อาริยะยุค 2000 โดย เกลียวธรรม ตอน...
อาริยะยุค 2000 ตอนที่ 14
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 232 เดือนมกราคม 2544
หน้า 2/2

ชุมชนชาวไร้ธุลีหมอง ที่ จ.ศรีสะเกษ เป็นชุมชนที่มี นักเรียนระดับมัธยมมากที่สุด ในบรรดาโรงเรียนสัมมาสิกขา ด้วยกัน ในกลุ่มชาวไร้ธุลีหมอง ทั่วประเทศมีครูใหญ่ชื่อ “เกล้าดิน” เป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง ของ ชุมชน เพราะ เธอมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ยอมรับ ของ สังคมภายนอกด้วย ทั้งยังเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ดีเด่นในระบบราชการ จนได้รับโล่ และ เกียรติบัตรเชิดชูมากมาย ในอดีตเธอเคยเป็นครู ในสังกัด ของ กระทรวงศึกษาธิการ แต่ก็ลาออกจากตำแหน่ง อันทรงเกียรติ ที่มีเงินเดือนนั้น โดยไม่มีเยื่อใย...มาเป็นครู ของ โรงเรียนสัมมาสิกขาที่ไร้เงินเดือน... และ ตอนนี้ ก็ยังไม่มีอาคารเรียน ที่เป็นมาตรฐาน อย่างสังคมข้างนอกด้วย นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลก ที่ครูเกล้าดินมายินดีกับการเป็นครูไม่มีโรงเรียน และ ไร้เงินเดือนเช่นนี้...

แต่ว่าผล ของ งานที่ปรากฏออกมานั้น มันโชว์ความสามารถ ของ เธอ และ ครูทุกคน รวมไปถึงชาวชุมชนทั้งหมดด้วย...สมรรถภาพ ของ เด็กที่นี่ ช่างเหนือชั้นกว่าเด็กทั่วไปอย่างชนิดฟ้ากับดินทีเดียว จนทำให้ทางราชการที่เกี่ยวข้องเรื่องการศึกษา ต้องหันมาสนใจ และ เยี่ยมเยียนดูงาน รวมทั้งเชิญให้ไปพูดในที่ต่างๆ หลายแห่ง...

ที่นี่ไม่ได้มีจุดเด่นแค่เพียงเรื่อง ของ นักเรียนเท่านั้น ยังมีเรื่องสำคัญเป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คน ต่างหลั่งไหลมาเยือนกันอย่างไม่เว้นแต่ละวัน นั้นคือ “การเป็นชุมชนที่พึ่งตัวเองได้ และ ไร้อบายมุข” ตรงกับพระราชดำรัส ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่อง... “ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง”

ฉะนั้น ณ หมู่บ้านแห่งนี้ จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวดูงานที่มีชื่อเสียง ของ จังหวัดทีเดียว และ เป็นสถานที่อบรมคุณภาพชีวิตไปโดยปริยาย ...สตรีผู้นี้ จึงไม่ธรรมดาแน่ๆ แค่เรื่องลาออกมาจากตำแหน่งครู ที่มีเงินเดือนเป็นเรือนหมื่น แล้วมานุ่งผ้าถุงสวมเสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงินมอซอแบบชาวนา ซึ่งต่างกับชุดเครื่องแบบที่หรูหรา ของ ทางราชการ ที่เคยสวมใส่มา ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญที่ปุถุชนทั่วไป จะมามีฐานะทำได้อย่างนี้แน่นอน นอกจากเธอแล้ว ก็ยังมีผู้ร่วมงานที่ควรแก่การรู้จักมากมาย...แต่ครู “กลิ่นฟ้า”นั้น นับว่าเป็นบุคคลที่ทำงานประสานกันกับสตรีหมายเลขหนึ่ง ของ ชุมชน อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคนหนึ่ง...

ครูกลิ่นฟ้าเป็นชายหนุ่มที่จบวิศวกรรมไฟฟ้ามาจากสหรัฐฯ ซึ่งก็ละทิ้งรายได้ และ ความก้าวหน้าทางอาชีพมาอย่างไม่เหลือแม้แต่ในฝัน มุ่งมาเป็นครูสอนเรื่องไฟฟ้า และ เทคโนโลยีสารพัดให้กับเด็กนักเรียนที่นี่ โดยมีบุญเป็นค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน นับว่าเป็นผู้มีจิตอันประเสริฐ หรือ “อาริยบุคคล” เท่านั้น ที่จะชื่นชมยินดีงานที่เสียสละลดละความโลภเยี่ยงนี้ได้...ซึ่งวันเวลาที่ผ่านมา นับสิบปีคงเป็นสิ่งที่ยืนยันสัจจะ และ คุณธรรมนี้ได้

