ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน

"ขอให้เจริญในธรรมมากยิ่งๆ ขึ้นนะคะ..." เหล่าสหธรรมมิกสตรีกล่าวขึ้นพร้อมกันยัง กับนัดทันที พร้อม กับพนมมือไหว้ตอบอย่างนอบน้อมเช่นกัน

มันเป็นความเคารพที่มีต่อกัน ซึ่งแสดงกายกรรมออกมาด้วย จิตที่อ่อนโยนนุ่มนวลแท้ๆ จึงดูอ่อนน้อม จริงใจ จนสามารถสัมผัสได้ว่า "ไม่ใช่" การแสดงแค่เพียงเป็นมารยาท ของ สังคมเท่านั้น แต่มันเป็นเอกลักษณ์ ของ ชาวไร้ธุลีหมอง ทุกคนทั่วประเทศ... จนมีผู้คนกล่าวกันว่า... "แค่เห็นท่ากราบท่าไหว้ ก็จะรู้ได้ทันทีว่า พวกนี้ชาวไร้ธุลีหมองแน่ๆ " แต่ยังมีคนเคยกล่าวตู่ว่า... "พวกนี้ไม่กราบไหว้พระพุทธรูป" แต่ที่จริงแล้วชาวไร้ธุลีหมองนั้นกราบพระพุทธรูปด้วย ท่าเบญจางคประดิษฐ์ ได้งดงามยิ่งนัก ซึ่งต่าง กับคนทั่วไปที่กราบพระ "แบบปิ้งข้าวเกรียบ" โดยการพลิกฝ่ามือแผล็บๆ อยู่ กับพื้นดิน มิหนำซ้ำบางคนกราบ "ปิ้งข้าวเกรียบอยู่กลางอากาศด้วยซ้ำ"

สามสตรีผู้ปฏิบัติธรรมเดินมุ่งตรงไปที่โรงครัวกลาง ของ ค่ายอบรมฯ ที่นั่น ย่อมมีงานบุญ ให้กอบโกยอย่างไม่ว่างเว้นมือ ทีเดียว... แค่กองฟักแฟงแตงกวาพืชผักผลไม้ ที่กองอยู่บนพื้นดิน ที่มีฟางข้าวรองอยู่ ก็ดูพะเนินเทินทึกแล้ว ไฉนจะเป็นคนตกงานได้ง่ายๆ หากว่าไม่เป็นคน"หนักไม่เอา เบาไม่สู้"

"ที่นี่ เปิดรับคนงานหนึ่งล้านตำแหน่ง" รักบุญปอกเปลือกฟักทองไปพลางคิดถึงคำพูด ของ พระโพธิสัตว์ ที่ท่านมักจะเอ่ยขึ้นมาบ่อย ฟังๆ ดูเหมือนท่านพูดเล่นๆ แต่มันเป็นเรื่องจริง

หากเป็น แต่ว่าใครเล่า?...จะกล้าหาญชาญชัยสวมหัวใจผู้เสียสละมาสมัครงานที่นี่เล่า... เพราะ ว่าบริษัทนี้มีเงินเดือนให้ "ศูนย์บาท" เท่ากันหมด ตั้ง แต่ผู้จัดการยันถึงหางแถว และ ยังต้องมีคุณสมบัติที่ต้องผ่านการคัดเลือกก่อนอีกด้วย เช่น...ต้องถือศีล ๘ กินอาหารมังสวิรัติ ไม่มีอบายมุขโดยเด็ดขาด มันเป็นกฎที่ต้อง..."เอ็นสะท้าน" จึงสามารถผ่านเข้ามาได้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ของ ชาวโลกเลย... แต่มันเป็นเรื่อง ของ เหล่า"อาริยชนแท้ๆ "... แต่แปลกที่นี่มีคนมาอยู่ด้วย กันเป็นจำนวนร้อย

"ก้อย...คิดๆ ดูแล้วว่า ถ้างานอบรมนี้ต้องเลี้ยงดูด้วย อาหารเนื้อสัตว์... แต่ละวันคงจะต้องใช้ชีวิต และ เลือดเนื้อ ของ กุ้ง หอย ปู ปลา และ วัวควายหมูเป็ดไก่เป็นจำนวนมากทีเดียวนะคะ..." เขตศีลปรารภขึ้น กับสมาชิก ที่กำลังช่วยกันปอกฟักทอง และ หั่นหอมใหญ่อยู่ใกล้ๆ กัน