ทั้งครูเกล้าดิน-กลิ่นฟ้าต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า...ทุกคนในชุมชนนี้คือ ”ครู” ที่ช่วยกันบ่มเพาะให้เด็กที่นี่กลายเป็น ”นักเรียนดีมีคุณภาพ” ตามที่ ปรากฏขึ้น... เธอบอกว่า ผู้มีศีล ๕ คือครูที่โลกต้องการ และ เป็นครูอันประเสริฐแท้ๆ ...ที่นี่ จึงมีสโลแกน ของ โรงเรียนว่า... “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” เช่นเดียวกับโรงเรียนสัมมาสิกขาในเครือ ของ ชาวไร้ธุลีหมองทั่วประเทศทุกแห่ง

หนุ่มสาว นักปฏิบัติธรรมทั้งสอง มีลูกศิษย์นับร้อย ที่ผ่านการอบรม กล่อมเกลา จิตวิญญาณ เพาะเชื้อแห่งความดี ความเสียสละ เพื่อไปเป็น “บุคลากรที่ดี ของ ชาติต่อๆ ไป” จึงนับได้ว่า...ที่นี่เป็นแหล่ง “สร้างคนดี” โดยแท้อย่างไม่ต้องสงสัย

ลมว่าวพัดพาเอาไอหนาวผ่านเข้ามาในศาลาใหญ่ส่วนกลางเป็นระยะๆ ทำให้นักเรียนบางคนต้องขยับผ้าคลุมตัวให้กระชับขึ้น เพราะ ความหนาวเย็นที่มารุกราน อากาศยามเช้าตรู่ช่วงตี ๔ ครึ่งนี้มันน่าจะเป็นเวลา ของ การซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหนาๆ มากกว่าการมานั่งฟังครูอบรมสั่งสอน...แต่เด็กนักเรียนเหล่านี้กลับรื่นเริงเบิกบานอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่มีใครโยกโย้โยเยเกเรให้วุ่นวายเลย นั่งฟังกันอย่างเป็นปกติ

“นักเรียนรู้มั้ย?...” เสียงครูเกล้าดินดังก้องศาลาในยามรุ่งอรุณ “ที่พวกเธอได้รับการยกย่องสรรเสริญว่า...เป็นนักเรียนที่มีสมรรถภาพ และ เป็นเด็กดีนั้น...พวกเธอมิใช่ได้คุณสมบัติที่ดีเหล่านี้มาโดยบังเอิญเลย...แต่มันได้มา เพราะ เธอทุกคนสมานสามัคคี เสียสละ ขวนขวาย มีน้ำใจ และ ไม่ย่อท้อต่อปัญหา หรือ อุปสรรคที่ขวางกั้นได้อย่างน่าชื่นชมจริงๆ ...ในโอกาสปิดภาคเรียนครั้งนี้ เมื่อพวกเธอกลับไปยังถิ่นฐานบ้านช่อง ของ ตัวเอง ครูขอให้เธอทุกคนจงรักษาความดีเหล่านี้ไว้ให้มั่นคง... “ดั่งเสมือนเกลือที่รักษาความเค็ม ของ มัน” ...แม้ว่าเกลือจะแค่เพียงเม็ดเดียวเดี่ยวโดด มันก็มิได้เปลี่ยนรสเป็นจืดชืดเลย...ยิ่งมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน ก็จะยิ่งเพิ่มพลัง ของ ความเค็มมากยิ่งขึ้น...ฉะนั้นเมื่อกลับไปบ้าน ก็อย่าลืมสติ เผลอตัว ไปมัวเมากับสิ่งแวดล้อมอันเละเทะ ของ สังคมในยุค๒๐๐๐นี้... เธอต้องเข้มแข็งอดทนเพื่อรักษา “ความเค็ม” ของ เธอทุกคนไว้ให้ได้...สำนึกดีค่ะ” เมื่อครูเกล้าดิน จบการปัจฉิมนิเทศ สั่งเสีย... เสียงสาธุก็ดังกึกก้อง ศาลาจากเด็กนักเรียน ร่วมสองร้อยชีวิต... เธอยกมือรับไหว้เด็ก พร้อมคำสาธุ ด้วยความนอบน้อม ใบหน้ายิ้มละไม...

ช่วงนี้เองเป็นเทศกาลกินเจ ในนครเชียงใหม่ เกลื่อนกลาดไปด้วยธงสีเหลือง อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการหยุดเบียดเบียนขบเคี้ยวกลืนกินเลือดเนื้อ ของ สรรพสัตว์ทั้งปวง...ที่พลิ้วโบกสะบัดไปทั่วเมืองแห่งนี้ ย่อมบ่งบอกได้ว่า ที่นี่แหละเป็นเมือง ที่มีร้านอาหารมังสวิรัติ มากที่สุดในประเทศไทย... แต่ร้านที่ขายราคาถูกที่สุดก็คือ ร้าน ของ ชมรมมังสวิรัติแแห่งประเทศไทย สาขาเชียงใหม่ โดยชาวไร้ธุลีหมองนั่นเอง... ที่นี่จะมีทั้งอาหารไทย และ ทั้งปรุงเป็นอาหารเจแบบชาวจีนล้วนๆ เปิดขายตลอดสิบวัน เพื่อให้ลูกค้าได้มีอาหารถูก และ มีคุณภาพ หากินโดยไม่ลำบาก ซึ่งตามปกติแล้วก็จะปิดบริการในวันเสาร์-อาทิตย์ทุกสัปดาห์..

วันนี้เป็นวันแรก ของ เทศกาลเจ แต่ผู้คนก็มาอุดหนุนกันเนืองแน่น จนร้านที่ใหญ่โตกว้างขวาง ดูคับแคบลง อย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกัน... เหล่าพ่อครัวแม่ครัวทั้งหลาย และ แผนกบริการต่างๆ จึงชุลมุนขวนขวายช่วยกันอย่างไม่กลัวการเหน็ดเหนื่อย...นักเรียน ม.ปลาย ของ สัมมาสิกขา จากศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเด็กในเขตภาคเหนือที่กลับบ้านตอนปิดเทอม ต่างก็มารวมตัว ช่วยงานกันอย่างน่าประทับใจ... ทำให้เบาแรงผู้เฒ่าผู้แก่ไปเยอะทีเดียว และ เพราะ แรงงานฟรีจากบุคคลหลายวัยหลายฐานะนี่เอง...ที่นี่ จึงขายอาหารจานละ ๗ บาท ซึ่งข้าวราดแกงต่างๆ และ อาหารหลายชนิด รวมทั้งผลไม้ ที่จานไม่เล็ก และ คุณภาพดี รสชาติอร่อย ในราคาถูกเช่นนี้ คงหากินได้ยากในยุค ค.ศ.๒๐๐๐ นี้...

ความจริง ราคาขายนี้คือ ราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน หากว่าบวกค่าแรงงาน ของ ผู้ที่มาช่วยเข้าไปด้วย... นี้คือการค้าขายแบบ “บุญนิยม” อันมีอุดมคติ ๔ ระดับคือ...ราคาต่ำกว่าท้องตลาด ราคาเท่าทุนที่ซื้อมา...ราคาต่ำกว่าทุน และ สุดท้ายคือการแจกให้ฟรีเป็นระดับสูงสุด เพราะ เหตุนี้เอง ประชาชนที่มาเป็นลูกค้า จึงได้รับผลประโยชน์โดยตรง จากการเสียสละ ของ เหล่า ”พุทธบุตร” ชาวไร้ธุลีหมอง...“พี่ฟ้าลั่นคะ...หลังงานเทศกาลเจ แม่จะพาพวกเราขึ้นดอย ไปเยี่ยมหลวงพ่อผาภู ซึ่งมา จำพรรษาอยู่ที่นี่กันค่ะ” บุญขวัญเดินเข้ามาหาฟ้าลั่นที่กำลังล้างจานอยู่ และ บอกข่าว

“พี่รู้แล้วล่ะ...ป้าก้อยบอกพี่เมื่อเช้านี้เอง” ฟ้าลั่นพูดเบาๆ ขณะที่มือทั้งสองนั้นก็มิยอมหยุด จากการล้างหม้อ และ กะทะใบโตๆ ที่ตั้งซ้อนกันอยู่หลายใบ

“เหรอคะ...ขวัญยังคิดว่าพี่ฟ้าลั่นไม่รู้เสียอีกค่ะ” เด็กสาวพูดพลางหยิบภาชนะที่ล้างแล้วนำไปจัดเก็บไว้ให้ ซึ่งฟ้าลั่นตั้งค้างไว้บนตะแกรงเพื่อให้สะเด็ดน้ำ

“พี่ฟ้าลั่นคะ.....จบ ม.๖ ขวัญ คิดอยากจะไปเอ็นฯข้างนอก ลองดู พี่ว่าดีมั้ยคะ?” บุญขวัญปรารภขึ้นเป็นเชิงปรึกษา ขณะที่เธอเอง ก็ขยับเข้ามา ที่อ่างล้างจาน แทนที่ผู้ชาย อีกคนหนึ่ง ซึ่งผละจากไปเข้าห้องน้ำ