"แน่นอนอยู่แล้วล่ะ...เด็กๆ ร่วมห้าร้อยคน ผู้ใหญ่อีกก็คงจะเฉียดพันคนแน่ๆ ... โอ้ย... พี่ว่าเลือดคงจะแดงเถือก นองลานประหารเชียวล่ะ" รักบุญพูด พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา เพราะ ฤทธิ์เดช ของ กลิ่นหอมใหญ่

"ว้าว...พี่พูดเว่อไปค่ะ...เขาไม่ปล่อยให้เลือดไหลเนืองนองอย่างที่พี่ว่าหรอกค่า..า...เลือดไก่ เลือดหมู กินได้ขายแพง เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้หกเรี่ยราดให้ขาดทุนคะ?" น้ำฟ้าพูดพลางหัวเราะพลาง ขณะที่หยอกล้อกันแซวกันด้วย น้ำเสียงรื่นเริง

"แหม...เธอละก้อเบรกกันเรื่อยเชียวนะ...ที่ว่านั้นมันเป็นสำนวนย่ะ" รักบุญพูดพร้อม กับหันมาค้อนกัลยาณมิตรรุ่นน้อง ก่อนที่จะหัวเราะประสานเสียง ด้วย ความเข้าใจกัน และ กันเป็นอย่างดี เพราะ ทั้งหมดต่างก็สนิทสนมเสมือนดั่งญาติ ซึ่งมันเป็นเรื่อง ของ จิตวิญญาณที่มีทิฐิเสมอสมานกันจริงๆ จึงจะเป็นเยี่ยงนี้ได้ หาใช่เรื่องธรรมดาสามัญ ที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่...นับว่ากลุ่มชนเล็กๆ อย่างชาวไร้ธุลีหมองนั้น กำลังท้าทายให้ชนส่วนใหญ่เข้ามาพิสูจน์... พิสูจน์สัจธรรมความจริงว่า...เป็นดั่งคำสโลแกนที่เขียนไว้ "จากหนึ่ง จึงเป็นเรา รวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่ง (ONE FOR ALL , ALL FOR ONE)" จริงดังคำพูดหรูๆ นี้ หรือ เปล่า?

เคยมีคนคิดว่า ชนชาวไร้ธุลีหมองมีระบบจัดตั้งที่เหนียวแน่นเป็นระเบียบเรียบร้อย ตามที่นักรู้นักคิดทางโลกนั้นคิดเขียนขึ้นมา เพื่อเป็น "กรอบจัดตั้งในสังคม"... แต่ว่าความเป็นจริงนั้น...มันเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่านั้นอีก เพราะ มันเป็นเรื่อง ของ การ" จัดตั้ง ตัวเอง ทางจิตวิญญาณ" เป็นเรื่องลึกซึ้งที่ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันประพฤติตน โดยมิได้ถูกหลอกล่อด้วย โลกียสุข หรือ โดนขู่เข็ญบังคับจากอำนาจใดๆ ของ ใครทั้งสิ้น...เพียง แต่การได้สดับฟังธรรมะจากสัตบุรุษผู้รู้แจ้งรู้จริง สามารถนำคำสั่งสอน ของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่...โดยได้ไขความลึกให้ตื้นขึ้น หรือ จับ ของ ที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น ให้เห็นอย่างชนิดจะๆ จนชัดเจนไร้ความสงสัยใดๆ ...ที่สำคัญนั้นคือ...ท่านเองก็ปฏิบัติตนตามที่ท่านสอนอยู่ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย...จนเชื่อได้ว่า ท่านคือ"นักเป็น"จริงๆ ด้วย หาได้เป็นเช่นแค่ "นักปราชญ์" ที่ได้แค่รู้ แค่คิด แล้วนำมาพูดมาเขียนสั่งสอนผู้อื่นอยู่ฉอดๆ แต่ผู้สอนกลับมีพฤติกรรมที่ขัดแย้งคำสอน ของ ตัวเอง เห็นอยู่โทนโท่ เป็นดังตัวอย่างที่เห็นอยู่ในสังคมจนเกลื่อนกลาดดาษดื่น

เพราะ ชาวไร้ธุลีหมองลดละกิเลส จนเบาบางลงได้จริงๆ จึงบังเกิดหมู่กลุ่มมาหล่อหลอมรวมกันอยู่อย่างมั่นคงแข็งแรง เสมือนดั่งน้ำย่อมไหลมาเข้าหากัน และ เป็นเนื้อเดียวกันอย่างแนบแน่น เรียกว่าเป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ของ กัน และ กันแท้ๆ ..ทุกคนต่างมาพิสูจน์คำสอน ของ พระพุทธองค์ว่า... มรรคผลมีได้ เป็นได้ เข้าถึงได้ทุกยุคทุกสมัยอย่างที่ว่าจริง หรือ เปล่า...

"อานนท์...ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในคำสั่งสอน ของ เราตถาคต โลกนี้ย่อมไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์..." นักปฏิบัติธรรมกลุ่มนี้ จึงเชื่อว่า..."อาริยะบุคคล" มีตัวตนจริงๆ แม้ในยุค ๒๐๐๐ นี่ก็เป็นเรื่องพิสูจน์ได้

ที่ ร.ร.สัมมาสิกขาศีรษะฯ...เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างบึกบึน ในชุดสีน้ำเงินเข้มซึ่งเป็นยูนิฟอร์ม ของ นักเรียนที่นี่ เขากำลังยกขวานขึ้นผ่าไม้ฟืนอย่างขยันขันแข็ง ร่วม กับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันที่ใต้ร่มไผ่หน้าโรงครัวกลาง...

วันเวลา ๕ ปีเศษที่ฟ้าลั่นมาเป็นนักเรียนที่นี่ ทำให้หนุ่มน้อยดูแข็งแกร่ง เข้มไปจากเดิมมาก คงเป็น เพราะ ความลำบากตรากตรำ กับการเรียนแบบ"หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน"อยู่ทุกวัน จึงทำให้ร่างกาย ของ ฟ้าลั่นเติบโตขึ้นอย่างน่าทึ่ง และ มีสมรรถภาพสูง ดูๆ ไม่น่าเชื่อว่าอายุแค่ ๑๘ เท่านั้น

"พี่ฟ้าลั่นคะ..."เสียงใสๆ ดังขึ้นด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มยกขวานค้าง และ หันมามองด้านหลังทันที...บุญขวัญนั่นเอง เธออยู่ในชุดนักเรียนหญิง นุ่งผ้าถุง และ สวมเสื้อแขนยาวปิดคอมิดชิดสีน้ำเงินเข้มทั้งชุดเช่นเดียวกัน... ๕ ปีที่เธอมาอยู่ในระบบ ของ ร.ร.ชาวไร้ธุลีหมองนั้น ทำให้สาวน้อยเปลี่ยนตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง คงเห็นแค่แววตาคู่สวยเท่านั้นที่คมเข้มอยู่เช่นเดิม

"เจริญธรรมครับ...น้องขวัญมีอะไรให้รับใช้ หรือ ครับ?" ฟ้าลั่นกล่าวคำทักทาย

"เจริญธรรมค่ะพี่ฟ้าลั่น...แหม...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ขวัญเพียง แต่มาถามว่า ปิดเทอม...พี่จะกลับไปเชียงใหม่มั้ยคะ?" สาวน้อยพูดเสียงราบเรียบธรรมดา แต่แววตา ของ เธอสิ... มีลักษณะอาการขอร้องอยู่ในที ซึ่งสามารถสัมผัสได้...สองปีแล้วที่ฟ้าลั่นอาสาอยู่ช่วยงานที่วัด ไม่ได้กลับไปบ้านเลย...

เด็กหนุ่มหลบตา ของ หญิงสาว ที่คบคุ้นใกล้ชิดกันมาตั้ง แต่วัยเด็กพลางพูดว่า

"ยังอีกหลายวันกว่าจะปิดเทอม...ขอพี่คิดดูก่อนได้มั้ยครับ?"

"ทำไมคะ...แค่ชวนกลับบ้านต้องใช้เวลาคิดด้วย หรือ คะ?" น้ำเสียง ของ เด็กสาวแฝงความน้อยใจปะปนมาอย่างชัดเจน ทั้งแววตาก็บ่งบอกการตัดพ้อต่อว่าอย่างไม่ซ่อนเร้น

"คืออย่างนี้ครับน้องขวัญ...พี่รับผิดชอบแปลงสมุนไพรปลูกใหม่อยู่...หากว่าไม่มีคนมาดูแลสืบต่อล่ะก้อ พี่เป็นห่วงว่ามันจะเฉาตายแน่ๆ ครับ" ฟ้าลั่นรีบชี้แจง เมื่อเห็นบุญขวัญหน้าตาไม่ค่อยดี