“เรื่องนี้ก็แล้วแต่...น้องขวัญซิครับ แต่สำหรับพี่นั้นขออยู่เรียน กับพวกเรา นี่แหละ...แต่บางทีอาจจะเรียน มหา’ลัยเปิด ด้วย เพราะ พี่คิดจะอยู่ช่วยงานที่วัดไปเรื่อยๆ ”

“พี่ไม่คิดจะออก ไปหาประสบการณ์ ข้างนอกบ้าง หรือ คะ?” เด็กสาวถามยิ้มๆ

“ไม่หรอก...สังคมข้างนอก สับสนวุ่นวาย เห็นแก่ตัว โหดเหี้ยมไว้วางใจใครไม่ได้ ..พี่ไม่อยากไปใช้ชีวิตแบบที่ต้องระวังตัวแจอย่างนั้นครับ” ฟ้าลั่นปากพูดมือก็มิได้หยุดนิ่ง

“บางครั้ง...สำหรับขวัญนั้นรู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ ...แต่มันเป็นแค่ความรู้สึกนะคะพี่” เด็กสาวเปิดเผย ความในใจ กับการที่มาใช้ชีวิต อยู่กับสังคม ที่มีกรอบ กั้นกิเลสอย่างเข้ม

“แสดงว่าที่ผ่านมา...ขวัญอยู่ที่นี่ด้วยความทรมาน หรือ ครับ?” ฟ้าลั่นถามเสียงราบเรียบ แต่จริงจัง จนบุญขวัญต้องเมินสายตาหลบนิดหนึ่ง และ ก็เงยหน้าขึ้นตอบเสียงเข้ม

“ไม่ถึงกับทรมานหรอกค่ะ...แต่บางครั้งขวัญก็อยากไปเที่ยวแบบมีอิสระบ้างนี่คะ...อย่างตอนนี้ขวัญอยากไปดูหนัง พี่ช่วยพาไปดูได้มั้ยคะ?” เด็กสาวทำเสียงออดอ้อนในตอนท้าย

“ไปดูที่ไหน...เรื่องอะไรล่ะ?” เด็กหนุ่มถามแบบเลี่ยงๆ

“เรื่องไททานิคค่ะ...กำลังเข้าฉายที่ ‘วิสต้า ๑‘ หนังดังมากนะคะพี่”

“รอเช่าวิดีโอมาดูกันที่บ้านไม่ดีกว่า หรือ ครับ...คิดว่าไม่ช้าคงมีให้เช่าแน่ๆ ” ฟ้าลั่น พูดอ้อมแอ้ม เบาๆ เพราะ รู้ว่าการปฏิเสธเธอตรงๆ คงต้องอารมณ์เสียแน่นอน...แต่การแนะนำเชิงปฏิเสธเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้ที่ตั้งความหวังไว้มาก

“แต่ขวัญจะไปค่ะ...ขวัญไม่รบกวนพี่ก็ได้ค่ะ” สาววัยรุ่นพูดจบแล้ว ก้มหน้าล้างจาน ซ่อนหยาดน้ำตา แห่งความน้อยใจ ซึ่งกำลังเอ่อล้นขึ้นมา จนใกล้จะไหลออกมา อาบแก้ม... ความเงียบได้ครอบคลุม อยู่ชั่วขณะหนึ่ง คงมีแต่เสียงจานกระทบกัน ดังแก๊งก๊างๆ เล็กน้อย

“เอ้าล่ะๆ ...ไปก็ได้ พี่เองก็ไม่เคยดูหนังในโรงใหญ่เหมือนกัน...ไปเปิดหูเปิดตามั่งจะเป็นไรไป” ฟ้าลั่นจำต้องตัดสินใจรับปาก เพราะ คิดว่าหากเธอตั้งใจอย่างนั้นแล้ว...เธอต้องทำตามที่พูดแน่นอน และ ปล่อยให้เธอประชดไปคนเดียวนั้นไม่ดีแน่ๆ

“ถ้าพี่ฟ้าลั่นฝืนใจมาก...ไม่ต้องก็ได้นะคะ” บุญขวัญยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแง่งอน... แต่ความยินดีที่เกิดจากการได้รับการเอาใจนั้น ทำให้เธอแอบลอบยิ้มอยู่ในหน้า พลางคิดในใจว่า...หากว่าพี่เค้าใจแข็ง ไม่ไปด้วย เราก็คงไม่กล้าไปคนเดียวหรอก...ขืนบ้าดันทุรังไปอย่างนั้น แม่คงเอาเรื่องแน่ๆ ...