"ถ้า...พี่มีเหตุผลเพียงแค่นี้ ก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ หากพี่หาคนช่วยไม่ได้ขวัญจะหาเพื่อน ของ ขวัญมาช่วยดูแลแทนชั่วคราวให้" สาววัยรุ่นตัดบทสรุป เหมือนว่าห้ามการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

แล้วเธอก็ออกเดินจากไปอย่างหน้าตาไม่ค่อยเบิกบาน และ ก็ลืมธรรมเนียมที่ดี นั่นคือการ..."ไปลา มาไหว้ ของ ชาวไร้ธุลีหมอง" ที่ควรปฏิบัติด้วย

ฟ้าลั่นดึงท่อนไม้มาตั้งตรงหน้า เตรียมยกขวานขึ้นผ่าต่อไปด้วย หัวใจที่ไม่ค่อยเบิกบานเช่นกัน...ด้วย ความคิดสับสนวุ่นวาย กับท่าที ของ บุญขวัญที่แสดงต่อตน... และ บางครั้ง ฟ้าลั่นก็บอก ตัวเองว่า... ไม่อยากให้ความผูกพันต่อกันนั้น มามัดหัวใจ ให้แน่นยิ่งขึ้นเลย... และ หลายครั้งที่มีเจตนาหลบหน้า ไม่ยอมพบ กับเธอเป็นการส่วนตัว แต่ยิ่งหนี ก็ดูเหมือนยั่วยุ ให้เธอมาใกล้ชิด ยิ่งขึ้น... ที่สำคัญนั้น เราเองก็พ่ายแพ้ต่อความตั้งใจ ของ ตัวเองด้วย ซิ...มันเคยทรยศถึง กับเดินเข้าไปหาเธออย่างไม่รู้สึกตัวด้วย ซ้ำ... และ อดที่จะวาบหวามหวั่นไหวไม่ได้ทุกครั้งที่เจอกัน...ดวงตาคู่งามคมเข้มที่มองมาคู่นั้น มันเหมือนดั่งมีมนต์สะกดให้เราพ่ายแพ้ จนต้องหลบตาหนีซ่อนเร้นตัวเองทุกครั้ง....

"เฮ้ย...ไอ้ฟ้าเอ็งเป็นอะไรไปวะ?...นั่งกุมขวานเหม่อลอยเชียว...มีปัญหาโทรไป '๑-๙-๑' สิวะ" เจ้าพันธุ์พุทธ นักเรียนรุ่นเดียวกันตะโกนแซวมาเสียงดัง จากกองฟืนอีกด้านหนึ่ง ของ กอไผ่ซึ่งสามารถมองทะลุกันได้

"ไอ้บ้า...โทรไปทำไมวะ ๑-๙-๑..." ฟ้าลั่นเก๋ไก๋ส่งเสียงโต้ตอบ

"อ้าว...ก็บอกให้ตำรวจ เค้าช่วยตามล่าหัวใจ ของ เอ็งมาคืนงั้ย..."

จึ้ก...มันเป็นเสียงคมขวานที่ปักลงบนท่อนไม้ตรงหน้าอย่างหมดแรง และ พร้อมกันนั้นมันก็เป็นเสียงแห่ง"ธนูวจี" ที่แม่นยำ ของ เจ้าปากมอมยิงเข้าปัก "จึ้ก" ตรงขั้วหัวใจ ของ ฟ้าลั่น และ ก็เสียบ "เด่" ติดอยู่อย่างมั่นคง...

ไม่...ไม่...เราต้องไม่คิดอย่างนั้นๆ ๆ ๆ ...เสียงตะโกนก้องแห่งจิตวิญญาณ ของ ผู้ฝักใฝ่พรหมจรรย์ดังประท้วงขึ้น แต่ก็ค่อยๆ แผ่วเบาลงไปตามลำดับ...

ฟ้าลั่น จะสามารถผ่านด่านนางงาม ไปจนตลอดรอดฝั่งได้ หรือ ไม่ คงจะต้องติดตามดูกันต่อไป... เพราะ ว่า... บุรุษชาติอาชาไนย เท่านั้น ที่จะสามารถก้าวล่วง พรหมจรรย์ ไปสู่ความเป็น บัณฑิตทางธรรมได้จริง

(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)

   

อาริยะ ยุค ๒๐๐๐ (ตอนที่ ๑๓) (สารอโศก อันดับ ๒๓๑ หน้า ๑๒๔ ธ.ค.๔๓)