เวลาเดียวกันที่ฟ้าลั่นก็...กำลังคิดใคร่ครวญจนวุ่นวายสับสนอยู่ในใจ ด้วยสำนึกดีที่เคยได้รับการอบรมมาจากครูบาอาจารย์ และ สมณะที่วัด...มันเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะพากันไปดูหนังสองต่อสอง และ การดูหนังข้างนอกนั้นมันไม่เหมือนกับที่สมณะท่านเซ็นเซอร์แล้วแน่ๆ ...มันคงจะจัดจ้านรุนแรง ทั้งความโหดเหี้ยม ตัณหาราคะ โทสะ ที่สำคัญเราคิดว่า...มันเป็นเรื่องละเมิดศีลด้วยแน่ๆ แต่เราจะทำอย่างไรดี เพราะ ได้เผลอรับปากเธอไปแล้วด้วยซี

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิด ที่เป็น”คนละเรื่องเดียวกัน”นั้นเอง... รักบุญก็ปรากฏตัวขึ้น และ เดินเข้ามาหายิ้มให้อย่างอารมณ์ยินดี ที่เห็นเด็กทั้งสองกำลังก้มหน้าก้มตาช่วยกันล้างจาน โดยมิได้ส่งเสียงพูดคุยกันเลย เหมือนกับว่าตั้งใจทำงานเต็มที่

“ฟ้าลั่น...ลูกขวัญ แม่มารับแล้วจ้า...เป็นไงเหนื่อยมั้ยลูก” รักบุญทักทายเสียงดัง ทำให้หนุ่มสาววัยรุ่นเงยหน้าขึ้นมาจากอ่างล้างจานทันที เมื่อได้ยินเสียง ของ ผู้เป็นมารดา

“เหนื่อยซิคะ... และ ขวัญอาจจะต้องขอรางวัลจากแม่ด้วยนะคะ” เด็กสาวเป็นผู้ตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเลศนัย ด้วยแผน”ขว้างหินถามทางไปก่อน” ตามลักษณะคนที่ฉลาดเฉโก เพื่อหวังให้ผู้เป็นแม่ ตกหลุมพรางรับปากอนุญาต

“อ้าว...จะมาเอาอะไรอีกล่ะ...ทำความดีเสียสละก็ได้สะสมจิตวิญญาณที่ดีให้กับตัวเองแล้วนี่... อย่าทำความดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทนน่ะลูก...ขาดทุนเลยนะจ๊ะ แม่จะบอกให้” รักบุญ แย้งความคิด ของ บุตรสาวขึ้น เป็นเชิงสอนให้รู้ชัดในเรื่อง ของ การทำความดี

“แต่ขวัญก็มีสิทธิ์...ขอรางวัลจากแม่ โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่มั้ยคะ?” สาวน้อยเจ้าความคิดไม่ยอมลดละความตั้งใจง่ายๆ พร้อมกับ เอียงคอ ยิ้มให้ผู้เป็นแม่ อย่างรื่นเริง

“ใช่เลยๆ ...แม่ยอมแพ้ เพราะ ลูกขวัญเป็นเจ้าหนี้ ที่แม่ไม่สามารถบิดพลิ้วจริงๆ ค่ะ” รักบุญพูดพลางหันไปพยักหน้ากับฟ้าลั่น เป็นเชิง บอกให้รับรู้ถึง ความชาญฉลาด ของ บุญขวัญ ที่สามารถใช้วาทะบีบให้เธอต้องรับปากจนได้ พร้อมกับหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างขำๆ

“แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ นะคะ ที่วันนี้แม่ได้เตรียมรางวัลไว้ให้ลูกขวัญแล้วด้วยล่ะ และ แม่คิดว่าลูกคงต้องชอบแน่ๆ ค่ะ...ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะจ๊ะ” ผู้เป็นมารดาพูดทิ้งท้ายให้ตื่นเต้นอย่างมีเชิงเช่นกัน ทำให้ฝ่ายลูกสาวต้องอึดอัดด้วยความอยากรู้...

“เอ๊...พี่ว่าแม่เตรียมอะไรไว้ให้ขวัญล่ะคะ?” เด็กสาวหยุดชะงักมือที่กำลังทำหน้าที่ล้างจานด้วยความลืมตัว เพราะ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล กับสิ่งที่เธอ จะได้รับ จากผู้เป็นมารดา

(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)

   

อาริยะยุค ๒๐๐๐ โดยเกลียวธรรม (ตอนที่ ๑๔) (สารอโศก อันดับ ๒๓๒ หน้า ๑๑๓ เดือนมกราคม ๒๕๔๔)